วารสาร Holy News ฉบับที่ 1344

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  ธันวาคม  2021

เรื่อง “การบังเกิดใหม่ เข้าอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้หัวข้อเรื่อง “การบังเกิดใหม่ เข้าอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า” เราได้ยินบ่อยๆ ว่าคริสตมาส คือเทศกาลของขวัญ สัญลักษณ์ของคริสตมาสทั่วโลกเลย ตั้งแต่เริ่มต้น กี่ปีๆ มาแล้ว จนถึงทุกวันนี้ คือของขวัญ ยินดีที่จะได้รับของขวัญ ยินดีที่จะให้ของขวัญ และสัญลักษณ์นี้มาจากอะไร? ก็มาจากต้นตอของวันคริสตมาส เจ้าของวันคริสตมาส คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ประทานพระบุตร ประทานพระเยซูคริสต์มาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งปวง เป็นของขวัญ

ของขวัญ แปลว่าให้ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ให้ฟรีๆ นี่คือสัญลักษณ์ของคริสตมาส พุ่งตรงไปที่การให้ ซึ่งพระเจ้าเป็นแบบอย่างแห่งการให้นี้ อย่างชัดเจน

แล้วท่านทราบไหมครับว่าความหมายที่แท้จริงของของขวัญวันคริสตมาส คืออะไร?  ความหมายที่แท้จริง ต้นเหตุ ต้นตอของการให้ของพระเจ้า ในวันคริสตมาส คืออะไร? ท่านเคยนึกถึงไหมว่าคริสตมาส คือพระเจ้าได้ประทานของขวัญ และของขวัญนั้น คืออะไร? คำอวยพร Merry Christmas ที่ทุกคนท่องกันได้  พูดกันได้ติดปาก ในวันเทศกาลคริสตมาส ก็คือความหมายที่แท้จริงของวันคริสตมาสนั่นเอง Merry Christmas ซึ่งแปลว่าการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้กับท่าน “ท่าน” หมายถึงมนุษยชาติทั้งปวง “Merry Christmas” แปลว่า “พระเยซูคริสต์ สละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติทุกๆ คน”

เพราะฉะนั้น เทศกาลวันคริสตมาสที่เราเดินไปไหนมาไหน? มีแต่คนพูดกันคำนี้ มีแต่คนเขียนคำๆ นี้ ทั้งนั้น  ปิดป้ายประกาศ ปิดตรงโน้นตรงนี้ ตรงนั้น ในบ้าน ในห้างร้าน ทั่วโลกทั้งหมด และพูดกันติดปากเลย Merry Christmas เขากำลังประกาศว่าพระเจ้าได้ประทานพระเยซูคริสต์ เป็นของขวัญให้กับมนุษยชาติ เพื่อไถ่บาปมนุษยชาติ ให้พ้นจากความบาปผิดทั้งหลาย ทั้งปวง กลับมาอยู่กับพระองค์ได้ในสวรรค์นิรันดร์นั่นเอง เห็นไหมครับข่าวดีจริงๆ เลยนะ

ถ้าเรารู้เรื่องความจริงในเรื่องวันคริสตมาส เราจะเห็นทั่วโลก มีคนรับของขวัญนี้มากขึ้นทุกวันๆ เป็นไปตามพระคัมภีร์บอกแล้ว เป็นตามที่พระเยซูบอกแล้ว เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกแล้วว่าอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ อาณาจักรสวรรค์จะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายใหญ่ที่สุดกว่าอาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงที่เราเห็น

เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์จึงเป็นของขวัญ  ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ในวันคริสตมาสที่พระเจ้าให้พระองค์ทรงมาประสูติเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปเรา  แปลว่าให้อภัยในความบาปผิดของเราทั้งหลายที่เราทำบาป ทำผิด  ทำชั่วต่างๆ ให้อภัย นอกจากให้อภัยเราแล้ว นอกจากพาเราออกจากคุกจากตะราง ในฐานะนักโทษประหาร ช่วยเรา อภัยโทษให้กับเรา ให้พ้นจากการเป็นนักโทษประหาร ออกมาจากเรือนจำแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ไม่ใช่ออกมาจากเรือนจำ แล้วปล่อยให้เราดำเนินชีวิตไปตามลำพังของเราคนเดียว เปล่า แล้วยังทำอะไรอีก พระองค์ให้เราเข้ามาในพระราชวัง รับเรามาเป็นลูก รับเรามาเป็นรัชทายาทของพระองค์ในวังเลย คือในสวรรค์ เราออกจากเรือนจำปุ๊บ มารับเราหน้าประตูเลย ให้มาเป็นลูกของพระองค์ แล้วจะเป็นลูกได้อย่างไร? ก็โดยการบังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น การบังเกิดใหม่ จึงเป็นของขวัญชิ้นสำคัญ รวมอยู่ในห่อของขวัญวันคริสตมาสที่พระเจ้าทรงประทานให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ นอกจากจะไถ่บาปให้กับเรา ตามที่เราได้เรียนรู้ Merry Christmas พระองค์ไถ่บาปให้กับเรา ไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้น  แต่ Merry บังเกิดใหม่ด้วย Merry แปลว่าขอให้ท่านพบสันติกับความจริงเรื่องนี้ Merry บังเกิดใหม่ด้วย คือชำระเราจนสะอาดหมดจด และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นกล่องของขวัญ เป็นห่อของขวัญไปได้ทีหนึ่งพร้อมกันเลย เพียงแต่เราจะรู้หรือไม่ เราจะเปิดดูไหม? ของขวัญชิ้นแรกที่เราจะได้รับจากพระเจ้า ในวันคริสตมาส ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเห็นอะไรไหม? เราน้ำหูน้ำตาไหล เราเป็น ผู้ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ บาปทั้งสิ้น ได้ถูกอภัยให้เรียบร้อยแล้ว ออกจากคุก จากตะราง ไม่ต้องเป็นหนี้บาป ไม่ต้องใช้เวร ใช้กรรมอีกต่อไปแล้ว ดีใจมากๆ เลย จบอยู่แค่นั้นหรือ? ในห่อของขวัญยังมีอีก ข้างในกล่องนั้น ยังมีอีกชิ้นหนึ่ง ชิ้นใหญ่เลยล่ะ สำคัญกว่าตรงนี้อีกด้วยซ้ำไป เราลืมมองไป หรือเรามอง แล้วเราไม่ได้เปิดดู ถ้าเราเปิดดู เราจะเห็นว่าโอ้โห! ให้เราบังเกิดใหม่ รับเราเป็นลูกของพระองค์ อยู่ในกล่องเดียวกันนั่นแหละ บางคนไม่ได้ดูตรงนี้ จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย  จากโลกใบนี้ไป เจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า เพิ่งจะเห็น เป็นลูกหรือ? ไม่รู้เลย ตอนอยู่บนโลกใบนี้ นึกว่าได้รับการไถ่บาปแค่นั้น ก็โอเคแล้ว พระเจ้าบอกโอเคน่าไม่เป็นไร? แต่ถ้าได้รู้ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ด้วยว่าในห่อของขวัญนั้น มีสิ่งที่สำคัญตรงนี้อยู่ด้วย มันก็จะทำให้ความสนุกสนาน ความปิติยินดีมากขึ้น และได้มีโอกาสสำแดงความรัก ความเมตตาและความจริงของพระองค์ให้ผู้คนรอบข้างเขาได้เห็นว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่พูดแต่ปาก แต่ฉันเป็นจริงๆ ฉันได้เกิดใหม่จริงๆ เธออยากจะเกิดใหม่ไหม? เธออยากจะเกิดใหม่ เธอมาเชื่อพระเยซูสิ เธอได้บังเกิดใหม่จริงๆ เธอได้เกิดใหม่จริงๆ”   อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าในห่อของขวัญนี้ มีการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในพระราชวัง อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตั้งแต่ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว คือรับเอาของขวัญนี้แล้ว ตั้งแต่เปิดประตูใจ แล้วเดินออกไป เอาห่อของขวัญที่พระเจ้าวางไว้หน้าประตูบ้าน หยิบเข้ามาในบ้าน แล้วตั้งแต่วันนั้น เขาได้เข้าไปสู่สวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่แล้ว แล้วได้รับการชำระบาปหมดจด หมดสิ้น บริสุทธิ์สะอาดทันที

