คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2021 เรื่อง “ต้องเชื่อเท่าไร จึงรอด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  มกราคม  2021

 เรื่อง “ต้องเชื่อเท่าไร  จึงรอด”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “ต้องเชื่อเท่าไร จึงรอด” จึงบังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในคำถามที่คริสเตียนผู้เชื่อหลายคน พยายามที่จะหาคำตอบกันอยู่ ผมเองก็มีสมาชิกมาถามอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่ผู้เชื่อใหม่นะ ผู้เชื่อใหม่มีอยู่แล้ว แต่ผู้เชื่อเก่าๆ ยังคงมีมาถามบ้าง บางคนเชื่อเก่าแก่นานมาแล้ว ก็ยังสงสัยในเรื่องนี้อยู่ อยากหาคำตอบ คนถาม เขาเรียกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ค่อยสำคัญมากนัก แต่คนตอบสำคัญมาก ตอบอย่างไร? และตอบไปแล้ว มันถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์หรือไม่? จึงมาคุยกันในเรื่องนี้ เพราะถ้าตอบไม่ถูกตามหลักพระคัมภีร์ มันอันตราย

คืออย่างนี้ คำตอบใส่ความเข้าใจ ความนึกคิด เหตุผลของตัวเองเข้าไป มันทำให้เกิดอันตรายขึ้น ต้องเชื่อเท่าไร ถึงรอด? บางคนเขาก็ใส่ความคิดของตนเองเข้าไป ท่านตอบว่าอย่างไร? ถ้าท่านเชื่อพระเจ้ามาแล้ว

มีคนถามท่านว่า  … “ต้องเชื่อเท่าไร ฉันถึงจะรอด?”

บางคนก็ตอบว่า … “ต้องเชื่อแบบไม่มีความสงสัยเลย ถึงจะรอด”

ได้ยินบ่อย คุ้นๆ นะ ต้องเชื่อแบบไม่สงสัยเลย ถึงจะได้รับความรอด ก็อยากจะถามจริงๆ ว่าหลังจากที่ท่านรับเชื่อแล้ว เคยมีสักครั้งไหมที่อยู่ๆ ก็แว๊บเข้ามาในความคิดว่า …

“เอ๊ะ! ฉันรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ได้หรือไม่?”

สงสัยไหม? หรือไม่สงสัย  หรือบางทีก็รู้สึกคิด รับเชื่อมาหยกๆ

“เอ๊ะ! ตอนนี้พระเจ้าอยู่กับฉันจริงๆ หรือ?”

เคยมีบ้างไหม? ท่านต้องตอบว่ามีแน่นอน บางคนตอนมาเชื่อพระเจ้า ขนลุก น้ำตาไหล ซาบซึ้ง พระเจ้าสัมผัส ผ่านไปแค่ 1 อาทิตย์ บางคนหนึ่งวันด้วยซ้ำไป กำลังอาบน้ำอยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาว่า …

“ตกลง ฉันบังเกิดใหม่หรือเปล่า? ฉันเป็นผู้เชื่อพระเจ้าจริงแล้วหรือ? ฉันเป็นลูกพระเจ้าจริงหรือ?  พระเจ้าอยู่กับฉันจริงหรือ?  ฉันนั่งอยู่ในสวรรค์แล้วจริงหรือ?”

“เมื่อวานพึ่งจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  น้ำหู น้ำตาไหล ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง พระเจ้าหายไปไหน ไม่รู้ สงสัยอย่างนี้จะรอดไหม?

บางคนเชื่อพระเจ้ามาหลายปี หลายสิบปีก็มี ก็มีคำถามเรื่องนี้แว๊บเข้ามา เป็นครั้งคราว เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น ถ้าคำตอบที่บอกว่าต้องเชื่อแบบไม่มีความสงสัยถึงจะรอด  ถ้าเกิดมันเป็นจริงตามนั้น  แล้วเวลาที่เรามีคำถามในใจ เกิดขึ้นมาตอนอาบน้ำ ก็ดี ตอนไหนก็ดี เกิดมีความสงสัยในความรอดขึ้นมา ก็แปลว่าเราสูญเสียความรอดไปแล้วสิ ช่วงนั้น ถูกไหม?  ก็มันสงสัย

เพราะฉะนั้น คำพูด คำเตือนที่มักได้ยินกันบ่อยๆ ในชุมชนของคริสเตียน ของผู้เชื่อ ก็คือ …

“รักษาความเชื่อให้ดีนะ ต้องรักษาความเชื่อให้ตลอดรอดฝั่ง ต้องระวังให้ดี  อย่าให้สูญเสียความรอดก่อนถึงวันสุดท้าย คือวันตายนะ”

อันนี้คุ้นหูมากเลยนะ … “ต้องรักษาความรอดให้ดี รักษาความเชื่อให้ถึงวันสุดท้าย”

รักษาอย่างไร?  ท่านลองคิดตามดูว่าคำสอน  หรือคำแนะนำแบบนี้ มันเป็นไปได้ไหม?  ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์ในไบเบิลที่บันทึกเอาไว้ใช่หรือไม่?  มันเป็นจริงอย่างนั้นไหม?  ก็เพราะว่ามีคำพูด คำเตือน ความหวังดีที่โลกไม่ต้องการแบบนี้เยอะมาก สอนต่อกันมาบ่อยๆ จนกระทั่งชินหู จึงทำให้เกิดคำถามว่าถ้าอย่างนั้น ต้องมีความเชื่อเท่าไรจึงจะผ่าน จึงจะรอด  ได้รับการบังเกิดใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้

แล้วที่บอกว่าต้องรักษาความเชื่อจนถึงวันสุดท้ายนั้น ต้องทำอย่างไร? รักษาอย่างไร? ทุกคนก็ พยายามหาคำตอบกันใหญ่ บางคนก็ตอบเป็นเรื่องว่าความประพฤติ การทำดี เพื่อรักษาความรอด

“อย่าทำอย่างนั้นนะ มันบาป เดี๋ยวจะสูญเสียความรอด  ต้องทำอย่างนี้นะ เพื่อจะรักษาความรอด”

คุ้นๆ หูไหม? ตั้งแต่มารับเชื่อวันแรก ได้ยิน อย่างนี้มาบ้างไหม?

“อภัยให้กับคนอื่นหรือยัง? ต้องอภัยให้หมด ไม่อย่างนั้น พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เธอเหมือนกัน”

คุ้นๆ ไหม?

“เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ เธอต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ ต้องกลับใจใหม่จากการกระทำบาป  ต้องไม่โลภนะ  อย่าผิดศีลธรรมทางเพศเด็ดขาดเลยนะ  อย่าเมาเหล้า เพราะจะไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ จะไม่มีแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นนะ”

“ถามจริงๆ เถอะ ต้องรักษาไว้เท่าไร? ที่พูดมามันดีหมด แต่ต้องไม่เมาเหล้าเท่าไร ถึงจะได้ไปสวรรค์ แล้วอย่างไรถึงเรียกว่าเมาเหล้า  แค่ไหนถึงเรียกว่าเมา แล้วเมาแค่ไหน ถึงไม่ได้ไปสวรรค์”

ท่านลองคิดดู โลภเท่าไรถึงเรียกว่าโลภ ประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศเท่าไร ถึงจะไม่ได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอก แค่มอง แค่คิด  ก็ผิดแล้ว  แล้วอย่างนี้ดูหนังสือโป๊ ก็ตกนรกแล้วสิ แล้วเมื่อวานเห็นแว๊บหนึ่ง แล้วทำอย่างไรล่ะ มันตอบลำบากใช่ไหม? อันนี้เราคิดกันไปเรื่อยๆ นะ

บางคนก็ตอบเป็นเรื่องการปฏิบัติตัวของผู้เชื่อ ซึ่งมีเยอะแยะเลย เช่น เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ให้รักษาความรอดไว้นะ โดยการ …

“เธอต้องถวายสิบลด จากนี้ไป ต้องบัพติศมาในน้ำ”

อันนี้มีคนถามเยอะ

“ต้องไปโบสถ์วันอาทิตย์,  ต้องออกไปประกาศนะ, ต้องอธิษฐานเยอะๆ, ต้องติดสนิทกับพระเจ้าให้มากๆ ต้องๆๆๆๆๆ”

เต็มไปหมดมากมาย  แล้วถามว่าต้องสนิทกับพระเจ้ามากเท่าไร? ถึงจะรอดได้ ต้องอธิษฐานขนาดไหนถึงเรียกว่าเพียงพอ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ซึ่งคำตอบของปัญหาต่างๆ เหล่านี้  ไม่มีใครสามารถตอบได้  คือแล้วต้องทำเท่าไร จึงจะพอ เข้าเกณฑ์ รักษาความรอด ไปอยู่ในสวรรค์ได้ ถูกไหม? มีแต่แนะนำ บอกวิธีต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องอย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้  แล้วตกลงเท่าไร? ถึงเรียกว่าพอ กี่เปอร์เซ็นต์ของชีวิต ที่ต้องประพฤติดี ทำดีมากเท่าไร จึงจะรักษาความรอดได้? ต้องอธิษฐานมากเท่าไร? ต้องพยายามติดสนิทกับพระเจ้ามากแค่ไหน ถึงจะผ่านเกณฑ์ว่าเชื่อมากพอที่จะเข้าสู่สวรรค์ รักษาความรอดได้เท่าไร?  ท่านลองคิดดู ถามในใจ

แต่ก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องอื่น ผมต้องพูดจากใจจริงตอนนี้ก่อนเลยว่าไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นความสำคัญ ไม่สนับสนุนการกระทำเหล่านี้ ผมยังทำอยู่ และทำอยู่ตลอดเวลา  ไม่ใช่ไม่เห็นความสำคัญ  ความประพฤติตัวดี  การกระทำดี  การมีนิสัยดี การติดสนิทกับพระเจ้า  การดำเนินชีวิตตามคำสั่งสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ เป็นสิ่งดีงามและสมควรกระทำอย่างยิ่ง  เป็นการแสดงว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เพราะเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดพระพรขึ้นด้วย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มันเป็นสิ่งที่ดี สมควรทำอย่างยิ่ง

แต่ประเด็นที่กำลังคุยกัน คือความประพฤติและการกระทำเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งปวง ไม่ได้มีผลอะไรต่อความรอด และการบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณเลย ไม่มีผลใดๆ เลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะทำให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกันเลย  นี่คือประเด็นที่กำลังจะมาพูดถึงวันนี้  ความประพฤติ การปฏิบัติตัว และการกระทำต่างๆ ของผู้เชื่อ บนโลกใบนี้ จะมีผลเฉพาะต่อการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้เท่านั้น และผลของความรอด คือการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นผลทางด้านโลกวิญญาณเท่านั้น

ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเราขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร เราทำผิด เราดื้อ พระเจ้าบอกอย่าฝืนกฎ เราไปฝืนกฎหมาย ก็ถูกตำรวจจับลงโทษ แต่ในทางโลกวิญญาณ บอกว่าเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว โรม บทที่ 8 บอกว่า …

“ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เขาเป็นอิสระจากการลงโทษต่างๆ แล้ว ด้วยกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต”

เอามาใช้ได้ไหม? ขับรถผิดกฎหมาย แล้วตำรวจมาจับ บอก …

“ผมเป็นคริสเตียนครับ ผมอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต  ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้เชื่อครับ”

ตำรวจบอกเอาไป 2 ใบเลย   ใบหนึ่ง คือขับรถเกินกำหนด     ใบที่สอง  คือฝ่าฝืนเจ้าพนักงาน  ดูถูกเจ้าพนักงาน อะไรแบบนี้ หรือไม่ก็พาส่งโรงพยาบาล อย่างนี้เป็นต้น

ฉะนั้น เราต้องรู้ว่ากฎนี้ เป็นกฎอะไร? กฎวิญญาณ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  หรือกฎแห่งการหว่านและการเก็บเกี่ยว คือกฎแห่งการกระทำบนโลกใบนี้

อย่างที่บอกว่าความคิดและคำถามต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้เชื่อใหม่เท่านั้น แม้แต่คริสเตียนที่เชื่อมานานแล้ว หลายคนก็ยังติดกับคำสอนแบบเดิมๆ อย่างนี้ สอนบ้าง เชื่อกันมาบ้าง? พูดกันมาด้วยความหวังดีบ้าง? อย่างที่บอก เขาหวังดีจริงๆ แต่เป็นความหวังดีที่โลกนี้ไม่ต้องการ เพราะเป็นความหวังดีที่ผิดพลาด ที่ไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้ยังมีคนเชื่อเก่าแก่บางคนมาขอให้ผมอธิษฐานให้เขารักษาความเชื่อจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย

“อาจารย์ช่วยอธิษฐานให้หน่อยนะ หนู ดิฉัน ผม รู้สึกไม่มั่นใจในความรอดเลย”

เพราะตัวเองรู้สึกไม่มั่นใจ  ไม่มีความคิดที่เหมือนพระคัมภีร์บอกไว้ คือความคิดแบบพระเยซูคริสต์ว่าเรารอดแล้ว  ไม่มีความคิดอย่างนั้น เป็นความคิดอื่นเข้ามาแทนที่ ความคิดที่ปฏิเสธความจริงนั้น เราเรียกว่าความสงสัย  … สงสัยอะไร? สงสัยในคำพูดของพระเยซู สงสัยในข่าวดีของพระเยซู ก็เกิดความสงสัยในความรอด แล้วก็ไม่มั่นใจในความประพฤติของตนเอง กลัวจะไม่ผ่านเกณฑ์ของพระเจ้า ไม่ได้ไปสวรรค์ ก็เลยมาขอให้อธิษฐาน  ความคิดเหล่านี้ ทำให้คำพูดของพระเยซู ที่บอกไว้ว่าผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาพระองค์ พระองค์จะให้หายเหนื่อยและเป็นสุข เหมือนกับพระเยซูพูดโกหก พูดไม่จริง  ไม่เห็นหายเหนื่อยเลย ยังกังวลอยู่เหมือนเดิม ยังเหนื่อยอยู่เหมือนเดิม ที่จะแสวงหาสวรรค์ แสวงหาความรอด เพราะไม่มั่นใจในความรอดที่ตัวเองได้รับไปแล้ว

