คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 17 “ประวัติศาสตร์ตามนิมิตของดาเนียล” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  พฤษภาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 17 “ประวัติศาสตร์ตามนิมิตของดาเนียล”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ทบทวนกันสักนิดในดาเนียล บทที่ 9 เริ่มจากดาเนียลไปอ่านเจอพระคัมภีร์เดิมเยเรมีย์ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะถูกทิ้งร้าง และชาวอิสราเอลต้องไปเป็นทาสที่เมืองบาบิโลน เป็นเวลา 70 ปี แล้วตัวเองก็อยู่บาบิโลนมาตั้ง 66 ปีแล้ว เหลือเพียงแค่ 4 ปี ก็จะได้เป็นอิสระแล้ว

ตอนบาบิโลนยึดเยรูซาเล็ม เป็นช่วงเวลาราว 605 ปีก่อน ค.ศ. คือก่อนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่ดาเนียลกำลังอธิษฐานอยู่ ในหนังสือดาเนียล บทที่ 9 ที่เรากำลังบรรยายอยู่นี้ ก็อยู่ในช่วงประมาณ 539 ปีก่อนคริสตราช ก่อนพระเยซูคริสต์เกิด ตามคำเผยพระวจนะก็เหลือแค่ 4 ปี ดาเนียลก็อดอาหาร อธิษฐาน วิงวอน ขอการอภัยจากพระเจ้า ในใจดาเนียลตอนนั้น คงตื่นเต้น เพราะก่อนหน้านี้ คำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกว่าเยรูซาเล็มต้องถูกยึด กลายเป็นเมืองร้าง เป็นเมืองขึ้น  ชาวอิสราเอลต้องถูกต้อนไปเป็นเชลย สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เพราะตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์นั้น  คือถูกต้อนไปเป็นเชลยจริงๆ

เริ่มต้นดาเนียล 9:21-27 “21 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอธิษฐานอยู่นั้น กาเบรียล ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเห็นในนิมิตครั้งก่อน เหาะมาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น 22 เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น  24 “เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’  ทรงกำหนดไว้แล้วสำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด 25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหารและจะไม่เหลืออะไร  ประชาชนของผู้ครอบครอง จะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้   27 ผู้นั้น จะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”

 

เขาบอกทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าประทานคำตอบ ซึ่งเรานำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง “ท่าน” ก็คือดาเนียล เป็นตัวแทนของอิสราเอล … อิสราเอลเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า อิสราเอลเป็นตัวแทนของมนุษย์บนโลกใบนี้ ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักยิ่ง ถูกหรือไม่ถูก? คำตอบนี้มาถึงเราด้วย เอเมน

ครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันตรงประเด็น ในข้อที่ 23 ที่บอกว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าประทานคำตอบ ซึ่งเรานำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญและเข้าใจในนิมิตนั้นเถิด”

พระเจ้ากำลังบอกมนุษย์ทั้งหมดว่าจงใคร่ครวญและฟังนะ นี่เป็นจริง ฉันทำเพื่อเธอ ทูตสวรรค์บอกว่าทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน  พระเจ้าก็ประทานคำตอบให้แล้ว อธิษฐานยังไม่ทันเสร็จเลย แค่เริ่ม

“ข้าแต่ …”

ตอบแล้ว จบแล้ว  เวลาเราอธิษฐาน

“ข้าแต่พระเจ้า …”

แค่เริ่มต้นอธิษฐาน พระเจ้าตอบแล้ว พระเจ้ารู้ล่วงหน้าหมดแล้ว คิดอะไรอยู่ในใจ จะอธิษฐานขออะไร? พระองค์ก็ได้เตรียมคำตอบไว้ให้ดีที่สุดกว่าที่ที่มนุษย์จะคิดได้ด้วยซ้ำ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น และแผนการของพระเจ้า จัดเตรียมไว้ให้นั้น  จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ดาเนียลอาจจะแค่ทูลขอให้ประเทศของเขา ชนชาติของเขา คืออิสราเอล ได้มีโอกาสกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนจริงๆ ตามคำเผยพระวจนะ และขอพระเจ้าเมตตาช่วยเหลือชาวอิสราเอล และลูกหลานของเขา ประชาชนของเขา  อย่าดื้อกับพระเจ้าอีกเลย  อย่าทำบาปอีกเลย อย่าเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้าอีกนะ เขาคงคิดว่าอย่างนั้น แต่พระเจ้าบอกว่าสิ่งที่พระองค์เตรียมไว้ให้นั้น ดีกว่านี้  และเป็นแผนการของพระองค์ที่ดีที่สุด

ภาษาฮีบรู ตรงนี้แปลว่าทูตสวรรค์มาบอกว่าพระเจ้าได้เตรียมคำตอบนั้น จงฟังให้ดีๆ คำตอบนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเจ้า พูดคำนี้เลย

จำได้ไหมครับว่าตัวอย่างในครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าคำตอบของพระเจ้า ก็เหมือนคำตอบของพ่อ ในเรื่องบุตรน้อยหลงหาย ที่ลูกชายกลับมาขอเป็นลูกจ้าง เพื่อแลกกับเศษอาหาร แต่พ่อก็บอกว่าอย่ามัวแต่ขอเศษอาหารเลย มาเป็นลูกเราดีกว่า จัดงานเลี้ยงไว้ให้เลย  แล้วยังแถมเป็นเจ้าของมรดกต่างๆ เป็นทายาทเลย ไม่ต่างกัน เรามนุษย์คิดแค่จะไปเป็นทาส ถ้าพระเจ้าจะให้เป็นบุตรเลย ไม่เป็นบุตรธรรมดา เป็นทายาท เป็นทายาทแปลว่ามีมรดกให้ด้วย เป็นเจ้าของคฤหาสน์เลย  ยกตัวอย่างให้เห็นว่าพระเจ้าเตรียมสิ่งดีให้กับมนุษย์เสมอ

และประเด็นที่เราจะมาดูกัน ในวันนี้ ก็คือคำตอบของกาเบรียล ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้า ซี่งจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ทุกคน

นี่ก็คือส่วนหนึ่งของข่าวดี ที่เราจะต้องได้ยินได้ฟัง จะได้ไปบอกคนอื่น ที่เขายังไม่รู้ ยังไม่ได้มาเชื่อพระเยซู ยังไม่ได้มาเป็นคริสเตียน เขาจะได้ยินข่าวดีนี้ เพราะข่าวดีนี้ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้ มนุษย์สำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งสิ้น เพราะว่ามนุษย์เป็นลูกของพระองค์ เป็นพระฉายของพระองค์นั่นเอง ก่อนที่จะมาดูรายละเอียดว่าคำตอบที่กาเบรียลนำมาบอกให้ฟังนั้น  หมายถึงอะไร? ผมจะอ่านประวัติศาสตร์ก่อน

ประวัติศาสตร์ คือเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นแล้ว มีร่องรอยหลักฐานที่จดบันทึกไว้ทั้งหมด เราเรียกว่าประวัติศาสตร์ ผมจะอ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องกรุงเยรูซาเล็ม

 

ประวัติศาสตร์เมืองเยรูซาเล็ม

ไม่ได้เกี่ยวกับเฉพาะชาวยิว ที่เรารู้ว่าตอนนี้อยู่เยรูซาเล็ม ไม่ได้หมายถึงเกี่ยวพันกับชาวคริสต์ แต่เกี่ยวพันกับมนุษย์ทั้งโลก รวมทั้งเราด้วย

เยรูซาเล็ม  เป็นเมืองหลวงทางศาสนาของประชากรกว่าครึ่งหนึ่ง ของมวลมนุษยชาติ ….สำหรับชาวยิว  เยรูซาเล็ม เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในอนาคต  ..  สำหรับชาวคริสต์ เยรูซาเล็ม เป็นเมืองที่ เป็นพยานถึงการสิ้นพระชนม์  และการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

เยรูซาเล็ม ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก อีกทั้ง ยังเป็นเมืองแห่งความทารุณโหดร้ายแห่งสงคราม   ที่ประตูเมืองแห่งนี้  มีการสู้รบ  มากกว่าเมืองใดใดในโลก … เมืองเยรูซาเล็ม  เคยถูกล้อมมากกว่า 50 ครั้ง  เคยถูกยึด 36 ครั้ง   และเคยถูกทำลายมาแล้ว กว่า 10 ครั้ง  … ไม่มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่า  กรุงเยรูซาเลมเริ่มมีขึ้นมาเมื่อใด   ครั้งแรกที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเมืองนี้  ก็คือในสมัยอับราฮัม โดยมีชื่อว่า “ซาเล็ม”  ซึ่งแปลว่า  “สันติสุข”

ในศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์เดวิด ได้ยึดเมืองนี้  และตั้งเป็นเมืองหลวง  โดยนำหีบพันธสัญญามาตั้งไว้ … พระเจ้านำดาวิด บอกให้ดาวิดทำอย่างนี้

ปี 965-922 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ซาโลมอน โอรสของกษัตริย์เดวิดได้ปรับปรุงเมืองนี้ และสร้างพระวิหาร แห่งพระเจ้าสูงสุด

วิหารเริ่มสร้างขึ้น  ตอนสมัยดาวิด ยังใช้พลับพลา สร้างด้วยมือ แบบโมเสส พอลูก คือซาโลมอน สร้างเป็นวิหาร เป็นอิฐ เคลื่อนที่ไม่ได้ เรียกว่าวิหารของซาโลมอน ในกรุงเยรูซาเล็ม

ประมาณ 600 ปี ก่อนคริสตกาล อาณาจักรบาบิโลน ได้ยึดกรุงเยรูซาเลม ทำลายพระวิหารและกวาดต้อนชาวยิวไปเป็นทาสที่เมืองบาบิโลน ทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นเมืองร้าง

ประมาณ 540 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวยิวได้กลับสู่กรุงเยรูซาเลม และสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ … ซึ่งเรากำลังจะเรียนต่อไป

ประมาณ 332 ปี ก่อนคริสตกาล กษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งกรีก  ได้ยึดกรุงเยรูซาเล็ม

ประมาณ 168  ปี ก่อนคริสตกาล  กษัตริย์อันติโอกัส ได้ทำลายกำแพงเมืองเยรูซาเลม

ประมาณ 63  ปี ก่อนคริสตกาล  อาณาจักรโรม ได้ยึดเมืองเยรูซาเล็ม

ประมาณ 37  ปี ก่อนคริสตกาล  เฮโรด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ของชาวยิว  พระองค์ได้ทำการปรับปรุง กรุงเยรูซาเล็มให้กลับมาสวยงาม และได้สร้างกำแพงและพระวิหาร … ใช้ชื่อว่าวิหารของเฮโรด ขึ้นใหม่ อย่างสวยงามกว่า (ช่วงที่พระเยซูมาเป็นมนุษย์ ก็คือในสมัยกษัตริย์เฮโรดนี้)

ท่านเข้าใจแล้วนะ พระเยซูเกิดช่วงนี้ ช่วงเฮโรดเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ที่ถูกแต่งตั้ง โดยโรม

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าเฮโรด มีพระราชโองการ ให้ประหารเด็กทุกคนในหมู่บ้านเบธเลเฮม เพราะทรงหวาดกลัวว่าเด็กที่เกิดใหม่จะเติบโตขึ้นมาเป็น “กษัตริย์แห่งชาวยิว” เพราะเข้าใจผิดว่าคำเผยพระวจนะบอกล่วงหน้า ในช่วงนี้ จะมีบุคคลหนึ่งมาเกิด เป็นกษัตริย์ของชาวยิว แต่ความหมายตรงนี้ คือกษัตริย์ทางวิญญาณ หมายถึงพระเยซู แต่เฮโรดตกใจ กลัวว่าจะเป็นกษัตริย์ ธรรมดา ไม่เข้าใจหรอก ก็กลัวไว้ก่อน คิดว่าจะมาเป็นกษัตริย์แทนเขา ก็เลยตัดสินใจฆ่า ตั้งแต่อายุ 2 ขวบลงมา

ปี ค.ศ.70  กรุงเยรูซาเลมถูกทำลายโดยกองทัพ โรมัน  นำโดย ทีตัส

หลังปี ค.ศ.70 ชาวยิวได้รวมตัวก่อกบฎต่อต้านการปกครองของรัฐบาลโรมัน ส่งผลให้จักรพรรดิ์เวสปาเซียน มีพระบัญชาให้ทีตัส แม่ทัพใหญ่ แห่งกองทัพโรมัน ปิดล้อมกรุงเยรูซาเล็มจนชาวยิวไม่สามารถเดินทางเข้าออกจากกรุงเยรูซาเล็มได้ ประมาณกันว่ามีชาวยิวเสียชีวิต ในสงครามครั้งนี้ กว่าล้านคน

ปี ค.ศ.132-135 จักรพรรดิเอเดรียน ได้สร้างกรุงเยรูซาเลมขึ้นใหม่ และสร้างสถานนมัสการตามแบบอย่างของโรมัน ตั้งชื่อว่า “เอลีอา กาปีโตลียา” ในช่วงนี้ พวกยิวถูกห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด หากจับได้จะมีโทษประหารชีวิต

ปี ค.ศ.330  จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ผู้กลับใจมาเชื่อพระเยซู เป็นจักรพรรดิ์โรมัน ได้เปลี่ยนกรุงเยรูซาเลมให้เป็นเมืองคริสต์

ปี ค.ศ.614 ชาวเปอร์เซียยึดกรุงเยรูซาเลม และทำลายวัดวาอารามต่างๆ

ปี ค.ศ.636  เยรูซาเลมตกอยู่ภายในอำนาจของอาหรับ ซึ่งได้รักษาอำนาจนี้เป็นเวลา 500 ปี

ปี ค.ศ.1099 กรุงเยรูซาเลมถูกยึดจากสงครามครูเสด และกลายเป็นที่ตั้งของอาณาจักรละติน

ปี ค.ศ.1517 เมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวเติร์ก และอยู่ในการปกครองตลอด 400 ปี

ปี ค.ศ.1917 พันธมิตรได้ยึดกรุงเยรูซาเลม และให้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 1 – 2

พอจบสงครามโลก ครั้งที่ 2 เริ่มเข้าที่แล้ว หลายคนก็เป็นอยู่ในตอนนี้ว่าผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อพันธมิตรชนะ ก็ได้ยื่นข้อเสนอให้ศาลในขณะนั้น  ที่พิพากษาเรื่องเกี่ยวกับกรณีสงคราม กรณีต้องจ่ายค่าใช้หนี้ คนไหนแพ้

สรุปแล้ว ตอนนั้น ได้มีทำพันธสัญญาเกิดขึ้น และได้อนุญาตให้ชาวอิสราเอลทั้งหมด ที่ไม่ได้มีประเทศอยู่ ตั้งหลายปีมาแล้ว สามารถกลับมายังประเทศของตนเองได้ ที่ประเทศอิสราเอลในปัจจุบันนี้ เข้ามารวมตั้งประเทศอิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง จากไม่มีแล้ว หายไปแล้ว  เป็นศูนย์ไปแล้ว เหมือนประเทศเกิดใหม่อีกที มีแต่ประชากร แต่ไม่มีประเทศ ประชากรไปอยู่ไหน? อยู่ในประเทศโน้นประเทศนี้ อยู่ในอเมริกา อยู่ในยุโรป อยู่ในประเทศไทยก็มี ยิวทั้งหลายทั่วโลก ก็แห่กันกลับไปตั้งรกราก กลับไปอยู่ที่เดิม ทุกวันนี้ ตอนนั้น ปี ค.ศ.1948

ปี ค.ศ.1948 เกิดสงครามระหว่างยิวและอาหรับ … ไปตั้งแล้ว อาหรับ ประเทศที่อยู่ข้างๆ อยู่ดีๆ มาได้อย่างไร? ก็เห็นว่ามีพวกมากกว่า ก็เลยพยายามที่จะเข้าไป ขับไล่ชาวยิว ชาวอิสราเอล

เกิดสงครามระหว่างยิวและอาหรับ กรุงเยรูซาเลมถูกแบ่งดินแดนเป็นเยรูซาเลมตะวันตก ปกครองโดยอิสราเอล และเยรูซาเลมตะวันออก ปกครองโดยจอร์แดน

ปี ค.ศ. 1967 มีสงคราม 6 วัน อิสราเอลได้ยึดเยรูซาเลมตะวันออก ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจอร์แดน  และประกาศให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล

นี่คือประวัติศาสตร์ ให้ท่านเห็นภาพการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น อย่างที่ผมบอกท่าน เมื่อพูดถึงเยรูซาเล็มเมื่อไร? ท่านจงนึกถึงภาพ เหมือนเยรูซาเล็มเป็นตัวดำเนินเรื่องระหว่างพระเจ้า ติดต่อกับมนุษย์อย่างไร? จะพาให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป คำสาปแช่ง เยรูซาเล็ม เหมือนสถานที่การดำเนินเรื่อง สำหรับบุคคลที่แสดง ก็คือชาวยิว อิสราเอล

ประวัติศาสตร์ที่ผมพูดมานี้ คือแผนการของพระเจ้า ที่เปิดเผยในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และหนึ่งในนั้น เรากำลังเรียนในหนังสือดาเนียล บทที่ 9 นี้

พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือการบอกล่วงหน้า ถึงแผนการล่วงหน้าของพระเจ้า ที่จะมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย  แล้วเฉพาะเรื่องของดาเนียล ที่เรากำลังเรียนอยู่ตอนนี้ มันช่วง 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด  หรือประมาณ 2,600 ปีนับย้อนไปจากนี้

คราวนี้เรามาเข้าเรื่องในพระคัมภีร์ดาเนียล  บทที่ 9   มาดูว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์กาเบรียลได้ตอบดาเนียลนั้น มีความหมายอย่างไร?  และตรงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างไรบ้าง? ฟังแล้วเต็มไปด้วยความเชื่อ เต็มไปด้วยความหวังใจ เต็มไปด้วยความชุ่มชื่นใจว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เรานึกว่าเรามาเชื่อพระเยซู ดีใจแล้ว เราไม่นึกว่าเรื่องราวของพระองค์ละเอียดยิ๊บ และจะยิ่งใหญ่อย่างนี้จริงๆ เลย เราก็เคยเชื่อว่าพระองค์ทรงครองโลกทั้งหมด ดูแลทุกอย่าง แต่พอเรามาเห็นรายละเอียดต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ และให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ที่ผ่านมาแล้ว มีหลักฐานด้วย  เรายิ่งเกิดความชุ่มชื่นใจ รู้สึกพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าเดิม จริงๆ เท่าเดิมแหละ แต่ความรู้สึกยิ่งใหญ่กว่าเดิม เรานั่นแหละเปลี่ยน พระเจ้าไม่ได้เปลี่ยน

เริ่มที่ข้อ 24 ที่บอกว่า “จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์และเพื่อเจิมผู้บริสุทธิ์ที่สุด”

มีคนที่เขาศึกษาพระคัมภีร์เคยบอกไว้ว่าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งหมด ในข้อนี้ ที่เรากำลังจะตีความ ยากที่สุด  ยากตรงที่ “70” ของ “7” หลายคนก็พยายามจะเชื่อมโยงภาษาเดิมบ้าง? นับวัน นับเดือน นับปีให้ได้ บางทฤษฎีก็เรียก “70” ตรงนี้ว่าเป็น 70 สัปดาห์ 70 สัปตะ 70 ทศวรรษ อะไรก็ว่าไป ผมก็ได้ค้นคว้าและศึกษามาหลายทฤษฎีแล้ว แล้วก็ได้สรุปว่า 70 นี้ ไม่รู้เหมือนกัน  ไม่มีใครฟันธงสักคนว่าเป็นอย่างไร? ทุกคนที่เขาศึกษาทุกยุคทุกสมัย หลายร้อยปีแล้ว สรุป …

หนึ่งอาจจะเป็นอย่างนี้

สองอาจจะเป็นอย่างนี้

สรุปมา 9 ข้อ แล้วก็บอกว่าใน 9 ข้อ ไม่แน่อาจจะข้อไหน? จบ เลิก เก็บสมุด กลับบ้าน เสียเวลาไป 20 กว่าปี อะไรประมาณนั้น เพราะฉะนั้น ผมเสียเวลาน้อยกว่าเขา ก็สรุปว่าไม่รู้เหมือนกัน

บางคนบอกไว้อย่างนี้ว่ามันอาจเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งผมเชื่อ ผมชอบอันนี้มากกว่า

สรุปแล้ว คือเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่ง เป็นตัวเลขที่บอกถึงความครบถ้วน ความบริบูรณ์ ความสมบูรณ์ เพราะพระคัมภีร์มีหลายแห่งที่ใช้เลข 7 เพื่อบอกความหมายในลักษณะอย่างนี้ เช่น พระเจ้าทรงใช้เวลาสร้างโลก 6 วัน และหยุดพักในวันที่ 7 คือมันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว วันสะบาโต คือวันที่ 7 เพราะมันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ที่พระเยซูบอกให้เราอภัยให้คน 70×7 ก็คือเป็นการยกโทษให้แบบสมบูรณ์ ยกโทษแน่นอน คือเราไม่ได้คิดอะไรเลย

คำว่า “ยกโทษแน่นอน” ก็คือเราไม่ได้คิดโกรธเขาเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่มียกโทษให้ใครแล้ว เพราะมันไม่มีโกรธ ไม่มีถือโทษ แล้วจะไปยกโทษอะไรเล่า เข้าใจหรือเปล่า?  เหมือนเราเกิดใหม่ในพระคริสต์ เราเกิดใหม่ พระเจ้าไม่ต้องอภัยให้เราแล้ว เราไม่ต้องมานั่ง พระเจ้าขออภัยให้ลูกด้วย เพราะอภัยให้ 70×7 ไปแล้ว แปลว่าอภัยให้เรา 490 ครั้งเหรอ ไม่ใช่ แปลว่าอภัยให้เราแบบครบถ้วนบริบูรณ์ไปแล้ว  ไม่ต้องมาขออีก เข้าใจไหม?  ผมเชื่ออย่างนี้มากกว่า คำว่า “7” ตรงนี้ คือครบถ้วนบริบูรณ์

เพราะฉะนั้น ตัวเลข 7 ในที่นี้ ก็คือช่วงเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ คือแผนการพอดี ครบ เท่าไรไม่รู้ มีพระองค์ผู้เดียวที่ทราบ คือพระบิดา เหมือนที่เราเรียนรู้เรื่องราวก่อนหน้านี้ บทที่ 8 ที่บอกวาระ ครึ่งวาระ สองวาระ สามวาระ แล้วเราก็สรุปวาระ ก็คือช่วงเวลา ก็มีเวลาหนึ่ง จบ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใจความที่สำคัญของความหมายในข้อนี้ มันไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลา แต่อยู่ที่ มันเกิดอะไรขึ้น  และมันเกิดขึ้นตามนั้นจริงไหม และสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น มีความหมาย มีความสำคัญต่อเรา  มนุษย์บนโลกใบนี้อย่างไรบ้างต่างหาก ตรงนี้สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น อย่าทิ้งตรงนี้ เสียเวลาไปนั่งหา 7777

นี่ข่าวสารมาจากพระเจ้า มาถึงมนุษย์ทุกคน มาถึงเราด้วย  70 ของ 7 ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ ก็คือเวลาช่วงหนึ่ง ได้กำหนดแล้ว พี่น้องร่วมชาติ นครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ เพื่อเจิมผู้บริสุทธิ์ที่สุด

คำว่า “เลิกการล่วงละเมิด” เลิกทำบาปตรงนี้  ภาษาไทยอาจจะใช้คำที่ไม่ค่อยจะตรงนักกับความหมายเดิม เพราะถ้าแปลตามภาษาเดิม ตรงนี้หมายถึงพระเจ้าเตรียมการลบล้าง การทำให้สิ้นสุดของความบาป และคำสาปแช่งที่ต้องชดใช้ เนื่องจากเหตุแห่งการทำบาป

ภาษาอังกฤษ คือ To finish the transation to make and ate of end. ก็คือเอาความบาปออกไป เอาการลงโทษออกไป  พระเจ้าเตรียมตรงนี้ไว้ให้ จะเห็นภาพชัดเจน  ความหมายของข้อนี้ ก็คือในช่วงเวลาที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ สำหรับมวลมนุษยชาติ พระองค์จะทรงลบล้างความบาป ความชั่วร้ายให้จบสิ้นไปสักทีหนึ่ง ไม่ใช่จากอิสราเอลอย่างเดียว  ไม่ใช่จากชีวิตของดาเนียลอย่างเดียว แต่จากชีวิตของมวลมนุษยชาติ มนุษย์ไม่ต้องรับโทษของความบาปอีกต่อไป ก็คือคำสาปแช่งนั่นเอง และจะได้กลับมาเป็นผู้ชอบธรรมอย่างถาวรนิรันดร์ มาเป็นลูกของพระเจ้า

กลับมาที่ 70 ของ 7 อีกทีหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆ แล้ว คือระยะเวลาเท่าไร? แต่จากระยะเวลาที่เราอ่านในข้อที่ 24-27 พอสรุปได้ว่าเหตุการณ์ตรงนี้ ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ พระเจ้าบอกว่ามันแบ่งออกเป็น 3 เหตุการณ์

ช่วงที่ 1 ในพระคัมภีร์เขียนว่า 7 ของ 7 แปลว่าไม่รู้ ต้องการแค่นี้

ช่วงที่ 2 เรียกว่า 62 ของ 7 ระยะเวลาเท่าไร? ไม่รู้

ช่วงที่ 3 เรียกว่า 1 ของ 7 นานเท่าไร? ไม่รู้

มาดูกันว่าแต่ละช่วงเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เริ่มต้นจากช่วงที่ 1 ในข้อ 25 คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’

7 ของ 7 เริ่มต้นตอนที่กษัตริย์ไซรัสได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิว ชาวอิสราเอล ที่เป็นเชลยอยู่ สามารถกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน ไปกอบกู้ ไปฟื้นฟูประเทศของตัวเองได้ ที่เยรูซาเล็ม ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ในเอสรา 1:1-3

เอสรา 1:1-3 “1 ในปีที่หนึ่งของรัชกาลกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้พระดำรัสของพระองค์ ที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์สำเร็จ โดยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดลใจกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ให้ออกประกาศทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ และให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ความว่า 2 “กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ตรัสดังนี้ว่า “‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ได้ประทานราชอาณาจักรทั้งสิ้นของโลกนี้แก่ข้าพเจ้า และได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้า สร้างพระวิหารถวายแด่พระองค์ ที่เยรูซาเล็มในเขตยูดาห์ 3 ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่เป็นประชากรของพระเจ้า ขอให้พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และให้เขากลับไปยังเยรูซาเล็มในยูดาห์ และสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระเจ้าผู้ประทับในเยรูซาเล็ม”

 

นี่คือกฤษฎีกาที่ออกโดย “ไซรัส” เรากลับมาดาเนียล 9:25 “ตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’”

จะมีช่วงเวลานี้  เพราะฉะนั้น ช่วงแรก คือ 7 ของ 7 จะเริ่มต้นที่การออกพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ไซรัส และไปสิ้นสุดที่ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง

เรามาดูตรงนี้ว่าคือใคร? คำว่า “ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้” ภาษาเดิมใช้คำว่า “Annointed one” คือผู้ที่ถูกเลือกไว้ว่าจะใช้ แปลแค่นี้นะ ซึ่งส่วนใหญ่ชอบไปแปลว่าพระเยซู พระคัมภีร์เดิมไม่ได้หมายถึงพระเยซูผู้เดียว เยอะแยะไปหมดเลย อาโรน ก็เป็น Annointed one โมเสสก็เป็น Annointed one ดาวิดก็เป็น Annointed one คือผู้ที่ถูกเจิม เรียกเอาไว้ ใช้อะไรบางอย่าง ที่พระเจ้าจะใช้เป็นพิเศษแค่นั้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่า “ปุโรหิต” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” ก็เป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ ตั้งไว้เหมือนกัน และในข้อนี้ เป็นไปได้ว่าน่าจะหมายถึงเอสรา … เอสราเป็น Annointed one ได้ เพราะว่าเขาอยู่ในตระกูลปุโรหิต อยู่ในเชื้อสายอาโรน อาโรนเป็นต้นตระกูลของกลุ่มชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกเป็นพิเศษให้เป็นปุโรหิต พระเจ้าจะใช้เฉพาะญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลนี้ เป็นปุโรหิต และเอสราก็เป็นเชื้อสายของอาโรนด้วย จบไปแล้ว หนึ่งช่วง

ช่วงที่ 1 ก็คือตั้งแต่ออกกฤษฎีกาให้กลับไปกรุงเยรูซาเล็มได้ จนกระทั่งเจอคนที่จะเป็นคนนำทัพ คือเอสรา กลับไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ กลับไปรื้อฟื้นการนมัสการ กลับไปรื้อฟื้นวิหารของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม

มาถึงช่วงที่ 2 หกสิบสองของเจ็ด จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก  พระเจ้าบอกแล้วเป็นอย่างไร? จำประวัติศาสตร์ของเมืองเยรูซาเล็มที่ผมได้อ่านให้ฟัง เมื่อตอนต้นได้ไหมครับ? เยรูซาเล็มถูกยึด ถูกทำลาย แล้วก็ได้รับการสร้างใหม่ แล้วก็ถูกทำลายอีก แล้วก็สร้างใหม่อีก ชาวยิวถูกข่มเหงรังแก นับครั้งไม่ถ้วน สงครามหลายครั้งทำลายชีวิตชาวอิสราเอล ชาวยิวไปมากมายมหาศาล และนี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น คือความหมายของช่วงที่ 2 “62 ของ 7” ที่บอกว่าจะมีการสร้างถนนหนทางคูเมือง แต่ในช่วงนี้เป็นช่วงทุกข์ยากลำบาก

พอช่วงแรกจบลงที่เอสราพาคนกลับไปรื้อฟื้น หลังจาก 70 ปี ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลของไซรัส จากเปอร์เซีย ก็ไปสร้างเมือง สร้างอะไรต่างๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ สวยสดงดงาม จบ

เริ่มช่วงที่ 2 ที่สวยสดงดงาม ก็เริ่มมีคูคลองเมือง อะไรต่างๆ พอเริ่มมีคูคลองเมืองปุ๊บ เริ่มต้นทุกข์ยากลำบากแล้ว เพราะความโปรดปรานที่พระเจ้าให้ผ่านทางกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย และมีเดียที่ครอบครองขณะนั้น มีเดียเปอร์เซียเริ่มแพ้สงคราม คนที่เข้ามาครอบครองบาบิโลน และครอบครองไปถึงเยรูซาเล็ม ในแถบนั้นทั้งหมด ก็คือกรีก อเล็กซานเดอร์มหาราชเข้ามา พอเปลี่ยนมือปุ๊บ ความโปรดปรานหมดไปด้วย ก็เริ่มถูกรังแก … รังแกมาก รังแกน้อย แล้วแต่พระเจ้าจะให้ใครมาครอบครอง แต่ไม่เคยเป็นอิสระเลย เป็นทาสเขามาตลอด ถูกเขาแกล้งตลอด ถูกเขาข่มเหงตลอด

อเล็กซานเดอร์มาครอบครองแป๊บเดียวเอง เพราะอเล็กซานเดอร์ เสียชีวิตไปอย่างเร็วมาก ยังพระชนม์น้อยมาก ทหารคนสนิทที่อยู่กับอเล็กซานเดอร์ ก็แย่งอำนาจกัน แบ่งกันครอบครอง ที่เป็นหัวใหญ่ๆ เลยของกรีก ก็มี 2 ขั้วใหญ่ๆ ขั้วหนึ่งเรียกว่าทอลามี คือตระกูลทอลามี อยู่อียิปต์ และอีกขั้วหนึ่งเรียกว่าเซรูซิส อยู่ซีเรีย แล้วทั้งสองอันนี้ ตรงกลาง คือเยรูซาเล็ม เขาสองกลุ่มบางทีก็ทะเลาะกัน แย่งกันไปแย่งกันมา แย่งอำนาจกัน ก็เชื้อสายกรีกนั่นแหละ แต่แย่งอำนาจกัน และมีเยรูซาเล็มเป็นที่รองรับอารมณ์ เวลาจะรบกันก็ต้องเดินผ่านอิสราเอล เยรูซาเล็ม เวลาใครจะตีใครก็ต้องเดินผ่านเยรูซาเล็ม 2 ประเทศนี้ 2 หัวขั้วนี้ แย่งชิงอำนาจกัน เยอะแยะยาวนานเลย  และมีหลายครั้งที่ฆ่า ปล้นเยรูซาเล็ม ปล้นพระวิหาร มีเงินมีทองอยู่ในนั้น อย่างนี้เป็นต้น

ต่อจากกรีก คือโรมัน … โรมันชนะอียิปต์ ชนะซีเรีย ก็มาครอบครองเยรูซาเล็ม อันนี้ท่านพอจะเห็นภาพแล้ว โรมันเข้ามา ก็มาข่มเหงอีกแหละ

ในช่วงที่ 2 จะมีการสร้างถนนหนทาง และคูเมือง และทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก ก็คือถูกข่มเหงรังแก โดยคนที่เข้ามาครอบครองใหม่ทั้งนั้น ช่วงที่ 2 ก็จะมาจบตรงที่โรมันเข้ามาครอบครอง

ช่วงที่ 3 ช่วงนี้สำคัญ ช่วงสุดท้าย ในพระคัมภีร์ใช้ช่วงว่า “1 ของ 7” นานเท่าไร? ไม่รู้ ตรงนี้ตื่นเต้นที่สุด ในข้อที่ 26-27 บันทึกอย่างนี้ไว้

ข้อ 26-27 “หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้”

ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ ในข้อนี้ ในภาษาเดิม ภาษาฮีบรู หมายถึงพระมาซีฮาห์ หมายถึงพระเยซูคริสต์ โดยตรงเลย ใช้คำนี้เป๊ะเลย  ที่บอกว่าจะถูกประหาร จะไม่เหลืออะไร? ฟังให้ดีนะ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูถูกประหาร ถูกฆ่า ถูกตรึงที่ไม้กางเขน โดยไม่มีใครอยู่ข้างพระองค์เลย ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนี้ พระองค์ถูกทอดทิ้ง แม้กระทั่งพ่อ คือพระบิดา ก็ทอดทิ้งพระองค์ พระเจ้าไม่สามารถอยู่ได้ พระเจ้าต้องออกจากพระองค์ไป เพราะพระองค์รับโทษบาปทั้งหลายของเราไว้ที่ตัวพระองค์ บนไม้กางเขน เป็นตัวแทนของความบาปของเรา พระเจ้าอยู่กับความบาปไม่ได้ ไม่ได้เกลียด แต่อยู่ไม่ได้ พระเจ้าต้องละพระองค์ไป พระองค์อยู่คนเดียวเลย รับโทษบาปของเราผู้เดียวเลย มนุษย์ก็ไม่เข้าใจ นี่มันหมายถึงตรงนี้ จำได้ไหมที่พระเยซูอยู่ไม้กางเขน แล้วบอกว่า …

“เอลี เอลี ลามา สะบักธานี พระบิดา พระบิดา ไฉน จึงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

มันหมายถึงตรงนี้นั่นเอง นี่มันตรงเป๊ะ ที่พระเจ้าบอกไว้อย่างไร? ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ จะถูกประหาร และจะไม่เหลืออะไร ก็คือไม่เหลือผู้รอบข้างเลย สาวกไป ก็ยังโอเค เขาไม่เข้าใจ  แต่พระเจ้าที่อยู่กับพระองค์มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนกำเนิดโลกนี้ ไม่เคยห่างกันเลย เป็นหนึ่งเดียวกันมาตลอด พระองค์ยังไปเลย พระองค์ไม่เหลือใครแล้ว

“ประชาชนของผู้ครอบครอง จะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไป จนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้”

