คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2021
เรื่อง “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์”
ตอน 1 “ความเชื่อเฉยๆ โดยปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือยากอบ บทที่ 2 ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถ้าอ่านแบบเพลินๆ และใช้ความคิด ความเข้าใจแบบธรรมดาๆ คือความเข้าใจ ความคิดแบบทั่วๆ ไป ตามมาตรฐาน ระบบของโลกใบนี้ ซึ่งจะเชื่อกันอย่างนี้แหละ เป็นระบบพื้นฐานของความรู้ในเรื่องของความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้ ฟังดูแล้วเพลิน แต่เพลินไปได้ไม่เยอะหรอก เพราะผู้ที่รู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว ซึ่งหมายถึงเป็นผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ องค์พระเยซูคริสต์แล้ว พอฟัง ไม่เพลิน ก็เกิดความขัดแย้งกัน ไม่ใช่ขัดแย้งธรรมดา ฟังดูแล้วขัดกันอย่างมากเลยกับแก่นแท้ของความจริงของข่าวประเสริฐ ที่ทำให้เราได้รับความรอดจากบาปในองค์พระเยซูคริสต์ มันไม่เพลินแล้วล่ะ ถ้าคิดตามหลักการของความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งมาถึงเรา เพื่อให้เราได้รับความรอดจากบาป ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ถ้าเราสนใจตรงนี้ วางรากฐานความเชื่อเราไว้ตรงนี้ เราจะอ่านไม่เพลินแล้วล่ะ
ยากอบ บทที่ 2 ที่เราจะเรียนกันในวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ แห่งในข้อพระคัมภีร์ ที่มีการตีความสอนต่อๆ กันมา แบบขัดแย้งกับความเป็นจริง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า คริสเตียนหลายคนก็สับสนกับถ้อยคำในบทนี้ ไม่ใช่สับสนธรรมดา ถ้าใครมีความคิดที่ผมบอกเมื่อสักครู่นี้ ไม่เพลินกับข้อนี้ ก็จะสับสนมาก ว่าอะไรมันถูกกันแน่ ทำไมมันแย้งกันอย่างนี้
มาติน ลูเธอร์ บิดาแห่งคริสเตียน ที่เป็นต้นกำเนิดของความรอด ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ บิดาแห่งโปรเตสแตนต์ ยังเคยกล่าวด้วยความสงสัย ในยากอบ บทที่ 2 นี้ว่าจริงๆ แล้ว ไม่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ นี่ประมาณ 500 กว่าปีก่อน มาติน ลูเธอร์ ผู้ซึ่งศึกษาถ้อยคำพระเจ้า และเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าจนรู้แก่นแท้ของถ้อยคำพระเจ้าว่าความรอด มาจากความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำ ได้พูดอย่างนี้ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่าไม่น่าจะเอายากอบ บทที่ 2 เข้ามาอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ของคริสเตียนที่ถือกันอยู่เลย ไม่น่าจะเอามาสอนเลย เพราะว่าถ้อยคำตรงนี้ ถ้าอ่านด้วยความไม่เข้าใจ และไม่หนักแน่นมั่นคง ในพื้นฐานความจริงของข่าวประเสริฐเพียงพอ ก็ทำให้เกิดความสับสน เกิดความสงสัย เกิดความไม่เพลินกับถ้อยคำนี้ มันขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา นี่ขนาดมาติน ลูเธอร์ยังตัดสินใจอย่างนี้ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกนะ เพราะว่ามาติน ลูเธอร์ไม่เข้าใจว่ายากอบบทนี้มันหมายถึงอะไร? แต่มันขัดแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า โดยส่วนรวมทั้งเล่มของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่ ก็มีความรู้สึกว่ามันขัดแย้งกัน ไม่น่าจะใช่แล้วล่ะ
เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะอธิบายไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงขัดแย้ง แต่ตีความไว้ในใจว่ามันผิดแล้ว มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ไม่พูดถึงมันเลยดีกว่า อะไรประมาณนี้ ผมว่าการตัดสินใจอย่างนั้นยังเป็นประโยชน์ เป็นโทษน้อยกว่าไม่รู้แล้วไปตีความผิด แล้วสอนต่อมาผิดๆ มันก็แย้งกันตลอด เข้าใจใช่ไหมว่าที่ผมอธิบายหมายถึงอะไร?
เนื้อหา หลักของยากอบ บทที่ 2 ที่ผมบอกว่าทำให้คริสเตียนหลายคนสับสน ก็คือถ้อยคำที่เป็นเนื้อหาสำคัญของยากอบ บทที่ 2 นี่แหละ ถ้อยคำที่บอกว่า … “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์” ซึ่งผมใช้เป็นชื่อเรื่องของการบรรยายในวันนี้แหละ คือ “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์” และคงใช้หัวข้อนี้ไปอีกหลายตอน เพราะอยากให้ท่านมาศึกษาร่วมกัน ให้ลึกซึ้งจริงๆ จังๆ ว่ามันขัดแย้งกัน หรือว่ามันหมายความว่าอะไร? ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ไร้ประโยชน์ มาลองเริ่มอ่านถ้อยคำตรงนี้ดู จากยากอบ 2:14 ดูสิว่าจะทำให้ท่านเพลินอีกไหม? หรือทำให้ท่านสะดุ้งขึ้นมาว่ามันมีอะไรบางอย่างแล้วล่ะ ที่ไม่ตรงกับพื้นฐานของความเชื่อ ที่เราวางอยู่ในความรอด ในพระเยซูคริสต์ ยากอบ 2:14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยากอบ 2:14 “พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ?”
“ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” ก็คือความเชื่อแบบนี้ ไม่ได้รับความรอด ความเชื่อแบบไม่สำแดง การกระทำ ไม่มีการกระทำ ตั้งแต่วันแรกที่มาเชื่อพระเจ้า จนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เราได้เรียนรู้กัน ไปตั้งแต่ตอนต้น และตลอดเวลาแล้วว่าความรอดที่ได้รับ เริ่มต้นด้วยความเชื่อและดำเนินด้วยความเชื่อต่อไป ความรอดที่ได้รับมานั้น มาโดยความเชื่อในพระคุณ เป็นพระคุณจากพระเจ้า เป็นของขวัญจากพระเจ้า ของขวัญ คือฟรีๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นสิ่งที่เราได้รับมาจากพระเจ้าโดยตรง ไม่ต้องเสียอะไรเลยสักนิดหนึ่ง ผ่านทางความเชื่อ ในความดีของพระเยซูคริสต์ที่ได้กระทำให้กับเราทั้งหลาย โดยที่ไม่ต้องมีการกระทำอะไรใดๆ เลยแม้แต่นิดหนึ่ง ในการทดแทนสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เรา ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เรียกว่าความรอด ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีมาถึงมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้เลย มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธินี้ ในการรับของขวัญนี้จากพระเจ้า โดยไม่ต้องจ่ายค่าอะไรตอบแทนเลย คือไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ได้ให้กับมนุษย์ทั้งปวง เราลองมาอ่านดู เพื่อจะยืนยันในพื้นฐานที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเราเชื่อว่าอะไร? เชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างนี้ใช่หรือไม่? โรม 3:24-28 ซึ่งเป็นบทรวมที่เห็นชัดมาก ว่ากันตามจริงแล้วหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือจดหมายฝาก ที่พูดถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์นี้ ข่าวประเสริฐนี้ เหมือนกันหมดทั้งเล่ม ทุกเล่ม ทุกหนังสือจดหมายฝาก แบบนี้แหละ แต่ว่าวันนี้ยกขึ้นมาเพียงเล่มเดียว ช่วงเดียวเท่านั้นเอง คือโรม 3:24-28 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 3:24-28 “24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาปแก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย 27 เช่นนี้แล้ว เรามีอะไรที่จะอวดได้? ไม่มีเลย จะอ้างอะไรเป็นหลัก? อ้างว่าโดยการรักษาบทบัญญัติหรือ? ไม่เลย แต่โดยการอ้างความเชื่อเป็นหลักต่างหาก 28 เพราะเรายืนยันว่ามนุษย์นับว่าเป็นคนชอบธรรมได้ ก็โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการรักษาบทบัญญัติ”
เพราะเรายืนยันว่ามนุษย์ได้รับความรอดจากบาป ได้รับความรอดจากความพินาศ ในบึงไฟนรก ได้รับความรอดจากการลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป โดยผ่านทางความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เท่านั้น คือเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน เชื่อในการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเชื่อการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ในวันที่ 3 ความเชื่อตรงนี้ ทำให้คนนั้นได้รับความรอดจากบาป ไม่ใช่การกระทำ ไม่ใช่การประพฤติดีต่างๆ ไม่ใช่ นี่คือพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ใช่หรือไม่? ต้องถาม ใช่ ใช่ไหม?
เราเรียนรู้กันมาตลอด จนหยั่งรากลึกฝังในเรียบร้อยแล้ว ในความจริงในข้อนี้ว่ามาตรฐานของพระเจ้าในการได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม หมายถึงเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ขนาดไหน? 100% เท่าพระเยซูคริสต์เลย สมบูรณ์พร้อม 100% เลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ สะอาด บริสุทธิ์อย่างนั้น โดยความประพฤติ รักษาความดีอย่างนั้น เป็นไปได้ไหม? มันไม่ได้ ข่าวดี ก็คือต้องพึ่งในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้กระทำให้เรา ความหมายมันมีอยู่แค่นี้เอง เราฝังรากลึกตรงนี้มาเยอะแล้ว มากแล้ว พูดซ้ำไปซ้ำมา ในข่าวประเสริฐตรงนี้ เหมือนกับเปาโลพูด เหมือนกับเปโตรพูด เหมือนกับยอห์นพูด ซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำแต่เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์คืออะไร? คือพระคุณของพระองค์ที่ทำให้กับเรามนุษยชาติฟรีๆ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สามนั่นเอง
แต่พอมาเมื่อสักครู่นี้ เรามาอ่านพระคัมภีร์ในยากอบ 2:14 สะดุ้งเลยนะ ไม่เพลินแล้ว อ่านเพลินๆ ก็โอเค พออ่านอย่างนี้ สะดุ้งเลย …
“ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อแบบนี้จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?”
อ้าว! แย้งกันนี่ ขวางกันชัดๆ เลย ถามตัวเองดูสิว่าเริ่มรู้สึกไขว้เขวไหม? ถ้าเราอ่านจริงๆ ไม่อ่านเพลินๆ แล้วนะ อ่านแบบเอาเรื่องเอาราว ชักไขว้เขวใช่ไหม? ชัก เอ๊ะ! แล้วอะไรมันถูกกันแน่
ท่านคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ท่านลองนึกด้วยตัวเองตอนนี้ก่อน ผมยังไม่ให้คำตอบท่าน ท่านลองคิดว่าท่านเข้าใจยากอบ บทที่ 2 นี้อย่างไร? ว่ามันขัดแย้งกันหรือไม่ขัดแย้งกันอย่างไร? สาระสำคัญของข่าวประเสริฐที่ได้เรียนรู้มากับตรงนี้ มันแย้งกันหรือเปล่า? แย้งกันอย่างไร? คิดในใจก่อน เดี๋ยวค่อยบอกว่ามันแย้งกับโรมที่ตะกี้เราอ่านไหม? แล้วใครผิด ใครถูก โรมพูดอย่างหนึ่ง ยา กอบ 2 :14 พูดอีกอย่าง ทำไมแย้งกันเอง
จริงๆ แล้วถ้าเรามีพื้นฐานความจริงที่มั่นคง แข็งแกร่งในเรื่องข่าวประเสริฐ ในความคิดของเราอย่างหนักแน่นว่าเราได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ทำด้วยตัวเองไม่ได้แน่นอน ไม่เกี่ยวอะไรกับความประพฤติของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเราทำเองไม่ได้อยู่แล้ว เราต้องพึ่งพระเยซูแน่นอน เพราะฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราได้ฟังคำสอนอะไรก็ตามที่มาถึงเรา แล้วตีความขัดแย้งกับสิ่งที่เราวางรากฐานของความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ต้องตัดสินใจไว้ก่อนเลยว่ามันผิดแน่นอน
อะไรผิด? ถ้อยคำพระเจ้าผิดหรือ? ถ้อยคำพระเจ้าไม่ผิดหรอก ต้องมีใครผิดสักคน ท่านคิดว่าควรจะยกความผิดนี้ไปให้ใคร? ให้ถ้อยคำพระเจ้า หรือเราเข้าใจผิดเอง? หรือเราถูกสอนมาผิด หรือเราผิดเองที่ไปตีความหมายผิด ท่านคิดในใจแล้วกัน
เราต้องคิดแล้วว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิด แล้วเราควรจะตัดสินใจว่าเราผิดแน่นอน ถ้อยคำพระเจ้าไม่ผิดหรอก เรายังไม่เข้าใจ มันต้องมีอะไรบางอย่าง แอบแฝงไว้แน่นอน ที่ถูกเป็นอย่างไร? เราอาจยังไม่รู้ แต่เราละไว้ก่อนว่า อันนี้เก็บไว้ก่อน อย่าไปตีความเลยดีกว่า ถ้าตีความ มันแย้งเมื่อไร ก็คือเราผิด เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่อยากผิด เราก็เว้นไว้ก่อน ไม่ต้องไปตีความ ไม่ต้องไปเข้าใจมัน ใส่เกียร์ว่างไว้ แล้วค่อยๆ อธิษฐานกับพระเจ้า ค่อยๆ สืบเสาะหา ความหมายที่แท้จริง เพื่อจะได้รับความจริง และความจริงจะได้ทำให้เราเป็นอิสระ เหมือนกับถ้อยคำพระเจ้าอื่นๆ ที่เราได้เรียนรู้ถูกต้อง ทั้งเล่มของพระคัมภีร์ใหม่ และพระคัมภีร์เดิม มันจะได้สอดคล้องกัน ตามถ้อยคำของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เราควรทำ ถูกไหมครับ?
พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือถ้อยคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ให้เขียนขึ้นมา เป็นสติปัญญาที่ได้มาจากพระเจ้าผู้เดียว พระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว องค์เดียวกันทั้งเล่ม พระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เก่า ตั้งแต่ปฐมกาลถึงวิวรณ์สุดท้าย เพราะฉะนั้น ต้องไม่มีการขัดแย้งกันในพระคัมภีร์ทั้งเล่มเด็ดขาด เพราะว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน ขัดแย้งกันเมื่อไร? แปลว่าใครผิด? มนุษย์ผิด คือมนุษย์ไปตีความผิด จะด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ล่ะ
ต้องสรุปอย่างนี้ก่อน จึงจะได้เห็นชัดเจนว่าทิศทางที่เราควรจะไป มันคือทิศทางไหน? เพราะฉะนั้น มีพี่น้องของเราบางคน ก็มีความสงสัยในข้อนี้ แล้วมาถามว่าถ้อยคำตรงนี้ หมายความว่าอย่างไร? ในยากอบนี้ ซึ่งผมก็ดีใจมากเลยนะ ที่ได้ยินเขามาถามอย่างนี้ เพราะอยากรู้ อยากสนใจ เขาไม่อ่านเพลินๆ อย่างแต่ก่อนนี้แล้ว เขาอ่านอย่างเจาะลึก และพยายามที่จะเข้าใจ ให้ถูกต้อง เพราะอะไรถึงดีใจที่เขาถามอย่างนี้ ก็เพราะแปลว่าพวกเราเริ่มมีพื้นฐานของความเชื่อ ที่แข็งแกร่ง แข็งแรงขึ้นแล้ว พออ่านเจออะไรที่ขัดแย้งกับความเชื่อที่ถูกต้อง ในหลักข้อพระคัมภีร์ ที่เราทิ้งสมอ วางรากไว้แล้ว คือความรอด โดยพระคุณของพระเจ้า ชัดเจนเลย พอมีอะไรขัดแย้งกับตรงนี้ ก็เกิดความสงสัย เกิดคำถามขึ้นมา ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ที่มันตรงกันข้ามกับแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ ที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว อย่างนี้ต้องบอกว่าเอเมน ขอบคุณพระเจ้า แสดงว่าเจริญเติบโตแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่อยากจะเจริญเติบโต ก็คือเมื่อใดก็ตาม ที่ท่านได้ยิน ได้ฟังข่าวสาร เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พูดง่ายๆ ว่าได้ยินถ้อยคำ ที่อ้างบอกว่ามาจากพระคัมภีร์ แล้วข้อมูลเหล่านั้น ข่าวสารเหล่านั้น แย้งกับถ้อยคำของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับความรอดที่มาโดยพระคุณ เมื่อไรก็ตาม ให้ท่านตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่านั่นคือสิ่งที่ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง ต้องมีอะไรบางอย่างผิดแน่นอน ไม่รับ ตรงนี้สำคัญมาก
เพราะฉะนั้น สรุปถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือยากอบ บทที่ 2 ที่บอกว่า … “ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” อ่านแล้ว ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐไหม? ลองมาอ่านต่อนะว่ายากอบพูดอะไรต่อ เพื่อจะเจาะหาความลึกซึ้งของถ้อยคำตรงนี้ว่าจริงๆ แล้วมันหมายถึงอะไร? เราต้องเรียนรู้ในบริบทของถ้อยคำ ไม่ใช่เอาข้อเดียวมา แล้วมาตีความตามที่เราคิด อย่าลืมว่าเราศึกษาพระคัมภีร์ เราอ่าน คือจดหมายฉบับหนึ่ง เรื่องๆ หนึ่งที่มีบุคคลผู้หนึ่ง ชื่อยากอบ เขียนไปถึงชาวยิว แล้วพี่น้องที่ไม่เชื่อก็ได้อ่านด้วย เรากำลังเข้าไปอ่านหนังสือของเขา
เพราะฉะนั้น เราเอาข้อความข้อเดียวมาตีความตามที่ความคิดของเราปัจจุบัน เราอาจจะตีความผิดเยอะแยะมากมายก็ได้ เราควรจะไปดูต้นตอเลย ผู้เขียน เขาเขียนถึงใคร? และเขาหมายถึงอะไร? และกำลังจะคุยถึงเรื่องอะไร? ตรงนี้จะทำให้เราไม่หลุดจากความจริง และความจริงตรงนี้ จะทำให้เราเห็นว่ามันตรงกันหมดเลยกับอัครสาวกทุกคน ที่ได้เขียนข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในหนังสือจดหมายฝาก พระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม ตรงกันหมด แล้วโยงไปจนถึงในพระคัมภีร์เดิม ก็ตรงกันหมดอีกต่างหาก ยากอบ 2:14-19 จะได้มองเห็นภาพรวมๆ ได้ …
ยากอบ 2:14-19 “14 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนหนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อ แต่ไม่สำแดงเป็นการกระทำ จะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อแบบนี้ จะช่วยเขาให้รอดได้หรือ 15 สมมุติว่าพี่น้องชายหญิงคนใดขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน 16 ถ้าผู้ใดในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ไปเถิด ขอให้ท่านเป็นสุข รักษาตัวให้อบอุ่นและอิ่มหนำเถิด” แต่ไม่เอื้อเฟื้อปัจจัยเลี้ยงชีพแก่เขา จะมีประโยชน์อันใด? 17 เช่นกัน ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ 18 แต่บางคนจะกล่าวว่าท่านมีความเชื่อ ส่วนข้าพเจ้ามีการกระทำ จงแสดงความเชื่อของท่าน ที่ไม่มีการกระทำมา แล้วข้าพเจ้า จะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้า ด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ 19 ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว แม้พวกผีมารก็ยังเชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”
ในข้อ 14 ที่ตะกี้นี้เราอ่านกันบอกว่าความเชื่อต้องมีการสำแดงออกมา เป็นการกระทำด้วย จึงจะมีประโยชน์