ท่านลองตั้งใจฟังนะ นี่คือสัจจะธรรม คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ บนโลกใบนี้แหละ ทั้งโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ … โลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ มันก็มีความจริงอยู่ในนั้น โลกวิญญาณ ก็มีความจริงอยู่ในนั้น ความจริงในโลกวัตถุ เรียกว่าสัจจะธรรม คือเรายังคงมีความคิด หาเหตุผลแบบมนุษย์ สงสัย ไม่เชื่อในพระเจ้าตลอดเวลา นี่คือสัจจะธรรม เรื่องจริง พูดง่ายๆ ว่าระบบของโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  รวมทั้งร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้นั้น มันต่อต้านกับเรื่องของพระเจ้า ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันอยู่คนละฟาก เราต้องรู้สัจจะธรรมนี้

ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ตราบนั้น เรามีความสงสัย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้ามานานเท่าไรก็ตาม เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายๆ ปีก็ตาม ความคิดสงสัยแบบนี้  ก็คอยโจมตีเราอยู่ตลอดเวลา  นี่คือสัจจะธรรม มันเป็นจริงตามนั้น  มันโจมตีเราผ่านทางร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย  และความคิดของเราตลอดเวลาที่เรามีลมหายใจอยู่ มันโจมตีเราว่าไม่มีพระเจ้า  ไม่มีโลกวิญญาณหรอก นี่ต้องรู้ตรงนี้

เพราะร่างกายเนื้อหนังนี้ มันมักจะยึดติดอยู่กับเหตุผล และความเข้าใจแบบมนุษย์ จึงยากที่จะรับความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ  ผู้ที่จะไปหาพระองค์  ต้องไปหาพระองค์ด้วยความจริงและด้วยวิญญาณ ซึ่งต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หลายครั้งความรู้สึกจากร่างกาย เนื้อหนัง คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา บ่อยครั้งเลยที่มันต่อต้านกับความจริงในเรื่องโลกวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า และเรื่องเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้

เพราะฉะนั้น จงรู้ นี่คือสัจจะธรรม มันจะต่อต้านเราตลอดเวลา  ตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ มันมีความสงสัย  มีความไม่เชื่อ เป็นศัตรูกับพระเจ้าตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะตอบรับความคิดต่อต้านเหล่านี้ ด้วยอาการกลัว … กลัวที่จะสูญเสียความรอด กังวลว่าพระเจ้าไม่พอใจในชีวิตเรามั้ง พระเจ้าเกลียดเรา  พระเจ้าไม่รักเรา รู้สึกผิด มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเลย

บางคนหนักถึงขนาด พยายามที่จะตอบโจทย์ตรงนี้เลย โดยการพยายามค้นหาคำตอบจากพระคัมภีร์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความรอดมากขึ้น  บนพื้นฐานของความไม่รู้ความจริง ในสัจจะธรรมนี้ ก็คือพยายามค้นหาคำตอบจากพระคัมภีร์ ให้เกิดความมั่นใจในความรอด  บนพื้นฐานของความกลัว และความวิตกกังวล  พอนึกภาพออกไหม?

“โอ๊ย! มันเป็นอย่างนั้น”

ยิ่งอ่านพระคัมภีร์ไปเท่าไร? ก็ยิ่งกลัว ยิ่งวิตกกังวล เพราะว่าไปตีความตามหู ตา จมูก ลิ้น กาย และความคิดของตนเอง ไม่ได้ตีความตามโลกวิญญาณที่เป็นจริงในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ยิ่งไปอ่านเท่าไร ยิ่งกลัว  อ่านไปมีแต่ติดลบทั้งนั้น  เพราะที่อ่านไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ความคิดมันคิดในทางลบทั้งสิ้น  อ่านไป ก็พระเจ้าโหดร้าย  อ่านไป พระเจ้าไม่ดี  อ่านไป เราก็แย่ อ่านไป เราทำไม่พอ เราไปไม่ถึงสวรรค์ได้หรอก ในที่สุด  มันอยู่บนพื้นฐานตรงนี้มากกว่า ก็เลยอธิษฐานขอความมั่นใจมากขึ้น  บนพื้นฐานของความกลัว  อธิษฐานหลายๆ ครั้ง อยากให้ความรอดนั้นอยู่กับเรา ยิ่งอธิษฐาน ความรอดได้มากขึ้นไหม?  ไม่มากขึ้นหรอก  เพราะมันมาผิดทาง มันยืนอยู่บนพื้นฐานของความไม่จริง  โกหก ยิ่งอธิษฐานขอความรอดมากเท่าไร?  ยิ่งกลัวเท่านั้น  เพราะมันเป็นไปไม่ได้  พอเข้าใจนะ  ก็ยิ่งอธิษฐานขอความรอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  บางคนขอทุกวัน  ขอความรอด  เพื่อความมั่นใจในความรอด จากบาป ในการเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็เลยยิ่งอธิษฐานไป ยิ่งห่างไกลมากขึ้นทุกวันๆ  เพราะว่าอธิษฐานบนพื้นฐานของความเข้าใจที่ผิดพลาด

นี่แหละ คือสิ่งที่จะมาคุยกันในวันนี้ ยิ่งอธิษฐานมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นเท่านั้น เกิดความสงสัยในขนาดของความเชื่อของตนเอง เชื่อขนาดนี้ พอหรือยัง? คงไม่พอมั้ง อธิษฐานเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความเชื่อ  พอไหมในการที่จะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้รับความรอด บังเกิดใหม่ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พอไหม? ไม่พอ ทำอีก แสวงหา อธิษฐาน หาอีก ขออีก พอนึกออกนะ โดยการวัดขนาด  การเปรียบเทียบความเชื่อกับการกระทำและการประพฤติของตนเอง  เอามาเปรียบเทียบกันว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีมากขึ้น เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำได้ดีมากขึ้นเพียงใด ถ้าทำไม่ค่อยได้ดี ก็แสดงว่าเราเชื่อน้อย ไปกันใหญ่แล้ว  ท่านพอมองเห็นไหม? ผมจะพยายามค่อยๆ อธิบายให้ท่านฟัง  นี่คือสายตา ความคิดของมนุษย์คิดอย่างนี้ … เราทำอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเราตกลง เราทำอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเราไม่พอ เราต้องทำอย่างนี้ พอเราทำอย่างนี้ ถูกต้อง ความเชื่อดีขึ้น เราต้องทำมากขึ้นกว่านั้นสิ  ความเชื่อจะได้เยอะขึ้น  เพราะเราเอาขนาดของความเชื่อ มาเทียบกับการกระทำ ความประพฤติของเราเองบนโลกใบนี้  ซึ่งมันทำไม่ได้  มันก็จบลงด้วยความกลัว และความวิตกกังวลว่า …