ตามประวัติศาสตร์ที่บอกว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตและเป็นขึ้นมาในวันที่ 3 ตรงนั้นอยู่แถวๆ ค.ศ.30 ใน ค.ศ.30 ชาวยิวก็ยังคงถูกข่มเหงอย่างหนัก ตลอดมา จากโรมัน ผมเชื่อว่าเป็นแผนการของพระเจ้า ที่ให้เกิดสิ่งนี้ เพราะยิวเอง ก็ไม่ค่อยจะนิ่ง พระเยซูบอกว่าใครใช้ดาบ ก็ต้องตายด้วยดาบ ถ้ามาทางพระเยซูไม่ใช่วิธีนี้  แต่ยิวเอง ก็พยายามที่จะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากการเป็นทาสเขา นึกว่าพระเจ้าจะมาช่วยเขาให้รอดจากการเป็นทาส หมายถึงการเป็นทาสจากมนุษย์ แต่ “ทาส” ที่พระเยซูบอก หมายถึงทาสทางฝ่ายวิญญาณ ทาสของความบาป แต่เขานึกว่าช่วยเขา เหมือนกับสมัยกษัตริย์ดาวิดที่ถูกเจิมตั้งไว้ ประเทศอิสราเอลเป็นประเทศมหาอำนาจ เขาคิดว่าอย่างนั้น เขาพยายามดื้อ พยายามกบฏ จำบารับบัสได้ไหม? ที่คนเลือกให้ปล่อย ปิลาตบอกนี่โจรชัดๆ ไปปล่อยเขาทำไม? พระเยซูบริสุทธิ์ ไปตรึงเขาทำไม? แล้วปุโรหิตเอง ฟาริสีที่เป็นปุโรหิตของอิสราเอล ชาวยิวขณะนั้น ตะโกนบอกว่า …

“เอาเขาไปตรึง”

“คุณแน่ใจนะว่าเอาเขาไปตรึง”

“เอาเขาไปตรึง”

แล้วปิลาตบอก “ถ้าคุณบอกเอาเขาไปตรึง คุณรับผิดชอบเองแล้วกัน ผมไม่เกี่ยว ผมล้างมือนะ ผมไม่ได้เป็นคนตรึงเขา”

ตรงตามพระคัมภีร์เป๊ะอีกแล้วว่าผู้ที่จะมอบแกะรับบาปนี้ได้ ต้องเป็นปุโรหิตของพระเจ้า เขามอบพระเยซูไป  แล้วคนเหล่านั้น อยากจะช่วยตัวเอง แม้กระทั่งยูดาส หนึ่งในสิบสองของสาวกพระเยซู เป็นพรรคชาตินิยม ก็คือเขายุ่งเกี่ยวอยู่กับพรรคของเขา คือพวกชาวยิวที่อยากจะต่อต้านกับโรมันที่มาข่มเหงรังแก โดยใช้ดาบ แล้วเขาก็นึกว่าพระเยซูคงมาเป็นผู้สนับสนุนเขา เพราะมีคนติดตามพระเยซูเยอะ พระเยซูไม่ทำอะไรเลย ทนไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองดีกว่า

ให้ท่านเห็นภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้โรมันเกิดความเหลืออด เหลือแค้น เดี๋ยวก็ดื้ออีกแล้ว เดี๋ยวก็กบฏอีกแล้ว พอไปทำอะไรนิดหนึ่ง ไม่พอใจ ก็กบฏอีก แล้วเรื่องที่กำลังพูดอยู่นี้ ในที่สุด พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว มันก็เกิดการขัดแย้งกันระหว่างชาวยิวกับผู้ครอบครองเมือง ที่ต่อจากปิลาตมา

พูดง่ายๆ ก็เกิดความขัดแย้งระหว่างวิธีการปกครองของโรมันกับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อ วิหารของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ชาวยิวเลยรวมหัวกัน เอาดาบมาสู้ ตอนแรกๆ ยิวชนะหลายครั้ง จนกระทั่งเนโร ซึ่งเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันในขณะนั้น ส่งกองทัพมา นึกว่าสู้ง่ายๆ แพ้อีก ในที่สุด ก็ส่งกองทัพใหญ่มาสู้รบ นำโดยนายพลติตัส ฆ่าไม่เหลือเลย

ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ในข้อที่ 27 ที่บอกว่า “ประชาชนของผู้ครอบครอง (ก็คือกองทัพของจักรวรรดิโรมัน) จะมาทำลายกรุงนั้น และสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม (ก็คือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฆ่าหมดเลย ทั้งเด็ก คนแก่ ชาย หญิง เพราะโมโหมาก แค้นมาก ไม่ใช่สงครามธรรมดา) สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และวิบัติตามที่กำหนดไว้ (ก็คือพระเจ้ารู้ล่วงหน้าบอกไว้แล้ว)

พระเยซูก็ได้เผยพระวจนะถึงเรื่องนี้ด้วย คือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ที่กำลังพูดนี้ คือ 40 ปีหลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บวกกับ ค.ศ.30 ก็คือ ค.ศ.70 เป็นปีที่โศกนาฏกรรมของอิสราเอล ของเยรูซาเล็ม ตามประวัติศาสตร์ที่บอกว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูแล้ว ชาวยิวก็ยังคงถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักตลอดมา 40 ปี จนถึงสุด ตามพระคัมภีร์ที่เผยพระวจนะไว้

ในหนังสือมัทธิว พระเยซูเอง ก็ได้ตรัสคำทำนายถึงเหตุการณ์นี้ ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงใกล้ๆ ปี 70 บันทึกไว้ในมัทธิว 24:6-19

มัทธิว 24:6-19 “6 ท่านจะได้ยินข่าวสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม จงระวัง อย่าตื่นตกใจ สิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงจุดจบ 7 ประชาชาติต่อประชาชาติ อาณาจักรต่ออาณาจักรจะสู้รบกัน จะเกิดการกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ 8 สิ่งทั้งปวงนี้ คือขั้นเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนคลอดบุตร 9 “แล้วท่านจะถูกมอบไว้ให้เขาข่มเหงและประหัตประหาร ชนชาติทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะเรา 10 ครั้งนั้น หลายคนจะหันเหจากความเชื่อ จะทรยศหักหลังและเกลียดชังซึ่งกันและกัน 11 แล้วจะมีผู้เผยพระวจนะเท็จมากมาย มาหลอกลวงประชาชนเป็นอันมาก 12 เนื่องจากความชั่วร้ายเพิ่มทวีขึ้น ความรักของคนส่วนใหญ่จะเย็นชาลง 13 แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุด จะได้รับการช่วยให้รอด 14 และข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้านี้ จะถูกประกาศไปทั่วโลก เป็นพยานแก่มวลประชาชาติ แล้วยุคนี้จะสิ้นสุด 15 “ฉะนั้นเมื่อท่านเห็น ‘สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ’ ในสถานบริสุทธิ์ ดังที่ได้ตรัสไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะดาเนียล 16 แล้วให้ผู้ที่อยู่ในยูเดียหนีไปที่ภูเขา 17 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้านของตน อย่าลงมาหยิบสิ่งใดออกจากบ้าน 18 ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนา อย่ากลับมาเอาเสื้อคลุม 19 วันเหล่านั้น น่าหวาดกลัวยิ่งนัก สำหรับหญิงมีครรภ์และแม่ลูกอ่อน”

 

ในดาเนียล 9:27 ได้บอกว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เกิดขึ้นตรงกลางช่วง 1 ของ 7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า … “ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมาก เป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ  จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อันเป็นต้นเหตุของวิบัติ ไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”

ตรงนี้แปลว่าอย่างนี้ นี่คือความหมายที่บันทึกไว้ในหนังสือฮีบรูว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียว ได้ลบล้างความผิดบาปของมวลมนุษยชาติได้ทั้งหมด และตลอดไป ทำให้มนุษย์กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ แบบถาวรนิรันดร์ … ตรงนี้หมายถึงพระเยซู จะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมาก ก็คือมวลมนุษยชาติ เป็นเวลา 1 ของ 7 ก็คือครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กลางของ 7 (คือระหว่างประกาศนั้น) ช่วงกึ่งกลางนั้น เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชา และของถวายต่างๆ ก็คือเมื่อตายที่ไม้กางเขนเสร็จแล้ว ก็เอาโลหิตไปถวายพระเจ้า ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แล้วก็สั่งยุติเครื่องบูชา คือต่อไปนี้ ไม่ต้องมาไถ่บาปตัวเองอีกแล้ว ตรงนี้แปลว่าอย่างนั้น

ตรงนี้บอกล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูจะตายที่ไม้กางเขนและหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย และมนุษย์ทุกคน รวมทั้งอิสราเอลมาหาพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้ว พูดง่ายๆ  ฮีบรู 10:11-14 ก็พูดถึงเรื่องนี้ คือพระเยซูทำเรียบร้อยแล้วทั้งหมด แล้วเปาโลได้รับการสำแดงจากพระเจ้า จากพระเยซู ได้เห็นในนิมิต ความหมายเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ให้กาเบรียลมาบอกกับดาเนียลได้รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้

ฮีบรู 10:11-14 “11 วันแล้ววันเล่า ที่ปุโรหิตทุกคนยืนปฏิบัติศาสนกิจ ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เขาถวายเครื่องบูชาแบบเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไปได้เลย 12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปครั้งเดียว สำหรับตลอดไป แล้วก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงรอคอยจนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

นี่คือความหมายของดาเนียล 9:27 ในช่วงแรกของข้อนี้

สำหรับช่วงที่ 2 ที่บอกว่า “แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งให้เกิดสิ่งสะอิดสะเอียน เป็นต้นเหตุของความวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนสุดท้ายมาถึงเขาตามกำหนดไว้”

ตรงนี้หมายถึงนายพลติตัส ที่จักรวรรดิโรมัน เอสฟาเซียนส่งมา เพื่อที่จะทำลายกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะมารบกับชาวยิวในขณะนั้น และเขาก็ทำลายได้จริงๆ  สิ่งที่เขาทำ ก็คือเขาได้ทำลายวิหาร แล้วไปตั้งพระของเขา ซึ่งเป็นรูปเคารพมาบูชาในวิหารของชาวยิว ทำให้ชาวยิวยิ่งโกรธมาก รวมกันสู้ แบบถวายชีวิต ยิ่งสู้ ยิ่งแย่ ในที่สุด ก็ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปหมดเลย ซึ่งพระเยซูก็ได้บอกล่วงหน้าแล้วว่ามันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น

ชาวยิวในสมัยก่อน ได้รับรู้เรื่องราวผ่านทางผู้เผยพระวจนะอย่างนี้ แต่เขาก็อยู่ด้วยความเชื่อ เพราะเขาไม่มีประวัติศาสตร์ บอกล่วงหน้า ไม่เหมือนเรา เราเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเรียนรู้เทียบประวัติศาสตร์ว่าเกิดขึ้นจริงตามนั้น เราได้เปรียบกว่ามากเลย

เพราะฉะนั้น พวกเราในวันนี้ มันก็ไม่น่าจะยากเลย ในการที่จะเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าส่วนที่เหลือทั้งหมด ที่พระคัมภีร์เผยพระวจนะ โดยพระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้า มันเหลืออีกนิดเดียว มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นแน่ๆ

ถ้อยคำทั้งหมดนี้ ที่มาถึงเราในวันนี้ ก็เพื่อที่จะย้ำยืนยันเราทุกคน เหมือนกับที่ทูตสวรรค์นำความหมาย นำข่าวดีนี้มาบอกกับดาเนียลว่า …

“ประชากรของพระเจ้าเอ๋ย เรามาเพื่อท่านจะได้ประจักษ์แจ้ง และเข้าใจ ทันทีที่ท่านได้เริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง”

ประชากรของพระเจ้า ก็คือมนุษย์เอ๋ย พระเจ้ารักท่านมาก รักจริงๆ รักอย่างสุดหัวใจเลย ท่านขอเพียงแค่ได้พระพรบนโลกใบนี้นิดเดียวเอง แต่พระเจ้าประทานให้ท่านอยู่ในสวรรค์ ท่านขออาจจะได้อยู่ในสวรรค์ แต่พระเจ้าบอกว่าท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นเจ้าของสวรรค์ด้วย  ครอบครองสวรรค์เลย  ท่านอาจจะขอว่าพระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงแค่ได้เกิดใหม่ไปเป็นมนุษย์ที่มีความร่ำรวย อย่าเกิดเป็นสัตว์เลย พระเจ้าบอกว่า …

“ฉันมีอย่างอื่นที่ดีให้กับเธอ ก็คือเธอไม่ต้องเกิดอีกเลย ไม่ต้องทุกข์อีกเลย ฉันมีร่างกายใหม่ให้กับเธอ มีโลกใหม่ให้กับเธอ”

บางคนอาจจะขอว่า “ชาติหน้าให้รวยๆ หน่อย ไม่ต้องอดอยาก เหมือนปัจจุบันนี้”

พระเจ้าบอกว่า “ฉันจะให้เธอรวยกว่านั้นอีก รวยทั้งร่างกาย จิตใจ รวยทั้งวิญญาณ เธอไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องโศก ไม่ต้องมีโรคภัยอีกต่อไป มันเป็นไปได้จริงๆ ฉันให้เธอแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์” หมายถึงอย่างนั้น

พระคัมภีร์บอกว่า “โดยพระองค์เอง พระเยซูคริสต์ ได้แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของเราไว้ที่ตัวพระองค์เองที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตมาอยู่ในความชอบธรรม โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการชำระ ได้รับการรักษาให้หายแล้ว”

หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่เป็นมะเร็งหรือ! ไม่ใช่ หายจากการเป็นบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์กาลแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นเจ้าของสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นทาส แต่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้อาศัยด้วย แต่อยู่ในฐานะของผู้บริหาร ร่วมกับพระเยซูคริสต์

ดังนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่พระเจ้าสร้างโลก จนมาถึงเหตุการณ์บนไม้กางเขน  รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น นับจากนี้ต่อไป ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นแผนการของพระเจ้า ที่จะนำเอาความรอดจากบาป และชีวิตนิรันดร์มาให้กับมนุษยชาติที่พระองค์ทรงรักยิ่งมากเลย อยากจะพูดคำนี้ ไปถึงท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ว่าข่าวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้คริสเตียนฟังอย่างเดียวเท่านั้น คริสเตียนเขาได้ไปแล้ว

แต่ข่าวดีนี้ มีสำหรับคนที่ยังไม่ได้ยินข่าวดี หรือได้ยินแล้วยังเฉยๆ อยู่ จึงอยากบอกว่ามันสำคัญมาก ทำไมต้องมีไม้กางเขน ไม้กางเขน คือสัญลักษณ์เท่านั้นเอง ที่ทำให้นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนจริงๆ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ในวันที่ 3 พระองค์ได้แบกรับเอาบาปทั้งหลายเราไปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เพียงแต่ใช้สิทธิของเรา เปิดใจของเรา

“ฉันเอาๆ”

แค่นี้เอง จบแล้ว นี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ บางคนบอกข่าวดี ประกาศเมื่อตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นั่นก็ถูก แต่จริงๆ มีข่าวดีมาตั้งแต่วันแรกแล้ว ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ก็เป็นข่าวดีทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ให้ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการเตือนใจ ให้เรานึกถึงถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าที่บอกเราในเรื่องราวความจริง เกี่ยวกับการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ในคำบรรยายนี้ทั้งหมด วางภาระเราลง วางความเห็นว่าตัวเองถูก ตัวเองดี วางความหยิ่งยโส ความจองหองลงไว้กับพระเจ้า แล้วก็ดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจ เข้ามาหาพระองค์ ถ้ายังไม่รู้ ก็พระเจ้า เขาพูดถึงเรื่องนี้ อยากจะรู้ อยากจะได้ เดี๋ยวท่านก็จะเจอเอง และให้เราวางใจในพระเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จากนี้ต่อไป ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีต่างๆ เรารู้ตอนจบแล้ว ตอนจบเราชนะ ตอนจบเราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ขอพระเจ้าทรงใช้เรา ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือคำอธิษฐานของเรา ต่อไปนี้ไม่ต้องอธิษฐาน

“ขอพระเจ้าช่วยลูกด้วย”

ไม่ต้องขออะไรมากเลย ขออย่างเดียว

“พระเจ้าขอใช้ลูกให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เป็นไปตามที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ในแผนการใหญ่ๆ ของพระองค์ ให้ลูกมีส่วนร่วมอยู่ในนั้น เพราะลูกรู้แล้ว”

เอเมน ขอบคุณพระเจ้า  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 16 “คำอธิษฐานของดาเนียล” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  พฤษภาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 16 “คำอธิษฐานของดาเนียล”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราก็ต่อ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 16  เราจะมาดูเรื่องราวของดาเนียลกันต่อ ในหนังสือดาเนียล มีอยู่ทั้งหมด  12 บท เราเรียนรู้ผ่านกันไปแล้ว 8 บท วันนี้จะมาต่อในบทที่ 9 และทั้งหมดที่เราเรียนมา 15 ตอน จากดาเนียลทั้ง 8 บท ทั้งเรื่องราวตามพระคัมภีร์ ทั้งสืบเสาะเรื่องในประวัติศาสตร์มาควบคู่กันด้วย  สรุปสุดท้ายของทุกบททุกตอน ก็ย้ำกันตรงนี้แหละว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด  ทรงเป็นผู้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนด และเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น พระองค์จะเป็นผู้กระทำ ให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลดีสำหรับเราทั้งหลาย ที่รักพระองค์ เอเมน ที่เราใช้คำว่าพระเจ้าเป็นผู้กำกับที่ดีของโลกละครโลกนี้นั่นเอง เอเมน

เราจะมาเรียนรู้จักชีวิตของดาเนียลในบทที่ 9 มีชื่อตอนว่า “คำอธิษฐานของดาเนียล” ผมจะเล่าพื้นฐานให้ท่านฟังก่อน เพื่อว่าท่านฟังถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์จะได้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ตั้งแต่ปฐมกาลมา พื้นฐาน คือมนุษย์ตกลงไปในความบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่ง และพระเจ้าต้องการช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง

แล้ววิธีการของพระองค์ คือวางแผนไว้ แล้วแผนนั้น เริ่มต้นเขียนให้เรารู้ก่อนล่วงหน้า ในปฐมกาล  บอกเป็นแผนผังเลยว่าจะเกิดอันนี้ขึ้น สิ่งที่เรียกว่าจะเกิดต่อในอนาคต เราเรียกว่าคำเผยพระวจนะ เราเรียกว่านิมิต ความฝันที่บอกถึงอนาคต เพื่อว่าทุกคนจะได้รู้ว่าพระเจ้าควบคุมอยู่ นี่เกิดขึ้นจริงๆ ใช่พระเจ้าแล้ว ทุกคนก็รอคอยวันนั้น วันที่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์จะเป็นอิสรภาพจากความบาปและคำสาปแช่ง

แผนการของพระเจ้าเป็นอย่างนี้ พระองค์เริ่มต้นดิวกับมนุษย์ ให้มนุษย์ได้รู้ข่าวดีนี้ ข่าวดีที่พระเยซูจะมาปลดปล่อยให้มนุษย์เป็นอิสรภาพ จากความบาปและคำสาปแช่ง เริ่มต้นบอกข่าวดีนี้ตั้งแต่ตอนปฐมกาล

โดยเลือกตัวแทนมนุษย์ เพื่อจะติดต่อสื่อสาร กลุ่มนี้เราเรียกกันว่าชาวยิว หรืออิสราเอล คือมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่พระเจ้าเลือกไว้เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลายที่จะกระทำแผนการนี้ให้สำเร็จ

อิสราเอลทั้งกลุ่ม พระองค์ไปพูดกับทุกคนไม่ได้ พระองค์จึงเลือกอีกกลุ่มหนึ่งออกมา เป็นตัวแทนของกลุ่มนี้อีกทีหนึ่ง เพื่อที่จะมาใกล้พระองค์ เรียกว่าผู้รับใช้ เรียกว่าปุโรหิต หรือไม่ก็กษัตริย์ หรือไม่ก็ผู้รับใช้ที่เป็นผู้เผยพระวจนะ อย่างนี้เป็นต้น

ปุโรหิตจะทำหน้าที่ทางฝ่ายวิญญาณโดยเฉพาะ อยู่ในวิหาร ที่ทำด้วยมือ วิหาร ก็คือวัด อยู่ในวัด ทำพิธีอะไรต่างๆ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ เพื่อจะเล็งให้เห็นถึงอนาคตที่พระเยซูจะมาไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ความทุกข์ทรมาน ในกลุ่มปุโรหิต ก็จะมีหัวหน้าอีกคนหนึ่ง ใหญ่สูงสุด เรียกว่ามหาปุโรหิต มหาปุโรหิต คือตัวแทนของมนุษย์ ทุกคน ที่จะติดต่อกับพระเจ้า ปุโรหิต ไม่ใช่ตัวแทนเฉพาะชาวยิว  พระเจ้าเล็งไปถึงมนุษย์ทุกคนของกลุ่มชาวยิว กลุ่มชาวยิวเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคนเลย รวมทั้งเราทั้งหลายคนไทยด้วย  จะมีชาติไหนไม่รู้ จะรวมหมดเลย มหาปุโรหิตเป็นตัวแทน ติดต่อกับพระเจ้า พระเจ้าก็เริ่มแล้ว ในฐานะที่มนุษย์คนนั้นเป็นทาส

คำว่าทาสในที่นี้ เป็นเหมือนคนที่อยู่ในคุกตะราง ติดต่อพระเจ้าไม่ได้ ตกอยู่ในความบาปและความตาย ที่เรียกว่าคำสาปแช่ง หนึ่งในคำสาปแช่ง ก็คือมนุษย์ไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ ไม่สามารถติดต่อพระเจ้าได้ พอมนุษย์บาป พระเจ้าบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ เข้าใกล้กันไม่ได้ ตายเลย ไม่ใช่พระเจ้าต้องการฆ่าเขานะ แต่ตาย โดยคุณภาพ เหมือนกับที่บอกว่าทหารไปจับแค่หีบพันธสัญญา ที่เล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า แตะปุ๊บ ตายเลย  พระเจ้าไม่ได้ฆ่าเขา  แต่ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในความบริสุทธิ์ ในหีบนั้น กับความสกปรกของมนุษย์ แตะปุ๊บ ช็อตตาย เหมือนเราเอามือไปจับไฟฟ้าแรงสูง การไฟฟ้าไม่ได้ฆ่าเรานะ เราไปจับไฟฟ้าแรงสูง แล้วถูกดูดตาย นายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ไม่ได้ฆ่าเรา แต่ความเป็นจริงของธรรมชาติฆ่า เพราะว่าไฟฟ้าแรงสูง แรงเยอะ เรารับไม่ไหว ถ้าเราไปจับแบตเตอร์รี่ 12 โวลท์ก็ไม่เป็นไร?

ตอนนี้ท่านรู้แล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เวลาปุโรหิตในพระคัมภีร์ทำอะไร? ท่านจงเล็งไปถึง มนุษย์ทุกคนทำ เวลาพระเจ้าพูดกับปุโรหิต หรือพูดเผยพระวจนะไปยังผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ พระเจ้ากำลังพูดกับมนุษย์ทุกคน พระเจ้าบอกจะช่วยมนุษย์ทุกคน พระเจ้าบอกสาปแช่ง มนุษย์ทุกคน และถามว่าพระเจ้าตั้งใจจะสาปแช่งไหม? ไม่ได้ตั้งใจ ก็เหมือนอย่างที่บอก แตะไปแล้ว แตะเข้าไปสู่ความบริสุทธิ์ ฤทธิ์อำนาจของสายไฟฟ้าแรงสูงก็เข้ามาทำลายเรา ก็เหมือนเรา ตกลงไปในความทุกข์ลำบากแล้ว มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ เราต้องเป็นอย่างนั้น  ศาลไม่ได้ตั้งใจจะจับเราติดคุก ตำรวจไม่ได้ตั้งใจจับเราติดคุก แต่กฎหมายระบุไว้อย่างนั้นว่าถ้าเราไปตีหัวชาวบ้าน หรือฝ่าไฟแดง เราจะถูกจับ ตำรวจที่มาจับเรา เป็นแค่ทำตามบทบาทเท่านั้นเอง พระเจ้าทำตามกฎหมายของพระองค์ เมื่อมนุษย์ทำบาป เมื่อมนุษย์เป็นกบฏ ไม่ฟังพระเจ้า ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ก็ต้องโดนลงโทษ และการโดนลงโทษนั้น ก็เรียกว่าคำสาปแช่งนั่นเอง

เมื่อมีเผยพระวจนะมา อันนี้หมายถึงเราและมนุษย์ทุกคนด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเล็งไปถึงพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา ก็คือหัวหน้ามนุษย์ พระองค์จึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อจะไปเป็นตัวแทนให้กับพวกเรา มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ใช่เป็นตัวแทนของชาวยิว ไม่ใช่เป็นตัวแทนของคนเป็นคริสเตียน แต่เป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน

“พระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย”

ก่อนจะเข้าเรื่องดาเนียลในวันนี้ ผมจะสรุปให้ฟังก่อน เรื่องบุตรน้อยหลงหาย ในพระคัมภีร์ที่พระเยซูยกตัวอย่าง ชายคนหนึ่งมีบุตร 2 คน อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายคนเล็ก ก็ลุกขึ้นมา ขอแบ่งมรดกจากพ่อ เพราะต้องการไปเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง พูดง่ายๆ อยากอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ฟังพ่อแล้ว จะไปท่าเดียว ไม่เชื่อฟังต่อไปแล้ว นึกว่าตัวเองแน่ กบฏต่อพ่อนั่นเอง พ่อก็เลย ให้สมบัติไป อยากได้เอาไป ให้ไปส่วนหนึ่งตามที่เขาควรจะได้ ปรากฏว่าลูกคนนี้ เอาเงินทองไปผลาญจนหมด เรียกว่าสำมะเรเทเมา แย่มาก เสียชื่อพ่อด้วย จนในที่สุด ไม่เหลืออะไร จนต้องไปอาศัยเลี้ยงหมู กินข้าวหมูแทน ชีวิตลำบากมาก ทุกข์ยาก จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีความสุขสบาย เราเป็นถึงลูกเศรษฐีนะ สำนึกตัวได้ ก็เลยอยากจะกลับไปหาพ่อ แต่ก็กลัวว่าพ่อจะไม่รับ กลัวว่าเราทำผิดเยอะขนาดนี้  วันนั้นที่พ่อพูด แล้วเราเถียง เราแย่มาก ทำตัวไม่ดีด้วย พ่อเราชื่อเสียงเสียหมด

เพราะฉะนั้น ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไป แต่ก็คิดในใจว่าก็ไม่มีที่ไหน อย่างไรก็ต้องกลับไป ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ทำผิดเอาไว้เยอะ ก็เลยตั้งใจว่าจะขอกลับไป บอกพ่อว่า …

“พ่อ ไม่ต้องอภัยให้ ขอเป็นแค่ลูกจ้างก็พอ”

ปรากฏว่าเมื่อกลับไปถึงบ้าน พ่อเห็นลูกชายเดินมาแต่ไกล ก็ดีใจมาก เข้ามาสวมกอด พอลูกชายกำลังจะคุกเข่า บอกว่า …

“พ่อขอเป็นทาส”

ยังไม่ทันจะพูดเลย  พ่อบอกว่า “ไม่ต้องพูดๆ”

ลูกตกใจ นึกว่าพ่อไม่ให้เราอยู่ ไม่ใช่ ไม่ต้องพูด ไม่มีการอภัยเด็ดขาด เพราะไม่ได้คิดเลยว่าเขาทำอะไรผิด พ่อไปเรียกคนรับใช้มา ไปเอาแหวนกับเสื้อคลุมมาให้เขา แหวนกับเสื้อคลุม คือสิทธิอำนาจในการเป็นบุตร และในการครอบครองในบ้านหลังนั้น ยังไม่ได้ทำความดีอะไรเลย ทำความชั่วมาตลอด อยู่ดีๆ เดินเข้ามาปุ๊บ เอาไปเลย มาเป็นลูกเหมือนเดิม แล้วครอบครองบ้านหลังนี้เลย แล้วให้คนใช้ ไปจัดงานเลี้ยงเลย ล้มวัวเลย เพราะว่าลูกของฉันคนนี้ เขาตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ เหมือนมีชีวิตกลับคืนมาใหม่ ดีใจ

พระเยซูเล่าให้เราฟังว่าพระเจ้าคิดอย่างนี้ ผมเชื่อว่าคนที่มาเป็นคริสเตียนแล้ว มาเชื่อพระเจ้าแล้ว รู้จักพระเจ้าแล้ว ได้รับการไถ่จากพระเยซูแล้ว ก็จะมีคำอธิษฐานเหมือนเมื่อตะกี้นี้ มีความรู้สึกเหมือนกับเป็นลูกคนที่ไปทำชั่วมา และจะกลับมาขอแค่เป็นทาส ก็พอแล้ว เพราะผมรู้ว่าทุกคนคิดว่าตัวเองหลงหายไป ไปทำอะไรที่แย่ๆ มากๆ แม้เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว หลายครั้ง เรายังทำแย่อยู่เลย พอแย่ทีหนึ่ง เราก็รู้สึกฟ้องผิด

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย แย่เหลือเกิน”

แต่ผมอยากจะบอกท่านว่าทุกครั้งที่ท่านทำผิดพลาดไป พระเจ้าก็จะทำแบบนี้ พระองค์เข้าใจดีว่าเราเป็นมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายบาปนี้อยู่ เราก็เผลอ เดี๋ยวๆ ก็คิดหลงทางไป เดี๋ยวก็ทำผิดไป อยู่เสมอๆ พระองค์ทรงเข้าใจ แต่เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เพราฉะนั้น หลายครั้งที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด แล้วก็สำนึกได้ มันก็เหมือนกับบุตรน้อยหลงหาย เรื่องนี้เลย คือคิดว่าพระเจ้าคงโกรธ คงผิดหวังในตัวเรามากเลย ไร้ค่า แล้วก็สารภาพบาปกับพระเจ้า

“ลูกผิดไปแล้ว ขอโปรดให้อภัยลูกด้วย  ลูกแย่จริงๆ และลูกเลวที่สุด”

พระเจ้าไม่อยากให้เราคิดอย่างนั้น เดี๋ยวฟังเรื่องนี้ต่อไป ดาเนียลที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ ก่อนที่พระเยซูจะเกิดประมาณ 500 ปี พระเจ้าตอบเขาว่าอย่างไร?  เหมือนเมื่อตะกี้ เราเล่าเรื่องบุตรน้อยหลงหาย  พระเจ้าตอบว่า …

“แค่กลับมา พ่อก็ดีใจแล้ว อย่ามามัวขออภัยโน่นนั่นนี่เลย”

เพียงอยากได้แค่เศษอาหาร            พ่อไม่ใช่ให้แค่เศษอาหาร พ่อให้บ้านทั้งหลังไปเลย เข้ามาเลย ครอบครองไปเลย นี่เป็นของเจ้าอยู่แล้ว เรารอเจ้ามาตั้งนานแล้ว เราตั้งใจช่วยเจ้ามาตั้งนานแล้ว รอให้เจ้ากลับมา พอเจ้ากลับมา ก็ดีใจ

แค่นี้ คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำกับเราทั้งหลาย ที่คิดว่าเราแย่ เราไม่ดี

เรื่องราวของดาเนียล ตั้งแต่บทที่ 1 ที่บาบิโลนได้เข้ายึดครองกรุงเยรูซาเล็ม ในปี 605 ก่อน ค.ศ. และกวาดต้อนเอาชาวยิวมาเป็นเชลย ดาเนียล และเพื่อนอีก 3 คน คือชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก เป็นเชลยรุ่นแรก ในบทที่ 9 เป็นช่วงเวลาประมาณ 66 ปีหลังจากที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนมา ตอนที่บาบิโลนเข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงนั้นดาเนียลยังเป็นเด็กหนุ่มๆ อยู่ อายุประมาณ 14-15 เวลานี้ผ่านมา 66 ปีแล้ว เวลานี้ดาเนียลก็มีอายุประมาณ 80 กว่าๆ

ดาเนียล 9:1-2 “1 ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส โอรสของเซอร์ซีส (ทรงมีเชื้อสายมีเดีย) ซึ่งได้ครองอาณาจักรบาบิโลน 2 ในปีแรกแห่งรัชกาล ข้าพเจ้าดาเนียล เข้าใจจากพระคัมภีร์ เกี่ยวกับพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตรัสกับผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะเริศร้างอยู่เจ็ดสิบปี”

 

อายุ 80 ดาเนียลกำลังอ่านพระคัมภีร์เดิม สมัยก่อน ไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ กำลังอ่านผู้เผยพระวจนะ ชื่อเยเรมีย์ พบถ้อยคำตรงนี้ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะถูกทิ้งร้าง เป็นเวลา 70 ปี ในเยเรมีย์ 25:1บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เยเรมีย์ 25:11 “ดินแดนทั้งหมดนี้ จะกลายเป็นซากทิ้งร้างว่างเปล่า และชนชาติเหล่านี้ จะรับใช้กษัตริย์บาบิโลน เป็นเวลาเจ็ดสิบปี”

 

เขาได้อ่าน คำเผยพระวจนะนี้บอกไว้ก่อน ตั้งแต่ก่อนเขาจะมาเป็นเชลยอีก แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้นด้วย ตอนนี้ดาเนียลอยู่บาบิโลนมา เป็นเวลา 66 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น เหลือเวลาอีก 4 ปีเอง ดาเนียลต้องตื่นเต้นแน่ๆ มาดูว่าอะไรเกิดขึ้นต่อ ดาเนียล 9:3-6

ดาเนียล 9:3-6 “3 ข้าพเจ้าจึงขะมักเขม้นอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบและคลุกขี้เถ้า 4 ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าและทูลสารภาพบาปว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และน่าครั่นคร้าม ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์ และเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ 5 ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดทำบาป ทำชั่วและกบฏต่อพระองค์ หันหนีจากบทบัญญัติและพระบัญชาของพระองค์ 6 ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งกล่าวในพระนามของพระองค์แก่บรรดากษัตริย์ เจ้านาย บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย ตลอดจนประชากรของแผ่นดิน”

 

หลังจากที่ดาเนียลนับไปนับมาอยู่ว่าเหลือเวลาอยู่อีกแค่ 4 ปี ก็จะได้เป็นไท กลับไป เมืองเดิม คือเยรูซาเล็มแล้ว ดาเนียลขะมักเขม้นอธิษฐาน การถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบและคลุกขี้เถ้า อดอาหาร คือประเพณี วัฒนธรรมอันหนึ่งของชาวยิว ที่สำแดงถึงความถ่อมใจ

นี่คือวิธีการอธิษฐาน สารภาพบาปกับพระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์เดิม คือช่วงที่พระเยซูยังไม่มาไถ่บาป ผมบอกพื้นฐานท่านไปแล้ว คือช่วงที่มนุษย์ยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ สกปรก

ดาเนียลเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง พระเจ้ากำลังติดต่อกับมนุษย์ทั้งปวง ผ่านทางดาเนียล เวลาพระเจ้าพูดกับดาเนียล ก็คือพระเจ้าพูดกับมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันที่อยู่ที่นี่ด้วย เวลาดาเนียลอธิษฐาน ดาเนียลก็เป็นตัวแทนของพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ ที่กำลังอธิษฐาน นี่คือภาพรวม ดาเนียลก็คร่ำครวญ กำลังสารภาพบาปกับพระเจ้าว่า …

“ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดบาป ทำชั่ว และกบฏต่อพระองค์ หันหนีจากบทบัญญัติ และพระบัญชาของพระองค์”

ถูกต้องเป๊ะเลย มนุษย์เป็นอย่างนี้จริงๆ เมื่อมนุษย์สำนึกในใจของตัวเอง ถ้าเขาไม่ปฏิเสธ เขาจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป  เมื่อไรจะชดใช้บาปกรรมหมดสักที แล้วเขาบอกว่า …

“ข้าพระองค์ทั้งหลาย”

ตรงนี้ หมายถึงบรรดาชาวอิสราเอล และประชากรทั้งหมดบนโลกใบนี้ แต่เฉพาะของดาเนียลเขาคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเฉพาะเขากับชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วบอกว่าพระเจ้าให้อิสราเอลเป็นตัวแทน เล็งเห็นถึงมนุษย์บนโลกใบนี้

“ข้าพระองค์ทั้งหลาย” ตรงนี้หมายถึงบรรดาชาวอิสราเอลทั้งหลาย ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยนั้น ดาเนียลสำนึกผิดต่อพระเจ้าบอกว่าเป็นเพราะชาวยิวทำผิดต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นกบฏ จึงเป็นการสมควรแล้วที่จะได้รับการลงโทษแบบนี้ ก็เหมือนเราทั้งหลาย  ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า ถ้าเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็จะอธิษฐานอย่างนี้  หรือมนุษย์ทั้งปวง ก็จะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป มันสมควรแล้วที่เป็นอย่างนี้ แม้กระทั่งเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังอธิษฐานอย่างนี้เลย

