คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2021
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 2
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อ ในหนังสือเอเฟซัส คราวที่แล้วเราจบลงข้อที่ 4 ที่บอกว่า …
เอเฟซัส 1:4 “เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก”
ก็คือพระเจ้าทรงเลือกชาวยิวไว้ก่อน ชาวยิวจะเป็นผู้รักษากฎระเบียบของพระเจ้า เพื่อเป็นแบบอย่างแห่งความชอบธรรม ตั้งแต่สมัยของอับราฮัม ซึ่งเราคุยกันแล้ว เรื่องของอับราฮัมว่าอับราฮัมเชื่อก่อนที่จะมีการประพฤติ พระเจ้าเลยถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม วันนี้เรามาต่อข้อที่ 5
เอเฟซัส 1:5 “พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์”
พระเจ้าได้ทรงกำหนดล่วงหน้า กำหนดตั้งแต่สมัยที่มนุษย์เริ่มล้มลงในความบาป แล้วพระเจ้าก็กำหนดพระเยซูคริสต์ไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะประทานความรอดให้กับมนุษยชาติ เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นคนบาป เพื่อให้เขาได้มีโอกาสคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง คือพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว แล้วพระองค์ก็เลือกชาวยิวมาก่อน เพื่อที่จะรักษากฎตรงนี้ ฉะนั้น การกำหนดตรงนี้ มันจะมาจากในพระธรรมยอห์น 3:16 ที่บอกว่า … “เพราะพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
แปลว่าขบวนการ คือพระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์ไว้แล้ว เพื่อที่จะรับเรา ผู้เป็นชาวยิวตั้งแต่เริ่มต้น คือชาวยิวต้องมาก่อน ให้มาเป็นบุตรของพระองค์ หมายความว่าเมื่อถึงเวลากำหนด ที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้ ได้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า จะได้ถูกประกาศให้กับชาวยิวก่อน เมื่อใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เขาก็มีสิทธิ์ได้เป็นลูกของพระเจ้า แปลว่าไม่ใช่ชาวยิวทุกคน หรือชนชาติอิสราเอลทุกคนจะได้รับการเป็นบุตรของพระเจ้า โดยปริยาย แม้ว่าพระเจ้าจะเลือกเขาก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่เขายังจำเป็นที่จะต้องเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าส่งมาให้เขา เขาถึงมีสิทธิ์เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์
เพราะฉะนั้น ตรงนี้แหละเป็นพระคุณซ้อนพระคุณ ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับชาวยิว ที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน เขาก็จะได้รับความรอดเลย เขาได้เป็นบุตรของพระเจ้าเลย ซึ่งตรงนี้เราคุยกันบ่อยมากว่าชาวยิวส่วนหนึ่ง หรือส่วนใหญ่ เขาจะรับตรงนี้ไม่ได้ เพราะชาวยิวถูกกำหนดมาตั้งแต่เริ่มต้น ให้รักษากฎบัญญัติของพระเจ้า ผ่านทางโมเสส แล้วคนอิสราเอลเขาก็คิดว่าเขารักษาบัญญัติตรงนี้ เขาสมควรที่จะได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า โดยปริยาย ผ่านการประพฤติปฏิบัติของเขามาตลอด อย่างสัตย์ซื่อ
ซึ่งพอถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกว่าอันนั้น คือพระคุณที่พระเจ้าให้เปล่าๆ โดยกฎบัญญัติที่ชาวยิวเคยยึดถือมาทั้งหมด เมื่อพระเยซูคริสต์มา เป็นโมฆะหมดเลย เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติตามกฎบัญญัติ โดยทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม ที่พระเจ้าทรงรับได้ ไม่มีเลย ฉะนั้น จำเป็นที่ทุกคนจะต้องกลับใจใหม่ หมายความว่ามาเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ แล้วบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะสามารถได้รับความรอด และได้รับสิ่งดีที่พระเจ้าประทานให้กับเขา อันนั้น คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ยาวนานมาก ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป
เอเฟซัส 1:6 “เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า”