“ฉันได้รับความรอดหรือเปล่า? คงไม่พอมั้ง ไม่ได้มั้ง”

มันจะพอได้อย่างไร? เพราะท่านกลับมาอยู่ที่การกระทำแล้ว ทั้งๆ ที่ท่านเริ่มต้นจากความเชื่อ แต่กลับมาพึ่งพาการกระทำอีกแล้ว

วิธีการของมารมันแยบยลมากในการหลอกเราเข้าไปติดกับตรงนั้นอีกที เพื่อจะดิสเครดิตข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งมันง่าย พึ่งพระองค์เพียงอย่างเดียว  จึงเป็นที่มาของหัวข้อเรื่องในวันนี้  “ต้องเชื่อเท่าไร ถึงรอด บังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้”

เราต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ก่อนว่าไม่มีใครสามารถมีความเชื่อมั่นคง ไม่หวั่นไหวเลย ทุกเสี้ยววินาที ตรงนี้ต้องรับทราบก่อนว่าเป็นสัจจะธรรม ความรอด คือการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณ  การเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว การย้ายจากสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณ มาอยู่ในสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณ  การย้ายจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่าง  การย้ายจากการอยู่ในอาดัม บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นบาป มาอยู่ในพระคริสต์   นี่คือความรอด  ไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกที่จับต้องมองเห็นได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น และความคิด และสมองของมนุษย์ มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ มันเป็นปรากฏการณ์ฤทธิ์เดชอำนาจฝ่ายวิญญาณ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้ ตามความคิด และความสามารถของมนุษย์ ที่จะใช้ความรู้สึกสัมผัสให้รู้ ให้เข้าใจถึงเรื่องเกี่ยวกับความรอดนี้ได้  ต้องใช้ถ้อยคำความจริงจากพระเจ้า  บวกกับความมั่นใจในวิญญาณ ซึ่งมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา  เป็นมัดจำ ยืนยันให้กับเราเท่านั้น ถึงจะรับรู้ได้ ไม่ใช่สัมผัสได้นะ  รับรู้ได้ เรียกว่าสัมผัสในวิญญาณก็ได้ โรม 8:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:16  “พระวิญญาณเอง  ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

 

พระวิญญาณยืนยันกับเรา เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  ตอนที่เรารอด  บังเกิดใหม่  ความคิด ความรู้สึกของเรา อาจบอกว่านี่คือความรู้สึก ความคิดของเนื้อหนังของเรา  ของร่างกายของเรา  ที่ต่อต้านกับเรื่องของพระเจ้า อาจจะบอกเราว่าเราไม่สะอาดพอหรอก เพราะเรามีความประพฤติไม่ดีพอ  ที่จะอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า  อย่างเธอเป็นลูกพระเจ้าได้ หรือยังโกหกอย่างนี้ ยังโลภอย่างนี้เลย  ยังเมาเหล้าอย่างนี้  จะไปอยู่ในสวรรค์ได้ไง  พระคัมภีร์บอกแล้วไง ไม่มีส่วนในมรดกของสวรรค์ อย่างนี้จำแม่น  แต่จริงๆ แล้วในพระคัมภีร์ตรงนี้  พูดถึงก่อนจะเชื่อ มันเป็นอย่างนั้น

แต่พระวิญญาณที่อยู่ในเรา ยืนยันถ้อยคำพระเจ้าว่าท่านได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อ ไม่ได้ผ่านทางความประพฤติของท่าน พระวิญญาณจะบอกความจริงกับเราอย่างนี้ ความคิดที่มาจากเนื้อหนัง ระบบของโลกที่บอกว่า …

“เธอไม่ดีพอหรอก เธอกระทำตัวอย่างนี้ไม่ดีพอ”

แต่พระวิญญาณบอกกับเรา ยืนยันกับเราข้างใน ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

“เธอได้รับความรอด เพราะพระคุณพระเจ้าให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ ไม่ใช่เพราะเธอทำดีนะ”

เห็นไหม? นี่ยกตัวอย่าง มันเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้

ถ้อยคำของพระเจ้าเปิดเผยความจริง เกี่ยวกับโลกวิญญาณให้กับเราได้รู้ และถ้อยคำพระเจ้าก็ได้เปิดเผยความจริง เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเราต้องเชื่อเท่าไร? ตอบให้เราเสร็จ พระวิญญาณยืนยันในจิตใจเรา เราต้องเชื่อเท่าไร ถึงจะรอด บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าสู่สวรรค์ได้  เรามาดูในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าด้วยกัน โรม 10:9-14 …

โรม 10:9-14 “9 นั่นคือ ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด 11 ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าผู้ใดที่วางใจในพระองค์ จะไม่ได้รับความอับอายเลย 12 เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ ก็ไม่ต่างกันเลย พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงอวยพรอย่างอุดมแก่คนทั้งปวง ที่ร้องเรียกพระองค์ 13 เพราะว่า “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด” 14 แล้วผู้ที่ยังไม่เชื่อจะร้องเรียกพระองค์ได้อย่างไร และผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์ จะเชื่อได้อย่างไร และหากไม่มีใครประกาศเรื่องของพระองค์ พวกเขาจะได้ยินได้อย่างไร”

 

นี่คือคำตอบของคำถามว่าเราต้องเชื่อเท่าไร ถึงจะรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเรา สอนเรา สรุปก็คือตอบว่า …

          “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จะได้รับการช่วยให้รอด  ก็คือบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้”

พอมองเห็นอะไรบางอย่าง ขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำพระเจ้า แค่นิดเดียว แค่นี้ก็ตาสว่างแล้ว ความเชื่อเท่านี้เอง คือทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ผู้คน ใครก็ตามที่บอกว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยด้วย”

พอแล้ว คนที่เชื่อว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยเขาได้  พระเยซูคริสต์ช่วยลูกด้วย”

แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูคริสต์ช่วยเขาได้ ก็ตะกี้บอกว่าเขาต้องได้ยิน มีคนไปบอกเขา ไปประกาศข่าวประเสริฐให้เขาว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากบาป มาช่วยเหลือเธอได้ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้ยินมาปุ๊บ เขาบอก …

“พระเยซู ลูกเชื่อ ช่วยด้วย”