เพราะหลายคน เวลามารู้จักพระเจ้า ก็จะได้รับการสอนอย่างนี้ อธิษฐานตามแบบอย่างของคนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม พระเยซูมาที่ไม้กางเขน บอกข่าวดีให้เราแล้ว เรายังอธิษฐานเหมือนเดิม พระองค์มีความชื่นชมยินดีไหม? ถ้าเรายังเป็นทาสอยู่ พระองค์อุ้ม ยกเราขึ้นมา ใส่เสื้อผ้าให้เรา เราก็ลงไปคุกเข่า ยังเป็นทาสๆ พระองค์พาเราลงไปกินข้าวตอนเช้าอย่างดี มีคนมาเสิร์ฟให้ เราตื่นเช้า เราก็โดดออกหน้าต่าง แล้วตะโกน แล้วก็โหนเชือกลงมา แล้วก็โดดตุ๊บๆ เหมือนลิง แล้วก็เข้ามาสู่หน้าต่างของห้องทานข้าวเช้า แล้วก็มานั่งที่โต๊ะ แล้วช้อนส้อมก็ไม่ใช้ เรายังคุ้นเคยกับชีวิตเก่าๆ ตอนอยู่ในป่า แต่พระเจ้าเอาเราออกมาแล้ว ไม่ใช่ทาร์ซานแล้ว

มาดูกันต่อดาเนียลอธิษฐานกันต่ออย่างไรอีก จะใช่ลักษณะเดียวกับเราอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวันนี้หรือเปล่า? นี่พระคัมภีร์เดิมนะ เราทั้งหลายนั่งอยู่ที่นี่ เราพระคัมภีร์ใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าพระเยซูมาไถ่เราแล้ว

ดาเนียล 9:7-11 “7 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม แต่ทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องอับอายขายหน้า ไม่ว่าชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และปวงชนอิสราเอลทั้งใกล้และไกล ในประเทศต่างๆ  ซึ่งพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกระจัดกระจายไป เพราะเราไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ 8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายตลอดจนบรรดากษัตริย์ เจ้านาย และบรรพบุรุษต้องอัปยศอดสู เพราะได้ทำบาปต่อพระองค์ 9 องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา และทรงให้อภัย แม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายกบฏต่อพระองค์ 10 ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย และไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระองค์ประทาน ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ของพระองค์ 11 อิสราเอลทั้งปวง ได้ล่วงละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ และหลงเตลิดไป ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น คำสาปแช่งและโทษทัณฑ์ทั้งปวง ซึ่งบันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงตกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ทำบาปต่อพระองค์”

 

ผมเติมให้ท่านนิดหนึ่ง ท่านจะเห็นชัดขึ้น “อิสราเอลทั้งปวง” ผมจะเปลี่ยนเป็น “มนุษยชาติทั้งปวง”

“มนุษยชาติทั้งปวง ได้ล่วงละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ และหลงเตลิดไป ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น คำสาปแช่งและโทษทัณฑ์ทั้งปวง ซึ่งบันทึกไว้ในบทบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า จึงตกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ทำบาปต่อพระองค์ ได้กบฎต่อพระองค์ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ เป็นศัตรูกับพระองค์ หนีพระองค์ไป” เอเมน ถูกหรือไม่ถูก? เป๊ะ

ดาเนียลเริ่มเกริ่นในคำอธิษฐานก่อนว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชอบธรรม แต่ทุกวันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องอับอายขายหน้า”

เหมือนคำอธิษฐานของหลายๆ คนที่สำนึกแล้ว รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ดีเลย ไม่งามเลย สมควรได้รับโทษ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้ มันกำลังทำให้อับอายขายหน้า ไม่ใช่ตัวเอง พระเจ้า เมื่อเราสำนึกได้ เรารู้สึกว่าอับอายขายหน้าพระเจ้ามากว่านี่หรือเป็นประชากรของพระเจ้า ทำไมอยู่ในสภาพอย่างนี้  ไหนอิสราเอล เป็นประชากรของพระเจ้า ดูสิ กลายเป็นทาสเขาไปแล้ว ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ไม่มีสง่าราศีเลย  เห็นไหม?  ท่านลองนึกภาพที่ผมบอกสิ พิมพ์ภาพนี้ไปยังมนุษยชาติทั้งปวง จะเห็นภาพเลย นี่หรือมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง เป็นพระฉายของพระองค์ พระฉายของพระองค์เป็นอย่างนี้เหรอ ทั้งโลภ ทั้งทำชั่วอย่างรุนแรง ทั้งโกหก หลอกลวง ปลิ้นปล้อน นี่หรือ! พระฉายของพระองค์ นี่หรือ! พระองค์ทรงสร้างเขา มารคงหัวเราะเยาะ เป๊ะเหมือนกัน

ตรงที่บอกว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา และทรงให้อภัย แม้ว่าข้าพระองค์ทั้งหลายกบฏต่อพระองค์ ในภาษาอังกฤษใช้คำนี้ชัดขึ้น เป็นพหูพจน์ คือให้เห็นว่ามันมีมาก ก็คือมีหลายๆ ครั้ง หรือเกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ใช่ครั้งเดียว ทำผิดมาแล้วหลายครั้ง สำนึกผิดแล้วหลายครั้ง พระเจ้าก็ให้อภัยหลายๆ ครั้ง เหมือนกัน ตามมาตลอด  มันหมายถึงอย่างนี้ ก็แสดงว่ามันเป็นวงจรว่ามนุษย์ต้องทำผิดแน่นอน และพระเจ้าก็ต้องอภัยให้แน่นอน เพราะพระเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ เมื่อผิด ก็ผิดอยู่ดี จะไปไหนพ้น มันอยู่ในความบาป

“วันหนึ่ง ฉันจะส่งลูกชาย พระเยซูมา วันหนึ่ง คือแผนการฉันจะพุ่งไปที่พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐนั่นแหละ เพื่อชำระบาป จะได้หมดเวร หมดกรรมสักที รออีกหน่อย”

อะไรประมาณนั้น  ถ้าทุกวันนี้ ทำผิดล่ะ  ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ เป็นไปตามกฎแหละ ไม่รู้จะทำอย่างไร? ยังอยู่ในชนัก คุ้นๆ ไหมว่าคำอธิษฐานนี้ ก็คือเราทั้งหลายที่อธิษฐาน

“โอ้! พระเจ้าลูกผิดไปแล้ว ลูกสำนึกบาป อภัยให้ลูกด้วย ลูกสัญญาว่าจะไม่ทำอีก รับรองลูกไม่ทำอีกเลย”

แล้วทำไม?  ทำ  พอเราทำ แล้วพระเจ้าให้อภัยไหม?  ให้ ให้กี่ครั้ง?  70×7 ก็คือ 490 ครั้งต่อหนึ่งความผิด  วันนี้โกหก ให้อภัย โกหก เกิน 490 หรือยัง ถ้ายังไม่เกิน โกหกได้ต่อ วันนี้ไปโกงเขา  โกงเขามากี่ครั้งแล้ว 490 ครั้งหรือยัง? ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น 70×7 คือความหมายว่าให้อภัยอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คืออย่างไรก็ให้อภัย ให้อภัยอย่างอันลิมิต ครบบริบูรณ์  ก็คือจนสุดของการอภัย ไม่มีการยกเลิก มันหมายถึงอย่างนั้น นี่คือวงจรของมนุษย์ที่เป็นคนบาป และวงจรการให้อภัยของพระเจ้า เพระพระองค์รู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ อยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ช่วยตัวเองไม่ได้  พระคัมภีร์พูดอย่างนั้น  หนังสือโรมบอกว่ามนุษย์อ่อนแอช่วยตัวเองไม่ได้ พระเจ้าทรงเมตตาทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระเยซูมาช่วยเรา เพราะเราช่วยตัวเองไม่ได้ นี่คือความหมายในคำอธิษฐานที่ดาเนียลรู้ตัวว่าที่ผ่านมา บรรพบุรุษของชาวยิวเคยทำผิดบาปต่อพระเจ้ามากแค่ไหน? นับครั้งไม่ถ้วนขนาดไหน? กี่ครั้งก็ตาม พระเจ้าก็อภัยอยู่เรื่อยๆ ในพระคัมภีร์ บางครั้ง ให้ท่านเห็นว่าชาวยิวทำผิด ทำอะไรต่างๆ พระเจ้าทรงกริ้ว

“พระเจ้าทรงกริ้ว” สำหรับผมเป็นอย่างนี้ จะถูกจะผิดไม่รู้ ท่านฟังก็แล้วกัน ตะกี้ผมยกตัวอย่างให้ท่านดูใช่ไหม? เหมือนไฟฟ้าแรงสูงมันวิ่งผ่าน แล้วเราเอามือไปจับ พอเราจับปุ๊บ ไฟฟ้ามันกริ้วเรามาก ดูดเราตายเลย เราไม่ควรไปจับมันเลย ในทำนองเดียวกัน พระเจ้ากริ้วมาก มนุษย์ไม่ควรทำบาป แต่ทำ เหมือนกัน คือกริ้ว ผมคิดว่าเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ถ้าโหดร้าย ไม่เตรียมพระเยซูไว้หรอก แต่จริงๆ แล้ว คือแผนการแห่งความรักทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ทรงกริ้ว ก็คือมันเป็นเรื่องที่มนุษย์กับพระเจ้าเข้ากันไม่ได้ ถ้าทำผิดกฎก็ต้องได้รับโทษ คือคำสาปแช่งนั่นเอง เรามาดูเลวีนิติ 26:32-35 บันทึกไว้ว่า …

เลวีนิติ 26:32-35 “32 เราจะทิ้งให้แผ่นดินเริศร้าง จนศัตรูของเจ้า ที่เข้ามาพักอาศัยตกใจ 33 เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไป ท่ามกลางชนชาติต่างๆ เราจะชักดาบออกจากฝักรุกไล่เจ้า ดินแดนของเจ้า จะถูกทิ้งร้าง และเมืองต่างๆ จะถูกทำลาย 34 แล้วแผ่นดินจะได้ชื่นชมกับปีสะบาโตของมัน 35 ตลอดช่วงที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งเจ้าตกอยู่ในดินแดนของศัตรู แผ่นดินจะได้พักสงบ และชื่นชมกับสะบาโตของมัน ชดเชยกับที่ไม่ได้หยุดพัก ในช่วงสะบาโต ขณะที่เจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดิน”

 

นี่คือแผนการของพระเจ้า และความจริงที่มนุษย์ตกอยู่ในความบาป คำสาปแช่ง ที่พระเจ้าให้มนุษย์ได้เรียนรู้ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่าจะให้สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น ดินแดนของเจ้าจะถูกทิ้งร้าง และเมืองต่างๆ จะถูกทำลาย และเหตุการณ์เหล่านี้ ก็เกิดขึ้นจริงๆ ตรงเป๊ะตามที่พระองค์บอกไว้ ก็คือเยรูซาเล็มก็ถูกทิ้งร้าง โดยถูกบาบิโลนเข้ายึดครอง และทำลาย กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย จนกลายเป็นเมืองร้าง ตรงตามคำเผยพระวจนะเป๊ะเลย บอกให้เป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ทั้งหมดนี้ ก็อยู่ในแผนการของพระเจ้าที่จะไถ่มนุษย์ทั้งหมดหลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง ท่านจงเห็นภาพใหญ่ๆ  เวลาอ่าน ท่านจะได้เข้าใจ ไม่อย่างนั้น เราจะรู้สึกว่าพระเจ้าทำไมโหดร้ายอย่างนี้ ไม่เลย พระเจ้าเราเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความดีงาม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความสงสาร สงสารเรามาก คิดดูว่าพระเยซูยกคำนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร?

“ท่านทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป  (มีทั้งหงุดหงิด มีทั้งโกรธ มีทั้งเห็นแก่ตัว) ยังรู้จักรักลูกของตัวเอง ให้ของดีๆ กับลูก และพระเจ้า (ไม่ใช่คนบาป) เป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จะรักท่านทั้งหลายมากขนาดไหน? ลองคิดดู” ท่านก็รู้ว่าขนาดไหน?  เรามาดูในดาเนียล 9:12-19

ดาเนียล 9:12-19 “12 พระองค์ทรงทำตามที่ตรัสไว้แล้วว่าจะนำภัยพิบัติยิ่งใหญ่ มายังข้าพระองค์ทั้งหลาย และผู้ครอบครองทั่วใต้ฟ้า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เสมอเหมือนที่เกิดกับเยรูซาเล็ม 13 ภัยพิบัติทั้งปวงนี้ เกิดกับข้าพระองค์ทั้งหลาย ตามที่บันทึกไว้แล้ว ในบทบัญญัติของโมเสส ถึงกระนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็ไม่ได้แสวงหาความเมตตาจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย โดยหันกลับจากบาป และไม่ได้ใส่ใจในความจริงของพระองค์เลย 14 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงรีรอที่จะนำภัยพิบัตินี้ มายังข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายทรงชอบธรรมในทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ถึงเพียงนี้แล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายยังไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ 15 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงนำประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ ด้วยพระหัตถ์อันทรงอานุภาพ และผู้สถาปนานามของพระองค์ ซึ่งยืนยงตราบเท่าทุกวันนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิดทำบาปไปแล้ว

16 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้สอดคล้องกับการกระทำ อันชอบธรรมทั้งปวงของพระองค์ ขอโปรดทรงหันเหพระพิโรธ จากเยรูซาเล็มเมืองของพระองค์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย และความชั่วช้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นเหตุให้เยรูซาเล็มและประชากรของพระองค์กลายเป็นที่เหยียดหยามของคนทั้งปวงที่อยู่โดยรอบ 17 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ ขอทรงสดับคำอธิษฐานวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง โปรดเหลียวแลสถานนมัสการอันเริศร้างของพระองค์ด้วยความโปรดปรานเถิด 18 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเอียงพระกรรณสดับฟัง โปรดทอดพระเนตรความเริศร้างของกรุง ซึ่งใช้พระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายทูลวิงวอนต่อพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายชอบธรรม แต่เพราะพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์ 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงอภัย ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสดับและทรงช่วย ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขออย่าทรงล่าช้า เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง เพราะนครของพระองค์ และประชากรของพระองค์ ใช้พระนามของพระองค์”

 

ช่วงที่มนุษย์อยู่ในความบาป และพระเยซูยังไม่มาไถ่ เมื่อคนไหนสำนึกบาป เขาจะอธิษฐานอย่างนี้แหละ เพราะเขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนบาป ท่านลองใส่อย่างที่ผมบอก ตัวแทน ใส่มนุษย์ลงไป ตรงหมดเลย คำอธิษฐานนี้ ก็คือคำอธิษฐานของอาดัมกับอีฟ มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา ก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้

“ข้าพระองค์ทำอย่างนี้ พามนุษย์ลูกหลานของฉันตกลงไปในความบาปหมดเลย แย่เลย”

แต่นี่เป็นเรื่องของดาเนียลส่วนหนึ่ง ท่านต้องเข้าใจให้ชัดว่าพระเยซูไม่ได้มาช่วยแค่คนยิว คนอิสราเอลเท่านั้น  แต่เล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้

ดาเนียลอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ เป็นเพราะบรรพบุรุษของอิสราเอลได้กระทำผิดต่อพระเจ้า กบฏ ไม่เชื่อฟัง ทำผิดต่อบทบัญญัติของพระเจ้า หันเหไปจากบทบัญญัติของพระเจ้า สมควรแล้วที่จะต้องได้รับโทษอย่างนี้ ที่เป็นอยู่นี้ แต่ก็ขอเมตตา พระเจ้าช่วย อภัยให้ด้วย นี่คือความเป็นจริง เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อพระองค์ตรัสคำไหนแล้ว ต้องเป็นคำนั้น พระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เมื่อพระองค์ตรัสแล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนั้น พิพากษาแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ากบฏ ไม่เชื่อฟัง เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ก็ได้รับโทษ คือคำสาปแช่ง เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพระองค์ตรัสแล้วว่าจะทำให้เยรูซาเล็มต้องถูกทำลาย กลายเป็นเมืองร้าง ผู้คนต้องทุกข์ทรมานในต่างแดน สิ่งนั้น ก็ต้องเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้น เพื่อเป็นผลดีทีหลัง และมันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ตามที่ได้บันทึกไว้แล้ว ตรงเป๊ะ

“แต่เพื่อพระนามของพระองค์ ขอทรงโปรดให้อภัยแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายสักครั้งเถิด”

ดาเนียลกำลังอยู่ในช่วง 4 ปีสุดท้าย ที่พระเจ้าสัญญาว่าครบ 70 ปีแล้วจะให้กลับไปเยรูซาเล็ม ดาเนียลอธิษฐาน มันจะถึงเวลาแล้ว โปรดให้อภัยเมื่อครั้งที่แล้ว และต่อไปอีก ช่วยเหลือที่จะไม่ทำอีกเถิด

สังเกตดูให้ดีๆ นะ ดาเนียลไม่ได้อธิษฐานว่า “ขอทรงโปรดให้อภัย เพื่อเห็นแก่ข้าพระองค์ หรือเพื่อเห็นแก่ชาวยิว แต่ขอทรงโปรดให้อภัย เพื่อพระนามของพระองค์จะได้ไม่เสื่อมเสีย”

“เพื่อพระนามของพระองค์จะไม่เสื่อมเสีย” คือเพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์เป็นผู้สร้างมนุษยชาติ เป็นผู้สร้างเราทั้งหลายอิสราเอล พระองค์เป็นพระเจ้าของเรา ถ้าเราแย่ พระองค์ก็เสียเกียรติ แล้วมนุษย์เป็นอย่างนี้ ไม่มีความรัก มีแต่ความเกลียดชังกัน ฆ่ากันอย่างนี้เหรอ พระเจ้าเสียเกียรติ แต่เรามารู้จักพระเจ้า เราดำเนินชีวิตด้วยความรักในพระเจ้า พระเจ้าได้รับเกียรติ มนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ เต็มไปด้วยความรัก อภัย เสียสละ แม้ชีวิตของตัวเองให้กับคนอื่นก็ได้  พระเจ้าได้รับเกียรติ ตรงนี้ หมายถึงอย่างนั้น

มาดูต่อว่าหลังจากดาเนียลอธิษฐานแบบนี้แล้ว พระเจ้าตอบอย่างไร?  มนุษย์ทุกคนกำลังบอกว่า …

“แย่ ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่ดี ฉันทำผิดอีกแล้ว ทำผิดอีกๆๆๆ ขออภัยๆๆๆ”

ดูสิว่าพระเจ้าตอบว่าอย่างไร? ดาเนียล 9:20-27

ดาเนียล 9:20-27 “20 ขณะข้าพเจ้าอธิษฐานสารภาพบาปของตัวเอง และของชนอิสราเอล พี่น้องร่วมชาติ และทูลอ้อนวอนพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ 21 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอธิษฐานอยู่นั้น กาเบรียล ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเห็นในนิมิตครั้งก่อน เหาะมาหาข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น 22 เขากล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น 24 “เจ็ดสิบของ ‘เจ็ด’ ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับพี่น้องร่วมชาติ และนครศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ให้เลิกการล่วงละเมิด เลิกทำบาป ลบล้างความชั่ว และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้ เพื่อประทับตรานิมิตและคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด 25 “จงรับรู้และเข้าใจข้อนี้เถิด คือตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาให้กอบกู้และสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ จวบจนผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นผู้ครอบครองนั้นจะมาถึง จะมีเจ็ดของ ‘เจ็ด’ และหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ จะมีการสร้างถนนหนทางและคูเมือง แต่ทำในช่วงทุกข์ยากลำบาก 26 หลังจากหกสิบสองของ ‘เจ็ด’ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้จะถูกประหารและจะไม่เหลืออะไร ประชาชนของผู้ครอบครองจะมาทำลายกรุงนั้นและสถานนมัสการ วาระสุดท้ายจะมาเหมือนน้ำท่วม สงครามจะขับเคี่ยวกันไปจนถึงจุดจบ และมีวิบัติตามที่กำหนดไว้ 27 ผู้นั้นจะยืนยันคำมั่นสัญญากับคนเป็นอันมากเป็นเวลาหนึ่งของ ‘เจ็ด’ แต่กลางของ ‘เจ็ด’ นั้นเอง เขาจะสั่งยุติการถวายเครื่องบูชาและของถวายต่างๆ แล้วผู้ที่ก่อให้เกิดวิบัติ จะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติไว้ที่ด้านหนึ่งของพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเริศร้าง จวบจนวาระสุดท้ายมาถึงเขา ตามที่กำหนดไว้”

 

หลังจากที่ดาเนียลอธิษฐานเสร็จแล้ว พระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมาตอบคำอธิษฐานให้ ตรงเนื้อหาในคำตอบ เป็นเรื่องราวที่ถ้าผมอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะต้องตื่นเต้น และไชโยโห่ฮิ้วเลยนะ ถึงขั้นเรียกว่าขนลุกเลย  เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แบบเป๊ะของเป๊ะๆ อีกทีหนึ่งเลย มีหลักฐานทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ที่บันทึกไว้เลยว่ามันเป็นไปตามที่อ่านมาทั้งหมดเลย แต่มันต้องเล่าละเอียด แต่ไม่ยากนะ ง่ายๆ

ดาเนียล 26:22-23 “22 “ดาเนียลเอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ 23 ทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกท่าน เพราะท่านเป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง”

 

ดาเนียลเป็นตัวแทนของอิสราเอล … อิสราเอลเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น  ผมจะลองใส่ดู ท่านจะได้เห็นภาพ

พระเจ้าตอบแล้วนะ “มวลมนุษย์เอ๋ย เรามาเพื่อให้ท่านประจักษ์แจ้งและเข้าใจ ทันทีที่พวกท่านเริ่มอธิษฐาน เรียกร้องในใจของท่าน พระเจ้าก็ประทานคำตอบ ซึ่งเราได้นำมาบอกมวลมนุษย์ เพราะมวลมนุษย์เป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง” เอเมน

เพราะมวลมนุษย์เป็นผู้ที่ทรงรักยิ่ง แล้วจริงไหม? จริง

“ฉะนั้น จงใคร่ครวญเนื้อความและเข้าใจนิมิตนั้น 70 ของ 7 ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับมนุษยชาติ (ร่วมโลกใบนี้) และนครศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์บนโลกใบนี้ ให้ยกเลิก”

จำที่ผมฉีกกรมธรรม์ได้ไหม?

“มันได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ให้ยกเลิกการล่วงละเมิด (คือความผิดที่ได้ไปล่วงละเมิด) ยกเลิกความบาป การเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และให้ลบล้างความชั่วที่เคยทำไว้ทั้งหมด ที่เป็นคำสาปแช่งทั้งหมด ให้ยกเลิกหมดเลย มันได้ถูกกำหนดไว้ว่าจะทำอย่างนั้น และนำความชอบธรรมอันมั่นคงนิรันดร์มาให้”

ชอบธรรมมั่นคง ก็คือบริสุทธิ์มั่นคง ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป

“เพื่อประทับตรานิมิต และคำพยากรณ์ และเพื่อเจิมสถานที่บริสุทธิ์ ก็คือร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า”

เห็นภาพไหม? นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ ผมถึงบอกว่าต้องเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานทั้งหมดนี้ อย่าไปเล็งว่าเป็นของอิสราเอลเท่านั้น เป็นของมนุษย์ทั้งหลาย  ท่านใส่มนุษย์เข้าไป มันจะเห็นภาพเป๊ะเลย

ทูตสวรรค์บอกว่าทันทีที่ท่านเริ่มอธิษฐาน  ทันทีที่มนุษย์อธิษฐาน ทันทีทันใดเลย พระเจ้าก็ประทานคำตอบให้แล้ว พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าหมดแล้วว่าเราอธิษฐานขออะไร? เราลำบากตรงไหน? พระองค์ทรงเตรียมคำตอบไว้ให้เรียบร้อยแล้วด้วย ก่อนที่ดาเนียลจะอธิษฐาน หรือก่อนที่เราจะอธิษฐาน พระองค์ทรงรู้ว่าเราทุกข์ลำบากขนาดไหน? มนุษย์ ที่ตกลงไปในความบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันทรมานขนาดไหน? พระองค์ทรงรู้แล้ว แค่เราจะค้นหาสัจจะธรรมในชีวิต ก็จะเจอพระองค์

พระคัมภีร์จึงบอกว่า “พระเจ้ามองตลอดทะลุแผ่นดินโลกนี้ เพื่อมองหาผู้คนเหล่านั้น ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจ”

ขอให้เรามีความจริงใจเท่านั้น เราก็จะเจอพระเจ้า ผมมาเจอพระเจ้า ก็เพราะความจริงใจ ไม่ใช่ เพราะเราเก่ง เพราะเราฉลาด แต่เพราะเราไม่รู้จะไปไหน? เราหาพระเจ้า เราเกิดมาจากใคร? เราเป็นใคร? วิญญาณข้างในเราเรียกร้อง เราก็จริงใจ เราก็เจอพระเจ้า เพราะพระเจ้าเตรียมคำตอบให้เราแล้ว ก่อนที่เราจะอธิษฐาน ตอบก่อนที่เราจะอธิษฐาน รู้ว่าเราต้องการอะไรข้างใน ขอให้เรากล้าเข้ามาหาพระองค์ด้วยความจริงใจ พระเจ้าพระเยซู คือใคร? พระเจ้า คือใคร? ที่เคยได้ยินมา อยากรู้จัก พระองค์จะสำแดงพระองค์ให้กับคนนั้น ได้รู้จัก เพราะว่าพระองค์เมตตาสงสารต่อมนุษยชาติอย่างมาก ที่ตกลงไปในความบาป ลูกของพระองค์ทั้งนั้น  และที่สำคัญ คือแผนการที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้นั้น มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ดาเนียลอาจทูลขอเพียงแค่เรื่องที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็คือขอแค่สามารถพาชาวอิสราเอลกลับไปบ้านเกิดเมืองนอน กลับไปรื้อฟื้นเยรูซาเล็ม กลับไปพบกับความสงบอีกครั้งหนึ่ง แต่พระเจ้าบอกว่าพระองค์เตรียมไว้ให้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด  พระคัมภีร์เดิมตรงนี้ แปลได้ว่า The best ให้คำตอบ คือขอเศษอาหาร พระองค์ให้ดีที่สุดเลย  คำตอบของพระเจ้า ก็เหมือนกับที่พ่อของลูกชายที่หลงหายไป ตอบเขา … เขาจะขอไปกินเศษอาหาร เป็นทาส แต่พ่อบอกว่าให้ดีกว่านั่นอีก ให้เป็นเจ้าของบ้านเลย  กลับมาเหมือนเดิม ไม่ได้คิดลงโทษ จัดงานเลี้ยงให้อีกต่างหาก แถมให้ฐานะกลับคืน เป็นบุตรเหมือนเดิม เป็นราชบุตรเหมือนเดิม  เราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู เราทั้งหลายกลับมาเป็นบุตรของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ที่ผมบอกไว้ตอนต้นว่าฟังเรื่องนี้จบแล้ว เราอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในท่าทีในการอธิษฐาน เราไม่ต้องหงอ อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่ใช่ แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น พระเจ้าต้องการให้เรารู้ตัวตนของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการไถ่นั้น  เป็นอย่างไร? ให้เรามีความมั่นใจ ไม่ใช่อยู่ในบ้านแบบหงอๆ กลัวๆ แต่ให้เราอยู่ในบ้านด้วยความมั่นใจว่าอยู่ในบ้านหลังนี้ ที่มีชื่อว่าพระคริสต์ เรามีฐานะเป็นบุตร เป็นทายาทครอบครอง เราอาจจะทำเผลอไปบ้าง เราอาจจะทำเหมือนสมัยก่อนบ้าง อาจจะเป็นทาร์ซานที่ยังติดนิสัยอยู่ในป่าบ้าง ไม่เป็นไร พระเจ้าค่อยๆ ส่งคนมาเทรนเรา ฝึกเรา สอนเราทีละวันๆ เดี๋ยวเราก็กลับมาเป็นผู้ดีเองแหละ เอเมน และสอนด้วยวิธีอะไร? ท่านจะรู้เอง ชีวิตทุกวัน เราได้รับการสอนจากพระเจ้าตลอด พระวิญญาณจะนำพาเราทุกวันๆ สอนให้ทาร์ซานกลับใจสักทีหนึ่ง เอเมน ถ้าท่านไม่ค่อยให้อภัย เกลียดคนเรื่อยๆ พระเจ้าก็สอนไปๆ วันหนึ่ง ท่านก็เริ่มให้อภัยได้มากขึ้น เริ่มเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้มากขึ้น มันต้องเป็นอย่างนี้

นั่นแหละ พระเจ้าต้องการแค่นี้เอง แต่ท่านต้องมั่นใจก่อน ไม่อย่างนั้น ท่านจะถูกเปลี่ยนไม่ได้  ถ้าท่านยังมาเป็นทาสอยู่ จะสอนท่านได้อย่างไร? วันๆ ท่านก็คอยแต่จะโหนต้นไม้ลงมาจากบนหลังคา พระเจ้าบอกเมื่อไรจะลงมา เป็นลูกเราสักที เป็นลิงอยู่นั่นแหละ เข้าใจใช่ไหม? ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป พระคัมภีร์บอกไว้ใน 1 เปโตร 2:24

1 เปโตร 2:24 “พระเยซูทรงแบกรับบาปเราไว้บนไม้กางเขน บนต้นไม้ เพื่อว่าการตายต่อบาปของเรานั้น เราจะได้เป็นผู้ชอบธรรม ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว คือหายจากการเป็นบาปแล้ว” เอเมน

 

เราชอบธรรมแล้ว เราก็ยังบอกว่าตัวเองบาป เราเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม เอเมน

ดังนั้น การอธิษฐานของเราจะเปลี่ยนไป ท่าทีเราจะเปลี่ยนไป สัปดาห์ที่แล้ว ทุกอย่างทำมา ในพระคัมภีร์เดิมเขียนคำนี้เยอะที่สุดเลย  วันหนึ่งพระเจ้าจะฉีกกรมธรรม์นั้น จะปลดโซ่ตรวนที่มันยึดเราไว้ เอาโซ่ตรวน เอากรมธรรม์ที่พิพากษาเราเป็นคนบาป เป็นคนได้รับคำสาปแช่ง เป็นคนเลว คนชั่วนั้น พระองค์จะตรึงมันไว้ที่ไม้กางเขน ในโคโลสี 2:14 แล้วพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  คือฉีกกรมธรรม์ แล้วตรึงไว้ที่ไม้กางเขน โซ่ที่ตรึงเรา เอาโซ่นั้นไปพันธนาการที่ไม้กางเขน เราเป็นอิสระแล้ว เราอ่านโคโลสี 2:14 พร้อมกัน

โคโลสี 2:14 “พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเรา ด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเราและได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน” เอเมน

 

ให้พูดจนเข้าไปในวิญญาณจิตของท่าน ให้มันลึกๆ ว่ามันอยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ท่านอีกแล้ว  ท่านไม่เกี่ยวอะไรอีกแล้ว ต่อให้ท่านทำบาปวันนี้ ท่านก็ไม่ใช่คนบาป มันเป็นนิสัยเดิม มันเป็นความเคยชินเดิม ท่านยังอยู่ในความบริสุทธิ์ของพระคริสต์เหมือนเดิม แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ทาร์ซานจะไปปีนต้นไม้บ้าง เขาก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า ที่พ่อเจ้าของบ้าน พาเขาออกมาอยู่ในราชวังแล้ว บางครั้ง เขาจะไปปีนต้นไม้บ้าง? บางครั้งเขาปีนหลังคาบ้าง? เพราะเขาเคยปีนมาก่อน นานๆ เขาก็จะรู้ว่าต่อไปนี้พระเจ้าบอกมีลิฟต์ ทำไมไม่ใช้ลิฟต์ เขาก็หัดใช้ลิฟต์ ทุกวันนี้เราก็กำลังหัดใช้ลิฟต์อยู่ บางครั้งเราเพลินไป เราก็ขอปีนต้นไม้หน่อย ขอลงจากชั้น 4 ลงมากินข้าว แทนจะลงลิฟต์มา เราก็สไลด์ที่เท้าบันไดลงมา เหมือนเด็กๆ เล่นลงมา แล้วเราก็ล้มหัวทิ่มลงมา เจ็บตัวอีก เราก็นึกว่าพระเจ้าตีเรา ไม่ได้ตีเลย ก็เราไปเล่นอย่างนั้น มันก็โดนสิ นึกภาพออกไหม?

บัดนี้ โซ่ตรวนที่ตรึงเราไว้ ได้ถูกทำลายเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์ในวันที่ 3 พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ในหนังสือเอเฟซัส 2:8 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:8 “เราทั้งหลายได้รับความรอดจากโซ่ตรวนเหล่านี้ ด้วยความเชื่อในพระคุณของพระเจ้า”

ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของพวกเรา แต่ด้วยพระคุณของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้กับเราบนไม้กางเขนนั้น และในอดีตเราเรียกร้องขอแค่การยกโทษ แต่พระเจ้าให้พระคุณแทน ไม่ใช่พระคุณธรรมดา แต่เป็นพระคุณที่อัศจรรย์มากเลย คือให้ตลอดเวลา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2017 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2017

เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

นี่คือซองกรมธรรม์ พระราชกฤษฎีกาที่บันทึกไว้ สั่งโดยผู้พิพากษาใหญ่ที่สุดในโลก และในมหาจักรวาล คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด สั่งว่าให้มนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ไม่ต้องพูดแล้วนะ คำสาปแช่งคืออะไร? มนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ก็คือมนุษย์และบุตรหลานของมนุษย์ทุกคน อยู่ใต้กฎคำสาปแช่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราอ่านตรงนี้กันใช่ไหม? โคโลสี 2:14 อ่านด้วยกันอีกครั้ง เป็นความหวังใจของเรา เรากำลังอยู่ในการฉลองเทศกาลอีสเตอร์อยู่ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 2 หลังจากวันอีสเตอร์มาแล้ว ยังฉลองอยู่ ยังมันอยู่ ยังสนุกสนาน เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ที่มาช่วยเรา

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรม‍ธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

ตอนนี้ท่านสามารถเห็นแล้วว่าพระคัมภีร์บอกเราว่าซองนั้น คือซองอะไร? ซองกรมธรรม์แห่งคำสาปแช่งของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? พระเยซูตรึงไว้ที่ไม้กางเขน ไม่ได้อยู่กางเขนอย่างเดียว แถมฉีกออกด้วย ฉีก แปลว่าหมดแล้ว เป็นอิสระแล้วถึงฉีกได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ 1,988 ปีที่แล้ว สัปดาห์ก่อนได้อธิบายเรื่องนี้ให้ฟังแล้วนะว่านี่คือผลแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย แห่งการตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ความสำคัญของวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐ มันเป็นเลย สรุปง่ายๆ มันเป็นข่าวดี ที่มาถึงมวลมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่ายุคไหนก็ตาม ตั้งแต่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และต่อไปอีกเมื่อไรก็ตาม เป็นมรดก เป็นข่าวดีสำหรับพวกเขาทั้งหลาย และถ้าข่าวดีนี้ ประกาศไปถึงที่ไหน ถ้าเขาไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้รับสิทธิ์ตรงนี้เลย เขาก็ยังอยู่ใต้คำสาปแช่งเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ข่าวดีนี้ประกาศที่ไหน มันต้องเกิดสิ่งหนึ่งขึ้น คือคนนั้นที่ได้ยินข่าวดีนี้ต้องเชื่อ แล้วก็ทำ

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกเชื่อ แล้วไม่กระทำ ไม่มีประโยชน์ เชื่อแล้วยังอยู่เฉยๆ ไม่มีประโยชน์ เชื่อแล้วต้องทำ ทำอะไร? เป็นอิสระไง ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ สมัยรัชกาลที่ 5 ประกาศอิสรภาพ ให้กับคนเป็นทาสทั้งประเทศ ยกเลิกการเป็นทาส คนเป็นทาสในเรือนเบี้ย ตั้งแต่ยุคไหนไม่รู้ ตั้งแต่ปู่ย่า ตายาย ก็เป็นอิสระหมด ประกาศข่าวดีนี้ออกมา จากราชการ ทาสหลายบ้านก็เป็นอิสระ เฮ! กันใหญ่ แต่มีอีกหลายบ้าน ไม่ออกมา มี 2 ประเด็น

พวกแรก ก็คือพวกที่ไม่เชื่อข่าวดีนี้ว่าเป็นจริง

พวกที่สอง ก็คือพอจะเชื่อบ้าง แต่ไปเจอเอาเจ้านายที่ไม่ดี เหมือนมารซาตานที่มาหลอกมนุษย์

“ไม่จริงหรอก เธอต้องใช้เวร ใช้กรรม ใช้หนี้อยู่”

พระเยซูบอก “ไม่จริงๆ เธอยังต้องใช้เวรใช้กรรม”

ไม่กล้าออกมา พวกที่เป็นทาส แบบ 2 นี้ ในสมัยนั้น สมัยรัชกาลที่ 5 ก็ทำไม ก็ถูกพวกเจ้าขุนมูลนาย ที่เป็นเจ้าของทาส ตอนนั้น กลัวเสียทาสไป ก็เลย ข่มขู่

“อย่านะ เธออย่าออกไป กลับมา ฉันจะลงโทษเธออย่างหนัก ตายแน่เลย ลูกหลานเธอออกไปไม่ได้นะ”

ก็ไม่กล้าออกไป ทั้งๆ ที่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ก็ออกมาตะโกนหน้าบ้าน เขาเลิกทาสแล้ว ออกมาเถอะ กล่ำๆ กึ่งๆ ไม่กล้าออกไป

“ถ้าออกไปเธอตายนะ”

ทั้งๆ ที่ พอออกมาแล้วเป็นอย่างไร? เป็นอิสระ คนก็ไปประกาศข่าวดีอยู่นั่นแหละ ไปตะโกนอยู่หน้าบ้าน

“ออกมาเถิด เขาประกาศเลิกทาสตั้งนานแล้ว จะไปเป็นทาสเขาทำไม?”

ทุกวันนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ผู้ที่ข่มขู่มนุษย์ทุกวันนี้ หลอกลวงมนุษย์ทุกวันนี้ ก็คือมาร มารก็พยายามที่จะหลอกลวงมนุษย์ ข่มขู่มนุษย์ ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจเลยนะ มันข่มขู่ให้เรากลัว แล้วก็ไม่กล้าต้อนรับข่าวดีนี้ เพราะกลัวไง กลัวอะไรต่างๆ นานา ทั้งหมดเลย ในที่สุด ก็ยังอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่คำสาปแช่งอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไม้กางเขน ตามที่เราได้อ่านไปเมื่อสักครู่นี้แล้ว เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องออกไปประกาศข่าวดี ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

ผมมีเรื่องเล่าให้ท่านฟังนิดหนึ่ง เบื้องหลังว่าที่พระเยซูฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเรา ด้วยคำสาปแช่งเหล่านี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก่อนสร้างโลกอีกว่าถ้ามนุษย์ตกลงไปในความบาปแล้ว เราจะช่วยเขาอย่างไร? ซึ่งพระเจ้าก็ทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามนุษย์ไม่มีทางสามารถที่จะใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรมต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพระองค์ ตามที่ได้ละเมิดคำสั่งของพระองค์ คือทำบาป คือละเมิด คำสั่งเป็นกบฏพระเจ้า ไม่มีทางหรอก พระเจ้ารู้อย่างนั้น จึงเตรียมให้มีพระเยซูมาเกิด วิธีเตรียมก็ง่ายๆ นิดเดียว คือรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ ด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อโลก ไม่ใช่มนุษย์อย่างเดียว สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงสร้าง ทั้งสิงสาราสัตว์ ทั้งต้นไม้ ทั้งหมดเลย พระองค์ก็เตรียมแผนการไว้ เพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนี้ได้ ให้พระเยซูมาเกิด และตายที่ไม้กางเขน โดยพระเจ้า ได้ทรงเลือกเอาคนกลุ่มหนึ่ง ฟังให้ดีๆ นะ นี่คือประวัติศาสตร์ ที่รวบรวมแป๊บเดี๋ยว พาให้ท่านเห็นคร่าวๆ ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าไปรวบรวม แผนการนี้ทั้งหมด โดยมนุษยชาติ คือมวลมนุษยชาติ ในนี้บอกจะช่วยเหลือมนุษยชาติ ด้วยการเลือกเอาตัวแทนมนุษย์ กลุ่มหนึ่งขึ้นมา เพื่อจะทำแผนการของพระองค์ให้สำเร็จ ผ่านทางมนุษย์กลุ่มนี้ ซึ่งชนกลุ่มนี้ พระเจ้าจะทรงนำทางเขา ใกล้ชิด ค่อยๆ สอน เพื่อบอกเขา ถึงแผนการแห่งการไถ่บาปของพระเยซู เพื่อไถ่มนุษย์พ้นจากคำสาปแช่ง การช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากความบาป เพื่อที่จะฉีกเอากรมธรรม์แห่งคำสาปแช่งนี้ออกไป ชนกลุ่มนี้พระเจ้าเลือกใช้สอย เรียกว่ากลุ่มผู้รับใช้ หรือกลุ่มที่เลือกมาสำหรับรับใช้ กลุ่มนี้ คือชาวยิว หรืออิสราเอล ภายหลังพระเจ้าให้ตั้งชื่ออิสราเอล เพราะฉะนั้น ท่านรู้แล้วนะว่าชาวยิว หรือชาวอิสราเอลเป็นเหมือนตัวแทนมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ ซึ่งพระเจ้าจะกระทำการงานของพระองค์ผ่านทางคนกลุ่มนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งหมดนะ ไม่ใช่ช่วยเฉพาะอิสราเอล ช่วยมนุษย์ทั้งหมดเลย แต่ผ่านกลุ่มนี้

พระเยซูที่ทรงเกิด จากหญิงพรหมจารีย์ แมรี่ ก็เป็นเชื้อสายของคนกลุ่มนี้แหละ กลุ่มที่เรียกว่ายิวหรืออิสราเอลนี่แหละ และหลังจากที่แผนการของพระเจ้าสำเร็จบนโลกใบนี้ คือพระเยซูได้ทรงไถ่บาปให้กับมนุษย์แล้ว ทำให้มนุษย์ได้รับความรอดแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในศุกร์ประเสริฐ และอีสเตอร์ การตายของพระองค์ที่ไม้กางเขนและการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์นั้น ผ่านทางความเชื่อ มนุษย์คนใดเชื่อได้รับความรอดนี้ พระคัมภีร์บอกว่าคนๆ นั้นที่ได้รับความรอดแล้ว เหมือนเราที่นั่งอยู่ที่นี่ คนๆ นั้น ที่เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว ก็จะได้ชื่อว่าประชากรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเลือกไว้ ชื่อเดียวกันกับยิวเลย แต่ว่าเชื่อแล้วทางพันธสัญญา ทางฝ่ายวิญญาณ จึงเรียกเราว่ายิวทางวิญญาณ หรืออิสราเอลทางวิญญาณ ท่านตอนนี้ที่นั่งอยู่ พระคัมภีร์เรียกท่านว่ายิวในวิญญาณ หรืออิสราเอลในวิญญาณ นึกออกไหม? ชาวยิวที่เชื่อมาก่อน เชื่อพระเจ้า รู้จักเหมือนกับเราแต่ก่อน ซึ่งในปัจจุบัน ยิวบางพวก ก็ไม่เชื่อพระเยซู แต่บางพวก ก็เชื่อ ยิวเหล่านี้ ในพระคัมภีร์ เขาถือว่าเป็นพี่เรา พี่ในความรอด เราเหมือนเป็นน้อง เราเป็นยิวทางวิญญาณ พระคัมภีร์จะใช้คำว่าเป็นพี่เป็นน้อง

เพราะฉะนั้น พวกเราที่ไม่ได้มีเชื้อสาย ยิวทางกายภาพ ได้เป็นชาติยิว เป็นคนไทย คนยิว อะไรต่างๆ แต่ได้มารับเชื่อโดยพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดแล้ว ได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เราก็ได้ชื่อว่าเป็นชาวยิวในวิญญาณ และมีศักดิ์เป็นน้องทางวิญญาณของชนชาติยิวนั่นเอง เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ท่านจะเห็นภาพที่ชัดเจน หลายเรื่องในพระคัมภีร์ที่ได้พูดถึงพี่กับน้อง บอกล่วงหน้าก็มี บอกไว้ในพระคัมภีร์ก็มี เรื่องราวในพระคัมภีร์ พวกเราที่เป็นน้องทางวิญญาณ คือคริสเตียน

น้องทางวิญญาณของชนชาติยิว ก็คือพระเยซูได้ยกตัวอย่าง บุตรน้อยหลงหาย เดี๋ยวผมจะเล่าให้ท่านฟัง บุตรน้อยหลงหาย ที่เคยกบฏต่อพระเจ้า หนีออกจากบ้าน ไปใช้ชีวิตส่วนตัว ไปช่วยตัวเอง ไม่อยู่กับพ่อ ไปอยู่เอง แล้วก็สำมะเลเทเมาเละเทะมากมาย แล้วในที่สุด หมด อยากจะกลับมา ถ้ากลับมาหาพ่อใหม่นะ ขอยกโทษจากพ่อนะ ขอเป็นทาสก็พอแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พอกลับมาถึงพระเจ้า ไม่ได้คิดจะลงโทษอะไร มีแต่คิดอย่างเดียวว่าจะให้รางวัลอย่างไร? จะดีใจอย่างไร? เขากลับมามีชีวิตอยู่ดี เตรียมงานเลี้ยงไว้ให้เลย มาถึงแทนที่จะพูดว่าไปทำอะไรมาไม่ดี ไม่ฟังเลย ลูกจะขอโทษอย่างไร ไม่ฟัง ฟังอย่างเดียว บอกคนใช้ไปเอามาเลย ไปเอาเสื้อคลุมกับแหวนมาให้

เสื้อคลุมกับแหวน คือสิทธิ์อำนาจในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี เอามาให้เลย อาณาจักรในสวรรค์ เอามามอบให้เลย มอบสิทธิ์อำนาจให้กับลูกตัวเอง แถมจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ทูตสวรรค์ทั้งหมด บริวารทั้งหมด มาจัดงานเลี้ยง เพราะลูกคนนี้กลับมาแล้ว คนที่กลับมาเชื่อพระเจ้า ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ

เสร็จแล้ว พี่ทางวิญญาณ ที่อยู่กับพ่อ ไม่เคยหนีไปเลย ชาวยิว ทางกายภาพ ในเรื่องนี้บอกว่าพี่ทางวิญญาณงอน อิจฉาน้อง

“ทำไมน้องได้ง่ายอย่างนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้ฟรีๆ เลย พ่อไม่ลงโทษเลย”

ก็เหมือนเราแหละ ยิวเขาเห็นเรา ทำไมได้ฟรีๆ พวกฉันกว่าจะได้รับความรอด ผ่านทางบทบัญญัติของพระเจ้ามาเยอะแยะ ถูกตีสอนอะไรต่างๆ ท่านเวลามาเชื่อพระเจ้า เชื่อแค่นี้เองเหรอ เชื่อพระเยซูนะ ไม่เคยทำพิธีกรรมไถ่บาปตัวเองเลย ไม่เคยฆ่าวัว ฆ่าสัตว์ เอาเลือดให้ปุโรหิตไปล้างชำระบาปตัวเองเลย ไม่เคยเลย แค่ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นเอง พระเยซูบอกนั่นแหละ สวรรค์เป็นอย่างนี้แหละ พระเจ้าเตรียมไว้อย่างนั้น  อย่างนี้เป็นต้น

แล้วในที่สุด พ่อก็บอกว่า “พี่เธอจะไปงอนน้องทำไม ไปอิจฉาน้องทำไม ในเมื่อทรัพย์สมบัติ ในบ้านทั้งหมด เธอไม่ได้ไปไหน ฉันให้เธอ มันเป็นของเธออยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติในบ้าน มันก็เป็นของเธออยู่แล้ว ก็คือสวรรค์ก็เป็นของเธออยู่แล้ว เธอจะไปงอนเขาทำไม น้องมา เธอน่าจะดีใจ

นี่คือหนึ่งในเรื่องราวที่พระเยซูยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพ ตื่นเต้นไหม? พอเรารู้เรื่องนี้แล้ว ได้เห็นภาพชัดเจน ความรอดที่มาถึงเรามันง่ายมาก เวลาคนอื่นเขาจะได้ มันยากมากเลย ชาวยิวกว่าจะได้รับ ลำบากลำบนเลยนะ พระเจ้าใช้เขา แต่ตอนนี้พระเจ้าใช้เราแล้ว พระเยซูส่งไม้ต่อมาถึงเราแล้ว ชาวยิวเขาจบหน้าที่เขาแล้ว พระเจ้าใช้เขาจนกระทั่งมาถึงพระเยซูคริสต์เกิดและตายที่ไม้กางเขน แล้วบอกว่าสำเร็จแล้ว ต่อไปนี้เขาไม่มีหน้าที่แล้ว หน้าที่มาเป็นของน้องแล้ว คือหน้าที่ประกาศข่าวดีนี้ออกไป นี่คือหน้าที่ของเรา ดังนั้นตรงนี้ง่าย หน้าที่ของเราไปประกาศว่าอะไร? ประกาศว่าฉีกกรมธรรม์ แล้วปะไว้ตรงนั้น  ตอนนี้ตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนแล้ว ความรอดได้มาง่ายๆ ทุกคน โดยพระคุณ เราจึงได้รับความรอด เอเฟซัส 2:8-9 สรุปไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้”

 

นี่แหละ คือข่าวประเสริฐ ที่มีหน้าที่ประกาศ แค่ในนี้ อย่าไปเติมมากกว่านี้ อย่าไปลดน้อยกว่านี้ นี่คือข่าวประเสริฐ 100% อย่าเติมเข้าไปว่าต้องทำอันโน้น อันนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ นี่คือข่าวประเสริฐที่มาถึงเรา ข่าวจริงๆ เลย ข่าวประเสริฐจริงๆ ซึ่งข่าวประเสริฐจริงๆ ตัวนี้ เพิ่งจะมีการสังคยณามา 500 ปีนี้เอง ก่อนหน้าที่มีคนถูกแทรกเข้าไป ทำให้ข่าวดี 100% เหลือ 80 บ้าง, 60 บ้าง, 20 บ้าง แต่มีการปฏิรูปเรื่องนี้ขึ้นมา ข่าวดีนี้ขึ้นมา เมื่อ 500 ปีที่แล้ว คนที่ปฏิรูปนี้ มีชื่อว่า ลาติน ลูเธอร์ ที่เล่าให้ท่านฟัง เพราะว่าคริสตจักรเราอยู่ภายใต้ความเชื่อแบบเดียวกัน คริสเตียนโปรเตสแตนต์ คืออยู่ในเครือข่ายนี้ ปีนี้ เดือนนี้ เป็นเดือนที่ครบ 500 ปีของการปฏิรูปเรื่องนี้ ว่าหัวข้อใหญ่ ก็คืออันนี้ ก็คือข่าวดีของพระเจ้า คืออะไร? ความรอด รอดโดยพระคุณ ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ อย่าเอาอะไรมาบวกเด็ดขาด อย่าเอาการถวายทรัพย์มาบวก อย่าเอาเรื่องการลงบัพติศมามาบวก อย่าเอาพิธีกรรมต่างๆ เยอะแยะมากมายมาบวก นี่คือหัวใจ ความรอดอยู่ที่นี่ เกาะตรงนี้ไว้ ก็ได้รับความรอดแล้ว นี่คือการฉลองวันอีสเตอร์กับวันศุกร์ประเสริฐ อีกหนึ่งครั้ง ในคริสตจักรของเรา ในปีนี้  สัปดาห์ที่ 2 สัปดาห์หน้าจะเอามาอีก จะเอาเรื่องที่เขาท่านไม่เคยได้ยิน มาเล่าให้ท่านฟังอีกว่าเบื้องหลังของการไถ่บาป ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มันซ้อนและมันตรงเป๊ะๆ คิดไปทุกเรื่องในโลกใบนี้ มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น พระองค์ทรงวางไว้แล้วทั้งหมด ขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รู้จักเรื่องนี้ และขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รับผลจากเรื่องนี้ คือเราได้รับความรอดแล้ว เอเมน

 

 

*****************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2017 เรื่อง “A week after Easter” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2017

เรื่อง “A week after Easter”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ สวัสดีวันสงกรานต์ครับ สงกรานต์ไม่อยู่แล้ว แต่วันอะไรยังอยู่ สุขสันต์วันอีสเตอร์ยังอยู่ อยู่ตลอดไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงนี้ยังต้องอยู่ เพราะเทศกาลอีสเตอร์ต้องเลยไปอีก 50 วัน ไปถึงวันเพ็นเทคอสนั่นแหละ วันที่พระเยซูมาสถิตอยู่กับเรา เป็นครั้งแรก แล้วนอกเหนือจากนั้น วันนี้ยังเป็นวันที่ 7 จากการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ พระเยซูยังมาประกาศข่าวประเสริฐด้วยตัวพระองค์องค์ 40 วัน หลังจากที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

สัปดาห์ที่แล้ว เป็นวันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู 1,980 กว่าปีมาแล้ว ยังจำได้ไหมว่าเราได้เรียนรู้เรื่องอะไรกัน? สำคัญอย่างไร? ในโคโลสี 2:14 นี่คือความสำคัญที่สุด ที่บอกว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย ยังคงเป็นอยู่ตลอดไป เพราะประโยคนี้  ประโยคนี้สำคัญมาก โคโลสี 2:14 บันทำไว้อย่างนี้ ท่านตั้งใจอ่านให้ดีๆ ผมอุตสาห์เลือกเอาภาษาไทยที่เขาแปลที่ดีที่สุดแล้ว เพื่อให้เห็นชัด ในโคโลสี 2:14 เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน วันอีสเตอร์แรกของโลก วันศุกร์ประเสริฐแรกของโลก คือวันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนใช่ไหม? สิ่งนี้เกิดขึ้น ผลคืออะไร? โคโลสี 2:14 บอกว่า …

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรมธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

“ฉีกกรมธรรม์” รู้ไหมแปลว่าอะไร? ไม่รู้ กรมธรรม์ คือสัญญา … สัญญาในที่นี่ ไม่ใช่สัญญาธรรมดา ภาษาเดิมตรงนี้ ไม่ใช่สัญญาธรรมดา แต่เป็นสัญญาที่เป็นคำสั่ง เป็นพระราชกฤษฎีกา สั่งโดยผู้ที่มีความยิ่งใหญ่สูงสุด สั่งมาต้องปฏิบัติตามนี้ เหมือนผู้พิพากษาของมหาจักรวาลเป็นผู้สั่ง เหมือนกับใครก็ตาม พระเจ้าอยู่หัว กษัตริย์ที่สูงสุด ประธานาธิบดีที่สูงสุดของประเทศนั้นๆ สั่งว่าให้ทำอย่างนี้ แล้วให้จดบันทึกไว้ในหนังสือสัญญา หรือคำสั่งนี้ คำว่ากรมธรรม์ แปลว่าอย่างนี้ เป็นคำสั่ง สั่งลงมา

สั่งใคร? ในนี้บอกว่า “สั่งเรา” เราคือใคร? มนุษย์ทั้งปวง แล้วพระเยซูทำอะไร เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในนี้บอกว่าทรง … เพราะฉะนั้น สัปดาห์ที่แล้ว ทางโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น ผมจะทำให้ท่านดู ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้น

สัปดาห์ที่แล้ว ที่ไม้กางเขน ตามในนี้นะ โคโลสี 2:14 สัปดาห์ที่แล้วพระเยซูอยู่บนไม้กางเขน  ในโลกวิญญาณ พระองค์ทรงหยิบซองขึ้นมา ซองนี้มีชื่อซองว่า “กรมธรรม์” เปิดซองออกมา พระราชกฤษฎีกา สั่งโดยพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เที่ยงธรรม ไม่มีลำเอียง สั่งอย่างไร? มนุษย์ต้องชดใช้สิ่งที่เขากระทำไป ด้วยความบาปที่เขากระทำ

บาป คือการกบฏต่อพระเจ้า

พระเจ้า คือผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของมหาจักรวาล เขากบฏ ไม่เชื่อฟัง เป็นศัตรู คือกบฏ เขาได้รับโทษของการเป็นกบฎ แล้วโทษของการกบฏ มนุษย์เราก็รู้แล้ว คือประหารชีวิตลูกเดียว โทษของการกบฎของมนุษย์ ก็ไล่ลงมาเลย เขาต้องชดใช้บาป เวรกรรมของเขา เพราะเขาเป็นชนชาติแห่งการกบฎ ก็เขียนบันทึกยาวเลย เขาไม่สามารถที่จะเป็นลูกของเราอีกต่อไปได้ เขาต้องเป็นทาส จากฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้า กลายเป็นทาส ในนี้เขียนไว้นะ เขาจะไม่สามารถเข้ามาอยู่กับเราได้อีกแล้ว จากที่อยู่ด้วยกันได้ เห็นกันได้ จับต้องกันได้ จากนี้เขาต้องถูกอัปเปหิไล่ออกไปอยู่ข้างนอก ที่มีการขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ทุกข์ทรมานในชีวิตนี้ และเขาจะไม่รู้จักเราอีกต่อไป เพราะถูกไล่ออกจากบ้านของเรา หรือเรียกว่าสวรรค์ หรือในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าสวนเอเดน เขาถูกไล่ออกไปแล้ว ในนี้เขียนไว้ เขาไม่สามารถเข้ามาในสวนนี้ได้อีกต่อไป เขาไม่สามารถเข้ามาในสวรรค์นี้ได้อีกต่อไปแล้ว

ในกฤษฎีกานี้เขียนไว้อีกว่าเขาจะไม่ได้รับพร ซึ่งมีพรของเราอยู่กับเขาตลอดชีวิต เขาจะไม่ได้รับอีกแล้ว ร่างกายเขาที่ได้รับพรจากเราตลอดเวลา ไม่มีการตายเลย บัดนี้ ไม่มีพรอีกแล้ว มีแต่ความเสื่อมถอย เขาจะต้องตายทางร่างกายเขา ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่จำเป็น นี่เขาต้องชดใช้ ร่างกายเขาต้องเสื่อมไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ตาย และวิญญาณของเขา ก็ไม่สามารถอยู่ในสวนเอเดน อยู่ในสวรรค์กับเรา ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าได้อีกเลย บันทึกเอาไว้อย่างนั้น

และมีอะไรอีก ถ้าเขาอยากได้พรจากเรา นิดหนึ่ง สักหน่อยหนึ่ง หรืออยากจะคุยกับเรา เขาสามารถทำได้ เราบันทึกไว้ในนี้นิดหนึ่งว่าเขาสามารถทำได้ โดยที่ให้เอาเลือดสัตว์มาลบล้างบาปเขา ปีละหนึ่งครั้ง เขาจะได้เลือดไปปกคลุมชีวิตเขานั้นชั่วคราว ปีต่อปี เอามาผ่อนเรา ก็ได้พรไปนิดหนึ่ง  แต่เขาก็จะไม่เห็นเรา เขาจะไม่รู้จักเรา  เขาจะไม่เข้าใจเรา นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยได้สุดแค่นั้นเอง ช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว และเขาต้องผจญชีวิตเขาด้วยตนเอง โลกนี้จะเปลี่ยนไป สำหรับเขา เพราะเขาถูกลงโทษ จากผืนดินที่ปลูกอะไรก็ขึ้น อะไรที่กินได้มันขึ้นตลอด จะกลายเป็นตรงกันข้าม อะไรที่กินไม่ได้ เป็นขวางหนาม มันจะขึ้น โดยที่ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเลย ไม่มีน้ำ มันก็ขึ้น เพราะมันจะทำลายเราอย่างเดียว อะไรที่เป็นประโยชน์กับเรา ใส่ปุ๋ย ทำอะไรกับมัน มันก็จะตายๆ ลำบากลำบน ชีวิตเขาจะต้องอยู่ด้วยความอาบเหงื่อต่างน้ำ ตลอดชั่วชีวิติของเขา แม้เขาจะแพร่พันธุ์ของเขา ตามที่ได้สั่งไว้ตั้งแต่แรก แต่จะแพร่พันธุ์ด้วยความทุกข์ยากลำบาก เวลาเขาแพร่พันธุ์ คือเขาคลอดลูก เขาจะทุกข์ทรมานมาก จริงไหมท่านผู้หญิง? มีใครบ้างออกลูกสบายๆ ไม่มี ทุกข์ทรมานมาก

นี่คือภาษาทั้งหมดนี้ เราเรียกกันว่า “คำสาปแช่ง” เข้าใจไหม? แช่งใคร? แช่งมนุษย์ สาปใคร? สาปมนุษย์ นี่คำสาปแช่ง แปลแค่นี้เอง สาปแช่ง แปลว่าการลงโทษ ที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้แล้ว โดยผู้สร้างมหาจักรวาลและสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเรียกว่าผู้พิพากษาแห่งความยุติธรรม ก็คือพระเจ้า นึกไม่ถึงนะ เรานึกว่ามารซาตานเป็นศัตรูของเรา ไม่ใช่ ไม่ใช่มารเป็นผู้สั่ง มารซาตานเป็นศัตรูของเรา ก็จริง แต่ไม่มีสิทธิ์สั่งหรอก เพราะมารไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิ์ คืนอำนาจเราด้วย แต่ผู้ที่สั่ง คือผู้พิพากษา เราตกอยู่ในคำสาป ใต้ฤทธิ์อำนาจ พระหัตถ์ของพระเจ้า แทนที่จะเป็นลูก เรากลายเป็นทาส

ย้อนกลับมา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน แล้วทรงหยิบเอากรมธรรม์นี้ขึ้นมา เปิดซองดู ไม่อ่าน เพราะพระองค์ทรงรู้แล้วว่ามีอะไร? มา ก็เพื่อสิ่งนี้ ในนี้บอกว่าอย่างไร? อ่านอีกครั้งหนึ่ง

โคโลสี 2:14 “พระ‍องค์​ทรง‍ฉีก​กรมธรรม์ ​ซึ่ง​ได้​ผูก‍มัด​เรา ​ด้วย​บัญ‌ญัติ​ต่างๆ ซึ่ง​ขัด‍ขวาง​เรา และ​ได้​ทรง​หยิบ​เอา​ไป​เสีย​ให้​พ้น​ โดย​ทรง​ตรึง​ไว้​ที่​กาง‌เขน”

 

นี่ใช่ไหม? ผูกมัดเราใช่ไหม? ฉีกเลย จำไว้ เห็นหรือยัง? ไม่เห็น จำไว้ ได้ยินหรือเปล่า? ไม่ได้ยิน จำไว้ ได้ยินหรือยัง? จำไว้อีก ได้ยินหรือยัง? กลับไปบ้านฉีกต่อ เชื่อหรือยัง? รู้ไหม? รู้ไหม? แล้วเอาทั้งหมดนี้ ใส่ซองกลับคืน ทิ้งขยะ ใช่หรือเปล่า? ในนั้นบอกว่าอย่างไร? ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น จบแล้วตอนนี้ ตอนนี้คำสาปแช่งทั้งหมดของเราอยู่ไหน? อยู่ที่ไม้กางเขน ทั้งหมดนี้ ใครเป็นคนทำ โดยคำสั่งของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลย ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมารซาตานเลย เป็นเรื่องของพ่อกับลูก พ่อต้องทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา ลูกก็รับกรรมไป ถึงเวลาจบสิ้น ก็ออกมา จบแล้ว คำสาปแช่งอยู่ที่ไหน?  ตะกี้นี้ที่พูดมาทั้งหมด ที่ขัดขวางเราทั้งหมด พระเจ้า ก็ไม่ได้ พร ก็ไม่ได้ ตอนนี้ ถวายสิบลด แล้วได้พรไหม? ไม่ต้อง ได้พร เพราะอะไร? จากการเป็นทาส กลายเป็น … อ่านเอาเองดีกว่า กาลาเทีย 4:4-7 บันทึกไว้อย่างนี้

กาลาเทีย 4:4-7 “4 แต่​เมื่อ​ครบ​กำ‌หนด​แล้ว​ พระ‍เจ้า​ก็​ทรง​ใช้​พระ‍บุตร​ของ​พระ‍องค์​ (คือพระเยซูคริสต์)  มาประ‌สูติ​จาก​สตรี​เพศ (คือแมรี่) และ​ทรง​ถือ​กำ‌เนิด​ใต้​ธรรม‍บัญ‌ญัติ (ก็คือเป็นมนุษย์) 5 เพื่อ​จะ​ทรง​ไถ่​คน​เหล่า​นั้น (คือมนุษย์ทั้งหลาย) ​ที่​อยู่​ใต้​ธรรม‍บัญ‌ญัติ (ใต้คำสาปแช่ง, ใต้กรมธรรม์เมื่อตะกี้นี้) เพื่อ​ให้​เรา (มนุษย์) ​ได้​รับ​ฐานะ​เป็น​บุตร 6 และ​เพราะ​ท่าน​เป็น​บุตร​ของ​พระ‍เจ้า​แล้ว (หมายถึงเชื่อแล้วและมีโอกาสแล้ว) พระ‍องค์​จึง​ทรง​ใช้​พระ‍วิญ‌ญาณ​แห่ง​พระ‍บุตร​ของ​พระ‍องค์ เข้า​มา​ใน​ใจ​ของ​เรา ร้อง​ว่า “อา‌บา” คือพระ‍บิดา (พ่อจ๋า เราจึงอธิษฐานว่าพ่อจ๋า) 7 เหตุ​ฉะนั้น​ โดย​พระ‍เจ้า ท่าน​จึง​ไม่​ใช่​ทาส​อีก​ต่อ‍ไป แต่​เป็น​บุตร และ​ถ้า​เป็น​บุตร​แล้ว ท่าน​ก็​เป็น​ทา‌ยาท (คือมีมรดกให้อีกด้วย เอเมน)”

 

หลับตาคิดแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา ชีวิตเรามีแค่นี้เอง ไม่ต้องไปคิดอะไรมากเลย ข่าวประเสริฐมีอยู่แค่นี้เอง ไม่ต้องไปไล่ผีมารซาตาน ไม่ต้องไปไล่ที่ไหน? ไม่ต้อง ทั้งหมด เราอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่ต้องห่วงแล้ว สมัยก่อน มันเป็นกฎวางไว้แล้ว เราไม่ต้องทำ มันก็โดนอยู่แล้ว มารมันได้แต่หัวเราะอย่างเดียว เราโดนอยู่แล้ว ตอนนี้มันหัวเราะไม่ออก เพราะได้พระพรอยู่แล้ว ยังไง ก็พร เพียงแต่เราต้องเชื่อเอาเท่านั้นเอง เราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ ง่ายไหม? ง่ายที่สุดแล้ว

นี่คือหลักของไม้กางเขน มีอยู่แค่นี้เอง ไม่ได้เป็นเรื่องของศาสนา เรื่องของพิธีกรรม เรื่องของอะไร? เรื่องของข่าวดี พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน พระองค์จึงประกาศข่าวดีก่อนเลย เสร็จแล้ว เรียบร้อยแล้ว แล้วจากนั้น พอพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วมาอยู่กับเหล่าสาวก 40 ก็บอกสาวกให้ออกไปประกาศ สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ ก็ดี ในโลก ก็ดี อยู่กับเราแล้ว อยู่กับเรา แปลว่าเราเป็นหัวหน้าของมนุษย์ เราเป็นหัวหน้าของเธอ ก็คืออยู่กับเธอ เธอผูกมัดอะไรในโลก มันก็ถูกผูกมัดในสวรรค์ เธอผูกมัดในสวรรค์ ก็ผูกมัดในโลก หมายถึงเธอมีอำนาจมากมายหมดแล้ว เป็นของเธอแล้ว เพราะฉะนั้น ออกไปประกาศ  ไม่ต้องไปยุ่งกับมาร เสียเวลา แค่ออกไปประกาศ เท่านั้นเอง ไปบอกข่าวดีให้เขาฟังว่าข่าวดี คืออันนี้ๆ จบ เจอแมลงสาป ก็เหยียบไป บางครั้งพระเจ้า พระวิญญาณนำเราไปไล่ผี ก็ไล่ไปสิ คิดว่เป็นแมลงสาปตัวหนึ่ง ไม่เห็นมีอะไร? ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน สิ่งที่ยุ่ง ก็คือข่าวประเสริฐนี้ สิ่งที่เปาโลและสาวกรุ่นแรก กลัวที่สุด โมโหที่สุด ก็คือใครก็ตามที่มาลบเอาข่าวดีนี้ ให้มันน้อยลง ให้มันหายไป กลายเป็นข่าวไม่ดี ก็คือมนุษย์ยังมาทำอันโน้นอันนี้ เพื่อให้เรารอรับความรอด อันนี้ ก็ทำไม่ได้ อันนั้น ก็ทำไม่ได้ อันโน้น ก็ทำไม่ได้ ต้องมีพิธีกรรมอย่างโน้น ต้องมีพิธีกรรมอย่างนี้ ยุ่งไปหมดเลย ในที่สุด ไม่ได้รับความรอด เพราะมันง่ายมาก มีแค่นี้เอง ถ้าทุกคนบอกกันอย่างนี้ มาตั้งแต่แรก เมื่อ 2,000 ปีก่อน มันก็มาถึงพวกเราไม่ยากเลยใช่ไหม? ถ้ามีคนมาบอกเราอย่างนี้ตั้งแต่แรก มันคงไม่ยากมาจนถึงตอนนี้ใช่ไหม? แต่เขาไม่ได้มาบอกเราอย่างนี้ ข่าวประเสริฐไม่ได้มาถึงเราอย่างนี้  ข่าวประเสริฐมาแค่ 50% มาสัก 20% บอกอีก 80% เราต้องทำอยู่ ก็ตายสิ เราทำไหวที่ไหน? เรามาหาพระเยซู ก็เพราะเราไม่ไหวแล้ว เราจะขอความช่วยเหลือ เราไม่ไหวจริงๆ แต่พอมาหาพระเยซู เรายังต้องทำอย่างนี้อีก ทำอย่างนั้นอีก ตายแล้ว ไม่มีแรง มันง่ายขนาดนี้เอง มันไม่มีอะไรเลย อันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? อันโน่นทำได้ไหม? ไปโน้นได้ไหม? ไปเช้งเม้งได้ไหม? ไม่ต้องยุ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกันกับข่าวประเสริฐเลย จบอยู่ตรงนี้ แล้วท่านก็มีชีวิตอยู่ต่อไป จะทำอะไรก็เชิญ เอเมน

อย่างนี้ก็ส่งเสริมคนทำบาปสิ … ผมส่งเสริมคนทำบาปไหม? ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ท่านจะทำบาปไหม? ท่านยินดีไหม? ท่านทำ แต่ท่านไม่ยินดีในการทำ ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ไม่ยินดี แต่ท่านต้องทำ แต่เดี๋ยวนี้ ท่านไม่ยินดี ท่านก็สามารถสู้กับมันได้  สู้กับตัวเองนะ ไม่ได้สู้กับมารนะ สู้กับกิเลสตนเอง แล้วก็ขอพระเจ้าช่วย ท่านมั่นใจว่าพระเจ้านำท่านอยู่ใช่ไหม? ท่านรู้กว่าในที่สุด ท่านไม่มีทางทำได้ครบ 100% เหรอ แต่ท่านมั่นใจในความรอด ท่านสะอาดหมดจด ท่านบริสุทธิ์ นั่นแหละ คือข่าวดี  และคนก็จะมาเชื่ออย่างนี้มากขึ้นๆ เพราะไม่มีใครดีเลยสักคนหนึ่ง พระคัมภีร์บอก ทุกคนต้องการการช่วยเหลือ พระเยซูเป็นแพทย์ มารักษาเราแล้ว มนุษย์ทุกคนป่วย เป็นโรคบาป มาหาพระเยซู พระเยซูก็รักษา จบ หายวิญญาณ ร่างกายก็ว่ากันไป เดี๋ยวนำพาไป พระเยซูอยู่ในเราแล้ว เราเชื่อพระเยซูแล้ว เราก็เกิดใหม่บริสุทธิ์ เราสะอาดแล้ว  ไม่มีสักวินาที ที่ท่านเป็นบาปอีกต่อไป จำไว้ให้ดี ต่อให้เมื่อตะกี้ เดี๋ยวโกหก  ท่านก็บริสุทธิ์ เพราะวิญญาณท่านบริสุทธิ์แล้ว อยู่ที่โน้นแล้ว นี่มันคือเนื้อหนังของท่าน เข้าใจใช่ไหมค่ะ มันแปลว่าอะไร?  นี่คือข่าวดี และสิ่งที่พระเยซูทำ เมื่ออีสเตอร์ และท่านสมควรไหมที่จะมาฉลองอีสเตอร์ ให้มันสุดๆ ฉลองอีสเตอร์ ศุกร์ประเสริฐให้สุดๆ เอาข่าวนี้ไปบอกพี่น้องทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน ใครก็ตาม ขอให้เขาได้เห็นสิ่งนี้ ง่ายๆ ไม่ได้ยาก ชาวบ้าน ชาวช่อง ชาวนา ชาวสวน คนไม่ได้รับการศึกษาแบบมนุษย์ ก็เชื่อง่ายๆ ไม่ยากเลย มันอยู่ที่โน้นแล้ว เห็นภาพที่ตะกี้ผมพยายามทำให้ท่านดู มีเวลานิดเดียว พยายามให้ท่านเห็นชัดๆ คืออย่างนี้ นึกถึงข้อพระคัมภีร์นี้ แล้วจำไว้นะที่ผมฉีกๆ ฉีกสัญญา ฉีกกรมธรรม์ ฉีกคำสาปแช่ง เราอยู่ในพระพรตลอดชีวิตแล้ว เอเมน ไม่มีคำสาปแช่งแม้แต่นิดหนึ่งในชีวิตของเรา เอเมน เราอยู่ในการทรงนำของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เอเมน