ข้อ 15-16 อธิบายเป็นตัวอย่างว่า … “ถ้ามีพี่น้องคนใดคนหนึ่ง ขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร แล้วมาขอความช่วยเหลือจากท่าน แล้วท่านก็พูดกับเขาว่า ‘ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ รักษาตัวเองให้อบอุ่น ทานข้าวให้อิ่มๆ นะ’ โดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไร? คือโดยที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือเขาเลยตามที่พูด ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าความเชื่อ ที่ไม่มีการกระทำ คือเชื่อว่าพี่น้องขาดแคลน ตามที่เขาบอก เขาบอกว่าเขาขาดแคลน แล้วเราเชื่อไหม? เราเชื่อ เชื่อว่าเขาขาดแคลน เชื่อว่าพี่น้องต้องการความช่วยเหลือ เชื่อไหม? เชื่อ แต่เชื่อด้วยปาก แค่พูดด้วยวาจา ไม่มีการกระทำ ช่วยเหลืออะไรเลย ตามที่พูด แบบนี้ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของความรอดเลย มันเกี่ยวกับเรื่องของความเชื่อด้วยปาก แต่ไม่มีการกระทำ
ตรงนี้ยากอบไม่ได้กำลังมาสอนศีลธรรม ให้คนมีเมตตา กรุณาช่วยเหลือคนจน เราอย่าเข้าใจผิดตรงนี้ ตรงนี้ยากอบกำลังยกตัวอย่าง เพื่อให้เราเห็นถึงความเชื่อด้วยปากเฉยๆ แต่ไม่ได้ทำตามที่พูดนั้น พูดง่ายๆ ว่าดีแต่ปาก กำลังอธิบายตรงนี้มากกว่าใช่หรือไม่? เพราะเราอ่านเพลินๆ เราก็นึกว่ายากอบกำลังสอนเราให้เมตตา กรุณา เจอคนจนมา เราต้องช่วยคนจน ในฐานะเป็นคริสเตียน แหม ฟังอย่างนี้มันเพลิน มันง่ายดี แต่มันไม่ใช่บริบท ถ้าเราไปทำอย่างนั้น เดี๋ยวเราก็จะถูกล่อลวงให้หลงไป เข้าใจบริบทและถ้อยคำเหล่านี้ผิด พอผิด มันก็จะขัดแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ นั่นเอง
ถ้ามีคนจนอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก มาเล่าเรื่องความทุกข์ยากลำบากของเขา ให้ท่านฟัง เพื่อขอความช่วยเหลือ และท่านก็เชื่อในสิ่งที่เขาเล่าว่าเขาลำบากจริงๆ และบอกเขาว่าจะช่วยนะ แต่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อเฉยๆ (อันนี้ผมตั้งขึ้นมาเองนะ) ไม่มีการตัดสินใจ ไม่มีการกระทำอะไรตามที่เชื่อนั้น ไม่อยากจะบอกว่าดีแต่ปาก มันแรงไปนะ เอาเป็นว่าเชื่อเฉยๆ แต่ไม่ทำ
ความเชื่ออย่างนี้ คือสิ่งที่ข้อ 17 บอกไว้ชัดเจน บอกว่า … “เช่นกัน ความเชื่อเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผลอะไรเลยสักนิดเดียว ดีแต่ปาก” อันนี้แถมให้ ใช่หรือไม่? ปัจจุบันเราก็ยังทำอย่างนี้กันอยู่ ปัจจุบันเราก็ยังพูดอย่างนี้กันอยู่เลย
“โอ๊ย! เธอดีแต่ปาก”
“น่าสงสาร”
ทำอะไรไหม? ไม่ทำอะไรสักอย่าง ดีแต่ปาก
ถ้าท่านเชื่อจริงๆ ว่าเขาทุกข์ยากลำบาก และขอความช่วยเหลือท่าน ท่านรู้ว่าเขากำลังเดือดร้อน กำลังจำเป็นต้องมีอะไรบางอย่าง ท่านก็ต้องรีบขวนขวายแล้ว ถ้าท่านเชื่อเขาจริง นั่นแหละ ของจริง คือเชื่อและมีการกระทำอะไรบางอย่าง เพื่อลดความทุกข์ยากลำบากของเขา ตามที่เขาขอร้อง และท่านเชื่อด้วย ถูกไหม? อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ คือมีการกระทำ ตามที่เชื่อ ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ
ข้อ 19 บอกว่า … “ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวก็ดีแล้ว” ฟังให้ดีๆ นะ อันนี้ก็มันมากเหมือนกัน “แม้พวกผีมาร ก็ยังเชื่อเช่นนั้น และกลัวจนตัวสั่น”
พวกมารซาตาน พวกผี วิญญาณชั่ว รู้จักพระเจ้าดี ดีกว่าเราอีก เห็นพระเจ้าเลย เพราะอยู่ในโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน เรายังมองไม่เห็น เรายังเห็นพระเจ้าแบบลางๆ เห็นวิญญาณชั่วก็ลางๆ ได้แต่ใช้ความเชื่อ ตามที่พระเจ้าบอกเรา จริงหรือไม่? บอกว่าในโลกวิญญาณ มีวิญญาณชั่วอยู่ มีมารซาตานอยู่ เราเห็นหรือ? เราไม่เห็น แต่เราใช้ความเชื่อจากถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกเรา พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า อะไรต่างๆ เหล่านี้ มีทูตสวรรค์เป็นพวกเราอยู่ 2 ใน 3 เราเห็นไหม? เราไม่เห็น เราก็ใช้ความเชื่อจากถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านี้เช่นเดียวกัน ส่วนมารนั้น อยู่ในโลกวิญญาณ เห็นพระเจ้าอยู่ รู้จักพระเจ้ามากกว่าเราตั้งเยอะ รู้เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นอย่างดี รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? รู้ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน? รู้ว่าพระองค์เป็นอัลฟาและโอเมก้ารู้ไหม? รู้มากกว่าเราไหม? เรารู้ว่าพระองค์เป็นเริ่มต้นและเบื้องปลาย ตามที่พระคัมภีร์บอกเรา เราได้รู้ตามถ้อยคำพระเจ้า แล้วเราเชื่อเอา แต่วิญญาณชั่ว พวกมารซาตานมันรู้จริงๆ มันเห็นจริงๆ เลย พระเยซูคือใคร? มันรู้ รู้แล้วทำไม? มารมันก็เชื่อ มันเห็น แต่มันเชื่อเฉยๆ แต่พวกมันไม่มีการตอบสนองต่อความเชื่อนั้นเลยว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และควรจะสยบต่อความยิ่งใหญ่ของพระองค์ขนาดไหน? สิ่งที่มันกระทำออกมา ตรงกันข้ามกับความเชื่อนั้นใช่หรือไม่? ชัดไหม? ชัด มันรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย สร้างมันเองด้วย มันเชื่อ แต่มันไม่ทำ ถ้าเชื่อจริง มันต้องยอมสยบแล้ว เป็นผู้สร้างเรา นี่คือสิ่งที่ยากอบพยายามจะอธิบายให้พี่น้องเข้าใจว่าความเชื่อเฉยๆ เป็นอย่างไร?