ได้รับความรอด ตอบโจทย์ไหม? คิดดูสิ จะเป็นเท่าไร? วัดขนาดดูสิ เชื่อว่า …

“พระเยซูคริสต์ช่วยฉันได้ ฉันรับพระเยซู”  แค่นั้น รอดแล้ว

ความเชื่อเท่านี้ ก็คือการเปิดประตูใจ ให้พระเยซูเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณของเรา  ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้นั่นเอง วิวรณ์ 3:20 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะ …

วิวรณ์ 3:20  “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”

 

2 ข้อนี้รวมกัน ก็คือการเปิดใจ คือ …

“พระเยซูช่วยลูกด้วย ลูกเชื่อ”

ได้ยินมา พระเยซูช่วยได้

“พระเยซูลูกเชื่อแล้ว ลูกขอพระองค์ทรงช่วย ลูกช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว ขอทรงช่วยลูกด้วย”

เท่ากับเป็นการเปิดประตูใจ ให้พระเยซูเข้ามาในวิญญาณของเรา ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่มีคำว่า “แต่”

ตะกี้นี้เราอ่านในพระคัมภีร์ใช่ไหม? ในโรม บทที่ 10 ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด “ยกเว้น” มีไหม? ไม่มี

“นี่แน่ะ เราเคาะประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา แล้วเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา ถ้าเผื่อว่าเขามีความเชื่อเพียงพอ ถ้าเขาไม่สงสัย”

ถ้าเขา …. ถ้าๆๆๆ เยอะแยะ มีไหม?  ไม่มี  ไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีคำว่าแต่ แล้วเราลองคิดดูตามประสามนุษย์  ก็ได้ มีใครที่เชื่อข่าวดีอย่างนี้ แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซู โดยไม่สงสัยเลย โอ้โห! รู้จักข่าวดีหมดเลย รู้หมด รู้เรื่องราวทุกอย่างว่าความรอดเป็นอย่างไร? บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? เกิดใหม่ในวิญญาณเป็นอย่างไร? มีใครมาเชื่อพระเจ้า แล้วตอนเริ่มต้นเชื่อพระเยซู ออกนามพระเยซู รู้เรื่องเหล่านี้หมดแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรหรอก ผมก็ไม่รู้เรื่อง แล้วท่านรู้เรื่องไหมตอนเปิดใจรับเชื่อพระเยซู เปิดปากต้อนรับพระเยซู

“พระเยซูช่วยลูกด้วย”

จะอธิษฐาน หรือใครอธิษฐานให้ อะไรก็แล้วแต่ ท่านเองก็ไม่รู้ ไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย ยังไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยเรียนเลย  ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเยซูขอแค่เราเชื่อพระองค์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นผู้ช่วยท่านได้ แค่นี้เอง พระเยซูขอนิดเดียวเอง เชื่อไหมล่ะว่าพระเยซูช่วยได้ เชื่อไหมว่าเราช่วยได้

“เชื่อครับ”

พอแล้ว เริ่มต้นเชื่อ พระเยซูยกตัวอย่าง ยอดเยี่ยมเลย 2,000 ปีแล้วนะ ยังใช้ได้ทุกวันนี้ เล็กนิดเดียว แค่เมล็ดมัสตาร์ด ก็คือมันเล็กมาก หรือเรียกว่าเมล็ดผักกาด เล็กกว่าเมล็ดผักกาดอีก ไม่ต้องการความเข้าใจ เพราะอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่ต้องการความจริงใจมากกว่า จริงใจคืออะไร?

“โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย”

นี่แหละ คือจริงใจ ไม่ใช่ยังช่วยตัวเองได้บ้าง? แล้วบอก …

“ขอพระองค์ทรงช่วยเสริม”

ไม่ใช่ คือคนมาเชื่อพระเยซู ส่วนใหญ่จะหมดกำลังแล้ว  ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย อันนี้ ของจริง พระเยซูขอแค่นั้นเอง มาระโก 4:31-32  พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ … อุปมา

มาระโก 4:31-32 “31 อาณาจักรของพระเจ้านั้น ก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุด เมื่อเพาะลงในดิน  32 แต่เมื่องอกขึ้น  ก็เป็นต้นใหญ่ที่สุดในสวน  แผ่กิ่งก้านสาขา จนนกในอากาศ มาพักอาศัยในร่มเงาได้”

 

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของความเชื่อ  แต่ขึ้นอยู่กับแหล่งหรือสถานที่ที่เราจะหว่านเมล็ด ความเชื่อนี้ลงไป

เหมือนเรามีเมล็ดมัสตาร์ดในความเชื่ออยู่ในมือ เราจะตัดสินใจหว่านลงไปที่คำเชื้อเชิญของพระเยซูที่บอกว่าให้เราพึ่งพระองค์ ก็คือข่าวดีของพระเยซู มาหาพระองค์ พระองค์ทรงช่วยได้ ให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข หรือเราจะปฏิเสธ ไม่หว่านลงในพระเยซู ข่าวดีของพระองค์ แล้วไปหว่านในที่อื่น ตอบรับคำเชิญจากที่อื่นๆ เยอะแยะมากมาย ซึ่งที่อื่นๆ ล้วนแต่บอกเราว่าให้เราพึ่งการกระทำของตนเอง พึ่งความดีของตนเอง ใช่ไหม? มี 2 ทางให้เลือก จะพึ่งตนเองต่อไป หรือจะพึ่งพระเยซู จะหว่านเมล็ดลงที่พึ่งตนเอง หรือจะหว่านเมล็ดลง ที่พึ่งพระเยซู มีแค่นี้เอง นิดเดียวเอง พระเยซูขอให้เราทำเพียงแค่นี้เท่านั้น คือกลับใจใหม่

กลับใจใหม่ คือไม่พึ่งตนเองอีกต่อไป ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และด้อย ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ขอพระเยซูช่วยด้วยเถิด  … นี่เขาเรียกว่ากลับใจใหม่ …

แล้วกลับใจใหม่กี่ครั้ง? บางคนบอก เชื่อแล้วมีความสงสัย ก็กลับใจใหม่ทุกวันๆ ไม่ใช่ กลับใจใหม่เพียงครั้งเดียว เมล็ดมัสตาร์ดหย่อนลงไปครั้งเดียวเอง ถ้าดินดีจริง ถ้าพระเยซูมีจริง มันโตแน่นอน  ไม่ต้องทำอะไรแล้ว

พระเยซูขอเพียงแค่นั้น ให้เรากลับใจใหม่มาพึ่งพระองค์ หันมารับคำเชิญของพระองค์ แล้วเปิดประตูวิญญาณ เปิดประตูใจ ให้พระองค์เข้ามาช่วยเหลือเท่านั้น และที่เหลือนอกจากนั้น  พระองค์ทำอัศจรรย์เองหมด ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นี่แหละเรียกว่าความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ยอห์น 1:12-13 บันทึกอย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13  “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิ  ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า

 

