คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 7 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มิถุนายน  2019

เรื่อง “สำเร็จแล้ว … เราได้รับชีวิตใหม่  วิญญาณใหม่

ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว” ตอน 7

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เรายังคงอยู่ในซีรี่ย์ของเรื่องเกี่ยวกับวันอีสเตอร์อยู่ เพิ่งจะเลยมาไม่กี่อาทิตย์ เดี๋ยวจะลืมไปเปล่าๆ ซึ่งเป็นความจริงที่สำคัญมากๆ เทศกาลอีสเตอร์จะจบลงที่ความยิ่งใหญ่ วันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด วันสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ทางวิญญาณของโลกนี้เลย คือวันเพ็นเทคอส วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย วันเพ็นเทคอสเป็นวันที่สำคัญที่สุดในข่าวประเสริฐของพระเจ้า และซีรี่ส์นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันเพ็นเทคอส ที่พึ่งผ่านมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ปีนี้ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน

เป็นวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปี? หลังจากที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป พระเจ้าต้องออกไปจากมนุษย์ มนุษย์ให้มารมาอยู่แทน อยู่ในวิญญาณของเขา วิญญาณของเขาเสียหายไป และวันเพ็นเทคอส คือวันที่รื้อฟื้นกลับคืนมา พระเจ้าล้างบาง พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้เรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน นี่คือข่าวดีที่ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว แล้วจะประกาศต่อไป

สัปดาห์ที่แล้วใช้ชื่อยาวมาก เรื่อง “เราได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เรียบร้อยแล้ว”

นี่คือความจริง พระคัมภีร์บอกว่าจงระวังพวกมาร พวกมารพยายามจะมาขโมยเรื่องราวแห่งความจริงนี้ไป ขณะที่เราที่รู้ความจริงแล้ว พยายามจะประกาศข่าวดี พูดข่าวดี มารก็พยายามประกาศข่าวร้าย ลบข่าวดีออก ต่อต้านกัน เป็นศัตรูกัน มารมีหน้าที่แค่นั้นเอง มันทำอะไรไม่ได้เลย ถ้ามันไม่ขโมยความจริงไป และวิธีการที่มารถนัดที่สุด ในการขโมยความจริง ก็คือทำให้ความจริงของพระเจ้า หรือข่าวดีของพระเจ้าที่สำคัญๆ มันผิดไปเลย หรือไม่ก็เพี้ยนไปมากที่สุด เท่าที่มันจะทำได้

เพ็นเทคอสวันที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ ใครๆ ก็อยากได้  แต่ทำไม 2,000 ปีที่ผ่านมา มีหลายคนที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไม่เอา เพราะความจริงถูกทำให้เสียหาย เพี้ยนไป แต่พระเจ้าก็ยังทำงานของพระองค์อยู่ เราจึงจดจำเอาความจริงนี้ ความจริงที่พวกมารจ้องที่จะขโมยจากเรา คือความจริงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่พระเยซูประกาศนั่นเอง ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้แรก สรุปโดยรวมว่าข่าวดีนี้ คือมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่มีชื่อว่าหุบเขาโกละโกธา ข่าวคือมนุษย์บอกๆ กัน เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อวานซืนเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปีเกิดอะไรขึ้น

ตอนที่มันเกิดขึ้นใหม่ๆ เขาบอกเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ผ่านมา 5 ปี เมื่อ 5 ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นที่เยรูซาเล็ม ที่โกละโกธา ผ่านมา 2,000 ปี เราก็กำลังเล่าเหตุการณ์เหมือนเดิม มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ มันเกี่ยวพันอะไรกับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่เกิดขึ้น ที่นอกเมืองเยรูซาเล็ม ที่โกละโกธา มนุษย์สามารถเกิดใหม่ในวิญญาณ สามารถได้รับชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ความเชื่ออย่างเดียว ซึ่งพระเจ้าได้วางแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ หลายๆ พันปีแล้ว  ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งพระเยซูมาเกิดจริงๆ พระองค์บอกเป็นคำเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครั้งที่แล้ว เราใช้ข้อพระคัมภีร์ในเอเสเคียล 36:26-27 นี่เป็นการบอกล่วงหน้า ถึงแผนการของพระเจ้าว่าพระองค์จะทำอะไร ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ที่ไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงที่โกละโกธา ประมาณ 500 กว่าปี

เอเสเคียล 36:26-27  “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจ รักษาบทบัญญัติของเรา”