เป็นพระคุณ คำว่า “พระคุณ” เล็งถึงสิ่งที่เราไม่สมควรได้รับ แต่พระเจ้าเมตตาให้กับพวกเรา อะไรที่เราไม่สมควรได้รับ? อาจารย์เปาโลยังพูดถึงคนยิว อยู่นะ ยังไม่มาถึงพวกเรา ที่เป็นคนต่างชาติ พระคุณตรงนี้ คือมนุษย์เป็นคนบาป ไม่สมควรที่จะได้รับการอภัยโทษ แต่เพราะพระเมตตาของพระเจ้า พระเจ้าได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แผนการนี้ถูกเตรียมไว้ ตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว ที่พระเจ้าบอกไว้ว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ แต่เริ่มต้นที่ยิวก่อน หลังจากนั้น จะรวมคนต่างชาติ ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์
ฉะนั้น พระคุณตรงนี้ เป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งมนุษย์คิดไม่ถึงว่าพระเจ้าจะรักมนุษย์ได้ขนาดนี้ เป็นพระคุณที่ในพระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อเรา แปลว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษย์ที่ดีพร้อม หรือเป็นคนดีทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ใช่ เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกใบนี้ สามารถดีพร้อม จนพระเจ้ารับเขาได้ ฉะนั้น พระคุณตรงนี้แหละ ที่พระเจ้าให้กับชนชาติอิสราเอล ก็คือขณะที่เขายังเป็นคนบาปอยู่ ขณะทีเขากำลังดิ้นรนพยายามทำตามกฎบัญญัติของโมเสส ที่พระเจ้าให้ไว้ เพื่อให้เขาหลุดพ้นจากความบาป เพื่อให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าได้
ดังนั้น คนยิวในยุคสมัยของโมเสส หรือในยุคที่พระเยซูคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่ เขายังต้องดิ้นรนต่อสู้ เพื่อที่จะชำระบาปของตัวเอง ในแต่ละปี ตามที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ พิธีกรรมตรงนี้ ชาวยิวจะรู้ดีที่สุดเลย ที่พระเจ้าบอกให้ทุกปีคนยิวต้องเอาแกะ เอาแพะมาถวายเป็นเครื่องบูชา ให้กับพระเจ้า โดยผ่านทางมหาปุโรหิตที่จะทำพิธีกรรมนี้ให้ โดยการวางมือบนหัวของแพะ เพื่อเอาบาปของคนๆ นั้นไว้ที่ตัวแพะ แล้วก็ปล่อยไป แล้วก็เอาแกะอีกตัวหนึ่งมาฆ่า เอาเลือดมาประพรมที่แท่นบูชาของพระเจ้า แล้วคนๆ นั้นที่เอาแกะมาถวายให้กับพระเจ้า เขาก็จะสบายใจ ปีนี้เรารอดแล้ว คือพระเจ้าได้รับเครื่องบูชาตรงนี้ แล้วความบาปของเขาได้ถูกลบไปแล้ว 1 ปีเองนะ แล้วปีหน้าเขาก็ต้องเริ่มต้นทำใหม่ คนอิสราเอลเขาทำอย่างนี้เป็นประจำทุกปีๆ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นแกะที่จะเดินไปที่แดนประหาร แล้วโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ชำระมนุษยชาติครั้งเดียวพอ พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาทุกปีๆ เสด็จมาเกิด แล้วก็สิ้นพระชนม์ เป็นขึ้นมาจากความตาย มาเกิด มาตาย อะไรอย่างนี้ ไม่ต้อง
ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว พอ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด … “ทั้งหมด” ตรงนี้ หมายถึงตั้งแต่อดีต ก่อนที่คนนั้นจะมารู้จักกับพระเจ้า จนถึงปัจจุบัน ที่คนนั้นได้ตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาแล้ว แล้วยังเล็งถึงบาปในอนาคตข้างหน้า ที่คนๆ นั้นจะทำอีก หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นโดยปริยายที่ผู้เชื่อ จากวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และบังเกิดใหม่ แล้วเราจะไม่ทำบาปอีกเลย มันเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้ความบาปและความตาย เรายังมีโอกาสที่จะไปทำบาปอีก แต่พระเยซูบอกว่าการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งพระโลหิต เพื่อมนุษยชาติ หมายความว่าบาปในอดีต จบไปแล้ว บาปในปัจจุบัน พระเจ้าก็ยกให้ บาปในอนาคตที่เรายังไม่ได้ทำเลย แต่จะทำนั่นแหละพระเจ้าก็ยกให้หมดเรียบร้อยไปแล้ว แปลว่าคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็คือพระเจ้ายกโทษให้หมดเลย เป็นลูกของพระเจ้าเลย เมื่อเขาบังเกิดใหม่ ตรงนี้แหละ คือพระคุณซ้อนพระคุณอย่างมากมายที่พระเจ้าได้ให้กับมนุษยชาติ เริ่มต้นที่ชนชาติยิวก่อน ให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อเท่านั้น
