วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1501

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2024

เรื่อง “ข่าวดี … พระเยซูคริสต์ ของขวัญจากสวรรค์ แก่มนุษย์ทุกคน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อวันนี้ แน่นอน ก็ไม่หลุดจากคำว่าข่าวดี      “ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์ ของขวัญจากสวรรค์ แก่มนุษย์ทุกคน” คริสต์มาสเป็นข่าวดีจากพระเจ้า สำหรับคนบางคน  ไม่ใช่ สำหรับคนที่เชื่อ ก็ยังไม่ใช่อีก  แต่สำหรับคนทุกคนที่ไม่เชื่อ ก็เป็นข่าวดีสำหรับเขา เราจึงเรียกว่าเป็นข่าวดีของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ แน่นอน คนที่เชื่อและวางใจ ก็ได้รับประโยชน์จากข่าวดีนี้ คนที่ไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับประโยชน์  เรามาดูสิว่าข่าวดีนี้เริ่มประกาศเมื่อไร? มนุษย์จะได้รู้ เราจะได้รู้ด้วยว่าข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นของขวัญจากพระเจ้า มาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวง เริ่มต้นเมื่อไร? เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว เริ่มต้นตอนไหน? ช่วงเวลาของวัน คือเริ่มต้นตอนกลางคืน คืนวันที่ข่าวดีนี้เริ่มต้น อยู่ที่หนังสือพระคัมภีร์ ชื่อลูกา 2:8-12 …

        ลูกา 2:8-12 “และในแถบนั้น มีคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่ง เฝ้าฝูงแกะของเขายามค่ำคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบพวกเขา ทำให้คนเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่งนัก แต่ทูตนั้นกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวง สำหรับคนทั้งปวง ในวันนี้ที่เมืองของดาวิดองค์พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาบังเกิดเพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือท่านจะพบพระกุมารพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า”

            นี่คือเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง ที่พิสูจน์ได้จริง  เป็นประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถจับต้องมองเห็นได้ เป็นอย่างนี้  แต่อย่างที่บอก เราเรียนรู้จักจากพระคัมภีร์ หรือเรียนรู้จักพระเจ้า ต้องเรียนรู้ทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ภายใต้ประวัติศาสตร์ ภายใต้หนังสือที่เราอ่าน ที่เราเข้าใจ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เบื้องหลัง คือเรื่องโลกวิญญาณ ที่สำคัญมากว่ามันหมายถึงอะไร? พระกุมารคือใคร? หญิงสาวพรหมจารีคือใคร?  และเป็นอะไร? อย่างไร? มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทูตสวรรค์มาบอกกับมนุษย์ ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี เป็นครั้งแรกเลย ที่ประกาศบนโลกใบนี้ เป็นคำพูดที่สามารถจดได้ บันทึกได้ มีหลักฐานจริง ก็คือมีทูตสวรรค์มาปรากฏและประกาศข่าวดี เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวง สำหรับคนทั้งปวง ไม่ใช่คนที่เชื่อ แต่คนทั้งปวง

            รายละเอียดของข่าวดีนี้ ที่บันทึกไว้คืออะไร? คือพระองค์คือพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เรื่องข่าวดีเกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า ตรงนี้สำคัญมาก บันทึกไว้อย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ แต่จะรู้ความจริงได้ ต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ก็คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เห็นไหม? ชัดเจนเลยไหม?

            นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระกุมาร หมายถึงเด็กน้อย เด็กที่เราเห็น เป็นเด็กทารก พูดง่ายๆ ข่าวดีนี้ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อคนทั้งปวง พูดง่ายๆ ก็คือวันเกิดพระเยซูคริสต์ คือข่าวดีของมวลมนุษย์นั่นเอง  เพราะว่าวันเกิดของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเห็นด้วยตามนุษย์ ประวัติศาสตร์สามารถบันทึกได้ว่ามีเด็กคนนี้จริงๆ ชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นมนุษย์หนึ่งคนจริงๆ แต่ทางโลกฝ่ายวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังนั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ละเอียดกว่านั้น ก็คือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระเจ้าที่มนุษย์ตั้งกัน เรียกกันทั้งหมด พระคัมภีร์บอกว่าเป็นของปลอมทั้งสิ้น เพราะบันทึกไว้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระเจ้าผู้นี้ มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์ ที่เราสามารถบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ได้ สามารถเรียกพระองค์ว่าพระเจ้า พระเจ้าพระบุตร หรือพระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ และพระองค์มาเกิด เพื่อมนุษย์ทั้งปวง สามารถเรียนรู้ต่อไปว่าต้องเรียนรู้อย่างไร?

            นี่ 2,000 ปี คืนวันนั้น พระเยซู พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในรางหญ้า 30 ปีผ่านมา ใน 30 ปีนั้น พระองค์ก็เป็นมนุษย์เหมือนเราอย่างนี้ เดิน กิน ทำงาน อ่านหนังสือ เรียนรู้จักการดำเนินชีวิตแบบมนุษย์เหมือนเรา ตั้งแต่เด็ก ค่อยๆ คลาน ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ วิ่ง อะไรต่างๆ ค่อยๆ เรียนหนังสือ รู้จักคนนี้เป็นแม่ คนนี้เป็นพ่อ ก็เป็นมนุษย์ เหมือนเรา 30 ปีต่อมา พระองค์เริ่มต้นการงานของพระองค์ คือเป้าหมายของพระองค์ ถูกส่งมาโดยพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ก็คือพระเจ้า เจ้าของสวรรค์นั่นเองว่าพระองค์มาทำภารกิจอะไร ที่มาเกิดในโลกนี้ พระองค์พูดเองเลย 30 ปีเป็นคนเหมือนกับพวกเราอย่างนี้ พอปีที่ 31 ปุ๊บ เริ่มต้นปฏิบัติการเป็นพระเจ้า เขาเรียกสำแดงออกมาในร่างกายของมนุษย์

            30 ปีก่อนหน้านั้น เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างนี้ ไม่มีอะไรเลย แต่พอเริ่มต้นปีที่ 31 ปุ๊บ เริ่มต้นแสดงอาการลักษณะของการเป็นพระเจ้า มาปรากฎแล้ว และเริ่มต้นประกาศว่าพระองค์มาเพื่ออะไร? ซึ่งคำประกาศนี้ ใครๆ ก็ได้ยินมาตลอด 2,000 ปี เป็นหัวข้อ เป็นคำประกาศที่ดังลั่น พูดง่ายๆ เหมือนรถขายกับข้าว ผ่านเข้ามาในซอย แล้วประกาศว่า …

            “มาแล้วๆๆๆๆ”

            อะไรมา ใครจะซื้อกับข้าว ก็ไป ได้ยิน เช่นเดียวกัน พระเยซูประกาศถ้อยคำนี้ ที่เรากำลังจะอ่านต่อไปนี้ เป็นครั้งแรก ให้โลกได้ยินว่าสิ่งที่โลกรอคอยอยู่ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งเป็นหลายพันปี บัดนี้ มาแล้วจริงๆ ยอห์น 3:16 ซึ่งใครๆ ก็ได้ยิน ได้ฟังก่อนที่จะมาเชื่อ และคุ้นหูตอนที่เชื่อแล้ว …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนาม พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            นี่คือข่าวดี  ข่าวดี ก็คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตร ก็คือตัวพระองค์เอง พระเยซูคริสต์ องค์เดียวเท่านั้น คือพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้นสรรพสิ่งทั้งปวงในฐานะบุตรผู้เดียว พระเจ้ายอมเสียสละให้บุตรผู้นี้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ วางใจในข่าวดีนี้ จะไม่พินาศ  คือตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระองค์ กลับมามีชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า

            ทำไมพระองค์ต้องมาเกิด? เพราะอะไร? ข้อ 17 บอกเลยว่าพระองค์มาบังเกิดเพราะอะไร? ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น ก็หมายถึงว่ามนุษย์ กำลังถูกลงโทษอยู่ ได้รับโทษอยู่ แล้วจะรอดจากโทษนั้นได้อย่างไร? ก็โดยการวางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์

            ข้อ 18 บอกว่าคนที่พึ่งพา วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ก็จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ คือตายนิรันดร์ อยู่ในนรก ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว ถูกลงโทษอยู่แล้วในความตาย ในความบาป เหมือนเดิม ก็คือเป็นอยู่แล้ว

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ในความบาป มนุษย์ทุกคนตกอยู่ในการเป็นนักโทษ ไปสู่ความตาย ถึงตายนิรันดร์อยู่แล้ว ถ้าไม่มีใครมาช่วย ก็อยู่ในความตายและตายนิรันดร์  และเขาจะอยู่ในที่นั่น ที่เดิม แม้ว่าข่าวดีจะมาถึงแล้วก็ตาม พระเยซูจะมาถึงแล้วก็ตาม เพราะว่าเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เขาไม่เชื่อในข่าวดีนี้นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อในข่าวดี ก็จะได้รับความรอด ใครที่ไม่เชื่อในข่าวดี ก็ตกอยู่ในการถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วเหมือนเดิม และเมื่อจากร่างนี้ไปสู่โลกวิญญาณภายหลังความตาย ก็อยู่ในความพินาศ ในนรกเหมือนเดิม

            เพราะฉะนั้น เขาจึงจะเห็นว่าข่าวดีนี้ คืออะไร? ข่าวดีมากคืออะไร? คือแค่เชื่อและวางใจเท่านั้น ไม่มีเขียนอะไรเลยมากกว่านั้น พระองค์พูดเองเลยว่าเราจะได้รับความรอดจากความบาป จากนรก จากความพินาศหลังความตายได้ด้วยวิธีการ คือวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ฟูลสต๊อบ จบไม่ต้องเติมอะไรลงไปอีกเลย  เพราะพระองค์บอกแค่นั้นเองจริงๆ ว่าเงื่อนไข คือให้วางใจในพระองค์ พระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ

            ยกตัวอย่างในพระคัมภีร์เห็นชัดเลย ก็คือโจรบนไม้กางเขน พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน 2,000 ปีที่แล้ว เพื่อภารกิจนี้ และโจรบนไม้กางเขน บอกพระเยซูว่าเชื่อในพระองค์ พระเยซูบอกไปเจอกันที่สวรรค์ วางใจในพระบุตรที่อยู่ที่ไม้กางเขน วางใจในพระเยซูคริสต์ตรงนี้เป๊ะเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย อีกสักครู่หนึ่ง อีกสักชั่วโมง 2 ชั่วโมงก็ตายแล้ว ก็ได้ไปอยู่ในสวรรค์ แล้วสิ่งที่เขาทำมา เขาเป็นโจร เขาฆ่าคนตายมา เขาทำชั่วทำบาปเยอะแยะต่างๆ นั้น ทำไมล่ะ เขาถูกยกโทษ ก็เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนบอกว่าทุกคนที่วางใจและทำบาปน้อยกว่าทำดี ทำดีได้มากกว่า  และทำบาปไม่เยอะ ไม่รุนแรงมากจะได้ความรอด ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าทุกคนที่วางใจในพระบุตรเท่านั้น นี่เขาวางใจในพระบุตร เขาได้รับความรอดทันที

            เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อ เลยบอกว่า … “โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น ทำไมงมงายกันอย่างนี้ หัวเราะหน่อยได้ไหม? งมงายจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? อย่างนี้ก็สบายสิ ก็ไม่ต้องทำดีเลย วันทั้งวันก็ทำแต่ชั่วๆ เสร็จแล้วก็รอวันตาย แล้วค่อยเชื่อพระเยซู งมงายจริงๆ พวกนี้”

            นี่โลกพูดอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อ ลองฟังดูนะ 1 โครินธ์ 1:18 ดูสิ 2,000 ปีก่อน เขาคิดอย่างนี้ไหม? มันเป็นอย่างนี้ไหมในสังคมโลก คนที่ไม่รู้จักข่าวประเสริฐ  ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้  เขาพูดกันอย่างนี้ไหม? เหมือนกับในปัจจุบันไหม? …

        1 โครินธ์ 1:18 “เพราะว่าข่าวดีเรื่องกางเขนเป็นความโง่เขลา สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ที่กำลังพินาศ แต่สำหรับเราที่เชื่อ ที่กำลังได้รับการช่วยให้รอดนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า”

            เอเมนไหม? เอเมน 2 อันนะ  เราผู้เชื่อเราเอเมนว่าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ช่วยเราให้รอด เป็นอัศจรรย์ แต่คนไม่เชื่อก็เอเมนเหมือนกัน เอเมนว่าข่าวดีเรื่องกางเขน เป็นความโง่เขลา  สำหรับคนที่ไม่เชื่อ สำหรับพวกเธอที่นั่งอยู่ที่นี่  ทำไมโง่งมงาย เชื่ออะไร โอ๊ย! คนเราต้องพึ่งพาตนเองสิ ตัวเองทำไม่ดี แล้วจะได้ดีได้อย่างไร?

            นี่คือสิ่งที่เขาพูดกัน แล้วมันก็ใช่จริงๆ ใช่ในลักษณะสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จับต้องมองเห็นได้ มันเห็นจริงๆ ขับรถฝ่าไฟแดงก็ถูกตำรวจจับสิ แล้วจะมาไถ่บาปได้อย่างไร? ฆ่าคนตายก็ต้องติดคุกสิ แล้วพระเยซูจะไปช่วยได้อย่างไร? มันคนละเรื่องกัน นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ข่าวดีเรื่องกางเขน มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไม่อย่างนั้น บนกางเขนจะมีข่าวดีได้อย่างไร?  คนชั่ว คนบาปถูกลงโทษ ตายบนไม้กางเขน  ข่าวดีมากเลย พวกนี้มันตายไปดีแล้ว เพราะได้ทำชั่ว อย่างนั้นหรือ? มนุษย์เขาคิดอย่างนี้ มันไม่มีข่าวดีบนนั้นหรอก มันมีแต่ข่าวเศร้า ข่าวโหดร้ายทั้งนั้น

            แต่พระเยซูเป็นผู้เดียวที่ตายบนไม้กางเขน แล้วเป็นข่าวดี สำหรับผู้ที่เชื่อ ข่าวดีเรื่องกางเขน ฟังดูแล้ว สำหรับคนไม่เชื่อ เป็นเรื่องไร้สาระ อย่าไปสนใจเลย  แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีของวันคริสต์มาส วันที่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น เรารู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ ในวันคริสต์มาสแรกของโลก เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่จะนำคนที่เชื่อไปสู่ความรอดจากบึงไฟนรกนิรันดร์ หลังความตาย เพราะฉะนั้น ในโรม 1:16-17 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 1:16-17 “16  ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวดี เพราะข่าวดี คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย 17 เพราะในข่าวดีนั้น ความชอบธรรมจากพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย เป็นความชอบธรรม ซึ่งเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และนำไปสู่ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”

            เพราะฉะนั้น พอเรารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว เราเชื่อแล้ว เราจึงไม่อายในเรื่องข่าวดีนี้เลย ใครบอกเราเป็นคริสเตียน เชื่อในเรื่องงมงาย  เรื่องข่าวดีนี้ ไม่ต้องทำดี ได้ไปสวรรค์เลยนะ ไม่ต้องระมัดระวังตัวอะไรเลย แล้วก็หัวเราะ อิอิ เราภูมิใจในการเป็นคริสเตียนของเรา เอเมนไหม? เพราะว่ามันเป็นฤทธิ์อำนาจ เราอยากจะบอกเขา เพราะว่ามันเป็นฤทธิ์อำนาจ เป็นปาฏิหาริย์  ปาฏิหาริย์ แปลว่ามนุษย์ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าปาฏิหาริย์ไง

            แค่เชื่อและรับของขวัญจากพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์นี้เท่านั้น  เหตุที่เกิดขึ้น ก็คือพระเยซูมาช่วยเรา ทำงานแทนเรา ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว  แค่เชื่อในพระองค์ ปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้น คือจากการที่เราเป็นคนบาป ต้องโทษ เป็นนักโทษ ที่ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว เราสามารถที่จะบังเกิดใหม่  เป็นคนชอบธรรมทันที

            ข้อความเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงตรงนี้ว่าถ้าเรารับของขวัญ เชื่อและวางใจในของขวัญนี้ คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าประทานให้นี้ เราที่จากเป็นคนบาป ต้องโทษ เป็นนักโทษ ได้บังเกิดใหม่เป็นคนชอบธรรมทันที เขาเรียกว่าพ้นโทษ  เรียกว่าผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ปราศจากมลทินใดๆ ทั้งปวง ปราศจากการถูกลงโทษอะไรทั้งปวง เป็นอิสระ เพราะว่าข่าวดีเป็นอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผลของมนุษย์ จะเข้าใจได้อย่างไร? จะพยายามหาประวัติศาสตร์มายืนยันในเหตุการณ์เหล่านี้หรือ? เถียงกันให้ตาย พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ หรือ? ไปหาหลุมฝังศพว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ไม่ใช่วิธีนั้น ยังไงก็สู้เขาไม่ได้หรอก สู้เขาได้อย่างไร? เขาเรียกว่าเอาระบบที่จำกัดของมนุษย์ตามสายตามองเห็นได้  ตามประวัติศาสตร์มนุษย์ มาเทียมหรือมาพิสูจน์ แย้งกับความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ มันคนละเรื่องเลย เหมือนฟ้ากับเหว ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย  พระคัมภีร์ก็บอกว่าไม่มีทางเข้าใจ ต้องเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น

            ยกตัวอย่างเช่นพระเยซูตายแล้ว เป็นขึ้นจากความตาย เป็นไปได้อย่างไร? ไหนพิสูจน์สิ พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ ไหนล่ะ เห็นที่ไหน? หรือใครเชื่อวางใจในพระเยซู เขาจะได้บังเกิดใหม่ นี่ยิ่งแย่ใหญ่เลย ไหนเธอเกิดใหม่แล้วหรือ? ฉันเห็นเธอเหมือนเดิมเลย เกิดใหม่ได้อย่างไร? เรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ข่าวดีถูกประกาศใหม่ๆ ที่พระเยซูประกาศ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็อย่างนี้แหละ  มีคนๆ หนึ่งชื่อนิโคเดมัส เป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องศาสนายิว สงสัยพระเยซู ประกาศเรื่องนี้ วางใจในพระองค์เท่านั้น  แล้วจะได้บังเกิดใหม่ มีทางเดียวเท่านั้น คือมาทางนี้ และได้บังเกิดใหม่ จะได้ไปสู่สวรรค์ของพระบิดา นอกจากทางนี้ หนุนใจมาก แต่เขาไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจ เขาก็แอบย่องไปหาพระเยซู

            ก็ถาม … “แล้วมันเกิดใหม่ได้อย่างไร? เราต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งหรือ? แล้วคลอดออกมา”

            นี่คือปัญหาของมนุษย์ แต่เราที่เชื่อ เราก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่เราเข้าใจนะ แต่ในวิญญาณเรามั่นใจว่ามันใช่ เอเมนไหม?  ว่ามันใช่ มันเกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ แต่ความรู้สึก จับต้องมองเห็นได้ ประวัติศาสตร์ เราไม่เข้าใจหรอก จะกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ อะไรทำนองนั้น

            เพราะว่าตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เสมอ ตลอดเวลาว่ามันเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ใครจะมาแสวงหาพระเจ้า ใครจะมาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ และพระองค์เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวงที่มองเห็นทั้งหมดเลย ตั้งแต่ดวงดาว ดวงจันทร์ หรือใครบนโลกใบนี้ รวมทั้งมนุษย์ที่จับต้องมองเห็นได้ พลังงานต่างๆ บนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้สร้างเพียงผู้เดียวเท่านั้น  และยังบันทึกไว้ว่าสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ ว่ามันเกิดขึ้นจากพระเจ้าที่มองไม่เห็น ผู้สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้เท่านั้น

            พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่าเป็นข่าวดีของพระเยซูที่ความรอดนิรันดร์นี้  ความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์นี้ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริงๆ และสำคัญมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นอีกด้วยซ้ำ หลายสิ่งเรามองไม่เห็น แต่เราเชื่อเลย เพราะว่าสติปัญญาอันน้อยนิดของเรา ค้นคว้าจริงๆ ยกตัวอย่างอย่างเช่น กฎของโลก พลังงานอะไรต่างๆ ที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง หรือแม้แต่ออกซิเจน ไฮโตเจนที่อยู่ในอากาศ เรามองไม่เห็น แม้แต่ฝุ่น เรามองไม่เห็น แต่ยุคเทคโนโลยีหาจนเจอว่ามันมีฝุ่น  ที่เรามองไม่เห็น มีฝุ่นอยู่ หรือแม้แต่ดวงดาวต่างๆ เต็มฟ้าไปหมดเลย เราเห็นไม่กี่ดวง เราก็บอกมีแค่นี้ แต่จริงๆ เลย ไปมีอีกตั้งเยอะแยะ เราค่อยๆ สร้างเทคโนโลยี ความสามารถแบบตามองเห็นได้เยอะขึ้น มากขึ้น แล้วเราก็บอกมีอยู่จริงๆ แล้วเราก็ไปบอกคนที่สร้างทั้งหมด ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็นว่าพวกโง่เขลา ไปเชื่อได้อย่างไรพระเจ้า

            เพราะสิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณนั้นอยู่นิรันดร์ พระเจ้าบอก มันอยู่นิรันดร์ ที่มองไม่เห็น แต่โลกวัตถุต่างๆ ที่ตามองเห็น จับต้องได้ และยังหาไม่เจอ แต่เป็นโลกวัตถุนั้น  วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถไปเจอได้ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ที่มองไม่เห็นอีกเยอะแยะมากมาย พระคัมภีร์บอกว่ามันอยู่แค่ชั่วคราวเอง มันอยู่แค่แป๊บเดียวเอง แต่วิญญาณที่เป็นตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเรานั้น มันอยู่นิรันดร์ จะอยู่ในบึงไฟนรก พินาศนิรันดร์ หรืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ มันเป็นความจริง ไม่มีอยู่ตรงกลาง ไม่มีสวรรค์ตรงโน้นตรงนี้อีกแล้ว มีอยู่แค่นี้ พอจากร่างนี้ไป ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก เห็นโลกวิญญาณ มีความจริงอยู่หนึ่งเดียว คือสวรรค์ของพระบิดา ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าของเรา พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลายนั่นเอง เอเมน

            พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้มวลมนุษย์ ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ หลายพันปีมาแล้ว บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านก็อาจจะถาม หรือเราก็อยากจะรู้ว่าทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ คนในอดีต 2,000 ปีที่แล้ว ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพระมาซีฮาห์ผู้นี้  ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทำปาฏิหาริย์มาเลย พ้นจากบาปเลยไม่ได้หรือ? ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เราก็ต้องตอบว่า “ไม่รู้” แต่พระองค์บอกไว้ในพระคัมภีร์อย่างไร? มันก็เป็นอย่างนั้น ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่พระองค์จึงยอม แล้วทำไมไม่ลงมาแบบปาฏิหาริย์ล่ะ ไม่รู้ เท่าที่รู้ ก็คือกาลาเทีย 4:4-5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 4:4-5 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร (รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าได้) อย่างสมบูรณ์”

            เป้าหมายที่พระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายแบบมนุษย์ ก็เพื่อจะได้สามารถเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ เพื่อแบกรับบาปของมวลมนุษย์ และตายเพื่อมวลมนุษย์ได้ นี่เรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ พระเจ้าต้องการให้พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นแม่พิมพ์ เป็นต้นแบบของมวลมนุษย์พันธุ์ใหม่ เพื่อว่ามนุษย์ก็สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย อันนี้ต้องค่อยๆ เข้าใจแล้วนะ เพราะไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะบอกเป็นไปได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้ เป็นอัศจรรย์ทั้งสิ้น มนุษย์สามารถเป็นอย่างพระเยซูคริสต์ได้ มนุษย์สามารถตายจากการเป็นคนบาป  เราเกิดมาเป็นคนบาป มนุษย์สามารถตายจากบาป  และเป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่ได้ พระเยซูบริสุทธิ์อย่างไร? มนุษย์ก็จะบริสุทธิ์อย่างนั้น พระองค์เป็นแม่พิมพ์ มนุษย์จึงสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ได้ นี่คือเป้าหมายของการที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป้าหมายของวันคริสต์มาส เป้าหมายของข่าวดีนี้

            นี่คือจุดประสงค์ของข่าวดีที่พระเจ้าได้ทรงประทานพระบุตร องค์เดียวของพระองค์ เพื่อมาเป็นพระมาซิฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระมาซิฮาห์ ก็คือพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระบุตรเอาไว้ เพื่อมาทำการนี้ ตั้งแต่ในอดีตหลายพันปีก่อน ที่ถึงกำหนดเวลามาจริงๆ นั่นเอง เพื่อความรอดมีแก่มวลมนุษย์ทั้งปวง เน้นคำว่า “ทั้งปวง” ตลอดเลย เพราะหลายคนคิดว่ามาเพื่อคนที่เชื่อ คนที่พระเจ้าเลือกสรร ให้เป็นผู้เชื่อ ไม่ใช่ พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน  แต่เลือกแล้ว เขาไม่เอาเอง  พระเจ้าก็เสียใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร?

            ฮีบรู 2:14-17  ได้บันทึกถึงความหมายของคำว่า “เนื้อหนัง” “ร่างกายแบบมนุษย์” ที่พระเยซูมาเกิดเหมือนกับเราทั้งหลาย ทำไมต้องมาเกิดเหมือนกับเรา …

        ฮีบรู 2:14-17 “เหตุฉะนั้น ครั้นบุตรทั้งหลายมีส่วนในเนื้อและเลือดอยู่แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงรับเนื้อและเลือดเหมือนกัน เพื่อโดยความตาย พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้นั้น ที่มีอำนาจแห่งความตาย คือพญามาร และจะได้ทรงช่วยเขาเหล่านั้น ให้พ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิต เพราะเหตุกลัวความตาย ความจริงพระองค์มิได้ทรงรับสภาพของทูตสวรรค์ แต่ทรงรับสภาพของเชื้อสายของอับราฮัม เหตุฉะนั้น พระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้กอปรด้วยพระเมตตา และความสัตย์ซื่อในการทุกอย่าง ซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปทั้งหลายของประชาชน”

            เหตุฉะนั้น ครั้นเมื่อบุตรทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย ก็คือพวกเรา ก็คือมนุษย์ทุกคน มีร่างกาย มีเลือดและเนื้อ ก็คือร่างกายภายนอกอย่างนี้ พระองค์ก็ได้ทรงได้รับเลือดและเนื้อเหมือนกัน คือยอมมาอยู่ในร่างกายมนุษย์ แบบเราอย่างนี้ เขาเรียกมีเนื้อและมีเลือด เพื่อจะได้ตายได้  ถ้าเป็นวิญญาณตายไม่ได้ คำว่าตาย หมายถึงร่างกายหยุดทำงาน  มันหมายถึงอย่างนั้น  เพื่อโดยความตาย พระองค์จะได้ทำลายผู้นั้น ที่มีอำนาจเหนือความตาย คือพญามาร  ทรงช่วยเขาเหล่านั้นให้พ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิต เหตุจากกลัวความตาย ก็คือความบาป ทำให้เกิดความกลัว

            พูดง่ายๆ เหตุจากความบาปที่อยู่ที่วิญญาณภายใน ไม่ได้อยู่ที่การกระทำข้างนอก  การกระทำข้างนอก เป็นเพียงแค่อาการของความบาป แต่หัวใจ ก็คือวิญญาณข้างใน เป็นคนบาป การแก้ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือความบาปนั้น พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นมหาปุโรหิต คือหัวหน้าปุโรหิต

            ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมา บริสุทธิ์ สะอาด มีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ เข้ากับพระเจ้าได้ ไปหาพระเจ้าได้ตลอดเวลา พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มหาปุโรหิต แปลว่าหัวหน้า เหล่า คณะ หรือครอบครัว  หรือประชากรที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เป็นหัวหน้าของผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  พอนึกออกแล้วใช่ไหม?  เป็นมหาปุโรหิต แปลว่าเป็นหัวหน้าของผู้ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ก็คือหัวหน้าของมวลมนุษย์  พระองค์เป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น  เราเป็นเหมือนหัวหน้า หัวหน้าบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เราก็เป็นเหมือนพระองค์ หมายถึงอย่างนั้น ็นป

            เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมา เพื่อจะเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์  เป็นต้นแบบของสายพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ คือเป็นมนุษย์ที่เป็นวิญญาณ

และใจใหม่ นี่พูดถึงเราล้วนๆ นะ เราผู้เชื่อ มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ คือเป็นมนุษย์ที่เป็นวิญญาณและใจบังเกิดใหม่ และมีร่างกาย ได้รับการชำระ ให้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ไร้มลทิน ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ตลอดเวลา เขาสนิทกับพระเจ้า เป็นผู้ปรนนิบัติพระเจา เรียกว่าปุโรหิต ซึ่งในโลกนี้ ภาษาไทยแปลปุโรหิตคำนี้ว่า “พระ”  พระ คือปุโรหิต  มีหน้าที่เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ที่เป็นคนบาป จะไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า พระคัมภีร์

            เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงเป็นมหาปุโรหิต เป็นหัวหน้าปุโรหิต เริ่มต้นของมวลมนุษยชาติ  มนุษย์พันธุ์ใหม่ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายบนกางเขน เพื่อมวลมนุษย์ ซึ่งเป็นคนบาป จะได้ตายพร้อมพระองค์และได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ด้วย จึงยอมตาย  เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายกับพระองค์ด้วย  มัทธิว 16:24-25 พระเยซูประกาศไว้อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 16:24-25 “แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นสาวกของเรา ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา เพราะผู้ใด ต้องการเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา ผู้นั้นจะได้ชีวิต”

            ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง ก็คือให้ผู้นั้น ไม่พึ่งพาในตนเองอีกต่อไป  ไม่พึ่งพาในการที่จะรับผิดชอบกับความบาปของตนเองอีกต่อไป มันหมายถึงตรงนั้น  แต่ให้เขามั่นใจ พึ่งในพระเยซูคริสต์ แทนที่จะมั่นใจ พึ่งพาในตนเอง คือผู้ใดที่ต้องการเอาชีวิตรอด ก็คือผู้ใดที่มีความมั่นใจ  พึ่งพาในตนเองว่าฉันจะเอาความรอดจากบาป ด้วยการกระทำดีด้วยตนเอง ผู้นั้นจะเสียชีวิต ผู้นั้นจะช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา แต่ผู้ใดไม่ทำด้วยตนเองแล้ว มาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้เกิดใหม่ ได้มีชีวิตนิรันดร์ หมายความว่าอย่างนั้น ใครก็ตามที่ได้ยินคำประกาศของพระเยซูว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  ไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม กฎประเพณี กฎของความเชื่อต่างๆ ให้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎต่างๆ ที่เชื่อเหล่านั้น จนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าสู่สวรรค์ของพระเจ้าได้ โดยการกระทำของตนเอง ไม่มีใครสามารถทำได้ พระเยซูประกาศเอง

            พระเยซูบอกว่านอกจากเขาจะเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้  พระองค์เลยบอกก็ให้ผู้นั้น  คนที่พึ่งพาตนเอง  ยังไงก็ทำไม่ได้  ก็ให้ผู้นั้นเลิกความตั้งใจที่จะพึ่งพาตนเอง อย่างนั้นเสีย แล้วให้แบกเอากางเขน ความบาปของตน แล้วตามพระองค์ไป  ไปไหน? ไปที่โกละโกธา  ไปตายด้วยกัน  ร่วมกับพระองค์บนไม้กางเขน

            นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณล้วนๆ เลย แบกความบาปของตนเองไป  ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  เพื่อว่าตัวเก่าที่เป็นคนบาป  เป็นวิญญาณบาปภายในนั้น จะได้ตายไป เพื่อบังเกิดใหม่ ด้วยชีวิตนิรันดร์ที่มาจากพระองค์ ชีวิตใหม่ที่เป็นของพระองค์ โดยการเป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระองค์ พร้อมกับพระองค์ ในยอห์น 3:3 พระเยซูประกาศความจริงว่า …

        ยอห์น 3:3 “พระเยซูประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่”

            เราก็สามารถเติมได้เลยว่า “ไม่มีใครสามารถบังเกิดใหม่ด้วยตนเอง เป็นไปได้หรือ?  เห็นไหม? มันต้องอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น แล้วมนุษย์จะต้องทำอย่างไร? จึงจะได้บังเกิดใหม่นั้น  เราก็คิด พระคัมภีร์ก็บอกว่าเราจะบังเกิดใหม่ได้ เป็นการอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ของข่าวดีเท่านั้น  ก็เพียงแค่วางใจและเชื่อ เชื่อในคำประกาศของพระคริสต์ เพียงเท่านั้น ทุกคน ใครก็ตามสามารถรับการบังเกิดใหม่ได้แล้ว ส่วนขบวนการการบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ  เป็นการกระทำอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เป็นอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น เข้าสวรรค์ได้ ด้วยความเชื่อและวางใจเท่านั้น อย่างเดียว

            มาดูคร่าวๆ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เราบังเกิดใหม่ได้อย่างไร? เป็นตัวแทนเราอย่างไร? พอจะเห็นภาพได้ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  วางใจในพระเยซู ต้อนรับข่าวดีนี้ โรม 6:3-5 …

        โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            เห็นการเป็นตัวแทนไหม? นี่แหละคำว่าเป็นตัวแทน ถ้าไม่เข้าใจ พยายามไปอ่านข้อความนี้หลายๆ เที่ยว อ่านในลักษณะในความเข้าใจทางฝ่ายโลกวิญญาณ คริสเตียนควรรู้เรื่องนี้อย่างมาก  เพราะเป็นขบวนการ การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเรา เราเกิดใหม่จริงๆ โดยพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน ถ้ายังไม่ชัด ถ้ากษัตริย์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือนายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดีของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นตัวแทนของประเทศนั้น  ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสงครามว่าสงครามนี้เขาชนะ  ประเทศเราชนะ เราแม้จะอยู่ที่ตำบลโน้น สุดขอบของประเทศเลย จังหวัดติดขอบประเทศเลย  เราก็เป็นคนที่ชนะด้วย ตอนที่ประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี หรือกษัตริย์ประกาศที่พระราชวัง หรือที่ไหน?  ที่กรุงเทพ? หรือที่เมืองหลวง  บอกว่าบัดนี้ ประเทศเราได้ชนะแล้ว เราอยู่จังหวัดเหนือสุด ใต้สุด เราก็ชนะไปด้วย  เพราะว่าเป็นตัวแทน เราไม่ได้ไปรบกับเขาเลย เราไม่ได้ไปทำอะไรกับเขาเลย  เราทำเพียงอย่างเดียว คือ เมื่อคำประกาศมาถึง เราเชื่อในคำประกาศนั้น  เราวางใจในคนที่พูด กษัตริย์ของเรา นั่นใช่ประธานาธิบดีจริงๆ ของเรา เป็นตัวแทนรัฐบาลจริงๆ อย่างนั้นแหละ ลักษณะเดียวกัน

            เราทั้งปวงที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียนทั้งหลาย  ก็ควรจะรับรู้ความจริงในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งมันเกินความคิด ความเข้าใจ และสติปัญญาของมนุษย์  เพราะฉะนั้น ข่าวดีวันคริสต์มาส จึงเป็นการอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์สำหรับทุกคนที่เชื่อ ตรงนี้จึงจะแยกออกมาแล้ว ไม่ใช่ทุกคนแล้ว  ทุกคนที่เชื่อ อัศจรรย์จึงจะเกิดขึ้น ทั้งที่มันเป็นข่าวดีสำหรับมนุษย์ทุกคนจริง  แต่มันจะเกิดเป็นผล เป็นขบวนการ ฤทธิ์เดชอำนาจขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อคนนั้นเชื่อในข่าวดี พระเจ้าจึงบอกว่าให้ลองมาเชื่อในข่าวดีนี้ดู แล้วจะรู้ว่าพระเจ้าดี สดุดี 34:8 บันทึกไว้อย่างนี้ชัดๆ …

        สดุดี 34:8 “โอ ขอเชิญชิมดู แล้วจะเห็นว่าพระเจ้าดี  คนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข”

            เปลี่ยนนิดหนึ่งดีกว่า สมมติว่าเราเรียนมาถึงตรงนี้แล้ว ได้รู้ความจริงตรงนี้แล้ว น่าจะพูดอย่างไร? พูดดังๆ สิ …

            “โอ้โห! ขอเชิญชิมดู แล้วจะเห็นว่าพระเจ้าดี คนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข”

            ลองฝึกไว้พูดกับคนข้างๆ สิ … “โอ้โห! ลองชิมดูสิ” ตะกี้ โอ้โห แบบอ่าน  ลองโอ้โห แบบธรรมชาติสิ …

            “โอ้โห! เธอลองชิมดูสิ เธอลองดูได้ ลองวางใจในข่าวดีนี้ ลองเชื่อในข่าวดีนี้ดู ลองวางใจในพระเยซูคริสต์ดูว่าจริงหรือเปล่า แล้วเธอจะรู้ว่าเธอก็จะถูกเรียกว่าผู้โง่งมงายในอนาคตอันใกล้”

            พระเจ้าเชิญชวนให้มนุษย์ทุกคนได้สัมผัส ประสบการณ์ความดีงามของพระองค์ในชีวิตของเขา พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ความรักและความเมตตา พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ทุกคน ได้รู้จักพระองค์ ใกล้ชิดพระองค์ ข่าวดีวันคริสต์มาสเป็นอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ สำหรับทุกคนที่เชื่อ ย้ำอีกทีหนึ่งว่าเป็นข่าวดี สำหรับคนที่เชื่อ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เป็นข่าวไร้สาระ  เพราะฉะนั้น ข่าวดีของคนที่เชื่อ คือยอห์น 3:16 ย้ำอีกทีหนึ่ง …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            เกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มีสภาวะ พระลักษณะของพระเจ้า ดำรงอยู่ในเขา เอเมน ทุกคนที่พึ่งพา วางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์จะได้รับอิสระ อิสระจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง ตลอดไป ไม่ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตนอีกต่อไป มีหนี้บาป เวรกรรมจริงๆ แต่พระเยซูชดใช้ให้หมดแล้ว  เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรมของตนเองอีกต่อไป ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตนิรันดร์อีกต่อไป และจะไม่พินาศ คือตายนิรันดร์อยู่ในความบาป ในบึงไฟนรก หลังความตายนิรันดร์เช่นเดียวกัน  คนที่เชื่อ คนที่เป็นคริสเตียน วิญญาณได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้  ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แล้วจะเป็นอย่างนี้ต่อไปจนนิรันดร์