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว และเราได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว เราจึงมีสภาพ เป็นวิญญาณ ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว พอเราเชื่อในข่าวดีนี้ว่าเป็นอย่างนั้น เราก็บังเกิดใหม่ในวิญญาณ มีวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เราจึงมีสภาพเป็นวิญญาณ และมีจิตใจที่เหมือนพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเราด้วย ซึ่งพระวิญญาณนี้ก็จะคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา เป็นสติปัญญา เป็นผู้คอยนำพาเรา ให้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามความต้องการของพระเจ้า ซึ่งเป็นธรรมชาติของวิญญาณ และจิตใจใหม่ภายในเรา ที่พระเจ้าทรงประทานให้ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่ที่เราได้อ่าน คือพระองค์ขจัดเอาใจหินออกไป ใจหิน คือใจที่ดื้อด้าน กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า นี่เขาเรียกว่าใจหิน แต่พระเจ้าเอาใจหินออกไป ใส่ใจเนื้อเข้ามาแทนที่ ใจเนื้อ ก็คือใจที่เข้ากับพระเจ้าได้ กลับคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าประทานวิญญาณใหม่ และความคิดจิตใจใหม่ให้กับมนุษย์ทุกคนได้แล้ว ถ้าพูดถึงผู้ที่ฟังอยู่ตอนนี้ ที่ยังไม่เชื่อนะ อยากจะบอกว่าพระเจ้าสามารถประทานวิญญาณใหม่ ชีวิตจิตใจใหม่ ให้กับท่านได้แล้ว และทำไปแล้วด้วย ที่ไม้กางเขน ถ้าท่านต้องการ เดี๋ยวนี้ได้ทันที เหมือนท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ คือมนุษย์สามารถเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเจ้าได้ทันทีเลย ไม่ต้องรอตาย ไปสวรรค์ แล้วถึงจะได้รับ ได้รับทันทีตอนนี้เลย

เมื่อเราเชื่อแล้วพระเจ้าต้องการให้เราตั้งความคิดจิตใจ จดจ่อความคิดไปที่ความจริงตรงนี้ ตรงโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อที่เราจะไม่ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป จากชีวิตของเรา 2 โครินธ์ 4:16-18

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชัวคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ แม้ร่างกายที่เราเห็นนี้จะต้องทรุดโทรมไป ต้องเจ็บป่วย จะต้องเหนื่อยยากลำบาก ต้องกลัว ต้องวิตกกังวลอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากบาปในร่างกายนี้ แต่เราได้รับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู เราได้รับแล้ว แล้วมันเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  เพราะฉะนั้น เมื่อเอามาเทียบกันกับวิญญาณข้างในเรา ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว ที่เหมือนพระเยซู มาเทียบกับภายนอก ที่ยังทนทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้อยู่ ในนี้บอกว่าให้เราจดจ่อความคิดไปที่ความจริง คือไปที่โลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น คือวิญญาณของเรา เป็นตัวจริงๆ ของเรา

โลกใบนี้ ถูกทำให้เสียหาย เนื่องจากมนุษย์ตกลงไปในความบาป และถูกสาปแช่งไปถึงดินด้วย ดังนั้น ร่างกายมนุษย์จึงถูกสาปแช่งไปด้วยเช่นเดียวกัน เราจึงต้องตาย ปกติไม่ตาย สร้างเซลใหม่ไปเรื่อยๆ อยู่นิรันดร์เหมือนกับพระเจ้า แต่พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป เริ่มเจ็บป่วย เริ่มต้องตาย เริ่มต้องนับหนึ่ง เริ่มมีการแก่ เริ่มมีการเหี่ยว เริ่มมีตีนกา เริ่มมีรอยย่น เริ่มคิดมาก เริ่มมีความกลัว เริ่มมะเร็ง … มะเร็งเกิดมาตั้งแต่โน้น สมัยที่อาดัมทำบาปใหม่ๆ ถ้าพูดอย่างนี้ คนไม่เข้าใจ นึกว่าเราบ้าแล้วนะ มะเร็งเกิดจากเอวา เกิดมาได้อย่างไร? ก็เอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า เลยไปเรียกอาดัมมา ไม่เชื่อด้วย สองคนช่วยกันไม่เชื่อ พอไม่เชื่อก็กบฏต่อพระเจ้า พระพรออกไป พระเจ้าออกไปจากวิญญาณของมนุษย์ และคำสาป ก็ลงมาอยู่ที่โลกใบนี้ ก็คือร่างกายของเขา ซึ่งมาจากดิน ก็ไปด้วย

ตอนที่พระเยซูมาฟื้นฟู มาตายที่ไม้กางเขน แล้วทำให้เราได้เกิดใหม่ แค่วิญญาณและความคิดจิตใจเท่านั้น เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงที่เราต้องเรียนรู้ด้วย พระเจ้ากำลังบอกว่าให้เรา จดจ่อความคิดไปที่โลกวิญญาณ เราย้อนกลับมาถึงตัวเราเองว่าเราควรจะจดจ่อไปที่โลกวิญญาณตรงไหน? ในเมื่อเรารู้จักข่าวประเสริฐ เราต้อนรับข่าวดีแล้ว อาจจะได้รับข่าวดีไปร้อยหนึ่ง บางคนอาจจะได้รับแค่แปดสิบ บางคนได้รับแค่เจ็ดสิบ แต่ทุกวันนี้ เจริญเติบโต ได้รับข่าวดีไปเรื่อยๆ ตอนนี้รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร? ควรจดจ่อ หมายถึงความคิด หมายถึงใคร่ครวญ พิจารณาในโลกวิญญาณตลอดเวลา เพราะว่ามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ มันจึงต้องใช้จดจ่อความคิด ให้ใส่เข้าไปทุกวันๆ ผมก็เลยคิดว่าเอาความจริงเหล่านี้มา บอกท่านว่าท่านควรจดจ่อตรงนี้อย่างไร ให้ชีวิตท่านมีสันติสุขมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นด้วย คือมีความทุกข์น้อยลงนั่นเอง ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายที่มันต้องตายได้ ที่อยู่ใต้อิทธิพลของบาป แต่วิญญาณเกิดใหม่ ความคิดจิตใจเกิดใหม่ เหมือนพระเจ้าแล้ว แล้วทำอย่างไร?