ฉะนั้น คนยิวทุกคนจำเป็นที่จะต้องยอมรับสิ่งนี้ แล้วก็ตัดสินใจเชื่อว่าพระเยซู คือผู้นั้นแหละ เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเขาให้รอดพ้นจากบาป และช่วยเขาให้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ถ้าคนยิวไม่ยอมรับตรงนี้ ก็เท่ากับเขาปฏิเสธการงานของพระเยซูคริสต์ เมื่อปฏิเสธ ไม่รับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในการพิพากษา ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าคนกลุ่มนี้แหละ เมื่อลมหายใจออกจากร่างกายนี้ คือตาย เขาก็จะไปเจอความตายอีกครั้งหนึ่ง คือความตายครั้งที่ 2 ตอนนั้นแหละ จะมีการพิพากษา ครั้งสุดท้าย
มนุษย์ทุกคน เมื่อเกิดมา อยู่ในบาป ถูกพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว เดินทางไปสู่ความตายทุกวัน แต่ว่าเมื่อวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง ใครที่ยังไม่ได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนนั้นแหละ หมดสิทธิ์ที่จะทำอะไรเลย ก็คือรอวันที่ขึ้นไปปุ๊บ ไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์สีขาว ที่พระเจ้าจะพิพากษา แล้วคนกลุ่มนี้จะถูกทิ้งไปที่บึงไฟนรกนิรันดร์กาล ไม่ว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นชนชาติยิว หรือเป็นคนต่างชาติ เป็นเชื้อชาติไหนก็ตาม ถ้าไม่เปลี่ยนจากการอยู่ในที่เดิม มาพึ่งในพระเยซูคริสต์ ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันหมด คือรอวันถูกพิพากษาครั้งสุดท้าย หลังความตายจากโลกนี้
เอเฟซัส 1:7 “ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า”
พูดถึง “พระคุณ” อีกแล้ว ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป อันแรกเลย คือได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์หลั่งออก คือพระเจ้าได้ซื้อชีวิตของมนุษยชาติทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น ซื้อด้วยชีวิตของพระองค์เอง ด้วยเลือดของพระองค์เอง ซื้อเขาออกจากอำนาจของความมืด คืออำนาจของความบาปและความตาย ที่มนุษย์ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด มาสิ้นพระชนม์ มาถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจของความมืด อำนาจของบาป และอำนาจของความตาย อำนาจของมาร มนุษย์ทุกคนอยู่ตรงจุดนั้น พอพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์ พระโลหิตของพระองค์อันดับแรก มาไถ่เรา คือซื้อ พี่น้องนึกถึงคำว่า “ไถ่” เหมือนเราเอาของไปจำนำ ถ้าเราไม่อยากสูญเสียของอันนี้ไป เราก็ต้องไปจ่ายดอกเบี้ยทุกปีๆ เหมือนเป๊ะเลย คือเหมือนคนยิวในยุคนั้น ต้องไปจ่ายดอกเบี้ยทุกปีๆ เอาแพะเอาแกะไปถวายให้กับพระเจ้า เพื่อจ่ายดอกเบี้ย เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้ แต่พอถึงวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ คือไม่ได้ไปจ่ายดอกเบี้ยนะ ไปไถ่ออกมาเลย คือซื้อชีวิตของเราออกมาเลย จากมือของผีมารซาตาน คือตอนนี้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแล้ว ซื้อมาเลย
ฉะนั้น มนุษย์ทุกคน เมื่อถูกซื้อจากพระเยซูคริสต์ โดยพระโลหติของพระองค์ปุ๊บ ได้รับการไถ่ เขาก็จะหลุดพ้นจากอำนาจของความมืด อำนาจของผีมารซาตาน หลุดจากการอยู่ในขบวนการของความมืด เข้ามาสู่ฝั่งของความสว่างของพระเยซูคริสต์ ถ้าคนนั้นเปิดใจต้อนรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ คนๆ นั้น จากเดิมอยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในความตาย ก็จะถูกย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ จากเดิมเป็นทาสของมาร จะถูกย้ายมาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมเลย การไถ่ของพระเยซูคริสต์ตรงนี้แหละ ทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากการเป็นทาสของมาร โดยพระโลหิตของพระองค์