            ลองมาชิมดูข่าวดีนี้  พระเยซูประกาศ พระเจ้าต้องการ  ชิมดูโดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ เลย แค่วางใจเท่านั้นเอง ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการลองชิมพระเจ้า ผู้แสนดีนี้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ เลย ในการลองชิมข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร? ชนชาติใด? ภาษาอะไร? ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อจะเป็นอย่างไร? ท่านสามารถลองชิมพระเจ้า พระเยซูคริสต์นี้ได้ ท่านสามารถพิสูจน์ ด้วยวิญญาณของท่านได้ด้วยตนเอง ไม่มีข้อห้ามใดๆ  ไม่ต้องเลิกเชื่อ ไม่ต้องเลิกประเพณีวัฒนธรรมที่ท่านเคยทำมา ไม่ต้องย้ายจากประเทศนี้ ไปประเทศโน้น ไม่ต้องย้ายจากนี่ไปโน่น ไม่ต้องย้ายจากประเพณีที่เคยทำ แล้วบอกว่าทำไม่ได้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการวางใจและลองชิมข่าวดีนี้ดูว่ามันจริงหรือไม่? ต้องการความจริงใจ และถ้าท่านลองชิมเมื่อไร? ท่านก็จะรู้ว่าพระเจ้าดี ท่านจะมีประสบการณ์ และการอัศจรรย์เกิดขึ้นทันทีแน่นอน 100% ไม่ต้องรอคนอื่นมาวางมือ ไม่ต้องรอคนอื่นมาอธิษฐานให้ ท่านสามารถวางใจด้วยตัวท่านเองนั่นแหละ ทุกที่ที่ไหนก็ตาม ท่านสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใครเลย  เพราะว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ ท่านจะมีประสบการณ์และการอัศจรรย์ในวิญญาณของท่าน เพราะว่าในวิญญาณของท่านจะรับรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ

            ข่าวดีวันคริสต์มาส เป็นข่าวดีจริงๆ  เพราะเวลาท่านพิสูจน์ ท่านวางใจในพระเยซู สิ่งที่พิสูจน์ชัด ก็คือพระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ พระเจ้าจะเข้ามาเดินอยู่กับท่าน เผชิญอุปสรรคปัญหา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างที่จับต้องมองเห็นได้กับท่านจริงๆ ท่านไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  ท่านจะรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับท่าน ท่านไม่โดดเดี่ยวคนเดียวอีกต่อไป ท่านไม่ต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพังทุกเรื่องบนโลกใบนี้ แต่พระองค์ทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา และอยู่ด้วยตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ทันที หลังจากที่ท่านเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ และจะอยู่กับท่านอย่างนี้ ไปจนกระทั่งถึงหลังความตาย จนถึงนิรันดร์ เรียกว่าสวรรค์ พูดง่ายๆ ว่าท่านจะอยู่สวรรค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ และอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ข่าวดีวันคริสต์มาส ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนลองชิมดู แล้วจะรู้ว่าจริง พระเจ้านั้นดี และดีจริงๆ  พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 6

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ  :  มีธรรมชาติเป็น … ศัตรูที่ต่อต้าน  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า

            หลังเชื่อ  :  มีธรรมชาติเป็น … ลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า

            โรม 6:11-14 … “11 ในทำนองเดียวกัน จงรับรู้ความจริงว่าตัวท่านเอง (คริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว) ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า  เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ 12 ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาป มาเป็นเจ้า ครอบครอง ร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย คือให้ความบาป ยุแหย่ ล่อลวง ทำให้ท่าน ต้องเชื่อฟัง และทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของมัน 13 ท่านไม่ควรยอมให้บาป มาใช้อวัยวะส่วนไหนก็ตามของท่าน เป็นเครื่องมือในการทำบาปชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า  ให้สมกับ เป็นคนที่ตายไป และบังเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว ดังนั้น ขอให้ท่าน ยอมให้พระเจ้า ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายท่าน ให้เป็นเครื่องมือ  ในการทำความดี   (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า) 14 เพราะบาป ไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  (ไม่ได้เป็นทาสของมันแล้ว) แต่อยู่ใต้พระคุณ”

            ก่อนเชื่อ  :  มีธรรมชาติ เป็นศัตรูที่ต่อต้าน  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า

            หลังเชื่อ  :  มีธรรมชาติ ที่เป็นลูกที่เชื่อฟังแล้ว

            ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาป มาเป็นเจ้า ครอบครอง ร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย คือให้ความบาป ยุแหย่ ล่อลวง ทำให้ท่าน ต้องเชื่อฟัง และทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของมัน

            ท่านไม่ควรยอมให้บาป มาใช้อวัยวะส่วนไหนก็ตามของท่าน เป็นเครื่องมือในการทำบาปชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า  ให้สมกับ เป็นคนที่ตายไป และบังเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว

            ดังนั้น ขอให้ท่าน ยอมให้พระเจ้า ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายท่าน ให้เป็นเครื่องมือ  ในการทำความดี  (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า)

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1500

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ธันวาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 10

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 3:23 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:23-27 “23 ก่อนที่ความเชื่อนี้จะมีมา  เราตกเป็นนักโทษของบทบัญญัติ ถูกกักขังไว้จนกว่าความเชื่อจะถูกเปิดเผย 24 ดังนั้น บทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ ให้นำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ 25 บัดนี้ ความเชื่อนั้นมาถึงแล้ว เราจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบทบัญญัติอีกต่อไป 26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า  โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา  เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว  ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ชาวกาลาเทียได้รับรู้ความจริงของเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการงานของพระองค์เรียบร้อยไปแล้วว่าก่อนที่ความเชื่อนี้ จะมีมา ความเชื่อ ตรงนี้ คือก่อนที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วก็ได้มาสิ้นพระชนม์แทนพวกเรา มนุษยชาติทั้งหลายบนไม้กางเขน และได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น พวกเรา คือมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติ ก็ตกเป็นนักโทษของบทบัญญัติ  เราต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้น ผ่านทางโมเสส พวกเราคนต่างชาติ เราไม่รู้เรื่องหรอกบทบัญญัติ คนยิวจะถูกบทบัญญัติเหล่านี้บังคับไว้ เพื่อที่จะทำตาม ให้เป็นไปตามที่พระเจ้ากำหนดไว้  แต่ส่วนเราที่เป็นคนต่างชาติ บทบัญญัติเหล่านี้ ถูกเขียนไว้ในวิญญาณของเรา เรารับรู้ความจริงตรงนี้ เรารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ มนุษย์ทุกคนรู้หมด โดยที่ไม่ต้องมีใครสอน คือจิตใต้สำนึกมันจะรู้ แต่อยู่ตรงที่ว่าเรารู้ แล้วเราทำได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ส่วนใหญ่ ก็จะทำไม่ค่อยได้เท่าไร?  เพราะว่าพื้นฐานของเรา เรียกว่าเกิดมาเป็นคนบาป เป็นคนบาป ทำความดีไม่ค่อยเป็น  แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงกำหนดเวลาของพระองค์ ที่จะประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ให้มาเกิดบนโลกใบนี้

            ดังนั้น แผนการที่พระเจ้าตั้งไว้ ไม่ใช่พระเจ้าพูดปุ๊บ มันเกิดปั๊บ  แต่พระเจ้าวางแผนการไว้ แล้วแผนการนั้น จะต้องดำเนินไปตามระบบที่พระเจ้าตั้งไว้ ตามวันเวลาที่พระเจ้ากำหนดด้วย หมายความว่าเราจะคิดว่าต้องเร็วๆ ไปเร่งพระเจ้าไม่ได้  พระเจ้ากำหนดว่าเมื่อไร? อย่างไร? พระองค์กำหนดเรียบร้อยแล้ว

            คนอิสราเอลรอคอยพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าพระบิดา สัญญาว่าจะประทานให้ รอคอยมาหลายพันปี พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่า ณ เวลานี้ พวกเธอทำอย่างนี้ไปก่อน ก็คือปีต่อปี เอาแกะมาถวาย เป็นเครื่องบูชา เขาเรียกว่าลบบาปรายปี พอปีหน้าเธอต้องมาทำใหม่นะ ถ้าเธอไม่ทำ ก็เสร็จเลย ไม่สามารถที่จะเป็นประชากรของพระเจ้าได้ ดังนั้น คนอิสราเอลจะยึดถือกฎบัญญัติตรงนี้มากๆ เคร่งครัดด้วย คือทุกคนจะทำตามกฎต่างๆ ที่โมเสสเขียนไว้ ตั้งแต่สมัยเดิม แล้วก็ไล่มาจนถึงยุคของพระเยซูคริสต์ คนยิวก็ยังคงทำเหมือนเดิม  คือต้องเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า ไปถวายเครื่องบูชา แม้แต่ตัวพระเยซูคริสต์เอง พระองค์ก็ยังคงอยู่ภายใต้กฎตรงนี้อยู่ ตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตอนที่พระองค์อายุ 1 ขวบถึง 30 ก็คือต้องเข้ามาในพระวิหาร  ต้องมาถวายเครื่องบูชา จนอายุ 31 พระองค์ก็ทำภารกิจของพระองค์ คือถึงเวลากำหนดที่พระเจ้าบอกให้ออกมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ออกไปประกาศข่าวดีว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว มาใกล้แล้ว ก็คือตัวพระองค์เองกำลังจะทำภารกิจตรงนี้ ให้สำเร็จตามที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้

            ฉะนั้น ในช่วง 3 ปีกว่าที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ณ เวลานั้น พระเยซูคริสต์ไม่ได้ประกาศกับคนต่างชาติ พวกเราไม่เกี่ยวกันเลย ก็คือไม่มีโอกาส ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะเข้ามารับความช่วยเหลือตรงนี้จากพระเจ้า ฉะนั้น พระเยซูคริสต์มาทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย เพื่อที่จะให้คนยิวทั้งหลาย รับรู้ว่าพระองค์คือผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์  คือพระผู้ช่วยให้รอด คือคนที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาไว้ว่าจะประทานมาให้ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

            ฉะนั้น พอพระเยซูมาประกาศ เนื่องจากเวลาผ่านไปหลายพันปี คนยิวก็เริ่มลืม ลืมสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ เนื่องจากรักษากฎบัญญัติ ยิ่งคนที่สามารถรักษากฎบัญญัติได้เยอะกว่าชาวบ้าน ก็คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ยิ่งสนุกสนานในการรักษาบทบัญญัติใหญ่ เพราะว่าพอรักษาได้เยอะ ก็เหมือนกับไปเกทับคนอื่นได้เยอะ เหมือนกับภาคภูมิใจความดีงามของตัวเอง แล้วก็มีความสุข  เพราะว่าพอรักษาได้เยอะ คนก็นับหน้าถือตา ก็มีคนเคารพรักเยอะ อะไรประมาณนั้น แต่ว่าพอพระเยซูคริสต์มาประกาศว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ พระองคจะมาช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์มาตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีไม่เชื่อว่าพระเยซู คือผู้นั้น แล้วก็ยังคงมีความสุขกับการถือรักษากฎบัญญัติ ที่โมเสสสั่งไว้อย่างเคร่งครัด

            นี่คือความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดของพวกมหาปุโรหิตและธรรมาจารย์  เพราะเขาไม่รับรู้ความจริงที่พระเจ้าประกาศให้เขารู้ว่า ณ เวลานี้ เมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา กฎบัญญัติต่างๆ ที่เป็นกฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ มันจะเป็นโมฆะ หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์มาทำให้ภารกิจเหล่านี้สำเร็จ  คือวันที่พระเยซูคริสต์เดินไปที่ไม้กางเขน  สิ้นพระชนม์บนนั้น หลั่งพระโลหิต  ถูกฝัง แล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย จากวันนั้น การถวายเครื่องบูชาแบบเดิมๆ จะถูกยกเลิกไป นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้

            พระเจ้าทรงตั้งกฎใหม่ กฎใหม่ที่พระเจ้าตั้งมา ก็คือใครก็ตามที่มาเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นจะรอด ในผู้อื่น ความรอดไม่มี ก็คือคนยิว ถ้าจะยังยึดถือบทบัญญัติ พยายามเคร่งครัดที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ ตามที่โมเสสสั่งไว้ อันนั้น ทำไปเถอะ มันไม่เกิดผลใดๆ เพราะพระเจ้าไม่รับ เมื่อพระเจ้าไม่รับ พระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ พี่น้องนึกภาพออกไหม? พระองค์มีสิทธิ์ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ ผู้ที่จะเข้าสวรรค์ของพระเจ้าได้ พระองค์มีสิทธิ์ไหม? หรือเราจะไปต่อล้อต่อเถียง …

            “พระองค์ไม่ทรงยุติธรรมเลย ทำไมล่ะ ฉันทำซะเยอะแยะอย่างนี้ พระองค์น่าจะรับฉันได้นะ”

            พระเจ้าบอก … “ฉันไม่สนใจ เราได้ตั้งกฎไว้แล้ว”

            ก็คือมีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะสามารถนำพามนุษยชาติไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้  นี่คือเงื่อนไข เพราะฉะนั้น พอถึงยุคหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ มนุษยชาติทุกคนจำเป็นจะต้องมาพึ่งพาในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขา บนไม้กางเขน แค่นั้น ไม่สามารถพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ความชอบธรรมของตัวเอง เพื่อที่จะไปถึงสวรรค์ได้

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบอกว่าคนที่ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้ ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อความเชื่อมาถึง ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน แล้วตะโกนว่าสำเร็จแล้ว วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ 2,000 ปี คือตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาอีก หรือมนุษย์จะไม่ได้ถูกควบคุมโดยบทบัญญัติอีกต่อไป ก็คือถ้าคนที่ไม่รู้ ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของบทบัญญัติเหมือนเดิม ยังคงเป็นทาสเหมือนเดิม  แต่ถ้าคนที่รู้ความจริงเขาจะเป็นไท เป็นอิสรภาพ เขาจะสามารถเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ เข้ามาผ่านทางพระคุณ พระคุณ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทำให้มนุษยชาติทั้งหมดเปล่าๆ โดยไม่คิดมูลค่า ก็คือไม่ได้คิดว่ามาเชื่อพระเจ้า จะต้องเอาเงินมานะ ต้องเอาโน่นเอานี่มานะ จะได้รับความรอด ไม่มี พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ให้เปล่าๆ

            ใครก็ตามที่เดินเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ แล้วบอกกับพระเจ้าว่าต้องการพระองค์ เรารู้ตัวว่าเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราต้องการพระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัว ทันที คนๆ นั้นก็จะได้มีสิทธิ์ มีส่วนเข้ามา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำขบวนการของพระองค์ ซึ่งเราคุยกันหลายรอบแล้วว่ามันเป็นขบวนการในโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ เราไม่สามารถมองด้วยตาของเรา  จับด้วยมือของเรา เราไม่ได้สามารถทำถึงขนาดนั้น แต่มันเป็นขบวนการที่ผ่านทางความเชื่อ แล้วความเชื่อตรงนี้ เราสังเกตไหมในพระคัมภีร์ ยอห์น 3:16 ผู้ใดที่วางใจ ไม่ได้พูดถึงความเชื่อนะ เพราะว่ามนุษย์บาปคนหนึ่ง ไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เขาสามารถวางใจ ก็คือได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วเกิดความวางใจข้างในว่าลองสักตั้งหนึ่งว่าพระเจ้าองค์นี้ เป็นพระเจ้าจริงไหม?  แล้วเราสามารถยึดถือได้ไหม?  เรามาวางใจพระองค์ดีกว่า

            นี่คือจุดเริ่มต้นของคนที่เดินเข้ามาหาพระเจ้า  เมื่อเขาวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ขบวนการการบังเกิดใหม่เกิดขึ้น มันเป็นขบวนการที่อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามาในผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นของประทานมาเป็นชุด คือจากขบวนการนี้  พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา  วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่

            คำว่า “เปลี่ยนใหม่” ไม่ใช่ซ่อมแซม ไม่ได้มาปะๆ ชุนๆ วิญญาณเก่าสกปรก โสโครก เอาน้ำมาล้างๆ ไม่ใช่ แต่ว่าพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่  ให้คนนั้นทันที เป็นวิญญาณชนิดเดียวกันกับพระเจ้าเหมือนพระเยซูคริสต์

            พระเจ้าได้เปลี่ยนความคิดจิตใจใหม่ให้คนนั้น ทันทีอีก ก็คือเราจะมีความคิดจิตใจเดียวกันกับพระเจ้า เป็นความคิดที่สะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นความคิดที่ไม่รู้จักคำว่าบาปเลย ทำบาปไม่เป็น แล้วจากนั้น ขบวนการตรงนี้ ในเรื่องของการบังเกิดใหม่นี้ ยังมีการชำระร่างกายของเรา ร่างกายนี้ ที่อยู่ภายใต้ความบาปและความตายอยู่ ร่างกายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่บนโลกใบนี้อยู่ พระเจ้าได้ทรงชำระเราให้สะอาด หมดจด ที่พระเจ้ารับเราได้ จนกระทั่งพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่มันเกิดขึ้นทันที วันที่พี่น้องอธิษฐานขอพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระเจ้าส่วนตัวของเรา มันเกิดขึ้นทันที และของประทานอีกอันหนึ่งที่พระเจ้าใส่เข้ามา ในวิญญาณของเรา ก็คือของประทานแห่งความเชื่อ เราจึงสามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  ความเชื่อตรงนี้ เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามาให้เรา ซึ่งความเชื่อนี้มันจะคงอยู่ มันจะไม่วิ่งขึ้นวิ่งลง เหมือนกับที่เราคิดว่าแย่แล้ว ความเชื่อถดถอย วันนี้ความเชื่อพุ่งปรี๊ด ไม่มี ของประทานนี้ พระเจ้าใส่เข้ามา ทำให้เราสามารถเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย

            ดังนั้น ของประทานแห่งความเชื่อนี้ จะอยู่กับเราตลอด ความเชื่อของเราจะไม่เสื่อมถอย ตามในหนังสือฮีบรูบอกไว้  ทำไมเราเสื่อมถอยไม่ได้ เพราะว่าอันนี้มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากความรู้สึก การนึกคิด หรือพยายามสร้างความเชื่อด้วยวิธีการของเรา ไม่ใช่ แต่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้มันจะไม่เสื่อมถอย เราก็จะสามารถเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ไปเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต คือลมหายใจเราออกจากร่าง แล้วเราก็ได้ไปอยู่กับพระองค์ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของท่าน พระองค์จะทรงนำพาท่านไปจนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงความสำเร็จ พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าอยู่กลางทาง แล้วพี่น้องสะดุดหัวทิ่ม วิญญาณหลุดหายไปแล้ว  ไม่ได้อยู่ในพระเจ้าแล้ว ไปอยู่ในอาดัม  มันเป็นไปไม่ได้ ก็คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เชื่อแล้วเชื่อเลย เกิดแล้วเกิดเลย  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเลย มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตรงนี้มันถูกสถาปนาเรียบร้อยไปแล้ว แต่ส่วนที่เราเผลอเรอไปทำบ้าง พลั้งบ้าง หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามันเกิดจากในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราถูกล่อลวง ให้หลงไปเท่านั้นเอง

            ดังนั้น การล่อลวงเหล่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะ ความเป็นลูกของพระเจ้าของเราไปได้เลย มันเปลี่ยนสถานะไม่ได้ แค่ว่าถูกล่อลวงเยอะ ก็ทุกข์เยอะบนโลกใบนี้ ถูกล่อลวงน้อย ก็ทุกข์น้อยบนโลกใบนี้ มีความสุขมากขึ้น มีทุกข์น้อยลง เท่านั้น  แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ คือวิญญาณเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ พี่น้องนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกเราอย่างนี้ว่าเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริของเรา ในโคโลสีบอกอย่างนั้นว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สถิตอยู่ในเรา มนุษย์ตัวเป็นๆ อย่างเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม พระเจ้าอยู่ในเรา ไม่ว่าวันไหนตื่นขึ้นมางอแงบอกว่าวันนี้ สงสัยพระเจ้าหายไปแล้ว ไม่เห็นสดชื่นเหมือนวันก่อนเลย ก็เปลี่ยนสถานะนั้นไม่ได้ เปลี่ยนความจริงนั้นไม่ได้ พระเจ้าก็ยังคงสถิตอยู่ในท่าน หรือแม้แต่วันไหนที่ท่านเผลอไปทำบาป พระเจ้าก็ยังคงอยู่ในท่านเหมือนเดิม  พระองค์ไม่หนีไปไหน? เพราะว่าพระเจ้าบอกเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน

            จะให้เห็นภาพ ทันทีที่เราบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ เรากับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสนิทกัน คำว่า “สนิท” คือเหมือนกับกระดาษ 2 แผ่น  ที่เราเอากาวลาเท็กซ์ที่มันแน่นๆ มาทาแล้วแปะเข้าด้วยกัน มันไม่สามารถแยกจากกันได้ มันจะแยกจากกันได้ ก็คือฉีกมันทิ้งเท่านั้นเอง แต่ว่าจะให้เราแยกจากพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่จะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะช่วยพี่น้องให้สามารถหนักแน่นมั่นคง สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกที่ชั่วร้ายนี้ โลกแห่งการหลอกลวงทุกรูปแบบ โลกที่พยายามส่งข้อมูลเท็จเข้ามาหลอกเราว่า …

            “พระเจ้าไม่รักเราแล้ว นิสัยอย่างนี้ พระองค์ไม่เอาหรอก”

            เราก็สวนไปเลย … “นิสัยอย่างนี้แหละ ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีอะไรไหม? เพราะว่าฉันได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว”

            แต่โดยความเป็นจริง พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตเราจะไม่เปลี่ยน พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเปลี่ยนแปลงเราเอง ให้ธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกสำแดงออกมาผ่านทางชีวิตของเรา จะมากจะน้อย ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  จนผู้คนรอบข้างจะเห็นสง่าราศีของชีวิตของเรา เห็นพระเยซูคริสต์ปรากฏผ่านทางชีวิตของพวกเรา นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ โดยที่เราไม่ต้องพยายามบีบตัวเอง หรือว่าพยายามเข็นตัวเอง ให้ต้องทำๆ ไม่ใช่ต้องทำ แค่ทำอย่างเดียว คือยอม ยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ยอมรับรู้ความจริงของพระเจ้าทุกวี่ทุกวันว่าพระองค์ได้ทำอะไร? ให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แค่นั้นเอง พอรับรู้ความจริงมากเท่าไร? ผลแห่งความจริงนี้จะถูกสำแดงออกไปได้มากเท่านั้น

            อย่างที่ดิฉันเคยบอก เราพูดถึงต้นไม้ ต้นไม้มันจะเกิดดอก ออกผล ถ้าเป็นต้นไม้ที่เป็นผล พอถึงฤดูกาลของมัน มันก็จะออกผลให้เราเห็นชัดเจนว่าต้นนี้ต้นอะไร? ตอนนี้พี่น้องไปดูต้นมะม่วง ห้อยเต็มเลย มันถึงฤดูกาล แล้วต้นนี้อร่อยด้วย รอให้มันโตเต็มที่มาเก็บกินได้เลย  หรือว่าต้นที่เป็นดอก พอถึงฤดูกาลของมัน มันก็จะออกดอกให้เราเห็น ดิฉันยังไม่เคยเห็นต้นไม้ต้นไหน เขาพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของตัวเองที่ผลิดอกออกผลด้วยกำลังของตัวเอง ไม่มี เขาอยู่ของเขานิ่งๆ เฉยๆ  เห็นไหม ต้นไม้นั่งนิ่งมาก แล้วคนที่ปลูกมันก็คอยให้น้ำ ให้ปุ๋ย แล้วต้นไม้ก็ยืนเฉยๆ พอถึงฤดูกาล มันก็มาแล้ว ดอกออก ผลออก แต่ละอย่างมันจะออกมา ให้คนเชยชมว่านี่ต้นมะม่วงนี่เอง ตอนไม่มีดอก ไม่มีผล ไม่รู้ต้นอะไร ก็เห็นแต่ใบ อะไรประมาณนี้

            ภาพเดียวกันในโลกวิญญาณ พวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เราไม่ต้องพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของเราเองว่าต้องๆ สมัยก่อนเราถูกสอนว่าต้อง พอต้องเยอะๆ เหนื่อย หอบ หายใจไม่ทัน แล้วเราต้องไปต้องมา คือทำด้วยกำลังของเราเอง พอทำด้วยกำลังของเราเอง มันไม่เกิดออกมาเป็นผลดังใจเรา เราก็ท้อ แต่ถ้าเราไม่ได้ทำด้วยกำลังของเราเอง  เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พึ่งพาในพระเจ้าว่าเมื่อถึงฤดูกาลของมัน พระเจ้าเองจะเป็นผู้ทำให้มันเกิดผล เหมือนกับที่ในหนังสือยอห์น บทที่ 15 บอกว่าเราเป็นเถาองุ่นที่ติดกับลำต้น ลำต้นเป็นผู้ให้น้ำเลี้ยงกับกิ่ง แล้วกิ่งนั้นเกาะติดกับลำต้น พอมันประสานเป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ เมื่อถึงฤดูกาลที่มันจะเกิดดอก ออกผล มันจะเกิดเองโดยธรรมชาติ

            ภาพเดียวกัน เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อทุกคน เราเกาะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงฤดูกาลที่มันสมควร แล้วพระเจ้าเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งแต่ละคน เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร อย่างไร? เวลาไหนก็แล้วแต่?  ที่พระเจ้าจะใช้เขา พระองค์ก็จะให้ผลมันออกมา ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา มันจะออกมาเอง โดยธรรมชาติ ซึ่งพี่น้องไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย พยายามดิ้นรน ด้วยกำลังของตัวเอง  นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ

            พอเรารู้ความจริง  เราก็หายเหนื่อยเป็นสุข รู้ความจริง เราก็ไม่ต้องพยายามดิ้นรนซกๆ ถ้าเราไม่ทำโน่นทำนี่ พระเจ้าจะไม่รักเรา ถ้าเราไม่ออกไปประกาศ พระเจ้าก็จะไม่รักเรา ถ้าเราไม่รับใช้ พระเจ้าก็จะไม่อวยพรเรา มันไม่เกี่ยวอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านรับใช้ พระเจ้าจะเป็นผู้กระทำกิจภายในท่าน  ทำให้ท่านอยากจะทำจากข้างใน  ไม่ใช่อยากจะทำจากแรงกดดัน หรือแรงเร้าจากสิ่งรอบข้าง หรือจากคณะศิษยาภิบาล ที่พยายามผลักดันท่านให้ต้องทำๆๆๆๆๆ ไม่มีเวลา ท่านก็ต้องหาเวลาให้ได้ ต้องทำให้ได้ มันไม่ใช่ เพราะว่าพระเจ้าเองจะเป็นผู้กระทำการงาน ในชีวิตของท่าน เมื่อถึงเวลา เราจะออกมาสบายๆ อยากจะทำอะไร เราก็ทำแบบสบายๆ ทุกอย่าง มันออกมาจากใจ ใจข้างในเรา ก็จะเป็นที่ถวายเกียรติ แด่พระเจ้า นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย

            ดังนั้น การที่มาหาพระเจ้า ไม่ได้เป็นการที่เราจะต้องมาแบกภาระหนัก จนหลังแอ่น ไม่ใช่ พระเยซูได้แบกให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พวกเราผู้เชื่อทั้งหลายที่ในปัจจุบัน หรือในอดีตหลังจากพระเยซูทำสำเร็จ เราแค่มาชื่นชมยินดีกับผลสำเร็จที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วเราก็มาตรวจสอบรายชื่อว่าอะไรบ้างที่พระเจ้ากระทำให้เราสำเร็จ  แค่นั้นเอง โอ! พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยแล้ว เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตื่นเต้นๆ ในขณะที่เรายืนอยู่บนโลกใบนี้ แต่ในโลกวิญญาณเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ใครจะมาพูดอะไรฉันไม่สนใจ ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าเป็นพระบิดาของฉัน หรือมาดูผลที่พระเยซูคริสต์กระทำให้เราสำเร็จ  คือพระเยซูบอกว่าโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระล้างบาปของเราทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าด้วย ซึ่งแม้เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว โอกาสที่เราจะทำบาป ยังมีอยู่ แต่พระเยซูรู้ล่วงหน้า พระองค์ก็เลยทำให้มันเป็นขบวนการเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมาครั้งเดียว บาปในอดีตที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า พระองค์ล้างแล้ว บาปในปัจจุบันที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเผลอทำอยู่ ทันทีที่เราเผลอ พระโลหิตพระเยซูคริสต์ก็ชำระล้างเราแล้ว แล้วในอนาคตที่เราเผลอไปทำอีก พระเยซูก็ให้พระโลหิตของพระองค์ชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น เป็นความจริง

            เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่าปัจจุบัน เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราได้รับวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย เมื่อเราไม่มีบาปแล้ว จำเป็นไหมที่เราจะต้องเข้ามาสารภาพบาปกับพระเจ้า ไม่รู้จะสารภาพอะไร เพราะมันไม่มีบาปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  เราก็ถูกหลอกมานานมาก เป็นหลายพันปี ก็พยายามสารภาพบาปของเรา พยายาม

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกมันเลว ลูกมันชั่ว ลูกทำผิดอีกแล้ว” … ก็เข้ามาสารภาพบาป

            แล้วพระเจ้าก็บอก … “เธอเลว เธอชั่วตรงไหน? เธอเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันทำให้เธอเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  เธอสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนฉันเลย เธอไม่มีบาปเลย”

            อย่าให้โดนหลอก อย่าให้คำสอนใดๆ ทั้งสิ้นบนโลกใบนี้ ที่ส่งเข้ามาหลอกพวกเราว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ ให้รับรู้ความจริงว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราเกิดมา “เป็น” ไม่ใช่ “มี” นะ เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเรา เมื่อเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ปุ๊บ เราเป็นอิสรภาพเลย เราจะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป หรือบางครั้งเผลอๆ เราอาจจะโดนหลอก  แต่ว่าเราจะไม่ถูกหลอกนาน ถ้าความจริงเหล่านี้ถูกสถาปนาลงไปในวิญญาณของเรารับรู้ไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ แล้วความจริงเหล่านี้กลายเป็นตัวตนของเรา ที่เราหลับตาลืมตา หรือหลับไป แล้วคนตะโกน …

            “พระเยซูมาแล้ว”

            เราลุกขึ้นมา แล้วขึ้นไปอยู่กับพระองค์เลย นึกออกไหม คือไม่ต้องคิดอะไร เพราะมันฝังเข้ามาในวิญญาณ ในเลือด ในเนื้อของเรา ทุกวี่ทุกวันที่เรารับรู้ความจริงนี้ ฉะนั้น ไม่มีอะไรสามารถแยกเราไปจากความรักของพระเจ้าได้เลย

            พระเจ้าได้ทรงบอกเราชัดเจน ในเรื่องเหล่านี้ อยากให้ความจริงเหล่านี้ เป็นเครื่องป้องกันพวกเราทุกๆ คน เอาความจริงเหล่านี้ มาภาวนาหรือมาใคร่ครวญทุกวัน แม้ความจริงเหล่านี้มันมีไม่เยอะ มีนิดเดียวเอง แล้วพี่น้องอาจจะรู้สึกเบื่อ เหมือนเรากินข้าวไข่เจียวทุกวัน ตื่นขึ้นมา นึกไม่ออก เอาไข่เจียวแล้วกัน ไข่ดาวแล้วกัน ไข่ต้มแล้วกัน อะไรประมาณนั้น มันน่าเบื่อ แต่ความน่าเบื่อตรงนี้ มันเป็นสารอาหารที่ดีที่สุด ที่จะหล่อเลี้ยงร่างกายเราให้เจริญเติบโต มีพลังในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            ฉะนั้น ให้พี่น้องเอาความจริงเหล่านี้ ไปใคร่ครวญทุกวัน แล้วก็เอเมนกับความจริงเหล่านี้ คำว่าเอเมน คือยอมรับความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าบอกเรา

            ยอมรับ … “ว่าใช่ๆ ฉันเป็นคนชอบธรรม ฉันไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป ณ เวลานี้ ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว”

            เอเมนกับทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่า ณ เวลานี้ พระองค์ทำให้เราเป็นเรียบร้อยไปแล้ว  นี่คือการเชื่อฟังพระเจ้า นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงทั้งหมด ที่พระเจ้าได้บอกเราไว้ในถ้อยคำของพระองค์

            เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งดีงามเหล่านี้ ที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเทศกาลเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส ที่เราตื่นตาตื่นใจทุกปลายปี พอธันวาคม ใกล้วันที่ 25 เราก็ตื่นเต้น พอเริ่มต้นธันวาฯ ปุ๊บ เริ่มประดับประดาสวยงาม แต่สิ่งที่สำคัญ คือคริสต์มาสมันอยู่ในใจของพวกเราทุกวัน ทุกวันเป็นวันคริสต์มาสของเรา ทุกวัน คือพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 5

            ก่อนเชื่อ ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป

            หลังเชื่อ ตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า

            ก่อนเชื่อ อยู่ในคำสาปแช่ง

            หลังเชื่อ อยู่ในพระพรนานัปการ

            ตัวเก่า คนเก่า ได้ตายไปแล้ว สูญสิ้นไปแล้ว ทุกวันนี้  ที่มีชีวิตอยู่ เป็นตัวใหม่คนใหม่ อยู่ในพระคริสต์  ในสวรรค์  ในพระเจ้า แล้วกำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใหม่และสรรพสิ่งที่จะทรงสร้างขึ้นใหม่  ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไปนิรันดร์

            เอเฟซัส 2:1-5 … “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดและในบาป ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา  (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่ง เหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้) 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการถูกลงโทษจากคำสาปแช่ง)โดยพระคุณ”

            ก่อนเชื่อ ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป

            หลังเชื่อ ตายจากบาปมาอยู่ในพระเจ้า

            ก่อนเชื่ออยู่ในคำสาปแช่ง

            หลังเชื่อ อยู่ในพระพรนานัปการ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1498

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ธันวาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 13 “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรามาต่อ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 13 ใช้ชื่อเรื่องว่า “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า” เราเรียนรู้ 1 ยอห์น มา 12 ตอนแล้วว่าอัครทูตยอห์นยืนยันความจริงให้กับเราว่าคริสเตียนผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เชื่อวางใจว่าพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ คือเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมวลมนุษยชาติ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ สรุปใช้คำว่า “พระเมสิยาห์” หรือ “พระคริสต์” อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณที่ไม่เปลี่ยนแปลง ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของสถานะทางวิญญาณอย่างเด็ดขาด ระหว่างคริสเตียนผู้เชื่อพระเยซูกับผู้ที่ไม่ใช่เป็นคริสเตียน ไม่ได้เชื่อพระคริสต์  ที่เรียกว่าเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือเป็นศัตรูต่อความจริงเรื่องข่าวดีของพระคริสต์ และอาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้สอนความจริงกับผู้สอนเท็จ  ผู้สอนความจริง คือผู้เผยพระวจนะ ถ้อยคำพระเจ้า ผู้สอนเท็จ คือผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ เอาถ้อยคำที่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า เป็นถ้อยคำที่แย้ง ต่อต้านความจริงของพระเจ้ามาสอน

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าเราที่เป็นผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณ เราเป็นอย่างไร? สรุปรวมๆ ก็คือ …

                        – เราได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์         ไม่ใช่ในอาดัม  นี่สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณนะ

                        –  เราอยู่ในความสว่าง                     ไม่ใช่ในความมืด  เห็นไหม แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

                        –  เราอยู่ในความจริง                        ไม่ใช่ในความเท็จ

                        –  เราอยู่ในความรัก                          ไม่ใช่ในความเกลียดชัง

                        –  เราเป็นคนชอบธรรม                    ไม่ใช่เป็นคนบาป

                        –  เราเป็นคนที่ได้รับการอภัยบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว    ไม่ใช่เป็นคนที่มีหนี้บาป

                           เวรกรรมที่ต้องชดใช้อีกเลย

                        –  เราเป็นคนบริสุทธิ์สะอาด           ไม่มีมลทินใดใดในเราเลย ไม่ว่าจะวิญญาณ จิตใจ

                         หรือร่างกายก็ตาม

                        –  เราอยู่ในสวรรค์แล้ว                     ไม่ได้อยู่ในโลก แม้ว่าตามองเห็นเรายังดำเนินชีวิต

                         ในโลกก็ตาม แต่เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ในโลกวิญญาณ

                        –  เราเป็นของพระเจ้า                       ไม่ได้เป็นของโลกนี้

                        –  พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา                เป็นใหญ่กว่าผู้คนเหล่านั้น ทุกอย่างที่อยู่ในโลก

            เหล่านี้ คือสถานะทางวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นสถานะทางวิญญาณที่คงอยู่ตลอดไปนิรันดร์ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่มีขึ้นๆ ลงๆ เข้าๆ ออกๆ ดำบ้าง ขาวบ้าง หรือเทาๆ ในชีวิตของเรา มันเด็ดขาดเลย ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าไม่อยู่อาศัยในอาดัม ก็อยู่อาศัยในพระเยซูคริสต์ ไม่มีการอาศัยอยู่ในทั้ง 2 ที่ ต้องอาศัยอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  ถ้าไม่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ก็ยังคงอาศัยอยู่ในความตาย ในบาป ในอาดัม ซึ่งเป็นความจริงที่ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้เท่านั้น ไม่มีที่อื่นๆ ที่ตรงกลางๆ ไปๆ มาอีก ไม่ใช่วันนี้หงุดหงิดอยู่ในอาดัม พรุ่งนี้ มีความสุข วันอาทิตย์อยู่ในพระคริสต์ วันจันทร์อยู่ในอาดัม วันอังคารอยู่ในพระคริสต์ วันพุธอยู่ในอาดัม วันพฤหัสอยู่ในอาดัม พอมาถึงวันอาทิตย์มาอยู่ในพระคริสต์ ไม่มี อยู่ในที่ไหนก็ที่นั่น

            และถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน ท่านกำลังฝึกฝนอุปนิสัยและความประพฤติตามธรรมชาติ ที่อยู่ภายใน ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา 12 ตอน ยกตัวอย่างใน 1 ยอห์น 3:7 ได้บอกไว้ว่า …

        1 ยอห์น 3:7  “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง  และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรม จากการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”

            นี่บันทึกไว้ชัดเจน นี่คือความจริง เราคริสเตียน ผู้เชื่อ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่ปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ และจะเป็นอย่างนี้ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น ยอห์นก็เตือน ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้วว่าให้ระวังวิญญาณที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ วิญญาณที่ต่อต้านพระคริสต์ ต่อต้านความจริงเหล่านี้ ซึ่งวิญญาณเหล่านี้มาจากมารทั้งสิ้น เพราะมารมีหน้าที่ต่อต้านพระคริสต์ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ คอยกล่าวหาคริสเตียน หรือผู้ที่เชื่อ ด้วยความเท็จ ทั้งกลางวันและกลางคืนว่า …

            “เป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้วใช่ไหม? แต่ทำไมเจ้ายังมีอุปนิสัย ความประพฤติ ไม่สมบูรณ์เลย แกทำตัวตรงนี้ ประพฤติอย่างนี้ สมบูรณ์ดีพร้อมแล้วหรือ?  ที่จะเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์ เจ้ายังทำบาปอยู่เลย”

            จริงๆ ไม่ใช่เจ้าด้วย ต้อง “แก” … “แกไม่บริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อม เมื่อวานแกยังอิจฉาริษยา แกยังโกหกอยู่เลย วันนั้นยังหงุดหงิด ตวาดอยู่เลย อย่างนี้จะสมบูรณ์ เป็นลูกพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร?”