วิธีทำ ก็คือพิจารณาใคร่ครวญ ภาวนา ตามความจริงนี้ ผมเอามาให้ท่านเป็นตัวอย่างนิดหนึ่ง ลองใส่ชื่อท่านลงไปในนี้ ถ้าผมพูดชื่อผม ท่านพูดชื่อท่าน แล้วพูดตามผมทั้งหมด ตามความจริงต่อไปนี้

“นครเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ และพระเจ้าได้ประทานจิตใจใหม่ ให้กับนคร

นครจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจ ที่ใหม่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเป็นวิญญาณแห่งความรัก  เป็นวิญญาณแห่งความสว่างเหมือนพระเยซู ไร้มลทิน และไร้ความบาปใดใดทั้งสิ้น เป็นผู้ชอบธรรมอย่างแท้จริง  …   วิญญาณและความคิดจิตใจใหม่นี้ เป็นตัวจริงจริงของนครที่จะอยู่ตลอดไป  ในสวรรค์กับพระเจ้า

นครได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ในขณะนี้แล้ว ชีวิตของนคร คือวิญญาณ ...  และความคิดจิตใจนี้ ซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า … พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้จุ่มนครลงไปในความเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซู และพระวิญญาณ”

ทำอย่างนี้ ทำบ่อยๆ กลางคืนก็คิด ก่อนนอนก็คิด  ตื่นมาก็คิด กินข้าวก็คิด คิดไปเรื่อยๆ คิดไปครึ่งหนึ่งก็คิด มีเวลานนิดหนึ่งก็คิดนิดหนึ่ง คิดได้ 2 บรรทัดก็หลับไป คือการต้องจดจ่อกับโลกวิญญาณอย่างนี้ เพื่อไม่ให้มันหลอกเรา อะไรที่เกิดขึ้นในโลกวัตถุ เรื่องสำคัญๆ เราลืมคิดไป สิ่งที่สำคัญกว่า คือโลกวิญญาณตรงนี้ต่างหาก เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ วิญญาณใหม่ของเราอยู่กับพระเจ้า และความคิดจิตใจที่ติดกับวิญญาณนั้น เป็นของพระเจ้าใส่ลงมาเลย นี่คือความจริง เพียงแต่อาศัยในร่างกายภายนอก เพียงชั่วคราว นี่คือความจริง ทั้งหมดนี้มาจากพระคัมภีร์ ผมสรุปมารวมให้ท่าน ได้เห็น และได้สามารถเอาไปภาวนา ง่ายๆ รวมหมดเลย ซึ่งร่างกายนี้ต้องตายลง และหมดลมหายใจเน่าเปื่อยไปในที่สุด ร่างกายนี้ยังคงได้รับอิทธิพลจากระบบของโลก ร่างกายที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ จากสิ่งต่างๆ ภายนอก ฟังให้ดีๆ ถ้าเรารับเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณและความคิดจิตใจของเราใหม่เอี่ยมเหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลย แต่ร่างกายนี้ยังได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก จากสื่อต่างๆ ภายนอก ที่มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ซึ่งมันก็พยายามที่จะล่อลวง หลอกลวง ส่งสัญญาณชักจูงให้ร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ ปฏิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า ตรงกันข้ามกับธรรมชาติลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้า ภายในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา

ท่านเห็นหรือยังเกิดสงครามอะไรขึ้น ตะกี้นี้เราพูดกัน เราภาวนา เราเกิดใหม่ในวิญญาณ  เหมือนพระเจ้า แต่เราอยู่ในร่างกายที่ยังอ่อนแอ ยังรับอิทธิพลที่เต็มไปด้วยกระแสของโลกนี้อยู่ พูดง่ายๆ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้า ร่างกายนี้ จะเปื่อยเน่าและตายไป และพระเจ้าได้จัดเตรียมร่างกายใหม่ ซึ่งเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาป เป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ ไม่มีคำว่าเจ็บป่วย ปวดร้าว ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ตลอดไปนิรันดร์กาล ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความหวังของเรา เพราะฉะนั้น ในนี้จึงบอกว่าเมื่อเราภาวนาอย่างนี้ จดจ่ออย่างนี้ ความทุกข์ยากลำบาก ความยากจนเอ่ย ปัญหาโน้นปัญหานี้ วุ่นวายไปหมดบนโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา มันต้องเกิดขึ้น แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราไม่ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้อีก เรามีความหวังว่ามันจะสิ้นสุดลง มันจบ แล้วไม่ใช่จบแค่ 500 ปี ไม่ใช่ไปเสวยสุขอีก 200 ปี แต่ไปเสวยสุขนิรันดร์กาล