และโดยพระโลหิตตรงนี้ มนุษย์ได้รับการอภัยโทษบาป ไถ่เสร็จ อภัยโทษ … อภัยโทษบาป ที่เราคุยกันแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์หลั่งพระโลหิต ก็อภัยโทษให้กับพวกเรา ที่พระคัมภีร์บอกครั้งเดียวพอ พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาหลั่งพระโลหิตทุกครั้งๆ เพื่อยกโทษให้กับพวกเรา แต่ครั้งเดียวเสร็จ งานของพระองค์ ใครที่เดินเข้ามารับสิ่งนี้ จากพระเจ้า เขาก็จะได้รับการอภัยโทษบาป อดีต ปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้า จบเลย จะไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ตามในหนังสือโรมบอก ไม่มีการลงโทษ สำหรับคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย
ฉะนั้น ตอนที่เราตัดสินใจมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราหลุดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย เราได้เข้ามาอยู่ในกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเราได้เปลี่ยนวิญญาณจากเดิม เป็นวิญญาณบาป มาเป็นวิญญาณชอบธรรม เหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย เหมือนเป๊ะเลย
เมื่อเราได้รับการยกโทษ การไถ่เสร็จ มีอีกอันหนึ่ง มันเป็นขบวนการเดียวกัน ในเรื่องของการบังเกิดใหม่ หรือที่เราคุยกันว่าในเรื่องของการบัพติศมา เมื่อเราบัพติศมา คือถูกตรึงบนไม้กางเขน ถูกฝังไปพร้อมกับพระองค์ ได้รับมา 2 สิ่งแล้วนะ ได้รับการไถ่ถอน ออกจากมือของผีมารซาตาน ได้รับการยกโทษความผิดบาป อีกอันหนึ่งที่สำคัญที่สุดเลย คือการที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วพวกเราที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ด้วย ได้รับการบังเกิดใหม่ คือมีวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย เหมือนกับพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด แล้วเป็นวิญญาณนิรันดร์ เมื่อเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระเจ้าทรงใช้ฤทธิ์เดชอันเดียวกันกับที่ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย
ตอนที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า แล้วพระเยซูคริสต์ก็แบ่งพระสิริตรงนั้นของพระองค์ให้กับพวกเราผู้เชื่อ พวกเราผู้เชื่อทุกคนจะได้รับตรงนั้น เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ดังนั้น การบังเกิดใหม่ การได้ชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า ก็คืออีกอันหนึ่งที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเรา เราสะอาด เราหมดจดเหมือนพระเจ้าเลย พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ของขวัญทั้ง 3 ชิ้น เป็นของเราเลย แยกไม่ได้ ก็คือมาเป็นแพ๊คเลย มาทั้งชุดเลย เราได้รับการไถ่บาป หลุดจากมือของผีมารซาตาน เราได้รับการยกโทษความผิดบาป โดยที่เราไม่มีโทษของบาปอีกต่อไป เราได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย ก็คือ 3 สิ่งนี้ พระเจ้าให้เราหมด
ฉะนั้น การเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเจ้าปุ๊บ เขาจะได้ตามนี้เลย ก็คือจากนี้ต่อไป คนยิวคนนั้น ไม่ต้องไปถวายเครื่องบูชาอีก ตอน ณ เวลานั้น คนยิวยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม คืออยู่ในกฎบัญญัติ เขายังต้องไปถวายเครื่องบูชาในแต่ละปี ไม่ใช่แค่แต่ละปี ถ้าพี่น้องไปอ่านกฎบัญญัติในเลวีนิติ จะเห็นว่ามีการถวายเยอะแยะ เบี้ยใบ้รายทาง ตลอดทั้งปีเลย ทำอะไรนิดหนึ่งผิด ก็ต้องจัดการ แล้วพระเจ้ามีกฎทุกอย่างเขียนไว้ชัดเจน ถ้าพี่น้องไปทำอย่างนี้ ต้องไปเอาอย่างนี้ มาถวายเป็นเครื่องบูชา พอถวายเสร็จ บางคนต้องถูกกักตัว มาในพระวิหารของพระเจ้าไม่ได้กี่วันๆ คือกฎเยอะมาก
ฉะนั้น ในช่วงเวลาที่คนยิว แม้จะถูกเลือก โดยพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังคงรักษากฎบัญญัติอยู่ คือเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่ถูกส่งมา ไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าพระเยซู คือพระมาซีฮาห์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมาให้กับพวกเขา แล้วเขาก็ปฏิเสธ คือไม่ยอมรับพระเยซู เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก สำหรับคนยิว ถ้าเขาปฏิเสธผู้ช่วยให้รอด ที่ถูกส่งมา เขาก็ไม่มีโอกาสได้รับความรอด นึกภาพตามนะ ปฏิเสธคนที่มาช่วยเขาให้รอด ยังไงเขาก็ไม่ได้รับความรอดแน่นอน อันนี้ คือจุดสำคัญ