เอเมน … “ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ยอมรับพระเยซู ก็คือกลับใจใหม่ ผู้ที่เชื่อในนามของพระองค์ ก็คือผู้ที่หว่านเมล็ดมัสตาร์ดแห่งความเชื่อลงไปที่พระนามของพระองค์ พระองค์ทำให้คนนั้นได้บังเกิดใหม่มาสู่ความรอด เห็นไหม? บันทึกไว้ชัดเจน

อัศจรรย์ที่เหลือทั้งหมด พระองค์ทรงกระทำ คืออะไร? เมื่อเราหว่านเมล็ดลงไปในพระองค์ ในข่าวดีของพระองค์ อัศจรรย์ ก็คือพระองค์เข้ามาให้ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทารก อุแว้ๆ ทำให้เราสะอาดหมดจด  บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ปราศจากตำหนิใดๆ เหมือนพระองค์เลย แล้วยังเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา ร่วมกับพระบิดา และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นพี่เลี้ยง คอยดูแลนำพาด้วยความรัก ให้เราเจริญเติบโตในวิญญาณนั่นแหละ เต็มไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ที่สมบูรณ์ครบ สิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าอัศจรรย์อีกนะ  เกิดขึ้นจากอะไร?  เราทำอะไรบ้าง ครั้งเดียว นิดเดียวกลับใจใหม่ แล้วหว่านเมล็ดมัสตาร์ด เชื่อ พระองค์ช่วยได้ ออกพระนามของพระองค์ พระเยซูช่วยลูกด้วย อัศจรรย์เกิดขึ้น แล้วพระองค์สัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ตั้งแต่วินาทีแรก ที่เรา เปิดใจต้อนรับ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จนถึงนิรันดร์ พระองค์ไม่ไปไหนแล้ว อยู่กับเรา ตลอดไป เอเมน ทิตัส 3:5 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ทิตัส 3:5  “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด  ไม่ใช่เพราะความชอบธรรม จากการกระทำของเรา แต่เป็นเพราะพระเมตตาของพระองค์  พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระ แห่งการบังเกิดใหม่  และการทรงสร้างขึ้นใหม่  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

ความรอดในพระเยซูคริสต์ การบังเกิดใหม่ อัศจรรย์นี้ เท่ากับเป็นการผ่าตัด ในโลกวิญญาณ เกิดการเปลี่ยนแปลง ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเจ้า ในพระคริสต์ มีการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์  เป็นเชื้อสาย ชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้า DNA ใหม่  เป็น DNA นิรันดร์ของพระเจ้า เข้าไปมีส่วนอยู่ในชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ความรอด ไม่ใช่อารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด เหตุผลแบบมนุษย์  ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงไปตามระบบของโลกใบนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งมันทำให้เกิดความสงสัยบ้าง? ไม่เชื่อบ้าง? กลัวบ้าง? ซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ความสงสัยเหล่านี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า อย่างที่พระเจ้าได้กระทำให้ ตอนที่เราหว่านเมล็ดมัสตาร์ดลงไป แล้วพระเยซูกระทำอัศจรรย์นั้น

ความสงสัย ความไม่เชื่อ ตามสัจจะธรรมของร่างกายนี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณได้ เปลี่ยนไม่ได้แล้ว ในโลกวิญญาณ เพราะมันถูกย้ายออกมาแล้ว  1 เปโตร 1:3-5 บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

1 เปโตร 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้  ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์  จนถึงความรอด  ซึ่งพร้อมแล้ว ที่จะทรงสำแดงในยุคสุดท้าย”

 

นี่คือความจริงทั้งหมด  ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นจริงมากกว่าโลกวัตถุ ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราว

คำว่า “พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่” ตรงนี้ ขยายความ คือการเกิดใหม่จากเบื้องบน  ก็คือจากสวรรค์ จากโลกวิญญาณ  เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือการผ่าตัดทางวิญญาณ และถูกจัด คัดแยก เป็นสมบัติส่วนพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่า  Sacrifice เรียก Set a past  เรียกว่าการแยกส่วน เรียกว่า Holy of holies ทำให้เราเป็นสถานที่บริสุทธิ์ ที่พระเจ้ามาสถิตด้วย เป็นสถานส่วนพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทำให้เสร็จแล้ว ไม่ต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์  สะอาด เพราะว่าพระองค์ทำให้เราสะอาด หมดจดแล้ว ไม่ต้องพยายามถวายตัวเอง เป็นเครื่องบูชาพิเศษของพระองค์ เพราะพระองค์ทำให้เราเป็นเครื่องบูชาไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่า … “เราได้ให้วิญญาณใหม่ ให้ความคิดจิตใจใหม่กับเจ้า เป็นจิตใจที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า ในวิญญาณ แล้วเราเชื่อพระองค์ตลอด ไม่มีการเป็นอื่น  เพราะว่ามันเป็นคุณสมบัติของการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ในวิญญาณของเรา  เป็นวิญญาณที่เขาเรียกว่าเชื่อในพระเจ้า เป็นลูกที่เชื่อฟัง  แต่ก่อนนี้ ที่เรายังไม่หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อลงไปในพระเยซูคริสต์ เราเป็นวิญญาณแห่งการไม่เชื่อฟัง ไม่ใช่เราไม่ได้ตั้งใจจะไม่เชื่อ  แต่วิญญาณมันเกิดมา มันไม่เชื่อ มันเป็นปฏิปักษ์ แต่ตอนนี้เราเกิดใหม่แล้ว จากการเกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นชนิดที่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจของความคิดเรา จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่? ไม่ใช่ มันอยู่ที่คุณสมบัติวิญญาณของเรา ตอนนั้นเราเป็นวิญญาณที่เชื่อพระเจ้า  พระเจ้าได้ให้วิญญาณแห่งการเชื่อฟังกับเรา เป็นการเชื่อฟัง เป็นความรัก

พระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณใหม่ของเรา  ที่พระเจ้าให้บังเกิดใหม่เอี่ยมนั้น มาจาก DNA ของพระเจ้า ก็เป็นวิญญาณแห่งความรักเหมือนพระองค์ไม่มีผิดเลย เป็นวิญญาณแห่งอมตะ เอเฟซัส 6:4 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 6:4 “ขอพระคุณ ดำรงอยู่กับคนทั้งปวง ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรัก อันไม่เสื่อมสลาย”

 

“ขอพระคุณ ดำรงอยู่กับคนทั้งปวง” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย รู้ได้อย่างไร? “ที่รักองค์พระเยซูคริสต์” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายถูกไหม? “ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรัก อันไม่เสื่อมสลาย”

“ใครเชื่อพระเยซูยกมือขึ้น?”