 

*******************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2017 เรื่อง “อีสเตอร์ … วันประกาศชัยชนะ และการครอบครองอาณาจักรนิรันดร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  เมษายน  2017

 เรื่อง “อีสเตอร์ … วันประกาศชัยชนะ

และการครอบครองอาณาจักรนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันแห่งการเฉลิมฉลองวันแห่งการประกาศอิสรภาพ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว คือประกาศอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณ ที่ประกาศโดยพระเยซูคริสต์ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เรียกว่าศุกร์ประเสริฐ และทรงเป็นขึ้นใหม่ในเช้าวันนี้ เรียกว่าวันอีสเตอร์

การประกาศอิสรภาพฝ่ายวิญญาณนี้ เริ่มประกาศตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงถูกตรึง ตายที่ไม้กางเขน และผ่านไป 3 วัน พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแรก ย้อนหลังไป ใครรู้ว่าเมื่อไร? ผมมีอะไรมาบอกท่าน เป็นเกล็ดความรู้เล็กน้อย

ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าปีนี้ 2017 เพราะฉะนั้น อีสเตอร์แรก ก็คือ 2,017 ปีมาแล้ว ไม่ใช่นะ จริงๆ แล้ว เริ่มนับปี ค.ศ.1 เมื่อพระเยซูมีอายุ 4 ขวบ และตอนที่พระเยซูถูกตรึง และสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ได้มีบันทึกว่าพระองค์มีอายุ 33 ปี คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ ปี ค.ศ. 29

สรุป คือวันอีสเตอร์แรกผ่านมาแล้ว 1988 ปี คือ 2017 – 29 นั่นเอง ยังไม่ถึง 2,000 ปีเลย  เกือบๆ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ 1988 ปีมาแล้ว  ทำให้มนุษยชาติทั้งปวง ได้รับอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง และเป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว ตั้งแต่ตอนมนุษย์ตกลงไปในความบาป มีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บอกล่วงหน้า ซึ่งมีภาษาไบเบิ้ลว่าเผยพระวจนะ คือพระเจ้าบอกล่วงหน้าผ่านทางมนุษย์ ที่เป็นผู้รับใช้ตอนนั้น ให้บันทึกไว้ว่าเราเตรียมแผนการอย่างนี้ไว้ จะเกิดอะไรขึ้น? บอกล่วงหน้า ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ตรัสเรื่องนี้ไว้ด้วยพระองค์เองไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์เอง ได้ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐ พระองค์รู้แล้วว่าพระองค์จะมาทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขนอย่างไร? ขนาดไหน? ทรมานอย่างไร? และเพื่ออะไร? ดูสิว่าพระองค์ทรงตรัสเอง ยกมาหนึ่งตอน ให้ท่านได้เห็นกัน ลูกา 4:16-19

ลูกา 4:16-19 “16 พระองค์เสด็จมายังเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งทรงเติบโตขึ้น  และในวันสะบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำ และทรงยืนขึ้นอ่านพระธรรม 17 เขาส่งม้วนพระคัมภีร์อิสยาห์ให้พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่ออกมา ก็พบข้อความที่เขียนไว้ว่า  18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้  พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้า มาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ  และให้คนตาบอดมองเห็น  ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่  19 ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปราน ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโน่น ผู้เผยพระวจนะที่มีชื่ออิสยาห์ นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น จริงๆ เผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้า แล้วบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่วันแรก หน้าแรก เรียกว่าปฐมกาล Beginning พูดถึงพระเยซูมาตลอด เฉพาะตรงนี้บอกว่าบันทึกไว้สมัยผู้เผยพระวจนะ พระเจ้าใช้ 1 คน คนนี้ชื่อว่าอิสยาห์ บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ให้มาประกาศแก่มวลมนุษยชาติทั้งหลาย เฉพาะตอนนี้บอกก่อนล่วงหน้า ประมาณ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์แรกนั่นแหละ

พระเยซูอ่านตรงนี้ให้เราฟัง บันทึกไว้ล่วงหน้า 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่เราอ่าน พระเยซูคริสต์เกิดเป็นมนุษย์แล้ว 30 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นช่างไม้อย่างเดียว เงียบๆ พออายุ 31 หน้าที่ของพระองค์มาแล้ว คือเริ่มต้นประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? มาทำไมบนโลกใบนี้? มาเพื่ออะไร? สวรรค์คืออะไร? พระเจ้าเตรียมสวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคนอย่างไร? พระเจ้าเตรียมความหวัง เตรียมความรอดให้กับมนุษย์ทุกคนอย่างไร? จากนี้ต่อไป? ถ้าท่านเห็นภาพตรงนี้ ท่านจะอ่านพระคัมภีร์อย่างสนุกสนานและเข้าใจง่ายๆ ไม่ยากเย็นอะไรเลย  คือพระเยซูมา เพื่อจะมาบอกเราทั้งหลายว่าจะประกาศอิสรภาพแล้ว จะเป็นอิสระจากความบาปความตายแล้ว จะมีความหวัง และตายแล้ว ไม่ต้องกลัว จะเป็นขึ้นมาใหม่ จะได้อยู่กับพระเจ้า กลับไปหาพระเจ้า จะรู้จักพระเจ้าได้

พอพระองค์อายุ 30 ก็เริ่มต้น เดินเข้าไปในธรรมศาลา คำว่าธรรมศาลา คือที่ชุมนุมของคนที่เชื่อพระเจ้า ในกลุ่มชาวยิวในขณะนั้น เพราะว่าวิหารของพระเจ้าเข้าไปไม่ได้แล้ว ถูกปิดไว้ ห้ามใช้ โดยกฎหมายทางโรมัน เขาเหล่านี้จึงออกมาประชุมนอกวิหาร

นอกวิหาร คือที่ประชุม ธรรมศาลา ก็เหมือนกับโบสถ์เรา ที่มาเรียนรู้กันในวันเสาร์ วันสะบาโต วันนั้น วันแรก ที่ไม่มีใครรู้จักพระองค์เลยว่าเป็นใคร? รู้เพียงแต่ว่าเป็นลูกโยเซฟ ลูกมารีย์ เป็นช่างไม้ จบ แต่วันนั้นพระองค์ทรงเดินเข้าไป แล้วก็หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ปกติคนที่จะอ่านพระคัมภีร์ที่อยู่ในหนังสือม้วน จะต้องเป็นคนที่มีความรู้มาก ต้องศึกษา เขาเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมในสมัยนั้น เขาต้องขึ้นมา แล้วอ่าน แล้วพระเยซูเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็ขึ้นมาขออ่าน คนก็ยื่นให้อ่าน พระองค์ก็เปิดมา ท่านคิดดู เต็มไปหมดเลย  5 เล่มของพระคัมภีร์เดิมเยอะมาก พระองค์เปิดมาหน้านี้ หน้าที่เราอ่านเมื่อสักครู่

พระองค์บอกว่าพระองค์มาประกาศข่าวดี แก่ผู้ยากไร้ เอาตอนนี้ก่อน พอพระองค์อ่านจบนะ คนถามว่าแล้วทำไมมาอ่านอย่างนี้? พระองค์บอกฉันเอง คือคนๆ นี้ ที่พระคัมภีร์เขียน  อ่านเมื่อตะกี้นี้ คนตกใจ แตกฮือ หาว่าพระเยซูหมิ่นประมาณพระเจ้า

“อะไร นี่คือพระบุตรพระเจ้าที่พระองค์จะส่งมา เป็นมาซีฮา แล้วเธอเป็นใคร? เธอเป็นลูกช่างไม้”

เขาไม่เชื่อ เป็นเรา เราก็ไม่เชื่อ ลูกช่างไม้ อยู่ดีๆ มาบอกว่า …

“เราเป็นพระเจ้า”

ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นช่างไม้ อยู่ดีๆ มาประกาศเรื่องนี้ แล้วหลังจากนั้น จึงเริ่มต้นทำอัศจรรย์ เริ่มต้นประกาศข่าวดี อีก 3 ปี จนกระทั่งถูกตรึงที่ไม้กางเขน ท่านจะเห็นภาพว่าพระเยซูทำสิ่งนี้เกิดขึ้น  ทำให้ศัตรูของพระองค์ โผล่ขึ้นมาเต็มเมืองเลย คนตกใจ หาว่าพระองค์ทรงหมิ่นประมาณ จะจับพระองค์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะเอาไปลงโทษแล้ว ดูสิว่าพระองค์พูดถึงเรื่องอะไร?

“เรามา เพื่อประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้”

ท่านนึกว่าผู้ยากไร้หมายถึงคนจนเหรอ ในเมื่อพระเยซูประกาศแล้ว ทำไมคนจน ก็ยังจนอยู่ เราเชื่อพระเยซู เรายังจนอยู่ เรารู้สึก ทั้งที่เราจน แต่เราก็ไม่จน เพราะเรามีพอมีพอกินของเรา เรามีความหวัง แต่ทำไมเรายังจนตามลักษณะนั้น

เพราะประกาศข่าวดีกับผู้ยากไร้ ตรงนี้ คือแก่ผู้ที่ Poor in spirit ภาษาเดิมแปลว่าวิญญาณมันตาย วิญญาณที่อยู่ในความบาป ความตาย สกปรก มันหมายถึงอย่างนั้น  นี่แหละวิญญาณที่ยากไร้ ไม่ใช่ยากไร้ทางตามองเห็น พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่พระเยซูพูดทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ในโลกใบนี้เลย ตามความคิดของมนุษย์ชอบคิดอย่างนี้ พอบอกยากจน คือคนจน ไม่ใช่ วิญญาณคุณยากไร้มาก ทุกวันนี้เรามาเชื่อพระเยซู วิญญาณเรารวยไหม? รวยมหาศาล

ต่อไปบอกว่า “มา เพื่อประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่ถูกจองจำ” ประกาศให้คนที่อยู่ในคุกเหรอ พวกที่ทำผิดกฎหมายเหรอ ไม่ใช่ ทั้งเล่มเลย พระคัมภีร์เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่าอ่าน แล้ววิเคราะห์ แล้วสรุปเป็นเรื่องเกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ที่จับต้องมองเห็นได้ ถ้าท่านใส่เกี่ยวกับวิญญาณ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลย แม้กระทั่งคำว่าความรอดในพระเยซูคริสต์ รอดจากรถชนกันเหรอ ไม่ใช่ รอดจากจมน้ำตายเหรอ ไม่ใช่ รอดจากบาป โทษของความบาป เราต้องใช้เวร ใช้กรรม เมื่อเราตายไปแล้ว รอดจากตรงนั้นแหละ ก็คือรอดทางฝ่ายวิญญาณ

ประกาศอิสรภาพ แก่ผู้ที่จองจำ ก็คือประกาศอิสรภาพ แก่ผู้ที่วิญญาณถูกครอบงำ ด้วยความผิดบาป เป็นทาสของความตาย ทาสของความบาป ไม่ทำบาป ก็ไม่ได้ พยายามๆ ในที่สุด ก็ทำทำแล้ว ก็ไม่สบายใจ แต่ทำไมทำ นั่นแหละคือลักษณะของการถูกจองจำ ที่เราสามารถเห็นได้ในชีวิตของเรา ไม่อยากทำ แต่สู้มันไม่ไหว ก็คือถูกจองจำ

ต่อไปอะไรอีก “ให้คนตาบอดมองเห็น” ไม่ได้หมายถึงคนตาบอด แล้วพระเยซูมา เพื่อให้เขามองเห็นทุกคน ไม่ใช่ ทุกวันนี้ มีคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้า ยังตาบอดจริงๆ แต่ตาทางฝ่ายวิญญาณ มันบอด ก็คือให้คนตาบอดทางฝ่ายวิญญาณ เพราะเขาบาป เขาไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ เขาไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ เหมือนเราในอดีตที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า พูดเรื่องพระเจ้าให้เราฟัง พูดเรื่องพระเยซูให้เราฟัง เราก็ไม่อยากฟัง  เราไม่ชอบทันทีเลย ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่ชอบ อย่ามาพูดเรื่องนี้เลย พูดเรื่องอื่น เรื่องอะไรเราก็ฟังได้ทั้งสิ้น อย่าพูดเรื่องพระเยซูได้ไหม? ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผล  เพราะตาเรามองไม่เห็นไง แต่ทุกวันนี้ อยากจะพูด บอกไม่ให้เราอธิษฐาน เราก็อธิษฐาน  คนว่าเราบ้าไปแล้ว พูดคนเดียว เราก็บอกว่าเราก็จะอธิษฐานต่อไป ในเพลง Amazing Grace บอก But now I see บัดนี้ฉันเห็นแล้ว ไม่ใช่บอกว่าแต่ก่อนฉันตาบอด เปล่า แต่ก่อนตาเห็น แต่ฉันไม่เห็นพระเยซู แต่เดี๋ยวนี้ ตาฉันได้เห็นพระเจ้าแล้ว ผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเยซู ฉันได้รู้จักพระองค์ ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น พระเยซูมา เพื่อให้ตาฝ่ายวิญญาณเราได้ถูกเปิดออก และได้เห็นพระเจ้า ได้รู้จักพระเจ้า และสามารถคุย มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระองค์ได้ เอเมน

ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ หมายถึงถูกปลดปล่อยจากการกดข่มขี่ทางฝ่ายวิญญาณ คือปลดปล่อยคนที่อยู่ใต้อำนาจความบาป ความตาย โดยการนำของมารซาตาน ให้เขามีอิสรภาพ เขาอยู่ในกำมือของมาร เขาอยู่ในการนำพาชีวิตของมาร เขาอยู่ในความมืด เหล่านี้ เรียกว่าถูกกดขี่ข่มเหงโดยมารทั้งสิ้น ให้ทำชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ แล้วสุดท้าย พระองค์มาเพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปราน อันนี้ชอบมากเลย ถามว่าชอบ เพราะอะไร?

ปีแห่งความโปรดปราน คือประกาศเวลาแห่งการอภัยโทษ ให้กับความผิดบาปของมวลมนุษย์ทุกคน เอเมน ซึ่งรวมทั้งฉันด้วย

ปีแห่งความโปรดปราน ผมใช้คำนี้ในยุคปัจจุบันนี้ ท่านจะเห็นชัด พระเยซูมาประกาศปี (S) เพราะหลายๆ ปี อยู่ในความโปรดปรานนี้ ประกาศปีแห่งโปรโมชั่น รู้จักโปรโมชั่นไหม? ทุกคนชอบ เพราะถ้าห้างนี้เขาบอกมีโปรโมชั่น ตอนนั้น เขามีความโปรดปรานในลูกค้ามาก เขาอยากให้ท่านไปซื้อ เขาลด 50% ลดตั้ง 70% โปรดปรานมาก นี่พระเจ้าบอกปีแห่งความโปรดปราน ต่อไปนี้ ไม่ต้องเอาหัวหมูมา ไม่ต้องเอาแพะมา ไม่ต้องเอาไก่มา ไม่ต้องมาติดสินบนฉันเลยแม้แต่นิดเดียว เอาไป พระเจ้าบอกลด 100% มาเอาไปฟรีๆ เลย  ความรอดจากบาป ก่อนหน้านี้ ยังต้องเอาเลือดสัตว์ไป เอาอะไรไปต่างๆ ต่อกันทุกปี ต่อไปนี้ไม่ต้องเลย เอาไปฟรีๆ  นี่เขาเรียกว่าปีแห่งความโปรดปรานแก่มนุษย์ทั้งปวง อย่างนี้ไม่เรียกว่าข่าวดี แล้วเรียกว่าอะไร?

ซึ่งรวมทั้งหมดทั้งมวลนี้ ที่พระเยซูมาทำ ก็คือว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ไว้ เพื่อให้มาเป็นผู้ประกาศอิสรภาพ หรือประกาศการอภัยโทษให้แก่มวลมนุษยชาติทั้งปวง ให้ได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย ให้ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เรียกว่าประกาศปีแห่งนิรโทษกรรม คุ้นๆ ไหมตอนนี้เอามาใช้บ่อย นิรโทษกรรม ใครทำอะไรผิดมายกให้หมดเลย จึงเรียกว่าข่าวดี เป็นข่าวดีจากชัยชนะที่ไม้กางเขน ตามเหตุการณ์ในวันศุกร์ประเสริฐก่อนจะสิ้นพระชนม์ วันศุกร์ที่ผ่านมา ย้อนไปอีก 1988 ปี ที่ไม้กางเขน วันศุกร์นั้น ก่อนวันอีสเตอร์ 3 วัน พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งถึงบ่าย 3 โมง ด้วยความทุกข์ทรมาน

พระองค์ได้ตรัสคำสุดท้าย เป็นภาษาฮีบรูอ่านมา Testelesti แปลว่าเป็นอิสรภาพแล้ว สำเร็จแล้ว  จ่ายให้หมดแล้ว

พระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 3 โมงเช้า พอถึงเที่ยงปุ๊บ ฟ้ามืดครึ้มไปหมดเลย ผมเชื่อว่าตอนนั้นเหมือนสุริยุปราคา มืดไปหมดทั้งแผ่นดินถึงบ่าย 3 โมง ทหารที่เฝ้าดูตกใจ ที่เขาบอกพระเจ้าแน่ๆ เขาพูดไม่ใช่เพราะเขาเชื่อหรอก แต่เขาเห็นความอัศจรรย์ ตกใจ นี่ต้องเป็นพระเจ้า ตามที่พระองค์ได้บอกไว้ ตามที่ใครๆ เขาพูดถึงในช่วงนั้น มีคนที่เชื่อพระเจ้าในช่วงนั้นเขาพูดถึง คือพระบุตรพระเจ้าแน่ๆ คนนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก่อนบ่าย 3 โมงพระองค์พูดว่าสำเร็จแล้ว หรือจ่ายหมดแล้ว แปลว่าวันสุดท้ายพระองค์ทำเสร็จ

พระองค์ทรงประกาศข่าวดี เป็นคนแรก พระองค์บอกสำเร็จแล้ว ที่ทำมาทั้งหมด ปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว เสร็จแล้ว แล้วคนต่อๆ ไป พระองค์ก็สั่งเขาให้ไปประกาศข่าวดี ประกาศว่ามนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น มีหน้าที่ออกไปประกาศว่า …

“สำเร็จแล้ว จบแล้ว”

ท่านก็ว่าไป อะไรจบ ท่านก็อธิบายให้เขาฟัง ก็คือสรุปแล้ว คือจบแล้ว คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมอีกต่อไป ตรงนี้คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่พระเยซูคริสต์ได้ประทานให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระองค์ เราจึงเรียกว่า “วันแห่งชัยชนะ” หรือ “Easter day” เป็นวันที่เรามาระลึกถึงชัยชนะ ผู้นำทัพของเรา คือพระเยซูคริสต์ได้รับชัยชนะเหนือความบาปและความตาย พระองค์ทรงชนะที่ไม้กางเขน และยืนยันชัยชนะของพระองค์ ประทับตราด้วยการเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าพระองค์ประกาศชัยชนะ แล้วพระองค์ตายไปตลอดเลย อันนี้ มันก็น่าตะขิดตะขวางใจ แต่พระองค์ตายแล้ว ชำระเราเรียบร้อยแล้ว แค่นั้นไม่พอ วันที่ 3 วันอีสเตอร์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ปั้มตราหนี้ที่จ่ายไปแล้ว เป็นใบเสร็จ แล้วส่งให้พวกเราทุกคนเลย คนที่เชื่อในพระองค์ มนุษย์ทุกคน

“เอาไปเลยใบเสร็จ จ่ายให้แล้วนะ”

เห็นไหม? เราก็ดีใจ ถามว่าใบนั้นคืออะไร? คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันที่ 3 อีสเตอร์ คือใบเสร็จรับเงินนั่นเอง ยืนยันว่าจ่ายแล้ว เอเมน

1 โครินธ์ 15:54-57 “54 คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ จะเป็นจริง คือ ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป 55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กไนของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า  พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา” เอเมน

 

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าจากชัยชนะตรงนี้  ทำให้สิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในสวรรค์ ในโลกก็ดี ใต้โลกด้วย ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ทุกคน ผ่านทางหัวหน้ามนุษย์ แม่ทัพเราชนะแล้ว เราก็ชนะด้วย พระเจ้าตากสินชนะ คนไทยที่อยู่ในกลุ่มชนะหมดเลย  ประกาศอิสรภาพต่อพม่าเลย  ไม่ใช่พระเจ้าตากสินได้ชัยชนะคนเดียว พระองค์เป็นหัวหน้าเรา ทำนองเดียวกันพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นหัวหน้ามนุษย์ พระเจ้าตากสินเป็นคนไทย เพราะฉะนั้น คนไทยประกาศอิสรภาพ คนที่อยู่ไกลลิบ ไม่ได้เข้าร่วมรบกับเขาเลย ก็ได้รับชัยชนะ คนธรรมดาอย่างเรา คนบาป ไม่เหมือนพระเยซูเลย เมื่อพระเยซูประกาศชัยชนะ เราก็ได้รับชัยชนะ ที่ไม้กางเขนนั่นแหละ ประกาศโดยตัวแทนของเรา คนที่เกิดหลังจากพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ก็ได้รับอิสรภาพ ท่านพอมองภาพเห็นไหมครับ? เราทั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องไปยืนอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว เราก็สามารถมีสิทธิรับอิสรภาพตรงนี้ได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และปรากฏพระองค์ต่อสาวก พระเยซูได้ตรัสถ้อยคำนี้ ในมัทธิว 28:18-20

มัทธิว 28:18-20 “18 พระเยซูทรงเข้ามาหาพวกเขา และตรัสว่า  “สิทธิอำนาจทั้งสิ้น ในสวรรค์ และในแผ่นดินโลก ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 ดังนั้น จงไปสร้างสาวก จากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค”

 

นี่คือคำสุดท้าย ก่อนที่จะจากไป ก่อนที่จะไม่เห็นหน้าเห็นตา แต่จะมาในลักษณะติดต่อกันทางวิญญาณแล้ว แสดงว่าต้องพูดคำที่สำคัญมาก  ไปสร้างสาวก แปลว่าจงไปบอกคนนั้นให้มาเดินตามพระเยซู บอกคนนั้นให้มาเดินตามพระเจ้าตากสิน บอกคนนั้นให้มาเดินตามพระนเรศวร มหาราช ที่ประกาศอิสรภาพ เพราะถ้าเธอเดินตาม แปลว่าเธอได้รับชัยชนะเหมือนหัวหน้าด้วย แปลว่าแค่นี้เอง ทุกวันนี้ เราเป็นสาวกพระเยซู แปลว่าทุกวันนี้ เราเดินตามพระเยซู พระเยซูได้รับชัยชนะ เราก็ชนะด้วย

ในนี้บอก “ให้เขารับบัพติศมาในนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ” ทุกคนฟัง แบบศาสนามากเลย  ต้องไปที่โบสถ์รับบัพติศมา ทำมิชชา หรือจุ่มน้ำ ทำพิธีเยอะแยะเลย เป็นคริสเตียน   ไม่ต้องมาทำอะไรเลย ผมจะแปลให้ท่านฟัง ง่ายๆ คือให้เขารับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ก็คือให้เขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณนี้ ให้เขาเข้ามาอยู่ในประเทศนี้  ให้เขาเข้ามาอยู่รวมกันกับเรา  คนไทยสมัยพระนเรศวร มหาราช อย่าบอกว่าเป็นคนป่าคนอื่น เดี๋ยวไม่ได้รับอิสรภาพ แค่นี้เอง ตั้งแต่วันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์บอกมา 1988 ปีแล้ว จะบอกต่อไปอย่างนี้ ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ รู้เรื่องนี้ ข่าวดีนี้ ให้เข้ามา ตามหัวหน้าเรา คือพระเยซู ให้เข้ามารับบัพติศมา คือให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระองค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้

โลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าท่านเข้าใจ ท่านจะโอ้! ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมอะไรต่างๆ มากมาย ง่ายๆ เหมือนกับชีวิตบนโลกใบนี้  อิสรภาพลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เป็นฝ่ายวิญญาณเท่านั้น  สิทธิอำนาจทั้งสิ้น ทั้งในสวรรค์และในแผ่นดินโลก ได้ถูกมอบให้พระองค์แล้ว และเราก็ได้รับด้วย

นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสเอง ตอนที่อยู่กับสาวก ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้ ได้ถูกบอกไว้ล่วงหน้า เผยพระวจนะในไบเบิ้ลทั้งเล่ม ก่อนที่พระเยซูจะเกิดมาทำสิ่งเหล่านี้

ยกตัวอย่างหนังสือดาเนียล ก็เป็นหนังสือหนึ่ง ในจำนวนผู้เผยพระวจนะ หรือนิมิตที่บอกล่วงหน้า เรื่องเกี่ยวกับพระเยซู

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้ เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ที่บอกว่าจะมีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ แต่ด้วยมือของพระเจ้า หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้นนั้นแตกกระจาย แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมา ปกคลุมโลก นี่พูดไว้ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์แรก รูปปั้นนั้นหมายถึงบรรดาอาณาจักรใหญ่ๆ ทั้งหมดที่เราได้เรียนรู้กันมา ซึ่งจะล้มระเนระนาดไปหมด รวมทั้งอาณาจักรโรมันสุดท้ายและเชื้อสายของอาณาจักรโรมัน ที่กระจัดกระจายไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ด้วย ไม่มีอีกแล้ว ประเภทยักษ์ใหญ่ มีแต่เชื้อสายของโรมัน รวมไปถึงเขาเรียกว่าแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่เราได้เรียนรู้กัน ตัวสุดท้าย ตัวใหญ่ๆ จะโผล่ขึ้นมาในยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาสถาปนาสวรรค์ บนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง

หินก้อนนี้จะกลายเป็นอาณาจักรใหญ่ พระเยซูตรัสว่าบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา และความตายจะไม่มีชัยเหนือคริสตจักรของเราเลย คริสตจักร คือตัวท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซู พอเราเชื่อ รับข่าวประเสริฐของพระเยซู พระเยซูเป็นหัวหน้าเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ได้รับชัยชนะเหนือความตายแล้ว พอเราต้อนรับ ทันทีทันใด ตัวเราจะสะอาดบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงชำระบาปให้เราแล้ว พอชำระเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว พระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับเราได้ เมื่อพระเยซูหรือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเรา เราก็กลายเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

พระคัมภีร์บันทึกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เราก็เรียกตัวเราเองว่าโบสถ์ ภาษาเป็นทางการ Church เรียกว่าคริสตจักร

“บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักร และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรได้เลย”

คริสตจักร คือใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในเขา เขากลายเป็นโบสถ์ เขากลายเป็นคริสตจักรของพระเจ้า สร้างอยู่บนศิลา คือสร้างอยู่ในความเข้มแข็งของพระเยซูคริสต์ มาเป็นประชากรของพระองค์ อยู่ในอาณาจักรของพระองค์นั่นเอง เอเมน

ตอนนี้ท่านรู้แล้วนะว่าท่านเป็นใคร? เราเป็นโบสถ์ แต่เป็นโบสถ์ก็ยังต้องมาโบสถ์ด้วยนะ โบสถ์ หมายถึงที่รวมคนของโบสถ์ โบสถ์หลายๆ โบสถ์มารวมกัน เรียกว่าโบสถ์โฮลี่ส์ เรียกว่าโบสถ์คน แต่ท่านอยู่บ้าน ท่านก็เป็นโบสถ์ เพราะฉะนั้น อยู่ 2 คน ก็เป็นโบสถ์ อยู่คนเดียวก็เป็นโบสถ์ แต่อยู่หลายๆ คนดีกว่า จะได้ไม่เหงา

อาณาจักรที่เราจะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็เรียกว่าสวรรค์นั่นเอง ซึ่งเป็นที่สวยงาม มีแต่ความสุข สงบ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีเสียใจ ไม่มีความบาปอีกต่อไป ไม่มีรถชนกันตายอีกต่อไป  ไม่มีคนมาปล้นจี้อีกต่อไป  ไม่มีหนี้สินอีกต่อไป ไม่มีอะไรที่ท่านไม่อยากได้ ท่านจะมีความสุขตลอดกาล พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

อาณาจักรสวรรค์จึงเป็นความหวังใจของมนุษย์ทุกคน  ไม่มีเว้นแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จักพระเจ้าก็ตาม การทำงานของพระเยซูคริสต์ การไถ่ของพระเยซูคริสต์ การทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า ไม่ต้องชดใช้บาป  เราจึงเรียกทั้งหมดนี้ว่าข่าวประเสริฐ หรือข่าวดี

บอกมาตั้ง 1988 ปีมาแล้ว แล้วมีคนเชื่อในข่าวดีนี้เยอะแยะมากมายเลย  แต่ก็ต้องประกาศต่อไป

“มีข่าวดีมาถึงมนุษย์ทุกคน ข่าวดีมาแล้วววววว วันนี้ลดราคา 100%”

ไม่มีใครสนใจ  แปลกไหม? แต่ไม่เป็นไร พระเจ้าทรงกระทำการงานของพระองค์ ถ้าพระเจ้าทรงนำพาผมมาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ได้ ผมเชื่อว่านำพาทุกคนมาเชื่อได้แน่นอน ผมไกลจากข่าวประเสริฐเหลือเกิน ดูเหมือนใกล้นะ แต่มันไกลมากเลย เพราะผมไปศึกษาเรื่องอื่นเยอะแยะไปหมด พูดตรงๆ ไม่น้อยกว่าศึกษาเรื่องพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงรู้สิ่งอื่นเยอะแยะไปหมด นี่คือเล่มสุดท้ายที่มาศึกษา เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับชีวิต เรื่องเกี่ยวกับความรอดของมนุษย์ เรื่องเกี่ยวกับบาปเวรกรรมอะไรต่างๆ ถ้าผมมาเชื่อได้ อย่างน้อยๆ หลายท่านก็คงมาเชื่อไม่ยาก เพราะลึกๆ แล้ว มนุษย์ทุกคน ในใจ หลังความตายอยากไปอยู่ในที่ที่ดีๆ ไม่อยากจะไปในที่ที่ไม่ดี เวลาคนเขาจะตาย เขาบอกว่าไปที่ชอบๆ  บางครั้งที่เราไม่ชอบ ก็ต้องไป เพราะเรานึกว่าเราชอบ

เขาบอกทุกคนรู้ว่าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เขาจำเป็นต้องไปทำอะไรบางอย่าง เขาไม่แน่ใจ สิ่งนั้น คือมนุษย์รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ยังไงๆ วันหนึ่งก็ต้องรู้ วันนี้แข็งแกร่งอย่างไร? แว๊บหนึ่ง ก็ต้องรู้ว่าเราก็ไม่ใช่คนดี  เราจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อจะลบเอาความรู้สึกว่าเป็นคนบาปนั้นออกไปให้ได้ ด้วยวิธีต่างๆ ด้วยทุกอย่าง ด้วยทุกวิถีทางเลย วันนี้เราเอาเงินไปบริจาคการกุศลอะไรสักอย่าง พอบริจาคไป รู้สึกสบายใจ แว๊บเดียวเข้ามาอีกแล้ว เราก็ไม่ค่อยสบายใจอีกแล้ว บาปยังอยู่ ตอนให้ออกไป มันรู้สึกสบายใจ แต่มันไม่ได้อยู่ถาวรนิรันดร์ มันมีความรู้สึกต้องจ่ายอะไรบางอย่าง จ่ายไม่หมดสักที ไม่พอสักที นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์ทั้งหลาย ผมคิดว่าอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐหรือข่าวดีของพระเจ้า จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนหวังอยากได้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีตรงนี้ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้ว ถ้าใครเชื่อตรงนี้ มันก็จะเป็นกำลังใจให้กับเขาในการดำรงชีวิตนี้อยู่อย่างสันติสุข สงบ รู้แล้วว่าจะไปไหน? เหมือนขึ้นรถเมล์ แล้วรู้ว่าป้ายสุดท้ายมันคือที่ไหน? สบายใจ รถเมล์คันนี้จะผ่านที่มืด ผ่านที่เปล่าเปลี่ยว ผ่านที่มีโจรอยู่ข้างๆ ทาง ก็หลับน้ำลายยืด เพราะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ไปสุดท้ายที่บ้านของเรา แต่ใครก็ตามขึ้นรถเมล์ แล้วไม่รู้ว่ารถเมล์นั้น จะไปไหน? หลับไม่ลง คอยผุดลุกผุดนั่ง คอยมองหน้าตา ถึงไหนแล้ว คอยถามกระเป๋ารถเมล์จะลงป้ายไหน? เพราะไม่รู้จะไปไหน? แต่คนที่บ้านอยู่สุดป้ายรถเมล์ เป็นอู่รถเมล์ สบาย นอนหลับ เดี๋ยวพอถึงที่ กระเป๋ารถเมล์จะมาปลุกเราให้ตื่น ถึงบ้านแล้วครับ โอเคลง นี่แหละคริสเตียนจะเป็นอย่างนี้ นึกในใจเป็นอย่างนี้ นี่คือความผ่อนคลาย คือคลายกังวล

พูดให้ท่านฟังว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม นี่เป็นความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วผมและหลายๆ คนในนี้ก็มีประสบการณ์อย่างนี้จริงๆ มันสบายจริงๆ เป็นข่าวดี เพราะไม่ต้องทำอะไรเลย

ท่านบอกว่ามันอาจจะเป็นข่าวดี สำหรับบางคน แต่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับฉัน ฉันทำไม่ไหว ฉันได้แค่นี้เอง ข่าวดีสำหรับคนที่ไม่พูดปดเลย  ไม่ไหว ฉันปดตลอดเวลา

ข่าวดีนี้มีเฉพาะสำหรับห้ามไม่ให้กินเหล้าเด็ดขาด ฉันพยายามไปสวรรค์ มากินอีกแล้ว ตกนรกอีกแล้ว มันก็ไม่ใช่ข่าวดีอีก ถูกไหม?  พูดแล้วยังมีอีกเยอะแยะ ท่านคิดในใจสิ มันอาจจะเป็นข่าวดี สำหรับคนที่ทำได้ แต่สำหรับฉัน มันไม่ใช่ข่าวดีเลย ไม่ไหว ฉันทำไม่ได้ ถ้าข่าวดีนี้มีคำว่าแต่ หรือแม้แต่ หรือต้องไม่ ท่านแย่เลย

ยกตัวอย่างข่าวดีนี้  ท่านจะได้ไปสวรรค์ ท่านจะได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้องไม่สูบบุหรี่ สำหรับคนที่สูบบุหรี่ ฉันตายแน่ๆ ท่านรู้ไหมคนติดบุหรี่ เลิกยาก หรือยาเสพติดเลิกยาก

ข่าวดีนี้สำหรับคนที่จะไปสวรรค์ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์นี้ เขาจะต้องไม่โกหกเลยแม้แต่นิดเดียว เราแย่เหลือเกิน วันนั้นเขาถามฉันว่ากินข้าวหรือยัง? ตอบว่าอิ่มแล้วค่ะ จริงๆ หิว เกรงใจเขา ไม่กล้าพูด เป็นอย่างไร สบายดีไหม? สบายดี ทั้งที่ไม่สบาย ปวดท้องอยู่ ไม่กล้าพูด