ที่พูดตรงนี้แหละ คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ของขวัญ” วันคริสตมาสที่ดังที่สุดในมหาจักรวาล ดังมา 2,000 ปีแล้ว คือของขวัญวันคริสตมาส เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจน  ทั่วมหาจักรวาล ไม่ใช่ทั่วโลกอย่างเดียว ในพระคัมภีร์บอกทั่วมหาจักรวาลเลย แม้กระทั่งก้อนหิน ก้อนดิน ต้นไม้ ใบหญ้า ต่างสรรเสริญ ขอบคุณ และเห็นการอัศจรรย์ ความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำตรงนี้แหละ ตรงที่เห็นนี้ ที่เราร้องเพลง “Joy to the world” นั่นแหละ แม้กระทั่งต้นไม้ ใบหญ้า ธรรมชาติต่างๆ ต่างสรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่จริงๆ เลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้  เป็นของขวัญ เริ่มต้นจากวันคริสตมาสแรก คือวันที่พระเยซูทรงสละสภาพของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนเราทั้งหลาย เพื่อเป็นตัวแทนมนุษยชาติ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่พระเจ้าจะสามารถทำได้ คือส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่จะสามารถนำพามนุษย์บนโลกใบนี้ ซึ่งล้วนเป็นคนบาป เป็นคนสกปรก ให้กลับไปสู่ความบริสุทธิ์ กลับไปเป็นผู้ชอบธรรม และสามารถกลับไปอยู่กับพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้  มีทางเดียวเท่านั้น คือพระเยซูคริสต์ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนเราทั้งหลาย เพื่อเข้าร่วมกับชาติพันธุ์ คือมนุษย์เหมือนกับเราทั้งหลาย  มาเป็นร่างกายเหมือนมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของเรา แบกบาปทั้งหลายของเราไว้ เพื่อที่จะให้เราได้มีโอกาสบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้

พระเยซูบอกว่าอย่างไร? ใครที่อยากจะเข้าสวรรค์ได้ ผู้นั้นจะต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ และประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ ประกาศเรื่องข่าวดีของพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะกระทำให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขนนั้น  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั้น พระองค์ประกาศว่าอย่างไร? ใครอยากเข้าสวรรค์ต้องทำอย่างไร?  พระองค์มาสอนให้กระทำดี เพื่อเข้าสวรรค์หรือ? เปล่า ไม่ได้มาสอนกระทำดีเลย พระองค์มาประกาศว่า …

“ใครอยากไปสวรรค์บ้าง?”

ทุกคนยกมือ ใครๆ ก็อยากไปสวรรค์ แล้วต้องทำอย่างไร? ต้องทำให้บริสุทธิ์เท่าๆ กับพระเจ้าเลย ซึ่งไม่มีคนไหนฟังแล้วบอกว่า …

“โอเค จะไปทำ”

ทุกคนฟัง แล้วก็หน้างอหมดเลย  เป็นไปได้อย่างไร? มันไม่มีใครทำได้ จะไปทำจนบริสุทธิ์เท่ากับพระเจ้าได้อย่างไร? มัทธิว 5:48 พระเยซูตรัสอย่างนี้ …

มัทธิว 5:48  “ดังนั้น  ​พระบิดา​ของ​พวก​ท่านบน​สวรรค์  ​ดี​พร้อม​ขนาด​ไหน  ก็​ให้​พวก​ท่านดีพร้อม ​ขนาด​นั้น​ด้วย”

 

พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่าทำได้ไหม? อยากไปสวรรค์ใช่ไหม? ประพฤติตัวให้ดีนะ ดีเท่าพระเจ้า ทำได้ไหม? ไม่ได้ใช่ไหม? ไม่ได้ทำอย่างไร? มา เกิดใหม่ซะ เหมือนกระซิบข้างหู ตายไปแล้ว อยากไปอยู่ในสวรรค์ไหม? อยาก ทำอย่างไร? มาเชื่อพระเยซู แล้วมาเกิดใหม่ พระเยซูก็บอก …

“มาเกิดใหม่ซะ”

เพราะว่าสวรรค์เป็นของคน ที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้า จึงจะอยู่กับพระเจ้าได้ และวิถีทางเดียวเท่านั้น คือผ่านทางเรา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกอย่างนั้น ผ่านทางความเชื่อ ในพระองค์ ที่จะทรงกระทำให้กับเราที่ไม้กางเขน แค่นั้นเอง และพระองค์บอกอย่างไร? อย่าไปคิดมาก ฟังแล้วเชื่อเฉยๆ ไม่ต้องมานั่งคิดว่ามาบังเกิดใหม่อย่างไร? มันต้องเป็นอย่างไรนะ ต้องมุดเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งหรือ? ต้องเข้าไปในมดลูกอีกครั้งหนึ่งหรือ? คิดไปคิดมาวุ่นวายไปหมดเลย พระเยซูบอกอย่าคิดมาก ให้เหมือนเด็กเล็กๆ ฟังแล้วก็เชื่อเท่านั้นเอง

เหมือนเด็กเล็กๆ อายุสัก 2, 3 ขวบ จับเขาอุ้มไว้บนธรรมาสนี้ สูงขนาดนี้เลย แล้วเราเป็นพ่อเขา เราบอกโดดมาเลย เขาโดดไหม? โดด เพราะเชื่อเหมือนเด็กๆ เขาไม่คิดว่า …

“สูงขนาดไหน? แล้วถ้าเกิดพ่อรับไม่ได้ แล้วพ่อไม่มีแรง แล้วทำอย่างไร?”

เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย เขาคิดอย่างเด็กๆ พระเยซูบอกให้เชื่ออย่างง่ายๆ อย่างนี้ ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องพยายามหาเหตุผล ถ้าพยายามหาเหตุผล ไม่มีวันเจอ ไม่มีวันได้  เพราะมันจะไม่มีทางเข้าใจเลย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไม่ใช่สติปัญญา ไม่ใช่ปรัชญาตามความคิดของมนุษย์ ที่มักจะเปรียบเทียบหาเหตุผลแบบมนุษย์ แต่เป็นสติปัญญาอันล้ำลึก จากพระเจ้า ที่ถูกซ่อนไว้ในโลกวิญญาณ ข่าวดีเป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจของพระเจ้า เป็นอัศจรรย์ของพระเจ้า  ที่ทำให้มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ได้ ที่เราพูดกันเล่นๆ ภาษาไทยที่บอกว่า …

“เจอกันชาติหน้า”