            ยอห์นแนะนำให้เราปฏิเสธ ยืนยันไปเลย ด้วยความจริง จากถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสักครู่นี้ที่เราได้เรียนรู้กัน คือบอกไปเลย บอกให้มาร บอกให้ปฏิปักษ์พระคริสต์ ได้ยินได้ฟังชัดเจนว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ โดยผ่านความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขน ไม่ได้ทำด้วยตัวเอง  ไม่ได้ผ่านทางความประพฤติ  หรือการกระทำของฉันเองเลย  แม้แต่นิดเดียว  แต่ฉันพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เราไว้ใจได้ เพราะเราวางใจในพระเยซูคริสต์ เรามิได้วางใจในตัวเอง

            นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณแท้จริง ที่คริสเตียนผู้เชื่อต้องเผชิญตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แน่นอน ทั้งวันทั้งคืน มีแต่ส่งข่าวสารเท็จนี้มาหาเราคริสเตียนว่าเรายังไม่พร้อม เรายังไม่ดี จริงหรือ? บอกเขาไปเลยว่าจริง บอกลงไปในความคิดของเรา มันจะส่งข้อมูลเท็จเข้ามาในความคิด เราก็ต้องส่งข้อมูลจริงเข้าไปในความคิดของเราว่า …

            “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์จริงๆ ในขณะนี้ บนโลกใบนี้ เอเมน”

            วันนี้ หนังสือ 1 ยอห์น ตอนที่ 13 เราจะมาย้ำยืนยันกันในชื่อเรื่อง “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า” เพราะว่าเราก็ถูกหลอกอีก เรื่องจริง คือการที่จะรักกัน การที่จะมีความหวังดีต่อกัน มันก่อเกิดขึ้นมาจากพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถผลิตออกมาได้ ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า เรามาดูสิว่าถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้ว่าอย่างไร? ครั้งที่แล้ว เราจบกันที่ 1ยอห์น 4:6 วันนี้เริ่มต้นข้อ 7 …

        1 ยอห์น 4:7  “เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารัก (สำแดงความรัก จากภายในวิญญาณ) ซึ่งกันและกัน เพราะความรักเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า (ธรรมชาติภายในวิญญาณ ก็จะรักพี่น้อง ผู้เชื่ออื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกัน) และรู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า”

            เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารัก หมายถึงให้เราสำแดงความรัก จากภายในวิญญาณ  ซึ่งกันและกัน  เพราะความรักเกิดจากพระเจ้า  ทุกคนที่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ก็คือเป็นความรัก ที่เป็นธรรมชาติภายในวิญญาณ เหมือนพระเจ้า ที่จะสามารถรักพี่น้อง  ผู้เชื่ออื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกันได้ และการกระทำอย่างนี้ เป็นการสำแดงว่าเขาได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า

            เรามาดูสิว่าเป็นอย่างไร? คือทันทีที่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอมาเชื่อพระเจ้าปั๊บ พระเยซูก็ประทานวิญญาณแห่งความรักของพระองค์มาให้กับเขา และเราเรียกกันว่าบังเกิดใหม่ เขาก็บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระองค์ เหมือนพระเจ้า เป็นความรัก ที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่ อาจารย์ยอห์นไม่ได้สอนเราว่าเมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว ให้เราปฏิบัติความรัก คือกระทำความรัก ไม่ใช่ แต่กำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณ สถานะในโลกวิญญาณ ให้เราได้รับรู้ว่าเมื่อเราเชื่อปั๊บ พระเจ้าก็จะเชื่อมต่อคนอื่นๆ ที่เชื่อพระเจ้าเช่นเดียวกัน  ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ ซึ่งเรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก เหมือนพระเยซู และเราจะรักกันเอง โดยธรรมชาติ หรือโดยออโตเมติกส์ ไม่ต้องทำเลย มันเป็นเอง  เป็นความรัก มันก็เชื่อมต่อกับวิญญาณอื่นที่เป็นความรัก คริสเตียนคนอื่นๆ นั่นเอง ไม่ได้ให้เราพยายามที่จะรักกัน ด้วยกำลังของตนเอง ไม่ใช่  แต่มันเป็นธรรมชาติใหม่ของเราในโลกวิญญาณ เมื่อเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทุกๆ คนในโลกใบนี้ เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องกันในวิญญาณ เป็นความรักเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  พอวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า  พระเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ซึ่งเรียกว่าพระเจ้าก็รู้จักเราในฐานะลูกของพระองค์ “รู้จักเรา” คำนี้สำคัญมาก เดี๋ยวจะพาท่านไป รู้จักเรา ในฐานะเป็นลูกของพระองค์ ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว

            คำว่า “รู้จัก” แปลว่ารู้จักสนิทสนม ติดสนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนสามีภรรยา มีความสัมพันธ์กันอย่างนั้น คำว่า “รู้จัก” ตรงนี้ แปลว่าอย่างนี้ วิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของเราผู้เชื่อ เมื่อเราบังเกิดใหม่ รู้จักสนิทสนมกันอย่างนี้แหละ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            ส่วนผลของความรัก ที่เราเป็นอยู่นั้น ในโลกวิญญาณนี้ ที่จะสำแดงออกมาเป็นความประพฤติ คราวนี้สำแดงออกมาจากข้างในแล้วนะ  ออกมาเป็นความประพฤติในแต่ละคน จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าเขาหรือเรานั้น รู้ว่าตัวตนจริงๆ ในโลกวิญญาณของเรานั้น เป็นความรักมากน้อยขนาดไหน? รู้มากไหมว่าเรานั้นเป็นความรัก เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทสนมกัน เป็นความรักเหมือนกัน ถ้ารู้มาก ก็จะสามารถสำแดงออกมาเป็นความประพฤติได้มาก ถ้ารู้น้อย ก็ออกมาได้น้อย เมื่อเจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ รับรู้ความจริงได้มากเท่าไร? ผลของความรัก ก็จะสำแดงออกมาเป็นความประพฤติปฏิบัติได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแน่นอน เราสังเกตได้ บางครั้ง เราอาจจะประพฤติออกมาเป็นความเกลียดชัง คริสเตียนบางครั้งไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก มีไหม? มีบ่อยไป ผมมีทุกวัน บางคนก็มีทุกวัน ส่วนใหญ่ก็มีทุกวันแหละ มันหงุดหงิด เพลินไป นินทาชาวบ้านเขา รักที่ไหน นินทาชาวบ้าน รถติดๆ อดทนไม่ได้ ก็ไม่ใช่ความรักแล้ว

            บางครั้งเราก็มีความประพฤติสำแดงออกมาเป็นความเกลียดชัง ขณะที่เราสำแดงความเกลียดชังออกมานั้น ก็แสดงว่า ณ เวลานั้น เราไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติตามธรรมชาติที่แท้จริง ที่อยู่ภายในของเรา ซึ่งเป็นความรัก เนื่องจากเราถูกหลอก ถูกล่อลวง เชื่อฟังมารและระบบของโลกนี้ ซึ่งต่อต้านความจริงของพระเจ้า ที่คอยชักจูงให้เราประพฤติตามมัน คือไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่อยู่ข้างในเรา เห็นไหม? ซึ่งเราเรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์บอกก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ทำให้การเป็นความรักที่อยู่ภายในนั้น เปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่สามารถทำให้การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในวิญญาณของเราเปลี่ยนแปลงไปเลย เพียงแต่ทำให้เรานั้น เมื่อประพฤติแล้ว เราเกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจมากขึ้นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            หน้าที่ของเรา ที่พระเจ้าต้องการ ก็คือค่อยเรียนรู้ว่าตอนนี้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรักแล้ว แม้จะเผลอถูกล่อลวง ให้ผลที่แสดงออกมาเป็นความเกลียดชัง แต่สิ่งที่ประพฤติออกมานั้น มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย ไม่สามารถเลย เห็นไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเป็นความรัก เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ไม่มีที่ติเลยในสายพระเนตรพระเจ้าตลอดไป นี่คือความจริง เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานแล้ว ขณะนี้ อยู่นิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป นี่เป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ซึ่งไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย แม้ว่าเราจะประพฤติอะไรก็ตาม ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้เลย ความจริงนี้เราได้รับมาจากการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ นี่ตามพระคัมภีร์เป๊ะ มาข้อที่ 8 … 1 ยอห์น 4:8 …

        1 ยอห์น 4:8 “ผู้ที่ไม่รัก (ไม่สามารถรักพระเจ้าและคริสเตียนผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า จากธรรมชาติภายในวิญญาณ) ก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก”

            มาอ่านอย่างขยายความ … ผู้ที่ไม่รัก ก็คือผู้ที่ไม่สามารถรักพระเจ้าและคริสเตียนผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า จากธรรมชาติภายในวิญญาณของเขา ไม่สามารถรักพระเจ้า ไม่สามารถรักคริสเตียนผู้เชื่อคนอื่น เพราะว่าตัวเขาเองยังไม่ได้เกิดใหม่ … มันแปลว่าอย่างนี้ เพราะคนๆ นั้น ก็ไม่รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า เห็นไหม? เขาไม่เกิดใหม่ เขาไม่รู้จัก อีกแล้ว เขาไม่ได้สนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับสามีภรรยา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขายังไม่ได้เชื่อนั่นเอง ซึ่งพระเจ้าเป็นความรัก เขาก็เลยไม่ได้เป็นความรักภายในวิญญาณของเขา

            ผู้ที่ไม่รัก คือไม่บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระเยซู ก็ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ได้รู้จักในฐานะลูกของพระเจ้า คนที่ธรรมชาติข้างในวิญญาณของเขา ยังเป็นคนบาปอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่คนละฝั่งกับพระเจ้า ก็จะไม่รู้จักพระเจ้า  พระเจ้าก็ไม่รู้จักเขา เขาไม่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขานั่นเอง ตัวตนจริงๆ ข้างในเป็นความบาป เป็นความเกลียดชัง ไม่สามารถผลิตความรักของจริงออกมาได้เลย แม้ว่าบางครั้ง ผลที่แสดงออกมาเป็นความประพฤติ การปฏิบัติออกมาให้เราดูเหมือนดี เหมือนเป็นความรักก็ตาม นี่พูดถึงคนที่ไม่เชื่อนะ  แต่ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? มันก็เป็นเพียงแค่ผลเทียม เหมือนผลไม้พลาสติก ดูเหมือนจริง แต่มันเป็นของปลอม ไม่ว่าเขาจะทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเขา ที่ภายในวิญญาณเป็นคนบาป มีแต่ความเกลียดชังในวิญญาณได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณข้างในนั้นเป็นของจริง คือเป็นคนบาป ที่ธรรมชาติเป็นคนเกลียดชัง นี่พระคัมภีร์พูดไว้นะ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 ข้าง  2 ขั้ว ไม่มีขั้วอื่น

            ถ้าคนๆ นั้นไม่ได้พึ่งพาวางใจในพระเยซู ไม่ได้บังเกิดใหม่ทางวิญญาณ พระเยซูก็ไม่เคยรู้จักเขา  ก็คือพระเยซูไม่ได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพราะว่าเขาไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์นั่นเอง และมันจะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงอนาคตข้างหน้า ถ้าเผื่อเขาไม่เปลี่ยน มันก็จะไม่มีการเปลี่ยนในโลกวิญญาณ จนกระทั่งถึงหลังความตาย อยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา พระเยซูตรัสไว้ว่าแม้ว่าเขาจะอ้างว่าได้ทำดีมากมายบนโลกใบนี้

            “โอ้! ลูกได้ทำดีโน่น ทำดีนั่น ทำดีนี่”

            แต่ไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ พระเยซูก็บอกว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้า”

            เห็นไหม? “ไม่เคยรู้จักเจ้า”  ไม่ใช่ไม่รู้จักนะ  ไม่เคย ก็แสดงว่าไม่รู้จักมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยอยู่บนโลกใบนี่ ก็ไม่เคยรู้จักกันเลย แต่คริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว เคยรู้จักตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทสนมกันมาก แต่นี่ไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้น …

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้า ไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย เจ้าไม่ได้เป็นคนในครอบครัวของเราเลย”

            ครอบครัวในสวรรค์ หนังสือแห่งชีวิตในสวรรค์เปิดออก ก็คือหนังสือสำมะโนครัว

            “เจ้าไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย”

            ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นจริงๆ คนๆ นั้น ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องจริง การพิพากษามันเกิดขึ้นจริงๆ  ก็ต้องแยกกันถาวรนิรันดร์เลย  ก็ต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าตลอดไป มา 1 ยอห์น 4:9

        1 ยอห์น 4:9 “ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏแก่เรา ก็คือพระองค์ได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาในโลก เพื่อให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางพระองค์”

            “ชีวิตนิรันดร์ผ่านทางพระองค์” ชีวิตนิรันดร์ที่เราเป็นอยู่นี้ ไม่อยากจะบอกว่ามีอยู่ “มี” เหมือนของมีอยู่ แล้วมันสามารถหายไปได้  สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าบอก “เป็น” มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ชีวิตนิรันดร์ที่เราเป็นอยู่นั้น เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับผ่านทางชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู

            ตอนที่พระเยซูยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และตอนที่พระเยซูได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  โดยพระเจ้า ชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น ชุบโดยให้พระเยซูกลับมาเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิมก่อนตาย แล้วพระเยซูบอกว่าชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้ ตอนเป็นขึ้นจากความตามนั้น พระองค์ได้แบ่งให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้นั้น เป็นพระเมสิยาห์  ก็คือผู้ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือคริสเตียนนั่นแหละ ได้รับวิญญาณเดียวกัน เขาเรียกว่าวิญญาณชีวิตนิรันดร์ เหมือนกับพระเจ้าเลย เหมือนกับพระเยซูเลย แต่เป็นส่วนหนึ่ง เราไม่ใช่เป็นพระเจ้า แต่เราได้บังเกิดใหม่  โดยหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกัน เรียกว่าวิญญาณชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้เชื่อ คือผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเยซูมากที่สุดแล้ว  ก็คือมีวิญญาณเหมือนกัน  เพราะว่าเป็นผู้ที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  ได้รู้จักกับพระคริสต์อย่างสนิทสนม  เป็นเหมือนสามีภรรยากัน สนิทกันมากถึงขนาดนั้น เป็นเนื้อเดียวกัน

            พระเยซูอุปมาตรงนี้ชัดมากเลย ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะทำการไถ่บนไม้กางเขนให้สำเร็จ พระองค์บอกว่าเหมือนกับกิ่งของเถาองุ่น ก็คือกิ่งต่อกับลำต้น ท่านเป็นกิ่ง พระองค์เป็นลำต้น

            ท่านลองคิดถึงต้นไม้ ต้นหนึ่ง มีกิ่งออกมา แล้วก็มีลำต้น ท่านว่ากิ่งนั้น ต่อติดกับลำต้น สนิทขนาดไหน? นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น และกิ่งมันอยู่ของมันเองได้ไหม? ไม่ได้มันต้องได้รับชีวิตมาจากรากของลำต้น ไหลขึ้นมา ผ่านกิ่งมา แล้วก็มีชีวิต แล้วจึงออกผล ผลก็คือมาจากราก มาจากลำต้นนั่นเอง

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราคริสเตียน ผู้เชื่อนั้น เราได้อาศัย ต่อติดสนิทอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ก็อยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ คือเรารู้จักพระคริสต์ เราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เรารู้จักพระคริสต์ พระคริสต์ก็รู้จักเรา เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เรากับพระคริสต์ 2 วิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเราคริสเตียน วิญญาณของเราขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านลองคิดดูก็แล้วกัน สนิทสนมขนาดไหน?

            นี่คือสถานะในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้น ที่อาจารย์ยอห์นพยายามที่จะอธิบาย ชี้ให้เราได้เห็น เพื่อว่าเราจะได้ไม่ถูกหลอกด้วยคำเท็จ เพราะฉะนั้น ผลของชีวิตของคริสเตียนออกมานั้น จึงเป็นผลออกมาจากต้น ก็คือมาจากชีวิตของพระคริสต์ คำนี้มันหมายถึงอย่างนั้น เพื่อให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์ผ่านทางพระองค์ มันแปลว่าอย่างนี้ คริสเตียนไม่ได้มีชีวิต เพื่อพระองค์ ซึ่งหลายท่านอาจจะเข้าใจผิด ในอดีตว่าเรามาเป็นคริสเตียนแล้ว เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ ไม่ใช่ เราจะไปอยู่เพื่อพระองค์ได้อย่างไร? กิ่งจะมาอยู่เพื่อต้นหรือ? ไม่ใช่ ต้นต่างหากที่เป็นผู้ซับพลายส์ หรือเป็นผู้ให้ชีวิตกับกิ่ง กิ่งมีหน้าที่รับเอา กิ่งมีหน้าที่พึ่งพาลำต้น เพราะฉะนั้น ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่พึ่งพาพระเยซูอย่างเดียว ไม่ใช่ไปรับใช้โดยการบอกว่าจะมาช่วยพระเยซูทำ ผลเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่เพราะกิ่ง ผลจะเกิดขึ้น ก็เพราะว่าลำต้นส่งอาหารมา อย่าเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น ความรักก็เช่นเดียวกัน เราจะผลิตความรักออกมาด้วยตัวเราเองไม่ได้ ความรัก คือผลที่มาจากลำต้นพระเยซูคริสต์ ผลของการอยู่ในพระคริสต์ของเรา  ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ทำให้เราสามารถแสดงผลออกมาเป็นความรักได้  ไม่ต้องพยายามที่จะเบ่งความรักออกมา เพราะว่าเบ่งอย่างไร ก็ทำเองไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแค่รับรู้ เชื่อและวางใจ และก็ฝึกฝนเท่านั้น เชื่อและวางใจว่าอยู่นิ่งๆ นะ อยู่นิ่งๆ แล้วก็รับเอาชีวิตนิรันดร์ ที่เราต่อติดกับพระเยซู เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่าน้ำพุแห่งชีวิต ไหลพุ่งขึ้นมาตลอด เป็นกิ่งต่อใหม่ๆ แล้วก็ดูดเอา ซึมซับเอาความรักนั้นเข้าไป

            ซึมซับอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เราประพฤติหรือทำตัวแย่ๆ ไม่ดี หงุดหงิด ไม่ได้เป็นความรัก ก็ให้เรารับรู้ในขณะนั้นว่าพระองค์ทรงอยู่กับเรา ถึงจะรับรู้ทีหลัง ก็ยังดี ถ้ารับรู้ตอนนั้นได้เลย ก็ดี ถ้ารับรู้ไม่ได้ หงุดหงิดไปแล้ว หลังจากนั้นมา ขณะที่เราหงุดหงิด  ขณะที่เราด่าทอ โกรธเขาไป ชีวิตพระคริสต์ก็อยู่กับเรา เรากำลังถูกหลอก แล้วอะไรอีก  แล้วก็รู้ตัวว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับเราในขณะนั้น และพระองค์ทรงทราบดีว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร? จุดอ่อน จุดแข็งเราเป็นอย่างไร?  เราคิดอะไรอยู่? และพระองค์จะนำเราในแต่ละคนไม่เหมือนกัน พระองค์รู้จักเราดีกว่าเรารู้จักพระองค์ เพราะเราเป็นกิ่ง พระองค์เป็นลำต้น มา 1 ยอห์น 4:10 กำลังพูดถึงความรัก เป็นความรักแบบพระเจ้าที่อยู่ในเรา …

        1 ยอห์น 4:10 “ความรักเป็นเช่นนี้ คือมิใช่ว่าเรารักพระเจ้า แต่พระองค์ได้รักเรา และส่งพระบุตรของพระองค์ให้เป็นเครื่องบูชา (ที่พอพระทัยถวายแด่พระเจ้า) เพื่อชดใช้บาปทั้งปวงของเรา”

            เห็นไหม? ความรักเป็นอย่างนี้ คือไม่ใช่เราพยายามรักพระเจ้า รักคนอื่น ไม่ใช่ ความรัก คือพระองค์ได้ให้เราก่อน ถ้าพระองค์ไม่ประทานความรักให้กับเรา  เราจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร? นึกถึงภาพว่าความรักเป็นข้าวสาร พระองค์ประทานข้าวสารให้กับเรา เราจึงจะมีข้าวสารที่จะไปให้กับคนอื่นที่หิวโหยได้ นี่เห็นชัดเจนเลย เราผลิตข้าวสารได้ไหม? ไม่ได้หรอก เราไม่มี ความรักเป็นของพระเจ้า ข้าวสารเป็นของพระเจ้าเพียงผู้เดียว ใครอยากได้ข้าวสารไปหาพระเจ้า พูดง่ายๆ เราไปหาพระเจ้า แล้วเราเชื่อแล้ว พระเจ้าประทานข้าวสารให้กับเรา เราก็สามารถเอาไปให้ใครได้ แล้วก็ไม่มีหมด มันไหลมาตลอด ยกเว้นเราจะถูกหลอกว่าหมดแล้ว ต้องผลิตเอง อย่างนั้นเป็นต้น

            แล้วในนี้บอกว่าอย่างไร? พระองค์ได้ทรงให้เราแล้ว ให้ด้วยวิธีใด? ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา เพื่อชดใช้บาปทั้งปวงให้กับเรา ความรักของพระองค์ที่ให้กับเรา โดยการสละชีวิต หลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เป็นแพะรับบาปทั้งปวงของมวลมนุษย์ ที่พระเจ้าพอใจแล้ว ตรงนี้มันหมายความว่าอย่างนี้ ที่พระเจ้าพอพระทัยแล้ว ทำไมพอพระทัย? พอพระทัยตามกฎวิญญาณที่พระองค์ทรงวางไว้เอง ตั้งแต่ในอดีต มันต้องเป็นไปตามกฎ คือเมื่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง แม้แต่เป็นลูก ก็คืออาดัมและเอวาปฏิเสธพระองค์ ไม่ต้องการพระองค์ ไม่เชื่อในพระองค์แล้ว เขาก็ได้รับสิ่งที่เขาต้องการนั้นไปเลย คุณได้รับในสิ่งที่คุณต้องการ ก็คือลูกต้องออกไป โดยที่ไม่มีพระเจ้า พระสิริพระเจ้าก็หายไป ก็ตกอยู่ในความบาป ความบาป คือการกระทำใดๆ ที่ผิดพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ตรงกับพระประสงค์ของพระเจ้านั่นเอง

            บาปทั้งปวงของเราได้รับการชดใช้ ลบล้างออกไปแล้ว  โดยพระเยซูมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน โดยการหลั่งพระโลหิต พระโลหิตของพระองค์ คือสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ตามกฎ เมื่อมนุษย์คนหนึ่งบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย มีคนเดียวในโลกนี้ ก็คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเมสิยาห์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เลือดของพระองค์ตามกฎ สามารถชดใช้บาปเวรกรรมของมวลมนุษย์ได้ ครั้งเดียวเป็นพอ นี่คือกฎ ดังนั้น พระเยซูทำตามกฎเป๊ะเลย  เกิดเป็นมนุษย์ บริสุทธิ์ สะอาด สิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต มนุษย์เลยได้รับความรอด ตามกฎนี้ เพราะฉะนั้น บาปทั้งปวงของเราได้รับการชดใช้ ลบล้างออกไปหมดสิ้นแล้ว อาจารย์ยอห์นบอก หมดสิ้นเลย

            “หมดสิ้น” “ลบล้าง” คำนี้ แปลว่าชำระจนเกลี้ยงเลย ไม่เหลือเลย ไม่มีทางที่จะกลับมามีบาปได้อีกเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นการชำระล้าง แบบสะอาดหมดจด เที่ยวเดียวเป็นพอ คือเอาบาปออกไปเลย จากมวลมนุษย์ ผู้ใดเชื่อ เขาก็ได้รับการเอาบาปออกไป โดยพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเอาบาป ลบบาปออกไป ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? บาปได้ถูกเอาออกไปไกลเท่านั้น ตะวันออกกับตะวันตกไม่มีวันได้เจอกันเลยนะ ทิศเหนือกับทิศใต้ยังมีวันได้เจอกัน ถ้าเราออกเดินทางทางทิศเหนือวันหนึ่งเราก็จะไปเจอขั้วโลกใต้ ถูกไหม? ตามการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ แต่ถ้าเผื่อมุ่งหน้าทางทิศตะวันออก ท่านไม่มีทางเจอทิศตะวันตกเลย มันก็หมุนไปเรื่อย พระเจ้าเรายอดเยี่ยมขนาดไหน? นี่ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะรู้เรื่องโลกกลม โลกหมุนอย่างไร? นี่ตั้งหลายพันปีแล้ว 3,000 กว่าปีบันทึกเอาไว้ พระองค์เอาบาปของมวลมนุษย์ออกไปไกลเท่านั้น คือระหว่างตะวันออกกับตะวันตก คือไม่เจอกันอีกแล้ว  เราไม่มีวันจะเป็นบาปอีกแล้ว ตราบใดที่เรายังเห็นดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก

            เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เรามีอยู่นี้  คือชีวิตที่เหมือนพระเยซู ชีวิตที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต นิรันดร์เลย ข้อต่อไป ข้อ 11 …

        1 ยอห์น 4:11 “ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้ารักเราเช่นนั้น เราก็ควรรักซึ่งกันและกันด้วย”

            ถ้าพระเจ้าให้ความรักกับเราอย่างนั้น เราก็สามารถรักกันและกันได้ พูดง่ายๆ คืออย่างนี้ เราสามารถรักผู้อื่น ก็เพราะว่าพระเจ้ารักเราก่อน เราสามารถให้กับคนอื่นได้ ก็เพราะพระองค์ให้เราก่อน อย่างที่ตะกี้ผมยกตัวอย่างข้าวสาร เราสามารถให้ข้าวสารคนอื่นได้ ก็เพราะว่าพระเยซูได้ให้ข้าวสารกับเราก่อน ให้ความรักกับเรา เราก็เพียงแต่รับรู้ว่าพระองค์ให้กับเราแล้ว เรามีอยู่แล้ว เต็มตุ่ม เราก็แบ่งข้าวสารเหล่านั้นให้กับคนอื่น เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือให้รู้ความจริงเหล่านี้ ซึมซับความจริงเหล่านี้ ซึมซับความรักของพระเจ้า ที่ล้นอยู่ในใจของเรา แล้วก็ฝึกฝนในการสำแดงมันออกมา ไม่ใช่พยายามด้วยกำลังของตนเอง

            ความจริงในโลกวิญญาณ คือเราผู้เป็นคริสเตียน ในทางวิญญาณ เราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นความรักของพระองค์อยู่ในเรา ไหลผ่านชีวิตเราตลอดเวลา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์เป็นพลังแห่งชีวิต เราจำเป็นต้องพึ่งในพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพลังแห่งชีวิต เราเป็นผู้รับพลังแห่งชีวิตนี้ไม่ใช่เป็นผู้ผลิต หรือผู้ให้ แต่เราเป็นผู้รับจากพระองค์ แล้วให้มันไหลผ่าน เป็นผลออกมา เหมือนกิ่งไม้กับลำต้น กิ่งไม้จะออกดอก หรือออกลูก รับอาหารจากลำต้น ข้อ 12 …

        1 ยอห์น 4:12 “ยังไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็อาศัยอยู่ในตัวเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ ก็บริบูรณ์อยู่ในเราด้วย”

            “บริบูรณ์” ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความรัก พระคริสต์อยู่ในเรา ความรักอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระคริสต์เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้  พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นความรักที่ไม่ใช่ความรักแบบมนุษย์ เป็นความรักแบบพระเจ้า พระคริสต์เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้  เราก็เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ แบบอากาเป้เหมือนกัน ความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้าที่สมบูรณ์ครบถ้วน เป็นของประทาน

            จากวันนี้ที่ได้ศึกษาถ้อยคำเหล่านี้ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าความรักแบบอากาเป้ของแท้จริงของพระเจ้านั้น เป็นของประทาน นั่นหมายถึงว่าเราสร้างขึ้นเองไม่ได้ เราทำขึ้นเองไม่ได้ มันเป็นของประทานจากพระเจ้า เป็นพระลักษณะของชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ที่เราได้รับมาแล้ว ตอนที่เราบังเกิดใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ด้วย เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราได้บังเกิดใหม่ด้วยชีวิตนิรันดร์นี้ เราได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และเต็มล้นไปด้วยความรักแบบอากาเป้นี้ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ จนไปถึงนิรันดร์ ไม่มีวัน ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอีกเลยนิรันดร์ เอเมน

            นี่คือสถานะในวิญญาณของผู้ที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์  และขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงดำเนินชีวิตอยู่ภายในเรา กำลังฝึกฝนชีวิตใหม่ของเรานี้ คือฝึกฝนดำเนินชีวิต ในความรักแบบอากาเป้นี้ ฝึกฝนการดำเนินชีวิตแบบชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์นี้ ให้สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นความรัก ความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม อย่างสมบูรณ์ ชั่วนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว นึกออกใช่ไหม? พระวิญญาณจะสอนเรา จะฝึกฝนเรา ในสิ่งที่เราเป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่ฝึกฝนเราให้เราเป็น แต่ฝึกฝนตามสิ่งที่เราได้เป็นอยู่แล้ว

            ทำไมพระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “ฝึกฝน” เพราะฝึกฝนความประพฤติ ฝึกฝนการกระทำที่เป็นอยู่แล้ว เป็นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดร์ แต่ฝึกฝนนี้ เป็นอย่างไร ความประพฤติ มันเปลี่ยนได้ มันพลาดได้ พอจะมองเห็นภาพนะ นักกีฬาฝึกฝน ก็พลาดได้ เด็กๆ ฝึกฝนอะไรก็พลาดได้ เราฝึกฝนทำอะไร มันก็จะผิดพลาดบ้าง แต่ฝึกฝนมากเท่าไร มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นมากเท่านั้น นี่คือหลักการในทางของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และความรักแบบอากาเป้ ชนิดที่เป็นของพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังฝึกสอนเราอยู่นี้ มีคุณสมบัติ ลักษณะเป็นอย่างไร? อาจารย์เปาโลเปิดเผยของประทานนี้ ว่าของประทานนี้ มีลักษณะเป็นอย่างนี้ ให้ทุกคนแสวงหา รับรู้ว่ามันอยู่ภายในเรา และให้ผลของพระวิญญาณ ออกมาในชีวิตของเรา เรามาดูลักษณะของความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้าที่เป็นของประทานให้กับเรา หน้าตาเป็นอย่างไร? 1 โครินธ์ 13:4-8 …

        1 โครินธ์ 13:4-8 “ความรักเป็นการอดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักเป็นการไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดี เมื่อประพฤติชอบ  ความรักเป็นการทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”

            ทั้งหมดนั้น เป็นลักษณะของของประทานความรัก ซึ่งอยู่ในชีวิตของคริสเตียนทุกคนอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ เป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ที่เรียกว่าคริสเตียน วิญญาณและใจข้างในของเรา เป็นความรัก แบบอากาเป้นี้  เป็นความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้าเลย ไม่มีส่วนอื่นผสมอยู่เลย รับรู้ความจริงนี้ ซึมซับรับเอาความรักจากพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในวิญญาณของเรา แล้วฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ทุกวัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะนำเรา จะสอนเรา ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ดำเนินชีวิตด้วยความรักแบบอากาเป้ ที่อยู่ในใจของเราให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ฝึกฝน ฝึกฝน ด้วยวิธีในพระคัมภีร์บอก โดยการตั้งความคิดไว้เลยว่ายอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตา หู คอ จมูก ลิ้น กาย ทุกส่วนในร่างกาย อวัยวะของเรา ให้พระเจ้าใช้ เป็นเครื่องมือ ปลดปล่อยให้ความรักของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรานั้น ได้สำแดงออกมาเป็นการกระทำนั่นเอง

            นี่คือหน้าที่ของคริสเตียน คือยอมเท่านั้นเอง ตัดสินใจยอมให้พระวิญญาณนำ  แล้วก็ยอมเชื่อฟัง จะใช้อะไรก็ว่ากันเท่านั้นเอง แน่นอนฝึกฝน มันก็จะผิดบ้าง พลาดบ้าง เผลอบ้าง พลั้งบ้าง มันก็ไม่เป็นไร ขอบคุณพระเจ้า เริ่มต้นใหม่ พระวิญญาณ ก็จะนำเราต่อไป ให้เชื่อมั่นตรงนี้ ให้ไว้วางใจในพระเจ้าตรงนี้ นี่คือถ้อยคำแห่งความจริง  พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 3

            คริสเตียน

            ก่อนเชื่อ เป็นทาสบาป …

            หลังเชื่อ เป็นทาสความชอบธรรม

            โรม 6:16-18 … “16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาส ต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม 17 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ถึงแม้ท่านจะเคยเป็นทาสของ ความบาปมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้ ท่านได้เชื่อฟังแบบอย่าง คำสอนที่พระเจ้าให้ครอบครองท่านนั้นอย่างสุดหัวใจ 18 ท่านจึงไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป แต่เป็นทาส (ความชอบธรรม) ที่ทำตามใจพระเจ้า”

            ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป โดยมีธรรมชาติในวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า นำไปสู่ความตาย และคำสาปแช่ง

            หลังเชื่อ เป็นทาสความชอบธรรม โดยมีธรรมชาติในวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า นำไปสู่ชีวิตและพระพรนานัปการ

            ก่อนเชื่อเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง

            หลังเชื่อเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง

            คริสเตียนจึงเป็นลูกของพระเจ้า ที่มีธรรมชาติในวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง   พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1497

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “วันขอบคุณพระเจ้า”

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้ข้อพระคัมภีร์เน้นๆ เกี่ยวกับพระคุณที่พระเจ้าให้กับพวกเราว่ามันมีอะไรบ้าง? เราจะได้รับรู้ไว้ว่าเราได้แล้ว เริ่มต้นจาก ยอห์น 3:16 …

        ยอห์น 3:16 TNCV “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”

            นี่คือพระพรอันแรกที่พระเจ้าให้กับพวกเรา สมควรที่จะต้องขอบคุณพระองค์ เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงรักพวกเรามากๆ มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา ใครก็ตามที่วางใจในพระบุตรนั้น

            อันดับแรกที่เราได้ ก็คือเราไม่พินาศในนรก แล้วเราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตชนิดแบบเป็นของพระเจ้าเลย ได้รับทันที

        ยอห์น 1:12 TNCV “ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า”

            อันที่ 2 คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้สิทธิพิเศษ คือเป็นลูกของพระเจ้าทันที เป็นแล้วเป็นเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ใช่วันนี้เป็นลูกพระเจ้า พรุ่งนี้เผลอไปทำบาป แล้วกลายเป็นลูกมาร ไม่มี เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย

        ยอห์น 14:1-4, 6 TNCV “1 “อย่าให้ใจของท่านทั้งหลายเป็นทุกข์ จงวางใจในพระเจ้า และจงวางใจในเราด้วย 2 ในนิเวศของพระบิดาของเรามีห้องมากมาย ถ้าไม่มีเราคงได้บอกพวกท่านแล้ว เรากำลังไปที่นั่น เพื่อเตรียมที่สำหรับพวกท่าน 3 และเมื่อเราไปเตรียมที่สำหรับพวกท่าน เราจะกลับมารับพวกท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านก็จะได้อยู่ที่นั่นด้วย 4 พวกท่านรู้จักทางไปสู่ที่ซึ่งเรากำลังจะไป 6 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา”

            อันที่ 3 ทางเดียวเท่านั้นที่มนุษยชาติจะสามารถไปถึงพระบิดาได้ คือมาทางพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้น แล้วพระองค์ได้สัญญาว่าพระองค์ไปจัดเตรียมที่ไว้ ที่บนสวรรค์มีเยอะแยะมากมาย และวันหนึ่ง เมื่อลมหายใจพวกเราออกจากร่างปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็มารับวิญญาณของเรา ที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว  ไปอยู่กับพระองค์ที่สวรรคสถานนิรันดร์กาล ชัวร์ มั่นใจ 1,000% ว่าเราไม่ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพื่อถูกพิพากษาลงโทษแน่นอน นี่คือคำสัญญา

        เอเฟซัส 2:8-10 TNCV “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า   ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”

            ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นคำสัญญาว่าพวกเรารอดพ้นจากบาป จากเคราะห์กรรม เวรกรรม จากการตกนรกได้ โดยพระคุณ พระคุณที่พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มาให้กับพวกเรา ตายบนไม้กางเขน ไม่ใช่ เพราะเรากระทำดี เพราะผลงานของเรา ที่ทำบนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องไปอวด เพราะส่วนใหญ่ ถ้าทำดีและขึ้นสวรรค์ได้ เราก็อวดได้ …

            “เห็นไหม? ดูฉันเป็นตัวอย่าง ฉันทำดีเยอะมาก ฉันจึงได้ขึ้นสวรรค์”

            แต่พระเจ้าบอกไม่มีใครสามารถทำได้ ฉะนั้น ความรอดนี้มาจากพระเจ้า เป็นของประทาน เพื่อเราจะไม่ได้ไปอวด ไม่ไปทับถม หรือเกทับใคร อะไรประมาณนี้ เราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เพื่อทำการดี ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือเมื่อเราวางใจในพระเจ้า กลับใจใหม่ บังเกิดใหม่ ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในเรา วิญญาณใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเจ้าเลย แล้ววิญญาณใหม่เราเป็นความดี ฉะนั้น เมื่อวิญญาณใหม่เราเป็นความดีแล้ว เราก็จะส่งผลของวิญญาณใหม่ของเราออกไป ทำการดี คือเรารอดแล้ว เราจึงทำดี  แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราทำดี เพื่อได้รับความรอด ซึ่งมันไปไม่รอดนั่นแหละ แต่เรารอดแล้ว พระเจ้าเลยให้เราทำความดี

        เอเฟซัส 1:3 TNCV “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน”

            อีกอันหนึ่งที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการที่สวรรค สถาน พระเจ้าให้กับเราแล้ว ที่เราคุยกันตลอดเวลา เราได้วิญญาณใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้อยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา

            ฉะนั้น ตรงนี้ คือพระพรหมดเลย แล้วสิ่งที่สำคัญ คือพระเจ้าบอกเราว่า ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ เราได้นั่งอยู่ที่เดียวกับพระเยซูคริสต์ ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว อันนี้เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องรอลุ้นว่าถ้าวิญญาณเราออกจากร่าง เราไปอยู่ตรงไหน? พระเจ้าบอกอยู่ตรงนี้แหละ ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ อันนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้