มันไม่ใช่ข่าวดีใช่ไหม? ข่าวดีควรจะเป็นอิสระ พร้อมเสมอ 100% ไม่มีข้อแม้ เพราะฉะนั้น  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าข่าวดี เพราะบันทึกไว้ว่าได้รับโดยความเชื่อเท่านั้น เชื่อว่าตรงนี้เป็นจริง เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับฉัน พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ยืนยันว่าพระองค์ทรงกระทำจริงๆ ฉันรับเอา ฉันเชื่อ ได้เลย ทำไมมันง่ายอย่างนี้ พระคัมภีร์บอก By grace we are save. ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของมาติน ลูเธอร์ ที่บอกไว้ ที่มีการปฏิรูปเรื่องพระเยซูคริสต์ เมื่อประมาณ 500 ปีที่แล้ว เดือนนี้เป็นเดือนที่เขาครบรอบ 500 ปีของคริสตจักรสไตล์โปรเตสแตนส์

By grace แปลว่าด้วยพระคุณ … พระคุณ แปลว่าเอาไปฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ทั้งที่ไม่สมควรได้ บางคนเอาไปฟรีๆ เขาทำดี แต่นี่ไม่ใช่ โจรบนไม้กางเขน ก็เอาไปฟรีๆ สมควรได้รับไหม? ไม่สมควร แต่เป็น grace เป็นพระคุณ  แล้วมีใครที่ไม่สมควรได้รับตรงนี้ ที่บอกตัวเองชั่วมาก เลวมาก ไม่มี เพราะในนี้บอกท่านเชื่อ ท่านก็ได้ นี่คือเคล็ดลับแค่นี้เอง อย่าคิดอะไรมากมาย พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างไร? เชื่อตามนั้น แค่นี้เอง พระองค์บอกว่าด้วยพระคุณ ไม่ต้องไปคิดว่าเขาว่าทำอันโน้นไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ เขาว่ากินเลือดไม่ได้ กินอาหารไหว้รูปเคารพไม่ได้  เขาว่าลอยกระทงไปไม่ได้ ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวาย ต้องเรียนรู้อีกตั้งเยอะ กลับมาอยู่ที่เดิม ก็เป็นทาสอยู่เหมือนเดิม ในนี้บอกว่าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้รับความรอดแล้ว จบ

เมื่อ 1988 ปีมาแล้ว จบแล้ว ใครจะพูดอะไร ก็ไม่ต้องมาศึกษา วุ่นวายกันใหญ่ กินอันนั้นได้ไหม? อยากทำ ก็เชิญ ตราบใดที่ท่านยังเชื่อเรื่องนี้อยู่ เอเมน มันง่ายอย่างนี้ ประกาศยาก คนก็ไม่มาเชื่อ ทำไม่ไหว เหนื่อย พระเยซูคริสต์จึงบอกน่าจะเอาคนประกาศไปถ่วงน้ำ ไปทำเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องหนักขึ้น  มาเชื่อพระเจ้าต้องลงน้ำบัพติศมา ถามว่าถ้าท่านพาเพื่อนมาเชื่อพระเจ้า ต้องมาบัพติศมาในน้ำไหม? ไม่ต้อง แต่ทำก็ดี เป็นพระพร ท่านต้องมาโบสถ์ไหม? มาประจำไหม? ไม่ต้อง แต่มาดีแล้ว  ต้องมาโบสถ์ถึงจะได้รับความรอดใช่ไหม?  ไม่ต้อง แต่มาดีไหม? ดี ท่านพอเห็นภาพไหม? ง่ายๆ แต่เราทำให้มันยาก ทุกวันนี้พระเยซูปวดหัว เพราะเราทั้งหลาย เอาไปทำให้มันยากเย็น จนคนแบกรับไม่ไหว

สมัยหนึ่ง พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกนี้ เรียกคนเหล่านี้ว่าฟาริสี พวกฟาริสีชอบทำอย่างนี้ เอาภาระไปให้คน จะไปสวรรค์ทีหนึ่ง แบกจนไปไม่ได้ กลับมาที่เดิม กลับมาเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเยซูว่าพระองค์กระทำนั่นเอง เท่ากับท่านไม่เชื่อ แม้จะบอกว่าท่านเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ ท่านก็ไม่เชื่อ ที่ไม่เชื่อ เพราะสิ่งที่ท่านทำ สิ่งที่ท่านพูด ถ้าท่านบอกต้องเมื่อไร? ท่านจบ ส่วนบอกไม่ต้อง แล้วท่านจะไปคิดอย่างนี้ไม่ถูก ทำไม่ถูกอย่างนั้น ฉันไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้ ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ถึงความรอดผ่านทางความเชื่อ ในพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น โดยพระคุณ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้รับความรอด เอเมน

นี่แหละ คือความหวังใจ ที่เรามาฉลองอีสเตอร์ หรือทุกๆ ปี ก็คือการมาฉลองความหวังใจว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับการครอบครองอาณาจักรสวรรค์นี้ อย่างเป็นรูปเป็นร่าง ชัดเจน จริงๆ ทุกวันนี้ก็ครอบครองแล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณ  เพราะสิ่งเหล่านี้ ได้มีการบอกล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีมาแล้ว บันทึกไว้เป็นหลักฐาน ตั้งแต่หน้าแรกเลย แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ได้เกิดขึ้น ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ทั้งหมด ทั้งเล่มนี้เลย เปิดมาตรงไหน? เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ มาไถ่มนุษย์ทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น ความหวังสุดท้าย ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมา และเราจะได้ครอบครองอาณาจักรสวรรค์นี้ ร่วมกับพระเยซูนิรันดร์นั้น ก็ต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน เอเมน พระคัมภีร์มีบันทึกไว้หลายแห่ง กิจการ 1:8-11

กิจการ 1:8-11 “8 ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก” 9 หลังจากตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆมาปกคลุมพระองค์ จนพวกเขามองไม่เห็นพระองค์ 10 พวกเขากำลังแหงนหน้าเขม้นดูฟ้า ขณะที่พระองค์เสด็จไป ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมชุดขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา 11 และกล่าวว่า “ชนชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุใดพวกท่านจึงยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่นี่ พระเยซูองค์นี้ ซึ่งถูกรับไปจากพวกท่าน เข้าสู่สวรรค์นั้น จะเสด็จกลับมาอีกในแบบเดียวกันกับที่พวกท่าน เห็นพระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์”

 

ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อวันอาทิตย์แรก 1,988 ปี แล้วพระองค์ก็เป็นขึ้นจากความตาย แล้วก็มาประกาศข่าวดีอีกครั้งหนึ่ง ในภาพที่เห็นเป็นมนุษย์ เป็นรูปร่างจับต้องมองเห็นได้เลย เห็นรูที่ถูกแทง ที่ถูกตอก กินข้าว กินปลาได้เลย 40 วัน แล้วก็เกิดสิ่งที่อ่านไปเมื่อสักครู่ 40 วัน พระองค์จัดการเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์

ตอนที่พระเยซูลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ เขียนคำว่า “ลอย” พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วก็เห็นต่อหน้าต่อตา เป็นรูปภาพ จับต้องมองเห็นได้ พระเยซูลอยขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ สาวกก็เลยเชื่อแล้วว่าเป็นพระเจ้าจริงๆ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เดินอยู่กับพระองค์ คุยกับพระองค์ 40 วัน เห็นพระองค์ลอยขึ้นไป ตกใจ แล้วทูตสวรรค์จึงจำเป็นต้องมาบอก จะเหม่ออะไรเล่า มาสะกิด เป็นอะไร? เหม่อทำไม? พระเยซูผู้นี้ลอยขึ้นไปสวรรค์แล้ว และพระองค์จะกลับมาใหม่ พร้อมกับหมู่เมฆเหมือนเดิม ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ก่อนหน้านี้แล้ว

ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่ฝากไว้ วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ ตามที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ ในโลกนี้ คือสวรรค์นิรันดร์กาล และเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซู ทั้งหลายทั้งปวงที่เรา มาร่วมกันฉลองเทศกาลอีสเตอร์ ก็คือความหวังใจตรงนี้แหละ และถามว่าจะมาเมื่อไร? เมื่อไรจะสถาปนาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็เมื่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเอาไว้นั้น ที่จะมาครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนั้น รวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ วันที่คนสุดท้ายมาเชื่อ ก็วันนั้นแหละ มัทธิว 24:30-31 บันทึกไว้ตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดขึ้น พระเยซูตรัสเองเลยนะ

มัทธิว 24:30-31 “30 “เมื่อนั้นหมายสำคัญของบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพจะร้องไห้คร่ำครวญ พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆในท้องฟ้าด้วยเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอันยิ่งใหญ่ 31 พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่น ทูตสวรรค์นั้น จะรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ จากทั้งสี่ทิศ จากสุดขอบฟ้าข้างหนึ่งจดขอบฟ้าอีกข้างหนึ่ง”

 

นี่พระเยซูตรัสเอง “พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์” ก็คือเห็นพระเยซูคริสต์ ทำไมต้องเรียกว่าบุตรมนุษย์ เพราะเป็นหัวหน้าเรา  เป็นหัวหน้ามนุษย์ เป็นผู้มีชัยชนะ เราเป็นมนุษย์  เราจึงได้รับอย่างนั้นด้วย   พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนหมู่เมฆ  ด้วยเดชานุภาพ และเกียรติอันยิ่งใหญ่ และมวลประชาชาติแห่งพื้นพิภพจะร้องไห้คร่ำครวญ มันมีร้องไห้คร่ำครวญอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งที่ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความดีใจ สิ่งที่เรารอคอยกันมาตลอด มันจบสักที แต่ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ร้องไห้คร่ำครวญว่ามันเป็นจริงตามที่ได้เคยได้ยินมา แล้วฉันปฏิเสธ ฉันต่อต้าน ฉันไม่ได้รับ ไม่รู้เหตุผล ทำไมฉันไม่รับมัน แต่มันสายไปเสียแล้ว มันหมดโปรโมชั่น  ปีแห่งความโปรดปรานที่พระเยซูมาประกาศนั้น  มันสิ้นสุดลง เมื่อพระเยซูกลับมาใหม่ จบ ที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ และจบเมื่อชีวิตของคนๆ นั้น เกิดอุบัติเหตุ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ตายไปก่อน ไม่ได้ต้อนรับพระเยซู ก็ไม่ได้ต้อนรับอีกแล้ว โปรโมชั่นนี้  หมดอายุ หมดเขต ด้วยเหตุ 2 ประการนี้เท่านั้น ในวิวรณ์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ วิวรณ์ 1:7-8

วิวรณ์ 1:7-8 “7 ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ แม้กระทั่งคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์ และประชาชาติทั้งมวลทั่วโลกจะเศร้าโศกเนื่องด้วยพระองค์ แล้วจะเป็นไปเช่นนั้น! อาเมน 8 พระเจ้าผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราเป็นอัลฟาและโอเมกา ผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบันและดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา เราคือองค์ทรงฤทธิ์”

 

ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมา หมายถึงพระเยซูกลับมาพร้อมกับหมู่เมฆ และทุกนัยน์ตาจะเห็นพระองค์ แม้กระทั่งคนเหล่านั้น  ที่ได้แทงพระองค์ ทหารโรมันที่เฝ้าอยู่นั่น เมื่อวันศุกร์ ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ ทหารคนหนึ่งบอกว่าไปทุบขาพระเยซูซะ เพราะเขาต้องเก็บ วันพรุ่งนี้จะมีงาน ก็ไปทุบขาโจร 2 คน ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซู เพราะยังไม่ตาย แต่พอมาถึงพระเยซู อ้าว! พระเยซูตายแล้ว ไม่ต้องทุบขาก็แล้วกัน พระคัมภีร์บอกแล้วว่าขาพระองค์จะไม่ถูกทุบ ไปดู ก็ตะโกนบอกว่า …

“ตายแล้ว ไม่ต้องทุบหรอก”

อีกคนหนึ่งก็บอกว่า “เอาให้มั่นใจ เดี๋ยวโดนเจ้านายเล่นงาน”

ดังนั้น ทดลองดู โดยการแทงที่สีข้าง จะได้รู้แน่ๆ ว่าตายจริงๆ ก็เอาหอกสูงๆ แทงที่สีข้างพระเยซู

ในนี้บอกว่าแม้กระทั่งคนเหล่านั้น ที่ได้แทงพระองค์ ที่ได้ตรึงพระองค์ คนเหล่านั้น นี่พระเยซูพูด จากคนที่แทงพระองค์ คนที่ตอกตรึงพระองค์ นี่ผ่านมา 1,988 ปีมาแล้ว พระเยซูยังไม่กลับมาใหม่เลย แต่ในนี้บอกว่าพระองค์จะกลับมาใหม่ สมมติว่าวันพรุ่งนี้ ปีหน้า คนที่แทงพระองค์เหล่านั้น จะเห็น ก็หมายถึงคนที่แทงพระองค์ ตอนนี้ที่ตายไปแล้ว มีอายุ 1,900 กว่าปีแล้ว แสดงว่าเขายังอยู่ เขาเป็นวิญญาณที่ยังรออยู่ วันหนึ่งเขาจะเห็นพระเยซูคริสต์ที่เขาแทงนั่นแหละ กลับมา นี่พระคัมภีร์พูดอย่างนั้น ถ้าพูดสิ่งอื่นถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ก็ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน แล้วมันน่ากลัวไหมล่ะ คนแทงพระเยซูคนนั้น เขาก็จะเห็น

ใครที่ต่อต้านพระเยซู วันนั้นเขาจะเห็น ใครที่บอกว่าพระเยซูไม่เป็นจริง ไม่ใช่จริง หรือหัวเราะเยาะพระเยซู วันนั้น เขาจะเห็น ใครที่ข่มเหงพระเยซู ก็คือข่มเหงน้องๆ หรือพี่น้องของพระเยซู คือคริสเตียนทั้งหลาย วันที่พระเยซูคริสต์กลับมา เขาจะเห็น และเขาจะโศกเศร้า คร่ำครวญอย่างมาก

“ฉันไม่น่าเลย”

ใครที่ข่มเหงท่าน เนื่องจากข่าวประเสริฐของพระเยซู เขาจะได้เห็น ใครที่บอกว่า …

“ไม่จริงๆ ฉันไม่เชื่อหรอก”

วันหนึ่งเขาจะได้เห็น ไม่ใช่วันหนึ่ง หมายถึงอยู่บนโลกใบนี้ และตาย แล้วจะได้เห็นไม่ใช่ หมายถึงวิญญาณต่อไป เขาก็จะเห็น เพราะเขาไม่ได้ตายจริง วิญญาณยังอยู่ เพียงแต่วิญญาณออกจากร่างกายไปเท่านั้น  ร่างกายเขาฝังไป  แต่วิญญาณตัวจริงๆ ของเรา ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นวิญญาณส่วนหนึ่งที่พระเจ้าให้เรามานั้น จะอยู่ตลอดไป แต่อยู่ที่ไหน? อย่างไร? นั่นคือความน่ากลัวของข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ และอีกแง่มุมหนึ่ง เราเชื่อและวางใจ เรามีความหวัง เพราะพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อนั้น พระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ตายไปเฉยๆ แต่วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เรารู้อยู่ในหัวใจเราจริงๆว่าตอนนี้ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และสถิตอยู่ในหัวใจของเรา เพราะพระองค์สถิตอยู่ตามที่พระองค์บอกจริงๆ ท่านรู้ บางครั้งกำลังหงุดหงิด อาจจะไม่รู้ แต่พอหายหงุดหงิด มันรู้ ไม่รู้จะบอกคนที่ไม่รู้อย่างไร? บอกเปิดหัวใจท่าน ต้อนรับพระเยซู ท่านจะรู้ เหมือนที่ฉันรู้ มันต้องใช้ประสบการณ์ มันไม่สามารถที่มาเรียนกันได้ อธิบายอย่างไร? ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ จนกว่าท่านจะไปชิมด้วยตัวเอง

นี่คือความหวังใจทั้งหมดของข่าวดีหรือข่าวประเสริฐ ที่เรามาย้ำยืนยันในหัวใจของข่าวประเสริฐนี้ว่าพระองค์ทรงอยู่จริงๆ และสวรรค์สถานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรานั่น มีจริงๆ และเราจะร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล นี่ก็เป็นจริงด้วยแน่นอน เอเมน

ไม่ว่าพระองค์จะกลับมาใหม่ หรือเราจะกลับไปหาพระองค์ คือตาย ก็ตาม ทุกอย่างก็เป็นไปตามนี้ คือเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เอเมน ท่านอยากได้อย่างไหนมากกว่า เราอาจจะอยากให้พระเยซูมาพรุ่งนี้เลย แล้วคนอื่นๆ ที่เรารู้จักเขายังไม่เชื่อเลย ก็ต้องยอมทนหน่อย อาจจะมีชีวิตที่ลำบากบ้าง? อะไรบ้าง? พระเจ้ากำลังใช้เราอยู่ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งที่มาเชื่อพระเยซู แล้วพระเยซูสถิตอยู่ในเขาแล้ว จะอยู่บนโลกด้วยความทุกข์ยากลำบาก โดยไม่มีเหตุผล แล้วไม่มีแม้แต่คนเดียวเลย ที่พระเจ้าไม่ใช้ ถ้าไม่ใช้ท่าน พระองค์ก็เอาท่านกลับไปอยู่กับพระองค์แล้ว ไปพักผ่อน แต่ถ้ายังใช้ท่านอยู่ ท่านก็ต้องอยู่บนโลกใบนี้ บางครั้งใช้เรา ในสิ่งที่เราต้องทุกข์ทรมาน ท่านรู้ไหมว่าคนป่วยที่อยู่ ICU ทุกข์ทรมาน แต่พระเจ้าทรงใช้เขาอยู่ อะไรบางอย่าง เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ แต่พระองค์มีแผนการที่เกินกว่าที่เราจะคิด และ ณ เวลานั้น เมื่อพระเจ้าใช้เราอย่างนั้น ในพระคัมภีร์บอก เราจะทนได้ แปลว่าไปสบายๆ  ไม่ใช่ ไม่สบายหรอก แต่ว่าทนได้ คือมันทุกข์ มันทรมาน แต่มันผ่านได้ พอเข้าใจ ไม่ใช่เดินแบบสบายๆ แต่เดินบนหนาม บนอะไร แล้วในที่สุด ตายตรงหนามเลยไหม? ไม่ตายตรงหนาม ต้องผ่านไปได้ เลือดสาดเหมือนกัน ถ้าพระเจ้าจะใช้แบบนั้น ก็แบบนั้น ทุกคนมีค่าเท่ากันหมด คือถูกใช้เท่ากันหมด

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ การทรงอยู่ของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของพวกเราทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในพระองค์ โดยแบบ By grace we are save. คือโดยพระคุณ เราได้รับความรอด ด้วยความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น อย่าไปคอยสังเกตตรงโน้น ตรงนี้  การกระทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น นิ่ง แล้วดูถ้อยคำพระเจ้า นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู เราได้รับความรอดตรงนี้ เอเมน จำตรงไหนไม่ได้ จำแค่นี้ไว้ ท่านจำคำสรรเสริญพระเยซูไม่ได้ ยังดีกว่าจำตรงนี้ไม่ได้ ท่านจำคำว่า “ฮาเลลูยา”ไม่ได้ ยังไม่เป็นไรเลย  ท่านอย่าลืมตรงนี้ แล้วกัน ลมหายใจสุดท้ายท่าน

“By grace we are save. ด้วยพระคุณ ด้วยความเชื่อ ฉันได้รับความรอด”

พอถึงพระคุณปุ๊บ ในสมองท่านจะกระจาย แปลออกมาเต็มๆ เลย  ด้วยความเชื่อปุ๊บ ในสมองท่านเต็มๆ เลย ท่านได้รับความรอดปุ๊บ ท่านเห็นภาพเต็มๆ เลยวันนี้ที่เราได้เรียนรู้กัน

“สวรรค์เป็นของฉัน อันนั้นก็เป็นของฉัน อันนี้ก็เป็นของฉัน”

วันอีสเตอร์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? นี่แหละทำให้ท่านชื่นชมยินดีอย่างมากมายในทุกๆ อีสเตอร์ เพราะตรงนี้ สบายใจไหม? ฟังอย่างนี้สบายใจไหม? นี่แหละคืออิสรภาพ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 15 “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  เมษายน  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 15 “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” วันนี้เป็นตอนที่ 15 ยังอยู่ในเรื่องราวของดาเนียล จุดมุ่งหมายที่เรามาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือดาเนียลอย่างละเอียด ก็เพื่อย้ำยืนยันมั่นใจว่าพระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่ง และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ นี่คือหัวใจในการเรียนรู้ จากหนังสือของดาเนียล

ยังจำเรื่องราวของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ไหม? เป็นกษัตริย์ที่เหี้ยมโหด  สร้างปฏิมากรทองคำ แล้วก็ฮึกเหิมว่าตัวเองยิ่งใหญ่ บังคับให้ผู้คนกราบไหว้ ลบหลู่พระเจ้าอีกต่างหาก ขึ้นไปยืนบนดาดฟ้าพระราชวัง ซึ่งเป็นสวนที่ตัวเองคิดว่าสวยงามที่สุดในโลก แล้วก็ผยอง พูดว่าตัวเองเป็นคนที่สร้างอาณาจักรของตัวเองยิ่งใหญ่อย่างนี้ สวนก็สวยงามอย่างนี้  ประกาศความเหิมเกริม เทียบพระเจ้า เพื่อให้เกียรติตัวเอง ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเจ้าก็เลยสั่งสอน ทำให้ต้องไปใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ในป่า จนครบวาระตามที่พระเจ้ากำหนด วาระ เราก็ไม่รู้นานเท่าไร? แต่จนครบวาระที่พระเจ้าวางไว้ ครบกำหนดปุ๊บ สุดท้ายเลยต้องยอมจำนน และเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงควบคุมทุกอย่าง และพระเจ้าก็ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เขียนสิ่งที่เขาได้ บันทึกว่าพระเจ้าคือใคร? เขียนโดยคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า คนที่กราบไหว้พระอื่น  แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าใครใหญ่สูงสุด เขียนเพื่อคนทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้อ่าน รวมทั้งเราทั้งหลายที่อยู่ในนี้ ในดาเนียล 4:34-35 สังเกตความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ดาเนียล 4:34-35 “34 เนบูคัดเนสซาร์แหงนหน้าขึ้นมองดูฟ้าสวรรค์ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมา เราจึงถวายสรรเสริญองค์ผู้สูงสุด เราเทิดพระเกียรติและถวายพระเกียรติสิริ แด่พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงนิรันดร์ ราชอาณาจักรของพระองค์ ยืนยงตลอดทุกชั่วอายุ 35 มวลประชาชาติในโลกนี้ล้วนไร้ค่า พระองค์ทรงมีอำนาจ ที่จะทำต่อเหล่าทูตสวรรค์ และต่อมวลประชาชาติ ตามชอบพระทัยของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ หรือกล่าวกับพระองค์ได้ว่า “พระองค์ทำอะไรนี่?”

 

นี่คือความยิ่งใหญ่ คิดดูสิว่าคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าจากอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำให้เขาเห็นเลยกับตาว่าเป็นอย่างนี้ แล้วให้เขามีประสบการณ์เลย บันทึกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้ยินได้ฟังว่าพระองค์คือใคร?

สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ท่านลองคิดดู ฟังตรงนี้ แล้วคิดอย่างไร? เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลไป 14 ตอนแล้ว ทุกตอนก็ย้ำกันอยู่อย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุม ครอบครองทุกสิ่ง ทรงเป็นผู้กำกับใหญ่ของโรงละคร คือโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น จงนิ่งเสียและรู้เถิดว่าพระองค์เป็นพระเจ้า วันนี้เป็นตอนที่ 15 จะมีชื่อตอนว่า “นิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับแกะและแพะ” อยู่ในหนังสือดาเนียล 8:1 ว่า …

ดาเนียล 8:1 “ในปีที่สามแห่งรัชกาลเบลชัสซาร์ ข้าพเจ้าดาเนียล เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง …”

 

“เห็นนิมิตอีกครั้งหนึ่ง” เบลชัสซาร์ คือกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรบาบิโลน ก่อนที่จะถูกโค่นล้มโดยเปอร์เซีย ซึ่งคืนก่อนที่จะถูกโค่นล้ม ก็คือพระเจ้าส่งอักษรประหลาดบนผนัง แล้วก็ให้ดาเนียลมาอ่าน

ในบทที่ 7 ที่เราเรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว เรื่องสัตว์ประหลาดทั้ง 4 ตัว เป็นความฝันแรกของดาเนียล ในสมัยรัชกาลเบลชัสซาร์ ซึ่งผ่านมา 3 ปี ดาเนียลก็ฝันอีก คราวนี้ฝันเห็นแกะกับแพะ แต่ความหมายยังวนเวียนอยู่เกี่ยวกับเรื่องของอาณาจักรต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ผมเล่าให้ฟังย้อนนิดหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้นที่ดาเนียลทำนายฝันให้เนบูคัดเนสซาร์ เรื่องรูปปั้น หรือปฏิมากรขนาดใหญ่ …

ที่มีศีรษะทำด้วยทองคำ คืออาณาจักรบาบิโลน

หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน คือมีเดียเปอร์เซีย

ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ คืออาณาจักรกรีก

ขาทำด้วยเหล็ก คืออาณาจักรโรมัน นี่คือ 4 อาณาจักรเด่นๆ ชัดๆ

และในบทที่ 7 ที่ดาเนียลฝันเห็น ที่เราเรียนไปสัปดาห์ที่แล้ว ดาเนียลฝันเห็นสัตว์รูปร่างหน้าตาประหลาด 4 ตัว ก็เกี่ยวพันกับรูปปั้นนี้

สัตว์ตัวแรกที่เห็น ก็คือสิงโตมีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ก็คือส่วนศีรษะของรูปปั้นปฏิมากรนี้ คือบาบิโลน

ตัวที่สอง คือหมีคาบซี่โครง 3 ซี่ เทียบได้กับหน้าอกและแขนของรูปปั้นนี้ ก็คือมีเดียเปอร์เซีย ที่จะมาโค่นล้มบาบิโลน

ตัวที่สาม คือเสือดาว มีสี่หัว สี่ปีก เทียบกับส่วนท้องและต้นขาของรูปปั้น ก็คืออาณาจักรกรีก ที่จะมาโค่นล้มเปอร์เซีย

ตัวสุดท้าย เป็นสัตว์ประหลาด น่ากลัว มีเขาสิบเขา ก็คือส่วนขาของรูปปั้น ที่ทำด้วยเหล็ก ที่เล็งถึงอาณาจักรโรมันนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ เป็นการบอกอนาคตล่วงหน้า ตั้งแต่ 600 ปีก่อน ค.ศ. ก่อนพระเยซูจะมาเกิด พูดง่ายๆ จนถึงบัดนี้ นับมาก็คือ 2,600 ปีมาแล้ว บอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเกิดอย่างนี้ มันเกี่ยวพันมาถึงเรา และอนาคตต่อไป พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ อยู่ในยุคของลูกหลานของโรมัน จากโรมันจะไม่มี ใหญ่ขนาดนี้อีกแล้ว และไม่มีจริงๆ อาณาจักรสุดท้าย ก็คือโรมัน และจากโรมันก็กลายขยาย เป็นอาณาจักรต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้กันบ้างในบทก่อนๆ ว่าโรมันก็แผ่ขยายอาณาเขตไปจนกระทั่งตัวเองเล็กลง  แต่ว่าลูกหลานที่เคยเป็นเมืองขึ้นต่างๆ ก็กลายเป็นเมืองใหญ่ๆ โตๆ ในยุโรป แล้วก็อพยพจากยุโรปไปอยู่ทวีปอื่น อย่างนี้เป็นต้น

มาถึงดาเนียล บทที่ 8 ที่เรากำลังจะเรียนรู้ในวันนี้ ดาเนียลฝันเหมือนกัน แต่ฝันสัตว์เหลือแค่ 2 ตัว คือแกะกับแพะ แกะ หมายถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย และแพะ หมายถึงอาณาจักรกรีก เรื่องราวในบทที่ 8 นี่จะเกี่ยวกับ 2 อาณาจักรนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเรียนรู้ในวันนี้ ก็คืออนาคตไม่ยาวไกลนักของโลกใบนี้ จากตอนที่ได้รับนิมิตหรือความฝันนี้ ก็อยู่ในช่วงท้ายๆ ของบาบิโลน อีกไม่นาน ก็จะมีเปอร์เซียเข้ามา อีกไม่นานจากแกะก็จะมีแพะเข้ามา แพะคือกรีก และจุดจบของกรีกจบอย่างไร? แค่นั้นเอง และเดี๋ยวเรามาดูว่าเรื่องราวในนี้ ดาเนียลเห็นล่วงหน้า พระเจ้าบอกมันคืออะไร? แล้วมันตรงไหม?

นิมิตของดาเนียลที่บันทึกไว้ในบทที่ 8 นี้ จะเป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า อย่างที่ผมบอกเกี่ยวกับเฉพาะมีเดียเปอร์เซียและกรีกเท่านั้น ซึ่งอีก 200 ปีข้างหน้า หลังจากที่ดาเนียลได้รับนิมิตนี้  สิ่งนี้จะเกิดขึ้น

ตอนดาเนียลฝัน เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต ในสมัยที่เขาอยู่ในยุคสุดท้ายของบาบิโลน ซึ่งบาบิโลนในตอนนั้นกำลังเรืองอำนาจสุดๆ ไม่มีใครคิดว่าบาบิโลนอาณาจักรใหญ่ยักษ์มหาศาล จะล่มสลายได้ ไม่มีใครคิดเลย  เป็นไปไม่ได้เลย

ตอนที่ดาเนียลฝัน เหตุการณ์นี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต มันตรงกันกับคำเผยพระวจนะ (แปลว่าบอกล่วงหน้า) ในหนังสืออิสยาห์ เกี่ยวกับเรื่องของเปอร์เซีย ซึ่งใช้ชื่อว่ากษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย  ที่จะเข้ามาครอบครองอาณาจักรบาบิโลน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ประมาณ 100 กว่า 200 ปีประมาณนั้น อิสยาห์ 45:1-3

อิสยาห์ 45:1-3 “1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงไซรัสผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ผู้ซึ่งทรงยึดไว้ด้วยพระหัตถ์ขวา ให้พิชิตชนชาติต่างๆ ตรงหน้า และทำลายแสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นผู้เปิดประตูซึ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อไม่ให้มีประตูใดถูกปิดไว้ 2 เราจะนำหน้าเจ้าไป และปราบภูเขาทั้งหลายให้ราบ เราจะทลายประตูทองสัมฤทธิ์ และตัดลูกกรงเหล็ก 3 เราจะยกสมบัติที่ซ่อนไว้ในความมืด ขุมทรัพย์ในที่เร้นลับให้แก่เจ้า เพื่อเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้เรียกเจ้ามา ตามชื่อของเจ้า”

 

ลองคิดดูนะ พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงไซรัส ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ตอนที่พูดไว้ไซรัสยังไม่เกิดเลย แต่พระเจ้าบอกจะมีกษัตริย์องค์หนึ่งชื่อไซรัส คนนี้เราเลือกเอาไว้ ความฝันของดาเนียล เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต สำหรับเราแล้ว ไม่ตื่นเต้นเท่าไร? เพราะไม่ใช่อนาคตของเรา  แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่เราไปอ่าน แต่สำหรับคนสมัยนั้น ตื่นเต้นไหมเวลามันเกิด ไปเปิดดูพระเจ้าบอกล่วงหน้า 200 ปีแล้ว พระเจ้าบอกล่วงหน้ามา 600 ปีแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกล่วงหน้ามา 4 ปีแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น จะตื่นเต้นตรงนี้แหละ และเป็นการทำอะไรไว้ ทำให้คนมีความรู้สึกว่าเมื่อเขาเชื่อพระเจ้า ทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ มันใช่เลย ซึ่งเราเรียกกันว่าใช่เลย ตรงนี้ เราใช้คำว่าอะไร?  มันเป๊ะๆ จริงๆ เลย  แม้กระทั่งชื่อยังใส่ลงไปไซรัส ผู้ที่เราเจิมตั้งไว้ หรือตอนกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

“กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่เป็นผู้รับใช้ของเรา  เราจะมอบประชากรของเราไว้อยู่ในมือของเจ้า 70 ปี”

คืนวันที่ 5 ต่อวันที่  6 ตุลาคม ปี 539 ก่อนคริสตราช คือสมัยก่อนพระเยซูจะมาเกิด 539 ปี มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ในอาณาจักรบาบิโลน  ในคืนแห่งความหายนะนี้ กรุงบาบิโลนถูกพิชิตโดยกองทัพของมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งนำโดยกษัตริย์แห่งเปอร์เซียที่รู้จักกันว่าไซรัส มหาราช กษัตริย์องค์นี้มียุทธวิธีรบเหนือชั้นจริงๆ  ประวัติศาสตร์ มีข้อมูลบันทึกไว้ว่าตอนที่ไซรัสตัดสินใจที่จะพิชิตบาบิโลน  ในเวลานั้น อาณาจักรบาบิโลนเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นที่เรียกว่านครที่น่าเกรงขามที่สุดในตะวันออกกลาง และอาจจะเรียกได้ว่ารุ่งเรืองสูงสุด ก็ได้ในขณะนั้น

กรุงบาบิโลนมีแม่น้ำยูเฟติสไหลผ่าน และมีคูคลองทุกสาย นอกกำแพงเมือง ที่ตระหง่าน เต็มไปด้วยน้ำ เมืองนี้จึงดูเหมือนถูกป้องกันไว้อย่างหนาแน่น จนไม่น่าจะมีใครสามารถพิชิตได้ ทหารของไซรัสได้เปลี่ยนทิศทางของแม่น้ำยูเฟติส จึงทำให้ระดับน้ำที่เป็นคูคลองป้องกันเมือง มันลดลง แล้วเหล่าทหารก็ลุยข้ามแม่น้ำ เข้าไปตีเมืองได้อย่างง่ายดาย

นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกเคยกล่าวไว้ว่าชาวบาบิโลนรู้สึกมั่นใจ ในความปลอดภัยของเมืองนี้มาก ดังนั้น ในคืนนั้น คืนที่ถูกโจมตี ผู้คนส่วนใหญ่จึงกำลังเลี้ยง กินกันอย่างสนุกสนาน ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ ซึ่งเรารู้ว่ากษัตริย์องค์นั้น ก็คือเบลชัสซาร์ ในคืนนั้น คืนที่พระเจ้าส่งนิ้วมาเขียนอักษรปริศนาบนผนัง และในคืนวันนั้น กองทัพของไซรัส ก็เข้ายึดกรุงบาบิโลน ที่ไม่มีใครนึกเลย แม้กระทั่งชาวบาบิโลนก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครทำอย่างนี้ได้ แต่ถ้าพระเจ้าบอกได้ ก็ต้องได้ ได้โดยอัศจรรย์ ได้โดยไม่คิดว่าจะได้ มันก็เป็นไปได้ พูดถึงอนาคตแค่นิดเดียว ถ้าค้นคว้าไปเรื่อยๆ  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราเรียนรู้ แล้วยังมั่นใจว่าพระเจ้าอยู่กับเรา พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เรารู้จักพระเจ้าองค์นี้ ไม่ผิดแล้ว สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนกันเป๊ะๆ

นี่คือบันทึกทางประวัติศาสตร์ มันก็ตรงกับคำเผยพระวจนะที่บอกไว้ล่วงหน้า โดยพระเจ้า ไม่ผิดเพี้ยนตามที่เราอ่านในหนังสืออิสยาห์ ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ว่าพระเจ้าจะให้ไซรัส ผู้ที่พระองค์เจิมตั้งไว้ พิชิตชนชาติต่างๆ และทำลายแสนยานุภาพของเหล่ากษัตริย์ เป็นผู้เปิดประตู ซึ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อไม่มีประตูใดถูกปิดไว้ ในประวัติศาสตร์ยังบอกด้วยว่าไซรัสได้ยึดกรุงบาบิโลน ในปี 539 ก่อน ค.ศ. และไม่นานหลังจากนั้น เขาปลดปล่อยชาวยิวให้เริ่มได้รับอิสรภาพ ได้กลับไปยังประเทศของตัวเองในปี 537 ก่อน ค.ศ. ซึ่งเป็นเวลาที่ครบกำหนด 70 ปีพอดี ที่ตกเป็นเชลย คนที่พระเจ้าจะใช้ให้ส่งกลับ ก็คือกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ตรงเป๊ะอีกแล้ว