เขาเห็นตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้ ในช่วงเวลา 3 ปีกว่า ที่พระองค์ทรงประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระองค์ทำหมายสำคัญการอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย เพื่อจะให้คนยิวรับรู้ว่าพระองค์คือผู้นั้น เป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ แล้วก็สามารถช่วยเขาได้ ฉะนั้น หมายสำคัญการอัศจรรย์ต่างๆ เหล่านั้น ถูกทำขึ้น เพื่อยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ และในขณะเดียวกัน ก็ยังยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ด้วย ก็คือเป็นทั้งบุตรมนุษย์และเป็นทั้งบุตรพระเจ้า ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูก็ไม่สามารถทำภารกิจตรงนี้ได้ คือถ้าเป็นพระเจ้า ตายไม่เป็นนะพี่น้อง ต้องมาเป็นมนุษย์ถึงมีสิทธิ์ตายได้ ฉะนั้น เมื่อพระเยซูมาเป็นมนุษย์ พระเยซูเลยมีสิทธิ์เดินไป ที่ไม้กางเขน เพื่อสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ พระโลหิตของพระองค์หลั่งออก เพื่อชำระบาปของมนุษยชาติ แล้วพระเยซูตายจริงๆ เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ไง ในขณะนั้น ถูกฝังจริงๆ การฝังของพระเยซูคริสต์ เพื่อยืนยัน ทำไมพระคัมภีร์ต้องเขียนตรงนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำไมพระเยซูต้องถูกตรึง ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย เขียนวนอยู่ตรงนี้ เพื่อยืนยันให้มนุษยชาติตั้งแต่สมัยโน้น จนถึงสมัยปัจจุบัน หรืออนาคตข้างหน้า ได้รับรู้ว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จริงๆ ตายจริงๆ ถูกฝังจริงๆ และเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ด้วย เป็นพระเจ้าที่เป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ทรงฤทธานุภาพ และเป็นพระเจ้าที่สามารถช่วยเหลือมนุษยชาติได้ด้วย
ฉะนั้น คนยิวในยุคนั้น เมื่อได้ยินได้ฟัง ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องยอมรับและเปิดใจรับเอาพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เขาถึงจะสามารถรับความรอดได้ รับความช่วยเหลือนี้ได้
เอเฟซัส 1:8 “7ข ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า 8 ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่เราอย่างเหลือล้น ด้วยสติปัญญา และความเข้าใจทั้งปวง”
พระคุณตรงนี้ พระเจ้าให้กับผู้คน ให้กับมนุษยชาติ ให้กับคนยิว ในอนาคตข้างหน้า ก็ให้กับคนต่างชาติด้วยอย่างมากมาย เหลือล้นมาก ด้วยสติปัญญาและความเข้าใจทั้งปวง คือพระเจ้าเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้า ตั้งหลายพันปี เพื่อให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย
เอเฟซัส 1:9 “และพระองค์ทรงให้เรารู้ความลี้ลับ แห่งพระดำริของพระองค์ ตามที่พอพระทัย ซึ่งทรงมุ่งหมายไว้ในพระคริสต์”
“ความลี้ลับ” … ความลี้ลับที่พระองค์ปิดซ่อนเร้นไว้ คือพระเจ้าจะรวบรวมคนยิวกับคนต่างชาติ ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ผ่านทางความเชื่อ ซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผย สำแดงให้กับคริสตจักรของพระองค์ให้รับรู้ ความลี้ลับนี้ คือความรอดที่พระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์มา เพื่อเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสิ้นพระชนม์ แทนเราบนไม้กางเขน เพื่อถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าได้เปิดให้คริสตจักร ก็คือให้ผู้เชื่อได้รับรู้ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้านั่นแหละ คือความลี้ลับที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วความลี้ลับนี้ พระเจ้าเตรียมการมาตลอด แล้วไม่เปิดเผยให้มนุษย์ได้รับรู้ด้วย แค่บอกว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะส่งพระผู้ช่วยให้มาเกิด แล้วตอนที่พระเจ้าส่งแต่ละคนมา จากที่พระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะต่างๆ ส่งโมเสสมา ส่งโยชูวามา ส่งกษัตริย์ดาวิดมา อิสยาห์ เอลียาห์ เนหะมีย์ ทั้งหมด เป็นเงาของพระเยซูคริสต์ในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าบอกว่าจะมาช่วยมนุษยชาติให้รอด