        1 เปโตร 1:3 TNCV “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา! ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ ผลตรงนี้ ก็คือถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ตาย เราก็ไม่ตายด้วย ไม่ตาย หมายความว่าวิญญาณเก่าเรายังอยู่เหมือนเดิม ความบาป มันก็ยังอยู่กับเราเหมือนเดิม ตายไม่ได้ ถ้าตาย ก็คือไปอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ที่ที่เต็มไปด้วยการสาปแช่ง ฉะนั้น พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องตาย เพื่อจะได้เอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย เมื่อวิญญาณเก่าเราตายปุ๊บ เราก็จะได้เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย นี่คือพระพรที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน

        ฟีลิปปี 1:6 TNCV “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร? จริงๆ เริ่มต้นตั้งแต่เรายังไม่เกิดนั่นแหละ แต่ถ้าภาษาที่เราฟังเข้าใจ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเหมือนพระเจ้าแล้ว พระองค์เริ่มต้นทำการงานในชีวิตของเรา เราไม่ต้องกลัวว่าพระเจ้าจะทิ้งเรา เพราะพระองค์บอกพระองค์สถิตอยู่ในเรา ไม่ทิ้งเราไปไหน เราทำบาปอยู่ พระเจ้าก็ยังอยู่ด้วยเลย นึกออกไหม? เมื่อก่อนถูกสอนว่าทำบาปเมื่อไร พระเจ้าหนีออกไป ดิฉันก็ถูกสอนมาอย่างนี้ แล้วดิฉันก็สอนพวกเราด้วย ตอนนี้รู้ความจริงแล้ว เอาใหม่ ลบข้อมูลเก่าๆ ออกไป ก็คือขณะที่เราทำบาปอยู่ พระเจ้ายังอยู่กับเราด้วย แต่พระเจ้าอยู่ด้วยการลุ้น ไม่ได้ลุ้นว่าเราจะตกนรกนะ เพราะว่าเราได้รับความรอดแล้ว ลุ้นว่าถ้าเราทำบาป เราจะเก็บเกี่ยวผล ผลของโลกใบนี้ ก็คือเดี๋ยวจะเจ็บตัวนะลูก พระเจ้าลุ้นแค่นั่นเอง

            ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่าพระองค์เริ่มต้นการงานดี พระองค์ที่อยู่ในเรา จะคอยช่วยเหลือเรา แนะนำเรา จูงมือเราเดิน ถ้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเมื่อไร ก็จะแบกเราขึ้นบ่า แล้วก็พาไปเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต วันที่วิญญาณเราออกจากร่างเมื่อไร? สบายเลย อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก อยู่เพื่อรับใช้ ตายได้กำไร ภาษาตรงนี้ ภาษาคริสเตียน เราจะรู้เลย ตายเมื่อไรได้กำไรเมื่อนั้น คือเมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราไม่ต้องดิ้นรนอยู่บนโลกใบนี้อีก ถามจริงพี่น้อง อยู่บนโลกใบนี้ สบายไหม? ไม่สบาย แม้ว่าเรามีพระเจ้าอยู่ด้วย เราก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาเยอะแยะมากมาย 108 … 1009 ถาโถมเข้ามา เราจะบอกว่าเราสุขสบายดี ไม่มีปัญหาใดๆ มันไม่จริงหรอก ปัญหาแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ใหญ่บ้าง  เล็กบ้าง แล้วแต่จังหวะของชีวิต ทุกคนต้องเจอ แล้วเรายังต้องเจอการตัดสินใจทุกอย่าง ทุกวัน ทุกวินาทีว่ามีการล่อลวงเข้ามาอย่างนี้ เราจะตัดสินใจอย่างไร? ตัดสินใจตามน้ำพระทัยพระเจ้า หรือเราจะตัดสินใจตามโลกนี้ ส่งข้อมูลเข้ามา อันนี้ทุกข์นะ แล้วก็กลุ้มใจ อย่างไรดีๆ พอตัดสินใจผิดพลาดปุ๊บ นั่งกุมขมับเลย …

            “พระเจ้า ลูกขอโทษ ให้กำลังลูก ให้ลูกเริ่มต้นใหม่” … เราไม่ต้องสารภาพบาป

            นี่คือภาพจริงๆ ที่ในตลอดชีวิตของพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อแล้ว  ต้องเผชิญ ฉะนั้น เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง สบายเลย กำไรชีวิต

            กำไรอันดับแรก คือเราไม่ต้องมาสู้บนโลกใบนี้แล้ว

            อันดับที่ 2 กำไรแน่ๆ เลย ได้ไปเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ตอนนี้เราไม่เห็น ตอนนี้เราจินตนาการอยู่นั่นแหละ ว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์หน้าตาจะเป็นอย่างไร? แล้วมีคนจินตนาการวาดเป็นภาพพระเยซู เราก็ไม่รู้ว่าภาพนี้ จริงหรือเปล่า? พระเยซูหน้าตาแบบนี้จริงไหม? อะไรแบบนี้ แต่ว่าถึงวันนั้นจริงๆ เราเจอพระเยซูหน้าต่อหน้า แล้วเราก็ยังได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูเป๊ะๆ เลย แล้วตอนนั้น เราก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนสวรรค์ กระดิ๊กเท้า มีความสุข นั่งรอทุกคนที่เรารัก พ่อแม่ ปู่ย่า ตาทวด เพื่อนในโบสถ์ เพื่อนในโลกใบนี้ที่เขาเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ยังไม่จากไป เราก็นั่งลุ้น เราเชียร์นะ ยังไงก็รอด แต่จะรอดแบบหัวทิ่มหัวตำ หรือรอดแบบฉลุย นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ นี่คือพระพร นี่แค่ส่วนหนึ่งเองนะ ถ้อยคำของพระเจ้า มีเยอะแยะมากมายเลยที่พระเจ้าเตรียมการ สำหรับพวกเราทุกๆ คน

            ฉะนั้น สมควรไหมที่เราจะขอบพระคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าได้ทุกวินาที ทั้งยามหลับ ยามตื่น คือไม่มีเหตุผลอะไร หรือเรื่องอะไรที่จะทำให้เราไม่ขอบคุณพระเจ้าได้ พี่น้องว่าไหม? คือทุกอย่าง ขอบคุณพระเจ้าอย่างเดียวเลย เราจะเห็น เวลาเราไปอยู่กับคนที่ไม่เชื่อ เพื่อนฝูง พออะไร เราขอบคุณพระเจ้า โดยอัตโนมัติ เพื่อนเขาก็จะงง เหล่ใหญ่เลย ขอบคุณอะไร? บางทีคนให้ของเรา เราก็ …

            “ขอบคุณพระเจ้า”

            “ฉันเป็นคนให้นะ  ทำไมไม่ขอบคุณฉัน ไปขอบคุณพระเจ้าทำไม?” อะไรแบบนี้

            แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกจริงๆ ของเรา ที่เราอยากจะขอบคุณพระเจ้าในทุกสิ่งสารพัด ที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา แล้ววันนี้ โอกาสพิเศษ ที่เรามาเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้า ร่วมกัน แล้วก็แบ่งปันถ้อยคำสั้นๆ เก็บเอาไว้ให้พี่น้องเอาไประลึกถึงสิ่งที่ดีงาม ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 2

            ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม

            หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            1 โครินธ์ 15:22 … “เพราะว่าในอาดัม  คนทั้งปวงตายฉันใด  ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”

            ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม

            หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            ก่อนเชื่อ : วิญญาณอาศัยอยู่ในดินแดนของเนื้อหนัง ใจจดจ่อที่กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ร่างกายเดินตาม อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

            หลังเชื่อ : วิญญาณอาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระวิญญาณ  ใจจดจ่อที่พระวิญญาณ  ร่างกายดำเนินตามพระวิญญาณ หรืออาจถูกหลอก ล่อลวงให้ทำตาม อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

            ความรอดในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แค่การอภัยในความบาปให้กับเรา หรือแค่ยอมรับเราเป็นลูกของพระองค์เท่านั้น แต่หมายถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวตนทางวิญญาณของเรา คือการเปลี่ยนแปลงสถานะและที่อยู่อาศัย และการบังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่เนรมิตสร้างขึ้นใหม่ในวิญญาณของเรา

            ข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงเป็นฤทธิ์เดช ที่ทำให้ผู้เชื่อนั้นได้รับความรอด ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ หรือการกระทำใดๆ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1496

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 12 “พระเจ้าอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 12 “พระเจ้าอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก” ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้ถึง 1 ยอห์น 4:1-6 อาจารย์ยอห์นสอนถึงเรื่องการสังเกตวิญญาณ  เพื่อจะได้รู้ว่าวิญญาณใดมาจากพระเจ้า เป็นของจริง วิญญาณใดมาจากปฏิปักษ์พระคริสต์ เป็นของปลอม เป็นของเท็จ ปฏิปักษ์ ก็คือเป็นศัตรู ต่อต้าน วิธีการสังเกต ก็คือให้ดู ฟัง วิเคราะห์จากคำสอน คำพูด และหลักข้อเชื่อของคำพูดเหล่านั้น ของผู้ที่พูด ผู้ที่สอน ผู้ที่บรรยายว่าถ้อยคำเหล่านั้น เชื่อหรือไม่ว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระเจ้ามาเกิดในร่างกายแบบมนุษย์ หัวข้อใหญ่ที่สุดของการเป็นพระเมสิยาห์ ก็คือพระเจ้ามาเกิดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นความเชื่อ ที่สำคัญที่สุดของคนที่เป็นคริสเตียน เชื่อตรงนี้ได้ไหมว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

            ข้อสำคัญที่สุดเป็นกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับร่างกายของมนุษย์ที่เขาเชื่อกันว่ามันสกปรก โสโครก มีแต่การทำบาป แต่พระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับร่างกายนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ถ้าเชื่อได้ว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับพระเยซูในร่างกายแบบมนุษย์ได้ ก็จะสามารถเชื่อได้ว่าตัวเราเอง หรือผู้เชื่อ หรือคริสเตียนเอง ก็สามารถเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในร่างกายเรา เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสุดยอดของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และเราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระองค์เหมือนกัน

            นี่ไง จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเริ่มต้นเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ซึ่งความเชื่อนี้ อย่างที่บอก เป็นกระดุมเม็ดแรก ถ้าตรงนี้ไม่เชื่อ ทุกอย่างก็จะเพี้ยนไปเรื่อยๆ

            การสอนเท็จไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผิดไปจากความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่วันคริสต์มาสไปจบเอาวันอีสเตอร์ จำได้ไหม? วันคริสต์มาส ก็คือเน้นที่พระเจ้ามาเกิดในร่างกายของมนุษย์ แล้วมาจบวันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ 2 อันนี้ คือบทสรุปของข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนบริบูรณ์

            เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พระเยซูเกิดเป็นแบบมนุษย์ อยู่ในร่างกายมนุษย์ จนกระทั่ง วันที่เป็นขึ้นจากความตาย มนุษย์สามารถจะเป็นขึ้นจากความตาย และพระเจ้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขาได้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงเป็นหัวข้อสำคัญมากในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งแต่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ได้ครองโลกทั้งใบ ทั้งหมด ในวันที่สิ้นสุดโลกใบนี้ เราได้อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เราดำเนินชีวิตในโลกใบนี้แล้ว มันก็เป็นอย่างนี้ ถึงจะครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ตามที่พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ครั้งเดียวเป็นพอ คือเกิดครั้งเดียว แล้วสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว หลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว  เป็นขึ้นมาจากความตายเพียงครั้งเดียวพอ สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น พวกต่อต้าน เขาก็จะต่อต้าน เริ่มตั้งแต่อย่างที่บอกไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ แล้วก็อื่นๆ อีกมากมาย จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป    พระเยซูก็จะถูกทำให้เสียหายไป   ทำให้คริสเตียนไม่มั่นใจเต็ม 100% ว่าคริสเตียนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขา ตั้งแต่ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วจริงๆ อาจารย์ยอห์นจะเน้นย้ำตรงนี้ จริงๆ

            พวกต่อต้าน หรือปฏิปักษ์พระคริสต์นี้ ทำให้ข่าวประเสริฐเหล่านี้เสียหาย ทำให้เกิดเป็นผล ทำให้คนเป็นคริสเตียนเอง คนที่เชื่อแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ไม่มีความมั่นใจเต็ม 100% ว่า …

            “ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้า ฉันได้อยู่อาศัยในพระคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เป็นพลเมืองของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรคสถาน และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปชั่วนิรันดร์ รอวันที่ได้รับร่างกายใหม่ หลังจากความตายเท่านั้น เอเมน”

            อย่างที่บอกปฏิปักษ์พระคริสต์เขาจะพยายามลบล้างความจริงเหล่านี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าลบได้หมด ปิดบังได้หมด ก็จะปิดบังให้หมดเลย ถ้าไม่ได้ ก็ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ในเมื่อปิดบังไม่ได้ เขาได้รับความรอดไปแล้ว เขาเชื่อพระเยซูไปแล้ว โอเค ปิดบังต่อไป เป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ได้รับความรอดแล้ว แต่ได้รับความรอดแบบกระท่อนกระแท่น ไม่ได้รับพระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็ไม่สามารถที่จะสำแดงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเขา ออกมาจากใจ วิญญาณของเขาที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วได้ ในชีวิตของเขา ก็ไม่ได้สามารถเป็นพยานได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

            ครั้งที่แล้วเราจบลงตรงที่ 1 ยอห์น 4:4-6 ซึ่งวันนี้จะขออธิบายเพิ่มเติมใน 3 ข้อนี้ ตามบริบทนี้ว่าหมายถึงอะไรให้ละเอียดขึ้น เพราะมีผู้เข้าใจผิดเยอะพอสมควร เราลองอ่านดูก่อน 1 ยอห์น 4:4-6 …

        1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ 5 พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้ 6 แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            เริ่มจาก 1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น”

            “พวกเหล่านั้น” คือพวกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์

            “ลูกๆ เอ๋ย” ก็คือผู้เชื่อ ก็คือคริสเตียน

            พวกคุณเป็นของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า ได้มีชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น พวกปฏิปักษ์พระคริสต์ “พวก” หมายถึงเยอะ มีมาก  เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ก็คือพวกคริสเตียน ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก ตามบริบทนี้ คริสเตียนเป็นของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเขา แล้วพระเจ้าเป็นความจริง ความจริงอยู่ในตัวเขา อยู่ในใจเขา ซึ่งความจริงนี้มีชัยชนะอยู่เหนือความเท็จ ซึ่งเป็นความเท็จที่มาจากมาร ซึ่งถูกครอบงำ ล่อลวง โดยมารที่ทำงานอยู่ในโลก ก็คือพวกคนเหล่านั้น ที่หลงเชื่อมาร หลงเชื่อคำเท็จ มีคำเท็จอยู่ในตัวเขา ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านั้น เยอะแยะมากมาย แต่ตามบริบทนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังจะเน้นถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วตั้งตนเป็นคนสอนด้วย เฉพาะบริบทนี้นะ

            พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าความมืด อาจารย์บอกอย่างนี้ ให้รู้ถึงโลกวิญญาณว่า คริสเตียนแท้ๆ จริงๆ เป็นอย่างไร? ถ้าไม่ใช่คริสเตียนเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ ผู้สถิตอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามาร พ่อแห่งการมุสา ต้นกำเนิดของความบาป ความชั่วร้ายที่อยู่ในโลก การงานของมาร คือการเป็นศัตรูต่อต้านพระคริสต์ ด้วยการโกหก หลอกลวงมนุษย์ให้หลงเชื่อ ต่อต้านความจริงของพระเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ หรือต่อไม้กางเขน นี่คือการงานของมาร ที่หลอกล่อ หลอกลวงมนุษย์  ความชั่วร้ายของมาร มีอิทธิพลต่อมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของมันที่อยู่ในโลกเท่านั้น แต่คริสเตียนผู้เชื่อเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้เป็นทาสมารที่อยู่ในโลก

            เพราะฉะนั้น ความจริง ก็คือคริสเตียนนั้น แม้ว่าดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ ตามที่ตามองเห็น แต่เขาไม่ได้เป็นของโลก คริสเตียนเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ เราได้ถูกย้ายจากการอยู่ในโลก มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้มีการย้าย เปลี่ยนมาจากอยู่ในโลก เป็นของมาร ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ เป็นของพระเจ้า เป็นคนของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว เราไม่ได้เป็นของโลก  ไม่ได้เป็นทาสมาร

            เราเป็นของพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นพลเมืองของสวรรค์ เป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ

            เราได้บังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อวิญญาณของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ วิญญาณเราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า เต็มด้วยพระลักษณะของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ขณะนี้

            เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเจ้า

            พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราในร่างกายนี้ ขณะนี้ เราเดินไปไหน 3 พระภาคก็ไปกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เอเมน

            เหล่านี้ คือความจริง ซึ่งมองไม่เห็น เพราะอยู่ในโลกวิญญาณ แต่พระเจ้าชี้ให้เราเห็น อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณนี้เป็นอย่างนี้

        1 ยอห์น 4:5 “พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้”

            พวกคนเหล่านั้น ก็คือพวกผู้เผยพระวจนะ พวกสอนเท็จเหล่านั้น พวกที่สอน ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านั้น เป็นของมาร มารมีอิทธิพลอยู่ในโลกนี้ เป็นของโลกนี้ หมายถึงโลกวิญญาณนะ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขา คือพวกผู้เผยพระวจนะเท็จ ผู้ที่สอน เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ สอนต่อต้านความจริงของข่าวประเสริฐของพระคริสต์ สิ่งที่เขาพูดนั้น สิ่งที่เขาสอนนั้น ก็มาจากโลกนี้ เห็นไหม? เพราะเขาเป็นของโลกนี้ เป็นของมาร สิ่งที่เขาพูด ก็มาจากมารนั่นเอง มารหลอกลวง ล่อลวงให้เขาเชื่อตามนั้น เขาก็เลย พูดตามมารบอก

            และในนี้บอกว่าผู้ซึ่งอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก เห็นหรือยัง ผู้ที่อยู่ในเรา อยู่ใน คริสเตียนผู้เชื่อนั้น ก็คือความจริงที่อยู่ในเรา ที่ตะกี้นี้ที่ได้พูดถึงเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เป็นใหญ่กว่า ซึ่งมันเป็นจริง มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ใหญ่กว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ในโลก คือใหญ่กว่าคนที่สอนเท็จ สอนผิด สอนต่อต้านพระคริสต์ ที่อยู่ในโลก ที่เป็นทาสของมารอยู่ ซึ่งเป็นพวกที่ถูกหลอกลวง ล่อลวงด้วยการโกหกของมาร ให้ต่อต้านความจริง ไม่ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ต่อต้านกับเรา เพราะว่าข้างในวิญญาณมันคนละขั้วเลยใช่ไหม? ข้างในวิญญาณของคริสเตียนนั้น มีพระคริสต์ แต่สำหรับคนที่กำลังสอน ไม่เชื่อเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่เชื่อข่าวประเสริฐ เขาเป็นของโลก เป็นของมาร เขาต่อต้านข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์

            มาร คือใคร? ในพระคัมภีร์บอกว่ามารเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง ตั้งใจฟังตรงนี้ จะได้รู้ จะได้ไม่กลัว รู้ความจริง มารเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง เจ้าแห่งความเท็จ ที่มีอิทธิพลอยู่ในโลก เมื่อตะกี้เราบอกว่าเราเป็นคริสเตียน เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลก แต่เราไม่ได้เป็นของโลก เราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เราอยู่ในพระคริสต์ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ ต้องช้าๆ ค่อยๆ จะได้เห็นชัดเจน มารเป็นเจ้าแห่งความเท็จ หลอกลวง มีอิทธิพลอยู่ในโลก หลอกให้มนุษย์ในโลก หลงเชื่อคำเท็จต่อต้านความจริงข่าวดีของพระคริสต์ ปิดบังตาฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ไม่ให้รู้เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างที่ตะกี้นี้บอกตั้งแต่ต้นว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่คริสต์มาสจนกระทั่งถึงวันอีสเตอร์ วันเป็นขึ้นจากความตายว่ามีผลอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์บ้าง? พยายามปิดบังตาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

        มาข้อสุดท้าย 1 ยอห์น 4:6 “แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            “แต่พวกเรา” คือใคร? อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดถึงอะไร? แต่พวกเรา คือพวกอัครทูต ในบริบทนี้ อาจารย์ยอห์นพูดถึงว่าอัครทูตผู้ประกาศข่าวดี ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูบอกว่า “ให้พวกเธอออกไปประกาศข่าวดีนี้” แต่พวกเราอัครทูต ผู้ประกาศความจริงของข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ เป็นของพระเจ้า มาจากพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราพูด คนที่เป็นคริสเตียน ที่มีวิญญาณเหมือนกับพวกเรา เรียกว่าคริสเตียนผู้เชื่อ ก็จะฟังเรา ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น เขาก็จะฟังเรารู้เรื่อง แต่คนที่ไม่เชื่อ ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ พวกนั้น เขาก็จะไม่ฟัง ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นชัดเจนเลย

            สรุปแล้ว โลกวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง  แห่งหนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรแห่งความจริง ที่เป็นอาณาจักรแห่งความสว่างกับอีกแห่งหนึ่ง คืออาณาจักรแห่งความเท็จ  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด มีคนของพระเจ้า และมีคนของมาร มีพวกของพระเจ้าและมีพวกของมาร นี่พูดถึงในโลกวิญญาณนะ  มีคนที่อาศัยอยู่ในโลก และมีคนที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์

            ท่านคิดดูว่าท่านเป็นใคร? ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ในโลกวิญญาณ ท่านอยู่ในโลก หรืออยู่ในพระคริสต์ มารที่กระทำการงานอยู่ในโลก ไม่มีอำนาจเหนือมนุษย์เลย  เพราะฉะนั้น มันจึงต้องใช้การหลอกลวง ล่อลวงด้วยคำชักชวน คำโกหก เหมือนกับที่มันเคยทำกับบรรพบุรุษของมวลมนุษย์มาก่อน คืออาดัมและเอวาตั้งแต่เริ่มต้น ถ้ามันมีอำนาจจริง มันคงไม่หลอกลวง ล่อลวง มันได้แต่หลอกลวง ล่อลวงมนุษย์ คอยพูดไปเรื่อยๆ ยุแหย่ ชักจูงให้ต่อต้านพระเจ้า ให้หลงเชื่อ คำพูดของมัน แล้วก็ทำตาม ก็คือต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของพระเจ้า ละเมิดกฎของพระเจ้า คือการทำบาป เหมือนดังอาดัมและเอวาได้ตกลงไปในการทำบาป เพราะไปเชื่อมัน แล้วก็เก็บเกี่ยวเอาความทุกข์ ซึ่งเรียกว่าคำสาปแช่ง ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  แล้วพอได้รับคำสาปแช่ง มันก็ซ้ำเติม …

            “เพราะแกเป็นคนทำ”

            จริงๆ มาจากมันแหละ มันเป็นต้นเหตุ

            เห็นชัดเจนเลยว่ามารไม่มีอำนาจเหนือ มนุษย์ ไม่สามารถที่จะมีอำนาจบังคับมนุษย์ เว้นแต่มนุษย์ยินยอม หลงเชื่อ กระทำตามมันเท่านั้น อย่าหลงเชื่อทำตาม ก็แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย สิทธิอำนาจอยู่ที่มนุษย์นั่นเอง ถ้าเราไม่ทำสักอย่าง มันทำอะไรเราไม่ได้ นอกจากหลอกล่อต่อไป ล่อลวงต่อไป ชักนำต่อไป เพราะมันไม่มีอำนาจ

            แล้วมันหลอกล่อด้วยวิธีใด? ด้วยวิธีครอบงำ ครอบครอง ฟังให้ดีๆ นะ ด้วยวิธีครอบงำ ครอบครอง ความคิดจิตใจของมนุษย์ มันสามารถส่งข้อมูลเข้ามา ในความคิดของมนุษย์ได้ ด้วยข้อมูลที่เป็นคำพูด การได้ยินได้ฟัง การรับรู้ของมนุษย์ ทุกสื่อ ตา หู จมูก จมูกก็รับรู้นะ ได้กลิ่น มันส่งมาทางกลิ่นอะไรต่างๆ  แต่ที่ชัดๆ ก็คือตาและหู  คำพูดก็ได้ยินว่ามันพูดว่าอะไร?

            ข้อมูลเหล่านี้ที่มากระทบกับตาและหูของมนุษย์ ก็คือคำพูด ข้อมูลข่าวสารที่แย้งกับความเป็นจริงของเรื่องของพระเจ้าที่บอกเราว่าจริงๆ เป็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าบอกเราว่าในโลกนี้ มีโลกวิญญาณจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว พระเจ้าของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  แต่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นเยอะไปหมดเลย พระเจ้ามีเต็มไปหมดเลย พระเจ้าโน่นพระเจ้านี่ หลายสิบล้าน นั่นก็พระเจ้า นี่ก็พระเจ้า พระเจ้าของคริสเตียน ก็เป็นหนึ่งในพระเจ้าเยอะแยะ นี่ไง นี่คือยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้

            ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกไว้ว่ามารมันมีหน้าที่ทำอะไร? ฟังให้ดีๆ วันนี้มาเปิดเผยแผนการชั่วร้ายของมาร ซึ่งไม่มีอำนาจเลย มันคอยกล่าวหามนุษย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น งานของมาร คือคอยยุแหย่ กล่าวหามนุษย์ โทษมนุษย์ ว่ามนุษย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวดูว่ามันทำอย่างไร? ทั้งกลางวันและกลางคืน กล่าวหาว่าอย่างไร? กล่าวหาว่ามนุษย์เป็นคนบาป มีมลทิน สกปรก โสโครก พระเจ้ารังเกียจ ไม่เอาไหน? พระเจ้าไม่เอาเธอแล้วล่ะ เธอสกปรก เธอเป็นหนี้ ต้องชดใช้ บาปเวรกรรม ไม่รู้กี่ชาติจะหมด เธอสมควรตกนรก

            พูดง่ายๆ แกมันเลว  ในโลกนี้ มีเสียงของมารตลอดเวลา ให้กับมนุษย์ทุกคนเลยนะ “แกมันเลวๆ” เพื่อมนุษย์จะได้อยู่ห่างจากพระเจ้า และมองดูพระเจ้าของเขา มีความรู้สึกต่อพระเจ้าของเขา ผิดไปจากความเป็นจริง พระเจ้าเป็นความรัก เลยเป็นพระเจ้าแห่งความเกลียดชัง พระเจ้ารักเราจะตาย กลายเป็นพระเจ้าเกลียดเราจะตาย พอเกิดสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งเป็นผลของคำสาปแช่ง ของการทำผิดกฎ ตั้งแต่อาดัมและเอวาทำไว้ โลกใบนี้เสียหายแล้ว  พอเกิดสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา  มันก็ซ้ำเติมว่า …

            “นี่พระเจ้าลงโทษ เพราะเธอมันเลวเอง เธอมันไม่ดีเอง เพราะเธอก่อกรรมทำเข็ญไว้ เพราะฉะนั้น พระเจ้ากำลังตีเธอ กรรมเก่ายังไม่หมดเลย กรรมใหม่ยังทำอีก  เพราะฉะนั้น พระเจ้าตีเธอ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอมันเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” อะไรประมาณนี้ นึกออกใช่ไหม?

            พูดไปทั้งกลางวันกลางคืน ผ่านทางสื่อต่างๆ ยิ่งปัจจุบันเยอะไปหมด ในอดีต คือผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้ที่มาสอนเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า และในชีวิตประจำวันอีก พูดไปเรื่อยๆ โกหกไปเรื่อยๆ ตำหนิไปเรื่อยๆ  กล่าวหาไปเรื่อยๆ จนมนุษย์ไม่รู้สึกรู้สา ไม่รู้ถึงคุณค่าชีวิตของตัวเองว่าพระเจ้าสร้างขึ้นมา และทรงรักและหวงแหนมนุษย์อย่างมาก ดูแล้วน่ารักทุกคน แล้วรักทุกคนด้วย มนุษย์จึงแสวงหาพระเจ้าของตน ตามที่มารโกหกหลออกลวงไว้ ก็คือเมื่อเชื่อมาร

            มนุษย์ก็เลยแสวงหาพระเจ้าของตัวเอง พระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ ด้วยท่าทีของการเป็นคนบาป สกปรก มีมลทิน ต่ำต้อย นี่คือมนุษย์ตั้งแต่แรก เป็นอย่างนี้ มาถึงปัจจุบันเลย จะเข้าไปหาพระเจ้า หรือเข้าไปหาวิญญาณอะไรต่างๆ ที่ถูกหลอกลวงไปแล้ว ไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่ามีโลกวิญญาณอยู่จริงๆ จะเข้าไปหา แสวงหาโลกวิญญาณจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ต้องเข้าไปแบบรู้สึกตัวเองด้อย ตัวเองแย่มาก ต่ำกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก ต้องหมอบกราบเข้าไป คลานเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตในโลกฝ่ายวิญญาณที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ ที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ด้วยความกลัว นี่ถูกบิดเบือน  ไม่ว่าเขาจะแสวงหาเป็นวิญญาณพระเจ้าแท้ๆ ก็คือวิญญาณของพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ หรือวิญญาณที่หลอกลวงอื่นๆ ที่ไม่ใช่พระเจ้าแท้ พระเจ้าเที่ยงแท้มีแต่เพียงพระองค์เดียว พระคัมภีร์บันทึกไว้ พูดง่ายๆ ว่าคริสเตียนถูกหลอก  ก็เข้าไปหาพระเจ้าพระบิดาผู้เที่ยงแท้เหมือนกัน เข้าไปแบบท่าทีที่มันไม่ใช่ เข้าใจพระเจ้าผิด เข้าไปแบบกลัวๆ เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยิ่งแย่ใหญ่เลย เข้าไปหาในโลกวิญญาณ เป็นพระเจ้าปลอม หรือความเชื่ออะไรต่างๆ มีความรู้สึกกลัว

            อย่างเช่น คำพูดนี้เห็นชัดเลยว่ามารล่อลวงมนุษย์ไปเท่าไร? คนไทยชอบพูดว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” แปลว่าอะไร? จริงๆ ไม่เชื่อ มันถูกหลอก ไม่น่าเชื่อเลยๆ แต่อย่านะ คือกลัว มันขู่ไง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ …

            “เข้าป่าต้องไหว้เจ้าป่าเจ้าเขานะ”

            “ไหว้ทำไม เราเป็นคริสเตียนแล้ว”

            ไม่ต้องคริสเตียนก็ได้ “เราอยู่นี่มาตั้งนานแล้ว มาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ไม่เห็นมีใครเขาทำอะไรเลย”

            “ไม่ได้ ไหว้สักหน่อย ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”

            แต่อย่าลบหลู่ เพราะอะไร?  เพราะกลัวว่าลบหลู่แล้วมันจะทำร้ายเรา มันทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับเรา นี่ไง มันหลอกลวง มันโกหก ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ตรงกันข้ามกับข่าวดีจากพระเจ้า ท่าทีที่แท้จริงของพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว คือพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อเรา มวลมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ทนุถนอมมาก ร่างกายเรา พระองค์ทรงเตรียมไว้เป็นพระวิหารของพระเจ้า นึกออกไหม? ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า สะอาดหมดจดเลย พระองค์ทรงรักมาก หวงแหนมากเลย แต่มารมันใส่ความหลอกลวงเราว่า ร่างกายเราสกปรก มือก็เคยไปตบเขา มือก็เคยไปตีเขา ปากก็เคยไปด่าเขา สมองก็เคยไปคิดชั่ว

            สิ่งเหล่านี้มันมาจากมารทั้งสิ้น มันไม่ได้มาจากตัวเราเลย ร่างกายเราเป็นเหมือนกับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง เหมือนเครื่องใช้สอยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลางๆ มันขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ จะเอามีดไปสับหมู ทำกับข้าวให้เขากิน มีความสุข หรือจะเอามีดไปไล่ฟันเขา เพราะโมโห มีดเดียวกันนั้นแหละ ความผิดไม่ได้อยู่ที่มีด ความผิดอยู่ที่ความคิดของคนๆ นั้น ที่หยิบมีดไปทำ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกใบนี้ เมื่อถูกหลอกจากมาร คือหลอกที่ความคิดของเรานั่นเอง

            ซึ่งความจริง พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนมีค่าเท่ากันในสายพระเนตรพระเจ้า พระองค์ทรงรักทุกคนเท่ากัน แต่มารก็จะคอยยุแหย่ให้มนุษย์เปรียบเทียบกัน นี่คือความจริงกับความเท็จ เปรียบเทียบกัน ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาปุ๊บ ก็เริ่มเปรียบเทียบแล้ว เปรียบเทียบทั้งชีวิต เพราะว่าความเท็จเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในโลกนี้ เป็นระบบของโลกนี้ รับอิทธิพลมาจากมาร มันก็ทำให้มนุษย์เป็นอย่างนี้แหละ แทนที่จะมีความรู้สึกเท่ากัน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดีกว่าเรา เริ่มความคิดแล้วว่าเขาดีกว่าเรา

            เขาดีกว่าเรา มันเกิดอะไรขึ้น เห็นนิดเดียวนะ เขาประสบความสำเร็จ เขาเก่งกว่าเรา เขาประพฤติดีกว่าเรา เราฟังดูอย่างนี้ รู้สึกไม่เป็นอันตรายอะไร? แต่พระคัมภีร์บอกว่าพอคิดอย่างนี้ปุ๊บ ก็คือเริ่มต้นยอมให้มารมันเริ่มหลอก แทนที่จะเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้ารักเราเท่ากันหมด แต่มันบอกว่าพระเจ้ารักไม่เท่ากันหรอก เขาดีกว่า พระเจ้าอวยพรเขามากกว่า หรือไม่ก็ เขาดีกว่าเรา มันก็เริ่มต้นอิจฉา นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ก็เริ่มอิจฉา เริ่มคิดตามมันต่อไป เริ่มคิดทำลายเขา เพื่อยกตัวเองขึ้นมาแทน มันก็คือนิสัย สันดานของมาร ตั้งแต่ตอนที่เป็นทูตสวรรค์แล้ว อิจฉาพระเยซูคริสต์ แล้วก็ยกตัวเองขึ้นมาทำหน้าที่แทนพระเยซูคริสต์ ก็คือกบฏ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้

            แล้วในที่สุด ยอมมันอีก ยกตัวขึ้น พยายามที่จะแข่งกับเขาว่าตัวเราเองก็ดีกว่าเขาได้ ถึงขั้นถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็คือฆ่า กำจัดเขาออกไปเลย นี่คือเส้นทางของมารที่หลอกมนุษย์ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เกิดจากความคิดน้อยเนื้อต่ำใจว่าเขาดีกว่าเรา เราแย่ เขามันดี มาจากไหน? ก็มาจากมารส่งข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในความคิดของมนุษย์นั่นเอง พระเยซูจึงตรัสว่าถ้าด่าคนอื่นว่าไอ้โง่ ไอ้เลว เท่ากับฆ่าเขาตาย ก็คือมันเกิดขึ้นแล้ว พอบอกไอ้โง่ ไอ้เลว ก็คือเราโกรธ กำลังเคืองเขา  ถ้าเราไม่รู้จักหยุดตรงนี้ มันก็จะใส่ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดเรามีโอกาสถึงขั้นฆ่าเขาตายได้ นี่คือเสียงของมาร

            อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เราเห็นว่าเสียงของมารที่มาจากโลกนี้ สังเกตตรงนี้ คือมันจะต่อต้านความจริงของพระเจ้า และมันจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของมนุษย์ลงไป พยายามเหยียบมนุษย์ลงไป ยกตัวอย่างเช่น …

            “แกมันเป็นคนเลวโดยสันดาน ไม่มีทางจะกลับเนื้อกลับตัวได้แล้ว แกมันเลวที่สุด ให้อภัยกี่ครั้งแล้ว ก็ยังทำอยู่เลย ไปตายซะ ตายไปก็ดีแล้ว”

            นี่ไม่ใช่เสียงของพระเจ้าเลย

            หรือไม่ก็ความคิด … “อย่างแกสังคมรังเกียจ พ่อแม่ก็ไม่รัก ลูกแกยังไม่รักแกเลย พระเจ้าก็ไม่รัก ก็ไม่ชอบ แกจะอยู่ไปทำไม?”

            นี่แหละมันเป็นอย่างนี้ ก็คือความเครียด ความซึมเศร้า การคิดจะทำร้าย ทำลายตัวเอง ก็มาจากการขโมย ฆ่า และทำลายของมารทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เป็นกลเม็ดของมาร ที่ทำงานอยู่ในโลกนี้ รวมหมดนะ ทั้งคริสเตียนและไม่คริสเตียน โดนอย่างนี้ทั้งหมด เป็นระบบของโลก คือให้เปรียบเทียบ ให้ไม่พึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าให้ ไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ไม่พึงพอใจ ก็เกิดความอิจฉาริษยา และเกิดการเปรียบเทียบขึ้น ถ้าเป็นเสียงจากพระเจ้า คือ …

            “จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ พระเจ้าอยู่ด้วยนะ เราอยู่ด้วยนะ เรารักเธอ” นี่แหละมาจากพระเจ้า

            เสียงจากมาร … “ดูคนอื่นสิ เขาสำเร็จทุกด้านของชีวิตเลยนะ ทั้งเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว สุขภาพ ดีหมดเลย แล้วดูตัวเธอสิ ดูสารรูปสิ ล้มเหลวทุกอย่างในชีวิต ครอบครัวก็ล้มเหลว การงานก็เจ๊งแล้วเจ๊งอีก”

            สิ่งเหล่านี้เป็นการทับถม ที่พระคัมภีร์บอกมาทั้งกลางวันและกลางคืน แสดงว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีลมหายใจอยู่ แม้เรานอน มันก็พูดใส่เราตลอดเวลา อย่างที่บอกใส่ตามไหน? เรารู้เอง ข้อมูลในโลกนี้ มันจะเข้ามาอยู่เรื่อยๆ มารก็นำเสนอข้อมูล ที่ให้เราใช้ระบบของมันในการดำเนินชีวิตของเรา เพื่อให้สมอยากตามที่มันต้องการ คือนำเสนอความสำเร็จในชีวิต แบบระบบของโลกนี้ ความสำเร็จแบบระบบของโลกนี้ ก็คืออยาก ต้องการ สรุปรวม คือลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งตรงกันข้ามกับพระเจ้า ด้วยความเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี โลภ เห็นแก่ตัว โกง เอาเปรียบผู้อื่น ขโมย ฆ่า และทำลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ วิสัยสันดานของมาร มันเอานิสัยของมันมาใส่

            สำหรับความจริงของพระเจ้า คริสเตียน ก็คือเมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าจะเอาความสามารถ เอานิสัย ธรรมชาติของพระองค์ที่เป็นความรัก เป็นการให้ มาใส่ในเรา ในโลกวิญญาณ มีอยู่แค่นี้เอง

            เสียงของพระเจ้าบนโลกใบนี้ มันมี แต่มันริบรี่มาก เพราะว่าเป็นเสียงมาจากวิญญาณ  เพราะในโลกวัตถุมันมองเห็นชัดกว่า แต่ในโลกวิญญาณ มันมองไม่เห็น พระเจ้าจึงบอกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นและหูไม่ได้ยิน คือวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ คือในโลกวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับผู้ที่รักพระองค์

            เสียงของพระเจ้า คือพร้อมเสมอที่จะให้อภัย ช่วยเหลือเสมอ  … “ไม่ว่าเธอจะทำบาปอะไรอีกกี่ครั้ง ฉันก็อภัยให้เธอเสมอ มีความหวังในตัวเธอเสมอ ไม่ต้องห่วง อภัยให้เธอเสมอ รักเธอเสมอ แม้ว่าเธอจะเลวขนาดไหน? ฉันก็ส่งพระบุตรองค์เดียวของฉันลงมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเธอ แม้จะมีเธอคนเดียวอยู่บนโลกใบนี้ ฉันก็จะส่งพระเยซูลงมาช่วย” เอเมนไหม?