เพราะฉะนั้น เรื่องพระเยซูคริสต์ตอนท้าย ก็ต้องเป๊ะๆ ตอนที่เราจะไปอยู่ในสวรรค์สถาน ก็ต้องเป๊ะๆ  ตอนที่เราครอบครองร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถาน ก็ต้องเป๊ะๆ มาดูอีกข้อหนึ่ง เยเรมีย์ 25:12

เยเรมีย์ 25:12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

แล้วมันทิ้งร้างไหม? ทิ้งร้างตลอดไป  บาบิโลนถูกตี แล้วจากนั้น บาบิโลนก็หายไปจากแผนที่เลย ค่อยๆ จางหาย ไม่เหลือเลย  … เรากลับมาที่ดาเนียล บทที่ 8 กันต่อ ดาเนียล 8:2-4

ดาเนียล 8:2-4 “2 ในนิมิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นตัวเองอยู่ที่ป้อมชั้นในเมืองสุสา ในแคว้นเอลาม  ข้าพเจ้าอยู่ริมคลองอุลัย 3 ข้าพเจ้ามองไปเห็นแกะผู้ตัวหนึ่งยืนอยู่ริมลำคลอง แกะนี้มีสองเขา เขาข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างหนึ่ง แต่งอกขึ้นมาทีหลัง 4 ข้าพเจ้ามองดูแกะผู้ตัวนั้น ขวิดไปทางตะวันตก  ทางเหนือและทางใต้ ไม่มีสัตว์ใดต่อกรกับมันได้ และไม่มีสิ่งใดช่วยให้พ้นจากอำนาจของมัน มันทำอะไรตามใจชอบและยิ่งใหญ่ขึ้น”

 

และพระเจ้าก็ส่งทูตสวรรค์มาบอกความหมายแด่ดาเนียลไว้อย่างนี้ ดาเนียล 8:19-20 เป็นการแปลความฝัน

ดาเนียล 8:19-20 “19 “เรากำลังจะแจ้งให้เจ้าทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในเวลาแห่งพระพิโรธในภายภาคหน้า เพราะนิมิตนี้ เกี่ยวข้องกับกาลอวสานซึ่งกำหนดไว้แล้ว 20 แกะผู้สองเขาที่เจ้าเห็น คือบรรดากษัตริย์มีเดียและเปอร์เซีย”

 

“พระพิโรธ” อย่าไปนึกถึงพระพิโรธตอนสุดท้าย บทที่ 7 ครั้งที่แล้ว ที่พูดถึงเขาที่งอกออกจากมาจากกรุงโรม จำได้ไหม? คือพวกแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวใหญ่ ซึ่งอยู่ในยุคสุดท้าย  ยังไม่เกิดขึ้น  เรากำลังรอวันนั้นอยู่ วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา ตรงนี้ไม่ใช่

พระพิโรธตรงนี้ คือความโกรธของพระเจ้าที่มีต่อ … เขาคิดมีอยู่ 2 ทาง ก็คือพระพิโรธมีต่อเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นมาในช่วงนี้ แต่ไม่ได้ออกมาจากโรมัน แบบในอนาคต ที่จะมาครอบครองเปอร์เซีย ที่จะโผล่ออกมาจากกรีก เพราะช่วงระยะเวลาแค่นั้นเอง พระเจ้าพิโรธ

หรือบางคนเขาบอกพิโรธ อาจจะเป็นเพราะว่าประชากรของพระเจ้าในช่วงนั้น พอได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาส หรือถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน ถูกปล่อยไป ก็ไม่เข็ด ไปไหว้รูปปั้น รูปเคารพที่พระเจ้าบอกอย่าไหว้ พูดง่ายๆ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หนีไปจากพระเจ้าอีกแล้ว ไปไหว้รูปเคารพ เขาว่าอาจจะเป็นพระพิโรธอย่างนั้นก็ได้ แล้วแต่จะคิด ได้ทั้งสองทาง

ในข้อนี้เขาบอกว่าแกะในนิมิตดาเนียล ก็คืออาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจเวลานั้น  กำลังมาตีบาบิโลน ตอนที่ได้รับนิมิต

ยุคของกษัตริย์ไซรัส มหาราช กำลังไล่ตีเมืองต่างๆ และไม่มีใครสามารถต้านทานอำนาจ บารมีของไซรัสได้  นี่คือแปลความฝันตะกี้ จนกระทั่งมีเดียเปอร์เซียได้รุ่งเรืองอำนาจที่สุดในสมัยนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ได้บันทึกไว้ ที่เราได้เล่าสู่กันฟัง นี่หมายถึงตอนนั้น

ดาเนียล 8:5-7 “5 ขณะข้าพเจ้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ทันใดนั้น มีแพะผู้ตัวหนึ่ง ซึ่งมีเขาโดดเด่นอยู่ระหว่างตา วิ่งห้อข้ามพื้นพิภพ มาจากทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว เท้าของมันไม่แตะดิน 6 มันรี่เข้าใส่แกะผู้สองเขา ซึ่งข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ริมคลองนั้น และพุ่งชนด้วยความโกรธอย่างยิ่ง 7 ข้าพเจ้าเห็นมันขวิดแกะผู้อย่างโกรธจัด จนเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น และถูกแพะเหยียบย่ำ ไม่มีใครช่วยแกะนั้นได้”

 

ความหมายของแพะตัวผู้ ที่มาโค่นล้มแกะอยู่ในข้อ 21 บอกไว้ตรงๆ ชัดเลยว่าแพะผู้ คือกษัตริย์กรีก และเขาใหญ่ระหว่างตา  คือกษัตริย์องค์แรกของกรีก  ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งคนสมัยนั้น อาจจะไม่รู้เรื่องหรอก เพราะว่ามันยังไม่เกิด แต่เราเกิดแล้ว เราฟังจากประวัติศาสตร์ เรารู้แล้ว ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งอาณาจักรกรีกที่ได้นำกองทัพทหารเข้าโจมตีและโค่นล้มมีเดียเปอร์เซีย ได้สำเร็จตามที่พระคัมภีร์บอกว่าแพะตัวนี้  ได้ขวิดแกะผู้อย่างโกรธจัด จนกระทั่งเขาทั้งสองของแกะหักไป  แกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น และถูกแพะเหยียบย้ำ ไม่มีใครช่วยแกะนั้นได้ แพะตัวผู้นี้ได้ขวิดแกะอย่างโกรธจัด เพราะว่ามีเดียเปอร์เซีย เคยไปรุกราน บ้านเกิดเมืองนอนของแถบนั้น  เรียกว่าพวกเอเธนส์ สปาร์ต้า พวกมาซิโดเนีย มาซิโดเนีย คือบ้านเกิดของพ่อและบรรพบุรุษของ อเล็กซานเดอร์มหาราช

เรียกว่าโมโหจัด เคยรังแกเรา เที่ยวนี้ไปซัดให้มันเต็มที่ หมายถึงอย่างนั้น ท่านจะได้รู้ว่าพระเจ้าบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เล่าให้ฟังเป็นความฝัน เป็นนิมิต ละเอียดยิ๊บ ที่เล่าให้ท่านฟังมันนิดๆ หน่อยๆ

โกรธจัด ขวิดจนเขาทั้งสองของแกะหักไป แกะก็คือเปอร์เซีย เขาทั้งสอง ก็คือกษัตริย์สององค์ที่ครอบครองร่วมกัน ก็คือมีเดียเปอร์เซีย

และแกะสู้ไม่ได้ จึงล้มลงกับพื้น ถูกแพะเหยียบย้ำ ไม่มีใครช่วยเขาได้ เหตุการณ์ตอนนั้น อยู่ในราวประมาณ 400 ปีก่อน ค.ศ. ตอนที่พูด เห็นนิมิต ฝันนี้ 600 ปีก่อน ค.ศ. นี่ประมาณ 400 เพราะฉะนั้น หายไป 200 ปีเกิดขึ้น  ซึ่งมีบันทึกไว้ นี่ประวัติศาสตร์ 400 ปีก่อน ค.ศ. มีบันทึกไว้ว่ากษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำกองทัพทหารกว่า 36,000 นายเข้าประชิด ตีมีเดียเปอร์เซียได้ เป็นผลสำเร็จ โดยมีเดียเปอร์เซียสูญเสียกองทัพทหาร ซึ่งล้มตายในสงครามครั้งนี้ กว่า 20,000 นาย ในขณะที่กองทัพกรีก สูญเสียกำลังเพียงแค่ไม่กี่ร้อยนาย เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ใครอยู่เบื้องหลัง? พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระคัมภีร์บอกว่าเพื่อแผนการของพระองค์ เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ และเป็นสิ่งดีสำหรับผู้ที่รักพระองค์เสมอ

ดาเนียล 8:8-12 “8 แพะตัวนั้นยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อมันผยองตนขึ้น และเรืองอำนาจสุดขีด เขาอันใหญ่ของมันก็หัก และมีเขาโดดเด่นสี่อันงอกขึ้นแทนที่ ชี้ไปยังทิศทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ 9 มีเขาเล็กๆ งอกขึ้นจากเขาหนึ่งในสี่เขานี้ แล้วงอกขึ้นเรื่อยๆ แผ่อำนาจไปทางใต้ ทางตะวันออก และสู่ดินแดนอันงดงาม 10 มันเติบใหญ่ขึ้น จนถึงบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ แล้วเหวี่ยงดาวบางดวงร่วงลงมาที่พื้นโลก และเหยียบย่ำเสีย 11 มันหยิ่งผยอง ตีเสมอองค์ราชันแห่งกองทัพสวรรค์ โดยเลิกล้มการถวายเครื่องบูชาประจำวันแด่พระองค์ และทำให้สถานนมัสการของพระองค์ตกต่ำ 12  เนื่องจากการกบฏนี้ กองกำลังของประชากรของพระเจ้า และการถวายเครื่องบูชาประจำวัน ก็ถูกมอบไว้ในมือของมัน มันทำอะไร ก็เจริญรุ่งเรืองทุกอย่าง และสัจธรรมถูกเหวี่ยงลงกับพื้น”

 

คือฟังอย่างนี้แล้ว คล้ายๆ กับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เราเรียนรู้เรื่องบทที่ 7 ที่เกี่ยวกับอาณาจักรโรมัน ที่มีเขาเล็กๆ งอกออกมา ก็คือแอนตี้ไคร์ซตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นมาเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ตัวใหญ่สุดในยุคสุดท้าย ที่เกิดมาจากเชื้อสายของอาณาจักรโรมัน อันนี้ คือตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งต่อต้านพระคริสต์ ทุกอย่างทำเหมือนกัน แต่ทำแบบเล็กๆ มีผลเล็กๆ เท่านั้นเอง ตัวนี้เกิดจากอาณาจักรของกรีก ผู้ที่มีอำนาจในอาณาจักรของกรีก 1 ท่าน คือหลังจากที่แพะผู้ คือกรีก ได้โค่นล้มแกะ คือมีเดียเปอร์เซียแล้ว กรีกก็ได้เป็นมหาอำนาจในขณะนั้น ขยายอำนาจออกไปไกลมาก ไปถึงอินเดีย ยุคของกษัตริย์ อเล็กซานเดอร์ มหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของกรีกนั้น เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด และตรงพระคัมภีร์เลย แต่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์เรืองอำนาจอยู่แค่ไม่กี่ปี คือประมาณอายุ 33 ตายแล้ว

พระคัมภีร์บอกว่าเขา ที่ระหว่างตานี้ คืออเล็กซานเดอร์ เขานี้เข้มแข็งมาก คือยิ่งใหญ่มาก แต่มันอายุสั้น แป๊บเดียว ไปแล้ว เขาถูกหักออก ก็คือสิ้นอายุ ตอนอายุ 33 แล้วก็ไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คือการตายของอเล็กซานเดอร์ เขาพากองทัพตีลุยไปถึงอินเดีย ไปสู้กับช้าง จนรบชนะช้าง รบชนะกองทัพอินเดีย จากชื่อแปลกๆ ไปถึงปันจาก ชื่อแบบอินเดีย ชนะ แล้วจะไปต่ออีก ปรากฏว่าพวกแม่ทัพต่างๆ บอกเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว ตีมาตลอดทาง พอเถอะ อยากกลับบ้านแล้ว หมายถึงแผ่อาณาจักรไปมากๆ แล้ว พอแล้ว กลับเถอะ ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอม แต่ในใจอยากจะรบต่อ คือเขาอายุยังน้อย 32, 33 รบมาตั้งแต่อายุ 16 คิดดูสิ อยากจะรบ ขนาดเดินทางกลับบ้าน ยังแวะข้างทาง ตีเมืองเล็กเมืองน้อยตามไปด้วย ย้อนกลับมากรุงบาบิโลน ที่เคยตีไว้ได้ ก็มาพักที่กรุงบาบิโลน ก่อนที่จะกลับเมือง ปรากฏว่าพออยู่ที่บาบิโลน เขาว่าไม่สบาย ติดเชื้อหรือถูกวางยา ในที่สุดก็ตายที่บาบิโลน

กรีกซึ่งมีการนำทัพโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็เริ่มสั่นคลอน  เพราะว่าผู้นำ คืออเล็กซานเดอร์ตายไปแล้ว ตายเร็ว ไม่ได้วางผังไว้เลยว่าให้อำนาจกับใคร? เขาเล่ากันว่าตอนที่อเล็กซานเดอร์ อยู่ที่บาบิโลน กำลังจะสิ้นพระชนม์ มีคนเข้าไปทูลว่าต้องยกอาณาจักรให้ใคร? ใครจะเป็นผู้สืบต่อดี แล้วอเล็กซานเดอร์ตอบว่าให้กับคนที่แข็งแรงที่สุด  เพราะฉะนั้น จากนั้นต่อมา แม่ทัพ 4 คนที่เหลือต่างแย่งชิงอำนาจกันว่าใครแข็งแรงกว่า จึงแยกเป็น 4 ส่วน ในนิมิตที่เห็น ก็คือเขาเล็กๆ 4 เขาที่งอกขึ้นมาแทนที่นั่นเอง ดาเนียล 8:22-25 อันนี้บอกก่อนล่วงหน้า ประมาณ 200 ปี โดยดาเนียลได้รับความฝันในนิมิตจากพระเจ้า

ดาเนียล 8:22-25 “22 เขาสี่อัน ซึ่งงอกแทนอันที่หัก คือ สี่อาณาจักร ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นจากชาตินั้น แต่ไม่มีอำนาจเทียบเท่า 23 “ในปลายรัชกาลกษัตริย์เหล่านั้น เมื่อพวกกบฏชั่วร้ายอย่างเต็มที่  จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีหน้าตาถมึงทึง และเจ้าเล่ห์เพทุบาย 24  เขาจะเข้มแข็งมาก แต่ไม่ใช่โดยอำนาจของเขาเอง เขาจะทำให้เกิดความเสียหายย่อยยับ อย่างน่าตกใจ และจะทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วง เขาจะทำลายบรรดาผู้ทรงอำนาจ และประชากรของพระเจ้า 25 เขาจะทำให้การล่อลวง แพร่ขยายมากขึ้น และถือว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น เขาจะทำลายคนทั้งหลาย ขณะที่พวกเขารู้สึกมั่นคง และเขาถึงกับท้าทายองค์จอมเจ้านาย แต่เขาจะถูกทำลายโดยอำนาจ ซึ่งไม่ได้มาจากมนุษย์”

 

นี่ก็เล่าถึงเขาเล็กๆ ที่ผมบอกว่าแอนตี้ไคร์ซ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้นำที่จะมาต่อต้านพระเจ้า ข่มเหงประชากรของพระเจ้า ซึ่งคือชาวยิวในสมัยนั้น อะไรจะเกิดขึ้น จากหนึ่งในสี่ของผู้ที่กำลังแย่งอำนาจ หลังจากอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ เขา 4 เขา ที่งอกขึ้นมาแทนที่เขาอันใหญ่ที่หักไป ก็คือมีแม่ทัพ 4 คนไปครอบครองในสถานที่ต่างๆ แต่ไม่ได้แบ่งกันจริงๆ แบ่งกันว่า …

“อย่าเผลอนะ ถ้าเผลอฉันขยายอำนาจ”  อะไรประมาณนั้น

คือแบ่งไปด้วย แย่งไปด้วย และหนึ่งในสี่นั้น ก็คือปัดโทเลมี ไปครอบครองอยู่ที่อียิปต์

และช่วงเวลาที่ชาวยิวได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ในยุคกรีกตอนปลาย ก็คือยุคที่ 1 ใน 4 ของแม่ทัพของอเล็กซานเดอร์ เริ่มแข็งแกร่งขึ้นมา ชื่อเซลูคัด เขาค่อยๆ ตี ค่อยเพิ่มอำนาจขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นหนึ่งในจำนวนแม่ทัพกรีก ในสมัยอเล็กซานเดอร์ เขาขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขามีผู้สืบทอดอำนาจคนหนึ่ง จำไว้นะ ตัวนี้ ชื่อนี้  คือเขาเล็กๆ ที่มาข่มเหงชาวยิวในสมัยนั้น คนนี้ได้อำนาจ มาจากโลกฝ่ายวิญญาณ มีอำนาจพิเศษ ในตัวเขา ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ก็คือยุคของอันทิโอกัส ที่ 4 เป็นผู้นำ ในขณะนั้น

อันทิโอกัส ที่ 4 เขารับสินบนโกงพระวิหารของพระเจ้า คือสมัยนั้น เยรูซาเล็ม ตั้งแต่อยู่บาบิโลน เป็นทาส แล้วก็เป็นทาสมาตลอด จนไม่มีอะไรเลย จนกระทั่ง สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีประเทศ มารวมกัน จนถึงปัจจุบันนี้ มาตั้งประเทศได้ เมื่อปี ค.ศ.1948

ก่อนหน้านี้ ผู้นำอื่นๆ ยังเกรงใจ ยังดูแล เป็นเมืองขึ้นเฉยๆ แต่อันทิโอกัส ที่ 4 เริ่มโกงเงินพระวิหาร คือเล่นการเมือง เอาผลประโยชน์จากพระวิหารของพระเจ้า มีเรื่องภาษี มีเรื่องทรัพย์สมบัติต่างๆ แล้วต่อมาอันทิโอกัส ก็ได้นำทัพ ไปโจมตีปัดโทเลมีที่อียิปต์ ปรากฏว่าปัดโทเลมีไปทำสัญญากับอาณาจักรโรมัน ซึ่งกำลังเริ่มต้นเรืองอำนาจขึ้น อันทิโอกัส ที่ 4 ก็แพ้ เพราะไม่มีคนช่วย แพ้สงคราม ต้องจ่ายเขา และขณะเดียวกัน ก็ถอนทัพกลับมา เจ็บใจด้วย อายเขาด้วย  แค้นใจ จึงระบายความแค้น และถือโอกาสปล้นพระวิหารของพระเจ้า ในกรุงเยรูซาเล็ม คือปล้นสะดมผู้คน ออกคำสั่งห้ามชาวยิว ทำพิธีทางศาสนา ห้ามฉลองเทศกาลต่างๆ และเผาหนังสือธรรมบัญญัติทั้งหมด ก็คือเผาหนังสือ 5 เล่ม พระคัมภีร์เดิมทั้งหมด เผาหมดเลย ห้ามชาวยิวเข้าสุหนัต คือห้ามทำพิธีทางศาสนา เหมือนปิดโบสถ์ เผาหมดเลย ใครขัดขืน ฆ่าตายหมด นี่แหละถูกข่มเหงรังแก อย่างที่ตะกี้นี้บอก เขาเล็กๆ นี้ ก็คืออันทิโอกัส ที่ 4

อันทิโอกัส ที่ 4 พยายามทำลายทุกสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของยิว ซึ่งทำให้ยิวเจ็บปวด ทุกข์ใจมากๆ อย่างแสนสาหัส ในขณะนั้น ถูกย่ำยีหัวใจ ย่ำยีเฉพาะชีวิตของพวกเขา ไม่เท่าไร? ย่ำยีพระเจ้าที่เขารักและบูชาอยู่ มันทนไม่ได้ บางคนก็ยอมพลีชีวิต ไม่ปฏิเสธพระเจ้า ยอมตาย เขาไม่ให้อธิษฐาน ก็อธิษฐาน เขาไม่ให้อ่านพระคัมภีร์ ก็อ่าน เขาไม่ให้ซุกซ่อนบันทึกธรรมบัญญัติของพระเจ้า ก็ซุกซ่อนไว้ จับได้ ก็ถูกฆ่าตาย เขาก็ยอม นี่คือความเชื่อของชาวยิวในขณะนั้น ที่ไม่ยอมแพ้ ยอมเสียสละชีวิต เพื่อสำแดงความเชื่อ ตามที่บันทึกตามนิมิตที่เราอ่านเมื่อตะกี้ บอกว่าจนกระทั่งอันทิโอกัส ที่ 4 สิ้นพระชนม์ แบบทุกข์ทรมาน แบบประหลาดๆ คล้ายๆ กับกษัตริย์เฮโรด ในสมัยพระเยซูนั่นแหละ  คือพระเจ้าเอาเขาออกไปนั่นเอง

ทั้งหมดที่ผมเล่า ก็เพื่อให้ท่านเห็นภาพชัดเจนว่าเรื่องราว ในพระคัมภีร์ที่เป็นการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น มันได้เกิดขึ้นจริงๆ ตามนั้น ทุกประการเลย และในข้อสุดท้ายของดาเนียล 8 :26 บอกไว้อย่างนี้

ดาเนียล 8:26 “นิมิตเกี่ยวกับวันและคืน ซึ่งบอกท่านแล้วนั้น จะเป็นจริง แต่จงประทับตราเก็บไว้ เพราะเกี่ยวกับอนาคตอันไกล”

 

นี่คือวาระ อีกวาระ อีกครึ่งวาระ อีกสองวาระ ปิดไว้ ไม่ให้รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร? แต่ให้รู้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างนี้แล้วกัน พระเจ้าได้บอกความหมายต่างๆ อธิบายความหมายของนิมิตให้ฟัง เพื่อให้ประชากรของพระองค์ได้รับทราบล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพื่อให้ประชากรของพระองค์เชื่อมั่น และวางใจว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้ารู้หมดแล้ว เป็นผู้วางแผนทั้งหมด ดูแลอยู่ ที่ไม่บอกเวลา ก็เพราะว่าถ้าบอกแล้ว เราก็จะไปจดจ่อตรงเวลานั้น แล้วเราก็จะไม่ไปทำตามแผนการของพระเจ้า เราก็จะไม่ไปไหนเลย  เพราะเราก็จะนั่งรอว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร? ในมัทธิว 24:36 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

มัทธิว 24:36 “ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์ หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้น ที่ทรงทราบ”

 

นี่พระเยซูกำลังพูดถึงยุคสุดท้าย ที่พระเยซูจะกลับมาใหม่ กลับมาพร้อมกับเมฆ เหล่าสาวกถามพระเยซู …

“เมื่อไรพระองค์จะกลับมา สร้างโลกใหม่ ที่เราจะอยู่ด้วยกัน ครอบครองในสวรรค์สถาน ไม่มีบาปอีกแล้ว ที่จะอยู่กับพระบิดา เห็นพระบิดาหน้าต่อหน้า เราจะทุกข์ลำบากอย่างนี้ถึงเมื่อไร?”

พระเยซูก็บอกว่า  “ไม่มีใครรู้หรอกเวลา แม้แต่เราก็ยังไม่รู้เลย พ่อเท่านั้นที่รู้”

เพราะฉะนั้น  เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างที่พระองค์บอกนั้น เป็นความจริงทุกอย่าง ที่เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และได้อ่านพระคัมภีร์บอกล่วงหน้าแล้ว และได้เห็นอย่างนั้นจริงๆ และมันก็เป็นจริงๆ ตามนั้น เพราะฉะนั้น สุดท้าย ตามพระคัมภีร์บอก มันก็จะเป็นจริงด้วย จริงไหม?

นี่เรากลับมาที่นิมิตใหญ่แล้วนะ นิมิตใหญ่ที่ดาเนียลเห็น ตั้งแต่สมัยนิมิตที่พระเจ้าให้ผ่านทางกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จนกระทั่งถึงนิมิตที่ตัวเองได้ เมื่อตอนบทที่ 7 นิมิตใหญ่ หลังจาก 4 อาณาจักรนี้จะมีก้อนหิน ซึ่งไม่ได้ทำด้วยมือ มาจากพระเจ้า ก้อนหินนี้จะถูกขว้างไปที่เท้าของรูปปั้นนั้น ทำให้รูปปั้นนั้นพังทลายลงมาหมดเกลี้ยงเลย แล้วหินนั้น ก็จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ จนเป็นอาณาจักรครอบครองโลกนี้เลย  นั่นคืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่เราจะครอบครองร่วมกับพระองค์ ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั่นเอง มันก็ต้องเป็นจริงตามนั้นด้วยเช่นกัน เพราะเป็นจริงมาแล้ว 95% เพราะฉะนั้นอีก 5% มันก็ต้องจริงเป๊ะๆ มันไม่มีทางอื่น มันชัดเจน มันละเอียดอ่อนจริงๆ

ชีวิตที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้  ไม่ว่าทุกข์ยากลำบากมากหรือน้อยก็ตาม ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมา และมีลมหายใจอยู่ ท่านกำลังรับใช้พระเจ้าอยู่  เสร็จสิ้นงาน ก็คือหมดลมหายใจ ท่านอย่าไปนึกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นแหละ กำลังทำอยู่ เพราะฉะนั้น แล้วแต่พระองค์จะใช้เราในลักษณะเช่นใด ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงใช้เราเป็นภาชนะที่ดี คือรู้จักพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ใช้เราเป็นภาชนะที่ไม่ดี เป็นภาชนะที่ทุกข์ทรมาน ก็คือใช้เรา ขณะที่เราไม่รู้จักพระเจ้าด้วย แย่เลย เข้าใจใช่ไหมครับ หมายถึงอะไร?

เพราะฉะนั้น พระเจ้าให้เราอ่าน เล่าเรียน หรือศึกษาถ้อยคำของพระองค์เหล่านี้ จากอดีตต่างๆ ก็เพื่อให้รู้ว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ผ่านไปได้ ถ้าเผื่อบรรพบุรุษของเราตั้งแต่สมัยยิว จนกระทั่งถึงชาวคริสเตียน 2,000 ปีมาแล้ว เขาผ่านมาได้อย่างไรความทุกข์ยากลำบากใหญ่ยิ่งกว่าเราตั้งเยอะ เขายังผ่านได้ เราก็ผ่านได้แน่ๆ เขาเป๊ะ เราก็เป๊ะๆ  เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ เขาทุกข์เยอะกว่าเรา เราทุกข์นิดเดียวเอง ในสมัยยุคเริ่มต้นใหม่ๆ ชาวยิวที่อยู่ที่เยอรมัน ในวันคืนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านคิดถึงฮิตเลอร์ที่ข่มเหงชาวยิวขนาดนั้น ทุกข์ทรมานกว่านี้อีกเยอะเลย ของเราอาจจะนิดเดียว แต่แน่นอนสำหรับคนทุกคนอาจจะไม่มีคำว่านิดหรอก เปรียบเทียบกันไม่ได้ สำหรับคุณนิด สำหรับผมไม่ไหวแล้ว เรามาเทียบกันไม่ได้ ถ้าพระองค์ให้เราเป็นกระถาง เราก็รับแบบกระถาง ถ้าเราเป็นชาม  เราก็รับแบบชาม ถ้าเราเป็นถ้วยตะไล เราก็รับแบบถ้วยตะไล ถ้าเราเป็นหลอด เราก็รับแค่หลอด มันก็เต็มของเราแล้ว แต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ไม่ต้องมาวัดว่าใครใหญ่กว่าใคร? ของใครหนักกว่ากัน? เพราะฉะนั้น ให้เราวางใจพระเจ้าในสิ่งนี้

ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามในขณะนี้ ไม่ว่ามันจะใหญ่ขนาดไหน? เจ็บปวดอย่างไร? หรือมันทุกข์อย่างไรก็ตาม ท่านมีความหวังใจเสมอ เมื่อท่านเรียนรู้เรื่องราวถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ อยากจะบอกท่านและให้กำลังใจกับท่าน ให้ท่านมีความหวังว่าวันหนึ่ง พระเยซูคริสต์จอมเจ้านายเรา จะกลับมาใหม่ แล้ววันนั้น แอนตี้ไคร์ซปฏิปักษ์พระคริสต์จะถูกจับโยนออกไป จบ แล้ววันนั้นจะตกแต่งและปรับปรุงโลกนี้ใหม่หมดเลย รวมทั้งร่างกายเราก็ใหม่ด้วย ร่างกายที่เก่าๆ ทุกวันนี้ ทำใหม่หมดเลย ไม่ต้องไปแต่งหน้าแต่งตาแล้ว สวย หล่อตลอดเวลา ทรงผมก็สวยดี ทุกอย่างดีหมดเลย แถมไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่เจ็บ เอเมน

นี่คือความหวังของเราที่ตื่นมา เราควรจะเห็นภาพเหล่านี้ ซึ่งคนไม่เชื่อ ก็มองไม่เห็น แต่ถ้าเราเชื่อ เราจะเห็นกับตา สวรรค์สำหรับคนที่เชื่ออย่างเดียว ถ้าคนไม่เชื่อ จะไม่เห็นสวรรค์ โลกนี้ ก็เหมือนนรก พูดง่ายๆ เชื่อแล้ว มีใครอยากอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ไม่อยากอยู่หรอก เพราะเรารู้แล้วว่าสวรรค์ดีกว่านี้ พระเจ้าสัญญาว่าจะตกแต่งบ้านนี้ใหม่ ร่างกายนี้ใหม่ โลกนี้ใหม่ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีความบาปอีกต่อไปนิรันดร์

พระเจ้าต้องการให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน คือสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ในขณะนั้น ในชีวิตของเราก็ตาม ให้เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว ก็ผ่านไปแล้ว ให้เรามีความหวังใจในความสุขนิรันดร์ ในสวรรค์สถานที่เราจะครอบครองร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แป๊บ ไม่ใช่พันปี ไม่ใช่หมื่นปี แต่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่านิรันดร์ มันหมายถึงตลอดไป และในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง ถ้ามันทุกข์ยากลำบาก พระองค์จะพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบากด้วยตัวของพระองค์เอง ที่สถิตอยู่กับเรา และครอบครองทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาไว้อย่างนั้น ถ้าเราคิดว่าไม่ไหว เดี๋ยวพระองค์ก็จะพาเราผ่าน เพราะพระองค์ไหว เราไม่ไหว ไม่เป็นไร แต่พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง พระองค์มีกำลัง จงจำไว้ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก  18 ดังนั้น  เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น  ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

และสิ่งที่เรามองไม่เห็น ที่อยู่ถาวรนิรันดร์นั้น สรุปรวมกัน เรียกว่าสวรรค์สถาน เอเมน

 

*******************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอน 14 “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักร ร่วมกับพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  มีนาคม  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”

ตอน 14 “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า” ตอนที่ 14 อยู่ในหนังสือดาเนียล บทที่ 7 เรื่องราวความฝันของดาเนียลเกี่ยวกับสัตว์ทั้งสี่ ซึ่งเราได้เริ่มอ่านกันไปแล้ว ในครั้งก่อน แล้ววันนี้เราจะมาสรุป และเน้นย้ำในประเด็นสำคัญที่สุดในบทนี้ โดยเฉพาะตอนช่วงท้ายๆ ของบทที่ 7 นี้ เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คำว่า “ในอนาคต” คือตั้งแต่สมัยที่เขียนหนังสือเล่มนี้อยู่ ประมาณเกือบๆ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด  ก่อน ค.ศ. มาถึงวันนี้ ก็ประมาณ 2,600 ปีมาแล้ว และมันจะบอกต่อไปจนกระทั่งถึงสิ้นยุคเลย

บอกไว้ด้วยว่าก่อนถึงวันสุดท้าย ที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่นั้น จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จะเป็นหัวข้อหลักในการบรรยายในวันนี้ คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูคริสต์กลับมาแล้ว มาดูปรากฏการณ์ที่บันทึกไว้ ที่พระเจ้าบอกเราล่วงหน้า ซึ่งปรากฏการณ์นั้น ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เป็นประชากรของพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซู และได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเยซูบันทึกไว้ เพราะฉะนั้น การบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อตอนว่า “ชัยชนะและการครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์” เอเมน

เราจะมาทบทวนกันสักนิด ในดาเนียล บทที่ 7 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันของดาเนียล ที่ฝันเห็นสัตว์มหึมาขนาดใหญ่ 4 ตัว แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งสัตว์มหึมาทั้ง 4 ตัว หมายถึงอาณาจักรทั้ง 4 ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก ตั้งแต่สมัยนั้น 2,600 ปี ลักษณะเดียวกันกับนิมิตที่ดาเนียลได้อธิบายเมื่อสมัยเนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งเป็นรูปปั้น

ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าตอนที่ดาเนียลฝันเห็นสัตว์ทั้งสี่ตัวนี้ เขาตกใจมาก เข่าอ่อนเลย ว้าวุ่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวที่สี่ เพราะมันดูโหดร้าย น่ากลัว ในความฝันนั้น พระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาบอกว่าเป็นอย่างนี้ ดาเนียล 7:15-22 ดูสิว่าเป็นอย่างไร?