ผมจะยกตัวอย่างเอาปัจจุบันง่ายๆ เลย ท่านไปซุปเปอร์มาเก็ต เดินเข้าไปถึง มีพนักงานขายแยม แยมสูตรใหม่ รุ่นใหม่ กินแล้วมีสุขภาพดีอย่างนั้น เป็นออร์แกนนิค เป็นอินทรีย์ ไม่มีผสมสารเคมีใดๆ กินแล้วมีประโยชน์ ราคาไม่แพงด้วย ท่านเดินไปถึง เขาอธิบาย ก็ไปยืนฟังเขา ท่านเริ่มเชื่อ เขาก็ให้ท่านชิม ท่านชิมปุ๊บ อร่อยจริง ดีจริงๆ ท่านเชื่อ เขาก็บอกท่านว่าดีไหม? ท่านก็บอกว่าดี ปากท่านบอกว่าดี ก็คือเชื่อ ตามสรรพคุณเขาแล้ว ดี เสร็จปุ๊บ เรียบร้อย ท่านชิม แล้วก็เดินไป ไม่ซื้อหรอก เดินไปที่อีกชั้นวางของหนึ่ง ไปซื้อแยมยี่ห้อเก่าที่ท่านกินเป็นประจำนั่นแหละ ที่ใส่สารกันบูด สารอะไรเยอะแยะ เป็นพิษ ตามที่เขาพูดเมื่อตะกี้นี้ เขาบอกของเก่าที่เรากินนั้น มันเป็นภัยต่อสุขภาพของเรา ไม่ควรกินต่อไป มากินของใหม่ดีกว่า เราบอกดี ใช่ ถูก เห็นด้วย แต่เราไม่ซื้อ เราไม่เอา เราก็กลับไปกินของเดิม แสดงว่าที่เราบอกดี เชื่อเขา มันเป็นการเชื่อแบบเฉยๆ ไม่ทำ
ขอยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เคยเห็นนักแสดงยิมนาสติก ที่เขามาแสดงโลดโผนไหม? เขาสามารถที่จะเดินบนสลิงเส้นเดียว ข้ามหุบผาสูงชัน ตกลงไปตายเลยนะ ระหว่างยอดเขา 2 ลูก เขาสามารถเดินไป โดยใช้ไม้อันเดียว เป็นตัวทำสมดุล พยุงตัวและเดินไป เขาเดินไป เดินมา ประกาศให้คนมาดู คนมาดูเยอะแยะ ตะโกนกัน เก่งมาก ยอดมาก เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป หลายเที่ยวเลย จนคนปรบมือ ชัดเจนมากเลยว่าเขาทำได้ เสร็จปุ๊บ หลังจากเดินมาหลายเที่ยวแล้ว เที่ยวสุดท้าย เขาบอกว่าพี่น้องคนที่บอกว่าเชื่อว่าเขาเดินได้ ให้ออกมา เขาจะเดินไป โดยที่มีพี่น้องคนนั้น ที่บอกว่าเชื่อ ขี่คอเขาไป เขาถามว่าถ้ามีคนขี่คอเขา เขาสามารถเดินไปได้ไหม? คนนั้นบอกได้ แต่ปรากฎว่าเขาบอกว่าคนไหนที่บอกว่าได้ ให้ออกมา เป็นอาสาสมัคร มาขี่คอเขา แล้วก็เดินไปด้วยกัน ปรากฏว่าไม่มีใครออกมาสักคนหนึ่งเลย คนที่ยกมือเมื่อตะกี้ว่าเชื่อๆ เชื่อว่าคุณทำได้ๆ ไม่มีใครออกมาสักคนหนึ่งเลย ทุกคนพูดคำว่าเชื่อนั้น คือเชื่อเฉยๆ พอถึงเวลาทำจริงๆ ไม่เอา ก็คือไม่เชื่อจริงๆ นั่นเอง ถูกไหม?