            นี่คือเสียงให้เลือกเอา อยู่บนโลกใบนี้ มันลำบากหน่อยหนึ่ง ตรงที่บอกว่าในโลกใบนี้ เราดำเนินชีวิตตามที่ตามองเห็น มันชัด มันง่าย ง่ายที่จะเชื่อ เขาได้ยินมา เขาได้ฟังมาอย่างนี้  แต่ในโลกวิญญาณ เราต้องเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงการเป็นขึ้นจากความตาย  ทั้งหมดนี้  กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับทางด้านวัตถุเลย  เพียงแต่วันนี้เอามาเปรียบเทียบให้ท่านเห็นว่าทางโลกวัตถุ มันเป็นอย่างไร? มันไม่มีอำนาจหรอก มันอยู่ในอิทธิพลของการหลอกลวงของมาร ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ตามตามองเห็น เสร็จมันแน่เลย

            ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่พูดมานี้ ในพระคัมภีร์เรียกว่า “สงครามฝ่ายวิญญาณ” คุ้นๆ นะ เพราะฉะนั้น สงครามฝ่ายวิญญาณ เราจะรู้แล้ว จากการที่เราวิเคราะห์มาเมื่อสักครู่นี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า สงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือจะเชื่อพระคริสต์ หรือจะเชื่อคำโกหกหลอกลวงของมาร ให้ต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของพระคริสต์ นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์เอง ยอมเชื่อฝ่ายใด  ก็เป็นทาสฝ่ายนั้น ตรงนี้ คือความจริงที่สำคัญมากเลย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิญญาณ แม้แต่วิญญาณพระเจ้าเอง พระเจ้ายังบังคับเราไม่ได้เลย  แล้วมารมันจะทำอะไรเราได้ เห็นไหม? ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา และการตัดสินใจของเรา ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับข้อมูลข่าวสารที่มันมา ขนาดอาดัมกับเอวาเจอพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันๆ ยังโดนมันหลอก พูดไปเรื่อยๆ ไม่รู้พูดไปกี่วัน? กี่พันวัน? กี่หมื่นปีไม่รู้ จนกระทั่งเชื่อมัน นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ

            มันไม่ใช่สงครามฝ่ายวิญญาณ ตามที่เราถูกหลอกอีกนั่นแหละ ให้เราคิดว่าสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องภูตผีปีศาจ เป็นตัวตน ต้องไปไล่ผี ผีมันแอบซ่อนอยู่ อาศัยอยู่ในก้อนหิน ต้นไม้ ภูเขา วัตถุสิ่งของ รูปเคารพต่างๆ เพราะฉะนั้น มันมีอำนาจเหนือเรา มันจะทำร้ายเรา อะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่มันถูกหลอกอีกแล้ว จริงๆ มันคือสงครามของความคิด ข้อมูลความจริงจากพระเจ้า หรือความเท็จจากมาร ที่ส่งเข้ามาในความคิดของมนุษย์ ที่อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราตั้งใจสังเกตดู ก็คือสังเกตวิญญาณอย่างนี้ ไม่ใช่ไปสังเกตวิญญาณว่านี่ผีเข้าหรือเปล่า? นี่ผีอยู่ในต้นไม้นี้ไหม? ผีอยู่ในรูปเคารพนี้หรือเปล่า? มันไม่ใช่อย่างนั้น ผีมีอำนาจ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เราต้องอดอาหารอธิษฐานไล่ผี มีอำนาจนี้ มนุษย์เลยกลัวไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ผีมันกลัวไฟฟ้า เปิดไฟ แสงสว่างมาปุ๊บ ผีหายไปแล้ว  ถ้ามันมีอำนาจจริง มันคงไม่แพ้เนชั่นแนล หรืออ๊อดแลม นี่เอาอ๊อดแลมหรือเนชั่นแนลไป ผีหนีเลย  เราอดอาหารแทบตาย ซื้อนีออนมาเสียบดวงหนึ่ง ไปแล้ว ใช่ไหม? ต้องพูดอย่างนี้ชัดๆ

            บางคนเป็นคริสเตียนแล้วยังไล่ผี ถ้าไม่เป็นคริสเตียนยังพออะลุ่มอล่วย มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ไม่มีที่พึ่งของแท้จริงที่อยู่ในตัวเรา ไม่มีความจริงอยู่ แต่ถ้าเป็นคริสเตียน มีความจริงอยู่ บังเกิดใหม่ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก  ใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก อย่างนี้ แล้วเรายังไปไล่ผี คิดดูสิ บางคนไม่ใช่ไล่ครั้งเดียว ไล่มันทุกอาทิตย์ ไล่วันนี้ไปแล้ว อาทิตย์ต่อมาบอกว่า …

            “มันมาอีก อาจารย์ช่วยไล่ที”

            อาจารย์ก็ไล่ อาจารย์บอก … “เที่ยวนี้หนักขึ้นนะ”

            “เพราะอะไร?”

            “เพราะว่ามันเป็นผีที่หัวดื้อ”

            พอบอกเป็นผีที่หัวดื้อปุ๊บ สมาชิกที่มาให้วางมือ พอได้ข้อมูลว่าเป็นผีหัวดื้อปุ๊บ  ทำไมรู้ไหม? อ๊วก  ครั้งที่แล้วไม่อ๊วก ครั้งนี้มันดื้อ ต้องอ๊วกออกมา

            อาจารย์บอก … “ไปอ๊วกข้างนอก เดี๋ยวโบสถ์สกปรก อ๊วกแล้ว ค่อยเข้ามา”

            “อ๊วกหรือยัง?”

            “อ๊วกแล้ว”

            “ผีออกไปแล้ว”

            อาทิตย์ต่อไป มาอีกแล้ว มาให้อธิษฐาน … “อาจารย์มันยังมีเลย”

            “อ๋อ! มันยังมีผีตัวอื่นอีก ตัวนั้นมันไปแล้ว นี่มันตัวใหม่ ไปดูที่บ้านสิ มีวัตถุอะไรที่เก่าๆ แก่ๆ ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ รูปภาพเก่ามีไหม? บางทีมันอาจจะอยู่ในรูปภาพเก่านั้นนะ ไปดู”

            กลับไปที่บ้าน หารูปภาพเก่าๆ … “รูปนี้แน่นอนเลย”

            ถามว่าทั้งหมดนี้คืออะไร? คือข้อมูล เข้ามาในสมอง มีข้อมูล มันก็ขุดคุ้ยข้อมูลนี้ขึ้นมา เอามาหลอกเรา สังเกตได้ง่ายๆ ชาวตะวันตก พวกฝรั่ง เขาเลี้ยงลูกอีกแบบหนึ่ง คนไทยก็เลี้ยงลูกอีกแบบหนึ่ง ผมสังเกตเห็นว่าลูกฝรั่งส่วนใหญ่ไม่กลัวผีนะ ไม่กลัวความมืด แต่ลูกคนไทย ตั้งแต่เล็กแล้ว พอเขาเดินไปที่บันได แทนที่จะบอกว่าเดินไปแถวบันไดเดี๋ยวตก แล้วเจ็บตัว ก็บอกว่าอย่าไปๆ นะ ผีมาแล้ว พอตรงไหนมืดๆ หน่อย อย่าไปนะ ผีมันอยู่ตรงนั้น มันก็ข้อมูลเข้าไปเรื่อยๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้มาจากไหนรู้ไหม? มาจากสื่อต่างๆ พ่อแม่เองก็ได้รับมา  และมันสามารถมาจากทางไหนได้อีก? มาจากทางสายเลือดก็ได้  คือเด็กอยู่ในครรภ์  แม่คิดอะไร? แม่เศร้า เด็กก็รับไปด้วย แม่กลัวผี เด็กก็กลัวไปด้วย เพิ่งคลอดมา ยังไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลย ทำไมเด็กเริ่มกลัว ก็แม่เป็นอะไรล่ะ มันก็มีสิทธิ์เป็นอย่างนั้น ข้อมูลมันอยู่ในความคิดทั้งหมดเลย

            เพราะฉะนั้น มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ เริ่มต้นเปลี่ยน เปลี่ยนได้มากเท่าไร ก็เป็นอิสระได้มากเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ครบหมดหรอก อย่างนี้เป็นต้น

            มันเป็นสงครามเกี่ยวกับข้อมูลความจริงของพระเจ้า  หรือจะเอาความเท็จที่ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นสงครามเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์ทุกคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่คริสเตียนต้องเผชิญ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเผชิญกับสิ่งนี้แน่นอน แต่สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง พึ่งตนเอง ด้วยจิตใต้สำนึกของตนเอง ซึ่งถูกครอบงำด้วยคำหลอกลวง คำเท็จของมาร ดังทาส ในพระคัมภีร์บอก เพราะไม่มีตัวช่วยอื่น เขาต้องพึ่งพาตัวเอง เพราะเขาเป็นคนบาป เห็นไหม? ข้างในเป็นบาปอยู่ มารไม่สามารถครองได้หรอก แต่ข้างในมันเป็นบาปอยู่ มันไม่มีกำลัง ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน

            เช่น เขาไม่อยากจะทำชั่วเลย นี่มนุษย์ทั่วๆ ไป เราในอดีต ก็เป็นอย่างนี้ เราไม่อยากทำชั่ว เรารู้ว่าทำอย่างนี้ไม่ดี  แต่ในที่สุด สิ่งที่เราไม่อยากทำ เราก็ทำ สิ่งที่เราอยากจะทำดีตรงนี้ เราก็ไม่ได้ทำ ในพระคัมภีร์ ในหนังสือโรมบอกว่า …

            “โอ๊ย! ข้าพเจ้าน่าสมเพชอะไรเช่นนั้น ใครจะช่วยข้าพเจ้าได้”

            พระคัมภีร์ก็ตอบว่า … “ขอบคุณพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว”

            หมายถึงอย่างนี้ … “ข้าพเจ้ามีพระเจ้ามาสถิตอยู่ภายในแล้ว ข้าพเจ้ามีกำลังที่จะต่อต้าน ต่อสู้กับมัน” เห็นไหม? มันอยู่ข้างนอก มันไม่ใช่ข้างในตัว “ข้าพเจ้าไม่น่าสมเพชอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้ามีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายใน”

            เพราะฉะนั้น สำหรับคริสเตียน ต่อสู้สงครามนี้ด้วยความจริง ด้วยพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ภายในเรา

            ยกตัวอย่างให้อันหนึ่ง เพื่อจะพิสูจน์ว่ามารมันไม่มีอำนาจจริงๆ เอาเริ่มตั้งแต่ปฐมกาลเลย จะได้รู้ว่าตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว มาถึงทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรเลย นอกจากมันหลอกชาวบ้านเขา เรามาดูตัวอย่างฆาตกรคนแรกของโลก และดูการงานของมารสิว่ามันมีอำนาจไหม? เรื่องของคาอินกับอาเบล คือมนุษย์รุ่นแรกของโลก มนุษย์ถูกสร้าง อาดัมและเอวา รุ่นแรกเลย ที่เขามีลูกหลาน ก็คือคู่นี้ คาอินกับอาเบล และดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เริ่มโลกที่มีมาร เป็นตัวหลอกลวง ล่อลวง มีอิทธิพลต่อมนุษย์ที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ปฐมกาล 4:3-7 …

        ปฐมกาล 4:3-7 “3 อยู่มาวันหนึ่ง คาอินได้นำเอาพืชผลที่เกิดจากผืนดิน มาถวายให้กับพระยาห์เวห์ 4 ส่วนอาเบลก็เอาพวกแกะหัวปีจากฝูงของเขา โดยเฉพาะส่วนไขมัน มาถวายให้กับพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ยอมรับอาเบลและเครื่องบูชาของเขา 5 แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา ทำให้คาอินโกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้งอยู่ 6 พระยาห์เวห์พูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม เจ้าหน้าบึ้งทำไม 7 ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่ถูก เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด ความบาปก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ครอบงำมัน”

            2 คน ลูกของอาดัมและเอวา พระเจ้าสั่งอาดัมกับเอวาว่าให้ทำอย่างนี้ เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้  เพื่อจะได้ติดต่อกับพระเจ้า ให้เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือให้นำแกะหัวปี สัตว์เลี้ยงหัวปี ที่ไม่มีตำหนิ ที่ดีที่สุด มาถวาย เพราะแกะมีเลือด ให้ทำอย่างนี้ อาดัมและเอวาก็คงเล่าให้ลูกทั้ง 2 คนฟัง ลูกคนน้อง อาเบลก็เชื่อ เชื่อพระเจ้าไม่มีเหตุผล  ไม่ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องอย่างนั้น  เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือทำตาม เอาลูกแกะฆ่า เพื่อชำระบาป  ตามที่พระเจ้าบอก  แต่ส่วนพี่ชาย คือคาอิน เอาพืชผลจากการเกษตรมาให้ ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามกฎ พระเจ้าก็ไม่รับ มันมีเหตุมีผลของมัน พระเจ้าไม่รับ ไม่ใช่เพราะว่าเกลียดชัง นึกภาพนะว่าขณะที่กำลังพูดอยู่นี้ มีศัตรูกำลังทำสงครามอยู่ คอยยุแหย่ คือมาร

            พระยาเวห์ยอมรับเครื่องบูชาของเขา เพราะว่ามันเป็นไปตามกฎ พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา  เพราะมันไม่ได้อยู่ในกฎ เพราะอาเบลเอาเงินสดไปซื้อรถ เขาก็ให้ เพราะคาอินเอาทุเรียนเป็นลังๆ ไปแลกกับรถ เขาไม่ให้ เพราะที่ร้านนี้เขาขายเงินสดเท่านั้น เป็นกฎ

            แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินและเครื่องบูชาของเขา ทำให้เขาโกรธมาก  เห็นหรือยัง? โกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้ง อยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ เริ่มความคิดแล้ว โกรธเพราะอะไร? เพราะมีข้อมูลเข้ามาแล้ว เริ่มเปรียบเทียบ …

            “ทำไมไม่รับของเรา ของเราก็ดี ก็เอาพืชผลที่ดีมาให้เหมือนกัน  เราทำงานตั้งเยอะนะ  ทำไมไม่ให้”

            คิดไปเรื่อยๆ ไม่พอใจ พระยาเวห์ พระเจ้าพูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม?”

            “เจ้าทำหน้าบึ้งทำไม? เจ้าไปคิดอย่างนั้นไม่ได้นะ ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ถูก” เห็นไหม? คือถูกกฎ

            “ลูก ลูกทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาแต่ใจตัวไม่ได้ มันมีกฎของมันอยู่ เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด”

            คำว่า “สิ่งที่ผิด” นี้ไม่ได้หมายถึงการกระทำบาปชั่วช้าอะไรต่างๆ ยังไม่ได้ทำเลย ยังไม่ได้ฆ่าน้องเลย

            “ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด” หมายถึงผิดกฎ กฎบอกแล้วไงว่าให้ใช้เลือดสัตว์ มาใช้อย่างนี้ได้อย่างไร?

            “ความบาป ก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่”

            เห็นไหม? ความบาป ก็คือมารเป็นผู้ควบคุมความบาป ตัวบาปมันก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ แสดงว่าอยู่ข้างนอก ถูกไหม? แต่มันส่งอะไรเข้ามา ส่งความคิด เข้าไปที่คาอิน

            “มันหมอบอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า”

            มารมันหมอบที่ประตู ประตู คืออะไร?  ประตูความคิดของเจ้าไง มันตั้งใจจะเข้ามาครอบงำเจ้า ยอมไหม? มันอยากครอบคลุมเจ้า แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายครอบงำมัน  ก็คือเจ้าต้องครอบคลุมมัน มันไม่มีอำนาจ ถ้าเจ้าแข็งขึ้นมา มันก็แพ้ มันอยากควบคุมเจ้า  เหมือนมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้ มันอยากควบคุมมนุษย์  โดยให้ความคิดหลอกลวงเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย ถ้าเผื่อยอมมันมากๆ ก็เหมือนมันมากๆ ที่เรียกว่าถูกครอบงำด้วยผี ก็คือด้วยมาร มนุษย์ทั่วไป ถึงแม้มีส่วนน้อยที่ยอมมันถึงขนาดนั้น  ถูกหลอก แต่ไม่ยอมมันถึงขนาดนั้น เพราะว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ยังมีความรู้สึกผิดชอบอยู่บ้าง แต่สำหรับคริสเตียนสบายกว่า เพราะเรามีพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราภายใน  เราสามารถปฏิเสธมันได้ มันไม่ใช่ตัวเรา

            เพราะฉะนั้น บางครั้ง เราถูกข้อมูลเก่าๆ ที่เคยอยู่ก่อนเป็นคริสเตียน  แล้วเรากระทำสิ่งนั้น ตามข้อมูล  มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นมูลต้นเหตุให้กระทำ  แต่มันเป็นเพราะความคิดข้อมูลเก่า ที่ยังอยู่ นี่คือสงคราม แล้วเราก็ไปทำมัน ผิดพลาดไป นี่คือสงครามทางฝ่ายวิญญาณ เราต้องรู้ว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรานั้น เป็นใหญ่กว่าข้อมูลของมาร  อิทธิพลของมาร ที่อยู่ในโลก ซึ่งเราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ยังมีโอกาสอยู่ภายใต้อิทธิพล การหลอกลวง ล่อลวงของมันได้อยู่ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 1

            วิญญาณของคริสเตียน อยู่ที่ไหนทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ?

            มาดูความจริงในข้อพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสถานะที่อยู่อาศัยทางวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ

            โรม 8:9 … “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาปอยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ

            เนื้อหนังนี้  ไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของเรา  ไม่ได้เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของวิญญาณ จิตใจหรือร่างกายของเราเลย   แต่เป็นเหมือนปรสิต  หรือกาฝาก  ที่แอบซ่อนอยู่

            ความหมายในโลกฝ่ายวิญญาณของคำว่า “Sarx” (ซาร์ซ) หรือ “Flesh”  หรือเนื้อหนังนี้ คือหลักการสำคัญของระบบ ที่ปกคลุม ครอบครองอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านความดี ต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าความบาปชั่ว ความมืดที่มีพลัง อิทธิพลในการผลักดัน ให้มนุษย์กระทำตาม

            ซึ่งพลังอิทธิพลของตัณหาของเนื้อหนัง ความบาปชั่ว ความมืดนี้ควบคุมโดยมาร ที่คอยส่งกระแสพลังอิทธิพลของความบาป และความตายนี้ มาหลอกลวง ผลักดัน ชักจูงให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และตัดสินใจกระทำบาปชั่วตามมัน คือกระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเป้าหมาย ความประสงค์อันดีงามของพระเจ้า เรียกว่าบาป (แปลว่าผิดเป้าหมาย)

            ซึ่งหลายครั้งแยบยล ดูดีงามมาก ดูไม่ออกว่าเป็นเนื้อหนังหรือความบาปชั่ว หรือไม่ตามสายตามนุษย์ ที่ดูแค่ภายนอก เช่นการให้ทรัพย์สิ่งของออกไป เพื่อจะได้รับชื่อเสียง หรือผลประโยชน์เข้ามาหาตนเอง ซึ่งก็คือบาป คือความโลภและการเห็นแก่ตัวนั่นเอง

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1494

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 11 “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 11 ชื่อเรื่อง “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            ต้องพูดดังๆ ชัดๆ เพราะถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เวลาเราพูดชัดๆ ดังๆ ให้ตัวเราเองฟัง มันจะทำให้ซึมเข้าไป ไหลเข้าไปอยู่ในความคิดจิตใจเรา จำได้มากขึ้น แล้วทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต เป็นไปตามถ้อยคำนี้ได้ ก็คือ …

            “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในฉัน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            ยอห์นกำลังอธิบายให้เราเห็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในหนังสือ 1 ยอห์นว่าสภาวะทางวิญญาณที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิงของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียน แตกต่างกับผู้ที่ไม่เชื่อ ที่ในยอห์นเรียกว่าผู้ที่ถูกหลอกลวง หรือผู้ที่ไปสอนเขา ก็คือไปหลอกเขา จะหลอกแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ แต่ว่าไปพูดความเท็จให้เขาฟัง แตกต่างกับคนที่เป็นคริสเตียนอย่างไร?  เพื่ออะไร? ยอห์นต้องการชี้ให้เห็น เพื่อเราผู้เชื่อจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริง? อะไรคือความเท็จ ความหลอกลวง? อะไรคือความโกหก? อะไรคือความสว่าง? อะไรคือความมืด? อะไรคือความรัก? คือความเกลียดชัง ขโมย ฆ่าและทำลาย? ให้เราคริสเตียนได้รับรู้ความจริง สำหรับวันนี้นะ ว่า …

            “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            2 ฝั่ง เห็นไหม? ในพระคริสต์ ในโลก  พระคริสต์ผู้สถิตในท่าน ใหญ่กว่าความบาปที่อยู่ในโลก ความสว่าง ความจริงที่อยู่ในท่าน ใหญ่กว่าความเท็จที่อยู่ในโลก ความรักที่อยู่ในท่าน ใหญ่กว่าความเกลียดชังที่อยู่ในโลก พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน ใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก เอเมน

            นี่คือความจริง อาจารย์ยอห์นกำลังอธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างชัดๆ ให้เราละเอียดเลย วันนี้เริ่มต้นบทที่ 4 … 1 ยอห์น 4:1 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

            1 ยอห์น 4:1 “ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณทุกวิญญาณ แต่จงทดสอบวิญญาณเหล่านั้นว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่  เพราะว่าผู้เผยพระวจนะเท็จหลายคน ได้ออกไปในโลกแล้ว”

            “เพราะว่าผู้เผยพระวจนะเท็จ” ผู้เผยพระวจนะเท็จ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่ตะกี้เราอ่านกันในหัวข้อเรื่องปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้เผยพระวจนะเท็จหลายคน มีจำนวนมาก ได้ออกไปในโลกแล้ว   ตระเวนไปในโลก ตั้งแต่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว หรือพูดง่ายๆ ว่าตั้งแต่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระมาซีฮาห์ จนกระทั่งถึงไปตายที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งบอกงานการไถ่บาปของพระองค์สำเร็จแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปฏิปักษ์พระคริสต์ต่อต้านข่าวประเสริฐนี้ ก็เริ่มต้น ทำงานของเขาเหมือนกัน ออกไปประกาศข่าวเท็จเหมือนกัน ยอห์นก็เลยเตือนให้ระมัดระวัง และทดสอบวิญญาณ คำสอนต่างๆ ของเขา ที่เราอาจจะได้ยิน ได้ฟัง เพื่อให้คริสเตียน มีความแน่ใจว่าที่ได้ยินได้ฟังนั้น มันมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากผู้เผยพระวจนะเท็จ หรือคำสอนผิดๆ ที่นำผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ฟัง ไปสู่เรื่องไร้สาระ แทนที่คริสเตียนผู้เชื่อนั้น จะรู้ความจริงเรื่องข่าวดีว่าเขาหรือท่าน เป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้เรียบร้อยแล้วนั้น แทนที่จะรู้เรื่องนี้ กลับไปรู้เรื่องไร้สาระ คือเรื่องตรงกันข้าม เรื่องต่อต้านพระคริสต์แทน

            เช่น เราได้เรียนรู้กันมาแล้วตอนต้นๆ ตั้งแต่บทแรกของ 1 ยอห์น  อาจารย์ยอห์นพูดถึงเรื่องพวกนอสติก แล้วพวกที่เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ทั้งหลาย อาจารย์ยอห์น ใช้คำว่า “ทั้งหลาย” คือมันมีเยอะ ที่ตั้งตนเป็นครูสอนเรื่องข่าวดีของพระเยซูแบบผิดๆ แบบไร้สาระ อาจารย์ยอห์นใช้คำนี้ว่า “ไร้สาระ” ไม่ตรงกับความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า พวกเขาจะประกาศ สอนความจริงได้อย่างไร? อาจารย์ยอห์นบอก ในเมื่อภายในใจของพวกเขา เป็นความเท็จอยู่ พวกเขายังปฏิเสธพระเยซูคริสต์  เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาสิฮาห์ ปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าที่มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งความจริงตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เลย คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ นี่เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวดีของพระเจ้า

            ข่าวดี คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ ต้องมาเข้าส่วนร่วม เป็นพี่น้อง คือเข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์  เพื่อจะไปตายที่ไม้กางเขน  เป็นตัวแทนให้เรา ตาย เพื่อแบกบาปของเราไว้และตาย เพื่อว่าตัวเก่าของเรา มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นคนบาป จะได้ตายพร้อมพระองค์ไปด้วย และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  การเป็นขึ้นมาใหม่ เราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาป ก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนพระองค์ด้วย นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดในร่างกายของมนุษย์

            คำสอนของลัทธินอสติก แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้า ในยุคนั้น เรื่องแรกนั้น พวกนอสติกเขาเชื่อว่ามีความรู้อันลึกลับและสูงสุด ที่ซ่อนไว้ ทุกคนต้องเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง จากพระเจ้า นอกจากความรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พูดง่ายๆ ว่ารู้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ยังไม่พอ จะต้องทำอะไรเพิ่มเติม เรียนรู้ความล้ำลึก แห่งข่าวประเสริฐนั้น ลึกลับอีกทีหนึ่ง พูดง่ายๆ เชื่อพระเยซูคริสต์ก็ดีอยู่ แต่ว่ายังไม่สมบูรณ์ ต้องบวกด้วยการกระทำของตนเอง จึงจะรอด ตามที่หวังไว้ เขามาแทรกซึมเข้าไป ในลักษณะอย่างนี้ และการกระทำที่ว่านี้ ก็คือแสวงหาความรู้ทางวิญญาณ ลึกลับ จากพวกเขา พวกนอสติก เขาเชื่ออย่างนี้ เขามาสอน เพื่อว่าคริสเตียนที่เชื่อแล้ว คุณจะได้เป็นคริสเตียนพิเศษ นี่คริสเตียนธรรมดา เป็นคริสเตียนที่รู้ความทางฝ่ายวิญญาณอันลี้ลับ ที่เขาจะสอนให้ คุณจะได้เป็นคริสเตียนพิเศษ  ได้รับรางวัลจากพระเจ้ามากกว่าคนที่เป็นคริสเตียนธรรมดา อะไรประมาณนี้ มันเป็นอย่างนั้น

            อัครทูตยอห์น จึงเตือนพี่น้องคริสเตียน ให้รู้จักสังเกตวิญญาณว่าคำสอนนั้น ถ้อยคำนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือมาจากวิญญาณที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ถ้าไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ข้อความความจริงของข่าวประเสริฐ ก็ให้ปฏิเสธ อย่าไปรับฟัง ถ้าไม่ตรงกับข่าวประเสริฐ ข่าวดีมีอยู่แค่นั้น ถ้ามีอะไรมาเสริม เติมแบบแปลกๆ ก็ไม่ต้องฟัง

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ คือใคร? ในบริบทที่กล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงคนที่หลง อุปโลกน์ตัวเอง ตั้งตนเองเป็นพระคริสต์ เป็นพระเมสิยาห์ ซึ่งมีคนไม่เข้าใจถ้อยคำนี้ ไปแปลว่าตรงนี้หมายถึงคนที่ตั้งตนเองเป็นพระคริสต์ แล้วก็สุ่มเอาว่าคนนี้ๆ คือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่จะขึ้นมา ไม่ใช่ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ตรงนี้ หมายถึงคนที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาสิฮาห์ ใครก็ตามที่ปฏิเสธ หมายถึงคนที่ปฏิเสธ และไม่เชื่อว่าพระคริสต์ เป็นพระมาสิฮาห์ คือพระเจ้าที่ลงมาเกิดในเนื้อหนัง ในร่างกายของมนุษย์

            และคนเหล่านี้ ก็จะสอนผู้คนด้วยความเชื่อที่ผิดๆ ในเรื่องของข่าวดีของพระเยซู โดยปฏิเสธความจริงในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ บิดเบือนความจริงของข่าวดี เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านความจริงของพระคริสต์ อาจารย์ยอห์นจึงใช้คำว่าพวกนี้เป็นพวกปฏิปักษ์พระคริสต์  … ปฏิปักษ์พระคริสต์หมายถึงอย่างนี้นะ ไม่ใช่มีคน สองคนเท่านั้น มีเต็มไปหมดเลย ซึ่งปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ มีทั้งแบบไม่เชื่อเลย ไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย จนถึงที่เป็นคริสเตียนแล้ว แต่ไม่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด  เพราะได้รับคำสอนต่อๆ มาอย่างผิดๆ จึงมีความเชื่ออย่างผิดๆ ต่อข่าวดี ซึ่งเท่ากับต่อต้านพระคริสต์ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ โดยไม่รู้ตัว นึกให้ดีๆ ตรงนี้ก็มีเยอะกว่า

            มีทั้งปฏิปักษ์พระคริสต์ พูดง่ายๆ รุนแรง ที่เราเห็นชัดๆ จนกระทั่งถึง ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์แบบสุภาพ นึกภาพออกนะ ตั้งแต่ตอนนั้น มาถึงตอนนี้ 2,000 ปี มีแค่นี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์มีเยอะแยะเลย มีรุนแรง จนกระทั่งอ่อนที่สุด แบบสุภาพ แบบรุนแรง ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เลย เมื่อ 2,000 ปี ก่อนนั้นชัดเจนที่สุดเลย ก็คือพวกชาวยิวด้วยกัน เขากล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนหลอกลวง และดูหมิ่นพระเจ้าของเขา ดูหมิ่นศาสนายิว ต้องฆ่าให้ตาย รุนแรงที่สุด

            แล้วก็มีคนยิวต่อต้านเหมือนกัน แต่รองความรุนแรงลงมา รุนแรงน้อยลง ก็คือกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นผู้เผยพระวจนะเฉยๆ เชื่อนะว่าพระเยซูมาจากพระเจ้า แต่ไม่ได้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ เชื่อว่าพระองค์เป็นเหมือนอิสยาห์ เอลียาห์ ก็คือเป็นคนธรรมดา เป็นผู้รับใช้พระเจ้า  อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็รองลงมาอีก สุภาพขึ้นอีก อันนี้ไม่ใช่ยิวอย่างเดียวแล้ว คนธรรมดาทั่วไป  ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็คือพระเยซูเป็นคนดีคนหนึ่ง มีเมตตา มีความรัก ต่อเด็กๆ ต่อสังคม ใน 2,000 ปีจะมีอย่างนี้เยอะแยะ นี่คือเหล่าผู้ปฏิปักษ์ หรือต่อต้านพระคริสต์ทั้งนั้น

            ถึงในปัจจุบัน เราก็ได้ยินบ่อยๆ พระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ใช่ พระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ แต่พระเยซูเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ นี่คือแบบสุภาพ

            มีคนเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง เหมือนกับชาวยิว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ยังเชื่ออย่างนั้น ในปัจจุบัน ก็ยังมีคนเชื่ออย่างนั้นอยู่ จนกระทั่ง ในสุดท้าย สุภาพแบบรุนแรงลึกๆ ก็คือตั้งแต่ต้น มาถึงปัจจุบัน 2,000 ปี มีคนกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนเสียสติ เหล่านี้ทั้งหมด คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่อาจารย์ยอห์นกำลังพูดถึง คือปฏิปักษ์พระคริสต์ แอนตี้ไคร์ซ พูดง่ายๆ ก็คือต่อต้านพระคริสต์ เป็นศัตรูกับพระคริสต์  อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่านี่คือกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐ กระดุมเม็ดแรกของต้นเหตุของปัญหาการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ทั้ง 2 รูปแบบ คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  มาเกิดในร่างกายของมนุษย์  นี่คือกระดุมเม็ดแรกเลย  เพราะเขามีความเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์นั้น ต่ำต้อย เป็นบาป มีมลทิน พระเจ้ารังเกียจและขยะแขยง  นี่คือความเชื่อของพวกนอสติก ซึ่งหมายถึงถ้าเราเชื่อตามนอสติกเหล่านี้ว่าร่างกายเป็นที่น่าขยะแขยง เป็นสิ่งสกปรกโสโครก พระเจ้าไม่มาสถิตอยู่ด้วย มันก็หมายถึงเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนด้วย

            กระทบถึงเราด้วย เพราะเราคริสเตียนผู้เชื่อ ได้บังเกิดใหม่ ดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายแบบนี้ เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตามหลักพระคัมภีร์ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเลยว่าเมื่อเรารับเชื่อแล้ว เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซู พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ถ้าเผื่อกระดุมเม็ดแรก หัวใจของข่าวประเสริฐ เชื่อผิดไป พระเจ้าไม่ได้มาสถิตกับพระเยซู อยู่ในร่างกายของมนุษย์ เราที่เป็นร่างกายของมนุษย์ที่เป็นคริสเตียน  พระเจ้าก็ไม่สถิตอยู่ภายในเรา คริสเตียนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหัวใจหรือสาระสำคัญของการเป็นคริสเตียน ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถึงขนาดพระเจ้าเผยพระวจนะมาตั้งหลายพันปี  ก่อนจะเกิดเหตุการณ์จริงขึ้น คือพระเจ้าบอกว่าพระเยซูจะมาเกิด จะให้ชื่อว่าอิมมานูเอล … อิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ

            ยอห์นแนะนำวิธีสังเกตวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ต่อไปนี้ สังเกตวิญญาณอย่างนี้นะ จะได้รู้ว่าคนที่พูด ถ้อยคำที่สอน มาจากพระเจ้าหรือมาจากปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านความจริง ต่อต้านข่าวประเสริฐกันแน่ อย่าฟัง แล้วเชื่อเลย นี่เป็นเพราะว่าอยู่ในโบสถ์ มีชื่อว่าศิษยาภิบาล มีชื่อว่าผู้สอน ต้องเชื่อ เพราะว่าผมหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ต้องเชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เชื่อ โดยคำพูดที่พูดออกไปนี้ สังเกตตรงไหน? มาดูที่ 1 ยอห์น 4:2-3 อาจารย์ยอห์นแนะนำวิธีสังเกตวิญญาณ คำสอน …

            1 ยอห์น 4:2-3 “2 ท่านจะทราบพระวิญญาณของพระเจ้าได้ ก็คือทุกวิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิดเป็นร่างกายมนุษย์ เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้า 3 แต่วิญญาณใด ที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งท่านได้ยินได้ฟังแล้วว่ากำลังมา และขณะนี้อยู่ในโลกแล้ว”

            ท่านจะรับรู้ได้ว่าถ้อยคำนั้น เป็นความจริง มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเป็นความเท็จ มาจากวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เป็นของโลก ก็คือคำสอนนั้นยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์หรือไม่?

            ขณะที่ฟังผมพูดทุกวัน ฟังอาจารย์วราพร ฟังอาจารย์ธิดารัตน์บรรยายทุกวัน ฟังแล้วก็คิดตามนี้ พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์หรือเปล่า? เขาเชื่อตรงนี้ไหม? เพราะความสำคัญที่สุดของความจริงของข่าวดี ก็คือพระเยซู คือพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ สำคัญที่สุดของข่าวดี  … ข่าวดีของพระเจ้ามีอยู่แค่นี้เอง คือเริ่มต้นที่วันคริสต์มาส มาจบลงที่วันอีสเตอร์ แค่นี้เอง นอกนั้นมันไม่ใช่ นอกนั้น มันเรื่องไร้สาระ ต้องเชื่อวันคริสต์มาส และไปจบลงที่วันอีสเตอร์  ถ้าไม่เชื่อวันคริสต์มาส ไม่มีวันอีสเตอร์แน่นอน พอนึกออกไหม?