แล้วเราจะเห็นผู้เผยพระวจนะในอดีต พระเจ้าให้มาช่วยคนอิสราเอล ในเวลาที่เขายากลำบาก พระเจ้าก็ส่งมา เป็นเงาที่จะบอกให้เห็นว่าอนาคตข้างหน้า พระผู้ช่วยให้รอดจะถูกส่งมาให้กับมนุษยชาติ คือเล็งถึงพระเยซูคริสต์ แล้วเราเห็นผู้เผยพระวจนะเยอะแยะมากมายในอดีต เวลาพระเจ้าจะคุยกับคนอิสราเอล ตอนนั้นคุยกับคนอิสราเอลพวกเดียวเลยนะ ไม่ได้คุยกับพวกเราเลย คือพวกเราไม่ได้อยู่ในระดับที่พระเจ้าจะคุยด้วย พระองค์ก็จะคุยกับคนอิสราเอลผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผ่านทางโมเสส พระเจ้าตรัสกับโมเสส … โมเสสก็มาบอกต่อ แล้วคนอิสราเอลก็จะเชื่อฟังโมเสส แล้วก็จะทำตาม มีคนที่ไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตาม ก็รับผลของการไม่เชื่อฟัง มันเป็นขบวนการที่พระเจ้าทำเป็นเงาให้เราเห็นว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะส่งตัวจริงๆ คือคนเหล่านี้เป็นแค่เงาเท่านั้น ที่พระเจ้าส่งมา
ยอห์น บัพติศโต ถูกเขียนไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่พระเจ้าส่งมากรุยทางให้พระเยซู ที่จะมาประกาศว่า …
“มาแล้วๆ คนที่พระเจ้าเตรียมไว้ได้มาถึงแล้วนะ คือท่านผู้นี้แหละ”
แล้วทุกคนก็โห้ ใช่ไหม? หลายคนก็ตามพระเยซูไป หลายคนก็ไม่เชื่อ ก็ไม่เอาเหมือนกัน
ฉะนั้น พอถึงยุคของพระเยซูคริสต์ คำสั่งสุดท้ายที่พระเจ้าได้ตรัสกับมนุษยชาติ ก็คือให้เชื่อฟังพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ผู้เผยพระวจนะ ไม่มีแล้วนะ หลังจากยอห์นไม่มีแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าให้เราเชื่อฟัง แล้วถ้ามนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเยซูคริสต์ ก็คือจบเลย พระเยซูคริสต์เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่ถูกส่งมา เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ถ้ามนุษยชาติไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? ก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ
เอเฟซัส 1:10 “พระดำริของพระองค์ ก็คือเมื่อถึงกำหนดเวลา พระองค์จะทรงรวมสิ่งสารพัดทั้งในสวรรค์ และบนแผ่นดินโลกไว้ภายใต้พระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ”
ข้อที่ 10 ตรงนี้ “พระดำริของพระองค์” ก็คือเมื่อถึงกำหนดเวลา ก่อนหน้านั้น พระเจ้าทรงกำหนดเฉพาะคนอิสราเอล ตอนที่พระเยซูมาประกาศ พระเยซูบอกว่าเราถูกใช้มา เพื่อค้นหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล ก็คือเอาอิสราเอลอย่างเดียวเลย พอหลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ ยอห์น บทที่ 17 ที่พระเยซูทรงอธิษฐาน พระองค์บอกว่าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเผื่อผู้คนเหล่านี้เท่านั้น คือพวกยิว แต่พระองค์อธิษฐานเผื่อคนทั้งหมดเลย ที่ไม่ใช่ยิวด้วย เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า คนเหล่านั้น จะได้มารับความรอดร่วมกับคนยิว ก็คือมารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ดังนั้น ในข้อที่ 10 ตรงนี้บอกว่าพระดำริพระองค์ ก็คือเมื่อถึงเวลากำหนด พระองค์จะทรงรวมชนชาติยิว รวมคนต่างชาติ ให้มารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน
เราจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? หนึ่งเดียวกัน คือเมื่อทันที ที่ใครก็ตามบนโลกใบนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราทุกคนจะถูกนำไปบัพติศมา และหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วร่างกายเราถูกชำระ ร่างกายเก่านี้นะ ถูกชำระให้เรียกว่าพระเจ้าพอรับได้ ประมาณหนึ่ง เพื่อพระองค์ จะให้ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคได้