นี่คือความแตกต่างระหว่างการเชื่อเฉยๆ กับเชื่อจริงๆ … เชื่อจริงๆ ต้องมีการตอบสนอง มีการตัดสินใจ กระทำอะไรบางอย่าง ตามข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ และเชื่อจริงๆ (เชื่อด้วยความศรัทธาว่านั่นใช่จริงๆ และก็ทำตามนั้น ตามที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วตัวเองบอกว่าเชื่อนั่นแหละ) อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ หรือเชื่อจริงๆ แบบเชื่อศรัทธานั่นเอง ชัดเจนเลย
ในหนังสือยากอบ ยังได้ยกตัวอย่างของอับราฮัม ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ ซึ่งความเชื่อของอับราฮัมมีการกระทำของเขาอยู่ในความเชื่อนั้นด้วย ทำอะไรบางอย่าง ควบคู่ไปกับที่เขาบอกว่าเขาเชื่อในพระเจ้า จึงเป็นความเชื่อที่ครบถ้วนบริบูรณ์ และเกิดผล ตามที่ยากอบได้อธิบายถึงว่าความเชื่อต้องมีการกระทำ ถึงไม่ไร้ประโยชน์
พูดง่ายๆ ว่าความเชื่อที่มีการกระทำ ถึงจะเกิดผล อับราฮัมเป็นตัวอย่างที่เขายกขึ้นมา ดูสิว่ายากอบยกตัวอย่างของอับราฮัม หมายถึงอะไร? เกี่ยวข้องอะไรกับบริบทที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ เกี่ยวกับความเชื่อเฉยๆ กับความเชื่อจริงๆ ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำกับความเชื่อที่มีการกระทำด้วย มันคืออะไรกันแน่ มันแย้งกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าหรือไม่? ยากอบ 2:20-24 …
ยากอบ 2:20-24 “20 คนเขลาเอ๋ย ท่านต้องการหลักฐานว่าความเชื่อโดยปราศจากการกระทำนั้น เปล่าประโยชน์ ใช่ไหม? 21 พระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัม บรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ชอบธรรม ก็เพราะการกระทำของเขา ที่ถวายอิสอัคบุตรชาย บนแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? 22 ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขา ทำงานควบคู่กัน ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์ โดยสิ่งที่เขาได้ทำ 23 และเป็นจริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า 24 จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”
ข้อ 24 เป็นหัวใจ … “จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว” ใครนับ? พระเจ้านับ พระเจ้านับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือนับว่าเป็นลูกของพระเจ้า ตามพันธสัญญา บริสุทธิ์ สะอาด พ้นจากบาป จะนับว่าคนนั้นเป็นผู้ชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว คือความเชื่อต้องบวกการกระทำด้วย หมายถึงอับราฮัมเชื่อว่ามีพระเจ้า ซึ่งแม้จะเป็นพระเจ้าที่ตาอับราฮัมมองไม่เห็น แต่อับราฮัมเชื่อว่ามีอยู่จริงๆ ตรงนี้มากกว่าความเชื่อของอับราฮัมหมายถึงอะไร?
เขาเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ พระเจ้าที่ได้ทรงตรัสกับเขาว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ไม่ใช่พระเจ้าเป็นพระเจ้าหนึ่งองค์ในจำนวนหลายๆ องค์ ที่ยิ่งใหญ่กว่าองค์อื่นๆ ไม่ใช่ ความหมายตรงนี้ หมายถึงพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว คือมีพระเจ้าจริงๆ อยู่เพียงผู้เดียว คือพระเจ้าองค์นี้ ที่ไม่มีชื่อ ที่เรียกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด นอกจากนั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่อ้างตัวเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าปลอมทั้งสิ้น และอับราฮัมก็เชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้มีอยู่จริงๆ ทั้งที่ตามองไม่เห็น หูได้ยิน ได้ยินแต่เสียง จับต้องไม่ได้ แต่เชื่อว่ามีพระเจ้า เชื่อถึงขนาดพระเจ้าองค์นี้ ที่มองไม่เห็นนี้ แต่รู้ว่ามีจริงๆ ได้บอกอับราฮัมเป็นพันธสัญญาว่าจะอวยพรเจ้านะ ถ้าเจ้ากระทำสิ่งนี้ ก็คือถวาย มอบลูกชายของตัวเอง ให้เป็นเครื่องบูชากับพระเจ้า คือให้ประหารบุตรของตนเองนั่นเอง
เชื่อว่ามีพระเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ทรงสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ทุกสิ่ง เป็นผู้ให้กำเนิดทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เป็นผู้มอบลูกชายคนนี้ให้กับอับราฮัม อับราฮัมก็เลยบอกว่าเชื่อ ถึงขนาดว่าถ้าพระเจ้าจะเอาบุตรชายคนนี้ที่ให้มากับเขา เอากลับไป พระองค์ก็สามารถให้ใหม่ได้ สามารถชุบให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ได้ ชุบให้ลูกชายของเขาอิสอัคเป็นขึ้นจากความตายได้เช่นเดียวกัน เชื่อถึงขนาดนี้ นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ จึงสามารถที่จะทำความเชื่อนั้น โดยการเชื่อและก็ทำตามที่พระเจ้าบอก คือจะถวายบุตรของตัวเอง ซึ่งท่านก็ทราบเรื่องนี้อยู่แล้วว่าพระเจ้าทดลองใจเขา พอเขาจะทำ ตัดสินใจฆ่าจริงๆ ปุ๊บ พระเจ้าบอกพอแล้วๆ เข้าใจ รู้แล้วว่าเชื่อจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจให้ฆ่าหรอก ทดลองใจว่าเชื่อจริงๆ หรือไม่? อย่างนี้แหละ เขาไม่ได้เรียกว่าเชื่อเฉยๆ เขาเรียกว่าเชื่อจริงๆ เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าพูด เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น แต่เชื่อ
อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ยากอบยกขึ้นมา ก็คือเรื่องของราหับ หญิงโสเภณี ที่ยอมเสี่ยงชีวิต ช่วยชีวิตสายลับชาวยิวหรือชาวอิสราเอลนั่นเอง ยากอบ 2:25-26 ต่อมาของบริบทนี้ …
ยากอบ 2:25-26 “25 เช่นกัน แม้แต่ราหับ หญิงโสเภณี ยังถูกนับว่าชอบธรรม เพราะการกระทำของนางไม่ใช่หรือ? เมื่อนางให้ที่พักแก่คนสอดแนม และช่วยส่งพวกเขาไปอีกทางหนึ่ง 26 ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ ตายแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ ก็ตายแล้วฉันนั้น”
ต่อจากอับราฮัม ยากอบก็ยกตัวอย่างราหับ ในพระคัมภีร์เดิม ราหับเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระเจ้า ของอิสราเอลมา ซึ่งก่อนหน้านี้ พระเจ้าทำการอัศจรรย์ใหญ่มาก ตอนก่อนที่จะถึงเรื่องของราหับ ในหนังสือยากอบที่เขียนถึงนี้ ราหับได้ยินได้ฟัง คือคนในยุคนั้น ต้องได้ยินได้ฟังตรงนี้หมด ก็คือช่วงที่พระเจ้าได้แยกน้ำทะเลออกเป็น 2 ข้าง และให้ชาวยิวเป็นล้าน เดินผ่านดินแห้ง พอเดินผ่านไปกันหมดแล้ว ก็ให้น้ำกลบทับกองทัพของอียิปต์ ซึ่งเป็นมหาอำนาจในตอนนั้น เกลี้ยงเลย เรื่องนี้กระฉ่อนไปทั้งโลกในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ราหับก็ต้องได้ยินตรงนี้ด้วย รู้ว่าพระเจ้าของอิสราเอล เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระองค์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด สามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เชื่อเหมือนอับราฮัมเชื่อเลย เชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้มีจริงๆ ทั้งที่มองไม่เห็น จับต้องได้ไหม? จับต้องไม่ได้ แต่รู้ว่ามีพระเจ้า รู้ เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ยิ่งใหญ่ แต่เพียงผู้เดียว และทำอะไร?