มันเจอกันจริงๆ ได้ ชาติหน้ามีจริงๆ แต่มีชาติเดียวเลย “ชาติ” แปลตรงๆ เกิด ชาติหน้า คือชาติใหม่ ก็คือเกิดใหม่ มันมีจริงๆ แต่จะเกิดใหม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น ถ้าลมหายใจออกจากร่างแล้ว ไม่ใช่มนุษย์แล้ว เกิดใหม่ไม่ได้แล้ว เพราะพระเยซูมา เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย

แล้วฤทธิ์เดชอำนาจนี้เกิดขึ้นกับใคร? คนที่ฉลาดหรือ? ไม่ใช่ เกิดกับคนที่มีเหตุผลเยอะๆ ใช่ไหม? จึงจะมาเชื่อ ไม่ใช่ เกิดจากอะไร?  เกิดจากความเชื่อเหมือนเด็กๆ พระเยซูพูดอะไร ก็เชื่อตามนั้น ไม่ใช้ความคิด หาเหตุผล ตามสติปัญญาของมนุษย์ แต่เชื่อในข่าวดี ข่าวสารที่พระเยซูบอกนั้น พระเยซูบอกอย่างไร? ก็อย่างนั้น พระเยซูบอกว่าทำสิ่งเดียว คือมาเชื่อในเรา วางใจในเราเท่านั้นเอง

เมื่อเชื่อแล้ว วางใจแล้ว ได้รับการอัศจรรย์ คือบังเกิดใหม่แล้ว คราวนี้แหละ จึงสามารถเรียนรู้ เข้าใจด้วยสติปัญญาของพระเจ้าได้ว่าบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นอย่างไร? เริ่มเรียนรู้ทีหลัง ไม่อย่างนั้น มันจะเหมือนที่เราคุยกันบ่อยๆ คำพังเพยไทยบอกว่า …

“ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด”

มนุษย์จะเป็นอย่างนี้ ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด แต่พระเยซูมาช่วยให้เรารอดก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้ทีหลัง มันเป็นอย่างนั้น พระเยซูช่วยให้เรารอดก่อน บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์มาสถิตอยู่ในตัวของเราแล้ว ในวิญญาณของเรา แล้วค่อยๆ สอนเรา บอกเรา เราจึงค่อยๆ เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเกิดอะไรขึ้น? การเข้ามาอยู่ในสวรรค์? สวรรค์คืออะไร? พระเจ้าได้อธิบายให้เราฟังเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ คร่าวๆ

ถามว่าสวรรค์ คืออะไร? เราได้เรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้า บอกว่าสวรรค์ คือสถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ฟังให้ดีๆ นะ แม้ว่ามันจะสั้นๆ สรุป แต่ว่ามันมีความหมายมาก

สวรรค์ คือสถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น พระเยซูบอกอยู่ตรงไหน? จริงๆ เราเอง ก็รู้จากจิตใต้สำนึกของเรา รู้ทั้งโลกเลย ยิ่งคนไทยยิ่งรู้ใหญ่เลย เป็นคำพังเพยเหมือนกัน “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ตามนี้เลย พระเยซูก็บอก …

“สวรรค์อยู่ในใจของเธอ อยู่ในอกของเธอ”

เราไปหาสวรรค์ใหญ่เลย ไปหาโน่นหานี่ สวรรค์อยู่ในป่า อยู่ในเขา อยู่ในห้วย อยู่ลึกลงไปในทะเล หาใหญ่ พระเยซูบอกสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ แสดงว่าในโลกวิญญาณ มีที่อยู่ ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า และมีอีกที่หนึ่งเรียกนรกด้วย ถูกไหม?

ตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ตัวตนแท้ๆ ของเรา พระคัมภีร์บอกเรา สอนเรา ชี้แจงให้เราเห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าตัวตนของมนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ และวิญญาณของมนุษย์ กำลังอาศัยอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ จำได้ใช่ไหมครับ?

ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 สถานที่ หนึ่งนรก หนึ่งสวรรค์ พระเยซูกำลังบอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และวิญญาณนั้นจะอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเรียกว่าสวรรค์หรือนรกก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความมืด หรือความสว่าง หรือในพระคัมภีร์เรียกว่าในอาณาจักรของความมืด หรือในอาณาจักรของความสว่าง มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ และวิญญาณจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด หรือสว่าง ไม่อยู่เลยทั้งสองมีไหม? ไม่มี ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง เหมือนกับเป็นมนุษย์ แล้วอยู่ในเมืองไทย ถ้าคุณไม่อยู่ในเมืองไทย คุณก็ไปอยู่ที่อเมริกา หรืออยู่ที่รัสเซีย หรืออยู่ที่เอสกิโม หรืออลาสก้า หรืออยู่ในประเทศจีน

คุณจะบอกว่า “ฉันเป็นคนอยู่ในโลกใบนี้ แต่ฉันไม่อยู่ในประเทศอะไรเลย ไม่อยู่ที่ๆ ใดเลย”

เป็นไปไม่ได้ มันต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง บนโลกใบนี้ เช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ท่านต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ใน 2 แห่งนี้ คือไม่มืด ก็สว่าง ไม่นรก ก็สวรรค์ ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า หรืออยู่กับพระเจ้า  พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ วิญญาณนั้นอยู่กับพระเจ้าหรือเปล่า? หรือไม่ได้อยู่กับพระเจ้า วิญญาณนั้น อยู่ในความทุกข์ทรมานตลอดไหม? หรืออยู่ในความสุขนิรันดร์ตลอด วิญญาณนะวิญญาณ ซึ่งเราเรียกกันว่าทุกข์ตลอด ก็คือนรก สุขตลอด ก็คือนิรันดร์ และมนุษย์ทั้งหลาย รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จิตใต้สำนึกของมวลมนุษยชาติรู้เรื่องเล่านี้หมดแล้ว แต่มันไม่ชัดเจน พระเยซูมาเพียงชี้ให้เห็น สิ่งที่มันรู้อยู่แล้วนั่นแหละ ซ้ำอีกทีหนึ่งเท่านั้นเอง มนุษยชาติจึงแสวงหาการได้ไปอยู่ในที่มืดหรือที่สว่าง  มนุษย์ทุกคนจึงแสวงหา ทุกยุค ทุกสมัย จะไปอยู่ในที่ทุกข์หรือที่สุข? มนุษย์ทุกคนแสวงหาอยากจะไปอยู่ในที่เรียกว่าสวรรค์ หรือนรก? สวรรค์ เห็นไหม?  มันอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะบอกว่าเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อ แต่ข้างในวิญญาณของมนุษย์ มีจิตใต้สำนึกอยู่ จิตใต้สำนึกนั้น เป็นตัวบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเขา แล้วพระองค์ทรงทราบดีว่าส่วนภายในนั้น เป็นเช่นไรบ้าง?

มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ต้องการแสวงหาที่จะไปสวรรค์ ถามว่าเพราะอะไร? จากความจริงที่เราได้เรียนรู้มาเมื่อสักครู่นี้ว่าในโลกวิญญาณมี 2 แห่งเท่านั้น นี่คือความจริง จะปฏิเสธอย่างไร? ความจริงก็เป็นความจริง

เมื่อมี 2 แห่ง ถ้ามนุษย์คนนั้นแสวงหาที่จะไปสวรรค์ ก็แสดงว่าเขากำลังอยู่ใน … ถ้าเขาอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว เขาก็คงไม่แสวงหาสวรรค์แล้ว แต่มนุษย์ทุกคนพยายามหา ที่จะไปสวรรค์ พยายามกระทำดีทุกอย่าง  เพื่อที่จะไปสวรรค์ ก็แสดงว่าเขากำลังอยู่ในความมืด อยู่ในที่ตรงกันข้ามกับสวรรค์ ที่ตะกี้เราเรียนรู้มา ในพระคัมภีร์ ถูกหรือไม่ถูก? จริงหรือไม่จริง?  พูดง่ายๆ คือเพราะจิตสำนึกของมนุษย์ทุกคน เขารู้ตัวเองว่าเขาเป็นคนบาป  อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับสวรรค์ ก็เลยพยายามที่จะชำระบาป ชดใช้หนี้บาปให้หมดสิ้น เพื่อตนเองจะได้สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ พยายามทุกวิถีทาง ถูกหรือไม่? ซึ่งพระเยซูตอบว่าอย่างไรในเรื่องนี้ พระองค์ตอบว่า …

“เป็นไปไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก ทำให้ตายก็เป็นไปไม่ได้ เธอไม่สามารถชำระตัวเองจนสะอาดหมดจดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้หรอก”

พระเยซูกำลังชี้ให้มนุษย์ทั้งหลายเห็นว่าเขากำลังอยู่ในโลกวิญญาณ อาณาจักรไหน? มืดหรือสว่าง ถ้าเขาแสวงหาพระเจ้า หรือที่เรียกว่าแสวงหาความดีงาม หรือเรียกว่าแสวงหาที่จะไปสวรรค์ และสร้างความดีงามด้วยตัวเอง พยายามกระทำให้ตัวเองดี เข้ากับพระเจ้าให้ได้ พระเยซูบอกไม่มีทางทำได้หรอก พระเยซูยกตัวอย่าง อันนี้คำเดียว ทุกคนรู้เลย ก็คือเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม อย่าว่าแต่เอาอูฐเลย  เอาหนูลอดรูเข็มก็ไม่ได้ เอามดลอดรูเข็มก็ลำบากนะ เข็มใหญ่หน่อย นี่เอาอูฐลอดรูเข็ม คือมันเป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นไปไม่ได้ๆ พระเยซูมาด้วยความเมตตา รักมนุษย์ ชี้ให้มนุษย์เห็นถึงความอ่อนแอของตนเอง แล้วบอกว่า …

“เธอทำไม่ได้หรอก ฉันถึงมาช่วยเธอไง”

พระองค์มาเพื่อสำแดง เพื่อชี้ให้เห็น เพื่อประกาศว่ามนุษย์เราอยู่ที่ไหนในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ เรากำลังอยู่ในความมืด เรากำลังโดนลงโทษ เรากำลังเป็นนักโทษ ถูกลงโทษประหารชีวิต รอวันสำเร็จโทษเท่านั้น ย้ำอีกที รอวันสำเร็จโทษเท่านั้น ทำอะไรดีเท่าไร? ก็ไม่มีทางที่จะลดโทษ จนกระทั่งถึงไม่ถูกประหารหรอก มันหมายถึงอย่างนั้น แล้วพระเยซูก็เลยประกาศตรงนี้ ในหนังสือยอห์น 3:16-18 ซึ่งดังมาก …

ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ (เป็นของขวัญ) เพื่อทุกคน ที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่ เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขา ไม่ได้เชื่อวางใจ ในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

พระเยซูกำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณให้กับพวกเรา มนุษย์ทั้งหลายได้รู้ว่าในโลกวิญญาณจริงๆ เป็นอย่างไร? มนุษย์ทั้งหลาย ขณะนี้กำลังอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านได้ฟังขณะนี้ ท่านลองคิดดูสิว่าท่านอยู่ที่ไหน? ในโลกวิญญาณ

พระเยซูบอกว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นของขวัญ เพื่อทุกคนที่เชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์

หมายถึงอะไร? ก็หมายความว่ามนุษย์กำลังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่มีลักษณะเป็นความพินาศ ความตายนิรันดร์ อยู่ในความบาปนั่นเอง แต่ได้รับของขวัญนี้ คือการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์ หมายถึงได้บังเกิดใหม่ ด้วย DNA ฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า ประทานให้กับพระเยซู และพระเยซูประทานให้กับเราทั้งหลาย ให้เราได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ เป็นเซลวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซู ที่เป็นลูกของพระเจ้า มี DNA ทางฝ่ายวิญญาณ เป็นเหมือนพระเจ้า คือเป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  พระสิริ จากวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาป จากวิญญาณที่เป็นนักโทษประหารชีวิต กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า นี่แหละคือของขวัญที่พระเจ้าประทานให้

ในข้อ 17 ชัดเจนมากเลย “เพราะว่าพระเจ้าทรงประทานพระบุตรให้เข้ามาในโลก” ก็คือประทานพระเยซูคริสต์มา ให้มาเกิดในโลกใบนี้  เจ้าของวันคริสตมาส ไม่ได้มา เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่มาเพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดพ้นจากการถูกพิพากษาอยู่นั้น เห็นไหม? มาเพื่อช่วยให้มนุษยชาติ ที่ลอยคออยู่ในบึงไฟนรก อยู่ในกระทะทองแดง มาเพื่อช่วยทีละคนๆ ใครที่ยอมชูมือขึ้นมา พระองค์ก็ฉุดขึ้นมาหมด มาเพื่อช่วย ไม่ได้มาเพื่อลงโทษซ้ำเติม

ช่วยใคร? ช่วยคนที่เชื่อ ยอมให้ช่วยไง คือยอมให้พระองค์ช่วย พระองค์มาอยู่บนเรือแล้ว เอามือส่งลงมา ให้กับเราทั้งหลาย ทุกคน  เราจะยอมตอบพระองค์ไหม? ชูมือของเรา แล้วบอกพระองค์ …

“พระองค์ช่วยลูกด้วย อีกคนหนึ่ง”

พระองค์ก็ดึงขึ้นมา ช่วยด้วย อีกคนหนึ่ง ก็ดึงขึ้นมา แต่พระองค์ยื่นมือไป แล้วบอก …

“มาช่วยแล้วๆ”

คนๆ นั้น มองขึ้นไป แล้วก็ไม่เอา ไม่เอา เขาก็ยังอยู่ในที่เดิม

ข้อ 18 คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซู จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ก็คือจะไม่ต้องถูกสำเร็จโทษ เพราะเขาได้ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว รอสำเร็จโทษ รอประหารเท่านั้น ถูกไหม?

ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว พระเยซูกำลังบอกว่า …

“ไม่ได้มาทำอะไรเลย ไม่ได้มาลงโทษให้เธอต้องลงไปได้รับความทุกข์ทรมานในนรกเลย  ไม่ได้ทำเลย  เพราะเธออยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ในโลกวิญญาณในขณะนี้ เธอเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่ให้ช่วย เธอก็อยู่ที่เดิม”

เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่ทรงประทานให้ พระคัมภีร์บอกว่าโดยนามพระเยซูคริสต์นี้เท่านั้น ถึงจะได้รับการอภัยโทษ ได้รับความรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ นอกเหนือจากนี้ ไม่มีนามอื่นใดอีกแล้ว คือไม่มีผู้ช่วยอื่นๆ อีกแล้ว มีพระองค์เพียงผู้เดียว ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่มาช่วยเรา ยื่นมือให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เราแค่เปิดใจ ยื่นมือรับ จบ ก็คือยื่นมือขึ้นมาให้พระองค์ทรงช่วย ก็คือยอมให้พระองค์ ย้ายลูกที ย้ายทางโลกวิญญาณ