แล้วใครที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ทุกคนจะเข้าขบวนการนี้หมด แปลว่าทุกคนกับพระเยซูคริสต์หลอมกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อหลอมกันเป็นหนึ่งเดียวปุ๊บ ผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติ เขาก็จะถูกหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือแผนการความลี้ลับของพระเจ้าที่วางไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็ให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ประกาศไปถึงคนต่างชาติ แล้วก็ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเราทุกคนที่เป็นคนต่างชาติ ก็ได้มีโอกาสมาต้อนรับพระเจ้า มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มีโอกาสมาเป็นลูกของพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรม ร่วมกับพระเยซูคริสต์ สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด แล้วสามารถเป็นวิหารของพระเจ้า ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือทุกคนที่เชื่อ จะได้รับสิทธิ์ตรงนี้เท่ากันหมด
ตรงที่พระเจ้าบอกว่ารวมทั้งหมด สิ่งสารพัดในสวรรค์ บนแผ่นดินโลกไว้ภายใต้พระคริสต์ คือไม่ใช่รวมเฉพาะผู้คน แต่รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งหมด ที่ถูกสร้างมาบนโลกใบนี้ รวมไปจนถึงในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าจะให้พวกเราได้ไปโลกใหม่ ที่พระเจ้าจะสร้างใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้ถูกทำให้เสียหายไปแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า จะต้องถูกทำลายไป จะสูญสลายไป แล้วเราผู้เชื่อทุกคน ก็รอคอยโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว รอคอยร่างกายใหม่ ร่างกายที่ขณะนี้ที่เราเป็นอยู่ในเนื้อหนังนี้ เป็นร่างกายเดิม เป็นร่างกายเก่า ที่ยังอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย เราจึงมีความทุกข์ยากลำบาก ในแต่ละวัน ที่เราดำเนินชีวิต แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม เราก็ยังต้องรับความทุกข์ยากลำบากตรงนี้ เรายังต้องต่อสู้ในการใช้ชีวิตในแต่ละวันว่าเราจะทำตามพระเจ้า หรือจะไม่ทำตาม ก็คือจะดื้อกับพระเจ้า ยังมีโอกาสอย่างนี้ทุกวัน เผลอๆ ต้องบอกว่าทุกเวลาด้วย แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะให้กำลังเราในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เมื่อเรารับรู้ถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ รับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด รับรู้ว่าวิญญาณเก่าเราตายไปแล้ว รับรู้ว่าตอนนี้เรามีวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์หมดจด ไม่มีที่ติเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า
พอเรารับรู้มากเท่าไร? เราก็จะสำแดงธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเราออกมาให้ผู้คนได้เห็นมากขึ้น ตรงนี้หลายคนคิดว่าเราต้องพยายามทำ ความเป็นจริง คือไม่ต้อง ต่อให้เราพยายามทำแค่ไหน? เราก็ทำไม่ได้หรอก คือเราไม่ต้องพยายามทำ เราแค่รับรู้ว่าเราเป็นใคร? เมื่อเรารับรู้มากขึ้น พระเจ้าก็จะผลักดันสิ่งที่เรารับรู้ เป็นผลออกมา ให้คนอื่นได้เห็น โดยที่เราอยู่เฉยๆ เหมือนที่ดิฉันเคยยกตัวอย่าง ต้นไม้ ดอกไม้ … ดอกไม้ไม่ต้องทำอะไรเลย รอเวลาเท่านั้น คนที่ปลูกต้นไม้ ปลูกดอกไม้จะเป็นผู้ดูแล เป็นผู้ใส่ปุ๋ย พรวนดิน รดน้ำ คอยเก็บวัชพืช คอยเล็มใบที่ไม่สวยออกไป แล้วก็คอยป้องกันว่ามีแมลง หรือมีหอยทากมาแทะกินไหม? เขาจะป้องกันสุดชีวิต แล้วต้นไม้ต้นนั้น ถ้าสมมติเป็นดอกกุหลาบ เขาก็รอเวลา รอด้วยความอดทน