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ และเป็นความหวังใจอันเดียวในโลกวิญญาณเท่านั้น ของมนุษย์คนใดก็ตามที่ใช้สิทธิของเขา เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ทุกคนควรจะมีความหวังใจ ตรงนี้ อันเดียวเท่านั้นเอง อย่าหวังว่าจะมีความร่ำรวยบนโลกใบนี้ อย่าหวังว่าจะไม่มีปัญหาเลย  เพราะโลกใบนี้เสียหายไปแล้ว แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูบอกท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ประสบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่เราชนะโลกนี้แล้วนะ เอเมน มันทำเราได้แค่นี้เอง จบแล้ว เหลืออีกไม่กี่ปีเอง บางคนก็เหมือนไม่กี่ปี นี่พูดถึงเฉพาะเท่าที่เป็นไปได้นะ อาจจะ 30 ปี 20 ปี 10 ปี เมื่อเทียบกับนิรันดร์ มันเทียบกันไม่ติดเลย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มารพยายามจะขโมยออกจากเราให้ได้ เราพยายามจะบอกพระเจ้าว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว เอาความทุกข์เราออกไปจากโลกนี้เถิด เราจะได้ไม่เป็นอันนั้น เราไม่อยากป่วย เราไม่อยากอะไร มันไม่ได้ มันเป็นจริงตามนั้น กฎของมันเป็นอย่างนั้น ก็ต้องรอ แต่ถ้าเราฝืนมัน ก็ไม่มีความสุข

แล้วก็มีความจริงอีกเรื่องหนึ่ง  ที่เป็นประเด็นฮิตฮอทอันดับต้นๆ ที่มารพยายามมาขโมยเหมือนกัน ที่พยายามบิดเบือนความจริงเรื่องนี้ บ่อยมาก คือเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อฟังพระเจ้า โรม 6:16

โรม 6:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง  ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม”

 

ถ้าอ่านข้อนี้ข้อเดียว ถ้าท่านยังทำบาปอยู่ ก็แปลว่าท่านเป็นทาสของบาป ถูกไหม? ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือถ้าท่านเชื่อฟังหัวหน้าบาป คือมาร แต่ถ้าท่านเชื่อฟังพระเจ้า ท่านก็ต้องทำตามคำสอนของพระเจ้า และไม่ทำบาป ถูกหรือเปล่า? ถ้าฟังข้อนี้ข้อเดียว ก็เลยต้องถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ อีกว่าแล้วเป็นไปได้ไหม? เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จะไม่ทำบาปอีกเลย? ก็เป็นไปไม่ได้ สรุปแล้ว ท่านก็เริ่มคิด เอาอย่างไร? ก็ไม่ยาก อย่าเอาข้อเดียวมาตีความ อยากรู้ก็ไปอ่านต่อว่าบริบททั้งหมดว่าอย่างไร? ข้อ 17 กับ 18

โรม 6:17-18 “17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปและได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

 

อันนี้ต้องตั้งใจฟังนิดหนึ่ง เนื่องจากมันลึกซึ้งทางโลกวิญญาณ และภาษาไทยแปลออกมา แล้วเข้าใจยากนิดหนึ่ง ในนี้บอก แต่ขอบคุณพระเจ้า  แต่แสดงว่ามันไม่เป็นไปตามที่เราคิดเมื่อตะกี้นี้หรอก ถูกไหม? แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะแม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายไว้ให้ท่านสุดใจ อันนี้ผมแปลให้นิดหนึ่ง จากภาษาเดิม หมายถึงท่านเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้ ท่านก็ยังเชื่อฟังคำสอน ซึ่งพระเจ้าได้ใส่ไว้ในจิตใจของท่าน แค่นี้เอง จำได้ไหมตะกี้นี้อ่านเอเสเคียลอันเดียวกันนี้แหละ คือจิตใจใหม่ พระเจ้าใส่ความเชื่อฟังลงไปแล้ว ใส่ความเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูลงไปแล้ว ใส่ความเป็นมิตรกับพระเจ้า เข้ากันกับพระเจ้าไปแล้ว เอาศัตรู เอาใจหินออกไปแล้ว แค่นี้เอง พอแปลอย่างนี้ ท่านก็เข้าใจง่ายขึ้นแล้ว

ข้อ 18 แปลต่อมาอีกว่าท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปแล้ว และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว

ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น มันกลายเป็นทาส ก็คือติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว เป็นทาสของพระเจ้า แต่ก่อนนี้ บาปครอบงำเราอย่างไร? ตอนนี้พระเจ้าครอบงำเราอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราทำอะไรเลยนะ ในขณะเดียวกัน ในอดีตก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราทำเลย อาดัมทำ โดนเรา ตอนนี้พระเยซูทำ โดนถึงเราเหมือนกัน เห็นภาพอะไรบางอย่างไหม?

สังเกตไหมครับคำว่า “เคยเป็นทาสของบาป” ก็คือในอดีตเคยเป็น แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว  ภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็น Past tense เป็นอดีตไปแล้ว จบไปเรียบร้อยแล้ว

คำว่า “ทาสของความชอบธรรม” ที่ประโยคต่อมา ใช้คำว่า “ได้กลายเป็น (แล้ว)” มันเป็นอดีตเหมือนกัน แต่เป็นอดีตที่ยืดยาว เขาเรียกว่าได้รับแล้ว และปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เขาเรียกว่า Present Perfect Tense  มันต่อเนื่องกันมา

ข้อที่ 17 “แต่ขอบคุณพระเจ้าที่แต่ก่อนนี้ เรายังไม่เกิดใหม่ เราเป็นทาสของความบาป มารครอบเราอยู่ แต่ในขณะนี้ ท่านก็เชื่อฟัง หมายถึงในขณะนี้ พระเจ้าได้ทำให้ท่านกลายเป็นวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่ ที่พระเจ้าใส่ลงไป ให้เป็นวิญญาณและจิตใจที่เชื่อฟังพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว”