ตะกี้นี้เราบอกใช่ไหม? เรากำลังอยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าความมืด  อยู่ในโลกวิญญาณ ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าพินาศ อยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่านรก ทุกข์นิรันดร์ พระเยซูมาช่วยใช่ไหม? เราแค่บอกว่า …

“ช่วยลูกด้วย ย้ายลูกที ลูกไม่เอาแล้ว ไม่อยากจะอยู่ในที่นี้แล้ว”

พระองค์ก็ย้ายเรา เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ เข้ามาอยู่ในความสว่าง เข้ามาเป็นลูกของพระองค์ ของพระบิดา ด้วยวิธีการได้รับการบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่คืออะไร? คืออัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ แตะมือพระเยซูปุ๊บ บังเกิดใหม่เลย วิญญาณเปลี่ยนใหม่ทันที  ถามว่าเมื่อไร? ทันที เมื่อนั้นแหละ ตอนไหน? รอให้ตายก่อน ไม่ใช่ ตายก่อน สายไปแล้ว ต้องตอนอยู่บนโลกใบนี้ เพราะพระองค์มาช่วยเหลือคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ตายไปเมื่อไร? วิญญาณออกจากร่างเมื่อไร? ก็ไม่ใช่คนอีกต่อไป แต่เป็นวิญญาณ เป็นผี พระองค์ไม่ได้มาช่วยผีให้รอด พระองค์มาช่วยมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ให้รอด ไม่ได้มาช่วยวิญญาณ ไม่ได้มาช่วยผี แต่มาช่วยมนุษย์ทุกคน

มนุษย์ คือใคร? มนุษย์คือวิญญาณที่อยู่ในร่างกายที่เราเห็นกันอยู่ นี่แหละคือมนุษย์  ถ้าจบจากร่างกายนี้ไป ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ไม่สามารถจะได้รับสิทธิ์นี้ได้ เพราะพระองค์ไม่ได้มาช่วยวิญญาณ พอเข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะฉะนั้น ท่านจะตัดสินใจให้พระองค์ย้ายไหม? หรือท่านพอใจในการอยู่ที่เดิมนี้ ท่านอยากจะย้ายจากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า โดยการบังเกิดใหม่หรือไม่? ท่านอยากได้บังเกิดใหม่ไหม? ท่านอยากมีชาติหน้าไหม? ชาติ คือเกิดครั้งหน้า ก็คือเกิดใหม่นั่นเอง ท่านเบื่อชีวิตตัวเองแล้วหรือยัง? ท่านเบื่อกับการที่จะแสวงหาการหลุดพ้น จากความทุกข์ยากลำบาก ท่านเบื่อที่จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพียงลำพังหรือยัง? ท่านเบื่อที่จะพึ่งพาตนเอง แต่เพียงผู้เดียว ท่านเลิกมั่นใจตัวเองแล้วหรือยัง? ยอมให้พระเยซูเข้ามาช่วยท่านหรือไม่? ตรงนี้ต่างหากสำคัญมาก โรม 5:12 ได้บันทึกอย่างนี้ …

โรม 5:12  “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

แปลง่ายๆ ก็คือมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เท่ากับได้ทำบาป เป็นนักโทษ เป็นกบฏแล้ว เกิดมา ก็เป็นนักโทษ เป็นกบฏแล้ว เกิดมาปั๊บ วิญญาณก็ตาย แปลว่าวิญญาณก็อยู่ในนรก อยู่ในความพินาศ อยู่ในความมืดอยู่แล้ว ก็คือเกิดมาในโลกวิญญาณ ก็อยู่ในความมืด อยู่ในนรก ที่บอกว่านรกอยู่ในใจ พูดง่ายๆ เกิดมา ก็นรกอยู่ในใจอยู่แล้ว นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ เกิดมาในใจ ในวิญญาณก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว เกิดมา ก็อยู่ฝ่ายความชั่วร้าย ถ้าพระเจ้าเป็นความดีงาม เราก็เป็นความชั่วร้าย เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเป็นความชอบธรรม เราเกิดมาทันทีในวิญญาณเรา ก็เป็นคนอธรรม คนชั่ว อยู่ในอาณาจักรของความมืด  ไม่มีพระเจ้าอยู่กับเราเลย ไม่ใช่ผมพูดนะ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ โรม 5:15 ได้เพิ่มความรู้ของเราในเรื่องโลกวิญญาณอีกว่า …

โรม 5:15  “แต่​ของขวัญที่​พระเจ้า​ให้​เปล่าๆ ​นั้น มัน​แตกต่าง​กัน​ เพราะ​ใน​ทาง​หนึ่ง​ ขณะ​ที่​ความผิด​ของ​คนๆ ​หนึ่ง คือ​อาดัม ทำ​ให้​คน​จำนวน​มาก​ต้อง​ตาย  แต่​ใน​อีก​ทาง​หนึ่ง  ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า​  และ​ของขวัญที่​ผ่าน​มา​ทาง​ความ​เมตตาของ​คน​ๆ ​เดียว​ คือ​พระเยซู​คริสต์นั้น  ก็​เป็น​ประโยชน์​กับ​คน​มากมาย”

 

พระเจ้าให้ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกว่าของขวัญ  แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อในข่าวดี เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้บอกให้กับเราว่าพระองค์มา เพื่อช่วยเหลือเรา แค่เชื่อเท่านั้น ก็ได้บังเกิดใหม่ เกิดอัศจรรย์ขึ้น บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ สะอาด อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเลยทันที

สิ่งที่แตกต่างกับความเชื่ออื่นๆ ในโลกใบนี้ มาตั้งแต่กี่พันปีแล้วก็ตาม ตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังบูชาต้นไม้  ภูเขาอยู่ ไม่มีความเชื่อไหน เหมือนตรงนี้เลย แค่เชื่อ อัศจรรย์ก็เกิดขึ้นแล้วทันที ทั้งหมดที่เป็นความเชื่อมาก่อนหน้านี้ เขามักจะบอกว่าให้รอตายไปก่อน แล้วถึงจะรับ แล้วหลายอัน ก็คือตายแล้ว ก็ยังไม่ได้รับ ต้องเกิดใหม่ แล้วก็ตาย แล้วก็เกิดมาใหม่ แล้วก็ตาย เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่รู้กี่สิบชาติ แล้วจึงจะได้เห็นผล เป็นหมื่นๆ ชาติก็มี แต่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพิสูจน์ได้ แค่ท่านเชื่อ ในพระนามพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของวันคริสตมาสว่าพระองค์เป็นของขวัญ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลาย สามารถบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปเลย แม้แต่นิดเดียว เข้าสู่สวรรค์ได้เลยทันที  อันนี้ไม่มีใครกล้าพูดเลย  แต่ในพระคัมภีร์บอกทันที  ทันที ก็แสดงว่าพิสูจน์ได้ ถ้าท่านเชื่อจริง ท่านก็จะรู้ว่าสวรรค์เกิดขึ้น ในวิญญาณ คือในใจของท่าน ท่านจะสัมผัสได้ แล้วว่ามันเรื่องจริง ตั้งแต่ข่าวดีนี้เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 นั่นเอง โรม 5:16 …

โรม 5:16 “แน่นอน​ ผล​จาก​ของขวัญ​นั้น แตกต่าง​อย่าง​มาก ​จาก​ผล​ของ​ความผิดที่​อาดัม​ได้​ทำ เพราะ​การ​ทำ​ผิด​เพียง​ครั้ง​เดียว ​(ของอาดัม)  ทำ​ให้​ทุก​คน​ต้อง​ถูก​ตัดสิน​ว่า​ผิด  แต่​ของขวัญ​ (การบังเกิดใหม่) นั้น​  ทำให้​คน​เราได้รับ​การ​ตัดสิน​ว่าไม่​ผิด  ทั้งๆ ​ที่​ ทำ​ผิด​​หลาย​ครั้ง”