เหมือนกับคริสเตียน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็รอ เราอยู่ในการดูแลของพระเจ้า พระเจ้าจะเป็นผู้ประคบประหงมชีวิตของเรา พระเจ้าจะคอยรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ป้องกันวัชพืช โดยวิธีไหน? โดยที่เราจดจ่อไปที่ถ้อยคำของพระเจ้า รับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นอย่างไร? รับรู้ไปเรื่อยๆ ก็เท่ากับว่าอดทน รอคอย พอถึงเวลากำหนดของการออกดอกของต้นไม้ต้นนั้น ก็คือการเกิดผลของคริสเตียนนั่นแหละ เกิดผลของผู้เชื่อนั่นแหละ อดทน รอคอย พอถึงเวลาที่จะออกผล พระเจ้าก็จะสำแดง แล้วการออกผลตรงนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามันผ่านความทุกข์ยากลำบาก ทำให้ผลมันออกมา
ทำไมถึงบอกว่า “ผ่านความทุกข์ยากลำบาก” พี่น้องลองคิดดู ถ้าต้นไม้ ดอกไม้มีชีวิต เขาก็คงบอกว่าทุกข์ยากลำบากนะ รอน๊านนาน เมื่อไรจะออกสักที ดอกไม้ออกมาเป็นดอกตูม ตูมตั้งนาน เป็นเดือนเลย ยังไม่บานสักที เขาทุกข์นะ จริงๆ ถ้าเป็นต้นไม้หรือดอกไม้ เขาคงคิดว่าน่าจะตูมปุ๊บ พรุ่งนี้บานเลย คนอื่นจะได้มาชื่นชม แต่มันไม่ได้ มันเป็นขบวนการ ที่พระเจ้าจะค่อยๆ ทำทุกอย่าง ทุกเรื่องเลยนะ ในโลกใบนี้ พระเจ้าให้เราเห็นขบวนการ เหมือนกับคนเหมือนกัน มีทารกเกิดมา ไม่ใช่ว่าวันนี้เกิดมาปุ๊บ พรุ่งนี้จะโตวิ่งได้เลย แล้วก็มีความคิดอ่าน ทำโน่นทำนี่ได้ ไม่ใช่ ก็ต้องค่อยๆ เข้าสู่ขบวนการการเจริญเติบโต ต้องผ่านประสบการณ์เยอะแยะมากมายกว่าเด็กคนหนึ่งจะเจริญเติบโต เด็กคนหนึ่งเรียนรู้ที่จะคลาน หรือเรียนรู้ที่จะพลิกตัว เขาใช้ความพยายามสุดชีวิตเลยนะ ถ้าพี่น้องไปดูเด็กกำลังพลิกตัว เขาจะพยายามหงายตัว ฝึกคว่ำตัว เขาจะใช้แรงอึดทุกอย่างเลย พยายามกระดื๊บๆ ให้ตัวเองสามารถพลิกได้ หรือช่วงที่เขากำลังตั้งไข่ จะยืน เขาก็จะล้มลุกคุกคลาน หัวทิ่มหัวตำ หรือแม้แต่เดิน ก็จะล้มตลอดเวลากว่าขาเขาจะแข็งแรง ที่จะเดินปกติได้ หรือวิ่งได้ ผ่านขบวนการทุกข์ยากลำบากทั้งหมดแหละ เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่านั่นคือความทุกข์ยากลำบาก เราผู้ใหญ่ก็มอง คอยลุ้นตลอดเวลา เวลาลูกหลานเรากำลังตั้งไข่ เราจะคอยทำมือ เมื่อไรเขาจะล้ม จะไปช่วย พระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าก็ดูแลเราแบบนี้ จนวันหนึ่ง เราก็จะสำแดงความเป็นเหมือนพระเจ้าออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าจงฉายแสงออกไป เพราะเราเป็นแสงสว่าง จงฉายความดีออกไป จงฉายความเมตตา ความปราณี ความรักที่สำแดงออกมา ความรักตรงนี้ คือพระเจ้าให้เราแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า เรามีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปขวนขวาย ไม่ต้องไปพยายามทำ ไม่ต้อง มันมีอยู่แล้ว พอถึงเวลาที่เหมาะสมพระเจ้าจะให้ความรักนี้ออกไป โดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องฝืนเลย เราแค่อดทน รอคอยพระเจ้าบากบั่น เรียนรู้ตามถ้อยคำของพระองค์ ที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว ณ เวลานี้ พระเจ้าอวยพรทุกท่านค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“แต่พวกท่าน (ผู้เชื่อพระเยซู) เป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงได้เลือกสรร (ได้ย้ายแล้ว) เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ (ความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริบารมีและพระคุณ) ของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่าน (ย้ายพวกท่าน) ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” 1 เปโตร 2:9
ย้ายหรือไม่ย้าย ขึ้นอยู่กับท่าน
พระเจ้ากำลังขอร้องท่านให้ยอมย้ายออกจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่าง อันมหัศจรรย์ของพระองค์
ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ
บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน
“พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สองเพื่อเกิดออกมาใหม่!” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) พระวิญญาณ มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน” ยอห์น 3:3-8
“นี่ลูกทำตัวให้เหมือนมนุษย์มนากับเขาบ้างไม่ได้หรือไงนะ”
ลูกมนุษย์จะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ เพราะเขาเป็นลูกมนุษย์ โดยกำเนิด เขาเกิดมาเป็นมนุษย์
พระเจ้าอวยพรครับ