            พวกนอสติกเขาไม่เชื่อทั้ง 2 อันเลย แต่เขาเริ่มต้นจากการไม่เชื่อเบอร์แรกเลย คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะไม่มีวันอีสเตอร์ คือพระเจ้าในร่างกายของมนุษย์ ตายแทนมวลมนุษย์ทั้งปวง รับบาปเอาไว้ นึกภาพออกใช่ไหม? นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ มันคือกระดุมเม็ดแรกของการปฏิเสธพระเยซู การบิดเบือนข่าวดีของพระเยซู

            พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว อะไรสำเร็จ วันที่พระองค์มาเกิด คริสต์มาส จนไปจบที่ไม้กางเขน วันอีสเตอร์ พระองค์จบคำว่าสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ก็คือไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว มาเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาทั้งหมด จากอดีตมา ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่คนไม่เชื่อ ก็บอกมันยังไม่สำเร็จ มันยังไม่เกิดขึ้น ให้รอไปก่อน นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ และสามารถสังเกตได้ว่ามันตรงหรือไม่ตรง เพราะฉะนั้น รู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ ทุกคนทราบแล้วนะว่าถ้าผมขึ้นมาพูด หรืออาจารย์วราพร หรือครูหนุ่ยขึ้นมาพูด แล้วพูดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ท่านเอ๊ะ! ไม่ได้เชื่อในพระเยซู เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ ท่านไม่ต้องฟังเลย ท่านมาฟ้องได้เลย ฟ้องใครก็ได้ ฟ้องพระเจ้า หรือท่านก็ไปหาคนอื่นฟัง ไม่ต้องรับฟัง นี่อาจารย์ยอห์นบอก ไม่ใช่ผมบอกนะ ก็อย่าไปรับฟัง

            เพราะมันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่มนุษย์เราจะเชื่อว่าพระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้อย่างไร? มันเชื่อยาก แต่ข่าวประเสริฐมันเป็นอย่างนี้จริงๆ มันง่ายเกินไป ทำให้มนุษย์เชื่อยาก ความจริง คือพระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ไม่ได้รังเกียจร่างกายของมนุษย์ว่าสกปรก แต่ทรงรักร่างกายของมนุษย์อีกต่างหาก เพราะเป็นร่างกายที่พระองค์ก็เป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งสิ้น เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น นี่คือความจริง

            พระเยซูทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นแบบอย่างให้กับเราคริสเตียน คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ได้จริงๆ ความจริงตรงนี้ จึงเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวัง แห่งเกียรติสิริ” ในโคโลสี 1:27 ได้บันทึกไว้

            ความหวังของคริสเตียน คือพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน สถิตเมื่อไร? เดี๋ยวนี้ เมื่อเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน เดี๋ยวนี้ พระคริสต์สถิตอยู่ในฉันแล้ว จริงๆ เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน แล้วจะสถิตอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ นี่คือความจริงของข่าวประเสริฐ นี่คือความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่อาจารย์ยอห์นบอก

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าขณะนี้เลย  เดี๋ยวนี้เลย บนโลกใบนี้เลย ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า วิญญาณของท่าน ใจของท่าน มาจากพระเจ้า ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ท่านเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในร่างกายของท่านอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว

            หนังสือโรม อาจารย์เปาโลก็ได้พูดอย่างนี้ โรม 12:1 ลองอ่านดู …

            โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่าน ให้สมกับที่พระเจ้า ได้ทรงชำระท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้) และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”

            นี่คือความจริงในข่าวประเสริฐพระเจ้า ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของท่าน ท่านมีสิทธิ์ พระเจ้าไม่ได้บังคับ พระเจ้าให้สิทธิกับท่าน ในการตัดสินใจ ให้อิสระ แต่อาจารย์เปาโลแนะนำให้ท่านว่าท่านควรจะยอม

            ยอมอะไร? ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย มอบร่างกาย จำคำว่า “ร่างกาย” นี้ไว้ พร้อมสมอง ความคิด สติปัญญาของท่าน ให้สมกับ “สมกับ” แปลว่าเป็นแล้ว ถูกไหม? ทำตัวให้สมกับเป็นคนหน่อย ก็คือเป็นคนหรือยัง? เป็นแล้ว โอเค มอบร่างกายนะ ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่านแล้ว ก็คือได้ทรงชำระร่างกายของท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ก็คือด้วยพระเยซูคริสต์ ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นแหละ คือพระคุณ ทำให้คุณที่เชื่อได้ร่างกายที่จะอ่านต่อไปนี้  “ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่” พระเจ้าได้ทรงชำระร่างกายของท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระองค์ ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้ และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ พูดง่ายๆ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่เข้ามาสถิตอยู่

            เพราะฉะนั้น ท่านได้เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของท่าน ไม่ได้พูดถึงวิญญาณ ใจใหม่ที่ได้ไปเรียบร้อยแล้ว เห็นชัดๆ ร่างกายที่ท่านกำลังคิดว่าไม่ดี หรือว่ามีคนกล่าวหาว่าสกปรก มีมลทิน ทำบาปอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พระเจ้าบอกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านกลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า และร่างกายของท่านสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น ทุกส่วนที่เป็นตัวเรา หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ ใจใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้เกิดใหม่ ร่างกายเรา ก็เป็นใหม่หมดทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้  และโปรดปรานด้วย ไม่ใช่รับได้เฉยๆ ชอบอีก พระองค์จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่ด้วย จึงไม่มีสิ่งใดๆ ในตัวท่านสักนิดเดียวเลย ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าของท่าน เป็นบาปเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

            เพราะฉะนั้น ท่านก็สามารถสังเกตได้ว่าผมขึ้นมาบรรยาย อาจารย์วราพรขึ้นมาบรรยาย อาจารย์ธิดารัตน์ขึ้นมาบรรยาย พูดว่าร่างกายของเราที่รับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแล้วหรือไม่? ถ้าเผื่อไม่ อย่ารับฟัง ถ้าแม้กระทั่งผมพูดเอง แล้วเอาพระคัมภีร์ขึ้นมาบอก แล้วบอกว่าเขาพูดมาอย่างนี้ ไม่เชื่อ แปลผิด พูดผิด ไม่ใช่แล้ว เพราะว่าความจริง คือใจใหม่ วิญญาณใหม่ ร่างกายบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าโปรดปรานใหม่ เป็นของฉันเดี๋ยวนี้ ยืนยันความจริงในข่าวประเสริฐ เป็นแบบนี้ เอเมน ท่านลองคิดในใจ เดินออกไป เมื่อถูกโจมตีเข้ามา ท่านคิดในใจ ถ้าท่านไม่พูดออกจากปากว่าเป็นอย่างนี้ หรือถ้าท่านพูดออกจากปาก เพื่อนที่ยังไม่รู้ความจริง ได้ฟังว่าวิญญาณ จิตใจฉัน และร่างกายฉันสะอาด หมดจด บริสุทธิ์เลย

            เขาก็จะบอกว่า “อ้าว! แต่ฉันยังเห็นเธอทำบาปอยู่เลย”

            แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? เดี๋ยวฟังตรงนี้ ท่านก็จะได้รู้ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไร? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้แล้วว่าเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ชัดๆ เลย เป็นอย่างนั้น แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งบนโลกนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่ามีทั้งพลังของความบาปยังอยู่ มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มีความชั่วร้าย ซึ่งมารควบคุมอยู่ มีอิทธิพล คอยชักจูง ผลักดัน ล่อลวงให้เราหลงทำตามมัน มันซึ่งเป็นความบาป มันไม่ใช่ตัวเรา หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเลย มันก็เป็นเหมือนปรสิตหรือพยาธิที่แอบอาศัยอยู่ในเรา แต่มันไม่ใช่ตัวเรา เราต้องยึดพระคัมภีร์เอาไว้อย่างแน่นเลย นี่คือสิ่งที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่บอกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็จะพูดตรงกันข้าม นึกออกใช่ไหม?

            “เธอเป็นคนทำ ก็ต้องเป็นตัวเธอสิ” … นี่คือปฏิปักษ์พระคริสต์

            แต่ถ้ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผย 2 โครินธ์ 5:17 ไว้อย่างนี้ว่า …

            2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว  จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ ตะกี้บอกเรา “เธอยังทำบาปอยู่เลย เธอสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ได้อย่างไร ร่างกาย เห็นตะกี้ยังหงุดหงิดใส่ลูก ใส่สามี ใส่ภรรยาอยู่เลย เห็นชัดๆ อยู่เลย แล้วในนี้บอกตัวเองศักดิ์สิทธิ์”

            “ไม่รู้ล่ะ ฉันจะบอกให้เธอฟัง ใน 2 โครินธ์ 5:17 ถ้าท่านจำไม่ได้ ไม่เป็นไร พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ว่าผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เป็นคริสเตียน เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ บังเกิดใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว ตัวเก่า จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            พูดให้ใครฟัง? พูดให้ตัวเองฟัง ไม่ต้องพูดให้คนที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ฟัง เขาไม่เข้าใจหรอก เพราะว่าวิญญาณเขาและเรามันคนละเรื่องกัน คนละอย่างกัน แต่ถ้าเรามาพูดกับพี่น้องที่เป็น คริสเตียนด้วยกัน ที่รู้ เข้าใจเรื่องนี้ด้วยกัน เอเมน ถูกต้องแล้ว ทุกสิ่งใหม่หมด ทั้งวิญญาณ ใจและร่างกาย พระเจ้าไม่ได้ให้เรามาบังเกิดใหม่ ด้วยความสกปรก โสโครกในร่างกาย ท่านคิดดู พระเจ้าให้ท่านบังเกิดใหม่ ใช้คำนี้เลย “บังเกิดใหม่ในพระคริสต์”

            พระองค์ไม่ได้มาทำให้ท่านบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพื่อมาเป็นคนบาป หรือมีส่วนใด ส่วนหนึ่งเป็นบาป มีมลทิน สกปรกเหมือนเดิม แล้วจะมาทำให้ท่านบังเกิดใหม่ทำไม? พระคัมภีร์ย้ำอยู่หลายๆ ตอนเลยบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ?” ก็แสดงว่าท่านควรจะรู้ รู้อะไร? ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านจะสกปรกได้อย่างไร? สกปรกแม้แต่นิดหนึ่ง ท่านก็ตายแล้ว พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้หรอก

            อัครทูตยอห์นบอกว่าคริสเตียนนั้นแพ้ เหมือนกับคนที่แพ้อาหารทะเล แพ้ปลาหมึก คริสเตียนแพ้ความบาป คนที่แพ้ปลาหมึก กินปลาหมึกอาการปางตายนะ คริสเตียนแพ้บาป คือทำบาปไม่ได้ ทำบาปแล้วดิ้นพลั๊กๆ แตะไม่ได้เลย เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น คริสเตียนไม่สามารถกระทำบาปได้ อาจารย์ยอห์นพูด นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่ได้สามารถทำบาปจากใจของเขาได้ เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สถิตอยู่ภายในเขา และเขาก็บริสุทธิ์เหมือนพระองค์เลย ในพระองค์ไม่มีบาป ในวิญญาณเราก็ไม่มีบาป นึกออกไหม? พระเจ้าไม่ทำบาป เราก็ไม่ทำบาป เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า พูดถึงวิญญาณ ใน 1 ยอห์น 3:9 ที่เราได้เรียนรู้เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ลองอ่านดูอีกทีหนึ่ง …

            1 ยอห์น 3:9 “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้า ดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า”

            คนที่เป็นคริสเตียน ได้บังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้อของพระเจ้า ก็คือวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า บริสุทธิ์ ไม่มีบาปในวิญญาณ และในใจเลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติภายในได้เลย นอกจากพลั้งพลาด ถูกหลอก เผลอจากภายนอก ก็คือจากโลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า

            สรุปแล้ว คริสเตียนจึงเป็นผู้ชนะความบาป  แต่แพ้การทำบาป คริสเตียนชนะความบาป แต่แพ้การทำบาป แบบตะกี้แพ้ปลาหมึก แล้วอาจจะมีคนถามท่าน แล้วเวลาเราไปทำบาปล่ะ เป็นอย่างไร? พระคัมภีร์ว่าอย่างไร? เวลาคริสเตียนไปทำบาป ท่านควรจะรู้ จะได้รู้ตัวว่าเราอยู่ในสภาวะใดในวิญญาณ ขณะที่เราทำบาปอยู่ ใครควรรับผิดชอบตรงนั้น

            พระคัมภีร์บอกว่าการทำบาปของคริสเตียนนั้น เป็นการกระทำของคริสเตียน ของเรา “การกระทำ” นึกภาพนะ ไม่ได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นการกระทำ แต่ไม่ได้ “เป็น” ตัวตน เหมือนมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนลิง การกระทำเขาทำเหมือนลิง แต่ตัวตนเขาเป็นคน เป็นมนุษย์

            เปาโลพูดอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตัวตนจริงๆ ไม่ต้องการทำ มันไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไปที่ทำ แต่มันเป็นบาป ที่กำลังอาศัยอยู่ในตัวข้าพเจ้า เป็นผู้กระทำ”

            เห็นไหม? ก็คือที่ปวดหัว ไม่ใช่ฉันอยากจะปวดหัว ฉันไม่อยากจะปวดหัวหรอก แต่ที่ปวดหัวนี้ เพราะว่าตัวจี๊ด มันอยู่ในนั้น ตัวจี๊ด คือพยาธิ

            ดังนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกนี้ มันมี 4 สิ่ง ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่า 4 สิ่งที่คอยชักจูง และแนะนำ ผลักดันให้คริสเตียน หรือมนุษย์ทั่วๆ ไป ทุกคนทำบาป คือระบบของโลก กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มารและพลังของความบาป 4 สิ่งนี้มีอิทธิพล กำลังทำงานอยู่ในความคิด ในสมองของเรา ของมนุษย์ทุกคน ตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            ในโรม 7:17-20 เปาโลได้กล่าวอย่างนี้ว่าการต่อสู้ภายในระหว่างความปรารถนาของเขา ที่จะทำดี มันต่อสู้กับอำนาจของความบาป ที่ยังคงอยู่ในเนื้อหนังของเขา หรือของคริสเตียนนั้น  เปาโลบอกว่าแม้ว่าเขาหรือคริสเตียนจะมีความปรารถนาที่จะทำดี ตามในใจของเขา ที่เป็นอยู่ แต่บาปที่อยู่ในเนื้อหนังของเขา ก็ยังคงทำให้เขาทำสิ่งที่เขาไม่อยากจะทำ เห็นไหม นี่อย่างชัดเจน เพราะสิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงฐานะของคริสเตียนว่าในธรรมชาติใหม่ของคริสเตียน มันเป็นอย่างนี้ คือบริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอาจถูกหลอกลวงให้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เรียกว่าบาปได้ ซึ่งได้รับการอภัยจากพระเจ้าอยู่เสมอ เพราะว่าคริสเตียนเป็นสิ่งที่ทรงสร้างใหม่ในพระคริสต์ เกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น คริสเตียนจึงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เหมือนพระเยซู ที่ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สะอาด หมดจดทั้งร่างกายและวิญญาณ เพียงแต่ว่าเราเคยมีประสบการณ์ จากการเป็นคนบาป ในสมองเรายังมีโปรแกรมเดิมอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นโปรแกรม อย่างที่ตะกี้บอก เป็นพยาธิ ความเคยชิน เพราะฉะนั้น ในโลกนี้ มีอะไรมากระตุ้นให้เรา ทำตามมัน เราอาจจะเผลอไปทำตาม แต่เผลอไปทำตามเมื่อไรก็ตาม วิญญาณข้างในจะทนไม่ไหว เขาเรียกว่าแพ้ เดี๋ยวก็ต้องหยุด ไปไม่รอด จะถูกหลอกไปไม่ได้นาน

            ส่วนพวกปฏิปักษ์พระคริสต์ พวกสอนเท็จ ต่อต้านความจริง มักจะสอนว่าอย่างนี้ ฟังให้ดีๆ นะ จะได้รู้ แยกแยะได้ว่ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือมาจากวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ผลิตคำสอน คำบรรยาย ถ้อยคำเหล่านั้น

            พวกปฏิปักษ์พระคริสต์ สอนเท็จ ต่อต้านความจริง ต่อต้านพระเยซูคริสต์ มักจะสอนว่าพระเยซูไม่ได้มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เพราะร่างกายของมนุษย์เป็นบาป สกปรก ซึ่งเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐบอกว่าร่างกายมนุษย์สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ดีพร้อม พระเจ้าเข้ามาอยู่ได้ นี่คือกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ กระดุมเม็ดแรกของการต่อต้าน ไม่จริง ไม่ใช่ พระเจ้าไม่มาสถิตกับเธอหรอก ไม่มาสถิตกับมนุษย์หรอก เพราะมนุษย์สกปรก ร่างกายนี้สกปรก

            นี่คือต้นเหตุของความเท็จทั้งหลาย ที่นำมาต่อต้านความจริงของพระเยซูในข่าวประเสริฐ และเป็นต้นเหตุของความเท็จอีกมากมาย ที่จะตามมา หลังจากนี้ และมันก็ตามมาตลอด จนถึงทุกวันนี้ ก็อย่างนี้ เม็ดแรกปุ๊บ เสร็จแล้วก็บานออกไป เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นนั่น ไล่ย้อนกลับไป ต้นเหตุก็มาจากไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเกิดในร่างกายของมนุษย์

            ก็เลยทำให้เชื่อว่า … “ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันก็ยังสกปรกอยู่ พระเจ้าไม่สถิตอยู่กับฉันหรอก”

            หรือไม่ก็ … “ฉันยังเป็นคนบาป สกปรกอยู่ พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันบางครั้งเท่านั้น ที่ฉันทำดีๆ  พอฉันทำบาป พระเจ้าอยู่ไม่ได้ ก็ไป” … นี่มันเป็นอย่างนั้น

            ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเลย ไล่มาถึง 2,000 ปี มันก็จะเป็นอยู่แค่นี้ ไม่มีอะไรใหม่เลย ตัวอย่างเช่น เขาปฏิเสธว่า (เขา คือปฏิปักษ์พระคริสต์นะ) เขาก็จะสอนในลักษณะนี้ว่าแม้เป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังสกปรกอยู่ในร่างกายนี้อยู่ รอวันพิพากษาหลังความตายอีกครั้งหนึ่งว่าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมหรือไม่? พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่ในร่างกายของคริสเตียนผู้เชื่อได้ เพราะยังทำบาปอยู่

            นี่ถ้าฟัง แล้วเชื่ออาจารย์ยอห์น ตามที่เราได้เรียนรู้นี้ ฟังถ้อยคำจากที่ไหนก็ตาม ที่มีการสอน เรื่องของไบเบิ้ล ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เรากำลังฟังปฏิปักษ์พระคริสต์ เรากำลังต่อต้านความจริงของข่าวประเสริฐ

            อีกอันหนึ่ง ฟังให้ดีๆ สอนว่าคริสเตียนเมื่อเปิดใจรับเชื่อพระเจ้าแล้ว ความรอดนิรันดร์ยังขึ้นอยู่กับการประพฤติ การกระทำ การรักษาความบริสุทธิ์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ต้องรักษาอยู่จนกระทั่งถึงวันตาย ถ้ามีอย่างนี้เมื่อไร? สังเกตดู ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่พระวิญญาณ

            พระวิญญาณบอกว่าอย่างไร? อาจารย์ยอห์นบอกว่าเราได้รับการอภัยโทษ ความบาปและความตาย อภัยทั้งบาปในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต จนถึงนิรันดร์เลย อภัยหมดเรียบร้อยแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวบนไม้กางเขน อย่างนี้เป็นต้น

            หรือตัวอย่างต่อไป เป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ได้รับความรอด แล้วดีใจ ปิติยินดี แต่คุณต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ บัญญัติของโมเสสด้วย นี่มาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนแล้ว คุณต้องเข้าสุหนัต คุณต้องถวายสิบลด คุณต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้

            และในปัจจุบัน คนที่ไม่ได้เป็นชาวยิว ก็ไม่มีกฎของโมเสส แต่มีกฎของศีลธรรม  ก็เอากฎของศีลธรรมมาอ้างว่าแต่คุณต้องเป็นคนดีด้วยนะ คือฟัง แล้วมันใช่หมด มันดีตามระบบของโลกใบนี้ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอย่างนั้น ถ้าเรายังคงพึ่งกฎของศีลธรรม ความดี ความชั่วอะไรต่างๆ เหล่านี้อยู่ เราอาจจะได้รับความรอด  แต่เราทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย

            ข่าวประเสริฐบอกว่าไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม มันไม่ได้เกี่ยวกันกับการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เราได้รับความรอด โดยพระคุณ คือไม่ใช่โดยการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เราต้องยึดตรงนี้ไว้ให้ดีๆ ปฏิปักษ์พระคริสต์มาอย่างแนบเนียน

            “คุณเป็นคริสเตียน คุณไม่รักษาการมีศีลธรรม ความดีงามหรือ?”

            ใครบอกไม่รักษา รักษามากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะว่าแต่ก่อนนี้ทำบาปไป เฉยๆ หรือสำนึกไม่ค่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้แพ้บาป ทำนิดหนึ่ง ก็ตายแล้ว

            เห็นหรือยังปฏิปักษ์มันคืบคลานเข้ามา มันดูเนียนมากเลย ดูดีมาก ต้องปฏิบัติตามนี้สิ เป็นคริสเตียนต้องเป็นคนดีด้วย มันใช่ ถูกต้อง แต่การเป็นคนดีของฉัน ไม่ใช่ เพื่อฉันจะได้รอดจากนรก จากความพินาศหลังความตาย จากการได้ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่ ฉันทำความดี เพราะวิญญาณของฉันเป็นความดี วิญญาณของฉันเป็นธรรมชาติของความดี ฉันทำตามธรรมชาติ ไม่ได้คิดว่าทำดีด้วยซ้ำไป ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เหมือนคนเดินได้ ไม่ใช่ดีใจจัง ฉันเดินได้ ถ้าเป็นงู เดินได้ มันคงดีใจ ฉันเดินได้ เราเป็นคน เดินได้อยู่แล้ว บางครั้งจะลงไปเลื้อย  ท่านจะเลื้อยได้นานขนาดไหน? ท่านเป็นคน ท่านไปเลื้อยๆ เหนื่อย ไม่ไหวแล้ว ท่านก็ลุกขึ้นยืน เดิน ฉันใดฉันนั้น

            หรือมาสอนว่านอกจากเชื่อในการเป็นคริสเตียนแล้ว คุณต้องทำดีมากๆ เพราะยิ่งคุณทำดี คุณจะได้รับพระพรจากพระเจ้ามากขึ้นด้วย เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตาย ไปอยู่ในสวรรค์ แล้วคุณจะได้รางวัลมากกว่าคนอื่นเขา ยิ่งคุณทำดีๆ ตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้  ตามกฎศีลธรรมต่างๆ บนโลกใบนี้ คุณก็จะได้พรอย่างมากมาย จากพระเจ้า ถูกหรือไม่ถูก พระเจ้าต้องการให้พรทุกคนแหละ แต่เราทำดี แล้วเราได้ดี มันก็เป็นไปตามกฎของโลกใบนี้ หว่านอะไร ก็เก็บเกี่ยวอย่างนั้น ทำดี ก็ได้สิ่งดี ถูกต้อง ทำสิ่งชั่ว ก็ได้สิ่งชั่ว ถูกต้องเลย แต่ถูกต้อง เฉพาะโลกใบนี้ ทำดี ท่านก็ได้สิ่งที่ดี การอยู่บนโลกใบนี้ แต่เรื่องโลกวิญญาณ ความรอดนั้น ได้เท่ากันหมดเลย คือรอด โดยการเชื่อว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นมนุษย์ๆ เป็นตัวแทนฉัน ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับฉัน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรสักนิดหนึ่ง ฉันแค่เชื่อเท่านั้นเอง ฉันก็ได้รับความรอดแล้ว เอเมน รางวัลจากพระเจ้าในสวรรค์ มีรางวัลเดียว ก็คือความรอด จากการพินาศเนื่องจากบาป ก็คือนรกนั่นเอง หรือจะให้ชัดอีกนิดหนึ่ง รางวัลจากพระเจ้า ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว ท่านจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์จริงๆ วิญญาณกับใจใหม่ ได้รับเรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้ แต่ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในวันหนึ่ง เมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะได้รับการสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า และจะร่วมครอบครองในสวรรค์ ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นร่วมกับพระเยซูคริสต์ และร่วมกับธรรมิกชนทั้งหลาย  เป็นนิรันดร์ นั่นแหละคือรางวัล เท่ากันทุกคน เพราะทุกคนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับโดยพระคุณ เท่าๆ กัน

            ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ก็คือทำตามกฎศีลธรรมไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าทำบาปนั่นแหละ ปฏิบัติได้น้อย ตามสายตามนุษย์ ไม่ได้ดีขึ้น ซึ่งฟังดู แล้วมีเหตุผลทั้งสิ้น  ถ้าทำไม่ได้ หรือปฏิบัติได้น้อย ปรับปรุงตัวได้น้อย วันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป สู่โลกวิญญาณ พระเจ้าอาจจะบอกว่า …

            “จงไปให้พ้น เราไม่รู้จักเจ้า” … โอ๊ย! คริสเตียนขนหัวลุก

            แล้วทำอย่างไร ถึงจะทำได้อย่างนี้? มันถูกไหม? ฟังดูเหมือนถูก แต่มันก็ผิดอีกแหละ …

            “ฉันรอด รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ”

            “อย่างนี้ ก็ส่งเสริมให้เขาทำบ่อยๆ สิ”

            ก็กลับมาที่เดิม ก็บอกแล้วไง? บอกว่าแพ้บาป ยังพยายามยัดเยียดให้เราเป็นอย่างนั้นอีก จะเห็นไหมเนี้ย? สิ่งที่มันเกิดขึ้นในวงการคริสเตียนในขณะนี้ มันทำลายความจริงของข่าวประเสริฐ มันทำร้ายข่าวประเสริฐ ทำให้ข่าวประเสริฐอ่อนฤทธิ์ลง อ่อนกำลังลง ด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์ ด้วยการดูดีแบบมนุษย์ แต่มันก็คือบาป ปฏิเสธความจริงของพระเยซูคริสต์ ก็คือบาป เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ แต่ดูดี มีปฏิปักษ์พระคริสต์ แบบดูไม่ดี แบบเห็นเลย กับปฏิปักษ์พระคริสต์ แบบดูดี อย่างนี้ดูดี

            หรือมาเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ปิติยินดีมาก ไม่พอๆ เธอต้องได้รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าตอนที่เธอรับเชื่อไป ยังไม่เต็มล้น เธอต้องมารับการเจิม ต้องมาโบสถ์ เดี๋ยวมีคนมาวางมือเจิมให้ เธอจะได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น พระวิญญาณกลายเป็นสิ่งของ

            พระคัมภีร์บอกพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูก็เข้ามาแล้ว เข้ามาครึ่งตัวเอง เพราะฉะนั้น เธอต้องไปเติมอีกครึ่งตัว นี่พระวิญญาณกลายเป็นสิ่งของ กลายเป็นวัตถุ กลายเป็นไฟ กลายเป็นอะไรก็ตามที่ต้องเติมเข้าไป มาอยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ พูดง่ายๆ ว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ทันทีปุ๊บ พระเยซูเข้ามาอยู่ครึ่งตัว แล้วเธอต้องไปโบสถ์บ่อยๆ เดี๋ยวไปรับการเจิม เดี๋ยวพระเยซูจะได้เข้ามาอีกครึ่งตัว เพื่อจะได้ชีวิตคริสเตียนครบถ้วนบริบูรณ์ เขาว่าอย่างนั้น แล้วเธอต้องพูดภาษาแปลกๆ ด้วย ต้องรับบัพติศมาในน้ำด้วย ถึงจะรอดนะ เหล่านี้ ต้องทำมหาสนิทบ่อยๆ และเวลาทำมหาสนิทต้องระมัดระวังนะ เผลอเอาให้เด็กกินไม่ได้ เด็กกิน เด็กโดนสาปแช่งนะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันอยู่ในวงการคริสเตียนเยอะแยะ ต้องสารภาพบาปทุกวัน อย่าลืมนะ ถ้าลืม บาปมันติดตัวเธอไปถึงวันพิพากษา นี่ชัดเจนมาก

            ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ การสอนเท็จเหล่านี้ ล้วนเกิดมาจากความไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของข่าวดี ที่พระเจ้าทรงส่งพระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป ซึ่งข่าวดีนี้ เริ่มต้น จากที่ผมบอก เริ่มต้นจากวันคริสต์มาส มาจบเอาวันอีสเตอร์ แค่นั้นเอง

            และผลของปฏิปักษ์พระคริสต์ ตะกี้นี้ ที่เราพูดมาทั้งหมด ที่ยกตัวอย่างทั้งหมด ผลมันทำให้ไม่สามารถรับรู้ความจริง เรื่องพระคุณของพระเจ้าได้ ทำให้มนุษย์ไม่รู้จักเรื่องพระคุณ เรื่องข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเจ้า  ไม่รู้เรื่องพระคุณยิ่งใหญ่  ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้แล้ว เราสามารถเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ ทั้ง 3  พระภาคได้แล้ว เดี๋ยวนี้ ในพระเยซูคริสต์ ก็คือวันอีสเตอร์นั่นเอง

            ถ้าเราไปถูกสอนไร้สาระต่างๆ เหล่านี้ ที่ยกตัวอย่างมา มันก็ทำให้ตรงนี้เสียไปเลย  เพราะการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า คือเป็นหนึ่งแล้ว มันก็จะแย้งกับตะกี้นี้ที่ยกตัวอย่างมา การสอนเท็จทั้งหมด และกระทำให้มนุษย์ไม่สามารถเชื่อและรับได้ว่าเขาสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ได้ทันทีเลย เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ง่ายๆ เท่านั้นเอง มันสำคัญถึงขนาดนี้ 1 ยอห์น 4:4-6 …

            1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า  จึงมีชัยชนะ เหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ 5 พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้  ดังนั้น  สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้ 6 แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าจะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหน เอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            พูดง่ายๆ อาจารย์ยอห์นก็สรุปอย่างนี้ ในข้อนี้ว่าถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายมนุษย์ และพระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตในพระเยซูได้จริงๆ เราก็สามารถเชื่อได้ว่าเราที่เกิดในร่างกายของมนุษย์นี้ สามารถได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระองค์ พระเจ้าก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา ผู้เชื่อได้เช่นเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงเน้นให้ชัดๆ เลยว่าพี่น้อง บัดนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ขณะที่ท่านนั่งอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่ ขณะนี้ ยังทำบาป ยังคิดอะไรต่างๆ ไม่ดี หรืออะไรต่างๆ ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน จะบอกให้ว่าท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์แล้วจริงๆ และพระองค์ คือพระเจ้า 3 พระภาค อยู่กับเรา อยู่กับท่านแล้วจริงๆ ขณะนี้ ยืนยัน โดยบอกว่าพระคริสต์หรือพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน ซึ่งเป็นใหญ่กว่าการโกหก ปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลกนี้ ที่มันพยายามจะต่อต้านกล่าวหาท่าน พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก

            “พระคริสต์ผู้สถิตในฉัน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่อยู่ในโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริงๆ  จริงมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ และเป็นนิรันดร์ด้วย

            โรม 8:9 … “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง ในอาดัม แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน  คนนั้นก็ไม่ได้  (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริง จริงกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ

            พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากครรภ์มารดา ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ แต่วิญญาณภายในอยู่ในโลกวิญญาณ อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ในความบาป ในเนื้อหนัง ในอาดัมบรรพบุรุษ อยู่ภายใต้กฎแห่งการทำดีละชั่ว  พยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งพระเยซูตรัสว่ามันไม่มีทางดีพร้อม 100% ได้เลย ต้องบังเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย จึงจะสามารถบริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ของพระเจ้าได้

            ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้ เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์ จะเข้าไปในร่างกายของท่าน ทำอัศจรรย์ ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ย้ายวิญญาณของท่าน ออกจากความบาปในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ในสวรรค์ทันที และท่านจะอาศัยอยู่ในสวรรค์นี้ชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1493

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 9

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 3 ต่อข้อที่ 18 เดือนที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 17 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:17 “ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างนี้  คือบทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปี  ไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา”

            เราจบลงตรงนี้ วันนี้ เรามาต่อข้อที่ 18 …

        กาลาเทีย 3:18 “เพราะหากการรับมรดกขึ้นกับบทบัญญัติ ก็ไม่ได้ขึ้นกับพระสัญญาอีกต่อไป แต่โดยพระคุณของพระองค์ พระเจ้าประทานมรดกแก่อับราฮัม  ผ่านทางพระสัญญา”

            อันนี้ชัดเจน อาจารย์เปาโลกำลังเน้นย้ำให้กับชาวกาลาเทียและคนในยุคนั้นได้เห็นถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้าว่าพระองค์ประทานความรอดให้กับคนยิวก่อน ต่อจากนั้น ก็เป็นพวกเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติ โดยผ่านทางพระสัญญา ที่พระเจ้าทรงให้กับอับราฮัม ตอนที่พระองค์เรียกอับราฮัมออกจากบ้านเมืองของตัวเอง แล้วพระองค์บอกว่าประชาชาติทั้งหลายจะได้รับพร เพราะเจ้า

            “พร” ตรงนี้ คือพระพรแห่งความรอด ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้หลายพันปี เพื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทั้งหลายบนไม้กางเขน มาหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูหลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว จบ หมายความว่าเลือดของพระเยซูคริสต์สามารถชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ ทั้งในอดีต ก่อนที่เชื่อพระเจ้า ทั้งในปัจจุบันที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว และในอนาคตข้างหน้าที่เราจะทำบาปอีก เราต้องยอมรับความจริงว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียน เรายังคงทำบาปอยู่ ถ้าใครบอกว่าตัวเองไม่เคยทำบาป คนนั้น ก็โกหก

            พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ รู้ว่าเรายังอยู่ในร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรายังมีโอกาสที่จะถูกล่อลวง ด้วยระบบของโลกใบนี้อยู่ เราสามารถที่จะดื้อกับพระเจ้า การดื้อกับพระเจ้า ก็คือไม่ทำตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าบอกไว้ ให้กับพวกเรา เราก็ไปทำตรงกันข้าม เขาเรียกว่าดื้อ พอดื้อ ก็คือทำบาป แต่ว่าไม่ว่าเราจะทำบาปลงไปด้วยความตั้งใจ จริงๆ ถ้าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว ไม่มีการตั้งใจ ที่จะทำบาปแน่นอน  เพราะว่าในวิญญาณของเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว แล้ววิญญาณใหม่ของเราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย  ก็คือไม่มีบาป เมื่อไม่มีบาป โอกาสที่เราจะตั้งใจทำบาป มันไม่มีอยู่แล้ว  แต่ว่าเราเผลอไปถูกล่อลวงด้วย ระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา เราก็เลยทำบาป

            การทำบาป ก็คือไม่ได้ทำตามตัวตนแท้ๆ ของเราที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าพระบิดารู้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์ ยังอยู่ในร่างกายนี้ โอกาสที่จะทำบาป มีเยอะแน่นอน พระเจ้าก็เลยเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ต้องรอให้มนุษย์มาขอ ในหนังสือฮีบรูบอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งลงครั้งเดียวเป็นพอ แล้วพระโลหิตของพระองค์สามารถที่จะชำระ ตั้งแต่บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย และตรงนี้ ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น แต่สิ่งที่พระเยซูทำเรียบร้อยไปแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ คือของขวัญได้เตรียมไว้สำหรับทุกคนบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ที่ว่าทุกคนบนโลกใบนี้ เขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระองค์ แล้วเขายอมเข้ามารับของขวัญนี้หรือไม่?