 

ผลแตกต่างกัน ก็คือมนุษย์เกิดมาบาปเลยทันที เพราะเราติดเชื้อบาป มาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม อาดัมทำบาปครั้งเดียว ถือว่าตัดขาดจากพระเจ้าไปเลย เราก็เช่นเดียวกัน เชื้อสายเรามาจากอาดัม พอเกิดออกมา ยังไม่ทำบาป เชื้อสายก็เป็นบาปแล้ว และทำบาปครั้งเดียว  ก็ย้ำยืนยันว่าเป็นคนบาปแน่นอน ครั้งเดียว  แต่พระเยซูคริสต์ให้เราได้บังเกิดใหม่ อภัยในความบาปผิดของเราทั้งหลาย ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคต บาปทั้งหมดได้อภัยให้เรา แต่แค่นั้นไม่พอ พระองค์ทรงให้เราบังเกิดใหม่ มีธรรมชาติใหม่ที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ทำบาปอีกต่อไปเลย อินโนเซ้นกับบาป เป็นคนไร้เดียงสากับการทำบาป ทำชั่วทั้งปวง หมายถึงอย่างนั้น ต่อให้เราทำผิดทำพลาดอะไรต่างๆ ต่อไป เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า ด้วยการบังเกิดใหม่ เราไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า มาเป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการกระทำของเราเอง รักษากฎบัญญัติ รักษาความดีงาม ซึ่งพลาดไปเมื่อไร? ก็คือผิดพลาด เพราะเราทำไม่ได้ ก็คือเป็นคนบาป แต่นี่ไม่ใช่ เราเป็นความดีงาม เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความชอบธรรม อยู่ในสวรรค์ได้ เพราะเราได้บังเกิดใหม่ เชื่อในพระเยซูที่ได้กระทำให้เรา เราบังเกิดใหม่ เกิดแล้ว ก็เกิดเลย เป็นแล้ว ก็เป็นเลย เป็นจากการกำเนิด เป็นโดยธรรมชาติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ตรงนี้ต่างหากที่แตกต่างกัน และการบังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้านี้ มนุษย์ไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ จะทำดีให้ตาย ให้พยายามขนาดไหน? ใครบ้างที่สามารถพยายามทำดี จนกระทั่งทำให้ตัวเองได้เกิดใหม่อีกทีหนึ่ง ไม่มีทาง เราจึงมักพูดกันว่าให้เราพยายามสะสมความดี พยายามทำความดีเข้าไว้ แต่มันหมายถึงไม่ดีพร้อมนั่นเอง  ไม่ดีพร้อม ก็เข้าสู่สวรรค์ไม่ได้

เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำให้ตนเองบริสุทธิ์ ไม่สามารถบังเกิดใหม่ด้วยตนเองได้ พระเจ้าจึงกระทำให้ฟรีๆ จึงเรียกกันว่าของขวัญ เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าทำให้ผ่านทางพระเยซู จึงเรียกว่าของขวัญ ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ เป็นปี เติม S เข้าไป เป็นหลายๆ ปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้าที่เทลงมา ให้กับมนุษยชาติทั้งปวง คือเชื่อในพระบุตร ก็ได้รับความรอด จากความพินาศ  เชื่อในพระบุตร ก็ได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของเรา กลับคืนสู่สวรรค์ทันที เรียกว่าของขวัญวันคริสตมาสนั่นเอง

เราจึงเห็นได้ว่าพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป พระผู้ช่วยให้รอดจากนรก พระผู้ช่วยให้รอดจากความทุกข์ พระผู้ช่วยให้รอดจากอาณาจักรของความมืด ที่มนุษย์อยู่แล้วนั่น พระองค์เป็นพระผู้มาช่วย พระคัมภีร์ใช้คำว่าพระเยซู คือผู้ช่วย พระองค์มาเพื่อช่วย เป็นผู้ช่วย ประกาศว่าจะมาช่วย พระองค์ไม่ได้มาเป็นพระผู้สอนให้เรากระทำดี ฟังอีกครั้ง พระองค์ไม่ได้เป็นพระผู้มาสอนให้เรากระทำดี ถ้าสอนให้คนทำดี สอนไม่พอหรอก 3 ปี ที่พระองค์มาทำการบนโลกใบนี้ พระองค์มาประกาศข่าวดีว่าพระเจ้าจะทำให้ทุกอย่าง เธอไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มาเชื่อในข่าวดีเท่านั้นเอง แค่มาเชื่อ พระองค์ไม่ได้มาสอนให้มนุษย์ทำดีว่าต้องทำอันโน้น ต้องทำอันนี้ พยายามทำอันโน่นอันนี่ เราเข้าใจกันผิด เรานึกว่าพระเยซูมาสอน ให้เราพยายามทำดีที่สุด เท่าที่ทำได้ แต่พระองค์ไม่ได้มาสอนอย่างนั้น พระองค์บอก …

“เธอทำไม่ได้หรอก ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ พยายามก็ทำไม่ได้ ถ้าเธอพยายามทำด้วยตนเอง เธอต้องทำให้ดีเท่ากับพระเจ้าเลยนะ เธอต้องไม่มีการพลาดแม้แต่นิดเดียวเลย พลาดจุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งก็ไม่ได้เลย เธอต้องสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย ซึ่งเธอทำไม่ได้ ไม่ต้องพยายามหรอก”

คติของพระเยซู 3 ปีที่ประกาศ เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ได้สอนให้ทำดี คติของพระองค์ ก็คือ …

“จะบอกให้ฟังนะ ความพยายามของพวกเธออยู่ที่ไหน? ความพยายามก็อยู่ที่นั่นแหละ ความพยายามที่จะเข้าสู่สวรรค์ด้วยตนเอง สะสมความดีงามด้วยตนเอง เธอพยายามด้วยตนเอง พึ่งในตนเองอย่างไร? ถึงเมื่อไร? ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่น  ก็พยายามต่อไป ไม่มีวันสำเร็จ แต่เราจะบอกให้ ความเชื่อในเราอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ความเชื่อในเราอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จที่จะได้เข้าสู่สวรรค์อยู่ที่นั่น  เพราะเราเป็นคนทำให้เธอแทน”

ตรงนี้ต่างหาก พระองค์จึงไม่ได้มา เพื่อสอนคนให้ทำดี ทำอย่างนี้ ทำอย่างนั้น มนุษย์ทั้งหลายรู้อยู่แล้ว อะไรดี อะไรชั่ว ไม่ต้องสอนเลย พระองค์จึงไม่ได้มาสอนผู้คนให้พยายามกระทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะรอดจากการลงโทษ พิพากษา เพื่อจะไปสู่สวรรค์ด้วยการกระทำของตนเอง  พระองค์ไม่ได้มาทำอย่างนั้น  แต่มาประกาศเรื่องความรอด มาเพื่อช่วย เธอไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ชูขึ้นมาปั๊บ รอดเลย พระองค์มาเพื่ออย่างนี้ พระองค์ไม่ได้มายืนอยู่บนเรือ แล้วบอกว่า …

“ทำอีกนิดหนึ่งสิ กรรเชียงอีกหน่อยหนึ่ง ทำมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง ไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย อย่าไปเหยียบเขา คนนี้อย่าไปเหยียบคนนี้ คนนี้อย่าไปเหยียบเขา ถ้าเธอเหยียบเขา ฉันไม่ช่วยนะ”