ราหับพอได้ยินสายลับของชาวยิว ชาวอิสราเอล ประชากรของพระเจ้ามาเคาะประตู ขอความช่วยเหลือ เพราะถ้าเจ้าเมืองจับได้ ก็ถูกประหาร ต้องหลบหนี เคาะประตูขอให้ช่วยเหลือ แล้วก็บอกว่าเขาเป็นชาวยิว เป็นประชากรของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดที่ราหับเคยได้ยิน และบอกในใจว่าเชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ช่วยคนให้รอดจากทุกสิ่งทุกอย่างได้ เขาสามารถที่จะเชื่อเฉยๆ เคาะก็เคาะสิ ไม่เปิด สายลับ 2 คนนั้นอาจจะพูดว่า …
“พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่สูงสุด”
“เหรอ! ดีนะ” … เดินทำกับข้าวต่อ ไม่เปิดประตู อย่างนี้เขาเรียกเชื่อเฉยๆ
แต่ราหับไม่ใช่อย่างนั้น ในหนังสือยากอบตะกี้บอกว่าแต่ราหับ ไม่ได้เชื่ออย่างเดียว แต่เชื่อจริงๆ พอเชื่อว่ามีพระเจ้าจริงๆ จึงกล้าเปิดประตู ตามที่พระเจ้าบอกให้ทำ พระเจ้าบอกให้ทำตอนไหน? ก็บอกให้ทำโดยผ่านทางคนของพระเจ้า ก็คือสายลับ 2 คนที่เคาะที่ประตูนั้น แล้วบอกว่า …
“เปิดประตู ช่วยที”
เสียงของพระเจ้ามาบอกเขา บอกว่า … “เปิดประตูให้เราเข้าไป”
เหมือนกับอับราฮัมที่ได้ยินพระเจ้าทดลองใจว่า … “ถวายบุตรของเจ้า ถ้าเจ้าเชื่อจริงๆ” แล้วอับราฮัมก็ทำ
ราหับก็ทำ … “ถ้าเจ้าเชื่อเราจริงๆ เปิดประตู” เพราะว่าการเปิดประตูของราหับ มันหมายถึงเสี่ยงชีวิตของเขา ถ้าเขาถูกจับได้ ถูกทหารของเจ้าเมืองเยรีโคฆ่าตายแน่นอน เขาเสี่ยงชีวิต เปิด เพราะเขาเชื่อจริงๆ เขาจึงกระทำอะไรบางอย่าง ทำสิ่งนี้ คือเปิดประตูรับสายลับเข้ามา แล้วก็ส่งสายลับทั้งสองคนนี้ ออกไปทางหน้าต่าง หนีออกไปได้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่เชื่อจริงๆ และมีการกระทำตามที่พระเจ้าได้บอกให้เขาทำ พระเจ้าบอกให้เขาทำอะไร ให้เขาเปิดประตูต้อนรับคนของพระองค์
เหมือนที่ผมเคยเล่าประสบการณ์ในการบรรยายเรื่องความเชื่อบ่อยๆ ว่าเชื่อเฉยๆ เป็นลักษณะอย่างไร? ง่ายๆ เลย ผมเล่าให้ท่านฟังเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อยมาก เล่าทีไร ท่านน้ำลายหกทุกที อยากจะกินจัง ท่านก็ถามอยู่นั่นแหละว่าร้านอยู่ตรงไหน? ผมก็บอกให้ จนกระทั่งเขามี Google map ผมก็ปักหมุดให้เลย เชื่อๆ พาสเตอร์ส่งปักหมุดมาให้เลย ส่งให้เสร็จเรียบร้อย ง่ายนิดเดียว ถ้าจะไป เปิดมือถือ กดเป้าหมาย ไปตามนั้น ก็ได้แล้ว แต่ปรากฏว่าเจอกันทีไร ถามว่า …
“ไปมาหรือยัง?”
“ยังไม่ไป” ไม่ไปไม่พอ ถามต่อ … “แล้วมันอร่อยอย่างไร?”
ผมก็ต้องเล่าต่ออีก … “อร่อยอย่างนั้น พูดไม่ถูกเลย อร่อยมากเลยจริงๆ”
“โอเค จะไปๆ”
พอเจออีกครั้งหนึ่ง ไปมาหรือยัง? ยังไม่ไป จนแล้วจนรอด จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ไปอยู่ดี แล้วถามว่าเขาเชื่อในผมไหม? ที่ผมเล่าให้เขาฟัง เรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวเรือนี้ มันอร่อยมาก ถ้ายังไม่เชื่อ เขาคงไม่ใส่ปักหมุดลงไปในมือถือเขาใช่ไหม? ใช่ แต่ต่อให้เชื่อผมอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าปราศจากการกระทำตามที่เชื่อ ตามที่ได้ข่าวสารมาว่าร้านนี้อร่อยๆ ปักหมุด แล้วก็ไป แค่นั้นเอง ถ้าปราศจากการกระทำตามข้อมูลข่าวสาร ที่เป็นจริง ที่บอกให้แล้ว ตัวเองบอกว่าเชื่อแล้ว ไม่ทำตามนั้น ไม่มีประโยชน์เลย
คุ้นๆ ไหมว่านอกจากเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว ผมชอบพูดเรื่องอะไรอีก? มากกว่าเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยว มากกว่าเรื่องร้านอร่อย ชอบพูดเรื่องอะไร? เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไง เพราะพาสเตอร์พูดอยู่นั่นแหละ ซ้ำๆ กันอยู่ตลอดเวลาเลยว่า …
“มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ต้องรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากบาป เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครเลยที่จะไม่ทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว แล้วก็ทำบาป เป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดา เพราะฉะนั้น ต้องพึ่งในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เพื่อให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าได้ด้วย ท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์เดี๋ยวนี้ทันทีเลย”
ตาค้างเลย … “พาสเตอร์พูดใช่เลย มีเหตุมีผล ยอดเยี่ยมเลย ฉันก็ต้องการ”
แล้วใช้สิทธิของท่านในการที่พระเจ้าทรงไถ่ท่านเรียบร้อยแล้ว โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือยัง?