นี่คือความอัศจรรย์ของพระคุณพระเจ้า ที่เรียกว่า Amazing Grace เคยเป็นทาสของความบาป แต่ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแค่นั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเลย เราได้กลายเป็นผู้มีจิตใจใหม่เอี่ยมในพระเจ้า และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากทาสบาปทั้งปวง แค่ด้วยความเชื่อเท่านั้นเอง เกิดใหม่ทางวิญญาณ และความคิดจิตใจที่ใหม่เอี่ยม ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ผ่าตัด เปลี่ยนใจหินกับเปลี่ยนวิญญาณของเราใหม่ ให้เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า เปลี่ยนความคิดจิตใจของเราใหม่ ให้เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นทาส เชื่อฟังพระเจ้า เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าผ่าตัดหัวใจให้ใหม่ เอาของใหม่ใส่มา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกไปจากเจ้า และให้ใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในใจ ก็คือพระวิญญาณ โน้มนำเจ้า ก็คือนำพาเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา คือทางของพระเจ้า และใส่ใจในการรักษาบทบัญญัติของเรา บทบัญญัติของพระเจ้า คือความรัก ความถูกต้อง ความดีงาม ความชอบธรรม หัวใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้เรา ก็คือหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ 100% มีธรรมชาติ มีเนเจอร์ที่เป็นของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า หัวใจที่ต้องการทำทุกอย่าง ตามพระประสงค์ของพระเจ้า หัวใจที่ต้องการมอบถวายทุกสิ่งแด่พระเจ้า หัวใจที่มีความรักเหมือนพระเจ้า นี่คือธรรมชาติ ลักษณะของหัวใจ หรือความคิดจิตใจของผู้เชื่อทุกคนในพระเยซูคริสต์ในวิญญาณ เอเมน เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้าทำให้เราทุกอย่าง

เรามีคุณสมบัติอย่างนี้ ถ้าท่านเอาไปนั่งคิดอย่างนี้ แล้วภาวนาอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จนท่านรู้ว่าตัวจริงๆ ท่านเป็นใคร? ท่านจะยืดอกเลยว่าขอบคุณพระเจ้า ท่านจะไม่รู้สึกห่อเหี่ยว หดหู่เลย แล้วถามว่าท่านจะเย่อหยิ่งไหมเมื่อรู้ความจริงนี้? ไม่เย่อหยิ่งเลย เพราะท่านรู้ว่าพระเจ้าทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย แม้แต่นิดเดียว แต่อย่างที่พูดเสมอว่าเรายังวนเวียนอยู่กับอิทธิพล และอยู่ใต้กระแสของโลกนี้ เพราะฉะนั้น เรายังมีโอกาสพลาดพลั้ง ถูกล่อลวง ให้ทำผิดบาป ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ และทำอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม แต่การกระทำผิดบาป ที่เกิดขึ้นจากภายนอก ไม่ใช่ในวิญญาณของเรา

ท่านพอจะเห็นภาพแล้วนะ วิญญาณและความคิดจิตใจเราใหม่เอี่ยมเลย ยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวจริงของเรา วันหนึ่งเราต้องทิ้งมันไป เหมือนที่เปาโลพูดถึงการต่อสู้ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ว่าในใจเขาคิดอย่างไร? ในใจเขามีความรู้สึกอย่างไร? ซึ่งผู้เชื่อทุกคนก็เป็นเหมือนกัน เปาโลพูดว่าอย่างไร? ในโรม 7:15-17 มาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณก็ใหม่ จิตใจก็ใหม่ เหมือนพระเยซูเลย เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นความสว่าง เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำสิ่งที่ตนเองเกลียด และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี ดังที่เป็นอยู่ จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้กระทำสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็นเพราะบาปที่อยู่ในข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้า” หมายถึงใคร? “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ เพราะข้างในข้าพเจ้าต้องการจะทำให้เหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย แต่ข้างนอก มันได้รับสื่อ  อิทธิพล ความคุ้นเคย ความชินกับชีวิตเก่าๆ มันทนไม่ไหว”

ยกตัวอย่างง่ายๆ ชัดๆ เปาโล ข้างในได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย เต็มไปด้วยความรัก วิญญาณของเปาโลเป็นความรัก  มีความคิดจิตใจที่เป็นความรัก ความรัก คือการอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ให้อภัยเสมอ แต่ปรากฏว่าเปาโลไปเจอคนที่ต่อต้านข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างรุนแรงและดื้อด้านมากเลย ทำให้ผู้เชื่อใหม่ หลงหาย เปาโลทนไม่ไหว โกรธขึ้นมา ด่าสุดๆ เลย ถามว่าที่ด่านั้น กับวิญญาณตรงกันไหม? วิญญาณบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรัก เป็นความรัก ไม่ด่า ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง ไม่โกรธเกลียดใครแล้ว แต่ทนไม่ไหว เปาโลเป็นคนทำเหรอ? เปาโลบอกว่าตัวจริงๆ ฉันไม่ได้เป็นคนทำ แต่บาปที่อยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ  ที่โกรธนั้น ที่โมโหนั้น มันอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ แต่วิญญาณไม่มี ความคิดจิตใจไม่มี มันเป็นเนเจอร์ เหมือนพระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานชีวิตใหม่ วิญญาณใหม่ หัวใจใหม่ให้กับเราแล้ว เป็นหัวใจที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้มลทิน ปราศจากบาป เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะสามารถเข้ามาสถิตได้ เพราะถ้าข้างในเราไม่สะอาด พระวิญญาณพระเจ้าก็เข้ามาอยู่กับเราไม่ได้ มีสิ่งสกปรกเพียงนิดเดียว ก็อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะว่าพระเจ้าจะสถิตที่ใด? ที่นั่นต้องสะอาดมากๆ เลย