ไม่ได้มาทำอย่างนั้น แต่พระองค์มา เป็นใครก็ได้ ชูมือขึ้นมา 1, 2, 3 เคยเห็นคนจับปลาไหม?  ไม่ได้เลือกเลยนะ หว่านแหไป เอาขึ้นมา เอาอวนลงไป เอาขึ้นมา นี่ไม่ใช่ปลา นี่เป็นมนุษย์ พระเจ้าให้สิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่ใช่สร้างเรามาเหมือนโรบอต เหมือนหุ่นยนต์ แต่ให้เรามีความคิดตัดสินใจเอง พระองค์มาบอกว่า …

“ใครต้องการได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ มาเลย ยกมือมา โอเคๆ ขึ้นมาเลย ดีใจด้วย เอาเสื้อผ้ามาให้เขาใส่หน่อย”

ด้วยความดีใจ นี่คือภาพที่เห็น ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่มาสอนก่อนหน้านี้ ต้องทำอย่างนั้นนะ พระเจ้าจึงพอใจ ต้องทำอย่างนี้ พระเจ้าจึงพอใจ  ทำอย่างนี้จึงเข้าสวรรค์ ทำอย่างนี้เข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้องทำอย่างนี้ เปล่า พระองค์มาบอกอย่างเดียว คือ …

“ชูมือขึ้นมา เรามาแล้ว มาช่วยเลย  ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องกลุ้มใจ มาเลย ขึ้นมา”

ขึ้นมา ก็อยู่ในเรือแล้ว เรือนี้ไปไหน? ไปสวรรค์นิรันดร์ อยู่กับพระเจ้าบนเรือแล้ว

ท่านลองนึกภาพสิ เอาง่ายๆ ลองคิดดู คนกำลังจมน้ำ หายใจก็ไม่ออกแล้ว กินน้ำเข้าไปเท่าไรแล้วไม่รู้ หรือคนกำลังเป็นลม หมดสติ วูบไป แล้วเราเข้าไปช่วย เราจะไปบอกเขาไหมว่าพยายามหายใจหน่อย เขาหมดสติแล้ว หรือคนกำลังจมน้ำ เราต้องไปสอนเขาไหมว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ต้องถีบขาอย่างนั้น เขาอยู่ในวิกฤตแล้ว ถูกไหม?

คนกำลังจมน้ำ กำลังเป็นลมหมดสติ เขาต้องการอะไร? ต้องการใครก็ได้ ที่มาช่วย ไม่ใช่มาสอนเขา เพราะเขาทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนั้น หมดสติไปแล้ว จะทำอะไรได้ล่ะ กินน้ำไปตั้งเท่าไร? นั่นแหละ ในวิญญาณ มนุษย์อยู่ในลักษณะอย่างนั้น เขาไม่ต้องการให้ใครมาสอน ทำอันโน้นอันนี้ เพราะเขาทำไม่ได้อยู่แล้ว ในสภาวะที่ทำอะไรไม่ได้ …

“ไม่ต้องมาแนะนำให้ฉันทำอะไร เพราะฉันทำไม่ได้อยู่แล้ว ฉันหมดสติอยู่”

คนเป็นลมอยู่ แล้วไปบอกเขาว่า … “พยายามกลั้นใจไว้ พยายามหายใจลึกๆ”

เขาไม่ได้ยินเรา เขาไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป เขาต้องการใครสักคนหนึ่ง อุ้มเลย ขอย้ำ แค่เชื่อเท่านั้น อุ้มเขาขึ้นมาเท่านั้นเอง ถูกหรือไม่?

มนุษย์ก็อยู่ในสภาพอย่างนั้นแหละ ต้องการใครคนใดคนหนึ่งมาช่วยเท่านั้นเอง เพราะว่าเขาช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะเขาเกิดมา ก็อยู่ในความมืด เกิดมา ก็อยู่ในความอ่อนแอ เกิดมา ก็อยู่ในคำสาปแช่ง  เกิดมา ก็อยู่ในนรกอยู่แล้ว  เกิดมา ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า เกิดมาขวานก็วางอยู่หน้าชีวิตของเขาแล้ว “ขวาน” คืออะไร? ขวานตรงกันข้ามกับของขวัญ เกิดมาขวานก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็คือเมื่อเขาสิ้นลมหายใจ ขวานนั้น ก็คือถูกตัด ชีวิตเขาออกจากพระเจ้านิรันดร์ ตอนอยู่บนโลกใบนี้ ขวานนั้น ก็ตัดเขาออกจากโลกวิญญาณของพระเจ้าไปแล้ว แต่ยังไม่นิรันดร์ เขายังมีโอกาสเกิดใหม่ได้ แต่ถ้าเขายังทิ้งไว้อย่างนั้น จนกระทั่งหมดลมหายใจ ขวานนั้นจะสับเป็นครั้งสุดท้าย คือถูกตัดขาดจากพระเจ้าไปอย่างนั้น  อยู่ที่เดิมอย่างนั้นในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่านรกนิรันดร์ ถ้าเขายังคงรับขวานนั้นไว้

พระเยซูบอกว่าขวานวางไว้ข้างหน้าแล้ว แต่เขาให้พระเยซูคริสต์ช่วย แทนที่เขาจะเอาขวาน เขาเอาของขวัญดีกว่า เขาได้ของขวัญ ของขวัญ คือการบังเกิดใหม่ หลุดเลย ขวานกระเด็นหายเลย กลายเป็นของขวัญ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าสวรรค์เลย อยู่เลยทันที พิสูจน์ได้เลยทันที เพราะฉะนั้น เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง  เขาก็อยู่ที่เดิมแหละ เขาก็อยู่ในสวรรค์ เพียงแต่เปลี่ยนร่างใหม่ ได้ร่างใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไปนิรันดร์ โรม 6:23 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม  6:23  “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป  คือความตาย (ขวาน) แต่ของขวัญจากพระเจ้า  คือการบังเกิดใหม่  ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

ผมใส่คำว่าขวานลงไป เพื่อจะให้เห็นชัดๆ “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป คือความตาย (ขวาน)”

ขวานสัญลักษณ์คืออะไร?  ตัดขาด ความตาย หมายถึงถูกตัดขาดออกจากอาณาจักรของพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากครอบครัวของพระเจ้า ก็คือถูกตัดขาดออกจากอาณาจักรสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง มนุษย์เราเกิดมาก็อยู่ตรงนี้แล้ว  เพราะความบาป ความบาปทำให้เกิดขวานขึ้น สับโช๊หลุดไปเลย แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือการบังเกิดใหม่ ไม่ถูกตัดขาดแล้ว กลับมาคืนดีกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน มาเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ได้เลยทันที ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น คริสตมาสปีนี้ พระเยซูตรัสว่ามาเชื่อพระเยซูเถิด มารับของขวัญจากพระเจ้า คือการบังเกิดใหม่  เข้าสู่สวรรค์ มาเป็นลูกของพระองค์ทันทีเลย ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูเชื้อเชิญท่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วเมื่อท่านเชื่อพระเยซู อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่ผมเล่าให้ท่านฟังทั้งหมดนี้ อัศจรรย์ในโลกวิญญาณนี้ จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่านทันที  ท่านสามารถพิสูจน์ได้ ท่านจะรู้ว่ามันเกิดจริงๆ  เหมือนกับผู้คนทั้งหลายบนโลกใบนี้ 2,000 ปีมานี้ เยอะแยะมากมายไปหมดเลย นับวันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลกเรื่อยๆ Merry Christmas กันอยู่เรื่อยๆ เพื่อว่าท่านจะได้ไม่ต้องต่อสู้ เผชิญปัญหาต่างๆ ในชีวิต เพียงลำพังคนเดียวอีกต่อไป  แต่มีขบวนการยิ่งใหญ่ของสวรรค์ ก็คือพระเจ้าแบ็คอัพให้กับท่าน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณจะเสด็จมาสถิตอยู่ในตัวของท่านเลย นอกจากท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้ายังมาสถิตอยู่ในตัวของท่าน มาเป็นพี่เลี้ยง มาเป็นผู้นำพาท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และจะอยู่กับท่านตลอดไป จนกระทั่งถึงจากโลกนี้ไป และจะอยู่กับท่านต่อไปในโลกวิญญาณ ในสวรรค์นิรันดร์กาลของพระองค์ถึงนิรันดร์เลยทีเดียว