เจออีกทีหนึ่ง เปิดใจหรือยัง? ยังเลย เพราะอันโน้น เพราะอันนี้ งานเยอะ เลยไม่ได้ไปร้านก๋วยเตี๋ยวสักที เพราะอันโน้น อันนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอร่อย แต่ไม่ไปกินสักที ฉันใดฉันนั้นแหละ รู้ว่ามันจำเป็น แต่มันยังติดอันโน้น อันนี้อยู่ คนนั้นทักท้วงไว้ เพราะฉะนั้น ไม่ตัดสินใจสักทีหนึ่ง ความเชื่อเฉยๆ อย่างนี้ ไม่มีประโยชน์ ตามบริบทของยากอบกำลังอธิบายให้เราฟังอย่างนี้
วันนี้เราจะสรุปทิ้งท้ายกันแค่นี้ก่อนว่าความเชื่อเฉยๆ ไม่มีการกระทำนั้น เป็นความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ ไม่เกิดผล ส่วนคำตอบที่ว่าแล้วการกระทำของความเชื่อคืออะไร? หมายความว่าอย่างไร? เราจะมาฟังคำตอบในคราวหน้า อธิบายกันอย่างละเอียดๆ อย่างนี้อีก และมีคำถามอะไร? ก็ถามกันเข้ามานะ บอกกันเข้ามา เพื่อเราจะได้ช่วยกันวิเคราะห์ และเจาะลึกความจริงของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ว่ามันไม่ได้ขัดแย้งกันเลย มันเป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจต่างหาก
ขอบคุณพระเยซูคริสต์ สำหรับความจริงของพระองค์ ขอบคุณในพระเมตตาของพระองค์ ที่ทรงช่วยเหลือเราทั้งหลาย ให้เข้ามาสู่ความจริงของพระองค์ และสามารถที่จะให้ความจริงเหล่านี้ ผลักดันให้เราสามารถกระทำตามที่เราบอกว่าเราเชื่อจริงๆ ในข่าวสาร ในถ้อยคำข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่มาถึงเรา โดยการประกาศของผู้รับใช้ของพระองค์ จะด้วยวิธีใดก็ตามที่เราได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐเหล่านั้นแล้ว และเราก็เริ่มต้นเชื่อ และเมื่อเชื่อแล้วจริงๆ เรายังไม่สามารถที่จะกระทำตามความเชื่อนั้นได้ อาจจะมีเหตุติดโน่นติดนี่อะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ความจริงของพระองค์มีฤทธิ์เดชอำนาจ เมื่อเรารักษาความจริงนี้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งมันจะเกิดผลแน่นอน และผลนั้นจะเกิดขึ้นตามมา จากการตัดสินใจกระทำตามข้อมูล ที่เราได้ยินได้ฟังมา แล้วเราบอกเราเชื่อจริงๆ นั่นแหละ เชื่อจริงๆ มันจึงเกิดการกระทำ ตามที่เชื่อนั้น และพอกระทำ ก็เกิดผลตามความเป็นจริงของถ้อยคำข่าวสารที่เราได้รับมานั้นเลยทีเดียว ขอบคุณพระองค์ ในนามพระเยซู เอเมน
*******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
มัทธิว 7:24-27 พระเยซูบอกว่า … “เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและกระทำตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่กระทำตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลาสร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”
“เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม” แล้ว … คำเหล่านี้คืออะไร? พระเยซูกำลังประกาศกับชาวยิวที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ก่อนมีพันธะสัญญาใหม่ คำเหล่านี้ คือคำประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ที่พระองค์กำลังนำเข้ามาในโลกในไม่ช้านี้ และวิธีที่จะเข้าสวรรค์ได้ คือพึ่งพาในการกระทำของพระองค์ และความชอบธรรมของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระองค์เท่านั้น เป็นทางไปสู่สวรรค์ของพระบิดา อย่าพึ่งพาในการกระทำดีตามกฎบัญญัติ ของโมเสสและบรรพบุรุษ เพื่อสร้างความชอบธรรมของตนเอง ท่านไม่มีทางที่จะรักษากฎบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกจุดทุกขีดหรอก จะบอกให้! ท่านผู้โง่เขลา! ท่านผู้เคร่งศาสนา! ท่านรู้แก่ใจดี! อย่าหลอกตัวเองเลย! เชื่อและกระทำตามคำแนะนำของเราเถิด เรารักเจ้าและห่วงใยเจ้ามากนะ
โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญา ของท่าน ให้เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณ และความจริง”
สังเกต “ขอร้องท่าน ให้ยอมมอบ” แสดงถึงความเป็นอิสระในการตัดสินใจว่าจะยอมเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังก็ได้ จะดื้อต่อพระเจ้าหรือไม่ดื้อก็ได้ แต่ถ้าดื้อก็จะได้รับความทุกข์ลำบาก เจ็บตัวซึ่งพระเจ้าผู้เป็นพ่อไม่ประสงค์เช่นนั้นเลย พ่ออยากให้เรามีความสุขมากที่สุด พระองค์จึงกระทำทุกอย่างที่เราตัดสินใจผิดหรือถูกดื้อหรือไม่ดื้อรวมกันนั้นให้เกิดเป็นผลที่ดี สำหรับเราได้ตามพระประสงค์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์
โรม 8:28 “เรารู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักเรามากนั้น พระองค์จะกระทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าดีหรือร้าย ทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดเป็นผลดี สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกมาเป็นลูกของพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์”
เพราะฉะนั้น ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง มั่นใจ เชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสถิตอยู่ และกำลังทำงานของพระองค์ในเรา กำลังจูงมือเราเดินอยู่ด้วย ฤทธิ์เดชความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระเจ้ามั่นใจในท่าน แล้วท่านล่ะมั่นใจในพระองค์ไหม?
พระเจ้าอวยพรครับ