ท่านเป็นผู้ที่มีวิญญาณที่เป็นความรักต่อพระเยซูคริสต์ เป็นอมตะ ไม่มีการเสื่อมสลาย  หมายถึงความรักของท่านที่มีต่อพระเยซู เป็นอมตะ ไม่ใช่ท่านพยายามที่จะรักพระองค์ ให้เป็นอมตะ แต่ชนิดของวิญญาณท่าน เป็นอมตะในการรักพระองค์ ไม่มีการเสื่อมสลาย พูดง่ายๆ ถ้าเติมให้อีกหน่อย ก็คือไม่ว่าท่านอาบน้ำไป คิดว่าไม่รักพระเยซู ไม่ว่าท่านอาบน้ำไป บ่นว่าพระเยซูว่า …

“อธิษฐานแล้วยังไม่เห็นได้สักทีหนึ่ง ฉันเบื่อพระเยซูแล้ว”

แต่ในวิญญาณท่าน  ถ้าท่านบังเกิดใหม่จริงๆ ท่าน ก็เป็นวิญญาณที่กำลังรักพระเยซู เป็นอมตะ  เพียงแต่ความคิดท่านมันต่อต้าน จากอารมณ์ ความรู้สึก จากสิ่งที่สัมผัส เหตุการณ์ภายนอก บนโลกใบนี้นั่นเอง พอมองเห็นไหมครับ?

ในวิญญาณที่ท่านรักพระเยซู เป็นอมตะนั้น ตามพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ ในเอเฟซัส บทที่ 6 นั่นคือตัวตนแท้ๆ ของท่าน  วิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ของเราที่จะอยู่ไปตลอดนิรันดร์ ตัวตนข้างนอก ร่างกายที่เราเห็น มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น 80 ปี 100 ปี ก็ว่าไป  เดี๋ยวก็ตายแล้ว แต่วิญญาณของเรา คือตัวตนแท้ๆ ของเรา ตัวตนจริงๆ ของเรา ตามเอเฟซัส บทที่ 6 ที่เราอ่านร่วมกัน ตัวตนจริงๆ ของเราไม่สามารถที่จะเกลียด เป็นปฏิปักษ์ หรือดื้อต่อพระเจ้าได้เลย ถูกไหม? เพราะเป็นคุณสมบัติตัวตนของเรา และสำคัญที่สุด ก็คือพระเจ้าได้ให้เราบังเกิดใหม่ ชำระเรา จนบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด พระองค์ได้ย้ายเราออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง และพระองค์ได้ย้ายตัวพระองค์เองเข้ามาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเรา ล้อมรอบตัวเรา โอบกอดเรา รักเราตลอดเวลา ไม่มีวันที่จะจากเราไปไหนเลย แม้แต่นิดเดียว และเราก็มีลักษณะเช่นเดียวกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  พระองค์รักเราอย่างไร? เราก็รักพระองค์อย่างนั้น พระองค์อยู่กับเราอย่างไร? เราก็อยู่กับพระองค์อย่างนั้น

มันจึงมีคำว่า “พระเยซูอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระเยซู  พระเยซูโอบกอดเรา   เราโอบกอดพระเยซู พระเยซูรักเรา  เราก็รักพระเยซู”

มันจึงมีคำพูดเหล่านี้  เพราะว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์เลย

นี่คือคำสัญญา  คำพูดของพระเจ้า ที่บอกเราว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราเรียกกันว่าคำสัญญา  ที่เป็นคำสัญญาที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เกิดขึ้นจริงแล้ว  คำสัญญา เหตุการณ์เหล่านี้  มันเกิดขึ้นจริงๆ  เพียงแค่ท่านเชื่อ และหว่านความเชื่อท่านเท่าเมล็ดมัสตาร์ดลงไปในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น  2 ทิโมธี 2:11-13 บันทึกอย่างนี้ว่า …

2 ทิโมธี 2:11-13 “11 นี่เป็นคำกล่าวที่เชื่อถือได้ คือถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 12 ถ้าเราอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ด้วย ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ก็จะทรงปฏิเสธเราด้วย 13 ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อ พระองค์ก็ยังคงสัตย์ซื่อ เพราะพระองค์ปฏิเสธพระองค์เองไม่ได้”

 

ที่เอาข้อนี้มาให้ท่านได้อ่าน ถ้าเราปฏิเสธ ก็คือเราไม่เอา เราไม่หว่านในพระองค์ เราไปหว่านในที่อื่น  อันนี้พระเยซูก็ปฏิเสธเรา ก็คือไม่รู้จะช่วยเราอย่างไร? พระองค์มาขอเราเปิดประตูเราจะเข้าไปช่วย แล้วเราบอก เราปิดประตู เราไม่ให้ช่วย พระองค์ก็ต้องปฏิเสธเรา แต่ในนี้บอกว่าเมื่อเราเปิดประตูใจแล้ว พระเยซูเข้ามาแล้ว  ต่อให้เราไม่สัตย์ซื่อ  ตรงนี้ภาษาเดิมบอกว่าความเชื่อหมด ต่อให้หลังจากนั้น เมื่อเปิดประตูใจให้พระเยซูเข้ามา บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว บางครั้งความเชื่อ มันหมดจริงๆ อธิษฐานแล้วไม่ได้ เจอความบีบเค้นของระบบของโลกใบนี้ เหนื่อย  เพลีย ป่วย ถูกบีบเค้นเรื่องเศรษฐกิจ การงาน การเงิน ปัญหาต่างๆ มันไม่อยากจะเชื่อเลย ต่อให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งในพระคัมภีร์บอกเป็นหลายครั้ง ชีวิตในการดำเนินบนโลกใบนี้ มันหล่นลงในความไม่เชื่ออย่างนี้ หลายครั้ง ต่อให้ไม่เชื่ออย่างนั้น พระองค์ก็ยังคง “สัตย์ซื่อ” ตัวนี้ หมายถึงยังคงรักษาความเชื่อของพระองค์อยู่ ก็คือรักษาถ้อยคำ สัตย์ซื่อ ก็คือคำสัญญาและถ้อยคำของพระองค์ที่เป็นจริงในโลกวิญญาณ  ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ พระองค์ก็ยังอยู่กับเรา รักเรา และเราก็ยังเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิมนั่นแหละ เอเมน