ขณะที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะคอยเข้ามานำท่าน จูงมือท่านเดิน คอยปกปักษ์คุ้มครองดูแลรักษาชีวิตของท่านให้ดีที่สุด และผมมั่นใจเลย ตามพระคัมภ์บอกว่าท่านเริ่มต้นเชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่าน คือให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งสำเร็จอย่างดีงาม ตามแผนการของพระองค์ ที่วางไว้ ที่ดีสำหรับท่าน จนกระทั่งถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า คือวันที่จบสิ้นโลกใบนี้ ที่ท่านจะจากโลกนี้ไป อยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล มีสุขร่วมกับพระองค์

นี่คือพระเยซูขอร้องท่านด้วย พระเจ้าวิงวอนขอร้องท่าน ผ่านทางผมว่ามาคืนดีกับพระองค์เถิด กลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด พระองค์ประทานพระเยซูคริสต์ เพื่อสำแดงว่าพระองค์ต้องการคืนดีกับเรา ต้องการให้เรากลับมาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ เพราะฉะนั้น จงสนองตอบต่อพระองค์ด้วยการเชื่อและชูมือให้พระองค์เถิด พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ฟิลิปปี 4:6 “อย่าทุกข์ร้อน กระวนกระวายใจในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ”

 

1 เธสะโลนิกา 5:18 “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฎอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ให้พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการแก่เราทั้งหลายในสวรรคสถานต่างๆ เรียบร้อยแล้วในพระคริสต์”

ตัวอย่างเช่น …

  1. ขอบคุณพระเจ้าในข่าวดี ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขนเพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามพระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย และแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในสวรรค์สถาน และเมื่อลูกได้ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจแล้ว ลูกจึงได้รอดจากการถูกพิพากษา ลงโทษ และได้รับชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์
  2. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงย้ายลูก ออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างในพระคริสต์ ได้ออกจากความบาป ความสกปรกในอาดัม มาอยู่ในความชอบธรรมบริสุทธิ์ในพระคริสต์ ได้ออกจากการเป็นทาสมารที่ชั่วร้าย มาเป็นลูกพระเจ้าที่แสนดี ได้ออกจากนรกมาอยู่ในสวรรค์ ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว
  3. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้บัพติสมาลูก เข้าไปในการตายของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระองค์ และได้เป็นขึ้นจากตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ให้ลูกนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถาน
  4. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงให้ลูก บังเกิดใหม่ในวิญญาณ และทรงประทานความคิดจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู ให้กับลูก
  5. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงชำระล้างร่างกายลูก ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อเป็นพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
  6. ขอบคุณพระเจ้า ลูกเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ ตัวเก่าทั้งหมดได้ตายไปแล้วและทุกสิ่งในชีวิตขณะนี้ เป็นใหม่ทั้งสิ้น
  7. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงมาสถิตอยู่ด้วย ในร่างกายของลูกนี้ ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของลูก
  8. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ทรงรับลูก เป็นลูกของพระองค์ ที่ทรงรักมาก เท่าๆ กันกับที่พระองค์ทรงรัก พระบุตร พระเยซูคริสต์
  9. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอภัยเสมอ เมื่อลูกผิดพลาด หลงทาง ยอมให้อิทธิพลของความบาป ที่อยู่ในความคิด นำให้ทำบาป นำให้ประพฤติตัว ในสิ่งที่ไม่สมกับการเป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่านั่นเป็นเพียงความประพฤติ ไม่ใช่ธรรมชาติของตัวตนที่แท้จริงของลูก ที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว
  10. ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยลูกรอดจากโทษของความบาป ด้วยพระคุณของพระองค์ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ การพยายามกระทำของตัวลูกเอง
  11. ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประทานพระวิญญาณ มาเป็นพี่เลี้ยง คอยฝึกฝน คอยนำพาด้วยความรัก เมตตา ให้ลูกประพฤติตน ให้เหมาะสมกับการเป็นลูก เป็นทายาทของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
  12. ขอบคุณพระเจ้าด้วยการบังเกิดใหม่แล้ว ทางวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ลูกได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรมบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป และได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดนิรันดร์
  13. ขอบคุณพระเจ้า แม้ว่ากายภายนอกของลูกนี้ กำลัง เสี่อมโทรม ไปสู่ความตาย แต่วิญญาณข้างในของลูก ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เข้าไปสู่ความไพบูลย์ ในสง่าราศีของพระคริสต์
  14. ขอบคุณพระองค์ สำหรับร่างกายใหม่ ที่จัดเตรียมไว้ให้กับลูกแล้ว ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย เต็มไปด้วยพระสิริ ไม่มี ความเสื่อมโทรม ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความทุกข์ ไม่มีน้ำตา และไม่มีความตาย อีกต่อไป
  15. ขอบคุณพระเจ้า สำหรับโลกใหม่ ฟ้าใหม่ สรรพสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับลูก รวมทั้งนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่บริสุทธิ์ งดงาม เต็มด้วยสง่าราศี พระองค์จะประทับท่ามกลางพวกเรา คือผู้เชื่อทั้งหมด และเราทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับเรา และเป็นพระเจ้าของเราตลอดไป พระองค์ทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของลูก จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า โลกเก่า ผ่านพ้นดับสูญไปแล้ว
  16. ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระคุณของพระองค์ ที่เพียงพอเสมอสำหรับลูก ในการเผชิญกับความทุกข์ลำบาก ความเจ็บปวด ความอ่อนแอ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้
  17. ขอบคุณพระเจ้าที่จูงมือลูก เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ความชั่วร้าย ความทุกข์ยาก ลำบาก บนโลกใบนี้ และสัญญาว่า จะไม่ทอดทิ้งลูกเลย
  18. ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์สัญญาว่าความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั้น จะไม่มากเกินกว่า ที่ลูกจะสามารถรับได้
  19. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประทานความอดทน สันติสุข การปลอบโยน เมื่อลูกต้องเผชิญ ความทุกข์ยากลำบาก และความอ่อนแอ
  20. ขอบคุณพระเจ้าที่ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ จะแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ในยามที่ลูกอ่อนแอ
  21. ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นพ่อที่แสนดีและรักลูก ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์
  22. ขอบคุณพระเจ้าที่ได้ใส่ความรักอมตะ เหมือนพระองค์ เข้ามาในวิญญาณของลูก ทำให้ลูกเป็นความรัก สามารถรักพระองค์และรักผู้อื่นได้ เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก

พระเจ้าอวยพรครับ