พระเจ้ายกตัวอย่างให้ในพระคัมภีร์เดิม บอกให้รู้เลย การทรงสถิตของพระองค์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ บริสุทธิ์ขนาดไหน?  ทำให้มนุษย์ได้เห็นแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงชำระล้างเราให้บริสุทธิ์ เพื่อพร้อมที่จะเป็นวิหารของพระเจ้า พลับพลาของพระเจ้า พระคัมภีร์เดิมวิหารของพระเจ้า หรือพลับพลาของพระเจ้า เป็นที่นมัสการที่มนุษย์ หรือเรียกว่าปุโรหิต เป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งครั้งแรกเลย พระเจ้าให้โมเสสสร้าง แล้วบอกว่านี่คือวิหารที่เราจะสถิตอยู่ แต่ทำด้วยมือนะ เลียนแบบ จำลองมาจากสวรรค์ จะเป็นวิหารที่ใช้สำหรับการนมัสการ ก็คือใช้ติดต่อกับพระเจ้า สมัยโมเสส มีเพียงปุโรหิตเข้าไปได้ แค่คนเดียว และได้ปีละครั้ง ก่อนจะเข้าไป ก็ต้องทำตัวให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะอันตรายมากๆ นึกออกใช่ไหมว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้เห็นว่าความบริสุทธิ์ของพระองค์ขนาดไหน? ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหตุและผลเลย เกี่ยวกับความเป็นจริงของลักษณะวิญญาณพระเจ้าว่าสะอาด บริสุทธิ์มากๆ มนุษย์สกปรกนิดเดียวก็ไม่ได้เลย เข้าไปได้ปีละครั้ง  ถ้าคนนั้นเข้าไป เตรียมตัวไม่พร้อม ทำอะไรพลาดนิดเดียว ตาย ต้องดึงเชือกออกมา เขาถึงให้ใส่ลูกกระพรวน หมายถึงชุดเขาใส่ลูกกระพรวน กรุ๊งกริ๊งๆ ถ้าเสียงเงียบไปเมื่อไร ไม่มีโต้ตอบ ดึงลากออกมา ตายแล้ว เพราะไปทำอะไรบางอย่างที่ผิดจากที่พระเจ้าสั่งให้ทำ

นี่คือฤทธิ์อำนาจของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แล้วถ้าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา ตามพระคัมภีร์ใหม่ที่บอกไว้ มันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เมื่อร่างกายเราที่บอกชำระจนสะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าจึงเข้ามาอยู่ได้ เอเมน มันถึงเป็นข่าวดีมากๆ ในขณะเดียวกันคนที่ถูกล่อลวงด้วยมาร ไม่เชื่อในข่าวดีนี้ จะมีความรู้สึกว่า …

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ฉันสกปรก ฉันทำไม่ดีเลย ฉันจะมาอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร?”

พระเจ้าบอก “Noๆๆๆ เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราเป็นคนทำให้เจ้าแล้ว ทำให้เอง เพียงแต่เจ้าเข้ามาใช้สิทธิ์เท่านั้นเอง”

พอมาถึงยุคพันธสัญญาใหม่ วิหารของพระเจ้า อยู่ในร่างกายของมนุษย์ “ในเรา” หมายถึงในผู้เชื่อทุกคน แล้วถ้าบอกว่าวันนี้ พระเจ้าชำระเราจนสะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระวิญญาณมาสถิตอยู่ด้วยกันกับเราแล้ว แล้วเกิดวันหนึ่งข้างหน้า เราเผลอไปทำบาป ทำอันโน้นอันนี้ สกปรกอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเราไม่ตายเหรอ พอเราโกหกทีหนึ่ง พระวิญญาณต้องออกไปแป๊บหนึ่ง เมื่อเช้านี้ เราขับรถมา เราหงุดหงิด ไปว่าคนตัดหน้าปุ๊บ พระวิญญาณออกไปแป๊บหนึ่ง พอเราขอโทษปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามา พอเราเข้ามาในโบสถ์ปุ๊บ เรารำคาญคนๆ นี้ พระวิญญาณออกไป พอเราเกิดเข้ามาในโบสถ์ อธิษฐาน พระวิญญาณเข้ามา แล้ววันหนึ่งจะกี่ครั้ง พระวิญญาณเข้าๆ ออกๆ ตัวเรา

ท่านจะรู้แล้ว มันไม่ใช่แน่ วิญญาณก็วิญญาณ วัตถุก็วัตถุ คนละเรื่องกัน อย่างที่ผมบอกเสมอ การตีความพระคัมภีร์ ต้องดูบริบท โดยรวม ภาพรวม ต้องยึดตามพื้นฐานข้อเชื่อในพระคัมภีร์เป็นหลักว่ามันรวมกันแล้ว เป็นลักษณะอย่างไร? ไม่อย่างนั้นมันจะตลกๆ