ดังนั้น ตอนนี้ท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนนี้ท่านเชื่อหรือยัง? เชื่อแล้ว (ในวิญญาณ) 100% ส่วนข้างนอก แล้วแต่อารมณ์ ไม่รู้สิ ถูกไหม? ต้องแยกกันให้ชัดเจน บางครั้งมันก็เป็นไปตามความจริงในวิญญาณ ก็คือเชื่อและอาการก็ออก อย่างเช่น มาโบสถ์ตอนเช้า ร้องเพลงนมัสการ สรรเสริญพระเจ้า เต้นโลด ตอนนั้นความรู้สึก  ความคิด เป็นไปด้วยกันกับความจริงในวิญญาณของเรา คือเราเชื่อว่าเราเป็นลูกพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า ได้รับความรอดแน่ๆ แต่ตอนออกไป แล้วถูกรถเฉี่ยว ขาหัก  หรือเกิดอุบัติเหตุ มันอาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง  ตอนนั้นนะ แต่ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร? แบบไหนก็ตาม พระองค์ก็ทรงอยู่เหมือนเดิม  ท่านก็เป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่ว่าท่านจะรู้สึกเชื่อหรือไม่? มากน้อยเพียงใดก็ตาม หลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซู หลังจากเปิดใจเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้น หว่านลงในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านก็ได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ จริงๆ จงรับรู้ความจริงเรื่องนี้เถิด จงรับรู้เถิดๆ จงมองไปที่วิญญาณ และรับรู้ตรงนี้เถิด  พระคัมภีร์จึงได้เตือนเราตรงนี้ โคโลสี 3:1-3 ให้เรารับรู้ตรงนี้ จดจ่ออยู่ตรงนี้ …

โคโลสี 3:1-3 “1 ในเมื่อ ทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

เพราะฉะนั้น จงรับรู้ความจริงเรื่องนี้ไว้ว่ามันเป็นอย่างนี้  แล้วจดจ่ออยู่เรื่องนี้ เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอกด้วยความรู้สึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย  ความคิด และสมอง ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันจะได้ไม่หลอกเรา หลอกเราก็หลอกไม่ได้  เพราะเราจดจ่ออยู่ที่ความจริงในโลกวิญญาณอย่างนี้แหละ ความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ต้องบอกอย่างนี้ เพื่อจะได้เน้นความมั่นใจว่าอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อ  อันน้อยนิด เท่าเมล็ดมัสตาร์ด เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ย้ำอีกที  เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ต้องหว่านบ่อยๆ  เพียงครั้งเดียว พิสูจน์พระเจ้าทันทีเลย พระเยซูหรือพระเจ้าก็ทำให้ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ของพระเจ้าเลยทันที หว่านเมื่อไร มันเกิดขึ้นทันที และที่เกิดเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ทันทีนั้น และจะไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ไปได้เลย มันจะเป็นอย่างนั้นเลย ก็แค่เพียงเฝ้ารอคอยวันเวลา ที่จะจากโลกนี้ไป ได้รับร่างกายใหม่  คือร่างกายสวรรค์ ที่เหมือนพระเยซู มาแทนร่างกายเดิมนี้ สมบูรณ์แบบกว่าเดิม และอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เหมือนเดิมนิรันดร์กาล

มันง่ายไหม? ง่ายนิดเดียว ง่ายเกินไป จนกระทั่งมนุษย์มักคิดว่ามันเป็นไปได้หรือ? แต่มันเป็นไปแล้ว มันง่ายแค่นี้เอง จึงเรียกว่าข่าวดี ถ้ามันยากๆ ก็ไม่เรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีของพระเยซู ทางสู่สวรรค์ ของขวัญจากพระเจ้า ให้เปล่าๆ ฟรีๆ มันง่ายอย่างนี้แหละ

สมมติว่าท่านกำลังอยู่ในตึกสูงๆ แล้วกำลังมีไฟไหม้ แล้วก็ติดอยู่ชั้นบน ออกมาไม่ได้ ทั้งร้อน ทั้งทุกข์ทรมาน แล้วก็มีคนมากมายมาแนะนำสอนวิธีต่างๆ ให้เราทำตาม เพื่อที่จะหาทางออกจากตึกให้ได้ จะได้รอดพ้นจากไฟนรกนั้น แต่วิธีที่เขากำลังพยายามทำกันอยู่นั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้ใคร คนใดคนหนึ่ง หรือตัวเองรอดออกไปจากตึกนรกนี้ได้ แม้แต่คนเดียวเลย แต่ว่ามีอยู่ผู้หนึ่ง ชื่อว่าพระเยซูเสนอตัวว่าเราสามารถอุ้มทุกคนเลย ไปจากตึกและรอดจากไฟนรกนี้ได้เดี๋ยวนี้เลย โดยที่ทุกคนไม่ต้องทำอะไรเลย เอาไหม? คนอื่นมาบอกวิธีใช่ไหม?

“ทำอย่างนี้สิ ปีนลงไปต้องอย่างนี้นะ  คลานอย่างนั้น เอาผ้าชุบน้ำ ราดหัวไว้อะไรอย่างนี้”

พูดตั้งเยอะแยะ ให้เราทำๆ แต่มีบุคคลนี้ ชื่อพระเยซูบอก ไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวอุ้มไป มันคล้ายๆ อย่างนั้น

ถามว่าในขณะที่ไฟยังลุกโชนอยู่ แล้วท่านติดอยู่บนตึกนั้น ท่านจะมีเวลาเลือกที่จะเชื่อใครไหม? มานั่งคิดไหมว่า …

“เอ๊ะ! เขาจะอุ้มเราไปอย่างไรนะ คนอื่นเขายังบอกวิธี เอาน้ำราดหัวอย่างไร? คลานอย่างไร? คนนี้มาบอกว่าอุ้มเราลงไปเลย”

ท่านจะมีเวลาคิด จะอุ้มอย่างไรหรือ? พระเยซูต้องมาอธิบายให้ท่านฟังไหมว่าอุ้มวิธีนี้ อย่างนั้นนะ แล้วท่านจะเข้าใจทันเวลาไหม ก่อนที่ไฟจะลามมาถึงข้างบน ลวกท่านตายก่อน และท่านจะเลือกเชื่อและทำตามวิธีการของคนที่กำลังติดบนไฟนรกนั้นด้วยกันกับท่าน หรือท่านเลือกที่จะเชื่อพระเยซูที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เราช่วยได้ แค่นั้นเอง พระเยซูจึงไม่มีข้อแม้ไง เพราะรู้ว่าเราไม่มีทางเข้าใจหรอก จะอุ้มเราไปอย่างไร? แล้วมันไม่มีเวลาพอที่จะค่อยๆ อธิบายจนเข้าใจ จึงจะบอก โอเค มาอุ้มเลย มันไม่มีเวลาพออย่างนั้น ไฟมันกำลังขึ้นมาอยู่ ชีวิตเราอยู่สั้นๆ เดี๋ยวก็ตายแล้ว เพราะฉะนั้น หน้าที่เรา คือตัดสินใจเชื่อทันทีเลย พิสูจน์พระองค์เลย ไม่ต้องรอเข้าใจว่าอุ้มอย่างไร? แต่บอกเลยว่ามันร้อนแล้ว มันทนไม่ไหวแล้ว คลานก็ทำมาแล้ว เอาน้ำราดก็ทำมาแล้ว ก็ยังอยู่ในตึกนี้อยู่ มันร้อน จนไฟจะขึ้นมาถึงอยู่แล้ว สุดท้าย ไม่ไหวแล้ว ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว อุ้มเลยก็เอา นั่นแหละมาถึงซึ่งความรอด ในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************