            เราขอบคุณพระเจ้า ที่พวกเราทุกคน ที่มานั่งอยู่ที่นี่ คือเราได้ยิน เราได้ฟังข่าวดี แล้วระยะเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราต้องการพระองค์ แล้วเราก็เดินเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้จากพระเจ้า ของขวัญที่พระเจ้าให้กับเรา ไม่ได้ให้อย่างเดียว แต่ให้มาเป็นกล่องโตๆ กล่องใหญ่ๆ เลย คือพระพรนานัปการที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยไปแล้ว ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า พระพรเหล่านี้เป็นของเราเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เราอาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่รู้สึก ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง? แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเรื่องนี้มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  เมื่อวันที่พระเยซูตะโกนดังๆ ว่า …

            “สำเร็จแล้ว”

            ก็คือพระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น คริสเตียน ณ ปัจจุบัน เราเลยอยู่ด้วยความเชื่อ เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ณ เวลานี้ พระเจ้าทำให้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำให้เราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจเรียบร้อยไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ก็คือตรงนี้ เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึก แล้วเรารับเอาด้วยความเชื่ออย่างเดียวเลย คือเราต้องเชื่อเอานั่นแหละ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ตัวตนก็ยังเหมือนเดิม ดำก็ดำเหมือนเดิม ขาวก็ขาวเหมือนเดิม เตี้ยก็เตี้ยเหมือนเดิม สูงก็สูงเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือในวิญญาณของเราได้เปลี่ยนแปลงเหมือนกับพระเจ้า 100% เต็ม

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าการรับมรดก ขึ้นกับบทบัญญัติ ถ้ามนุษย์สามารถรับมรดก โดยบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ แปลว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระเจ้าเขียนไว้ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที โดยไม่มีการผิดพลาดเลย อันนั้นพระเจ้ารับได้นะ ถ้าใครสามารถทำถึงขนาดนั้น พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ มนุษย์อยู่ในความบาป มนุษย์เป็นคนบาป และกระทำบาป ฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำจนถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้

            พระองค์จึงให้คำสัญญาผ่านทางอับราฮัม บรรพบุรุษของเรา ก็คือผ่านทางบิดาแห่งความเชื่อ ตั้งแต่วันแรกที่เรียกอับราฮัมออกมา แล้วพระเจ้าก็ทรงอวยพรเขาว่า …

            “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะได้พระพร และประชาชาติเยอะแยะจะได้รับพระพร เพราะเจ้า”         

            แล้วพระพรผ่านทางพันธสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้  ก็คือรอเวลาที่พระเยซูคริสต์ถูกกำหนดให้มาเกิดบนโลกใบนี้  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ข่าวดีของพระเจ้าได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม ก็เรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าตั้งแต่วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นับตั้งแต่วินาทีนั้น จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป  แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ทำให้บทบัญญัติทุกอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ แล้วพระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  ทำให้เราสามารถที่จะทำตามบทบัญญัติครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เพราะพระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์

            ดังนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรารับพระคุณนี้ โดยที่เราไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย ในพระคัมภีร์บอกว่าในอาดัม มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เราเกิดมา ก็บาปเลย  เป็น DNA บาป สืบเชื้อสายมาตั้งแต่มนุษย์คู่แรก จนถึงยุคของเรา  และในอนาคตข้างหน้าด้วย มนุษย์ทุกคนเกิดมาในบาป และก็ทำบาป แล้วก็เดินทางไปสู่ความบาป ความตาย ความพินาศ  แต่ของประทานที่พระเจ้าให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  ก็คือใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ  เพื่อเขาบนไม้กางเขน โดยพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค จะเข้ามาสถิตอยู่ในเขา  เขาคนนั้นจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมทันที โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน เขาเรียกว่าเกิดมาเป็น

            ก่อนที่พระเยซูมา เราเกิดมาเป็นคนบาป  แต่หลังจากที่พระเยซูเสด็จมาบนโลกใบนี้ และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ถ้าเรายอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ เราบังเกิดใหม่  เราก็เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  มันเป็นภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ

            ในโลกวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรม ได้รับชีวิตนิรันดร์ชนิดแบบเป็นของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม มันได้สำเร็จเรียบร้อยในพระเยซูคริสต์

        กาลาเทีย 3:19-20 “19 ถ้าเช่นนั้นบทบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร?    การที่มีบทบัญญัติเพิ่มขึ้นมา  ก็เพราะการล่วงละเมิดทั้งหลาย และบทบัญญัตินี้คงอยู่จนกว่า “พงศ์พันธุ์” นั้นซึ่งพระสัญญาระบุไว้มาถึง บทบัญญัติมีผลบังคับใช้ผ่านทางเหล่าทูตสวรรค์โดยคนกลาง 20 อย่างไรก็ตามคนกลาง   ไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว”

            พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างด้วยตัวของพระองค์เอง ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ พันธสัญญาเดิม พระเจ้าให้ทูตสวรรค์เป็นคนกลางที่ทำพันธสัญญากับมนุษย์ แต่สัญญาตรงนั้น ยังต้องใช้กำลังของตัวมนุษย์เอง  ที่จะต้องทำด้วย กฎระเบียบต่างๆ ที่ถูกบันทึกมาไว้ ก็คือพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับคนยิว เริ่มต้นที่คนยิว ผ่านทางโมเสส เริ่มต้นที่โมเสสขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า 40 วัน พระเจ้าก็ให้บทบัญญัติมา บัญญัติ 10 ประการ

            สมัยก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ดูหนัง โมเสส บัญญัติ 10 ประการ เราตื่นเต้นยินดี แต่เราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร? แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรารู้ว่าสิ่งแหล่านี้ พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่านี่ บทบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าให้ไว้ แค่ว่ามนุษย์จะได้มาอยู่ในระบบระเบียบ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ มนุษย์ก็ไม่มีระเบียบ ถ้าไม่มีข้อห้าม มนุษย์ก็ทำตามใจตัวเอง เหมือนสมัยก่อน ก่อนที่จะมีกฎหมายบ้านเมือง มนุษย์ก็เป็นคนเถื่อน ฆ่าใครตายก็ได้ จะไปชิงทรัพย์ใครก็ได้  จะไปทำอะไรก็ได้ ไม่มีผิด เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม แต่เมื่อมีกฎหมายปุ๊บ ถ้าทำผิดจากกฎที่เขาตั้งไว้ ก็ต้องรับโทษ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

            แล้วพระเจ้าให้บทบัญญัติเหล่านี้ เพื่อที่จะให้คนยิว ในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิมรักษาตรงนี้ไว้ แต่คำว่า “รักษาตรงนี้ไว้” มันเป็นกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าสั่งไว้ คือมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ เพราะแม้ว่าเขาได้ชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้า พระเจ้าเลือกเขาไว้ แต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ พี่น้องต้องรู้ตรงนี้ คนยิวในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม เขายังเป็นคนบาปอยู่ อยู่ใน DNA ของอาดัม เขาไม่ใช่ผู้ชอบธรรม

            เขาสามารถเป็นผู้ชอบธรรมผ่านทางความเชื่อ ตามที่พระเจ้าสั่งอับราฮัมไว้ จากโมเสส พระเจ้าให้กฎเกณฑ์ แล้วคนอิสราเอลก็ทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าให้โมเสสไว้ ใครก็ตามที่มาทำตามนั้น เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นประชากรของพระองค์ หมายความว่าชั่วคราว ณ เวลานั้น พระเจ้ายังไม่ได้เข้ามาสถิตกับคนอิสราเอลเลย พระเจ้าอยู่รอบๆ  ฉะนั้น คนอิสราเอล เวลาพระเจ้าจะทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์ หรือจะทำการงานของพระองค์ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ พระองค์ก็จะเข้าไปสถิตอยู่กับผู้เผยพระวจนะคนนั้น เป็นตัวแทน เป็นปาก เป็นเสียงให้กับพระเจ้าที่จะประกาศกับคนอิสราเอลได้รับรู้ว่าความต้องการของพระเจ้า ณ เวลานั้นๆ คืออะไร? แล้วจากนั้น พระเจ้าก็ออกมา พระเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยตลอด ก็คือใช้งานเสร็จ พระเจ้าก็ออกมา นี่คือสมัยเดิม มันเป็นอย่างนั้น

            แล้วสมัยเดิม หนักกว่านั้นอีก ก็คือพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ สะอาดมาก แต่มนุษย์เป็นคนบาป ติดเชื้อบาปอยู่ มนุษย์จึงไม่สามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้ เข้าใกล้เมื่อไร? ตายเมื่อนั้น พระเจ้าเลยตั้งกฎเกณฑ์อันหนึ่ง ให้มีชนเผ่าเลวีที่จะเป็นคนกลางระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า  ที่จะเข้ามาสารภาพบาปกับพระองค์ เอาแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชา ในแต่ละปี หรือเอาเครื่องธัญบูชา หรือเอาอะไรที่มีบาปเบี้ยใบ้รายทางทุกวี่ทุกวัน  ก็เอามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า คนอิสราเอลสมัยก่อนเป็นแบบนั้นนะ ก็ลำบากประมาณหนึ่ง ทำผิดนิดหนึ่ง ก็เอาของมาถวาย ทำผิดนิดหนึ่ง ก็ห้ามเข้าในพระวิหารของพระเจ้า ถ้าผู้ชาย 7 วัน ถ้าผู้หญิง 14 วัน กฎเยอะมาก

            ฉะนั้น กฎตรงนี้ พระเจ้าตั้งไว้ เพื่อให้คนอิสราเอลรักษาตรงนี้ไว้ จนกว่าบุคคลที่เป็นไปตามพระสัญญา ที่พระเจ้าจะส่งมา ก็คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกกับคนอิสราเอลว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะประทานพระมาซีฮาห์มาให้ แล้วเมื่อพระมาซีฮาห์มา การถวายเครื่องบูชา ก็จบลง กฎเก่าก็จะถูกยกเลิกไป พระเจ้าก็จะตั้งกฎใหม่

            แต่ ณ เวลานี้ ในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น เมื่อมีกฎ คนก็จะถามว่าถ้ามนุษย์มาเชื่อพระเจ้า โดยพระสัญญา แล้วพระเจ้าเอากฎพวกนี้มาเพื่ออะไร? กฎพวกนี้ เพื่อพระเจ้าจะเล็งให้มนุษย์เห็นว่าเราเป็นคนบาป เราไม่สามารถรักษากฎของพระเจ้าได้ 100% เต็ม อย่าทำเลย อย่าพยายาม อย่าพยายามสร้างความชอบธรรม ด้วยกำลังของตัวเอง แต่ให้สร้างความชอบธรรมผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ คือมาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร เป็นของขวัญ เป็นของฟรีที่ให้เปล่าๆ รับปุ๊บ ได้ทันที นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติ

        กาลาเทีย 3:21-22 “21 ถ้าเช่นนั้น  บทบัญญัติขัดกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! เพราะถ้าทรงให้มีบทบัญญัติซึ่งให้ชีวิต ความชอบธรรมย่อมมีได้โดยบทบัญญัติ 22 แต่พระคัมภีร์ประกาศว่าทั้งโลก  ตกเป็นนักโทษของบาป เพื่อว่าสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น  จะประทานแก่บรรดาผู้เชื่อ โดยทางความเชื่อ  ในพระเยซูคริสต์”

            นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมการไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากความผิดบาป หรืออีกนัยหนึ่ง ให้มนุษยชาติสามารถเข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้ การคืนดีกับพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะพึ่งความดีของตัวเอง เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม มาคืนดีกับพระเจ้าได้

            วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป จากที่เดิมเคยคุยกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าแบบใกล้ชิดสนิทสนม คุยกันกระหนุงกระหนิง เป็นครอบครัว เป็นลูกกับพ่อ เป็นพ่อกับลูก แต่วันที่มนุษย์ผลักพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเขา เรารู้ได้อย่างไรว่าผลักพระเจ้าออกจากชีวิตของเขา เพราะว่ามนุษย์ตัดสินใจ ที่จะพึ่งในความดีงามของตัวเอง แทนที่จะพึ่งความดีงามที่พระเจ้าบอกเขาว่า …

            “พระองค์สร้างเขาดีแล้ว ดีสุดแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไร ฉันสร้างเธอสุดยอดแล้ว เธอแค่ทำหน้าที่อย่างเดียว ไปชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งที่เราสร้างให้เจ้า”

            ก็คือในสวนเอเดนทุกอย่าง พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ ก็ให้ไปชื่นชมยินดี ไม่ได้ให้มนุษย์ทำงานนะ หลายคนคิดว่าอาดัมยังต้องทำงาน ต้องดูแลสวน ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าให้สวนนั้นสวยสดงดงาม ไม่ต้องไปหว่าน ไม่ต้องไปรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย อะไรในยุคนั้นที่ความบาปยังไม่เข้ามา ทุกอย่างงดงามตามที่พระเจ้าได้สร้างไว้

            มนุษย์ทำหน้าที่อย่างเดียว คือเชื่อวางใจในพระองค์ แล้วก็ชื่นชมกับทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างไว้ให้ แค่นั้นเอง แต่เนื่องจากมนุษย์ถูกหลอก หลอกแบบใสๆ หลอกแบบไม่คิดว่าตัวเองจะกบฏกับพระเจ้า เขาคิดว่าเขาอยากจะทำดี เพื่อที่จะให้พระเจ้าพอใจ เราเคยไหม อยากทำดีให้พ่อแม่มีความสุข  แต่พระเจ้าบอกอาดัมกับเอวาว่า …

            “ไม่ต้อง เธอดีแล้ว เธอไม่ต้องทำเยอะกว่านั้น”

            แต่เอวาหลงเชื่อคำหลอกลวงของซาตาน มาในคราบของงูว่า …

            “ที่พระเจ้าห้าม ไม่จริงหรอก อย่างไรเธอก็ไม่ตาย  แต่ถ้าเธอกิน ตาเธอจะสว่างขึ้น เธอจะสามารถรู้จักว่าความดี ความชั่ว คืออะไร? เธอสามารถที่จะทำดีได้ ด้วยกำลังของเธอเอง”

            ฟังอย่างนี้ “ว๊าว! สุดยอดเลย น่าจะลองดู”

            แล้วก็เริ่มต้น ตัดสินใจ เมื่อการตัดสินใจของมนุษย์คู่แรก เท่ากับเขากำลังบอกพระเจ้าว่า …

            “ณ เวลานี้ พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่ต้องการพระองค์แล้ว ลูกสามารถทำเองได้ เชิญพระองค์ออกไป”

            นี่อัตโนมัติเลยนะ เมื่อมนุษย์เป็นคนบาปปุ๊บ พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้ พระองค์ก็ต้องเชิญตัวพระองค์เองออกไป ไม่อย่างนั้นอาดัมเอวาตายแน่ๆ พระองค์ก็ออกไป

            เราจะเห็นภาพหนึ่ง ก็คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน  คำว่า “เอเมน” คือให้เป็นไปตามนั้น พระเจ้าไม่บังคับมนุษย์ด้วย ตั้งแต่อดีต มนุษย์คู่แรก จนถึงปัจจุบัน จนถึงพวกเราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ไม่เคยบังคับเรา พระองค์ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจทุกเรื่อง แม้ว่าเราถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์มีสิทธิ์ที่จะบังคับเราก็ได้ แต่พระองค์ไม่บังคับ พระองค์ยังให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจเลือกว่าเราจะดำเนินชีวิต ตามตัวตนแท้ๆ ที่เราตอนนี้เป็นแล้ว เป็นความชอบธรรม เป็นความรัก เป็นความดีงาม คือเราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย เราจะยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลตรงนี้ ที่มันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ออกไปให้ชาวโลกได้เห็นไหม? หรือเราจะเชื่อตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา คือความเคยชินเก่าๆ ที่เรายังเคยทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า แล้วเราก็ตัดสินใจว่าเราทำตามมัน พอทำตามปุ๊บ เราก็พลาดจากการเชื่อฟังพระเจ้า แต่ข่าวดี คือถ้าเป็นเมื่อก่อน ลงโทษเลย  แต่ข่าวดีในปัจจุบัน คือเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว การลงโทษ จะไม่มีสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  นี่เป็นเรื่องของโลกวิญญาณนะ เราต้องยึดตรงนี้ไว้ อย่างไร วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเหมือนเดิมแหละ แต่ร่างกายเรา พระเจ้าเป็นผู้ประทานกฎ ทั้งกฎฝ่ายวิญญาณและกฎฝ่ายโลกนี้  แล้วพระองค์ก็เป็นผู้รักษากฎด้วย พระองค์ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ลำเอียงด้วย

            “คนนี้ลูกเรา ทำไปเถอะ ไม่ลงโทษก็ได้ ปล่อยผ่านไปๆ”

            ไม่มี ถ้าผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เขาจะได้รับผลบนโลกใบนี้เท่านั้น ก็คือหว่านอะไร ท่านต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ท่านจะมาอ้างว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องถูกลงโทษ เราไปฆ่าคนตาย แล้วเราก็เดินไปบอกตำรวจว่า …

            “ไม่ต้องมาจับฉันหรอก ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอกฉันว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ตำรวจ ไม่มีสิทธิ์จับฉัน”

            จริงหรือ? มันไม่ใช่นะ ตำรวจจับท่านแน่ๆ แล้วท่านต้องไปติดคุกด้วย ถ้าโทษถึงตาย ท่านก็ตายด้วย ตายอยู่ในคุกก็ได้ ถูกประหารชีวิตก็ได้ แต่โลกนี้ประหารชีวิตท่านได้เฉพาะร่างกายนี้เท่านั้น แต่วิญญาณท่านยังเป็นของพระเจ้าอยู่ วิญญาณของท่านยังเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมนิรันดร์กาล เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย  ไม่มีการเป็นลูกวันนี้ พรุ่งนี้ทำไม่ถูกต้อง ระเห็จไปเป็นลูกมาร  พรุ่งนี้ทำดี พระเจ้าเอากลับมาใหม่ ไม่มีนะ เราถูกหลอก พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่หลงเชื่อระบบโลกนี้ พระเจ้ายังคงรักเรา แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคืออะไรรู้ไหม? พระเจ้าก็เศร้าไง …

            “ลูกเอ๋ยๆ ลูกไปทำอย่างนี้ เดี๋ยวลูกก็เจ็บตัวหรอก ลูกเจ็บตัว พระเจ้าเจ็บนะ”

            เวลาเราเจ็บตัว พระเจ้าเจ็บกว่าเราอีก พระเจ้าไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้ผู้เชื่อไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงของเรา แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาต เราบอกพระเจ้าอนุญาตเหมือนพระเจ้าส่งเสริมเราทำ ไม่ใช่ ก็คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมนไง? เราตัดสินใจอะไร พระเจ้าต้องเอเมนตาม ก็คือเหมือนอนุญาต แบบไม่อยากให้ทำ แต่ก็ยังคงต้องอนุญาต แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าแน่นอน

            สิ่งที่เป็นความจริง ที่เราต้องรู้  ก็คือเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าจริงๆ เราบังเกิดใหม่จริงๆ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ ธรรมชาติใหม่ของเรา สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดจริงๆ แล้ว เราไม่มีความต้องการที่จะทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เราอย่าคิดว่าเราสามารถที่จะมีความสุขกับการทำบาปได้ตลอดเวลา ไม่มีทางแน่นอน เพราะเราเป็นผู้เชื่อ

            อย่างที่อาจารย์นครเคยยกตัวอย่างให้ฟังว่าสมมติว่าเราเป็นเจ้าสาว แล้วเราใส่ชุดสีขาวสวยๆ เวลาเราเดินออกไปข้างนอก เราจะระวังมาก ถ้าเราเจอฝนตก เราจะค่อยๆ ย่อง ถ้าเราเดินพั๊บๆ น้ำมันพุ่งขึ้นมา สกปรกหมด เราก็จะค่อยๆ เดินไป เราจะรักษาชุดของเราให้ดีที่สุด ให้มันเปื้อนน้อยที่สุด มันเป็นภาพนะ

            แต่ถ้าสมมติว่าเจ้าสาวคนนั้น ไม่ได้ใส่ชุดสวยงาม ใส่แบบโกโรโกโส ไม่มีตังค์ซื้อชุดแต่งงาน ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์  เขาก็ไม่ต้องระวัง เดินออกไป ฝนตก ไม่เป็นไร ฉันก็กางร่ม เจอโคลน ฉันก็ย่ำไปเลย สกปรก เดี๋ยวก็ไปซัก

            มันเป็นภาพให้พวกเราเห็นว่าในวิญญาณของเรา เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เราจะระวังมาก เราจะไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว มีความสุขมากกับการทำบาป มันไม่มีทาง เมื่อเราหลงเชื่อคำหลอกลวงของโลกนี้ ทำไปแป๊บเดียวเอง สิ่งแรกที่มันเกิดขึ้น คือข้างในเราไม่สบายใจทันทีเลย เพราะว่ามันผิดกับวิญญาณจริงๆ ของเรา มันไม่ใช่เลย ดังนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเรา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วไม่ต้องกังวลว่าคริสเตียนจะสามารถแช่อิ่ม อยู่ในความบาป อย่างมีความสุข ไม่มีทาง

            คริสเตียนจะเป็นโรคหนึ่ง คือโรคแพ้ความบาป  เขามีแพ้ฝุ่น แพ้อากาศ แพ้ทุกอย่าง แพ้อาหาร แพ้ปู แพ้ปลา แต่ว่าคริสเตียนเป็นโรคแพ้ความบาป ถ้าเราทำบาปปุ๊บ เราจะคันคะเยอไปทั้งตัว เราอยู่ไม่ได้ เราทุกข์ นึกภาพคนที่แพ้ ทุกข์ทรมาน มันไม่ได้มีความสุขหรอก แล้วถ้ามันทุกข์ทรมานมากๆ  เรายังอยากทำอีกไหม? ไม่อยากแน่นอน เหมือนเรารู้ว่าอันนี้ มันไม่ถูกกับเรา เราก็ไม่พยายามไปกินมัน เราต้องเลี่ยง ไม่ใช่ว่าไม่เป็นไรหรอก แค่คันๆ เท่านั้นเอง  เดี๋ยวกินไปให้มีความสุขก่อน มันเป็นไปไม่ได้ คือมนุษย์ทุกคนรักชีวิตของตัวเอง พวกเราทุกคนก็รักชีวิตของตัวเอง  เราอยากให้ชีวิตของเรามีทุกข์น้อยที่สุด มีสุขมากที่สุด แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค พระองค์จะนำพาย่างเท้าของเรา พระองค์จะคอยเตือน คอยบอก คอยแนะนำเราในสิ่งสารพัด

            อาจารย์เปาโลบอกให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ให้เราจดจ่อว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นผู้สะอาด ชอบธรรม หมดจดเหมือนพระเยซูเลย เมื่อเราเป็นเหมือนพระเยซู เราจะกล้าไปทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีกไหม? มันไม่มีทาง โดยวิญญาณของเรา เราอยากทำดี ความอยากนะ วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น เพราะวิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า แต่เนื้อหนังอาจถูกล่อลวงได้ ไม่เป็นไร พี่น้องก็ไม่ต้องไปรู้สึก แย่แล้วๆ ถ้าเราทำผิด แล้วทำอย่างไร? พระเยซูบอกทำผิด ก็ไม่เป็นไร ลุกขึ้นมา แล้วเราก็เริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่ เมื่อเราพลาด พระองค์จะให้กำลังเรา เราจะพลาดน้อยลง เราจะรับรู้ความจริงมากขึ้น  ถ้าพี่น้องรับรู้ความจริงมากเท่าไร? พี่น้องก็จะทำผิดน้อยลง แต่ถ้าพี่น้องรับรู้ความจริงน้อย พี่น้องก็จะทำผิดมากขึ้น มันเป็นกฎปกติ ที่เราเห็นชัดๆ

            สมมติว่าแก้วใบนี้ เราใส่น้ำโคลนไว้ เรียกว่าสิ่งที่โกหก หลอกลวงมาใส่ไว้ในแก้วใบนี้  แล้ววิธีการที่เราจะไล่น้ำโคลนนี้ทิ้ง ก็คือใส่น้ำสะอาดลงไป ไล่มันไปเรื่อยๆ เราจะเห็นภาพนะ พี่น้องเคยทำไหม? ใส่มันไปเรื่อยๆ จนไล่น้ำโคลนออกไปหมด ถ้ายังเหลือนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไล่ไปเรื่อยๆ ใส่ไปจนน้ำโคลนหายหมด เหลือแต่แก้วที่ใส่น้ำสะอาดหมดจด

            ลักษณะเดียวกัน ความเคยชินเก่าๆ มันยังอยู่ในเรา สิ่งที่เราทำได้ ก็คือเอาความจริงของพระเจ้าใส่เข้ามา ใส่มาในแก้วใบนี้แหละ ไล่เอาการโกหกหลอกลวง ทุกรูปแบบ ออกไปจากแก้วใบนี้ ค่อยๆ ไล่ มันจะค่อยๆ ออกไป แต่ถามว่าเราสามารถที่จะทำดีทุกอย่าง โดยไม่มีข้อผิดพลาดในชีวิตนี้  ทำได้ไหม? ไม่มีทาง จนถึงวินาทีสุดท้าย ที่ลมหายใจออกจากร่าง เรายังเผลอทำบาปอยู่เลย  เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ และถ้าเราจะไม่ทำบาปเลย ครบถ้วนสมบูรณ์เลย มีทางเดียว ก็คือวิญญาณออกจากร่าง ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทิ้งร่างกายนี้กับสิ่งต่างๆ ที่เราทำบนโลกใบนี้ ทิ้งไว้ เอาวิญญาณใหม่กับความคิดจิตใจใหม่ ขึ้นไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย  เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นร่างกายที่เราสามารถที่จะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  โดยที่เราไม่ต้องถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์แล้ว ทุกวันนี้เราถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกจากกันไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็ซ่อนเราเอาไว้  ปกป้อง คุ้มครอง นำพาย่างเท้าของเรา

            คำว่า “ปกป้อง คุ้มครอง” ไม่ได้หมายความว่าเราจะเดินบนกลีบกุหลาบ ไม่เจอปัญหา อุปสรรค ไม่ใช่ แต่พระเจ้าจะปกป้อง คุ้มครองวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปรับชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้า ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว แต่อีก 2 อย่างที่เรายังไม่ได้รับ  มันเป็นความหวังของผู้เชื่อทั้งหลาย  แล้วก็เฝ้ามอง เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าไม่สนใจซ้าย ขวา ข้าพเจ้าโน้มตัวไปข้างหน้า  เพื่อไปรับรางวัล”

            รางวัลของเราทุกคนในพระเยซูคริสต์ เราคิดว่าต้องเป็นแก้ว แหวน เงินทอง ไม่ใช่นะ รางวัลที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา คือร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างให้ใหม่ คือวันหนึ่งข้างหน้า โลกนี้สลายไป  เราจะไปอยู่โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน บนโลกใบนี้ ซ้ายขวา หน้าหลัง  เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอะไร ช่างมันเถอะ แป๊บเดียวก็หมดไป เราต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวเราก็ตายไปแล้ว หรือเราใช้ชีวิตแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง วันนี้ไม่มีเงินกินข้าว พรุ่งนี้มีกิน 2 มื้อ มะรืนนี้กิน 3 มื้อ อีกวันหนึ่งอดอาหารเลย อดอาหาร เพราะไม่มีเงินซื้อข้าว อะไรแบบนี้ ก็ไม่เป็นไร แป๊บเดียวเองอยู่บนโลกใบนี้แป๊บเดียวเอง พระเจ้าบอกว่าโลกนี้ เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นบ้านถาวรของเรา

            บ้านถาวรของผู้เชื่ออยู่บนสวรรค์ และสายตาของพวกเราจ้องไปที่โน่นเลย คือมีเป้าหมายเดียว ที่เราวิ่งแข่งไป เพื่อถึงจุดหมายปลายทางนั้น ไม่ว่ารอบข้างจะมีอะไรที่เข้ามาแทรกแซง เข้ามาพยายามที่จะหันเหความสนใจของเรา ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ต้องสนใจ เราวิ่งไปตรงนั้นเลย จนถึงแต่ละคน พระเจ้าจะมีกำหนดเวลาของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าก็จะมารับวิญญาณเราไปอยู่กับพระองค์ และ ณ เวลานั้นแหละเราจะได้ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือตอนนั้น เราก็ไปนั่งรอพี่น้องทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ เราไปนั่งเชียร์อยู่บนสวรรค์ ถ้าอีก 2-3 วัน ดิฉันจากไปอยู่กับพระเจ้า ดิฉันจะไปนั่งเชียร์พวกเราบนสวรรค์

            นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อ เราจะมีความสุขเหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอก อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร นี่คือกำไรชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย ฉะนั้น เราก็ไม่ต้องไปกลัวเกรง ถ้าเรารู้ความจริงไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็จะกลัวว่า …

            “ตอนนี้ ฉันยังทำอะไรไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรเลย  แล้วตกลง ถ้าวิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันยังได้รอดไหม?”

            ยืนยันนะ พระเยซูคริสต์บอกว่าเรารอดตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว รอดแล้วรอดเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้นิรันดร์กาล  แล้วหลังจากจากโลกนี้ไป เราก็ยังรอดอยู่ เหมือนเดิม เปลี่ยนไม่ได้ เราเป็นลูกของพระเจ้า เปลี่ยนไม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้านิรันดร์กาล เป็นแล้วเป็นเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  เอเมน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เป็นภาระหนักและทุกข์ใจ

                        ถ้า!

            เป็นปลาฝืนขึ้นมาอยู่บนบก

            เป็นนกฝืนลงมาต๊อกๆบนดิน

            เป็นสิงห์ฝืนกินหญ้า

            เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว … ฝืนทำบาป เพราะ …

            มันฝืนธรรมชาติ งัย!

            เมื่อได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ธรรมชาติตัวตนแท้จริงภายในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา ก็เป็นเหมือนพระเยซู บริสุทธิ์ ดีงามแล้ว พระเยซูก็เริ่มต้นสอน ฝึกฝนเราให้ประพฤติดีงาม ตามธรรมชาติของวิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้นทันที เหมือนเด็กทารกแรกเกิด เริ่มต้นฝึกฝน กิน คลาน นั่ง เดิน ค่อยๆ พัฒนาไป

            การบังเกิดใหม่นี้เราได้รับ โดยผ่านทางความเชื่อในการกระทำของพระเยซู ไม่ใช่การกระทำดีด้วยตัวของเราเอง จึงเรียกว่าพระคุณ

            ทิตัส 2:11-12 … “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้ สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาปและไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            พระเยซูจะสอนเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วย เป็นพี่เลี้ยงเรา ด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตสมศักศรี ในฐานะลูกของพระเจ้า น้องๆ ของพระองค์

            กาลาเทีย  5:16-21 … “16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า ให้เราดำเนินชีวิตและอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ และสนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่อยากจะสนองต่อความต้องการ ของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง (มันคืออิทธิพลพลังของความบาป) ที่ยังคงกระทำการงานอยู่ในร่างกาย และโปรแกรมเดิมในความคิดในสมอง 17 เพราะว่าความต้องการของโลกียตัณหาเนื้อหนังนี้ มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกโลกียตัณหาเนื้อหนัง คอยขัดขวางในการที่จะทำตาม ความปรารถนาในใจของท่าน 18 แต่ถ้าท่านถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว) ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว จึงไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมันอีกต่อไป) 19 การงานของโลกียตัณหาเนื้อหนัง (อิทธิพลพลังของความบาป) นั้นเห็นได้ชัด คือ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก 20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาท การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน 21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่าน (ประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูให้ท่าน) มาก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าขอย้ำเตือนท่าน (ในเรื่องข่าวดีของพระเยซูนี้) เหมือนกับที่เคยเตือน (ประกาศแก่ท่าน) มาแล้วว่าคนที่ (ฝึกฝนกระทำสิ่งเหล่านี้ ตามธรรมชาติของตัวตน ที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นคนบาป ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) จะไม่ได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก (ไม่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า)”

            เพราะฉะนั้น มาต้อนรับพระเยซูและบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพื่อวิญญาณและจิตใจ ตัวตนแท้จริงของท่านจะได้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นธรรมชาติเหมือนของพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1492

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 10 “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หนังสือ 1 ยอห์น ต่อเนื่อง วันนี้ตอนที่ 10 เรื่อง “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            ชื่อเรื่องนี้มันจำเป็นที่ท่านจะต้องจำให้ได้ แล้วควรอย่างยิ่งที่จะพูดจนติดปาก และควรอย่างยิ่งที่จะพูดดังๆ ให้ตัวเองได้ยิน ได้ฟัง อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ว่าเราต้องเอาความจริงที่อยู่ในใจเรา พูดให้ตัวเราเองฟังดังๆ เพื่อเราจะได้ยินด้วยตัวเราเองข้างใน เพื่อจะปรับเปลี่ยนความคิดเดิมๆ แบบโลกนี้ ความคิดที่ต่อต้านกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ความคิดที่เต็มไปด้วยความตายบนโลกใบนี้ ให้เป็นเหมือนความคิดของพระเจ้า  ความคิดที่เป็นชีวิต ความคิดที่เป็นพร ความคิดที่เป็นสันติสุข ความคิดที่เป็นพระคุณเหลือล้นของพระเยซูคริสต์เข้ามาแทนที่ ฝึกให้จำให้ได้ ไม่ต้องทุกคำอย่างนี้ก็ได้ เพียงแค่ให้ความหมายเป็นลักษณะอย่างนี้

            เรากำลังเรียนหนังสือ 1 ยอห์น ซึ่งพื้นฐานของหนังสือ 1 ยอห์นตรงนี้ ต้องจำไว้เสมอ เรียนรู้พระคัมภีร์ ต้องรู้ว่าพื้นฐานของหนังสือนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังทำอะไร? อาจารย์ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณจะได้ถูกชี้ให้เห็น ชี้ให้ใครเห็น? ให้พี่น้องในคริสตจักร หรือพี่น้องคริสเตียนได้เห็นถึงความจริง ความแตกต่างของคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ที่อยู่ในชุมชนที่เรียกว่าคริสตจักร และคนที่ปะปนเข้ามา ที่อ้างตัวเองเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ อาจารย์ยอห์นต้องการชี้ให้เห็นทั้ง 2 ฝ่าย  เพื่อจะบอกให้คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง ที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน อย่างเช่น พวกนอสติก ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปแล้ว กับพวกคริสเตียนแท้จริงที่วางใจและเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซียาห์  พระผู้ช่วยให้รอด  แตกต่างกันอย่างไรในโลกวิญญาณ

            ก็คือพวกนอสติก เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมซียาห์  แต่เขาคิดว่าเขากำลังมาหาพระบิดาพระเจ้า อาจารย์ยอห์นบอก นั่นไม่ใช่พระเจ้า  พระบิดาตัวจริง  เป็นพระเจ้าพระบิดาตัวปลอม  เพราะถ้าเป็นพระเจ้าพระบิดาตัวจริง จะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรที่พระบิดาส่งมา  เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด  และเป็นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้เข้าไปหาพระบิดาตัวจริงนี้ได้ นึกออกใช่ไหม? ซึ่งพระเยซู คือพระมาซีฮาห์นั่นเอง  พระเจ้าที่พระบิดาทรงเตรียมไว้  เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป  เขาไม่เชื่อตรงนี้

            เพราะฉะนั้น เขาจึงแสวงหา นมัสการพระบิดาอะไรก็ไม่รู้ อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าพวกเขาไม่รู้จักพระบิดา  แต่พวกคุณรู้จัก “พวกคุณ” คือคริสเตียนที่แท้จริง ต้องรู้จักพระบิดาแน่นอน เพราะว่าท่านวางใจในพระบุตร เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            นี่คือพื้นฐานของจดหมายฝาก 1 ยอห์น ที่ยอห์นพยายามอธิบายในเรื่องโลกวิญญาณ และยังบอกว่าคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน อ้างตัวเองว่ารู้จักพระบิดา ซึ่งไม่รู้จักจริงนั้น ข้างในวิญญาณ เขาจะมีสภาพเป็นปฏิปักษ์ ก็คือเป็นศัตรูกับพระคริสต์ เป็นศัตรูกับคริสเตียน ที่มีพระคริสต์อยู่ภายใน ข้างในวิญญาณของเขาจะเกลียดชัง จะไม่ชอบพระคริสต์ เพราะเป็นศัตรูกัน ก็เลยเกลียดชังและไม่ชอบพี่น้องคริสเตียนเช่นเดียวกัน และวิญญาณของพวกเขายังคงอยู่ในความมืด ไม่ได้อยู่ในความสว่างเหมือนคนที่เป็นคริสเตียนแท้จริง และอยู่ในความเท็จ อยู่ในความโกหก ไม่ได้อยู่ในความจริง อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความเห็นแก่ตัว  ไม่ได้อยู่ในความรัก ความเมตตา  การให้เหมือนอย่าง คริสเตียน  นี่พูดถึงภายในวิญญาณ

            พระคริสต์ไม่ได้อยู่ภายในเขา  เขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ จะเป็นพยานยืนยันให้กับคริสเตียนว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราชอบธรรมแล้ว เราดีพร้อมแล้ว  เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ นี่คือความแตกต่างในทางวิญญาณ ระหว่างคนที่เชื่อกับพวกที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์

            และยังบอกอีกว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แล้วไม่ได้เป็นจริงๆ นั้น เขายังคงอาศัยอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ที่เป็นอาณาจักรของความตายและความบาป แต่คริสเตียนอยู่ตรงกันข้าม ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว จะถูกย้ายมาอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง อาศัยอยู่ในความสว่าง “อาศัยอยู่” คืออยู่ในนั้นเลย วิญญาณเขาอยู่ในความสว่าง อยู่ในชีวิต เรียกว่าอาศัยอยู่ในชีวิต อยู่ในความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์เลย ในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

            เพราะฉะนั้น ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ อาจารย์ยอห์นบอกว่าฉะนั้น คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน เขาจะไม่มีความจริงใจอยู่ในตัวเขา ไม่มีความจริงอยู่ในเขา มีแต่ความเท็จ มีแต่ความเกลียดชัง มีแต่ความหลอกลวง ปากก็พูดว่ารักคุณๆ แต่ไม่เคยกระทำอะไรต่างๆ ตามที่ปากบอกเลย ก็คือไม่ได้ให้ความเมตตา อาจารย์ยอห์นจึงเตือน บอกคนเหล่านั้นว่านี่แหละ คือตัวแท้ๆ ของคุณข้างใน มันเป็นอย่างนั้น พูดแทงใจ ให้พวกนอสติกฟัง ว่าเป็นอย่างนั้นใช่ไหมในใจคุณ คุณไม่มีเมตตาจริงหรอก คุณบอกว่ารักพี่น้องในพระคริสต์ แต่จริงๆ คุณหวังจะเอาผลประโยชน์จากเขา คุณไม่มีเมตตาเขาจริงๆ หรอก คุณต้องการให้เขาเป็นสาวกของคุณใช่ไหม?  คุณต้องการเรียกเขาออกจากที่ประชุม ไปอยู่ในความเชื่อของคุณใช่ไหม? คุณอยากให้เขาปรนนิบัติรับใช้คุณใช่ไหม? คุณอยากให้เขายกย่องคุณใช่ไหม? จะเอาผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้ให้จริง

            แต่ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง บังเกิดใหม่แล้ว จริงๆ นะ วิญญาณจะดำเนินด้วยความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ มีเมตตา มีความรัก มีการให้ ฝึกฝนในชีวิต โดยการให้ตลอดเวลา ใช่ไหมคริสเตียนทั้งหลาย?  อาจารย์ยอห์นคงกำลังบอกอย่างนั้นว่าพี่น้องคริสเตียน ในใจเราเป็นอย่างนั้นใช่ไหม?  แล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราได้ยินอะไรที่คนลำบากลำบน อย่าว่าแต่เป็นคริสเตียนด้วยกันเลย ถึงไม่เป็นคริสเตียน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราได้ยินได้ฟังความทุกข์ยากของเขา เรายังอยากจะช่วยเหลือเลย เราอธิษฐานให้ เรามีกำลังอะไรจะช่วยเหลือได้ เราช่วยเหลือ  ผมมั่นใจและแน่นอนในพระคัมภีร์ก็บอกอย่างนั้นว่าคนที่เป็นคริสเตียนข้างในใจ ในวิญญาณเขาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เขามีแต่ให้ เขากำลังเรียนรู้ ฝึกฝนที่จะให้ ตามกำลังที่เขาจะทำได้ เขาเต็มที่เลย  อย่างที่เห็นชัดที่สุด ก็คือเขาอธิษฐานให้ก่อนแล้ว เขาไม่ได้ดูความเจ็บช้ำ ความทุกข์ยากของคนอื่น แล้วบอกว่าสะใจดี  ดีแล้ว สมควรแล้วควรจะได้รับอย่างนี้ คริสเตียนแท้จริงจะไม่ฝึกฝนอย่างนี้

            เขาจะฝึกฝนไปเรื่อยๆ ว่า … “พระเจ้าเมตตาเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป เขาหลงไปในความบาป สิ่งต่างๆ เหล่านั้น เหมือนมนุษย์ทุกคนที่หลง  ประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เหมือนลูก เหมือนคนอื่นๆ เยอะแยะ จะมากจะน้อย ก็คือหลงไปนั้นแหละ ขอพระองค์ทรงเมตตาเขาด้วยเถิด”

            นี่คือท่าทีภายในใจของคนที่เป็นคริสเตียนใช่ไหม? ใช่ เป็นอย่างนั้นแหละ จะไม่ไปทับถม เอาให้ตายเลย  มันไม่ใช่อย่างนั้น  พระคริสต์เราเป็นตัวอย่าง เห็นชัดเจน ตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์ทำอะไร? เห็นชัดเจนเลย คนเขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดาตอนที่ถูกตรึงอยู่นะ ตอนที่ทุกข์ทรมานอยู่นะ ตอนที่เขาตอกตะปูตรึงที่ไม้กางเขน เลือดหลั่ง ทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน มองมาแล้วบอกพระเจ้าพระบิดาอภัยให้พวกเขาด้วย พวกเขาไม่รู้ว่าทำอะไรไป นี่ตัวอย่างที่ดี พื้นฐานตรงนี้ควรจะอยู่ภายในจิตใจ ภายในความคิดของเรา ขณะที่เราเรียนรู้ถ้อยคำในหนังสือ 1 ยอห์น

            ครั้งที่แล้วเราจบกันที่หนังสือ 1 ยอห์น 3:19-20 มาทบทวนนิดหนึ่ง ก่อนที่จะต่อในวันนี้ …

        1 ยอห์น 3:19-20 “19 ดังนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราเป็นของความจริง และทำให้ใจเราสงบ มั่นคง ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า 20 เมื่อใดก็ตามที่ใจของเราเป็นทุกข์ ฟ้องผิด กล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

            การที่เราได้รับรู้ความจริงว่าเราเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เราอยู่ในความจริงแล้ว คืออยู่ในพระคริสต์ และพระเยซูคริสต์ คือความจริงอยู่ในเรา เราเป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ตั้งแต่บทที่ 1 จนถึงตอนนี้ เราเรียนรู้แล้ว เรา คริสเตียน เมื่อรู้แล้ว ก็มีความมั่นใจ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกทุกข์ใจ ฟ้องผิด หรือถูกกล่าวโทษ  เมื่อเราพลั้งพลาดไปกระทำบาป เราเกิดทุกข์ใจ เสียใจ แต่เรายังมีความมั่นใจ  เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เรารับรู้ความจริงเหล่านี้แล้วว่าเป็นอย่างไร? หมายถึงอย่างนั้นว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ ความรู้สึกของเรา

            นั่นคือความรู้สึก อารมณ์ของเรา ที่ถูกกล่าวหา พระองค์ทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเราดี รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วว่าเราได้รับการอภัยและถูกทำให้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ตลอดไปชั่วนิรันดร์แล้ว ใจของเราจึงสามารถมั่นคงได้  เพราะเรารับรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว  เราไม่ฟ้องผิด เพราะสถานะ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเรา ไม่ใช่  ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อชำระบาปให้กับเรา ไม่ใช่ความชอบธรรมของเรา ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง  หรือขึ้นอยู่กับความรู้สึก การกล่าวโทษในใจของเรา  เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจตามถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วใช่ไหม? ใช่ หลั่งพระโลหิตแล้วใช่ไหม? ใช่ เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรรับรู้และมั่นใจว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ชั่วนิรันดร์ นี่คือสิ่งที่เราได้จบในครั้งที่แล้วใน 1 ยอห์น 3:19-20

            วันนี้ เราจะมาต่อข้อ 21 … 1 ยอห์น 3:21 …

        1 ยอห์น 3:21 “ท่านที่รัก ถ้า (จิตใต้สำนึกใน) ใจของเรา ไม่กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจต่อพระเจ้า”

            อยากถามว่าจิตใต้สำนึกในใจของท่าน มั่นใจไหมว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เหมือนหัวข้อเรื่องในวันนี้ “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            จิตใต้สำนึกของท่าน เชื่อตามที่ท่านพูดเมื่อตอนที่เราเริ่มต้นบรรยายได้ไหมว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว”

            ถามจิตใต้สำนึกตัวเองว่าฉันเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ไหม?