วิหารสมัยโมเสส ที่พระเจ้าบอกให้ทำ ก็คือวิหารที่ทำด้วยมือ จำลองว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นเงาของวันเพ็นเทคอสว่าพระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ พระเจ้าบอกทำเลียนแบบที่อยู่ในสวรรค์ แล้วท่านดูนะว่ามันจริงไหม? ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านดูสุดท้าย

วิหารสมัยโมเสส พระเจ้าให้ทำอย่างไร? มีลานชั้นนอก ไม่มีอะไรให้ดูเลย เดินผ่านลานชั้นนอกปุ๊บ มีประตูเข้าห้อง เรียกว่าห้องชั้นใน ในห้องชั้นในมีม่านกั้น หลังม่านเรียกว่าห้องบริสุทธิ์ที่สุด ห้องที่พระเจ้าสถิตอยู่  ถ้าพูดภาษาอังกฤษ ก็คือข้างนอก เรียกเอ๊าคอร์ด เรียกว่าลานวิหาร อันที่สอง ก็คือ Holy place คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พอผ่านม่านข้างใน อันที่สามเรียกว่า The most Holy place หรือเรียกว่า Holy of Holies แปลว่าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งจะมีหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ที่นั่น  แล้วถ้าเทียบกับมนุษย์ในปัจจุบันล่ะ ที่พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อมนุษย์คนใดคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้า เกิดอะไรขึ้น พระเจ้าจะเข้ามาสถิตกับเขา ที่ในวิญญาณ และจิตใจของเขา พระเจ้าจะผ่าตัดใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่กับเขา แล้วพระองค์ก็เข้าไปอยู่กับเขาเลย ที่วิญญาณและจิตใจของเขา แต่ร่างกายของเขายังเป็นเหมือนเดิม ท่านเห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเรา คือวิหารของพระเจ้า มันแปลว่าอย่างนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ข้างในตัวเรานั่นแหละ และเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป ซึ่งยังมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ ที่ยืนยันว่าพระเจ้าได้ประทานวิญญาณให้อยู่กับเรา จิตใจใหม่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ผมจะยกตัวอย่างให้สักนิดหนึ่ง เพื่อยืนยันให้ท่านเห็น โรม 5:5

โรม 5:5 “ความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์ เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”

 

เอเฟซัส 3:7 “ข้าพเจ้าได้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้ โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ผ่านทางการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระองค์”

 

ท่านสังเกตดู 2 ข้อที่ผ่านมา ไม่มีการกระทำของมนุษย์เกี่ยวข้องเลย พระเจ้าเป็นผู้ทำหมดเลย ให้ฟรีๆ หมด จึงเรียกว่าพระคุณ พระองค์ทรงกระทำทั้งสิ้น วิญญาณที่พระเจ้าประทานให้อยู่กับเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะอยู่กับเราได้ คือเราต้องสะอาดหมดจด บริสุทธิ์มากๆ ที่สุด  พระองค์ก็ทรงชำระให้เรา โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระองค์ทรงกระทำให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ที่เรียกว่าข่าวดี ถ้าเราต้องทำเอง เรียกว่าข่าวร้ายเลย เพราะไม่มีใครทำได้ ไม่มีใคร ทำตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ เหมาะที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วย เป็นไปไม่ได้เลย

ก่อนที่พระเยซูจะทำให้สำเร็จ แม้กระทั่งผิดนิดเดียว วันนี้อาบน้ำน้อยไปหน่อย จะต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าปีละหนึ่งครั้ง สมมติมหาปุโรหิต แต่งตัวผิดนิดหนึ่ง ตาย เข้าไปแกว่งเครื่องหอม ซึ่งเรียกว่าการทรงสถิตของพระเจ้า ใส่ผงกำยาน ใส่ผิดไปนิดหนึ่ง ตาย  เพราะความบริสุทธิ์ของพระเจ้า มันไม่ได้เกี่ยวกันกับว่าในใจคุณคิดอะไร? คุณตั้งความหวังว่าอะไร? ไม่เกี่ยว อย่างที่ผมบอก มันเป็นกฎ มันเป็นธรรมชาติ พระเจ้าเป็นความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจในตัว ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความบาป เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือไม่ดี หรือเป็นคนเลวอย่างไร? คุณเดินออกไปจากดาดฟ้า คุณก็ตกลงไป

2 โครินธ์ 1:22 “ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”

 

พอท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นจริง พระเจ้าเปลี่ยนหัวใจท่านใหม่ เป็นหัวใจที่เหมือนพระเยซู เปลี่ยนวิญญาณท่านใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซู และในนี้บอกและทรงประทับตรา … “ประทับตรา” แปลว่าปิดห้อง ต่อจากนี้ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระเจ้าได้แล้ว ต่อให้เป็นมารหรือตัวเราเอง ก็ออกไม่ได้ เมื่อเราได้ถูกเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้น มันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ไม่ต้องห่วง

กาลาเทีย 4:6 “ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ””

 

“ในเมื่อท่านเป็นบุตร” เป็นบุตร เพราะท่านทำดี ไม่ใช่ เป็นบุตร เพราะท่านได้เกิดมาเป็นบุตร เกิดใหม่ พอท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงชำระบาปให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านใช้สิทธิของท่าน ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา เขาเรียกว่าบัพติศมาท่านด้วยไฟ คือจุ่มวิญญาณและจิตใจท่าน ลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดนั้น และทำให้บังเกิดใหม่ในวิญญาณและความคิดจิตใจ เป็นไปตามที่พระเจ้าวางแผนมาตั้งนานแล้ว ในนี้จึงบอกว่าพระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เข้ามาอยู่ในใจของเรา วิญญาณก็เปลี่ยนใหม่ จิตใจก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ และพระวิญญาณผู้นี้ ก็จะค่อยๆ สอนเราในทางของพระเจ้าทั้งหมด ในทางของความรัก ความสว่าง และสอนเราในทางของความคุ้นเคย ความสัมพันธ์ในครอบครัว ก็คือให้เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ให้เราเรียกพระเยซูว่าพี่ ให้เราเรียกพี่น้องคนอื่นๆ ที่เป็นคริสเตียนว่าพี่น้อง พระวิญญาณจะนำเรา นี่คือตัวอย่าง แล้วจะนำเราไปเรื่อยๆ ทุกอย่างทุกเรื่องแหละ เพียงแต่เราได้ยินพระองค์หรือเปล่า? ต่อไปนี้ เวลาจะอธิษฐาน ภาวนา หาความจริงอะไรต่างๆ ให้วิ่งไปที่พระคัมภีร์ อันนี้ก็มีส่วน แต่ท่านต้องตั้งความคิดจิตใจไว้ที่วิญญาณตลอด ถ้าอธิษฐาน ให้อธิษฐานด้วยใจ ด้วยวิญญาณ ถ้าจะถวาย ให้คิดถวายด้วยความประสงค์จากใจ มันหมายถึงตรงนี้  ทุกอย่างทำจากข้างในออกมาข้างนอก นั่นแหละ คือคริสเตียน

เวลาจะคิดอะไรก็ตาม คิดจากข้างใน คือฝ่ายวิญญาณของเรา ไม่ต้องออกไปข้างนอก ถ้าเมื่อไรก็ตามท่านทำอย่างนี้ เท่ากับเรากำลังลากมาร สมมติว่าเป็นการต่อสู้กันบนโลกใบนี้ เรากำลังลากมารขึ้นมาบนเวทีของเรา เวทีของเราที่เราจะชนะ 100% หมัดหนักที่สุด ก็คือเวทีทางโลกวิญญาณ เราแค่ฮุ๊กทีเดียวกระเด็นไปไกลเลย แต่ถ้าเราถูกมันลากลงจากวิญญาณ ลงไปอยู่บนโลกใบนี้ แล้วให้เราไปชกกับมัน ตายลูกเดียว ต่อให้เป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาย ต่อให้มีตำแหน่งในคริสเตียนก็ตาย เพราะว่าในทางคริสเตียน ตำแหน่งเท่ากันหมด เพราะฉะนั้นเราต้องลากมันเข้ามาตรงนี้ พยายามฝึกฝนที่จะทำอะไรก็ตาม ผลักออกจากใจ

พระคัมภีร์บอกจะนมัสการพระเจ้า จงนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง ถ้าจะให้ ก็ต้องให้จากใจ รักพี่น้อง รักจากใจ ทุกอย่างจากใจหมด เพราะในใจนั้นบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า และมีพระเจ้าเป็นพี่เลี้ยงของเราอยู่ เอเมน

คำว่า “ภาวนา” “อธิษฐาน” “pray” อย่าไปนั่งคิด เราชอบนั่งคิดว่าการภาวนา คือต้องไปนั่งเงียบๆ นั่งในห้องคนเดียว อธิษฐาน คำว่า “อธิษฐาน” คือการติดต่อกับพระเจ้า ถามว่าติดต่อกับพระเจ้า ต้องติดต่อทางไหน? ทางวิญญาณ การภาวนา ก็คือการทำอะไรก็ตามที่จะติดต่อกับพระเจ้าทางวิญญาณ คิดไปถึงโลกวิญญาณ เขาเรียกว่าภาวนา เรียกว่า Pray  พระคัมภีร์จึงบอกให้เราอธิษฐานเสมอๆ อธิษฐานตลอด 24 ชั่วโมง แล้วใครไปนั่งอธิษฐานอย่างนั้นได้ มันไม่ได้แปลว่าอย่างนั้น อธิษฐาน 24 ชั่วโมง ท่านสามารถทำได้แล้วตอนนี้ คือในใจท่านจดจ่ออยู่กับเรื่องของโลกวิญญาณตลอด ท่านสามารถภาวนาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ท่านสามารถอธิษฐานได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย เพียงแต่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในบางวันเท่านั้น ที่ท่านมานมัสการพระเจ้า ในวิญญาณและมีเพลงประกอบ อาจเป็นเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงจีนประกอบเท่านั้น แต่ท่านร้องเพลงจากวิญญาณของท่าน ท่านไม่ต้องมาที่โบสถ์ แล้วก็มาร้องด้วยวิญญาณตรงนี้ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็ร้องได้ เพราะวิญญาณอยู่ในตัวท่านนั่นเอง  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************