            ความมั่นใจที่เรามีต่อพระเจ้า ทำให้เราสามารถอธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้าได้ทุกเมื่อทุกเวลา เมื่อใจเราไม่ได้กล่าวโทษ ฟ้องผิดตัวเราเองว่าเราเป็นคนบาป สกปรกอยู่ เราถึงจะรู้สึกสนิทสนมไง  ถ้าจิตใต้สำนึกเรายังรู้สึกฟ้องผิดอยู่เลยว่า …

            “พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เราคงอธิษฐานน้อยไป พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เรายังหงุดหงิดอยู่เลย พระเจ้าไม่พอใจเรา เราเป็นคนขี้อิจฉาเขา พระเจ้าไม่พอใจเรา เพราะเรายังไม่เลิกสูบบุหรี่เลย เลิกไม่ขาดสักทีหนึ่ง สัญญากี่ครั้งแล้ว ยังสูบอยู่ พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เพราะเราไม่ค่อยจะมาโบสถ์ ขี้เกียจ”

            นี่แหละคือการกล่าวฟ้องผิด แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร? เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนบาป สกปรกอยู่ เข้าไปหาพระเจ้า ก็รู้สึกไม่ชอบ ไม่อินกับพระเจ้าเลย เพราะเรารู้สึกเราสกปรก แต่ถ้าเผื่อเราไม่ฟ้องผิดอย่างนี้ เรามีความมั่นใจว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            ความมั่นใจอย่างนี้ มาจากอะไรที่จะทำให้ความมั่นใจตรงนี้เกิดขึ้น? มาจากการเรียนรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า เรียนรู้มากๆ โดยการใคร่ครวญ ถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ หูฟัง ปากพูดถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ ให้คุ้นเคย ให้ชัดเจน อยู่ในใจ จำได้ตลอดเวลา เป็นปกติวิสัย ในใจ ทุกลมหายใจเข้าออก ถามเมื่อไร ก็ตอบได้ทันที ถามตอนนอนหลับอยู่ งัวเงียขึ้นมา ก็ตอบว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            เมื่อกี้ เพิ่งโมโห โกรธ เขาขับรถตัดหน้าเรา หรือขับรถลงไปในโคลนกระเด็นถูกเราเลอะหมดเลย นึกขึ้นได้ …

            “โอ้ พระเจ้า ลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ แต่บางครั้งอาจทำบาป”

            ไม่เหมือนกันนะ “ลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม แต่บางครั้งทำบาป” … “เป็นผู้ชอบธรรม แต่บางครั้ง อาจทำบาป”

            ทำบาปกับเป็น มันคนละเรื่องกันนะ เป็นคน แต่บางครั้งเดินเหมือนลิง ก็ไม่ใช่ลิง แต่เป็นคน แล้วถ้ากลับกัน เป็นลิง แล้วเดินเหมือนคน มันก็ยังเป็นลิง เราไปดูละครลิง เดิน 2 ขา เดินตีกลอง เหมือนคนเลย แต่งตัวให้เหมือนคนเลย แต่ในที่สุด เขาแค่ทำเป็นคน แต่จริงๆ เป็นลิง เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนเราเกิดจากครรภ์มารดา เราเป็นคนแน่นอนเลย ไม่มีเปลี่ยนเป็นลิงได้ ไม่มีทางเลย แต่บางครั้งอาจจะคลานเหมือนลิง

            เพราะฉะนั้น ความมั่นใจในจิตใต้สำนึกอย่างนี้ ทำให้เรามีความกล้าที่จะเข้าไปสนิทสนมกับพระเจ้าอย่างมาก มากเท่าไร ก็ขึ้นกับความรู้ความจริงมากเท่านั้น ความรู้ความจริงว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว และได้รับการยกโทษบาปทั้งหมดทั้งปวง ตามที่อาจารย์ยอห์นได้บอกมาแต่บทต้นๆ ทั้งบาปในอดีต บาปที่ทำในปัจจุบัน และบาปที่จะพลาดทำในอนาคตอีกด้วยตลอดไป ได้รับการอภัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซู ไม่ได้ผ่านการกระทำดีของเรา ผ่านการกระทำของพระเยซูคริสต์ เราเลยกลายเป็นเคยเป็นคนบาป เป็นคนสกปรก มีมลทิน แต่เดี๋ยวนี้บังเกิดใหม่ ตัวตนแท้จริงของเราที่บังเกิดใหม่นั้น ไม่ได้เป็นคนบาป ก็เท่ากับบริสุทธิ์ดีพร้อมเท่าพระเยซูคริสต์ ด้วยพระคุณ ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระล้าง ลบล้างบาปทั้งสิ้นทั้งปวงของเรา และทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถบังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ได้ต่างหาก สิ่งเหล่านี้พระองค์ทรงกระทำให้เรา  และเรารับแล้ว เราเชื่อและเราวางใจแล้ว เราได้รับสิ่งนี้ และเราได้รับการเปลี่ยนแปลง บังเกิดใหม่แล้ว ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้จิตใต้สำนึกของเราเกิดความมั่นคง ในการเข้าหาพระเจ้า ในการติดสนิทกับพระเจ้า โรม 8:1 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”

            “ไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์”  ตามบทบัญญัติใช่หรือเปล่า? ผมอ่านผิดไป  จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ … อาศัยอยู่ ได้เรียนรู้แล้ว เราอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์แล้ว เราได้เป็นคริสเตียน ได้ถูกย้ายออกมาจากอาศัยอยู่ในความมืด ความบาป ความตาย ได้มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของความสว่าง อาณาจักรแห่งชีวิต ตอนนี้เราอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงไม่มีการกล่าวโทษใดๆ แม้ว่าบางครั้งเราอาจจะทำบาป ซึ่งทำแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ แต่ไม่มีการกล่าวโทษอีก ฮีบรู 10:14 ยืนยันตรงนี้อีกว่า …

        ฮีบรู 10:14 “เพราะโดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ (พระเยซูคริสต์) ได้ทรงทำให้ผู้ที่กำลังได้รับการชำระให้บริสุทธิ์นั้น สมบูรณ์ตลอดไป”

            หมายความว่าการเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น เพียงครั้งเดียว การสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว การหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียว เป็นการกระทำที่เพียงพอ และทำให้ผู้เชื่อ คือคริสเตียนนั้น สมบูรณ์ ตลอดไป ชั่วนิรันดร์

            การรับรู้ความจริงตรงนี้ ทำให้เกิดความมั่นใจ ต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ลงไปในใจของเรา ให้มั่นคง เราจะเกิดความมั่นใจ ทำให้เราสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ในทุกเมื่อ อย่างกล้าหาญและรู้สึกสนิทสนมกับพระองค์ และทรงรู้ว่าพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน ร้องทูลของเรา อย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความรัก ความห่วงใยในฐานะที่เราเป็นลูกของพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อท่าน แม้ว่าในโลกนี้จะมีเพียงท่านคนเดียว พระเจ้าก็จะส่งพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น พอเรามั่นใจปุ๊บ ก็เกิดอะไร? ไม่ฟ้องผิด เกิดอิสรภาพ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เกิดพระคุณของพระองค์ ฮีบรู 4:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฮีบรู 4:16 “ฉะนั้น ขอให้เราอย่ากลัว ที่จะเข้ามาใกล้พระบัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่จะช่วยเหลือเรา เมื่อถึงคราวจำเป็น”

            ในฮีบรูที่กำลังอ่านนี้ เป็นหนังสือที่เขียนข่าวประเสริฐไปถึงชาวยิว โดยเฉพาะ ชาวยิวก็จะกลัวพระเจ้า กลัวการทรงสถิตของพระเจ้ามาก  เพราะเขารู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่บรรพบุรุษของเขาหลายพันปีก่อน ก่อนพระเยซูคริสต์จะเสด็จมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว กลัวพระเจ้ามาก เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาป ไม่สามารถเข้าไปที่บัลลังก์ของพระเจ้าได้ เพราะว่าพลาดนิดเดียวก็ถึงตาย เพราะไม่สามารถยืนอยู่ต่อการทรงสถิตของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ เพราะกลัวมาก แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปทั้งสิ้น ทั้งปวงของมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว  พระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบอกว่าชาวยิวไม่ต้องกลัวอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วกล้าเข้าไปเลย ไม่ต้องห่วง เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ พระโลหิตของพระองค์เหมือนเป็นแพะรับบาปให้กับพวกท่าน ครั้งเดียวเป็นพอ กล้าเข้าไปเถิด กล้าเข้าไปในการทรงสถิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ทรงสถิตใกล้ที่สุด ถึงขนาดเข้าไปอยู่ในตัวท่านได้เลย เมื่อท่านวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ มันหมายถึงอย่างนั้น 1 ยอห์น 3:22 …

        1 ยอห์น 3:22 “และสิ่งใดที่เราทูลขอ เราก็จะได้รับจากพระองค์ เพราะว่าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และกระทำสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยพระองค์”

            ชอบข้อพระคัมภีร์นี้มาก แต่ก่อนผมก็ชอบ เลยอยากถามว่าสิ่งใดๆ ที่เราอธิษฐานทูลขอ เราก็จะได้รับสิ่งนั้น  ถ้าเรากระทำดี เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ใช่ไหม? จริงหรือเปล่า? ฟังใหม่อีกที ลองคิดตาม …

            “สิ่งใดๆ ที่ฉันอธิษฐานทูลขอ ฉันก็จะได้รับสิ่งนั้น ถ้าฉันกระทำดี เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า”

            จริงไหมหนอ? ความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้มา ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทต้นๆ ความจริง คือเพราะว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่มีนิสัยเป็นธรรมชาติ เชื่อฟังพระเจ้า โดยการกระทำสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระบิดาแล้ว นี่พูดถึงคริสเตียนนะ เรากระทำสิ่งที่พอพระทัยพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ก็คือเราได้วางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์ และดำเนินชีวิตด้วยความรักที่อยู่ภายใน ที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจ ตอนที่เราเกิดใหม่แล้ว และใส่ความเชื่อฟังไว้อยู่ในวิญญาณของเรา นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าพอใจ ที่เราได้เรียนรู้มา เราได้ทำแล้ว

            ข้อความเมื่อสักครู่ที่เราอ่าน ในบริบทนี้ ข้อ 22 นี้ ต่อเนื่องมาจากข้อ 21 ได้พูดถึง ได้เน้นถึงความมั่นใจ  ไม่กลัว ไม่ฟ้องผิด  ไม่กล่าวโทษตนเองว่าฉันยังเป็นคนบาปอยู่ ถูกไหม? มั่นใจในตนเอง  มั่นใจในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในฐานะผู้เชื่อและเป็นลูกของพระองค์  เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ และความปรารถนาในใจของเรา สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ ที่พระองค์ได้ใส่ไว้ในใจของเรา พูดง่ายๆ พระองค์ได้ใส่วิญญาณของพระองค์ไว้ในใจของเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เพราะว่าตัวตนใหม่ของเราในพระองค์ ใจใหม่ของเราในพระองค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            ในบริบทนี้ กำลังพูดถึงตรงนี้ว่าตัวใหม่ของท่าน ใจใหม่ของท่านที่พระเจ้าประทานนั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ปรารถนาสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  ตามธรรมชาติที่เกิดใหม่อยู่แล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งเราสามารถมั่นใจ ไว้วางใจว่าพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน ร้องทูลของเราแน่นอน เพราะเราเป็นคริสเตียนอยู่ มันหมายถึงตรงนั้นนะ พระองค์จะตอบคำอธิษฐานของเราอย่างแน่นอน ตามความประสงค์ของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามแผนการที่ดีที่สุดของพระองค์ที่วางไว้ ที่เตรียมไว้ สำหรับเราแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นลูกๆ ของพระองค์ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจตัวเราเอง ซึ่งเป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเราได้เรียนรู้มาแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้น จากภายนอก จากระบบของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กระตุ้นให้เราอยากได้ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าเตรียมไว้  ก็คือเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า แต่เราที่บังเกิดใหม่แล้ว เรารู้จักวิญญาณของเราว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ถ้าเราอธิษฐานทูลขอสิ่งใด ก็คือสิ่งนั้น จะเป็นสิ่งที่พระบิดาต้องการเช่นเดียวกัน และเรารู้ว่าสิ่งที่พระบิดาต้องการนั้น  ที่เราอธิษฐานทูลขอตามความเห็นชอบของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ตอบเราแน่นอนเลย  แต่ตอบตามวัน เวลา วิธีการของพระองค์ ไม่ใช่วิธีการที่เราคิดว่าเวลานั้น เวลานี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่าง เช่น เราอธิษฐานขอพระเจ้า ให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ขอให้รักษาตรงนี้ให้หาย โรคนี้ให้หาย พระเจ้าอาจจะเตรียมแผนการอะไรบางอย่างไว้สำหรับเรา แต่รู้แน่ๆ ในที่สุดวันหนึ่งต้องหายแน่ๆ คือวันที่เราหายจากโลกนี้ หายหมดเลย เพราะว่าพระองค์ทรงเตรียมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ให้กับเรา วันที่เราจากโลกนี้ไป ซึ่งดีกว่ามากนัก เราจะคิดถึงไหมว่ามันดีกว่าอย่างไร? ไม่มีทางหรอก เราเป็นมนุษย์ ก็อยากได้ในสิ่งที่โลกนี้เขาต้องการ ก็คือไม่เจ็บ ไม่ป่วย ถูกไหม? แต่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อย คือไม่เจ็บ ไม่ป่วยเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือจากโลกนี้ไปเลย ได้รับร่างกายใหม่ ไม่เจ็บป่วยแน่นอนเลย แต่ถ้ายังอยู่บนโลกใบนี้ บอกให้รักษาตรงนี้ให้หาย รักษาภูมิแพ้ให้หาย เดี๋ยวมันก็มาเป็นโรคอื่นแทน หรือว่าไม่เป็น มันต้องเป็นอยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่าโลกนี้ตกลงไปในความบาป ความตาย คำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบากในโลกนี้ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เราอยู่ในกฎของความบาปและความตาย มนุษย์ทั้งโลกนี้ อยู่ในโลกอยู่ในกฎของความเสื่อม เกิด แก่ เจ็บ ตาย  เกิด ตั้งอยู่ และดับไปแน่นอน 100% แต่ทางความรอดของเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์ และพระองค์ทรงสัญญาไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันหนึ่ง ที่เราหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และได้อยู่ในสวรรคสถานร่วมกับพระองค์ตลอดไปชั่วนิรันดร์เลย ตรงนี้ต่างหากที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ เห็นไหม?

            ที่พูดนี้ ถามว่าเข้าใจหมดไหม? ไม่เข้าใจหมดหรอก  แต่เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่พูดไว้ สัญญาไว้ และเมื่อใคร่ครวญ คิดถึงถ้อยคำ ความจริงเหล่านี่บ่อยๆ มันจะเกิดความเชื่อขึ้นมาในความคิดของเราเอง มันจะปรับเปลี่ยนไปเอง

            เราอาจจะอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเรา ตามใจเราต้องการ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่น้ำพระทัย ไม่ได้ตามจิตใต้สำนึกที่เป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า  แต่เป็นไปด้วยกันกับความคิดแบบกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง อิทธิพลของโลกนี้ เข้ามาซึมซับ  อย่างเช่น ความโลภ อยากจะมี อยากจะได้ อยากจะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นทุกวันๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ต้องเป็นอย่างนั้น แต่เราแบ่งความไว้วางใจตรงนี้ มาอยู่ที่ความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ดี ไว้สำหรับเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ แต่ให้เราวางใจ และเชื่อในพระองค์ เราอาจจะอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ตะกี้นี้บอกว่าไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า หรือเราคิดว่ามันน่าจะอยู่ มันน่าจะใช่นะ แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่ามันไม่ได้เป็นแผนการที่ดีที่สุด สำหรับเจ้า แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่สำหรับเจ้า เรามีแผนการที่ดีกว่านี้ ที่วางไว้ให้กับเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าน้ำพระทัย

            เพราะฉะนั้น การรู้จักความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไม่มีการฟ้องผิดในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา เราก็จะเกิดความเชื่อในน้ำพระทัยของพระองค์มากขึ้น ไว้วางใจได้มากขึ้น ก็จะเกิดสันติสุขและพระคุณล้นเหลือ ในจิตวิญญาณของเรานั่นเอง

            คำสอนที่ผิดๆ ที่แพร่หลายในวงการคริสเตียน ก็คือเขาเอาข้อความนี้ ถ้อยคำตรงนี้ไปสอนว่า …

            “คุณจะสั่งอะไรก็ได้ในนามพระเยซู แล้วคุณจะได้รับ ถ้าคุณมีความเชื่อพอ”

            เอาข้อความที่อธิบายไปเมื่อตะกี้ 1 ยอห์น 3:22 มาบอกว่า …

            “นี่ไง คุณอธิษฐานไป คุณจะได้รับสิ่งนั้นแน่นอน ถ้าคุณเป็นคริสเตียนนะ คุณเชื่อในนามพระเยซู สั่งไปเลย ถ้าคุณเชื่อพอ  ถ้าคุณไม่ได้ตามที่คุณสั่ง เพราะว่าคุณยังไม่เชื่อพอ”

            “แล้วต้องทำอย่างไร?”

            “ก็ต้องเชื่อให้มากขึ้น”

            “แล้วต้องทำอย่างไร?”

            “ก็ต้องอธิษฐานให้หนักขึ้น”

            ซึ่งต้องพึ่งตนเอง ทำด้วยตนเอง ซึ่งไปรอดไหม? ก็ไม่รอดอยู่ดี อย่างเช่น พูด อธิษฐาน สั่งด้วยความเชื่อในนามพระเยซู ให้รวย ไม่เจ็บป่วย  ไม่มีปัญหาในครอบครัว ไม่มีปัญหาในการทำมาหากิน  ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีความทุกข์ ไม่ประสบความล้มเหลวใดๆ เลย  มีแต่ความสำเร็จทุกประการในชีวิต และคิดดูสิ มันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นการหลอกลวง ล่อลวงของโลกใบนี้ กิเลสตัณหาของเนื้อหนังของโลกใบนี้ต่างหาก ที่มันล่อลวงให้หลุดออกไปจากทางของพระเจ้า ไม่มีชีวิตอยู่ในพระคริสต์นั่นเอง

            ชีวิตในพระคริสต์ คือชีวิตที่พอเพียง  … พอเพียง คือวางใจในพระเจ้า แล้วแต่พระเจ้า วางใจในพระองค์ … วางใจในพระองค์ได้ด้วยวิธีใด ด้วยการเชื่อมั่นว่าฉันบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงรักฉันขนาดนั้น เพราะว่าเราสอนผิดๆ อย่างนี้ มันก็เลยก่อเกิดชัดๆ ที่สุด ก็คือก่อเกิดความโลภ ความไม่พอในชีวิตของคริสเตียนเอง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับชีวิต ที่พอเพียงและไม่โลภ เต็มไปด้วยความรักในใจ ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ ชีวิตไม่มีสันติสุขในพระเยซูคริสต์

            เรามาดูตัวอย่าง อย่างเช่น อาจารย์เปาโล รู้จักพระเจ้า สนิทไหม? สนิท สนิทสนมมากเลย มากถึงขนาดเป็นผู้สอนเราในเรื่องนี้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่เราแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ยืนยันแล้ว ยืนยันอีก เสร็จแล้ว อาจารย์เปาโลอธิษฐานกับพระเจ้า ถึงความทุกข์ยากลำบาก อุปสรรค ปัญหาในชีวิต หนักเลย หนักถึงขนาดอาจารย์เปาโลบอกว่ามันเป็นหนามในเนื้อตลอดเวลา มันคงจะเจ็บปวดตลอดเวลา เจ็บปวดอย่างไร? เราไม่รู้ และอาจารย์เปาโลผู้ซึ่งสนิทกับพระเจ้าขนาดนั้น  มีความเชื่อขนาดนั้น อธิษฐานกับพระเจ้าบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าอธิษฐานถึง 3 ครั้ง ขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า ให้เอาอันนี้ออกไป”

            สมมติว่าเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ก็บอกว่า … “ช่วยรักษาให้หายหน่อยเถอะ ไม่ไหวจริงๆ เลย”

            แสดงว่ามันหนักมาก อธิษฐานถึง 3 ครั้ง แต่พระเจ้าตอบอาจารย์เปาโลว่า … “พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า”

            พระคุณ คือตะกี้นี้ที่บอกว่า … “เราให้เจ้าบังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เจ้าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดไปชั่วนิรันดร์แล้ว นี่คือพระคุณที่เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย  พระคุณตรงนี้ มันเพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว”

            แล้วตอบว่าอย่างไรอีก ตอบว่า … “ฤทธิ์เดชอำนาจของเรา การทรงสถิตของเรา จะสำแดงออกมาอย่างชัดเจน เป็นทวีคูณ ท่ามกลางความอ่อนแอ การทุกข์ยากลำบากของเจ้า”

            หมายถึงว่า … “เมื่อเจ้าประสบอุปสรรคปัญหาเหล่านั้น การช่วยเหลือของเรา ซึ่งเป็นการอัศจรรย์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจว่าเราสถิตอยู่กับเจ้า อยู่ภายในเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้านั้น ผู้คนรอบข้างจะได้เห็นชัดเจน” มันหมายถึงอย่างนั้น ตอนที่เราลำบาก ตอนที่เราประสบปัญหา พระเจ้าจะถูกทำให้เห็นชัดเจนเลย ในชีวิตของเรา ในชีวิตของเปาโล

            เปาโลเลยตอบใน 2 โครินธ์บอกว่า … “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความปิติยินดีในความทุกข์ยากลำบาก”

            อ้าว! กลายเป็นอย่างนั้นอีก เห็นไหม? “ข้าพเจ้าจึงมีความปิติยินดีในความทุกข์ยากลำบาก” ก็คือ “ข้าพเจ้ามีความปิติยินดีในหนามในเนื้อนั่นแหละ  เพราะเมื่อไรที่ข้าพเจ้าทุกข์ลำบาก ในหนามในเนื้อนั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าก็ปรากฎในชีวิตของข้าพเจ้ามากขึ้นอย่างนั้น คือเมื่อไรที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เจ็บปวด ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง เพราะว่าพระองค์มาช่วยให้เห็นชัดๆ ชื่นใจว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย ข้าพเจ้ามีความมั่นใจมากขึ้นว่าพระเจ้าอยู่ในตัวข้าพเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

            ไม่ใช่ตัวเองเห็นอย่างเดียว คนรอบข้างก็ได้เห็นว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับเขาจริง จึงเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าสำแดงตัวพระองค์เองว่าอยู่กับคริสเตียนนั้น สำแดงตอนที่คริสเตียนตกทุกข์ได้ยาก ตอนที่ลำบาก ไม่ใช่แสดงตอนที่คริสเตียนมีความสุขดี สบายดี ไม่ใช่ เมื่อพระเยซูก่อนจะเดินไปที่ไม้กางเขน  ก่อนจะถูกตรึง อธิษฐาน 3 ครั้งเหมือนกัน สรุปจบว่าอย่างไร? จบว่า …

            “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”

            คือเป็นไปตามแผนการของพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ ขอให้เป็นไปอย่างนั้น  และถามว่าดีกว่าไหม? พระเยซูขอพระเจ้าบอกว่าเปลี่ยนแผนได้ไหม? ไม่ต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน ไม่ต้องสิ้นพระชนม์ ไม่ต้องยอมเสียสละชีวิต ตายบนไม้กางเขนได้ไหม? เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม? เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้ ขอ 3 ครั้ง พระเจ้าบอกไม่ได้ ยืนยันตามแผนการเดิม  พระเยซูก็บอกโอเค ปรากฏว่าออกมาแล้ว ดีกว่าเดิมมากมาย ซึ่งพระเยซูไม่ทราบว่าจะดีขนาดนี้

            นี่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเราได้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นข้อพระคัมภีร์ที่หนุนจิตชูใจคริสเตียนเป็นอย่างมากว่าให้เราสนิทสนมกับพระเจ้า  ให้เรารับรู้ว่าเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก  และให้เรารับรู้ว่าเมื่อเราไม่มีความฟ้องผิดในจิตใจเราอย่างนี้แล้ว เรามีความมั่นคงว่าเราเป็นผู้เชื่อ เราชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เป็นวิญญาณเดียวกันเลย สิ่งที่เราทูลขอ ถ้าเผื่อว่ามันตรงกันกับน้ำพระทัยพระเจ้า พระองค์ทรงให้เราแน่นอน 100% เลย แต่ถ้าไม่ใช่ พระองค์กำลังนำพาเราไปสู่ทางที่ดีกว่า เรายังเป็นเด็ก เรายังไม่เข้าใจหรอก เหมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก โดยเฉพาะช่วงโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ๆ เห็นชัดเลย พาลูกเล็กๆ เข้าโรงเรียนใหม่ๆ เด็กอนุบาล ร้องห่มร้องไห้ กระจองอแงกันทั้งห้อง ทั้งโรงเรียนเลย 30 คน ร้องไห้กันหมด  เพราะเด็กๆ มีความรู้สึกว่าพ่อแม่เอาเขามาทิ้ง วิงวอนขอพ่อแม่ …

            “ไม่ไป”

            แล้วไปไหม? ไป เพราะแม่บังคับให้ไป เหมือนไหมล่ะ แล้ววันรุ่งขึ้น ไม่ไปๆ ไม่รู้กี่วัน? แต่ในที่สุด เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะรู้ ถ้าวันนั้น ไม่ไป แล้วพ่อแม่บอกไม่ไปก็ไม่ไป ช่างมัน ป่านนี้จะเป็นอย่างไร? นี่แหละ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ความมั่นใจในความชอบธรรมของเรา ที่ไม่มีความกลัวและฟ้องผิดในใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ใน 1 ยอห์น 5:14-15 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

        1 ยอห์น 5:14-15 “14 นี่คือความมั่นใจที่เรามี เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือถ้าเราทูลขอสิ่งใด ที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา 15 และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์”

            “จะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์” ถ้าเผื่อมันเป็นไปตามน้ำพระทัย  เห็นไหม? เพราะในบริบทนี้ มันเป็นตรงนี้ ถ้าเราเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็จะรู้ว่าเราขออะไร ก็ได้หมดแหละ แต่ได้ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหมาย คาดคิดนะ อาจจะได้ในวันเวลาที่เราไม่ได้กำหนดไว้ให้พระเจ้า  สมมติว่าเราบอกว่าสิ้นเดือนนี้ พระเจ้าอาจจะให้เรา 10 ปีข้างหน้าก็ได้ ดีกว่า อะไรแบบนี้

            ข้อความเมื่อสักครู่นี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้าว่าพระเจ้าบอกว่า …

            “ดีมากเลย เธอทำอย่างนี้ดี ฉันเลยให้เธอ”

            ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ที่มาจากการกระทำของตัวคริสเตียนเอง การกระทำ ยกตัวอย่างเช่น อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าไม่ใช่มองเรา แล้วมีความโปรดปรานให้เรา ในสิ่งที่เราทูลขอ เพราะว่าเรารบเร้า ร้อนรน ทูลขอไม่หยุดเลย ด้วยความเชื่อ ด้วยความต้องการของเรา  อธิษฐาน อดอาหารไม่หยุดหย่อน ที่เขาเรียกว่าเขย่าบัลลังก์พระเจ้า  อธิษฐานโต้รุ่งเลย มันไม่ใช่ เพราะเป็นอย่างนั้น แต่มันเป็นการดำเนินชีวิต ตามความจริงในจิตวิญญาณของเราว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตของพระคริสต์ดำเนินอยู่ในเรา ทุกวันนี้ เราเดินไป ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา นั่นคือชีวิตของพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น อะไรที่ทำไปแล้ว รู้สึกว่าไม่เป็นที่พอใจของเรา แต่ให้เราแน่ใจว่าพระคริสต์นำพาเราอยู่ ทุกสิ่งที่เราทำ ถ้าไม่ใช่การทำบาป  เป็นการกระทำภายใต้การนำของพระคริสต์ทั้งสิ้น เราต้องเชื่อตรงนี้ เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว

            ถ้าเรากำลังทำอาหารให้ลูก ให้สามี ดูแลบ้าน ดูแลทุกสิ่งอย่างนี้ เรากำลังทำในนามของพระคริสต์  ไม่ใช่ว่าเราต้องมาโบสถ์ มาประกาศข่าวประเสริฐ ไปช่วยประกาศข่าวประเสริฐ เราถึงจะทำเพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่ ทุกลมหายใจเข้าออก แม้กระทั่งนอนหลับ เรานอนหลับ เราก็ทำในนามพระคริสต์ กำลังให้พระคริสต์ทำ ให้ใช้ร่างกายของเรา ยกเว้น ตอนที่เราทำบาป ตอนที่เรากำลังอิจฉา ริษยา โกหกเขา เรากำลังทำตามระบบของโลกนี้ ไม่ได้ตามพระคริสต์ เราถูกล่อลวงออกไป  แต่ถ้าเรากำลังเดินผิวปากอยู่ เรากำลังผิวปากในนามของพระคริสต์

            และพระองค์ประสงค์สิ่งใด น้ำพระทัยของพระองค์เป็นเช่นใด วิญญาณข้างในของเราก็ประสงค์สิ่งนั้น  นี่ข้อความตรงนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น  เพราะว่าเราเป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น พระคริสต์ประสงค์สิ่งใด เราเป็นเหมือนพระคริสต์ เราก็ประสงค์สิ่งนั้นเหมือนกัน โดยมีความรักในใจ ที่พระเจ้าใส่ลงมา เป็นฐานให้เราดำเนินชีวิต เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เชื่อและวางใจในพระองค์เสมอ  ในทุกสถานการณ์ ด้วยความรัก โดยการสำแดงออก โดยการให้ออกไป เหมือนพระคริสต์ ดำเนินชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้  เหมือนกัน คือเรากับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ นั่งอยู่ขณะนี้ ก็นั่งอยู่ในพระคริสต์กับพระคริสต์ เป็นชีวิตของพระคริสต์ ไม่มีตรงไหนเลย ที่เป็นตรงกลางว่าท่านกำลังทำด้วยตนเอง ท่านกำลังทำด้วยพระคริสต์ ท่านก็ทำด้วยระบบของโลกนี้ กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มีตัวเองหรอก มีแต่พระคริสต์ เชื่อพระคริสต์ เชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัว หรือจะเชื่อระบบในโลกนี้ กระแสของโลกนี้ ความคิดเก่าๆ ความคิดของระบบโลกนี้ ที่ส่งมา จะเชื่อตรงไหนเท่านั้น ข้อ 23 ต่อมา …

        1 ยอห์น 3:23 “พระบัญชาของพระองค์ คือให้เชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่ทรงบัญชาเราไว้”

            พระบัญชาตรงนี้ หลายคนก็เข้าใจผิด นึกว่าพระบัญชานี่คือบทบัญญัติต่างๆ ที่ให้เราทำตาม  พระบัญชานี้ไม่ได้หมายถึงบทบัญญัติของโมเสส หรือกฎต่างๆ ที่ต้องทำตาม ที่พระเจ้าวางไว้ ตอนนี้ไม่มีกฎระเบียบอีกต่อไป ให้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่สิ่งที่พระเจ้าพระบิดาต้องการอย่างเดียว คือต้องการให้เราวางใจ เชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ เพราะว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษย์หรือเรานั้น ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตามที่พระองค์ต้องการได้ และทำให้เราสามารถรักซึ่งกันและกัน ในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์

            การรักษาบัญญัติในข้อพระคัมภีร์นี้ คือรักษาความจริงตรงนี้ไว้ในใจว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ด้วยความเชื่อในใจว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ฉันอาศัยอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ในความรักเหมือนพระคริสต์แล้ว”

            ตรงนี้ต่างหากที่ให้เราเก็บรักษาไว้ นี่คือความจริง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ารักษาไว้ ด้วยความคิดใคร่ครวญถึงข้อความเหล่านี้ อยู่เสมอๆ ถ้าฟังถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ตรงกับความจริงตรงนี้ เป็นข้อความที่แย้งเข้ามา ต้องอย่าฟัง ถ้าฟังไปแล้ว มันจะไขว้เขว ทำให้เราไม่มั่นใจในสิ่งที่เป็นความจริงตรงนี้ต่างหาก 1 เปโตร 4:8 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

        1 เปโตร 4:8 “เหนือสิ่งอื่นใด จงรักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้ โดยการให้อภัย”

            ตรงนี้กำลังบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา ก็คือเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ นอกจากเราจะเป็นวิญญาณเดียวกันแล้ว เรายังเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจในวิญญาณของเรา ชีวิตของเราจึงเป็นความรัก ดำเนินชีวิตด้วยความรัก โดยธรรมชาติ เราจึงอภัยให้กันและกัน แบบเสมอ ไม่มีความโกรธ เกลียดอยู่ในวิญญาณอีกเลย แม้แต่นิดเดียว 1 ยอห์น 3:24 สุดท้าย …

        1 ยอห์น 3:24 “ผู้ใดเชื่อฟังพระบัญชา ผู้นั้นก็อยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่ในผู้นั้น เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา คือเรารู้โดยพระวิญญาณ ที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา”

            เห็นไหมว่าอาจารย์ยอห์นเน้นตรงนี้อีกแล้ว ว่านี่คือสถานะทางวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ แท้ๆ สถานะทางวิญญาณ เป็นอย่างนี้ “เชื่อฟังพระบัญชา” คือวางใจในพระเยซู คนที่เป็น คริสเตียนเชื่อฟังพระบัญชา คือเขาวางใจในพระเยซู เพราะว่าพระบัญชา คือจงวางใจในพระบุตร และรักซึ่งกันและกัน  พระบัญชา หรือกฎระเบียบ คำสั่งของพระเจ้า สำหรับคริสเตียน  ก็คือวางใจในพระเยซู จงวางใจในพระบุตร และดำเนินชีวิตด้วยความรักซึ่งกันและกัน เชื่อฟังพระบัญชา คือวางใจในพระเยซู และดำเนินชีวิตอยู่ในความรักของพระคริสต์  เป็นความรักที่เหมือนพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น เราสามารถขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ ได้ว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้  เราอยู่ในพระคริสต์ พระองค์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เป็นความรัก และเราก็เป็นความรักเหมือนพระองค์เลย ต้องมั่นใจตรงนี้ให้ได้ พระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม บริสุทธิ์ เราก็เหมือนพระองค์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเช่นเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ได้เริ่มต้นการงานดีในชีวิตของเราเรียบร้อยแล้ว  คือให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระองค์ ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับเชื่อพระเยซู พระองค์ได้เริ่มต้นการงานดีในเราเรียบร้อยแล้ว พระองค์สัญญาว่าจะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จในชีวิตของเรา คือเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา ทั้ง 3 พระภาคเลย แล้วก็ดำเนินชีวิตไปกับเราทุกลมหายใจเข้าออก พระองค์จะกระทำชีวิตเราให้สำเร็จ โดยดี ตามแผนการของพระองค์ที่วางไว้ สำหรับเราในแต่ละคน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงวางแผนการที่ดีไว้ สำหรับเราเรียบร้อยแล้ว โดยการเข้ามานำชีวิตของเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่ามันเป็นแผนการที่ดีที่สุด และเราเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงกระทำได้สำเร็จ จนกว่าจะถึงวันนั้น วันนั้น คือวันแห่งชัยชนะ วันแห่งการสิ้นสุด การดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ก็คือวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง ได้รับร่างกายใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น จิตใต้สำนึกของท่าน คิดเหมือนอย่างนี้หรือไม่? จิตใต้สำนึกของท่าน ควรจะคิดแบบนี้แหละ  พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! จงมองให้เห็นเถิด! “ความรักของพระคริสต์ได้ท่วมท้นอยู่ในใจของท่านแล้ว”

            เอเฟซัส 3:16-19 … “16 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าจากความไพบูลย์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ภายในท่าน  17 เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจของท่านโดยทางความเชื่อ  และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านหยั่งราก และตั้งมั่นคงในความรักแล้ว 18 ตัวท่านพร้อมกับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า จะได้สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด 19 และซาบซึ้งในความรักนี้ ซึ่งเหนือกว่าความรู้ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า”

            คริสเตียนผู้เชื่อได้รับความรักจากพระเจ้าแล้ว เพื่อส่งต่อให้ผู้อื่น ไม่ใช่พยายามรักผู้อื่นด้วยตัวเราเอง แต่เราเป็นผู้ที่ได้รับความรัก

จากพระเจ้า เข้ามาในวิญญาณและใจ และปล่อยให้ความรักที่อยู่ภายในนั้น ไหลผ่านออกมาเป็นการกระทำผ่านทาง การสั่งการของความคิดจิตใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นความคิด ที่เหมือนพระคริสต์เหมือนพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ความคิดจิตใจที่ได้รับอิทธิพลการเปลี่ยนแปลง เป็นความคิดเดียวกันกับพระเยซูคริสต์มากเท่าไหร่ เราก็สามารถปลดปล่อยให้ฤทธิ์อำนาจความรักของพระเจ้าหลั่งไหลออกมา สั่งการบงการให้ร่างกายอวัยวะทุกส่วน สำแดงความรักของพระเจ้าที่เป็นความรักแท้นี้ออกไปในการดำเนินชีวิต ได้มากเท่านั้น

            ปัญหา คือแทนที่เราจะเป็นฟองน้ำซึมซับรับเอาความรักจากพระเจ้า เรากลับไปเป็นหนูถีบจักรที่จะปั่นเอาความรักแบบพระเจ้าออกมา ด้วยการพึ่งพาตนเอง ซึ่งเป็นภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย

            เคล็ดลับ คือให้ความคิดจิตใจของเราที่เหมือนแก้วน้ำ ได้ถูกเติมเต็มด้วยความรักของพระเจ้าในพระคริสต์เติมได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถเทออกไปได้มากเท่านั้น

            อย่าลืมว่าเราเป็นเพียงแค่ภาชนะให้พระเยซูคริสต์ใช้งาน อย่างนี้หายเหนื่อยและเป็นสุข

            พระเจ้าอวยพรครับ