ดาเนียล 7:15-22 “15 ข้าพเจ้าดาเนียลทุกข์ใจยิ่งนัก นิมิตที่เห็น ทำให้ข้าพเจ้าว้าวุ่นสับสน  16 ข้าพเจ้าก้าวเข้าไปใกล้ผู้หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ที่นั่น ขอให้ช่วยอธิบายความหมายของสิ่งทั้งปวงนี้  ดังนั้น เขาผู้นั้นจึงบอกข้าพเจ้า และให้คำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ว่า 17 ‘สัตว์มหึมาทั้งสี่ คืออาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก 18 แต่ประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับอาณาจักร และครอบครองตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์’ 19 แล้วข้าพเจ้าต้องการรู้ความหมายแท้จริงของสัตว์ตัวที่สี่ ซึ่งแตกต่างจากตัวอื่นๆ และน่ากลัวที่สุด มีฟันเหล็กและมีอุ้งเล็บทองสัมฤทธิ์ สัตว์ซึ่งเคี้ยวขย้ำเหยื่อของมันและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือจนแหลกลาญ 20 และข้าพเจ้าต้องการทราบเกี่ยวกับเขาทั้งสิบบนหัวของสัตว์ตัวนั้น และเขาอีกอันหนึ่ง ซึ่งโผล่ขึ้นมา ทำให้สามเขาถูกถอนออกไป เขานั้นโดดเด่นกว่าเขาอื่นๆ มันมีตาและมีปากซึ่งคุยโอ้อวด 21 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่ เขานั้น ก็เข้าทำศึกกับเหล่าประชากรของพระเจ้า และได้ชัยชนะ 22 จนกระทั่ง องค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เสด็จมา และประกาศคำตัดสินให้ประชากรขององค์ผู้สูงสุดชนะ และเป็นเวลาที่พวกเขาได้ครอบครองอาณาจักร”

 

ความหมายในพระคัมภีร์มีตอนหนึ่งที่ผิด เพี้ยนไปนิดหนึ่ง คือที่บอกว่า “ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่ เขานั้น ก็เข้าทำศึกกับเหล่าประชากรของพระเจ้า” ไม่ใช่นะ “เขาเล็กๆ นั้น คือแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์เข้าทำศึกกับเหล่าทูตสวรรค์” ไม่ใช่มนุษย์ เดี๋ยวเรียนไปเรื่อยๆ จะรู้ จำไว้แค่นี้ว่าแอนตี้ไคร์ซ ตัวใหญ่ตัวนี้ ทำศึกกับเหล่าทูตสวรรค์ รู้ไหมทูตสวรรค์พระเจ้าส่งมา เพื่อดูแลประชากรของพระเจ้า  เพื่อให้ความสะดวกสบาย ปกปักษ์คุ้มครองดูแลประชากรของพระเจ้าให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

ในความฝันนี้ มีผู้ที่รู้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทูตสวรรค์ อธิบายความหมายให้ฟังว่าสัตว์มหึมาทั้งสี่ คืออาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก ตั้งแต่สมัยบาบิโลน  คือยุคนี้เป็นยุคสุดท้ายแล้ว คือยุคที่พระเจ้ามาบอกล่วงหน้า จริงๆ บอกมาก่อนหน้า 2,600 ปี จนถึงปัจจุบัน และจากปัจจุบันไปจนถึงอนาคต จนสิ้นโลก จนพระเยซูกลับมา นี่คือช่วงนี้ ท่านจะได้ทราบ

สัตว์ตัวแรกที่ดาเนียลฝันเห็น คือสิงโต มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ถ้าเปรียบกับรูปปั้น ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะ ทำด้วยทองคำ หมายถึงอาณาจักรบาบิโลน 2,600 ปีมาแล้ว เริ่มต้นตรงนี้

สัตว์ตัวที่สอง  ลักษณะเหมือนหมีคาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ที่ปาก สัตว์ตัวนี้เปรียบได้กับรูปปั้น ส่วนที่สอง คือหน้าอกและแขน ซึ่งทำด้วยเงิน ที่เล็งถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ซี่โครง 3 ซี่ ที่หมีตัวนี้คาบเอาไว้ ก็อาจหมายถึงดินแดนหลักๆ ที่มีเดียเปอร์เซียได้ปราบมาแล้ว

สัตว์ตัวที่สาม ในความฝันของดาเนียลมีลักษณะเหมือนเสือดาว ที่หลังของมันมีปีก 4 ปีก คล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มี 4 หัว เทียบกับรูปปั้นของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือส่วนท้องและต้นขา ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก และที่เปรียบเทียบเสือดาว ก็เพราะว่าในสมัยที่กรีกกำลังรุ่งเรืองนั้น มีการขยายอำนาจอย่างรวดเร็วมาก ดั่งเสือดาวที่วิ่งเร็วและแข็งแกร่ง ติดปีกอีกต่างหาก แข็งแกร่งดั่งทองสัมฤทธิ์ ในยุคของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชนั่นเอง

มาถึงตัวที่สี่ ตัวสุดท้าย ในความฝันของดาเนียล ซึ่งพระคัมภีร์กล่าวถึงสัตว์ตัวนี้ว่ามีลักษณะน่ากลัว สยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือจนแหลกลาน สัตว์ตัวนี้ แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขา 10 เขา เจ้าสัตว์ประหลาดตัวที่สี่นี้ เปรียบได้กับส่วนขาของรูปปั้นที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรโรม ที่ได้โค่นล้มกรีก

โรมันในยุคนั้น โหดร้ายมาก ตามล่า ขยายดินแดนไปทั่ว จึงถูกเปรียบเทียบเหมือนสัตว์ดุร้ายน่ากลัว บดขยี้แหลกลาน โหดเหี้ยมกว่าอาณาจักรอื่นๆ

ดาเนียลบอกว่าในบรรดาสัตว์ทั้งสี่ตัว อยากจะรู้ความหมายของสัตว์ตัวที่สี่มากที่สุด เพราะมันน่ากลัวที่สุด จึงอยากจะรู้จากพระเจ้าว่ามันหมายถึงอะไร? สัตว์ตัวที่สี่นี้ มีบันทึกไว้อย่างนี้ ในข้อที่ 8

ดาเนียล 7:8 “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ และทำให้สามในสิบเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปากซึ่งคุยโวโอ้อวด”

 

คือบางทีเราฟัง หรืออ่านจากนิมิตนี้ ดาเนียลไม่สามารถอธิบายอย่างละเอียดในสิ่งที่พระเจ้าให้เขาเห็นในนิมิต ในขณะนั้น ลึกซึ้งได้ ได้แค่เขียนตรงนี้ เหมือนเราฝัน บางทีเราบอกใครว่าเราเห็นอะไรในฝัน หมายถึงอะไรมันเยอะมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนิมิตเห็นล่วงหน้า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?

เขาเล็กๆ หนึ่งอันที่โผล่ขึ้นมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโวโอ้อวด ซึ่งอาจจะหมายถึงผู้ที่เราเรียกกันว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร์ซ ที่บอกว่าจะมีผู้ที่ต่อต้านองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา จะมีผู้ต่อต้าน อย่างที่เราเรียนครั้งที่แล้วว่าต่อต้านพระเยซู ก็คือต่อต้านคนที่เชื่อพระองค์นั่นเอง ข่มเหงพระเยซู ก็คือข่มเหงคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มีบันทึกไว้ในข้อที่ 24-25 ดูสิว่าเขาสิบเขา กษัตริย์สิบองค์ เป็นอย่างไร?

ดาเนียล 7:24-25 “24 เขาสิบเขา คือกษัตริย์สิบองค์ ที่จะมาจากอาณาจักรนี้ ภายหลังจะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากองค์ก่อนๆ และจะโค่นล้มกษัตริย์สามองค์ลง 25 กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

 

นี่แหละที่ทำให้ดาเนียลกังวลใจมาก ถึงขนาดนี้เลยเหรอ นี่คือความหมายของเขาสิบเขา คือจะมีกษัตริย์เกิดขึ้น 10 องค์ จากเชื้อสายของกรุงโรม อาณาจักรโรมัน ซึ่งก็น่าจะหมายถึงกษัตริย์ทางแถบยุโรป ซึ่งมีเชื้อสายอิทธิพลมาจากโรมันรุ่งเรือง นึกภาพให้ดีๆ 10 อาจจะไม่ใช่ 10 องค์จริงๆ 10 คือครบถ้วน ครบตามจำนวน ก็คือครบถ้วนตามที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ได้หมายถึงเลข 10 จริงๆ ก็ได้ และเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมา ก็คือแอนตี้ไคร์ซ หรือคนที่กดขี่ข่มเหงคริสเตียน หรือคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ยุคสมัยที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ก็คือยุคเริ่มต้นโรมัน ในยุคโรมันก็มีแอนตี้ไคร์ซ

ในหนังสือยอห์น พระคัมภีร์ใหม่ก็บอกไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า ยุคสุดท้าย จะมีแอนตี้ไคร์ซ ตัวใหญ่โผล่ขึ้นมา แล้วยอห์นก็บอกว่าแต่ว่าขณะนี้ ขณะที่ยอห์นพูดอยู่ คือขณะยุค 2,000 ปีแล้ว ที่พระเยซูเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ยอห์นประกาศข่าวประเสริฐว่าแม้ว่าขณะนี้ ก็มีแอนตี้ไคร์ซ หรือผู้ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์อย่างนี้ เกิดขึ้นอยู่มากมาย ไปเรื่อยๆ ก็คือตัวเล็กๆ มาอยู่เรื่อยๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ ตัวเล็กๆ ก็คือจักรพรรดิเนโร ของจักรวรรดิโรมัน รุ่นแรกๆ รุ่นที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ แล้วประชากรของพระเจ้าเริ่มประกาศข่าวดีนั้น จักรพรรดิเนโร แห่งอาณาจักรโรมัน ก็ข่มเหงคริสเตียนรุนแรงมาก จับไปย่างไฟบ้าง? จับไปให้สิงโตกินบ้าง ก็คือแอนตี้ไคร์ซตัวหนึ่ง

พระเจ้าต้องการส่งนิมิตนี้ ข่าวนี้ให้กับประชากรของพระเจ้าทุกคนตั้งแต่ตอนนั้น ไปจนกระทั่งสิ้นโลก รวมทั้งเราด้วยที่นั่งอยู่ที่นี่ ให้เรารู้ล่วงหน้า บอกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้น บาบิโลนก็เจริญเติบโตขึ้นมา เสร็จแล้วบอกล่วงหน้าจากบาบิโลน ก็เป็นมีเดียเปอร์เซีย จากมีเดียเปอร์เซีย เป็นกรีก จากกรีก  เป็นโรมัน จากโรมันปุ๊บจะไม่มีอาณาจักรใดๆ ที่ใหญ่แบบคุมโลกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว แล้วมันเป็นจริง ตั้งแต่อาณาจักรโรมันจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีอาณาจักรใหญ่ๆ อย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว มีแต่ดูเหมือนใหญ่ ตรงนี้ก็ใหญ่ ตรงนั้น ก็ใหญ่ กระจายกันไปหมด และส่วนที่กระจายไป ส่วนใหญ่นั้น มาจากเชื้อสายของอาณาจักรโรมทั้งสิ้น ตรงตามนิมิตนี้ทั้งหมด

แล้วขณะที่เรากำลังพูดถึงนี้ เรากำลังเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในขณะที่ผมบอกท่านว่าขณะที่เรากำลังดูนิมิตที่พระเจ้าให้ ขณะเดียวกันในโลกฝ่ายวิญญาณ มีพระเจ้าบังคับอยู่ ควบคุมสถานการณ์อยู่ และขณะเดียวกัน ก็มีสงครามอยู่บนโลกใบนี้ แบบที่มองไม่เห็น คือทางโลกฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ขณะที่บาบิโลนคุมอำนาจอยู่ ก็จะมีวิญญาณที่ไม่ดี เป็นวิญญาณที่ปกคลุมอยู่เหนือบาบิโลน ขณะเดียวกัน ทูตสวรรค์จะเข้ามาส่งข่าวให้กับดาเนียล ก็จะเจอทูตสวรรค์ที่ไม่ดี ต่อต้านไม่ให้มาส่งข่าว ต้องไปรบกันอีก คือกำลังจะบอกท่านว่าทูตสวรรค์เป็นฝ่ายเราก็มี เป็นฝ่ายที่ไม่ดีต่อต้านพระเจ้าก็มี แต่ทูตสวรรค์ที่เป็นฝ่ายเรามีมากว่า มี 2 ใน 3 ฝั่งโน้นมี 1 ใน 3 แต่ทั้งหมด ก็อยู่ในการควบคุมดูแล อยู่ในแผนการของพระเจ้า พ่อของเราทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัว แต่ให้รู้ไว้ นิมิตที่ดาเนียลพูดถึง วันสุดท้ายทูตสวรรค์ฝ่ายเรา ที่ดูแลเราให้ความสะดวกสบายกับประชากรของพระเจ้า เป็นฝ่ายแพ้ ไม่ต้องตกใจกลัวเหมือนดาเนียล  ฟังต่อไปว่าอะไรเกิดขึ้น และพระเจ้าบอกอะไรเราต่อจากนี้

ในข้อที่ 25 บอกไว้อย่างนี้ว่า “กษัตริย์องค์นี้”

หมายถึงแอนตี้ไคร์ซ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้ต่อต้านพระคริสต์ กษัตริย์ หมายถึงผู้ที่มีอำนาจสูงสุด แล้วแต่จะเรียกชื่อไป เขาเรียกว่ากษัตริย์ คือผู้ที่เป็นผู้นำ ผู้นำในแต่ละประเทศ ทุกวันนี้ ต่างเรียกชื่อกันไป มีตั้งแต่กษัตริย์ก็มี นายกรัฐมนตรีก็มี ผู้สำเร็จราชการก็มี ประธานาธิบดีก็มี ซึ่งอนาคต เราไม่รู้ เขาจะเรียกชื่ออะไรต่อไป หมายถึงแอนตี้ไคร์ซเป็นผู้นำในยุคนั้น บุคคลนี้  “กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด” หมิ่นพระเจ้า

“และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า”

ซึ่งหมายถึงคริสเตียนและผู้ที่เชื่อในพระเจ้า

“จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ (หรือบุคคลผู้นี้ ผู้นำผู้นี้ แอนตี้ไคร์ซตัวนี้) ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”

และประชากรของพระเจ้า จะถูกมอบให้อยู่ใต้อำนาจของแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกเป็นแผนการของพระองค์ทั้งหมด ใครเป็นผู้อนุญาตให้พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถ้าพระเจ้าบอกไม่อนุญาต ทำไม่ได้

ความหมายก็คือเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมานี้ ที่บอกว่าเล็งถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวนี้ จะกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามทำลายแผนการของพระเจ้า จะพยายามขัดขวางงานของพระเจ้าทุกชนิด ทุกอย่าง ซึ่งอ่านตะกี้นี้ ทำสำเร็จหรือเปล่า? สำเร็จ เพราะในหนังสือตะกี้บอกว่าประชากรของพระเจ้าได้ถูกมอบให้อยู่ใต้มือของกษัตริย์องค์นี้ ก็คืออยู่ใต้อำนาจของมัน ก็สำเร็จสิ คือข่มเหงเราได้  แปลว่าประชากรของพระเจ้าแพ้

ท่านเคยดูซุปเปอร์แมนหรือเปล่า? ตอนนี้ถูกดูดพลังไปหมด นอนอยู่ในถ้ำคริสตัส แพ้คริสตัล เจอคริสตัลปุ๊บ พลังถูกดูดไปหมด แพ้ จบ หน้ากากผีชนะ ตอนนี้ พลเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั้งโลก จะเดือดร้อนไปหมดเลย เพราะว่าซุปเปอร์แมนไม่มาช่วย  ซุปเปอร์แมนเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ในหนังตอนจบ เขาก็เขียนให้มีคนไปช่วย ให้ซุปเปอร์แมนมีพลังมาใหม่ กลับมาชนะ ตอนจบพระเอกชนะ เรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าเป็นพระเอก

ตอนท้ายของข้อความตะกี้บอกว่าประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ผู้นี้ แอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ

คำว่า “หลายวาระ หนึ่งวาระ และครึ่งวาระ” หมายถึงเวลาเท่าไร? มันแปลว่ามันมีกำหนดเวลาสิ้นสุด แต่ไม่แน่นอนว่าเมื่อไร? ก็คือรู้ แต่ไม่รู้ รู้ว่าเท่าไร? รู้ว่าชั่วคราว รู้ว่าแป๊บเดี๋ยว อย่างนี้เป็นต้น

และเมื่อมีกำหนดเวลา ก็แปลว่ามันไม่ได้เป็นถาวร มันไม่ได้นิรันดร์ และเมื่อไม่ใช่ถาวรนิรันดร์ ก็แปลว่าเป็นการชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น สรุปว่าประชากรของพระเจ้าจะแพ้ เป็นการชั่วคราว  ตามกำหนดเวลาที่พระเจ้าวางแผนไว้ ไม่มีใครรู้ และไม่ต้องไปพยายามหาด้วย พระเยซูก็ไม่รู้ พระเจ้ารู้แต่ผู้เดียว และหลังจากที่ประชากรของพระเจ้าตกอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงรังแกของแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้  ดาเนียล 7:26-27 นี่แหละคือข่าวดีของท่าน

ดาเนียล 7:26-27 “26 แต่การพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้นแล้ว  ฤทธิ์อำนาจของกษัตริย์องค์นั้น  จะถูกนำออกไป และถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นเชิง  27 แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุด  จะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า  ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์  ผู้ครอบครองทั้งปวงจะนอบน้อม เชื่อฟัง และนมัสการพระองค์”

 

หลังจากประชากรของพระเจ้าพ่ายแพ้ ชั่วคราวเท่านั้น แต่การพิจารณาคดี เริ่มขึ้นแล้ว  ฤทธิ์อำนาจของแอนตี้ไคร์ซตัวนั้น  ถูกปลดออก ถูกนำออกไป ถูกลบล้างอย่างสิ้นเชิง  แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุด ก็คือเราท่าน จะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้า จะยั่งยืนอยู่นิตย์นิรันดร์ เอเมน

พระเจ้าให้ดาเนียลเห็นภาพ จึงเขียนออกมาอย่างนี้ ที่ท่านเห็น พอมาถึงเราในยุคปัจจุบัน เราก็ต้องเห็นภาพแบบเราในยุคปัจจุบัน ท่านเห็นภาพไหมว่าเจ้าแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตนนี้ที่ว่ามันใหญ่มาก คับโลกนี้  ตอนนี้มันได้ยินเสียงพระเจ้ามา หดไปไม่เหลือเลย ในนี้บอกว่าสิ้นซากตลอดกาล ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ แล้วเอาอาณาจักรฤทธิ์เดชอำนาจมาให้กับฝั่งลูกของพระเจ้า คือประชากรของพระเจ้า คือเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ ไม่ใช่หนึ่งวาระ  ครึ่งวาระ ไม่ใช่ แต่ให้เรานิรันดร์ และหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พระคัมภีร์บันทึกไว้แล้ว

“ประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนอยู่ชั่วนิรันดร์”

หลังจากนั้นบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู จะได้ครอบครองอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ก็คืออาณาจักรทั้งหมดในโลกนี้  และที่สำคัญ อาณาจักรเหล่านี้ จะยั่งยืนถาวรชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องมีหนึ่งวาระ ครึ่งวาระอีกต่อไป

นี่คือบทสรุปของนิมิตตามความฝันของดาเนียล ในบทที่ 7 ที่ผมบอกว่าสำคัญมาก ซึ่งตอนที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  เดินอยู่กับเหล่าสาวก พระองค์ก็ได้ตรัสย้ำยืนยันว่าเป็นอย่างนี้แหละ เอามาให้อ่านกันนิดหนึ่ง มัทธิว 25:31-34

มัทธิว 25:31-34 “31 เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา ด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด พระองค์จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ 32 มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกประชากรออกจากกัน  เหมือนคนเลี้ยง แยกแกะออกจากแพะ 33 แกะนั้น จะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะ อยู่เบื้องซ้าย 34 “แล้วองค์ราชัน จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า ‘ท่านผู้ได้รับพร จากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด  คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่ทรงสร้างโลก

 

อาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน … ท่านคือผู้เชื่อในพระเยซู คริสเตียน

แกะในที่นี้ ก็คือผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ก็คือประชากรของพระเจ้า ก็คือพวกเรา พระเยซูตรัสเองเลยว่าพวกเราที่เป็นประชากรของพระเจ้า จะไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า และได้รับมรดก คืออาณาจักรที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ซึ่งอย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราได้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คือบอกเป็นภาพเป็นฉากๆ ให้เห็นเลย พอให้รู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์สำคัญหลักๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อเราจะไม่ต้องตกใจกลัว เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริง จะได้รู้ว่าอ๋อ! พ่อเราควบคุมอยู่ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ท่านเดินออกไป เจออะไรที่ไม่ค่อยดี พูดกับตัวเองว่าใจเย็นๆ พ่อเราคุมอยู่ และเรามีความหวังใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่สิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ก็คือสิ่งที่เรียกว่าชัยชนะที่เราจะได้รับร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์ ซึ่งแน่นอน โดยเนื้อหนังเรา แม้จะรู้อย่างนี้ การอยู่บนโลกใบนี้ เราก็อดที่จะวิตกกังวลไม่ได้ เมื่อเจอความทุกข์ยากลำบาก แต่มันจะมีวาระของมัน มันเป็นแค่เวลาชั่วคราว ถึงท่านลำบากอย่างไร? ท่านบอกไม่ไหวๆ ถึงเวลา พระเจ้าบอกพอแล้ว ท่านก็เริ่มไหวเอง มันจะเป็นอย่างนี้ แล้วตอนจบ ก็จะเป็นตามที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ นิมิตตอนจบ ก็คือเราได้รับชัยชนะ และได้ครอบครองอาณาจักร ก็คือสวรรค์นั่นแหละ ร่วมกับพระเยซูนิรันดร์กาลแน่นอน

แต่อย่างที่บอก ถึงแม้จะให้รู้ล่วงหน้าอย่างนี้ มาหาพระเจ้าก็เหมือนเด็กๆ เหมือนลูกๆ ของพระองค์ ก็อดที่จะถามพระเจ้าไม่ได้ เมื่อไรจะถึงวันนั้น? หลายคนอดใจไม่ไหว ก็เอาวาระ ครึ่งวาระ ไปคำนวณกันใหญ่ หากันใหญ่ว่าคงวันนี้ วันนั้น ก็ได้แต่ความกังวลเพิ่มเติม เพราะไม่ถูกสักคน เพราะพระเยซูบอกไม่มีใครรู้ แล้วจะไปหาทำไม ที่หา เพราะมันกังวล มันอยากรู้ แต่พระเจ้าบอกไม่ต้องไปหาหรอก ไม่ได้ตั้งใจให้ไปสนใจว่าเวลานั้น มันคือเมื่อไร? แต่ให้สนใจแค่ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจะเป็นอย่างไร? จะคุ้มค่าการรอคอยของเราไหม? และให้เชื่อวางใจว่ามีวันนั้นแน่ๆ วันแห่งชัยชนะ พระองค์สัญญากับเราแล้วว่าอย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนั้นแน่นอน  เป๊ะๆ

ผมจะยกตัวอย่าง ให้ท่านเห็นว่าวาระเป็นลักษณะอย่างไร? ตอนที่โต๋เต๋เล็กๆ ก็พาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัด สมมติบอกเขาว่าจะพาไปว่ายน้ำตกปลาที่ไหน? ต้องขับรถไปประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง ดีใจใหญ่ พอขับรถออกไปแค่ 15 นาที ถามแล้ว ถึงหรือยัง? เมื่อไรพ่อ? โต๋ถามน้อยหน่อย แต่เต๋ถามเยอะ  เลยไปอีก 15 นาที

“พ่อเมื่อไรถึง?”

ผมก็บอกว่า “เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงจะแวะปั๊มเข้าห้องน้ำ แล้วก็จะขับรถไปอีก 2 ชั่วโมง”

เขาก็ฟัง แล้วก็หลับไป พอตื่นขึ้นมา ก็ถามอีกแล้วว่า …

“ถึงหรือยัง?  ไหนบอกว่าจะถึงแล้วไง?”

ผมก็บอกต่อไปว่า “อีกชั่วโมงกว่า”

ขับไปอีกแค่ประมาณ 10 นาที ก็น่าจะถึงแล้ว  พอ 10 นาทีต่อไป ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าทะเลเลย ถึงหรือยัง? เด็กๆ เป็นอย่างนี้ คือเขายังไม่เข้าใจว่าที่ผมอธิบายว่าอีก 10 นาที แล้วอีก 1 ชั่วโมง แล้วก็อีกครึ่งชั่วโมง มันหมายความว่านานแค่ไหน? เพราะว่าเด็กเกินไป มันเกินความเข้าใจของเด็ก แต่พอไปถึงที่หมาย ไปถึงที่เล่นแล้ว สนุกสนาน ลืมไปเลยว่าความเบื่อหน่ายของการนั่งรถมาเป็นอย่างไร? นั่งรถนานๆ มันน่าเบื่อขนาดไหน? สนุกสนานกับที่เล่น ที่เที่ยว กิจกรรมที่เตรียมไว้ทั้งหมด

พวกเรากับพระเจ้าก็เป็นอย่างนี้แหละ พอเจอปัญหา เจอความทุกข์ ก็จะถามพระเจ้าว่า …

“เมื่อไรพระเยซูจะกลับมาสักที ไหนบอกว่าจะจบโลกนี้ มันจบเมื่อไรล่ะ เมื่อไรจะถึงเวลาที่เราได้ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูสักทีที่พระองค์บอกไว้”

พระเจ้าก็ตอบเราแบบเดียวกันกับที่เราตอบลูกแหละ พระเจ้าจะตอบเราว่า …

“รอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวอีกครึ่งวาระ อีกหนึ่งวาระ อีกสองวาระ ก็จะถึงแล้ว เข้าใจไหม?”

เราก็จะตอบว่า “ไม่เข้าใจ”

แล้วพระเจ้าก็เงียบไป แล้วเราก็เงียบไป (แป๊บเดียว) เดี๋ยวก็ถามพระเจ้าใหม่

“ไหน จะถึงหรือยัง? ไหน หมดวาระหรือยัง? เมื่อไรจะถึงสักที”

เราเห็นความน่ารักของพระเจ้าหรือยัง? เป็นอย่างนี้แหละ

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว นี่ก็อีกอันหนึ่ง ผมมีโอกาสเดินทางไปนิวซีแลนด์ ที่เกาะใต้ ก่อนไป ก็คุยกันแล้วนะว่าทริปนี้ เราจะเดินทางไปแบบสมบุกสมบัน เพราะตั้งใจจะไปดูบรรยากาศช่วงหนาวที่สุดของที่นั่น เคยเห็นในรูปภาพ อยากจะไปดู มันสวยจริงๆ อย่างนั้นไหม? เดินทางก็ลำบาก นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ 10 กว่าชั่วโมง แล้วก็ต้องต่อเที่ยวบินในประเทศนั้น แบกกระเป๋าเอง เช่ารถอีก เพื่อที่จะไปเป้าหมายที่ไปดู เหมือนไปต่างจังหวัดของเขา ซึ่งเป็นฤดูหนาว มีพายุหิมะ ตอนระหว่างเดินทางมันชักเหนื่อย ผมคิดในใจว่านี่ให้มาเที่ยวหรือให้มาฆ่าตัวตาย กระเป๋าไม่ใช่เล็กๆ แบกไปแบกมา แล้วคุณคิดดูนะ รถเช่า ต้องแบกขึ้นไป 4 – 5 ใบ แล้วก็ขับไป เหนื่อย มันฝืนสังขารด้วย ยังไม่ทันถึงเลย เริ่มเห็นหิมะตกมานิดหนึ่ง ดีใจมากเลย  ลงไปถ่ายรูปกันใหญ่  แต่พอไปถึงสุดท้าย รูปแรกลบทิ้งหมด มันไม่สวยเลย มันสวยขึ้นไปเรื่อยๆ ภาพที่เห็นยิ่งกว่าในโปสการ์ดคริสตมาสที่เราดู นี่ของจริงเลย จับได้เลย แสงเวลามันผ่านเกล็ดหิมะเป็นประกาย คล้ายคริสตัล สวยงาม แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ที่เราเดินทางมาเหนื่อย มาตั้งนาน แบกของอะไรต่างๆ มันหายเหนื่อย มันรู้สึกคุ้มค่าจริงๆ แต่อย่างว่านี่มันเปลี่ยนไม่ได้ เพราะถึงแม้จะคุ้มค่าอย่างไร? สนุกอย่างไรก็ตาม พอ 10 วัน ก็เตรียมตัวเหนื่อยอีกแล้ว กลับมา มันมีวันจบของมัน คือ 10 วันกลับมา ขากลับเซ็งเลย  เพราะว่ามันไม่มีความหมายแล้ว กลับมาต้องทำงานอีก ขอบคุณพระเจ้า แต่ในสวรรค์ที่พระเจ้าบอกเรา ไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว สวรรค์สถาน ที่เราจะไปอยู่ ที่พระเจ้าบอกรอบนโลกใบนี้แค่วาระ สองวาระ สามวาระ แค่แป๊บเดียวเอง  แล้วจากนั้นไป อยู่ที่สบาย ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว อาณาจักรที่เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซู มันอยู่นิรันดร์ มีร่างกายพิเศษที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์ และจะอยู่บนโลกใบนี้ เป็นโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้กับเราใหม่เอี่ยม ไม่ใช่แบบนี้ และจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์กาล

โลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา ซึ่งเราเรียกกันง่ายๆ สั้นๆ ตามประสาพ่อลูกว่าสวรรค์ ของพระเจ้า สวรรค์ คืออาณาจักร อาณาจักรหนึ่ง ในพระคัมภีร์บอกว่าโลกใหม่ เพราะฉะนั้น เหมือนโลกใบนี้แหละ แต่มันใหม่ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อาณาจักรสวรรค์ที่เราจะไปอยู่ข้างหน้า มันก็น่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ แบบที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่ต่างกันตรงที่เราจะอยู่ถาวรนิรันดร์และอยู่อย่างมีความสุขแบบนิรันดร์ และถ้าท่านคิดว่าอยากจะสัมผัสว่าความรู้สึกเมื่อได้ไปอยู่ในสวรรค์สถานแล้วจะเป็นอย่างไร? ผมพยายามเหลือเกินว่าจะเอาความรู้สึกมาให้ท่านเห็นภาพนิดๆ ผมคิดว่าถ้าท่านฟังเรื่องนี้ จากนี้ต่อไปที่ผมจะอธิบาย ท่านพอจะสามารถเห็นรางๆ แล้วก็สัมผัสได้ว่าดีใจ มันมีจริงๆ ใช่ๆ ท่านลองสังเกตดูความรู้สึกขณะที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้เป็นอย่างไร? ตอนนี้เป็นอย่างไร? อย่างน้อยๆ เรารู้แล้วว่าสวรรค์ที่พระเจ้าจะให้เราไปอยู่ครอบครองนั้น มันก็คือโลกใบนี้ แต่สร้างใหม่ ทำใหม่ ระบบใหม่ แต่ก็เป็นโลกใช่ไหม? โลกนี้เขาทำอะไรกัน อย่างนั้นแหละ แต่ของใหม่ ปรับปรุงใหม่ ดีกว่าเก่า

อย่างเช่น นึกภาพปัจจุบัน ความสวยงามของธรรมชาติ ความสวยงามของดอกไม้ ที่ท่านเห็นอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ในสวรรค์จะสวยกว่านี้ และมีมากกว่านี้ เป็นล้านๆ เท่า ทุกวันนี้ท่านดูดอกกุหลาบหรือดอกอะไร?  สวยมาก มันจะสวยกว่าที่ท่านเห็นเป็นล้านๆ เท่า แล้วมีมากกว่าล้านๆ ชนิด ท่านจะมีความสุข ท่านมีความรู้สึกว่าตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง แล้วรู้สึกสดชื่น เมื่อคืนก่อนนอนก็ได้รับข่าวดีว่าลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ลูกได้งานใหม่ วันนี้นอนหลับสบาย 8 ชั่วโมงเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมา มีความสุขมากเลย ทุกคนต้องมีแน่นอน

ในสวรรค์มันจะเป็นอย่างนี้  ท่านจะหลับสนิท 8 ชั่วโมงอย่างนั้นทุกคน ท่านไม่ต้องพึ่งเมลาโทนิน ไม่ต้องกินคาโมมายด์พวกนี้ช่วยได้ ไม่ต้องกล่อมประสาท ท่านหลับสบายทุกคืน ตื่นขึ้นมาก็สดชื่นอย่างที่ท่านได้สัมผัสนิดๆ หน่อยๆ บนโลกใบนี้ แต่มันมากกว่านั้นอีกเป็นล้านๆ เท่า และมันไม่ได้เป็นแค่ 2 วัน 3 วัน แต่มันเป็นทุกวันๆ ในพระคัมภีร์บอก … ใหม่ทุกเช้า เร้าในดวงใจ ซาบซึ้งทุกๆ วันใหม่ พระองค์ทรงความเที่ยงตรงยิ่งนัก

ท่านลองคิดดูทุกวัน ถามว่าท่านสัมผัสได้ไหม? ถ้าใช่จริงๆ เรามีความสุขจริงๆ ใช่ไหม? หรือทุกวันนี้ ท่านเดินไปไหน? คนนี้หน้าตาไม่รับแขกเลย เซ็งมากเลย เกลียดคนนั้น ไม่ชอบคนนี้  ท่านรำคาญตัวเองไหม?  ทำไมเราเป็นคนนิสัยอย่างนี้ เดี๋ยวก็น้อยใจ เราก็รำคาญตัวเอง เดี๋ยวไปอิจฉาคนอื่นๆ เดี๋ยวไปเกลียดคนนี้ เกลียดเขาทำไม? วุ่นวายไปหมด แต่ในสวรรค์สถาน ท่านจะไม่เกลียดใครอีกแล้ว มองใครน่ารักทุกคนเลย เพราะความรักของพระเจ้าอยู่กับท่าน คนอื่นมองท่านก็น่ารัก ท่านมองคนอื่นก็น่ารัก เพราะไม่มีบาปแล้ว บริสุทธิ์หมด แล้วท่านคิดดู ทุกวันนี้ท่านมองใครน่ารักไปหมด ท่านยังมีความสุขมากเลย ท่านไปช่วยใครสักคนหนึ่งให้เขาพ้นจากความทุกข์ยากลำบากแค่นิดเดียว ท่านจะมีความเบิกบานเลย

แต่อยู่ที่นั่นท่านจะเป็นอย่างนี้ ทุกเสี้ยววินาที เต็มไปด้วยความรัก สดชื่น ทุกๆ วัน ไม่ใช่วาระหนึ่ง ครึ่งวาระ แต่เป็นตลอดไป ทุกวันอาทิตย์ท่านมาโบสถ์ บางครั้งเขานมัสการอยู่ เผอิญวันนี้เล่นเพลงนี้ เพราะจริงๆ น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้าอยู่นี่ เพลงนี้ซึ้งมาก ร้องเพลงนี้ดีมากเลย ดีเอาเพลงนี้มาร้องอีก พอร้องไปอีก 4-5 เที่ยว ท่านบอกเบื่อแล้ว มีเพลงอื่นไหม? ท่านบอกขอเพลงใหม่ เพราะเรายังอยู่โลกเก่า ถูกไหม? แล้วท่านนึกถึงความซาบซึ้งตอนที่ท่านมาสัมผัสเพลงนั้นใหม่ๆ แล้วมันตรงใจ ตรงกับสถานการณ์วันนี้ มันลึกเข้าไปในใจ แบบไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรเลย มันจะเป็นความสุขอย่างนั้น มากกว่าเป็นล้านๆ เท่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน เพราะในสวรรค์สถานมันจะมีเพลงใหม่มาทุกเสี้ยววินาทีเลย คนที่มีหน้าที่เขียนเพลงใหม่นั้น  ก็จะเขียนตลอดเวลา และมีสติปัญญามากกว่านั้นตั้งเยอะแยะ มีเวลาเขียนทั้งวัน มีความสุขในการเขียนเพลงใหม่ทุกวัน เราก็จะได้ยินได้ฟังเพลงใหม่ทุกวัน ความรู้สึกซาบซึ้งในเพลงทุกวันๆ ทุกเสี้ยววินาที เดินไปไหนก็ร้องไปหมด ทุกเสี้ยววินาที ตอนที่ท่านได้รับในโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร?  มันมากกว่านั้นอีกหลายล้านเท่า

หรือแม้แต่ท่านอธิษฐานอยู่ บางครั้งในห้องส่วนตัวหรือที่ในรถก็ตาม บางครั้งที่ท่านอธิษฐาน  แล้ววันนั้นเผอิญช่วงนั้น ตอนนั้นพอดี สัมผัสว่าพระเจ้าอยู่ด้วย พระเจ้าตอบมาพอดี ท่านร้องไห้ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอยู่ที่นี่ มีความสุขไหม?  แต่ในสวรรค์สถานที่ท่านจะไปอยู่ ท่านสัมผัสพระเจ้าตลอด 24 ชั่วโมง ทุกเสี้ยววินาที ท่านจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ก็จะมีความสุขอย่างนั้นมากขึ้นกี่ล้านเท่า ทุกวันนี้เราไปสวนสัตว์ ผมชอบสัตว์มาก ทุกคนแหละ เพราะมนุษย์ พระเจ้าสร้างมาให้รักสัตว์อยู่แล้ว เพราะสัตว์เป็นเพื่อนเรา  ทุกวันนี้เรากินมันซะเลย มันก็พยายามจะกินเรา ต่างคนต่างเป็นศัตรูกัน แต่ในใจลึกๆ ก็ยังรักกัน ทุกคนจึงไปสวนสัตว์ สวนสัตว์ก็เป็นสิ่งที่ลูกเด็กเล็กแดง และผู้ใหญ่ คนแก่คนเฒ่าชอบ เรารักเขา แต่เราไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ เขาจึงมีสวนสัตว์ ใส่กรงให้เราดู แต่ที่เห็นนี้ ไม่มีกรงนะ ความใจกล้ามีแต่กระจก แล้วเราก็อยาก รู้ไหม? ในสวรรค์พระเจ้าบอกว่าท่านจะคุยกับสิงโต กอดสิงโต คุยกัน เป็นเพื่อนกัน ท่านจะมีความสุขเท่าไร? ทุกวันนี้ เวลาผมเครียดๆ ผมอยากพักผ่อน ผมก็จะไปสวนสัตว์ บางคนถามว่าไปทำไมบ่อยๆ ไม่รู้ อยากไปให้มันกินมั้ง บางทีมันหงุดหงิด อยากให้มันกินๆ ไปหมดเรื่องหมดราว มันโดดลงไปได้ไหม?  ดูแล้วสบายใจ วันหนึ่งข้างหน้า เมื่ออยู่ในสวรรค์ เราจะได้ไปเจอกับมัน เป็นเพื่อนกัน อย่างนี้ ยังมีอีกหลายเรื่อง อยากให้ท่านได้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เกินเอื้อม

สวรรค์ คือเราคงไม่ไปไหน วันๆ นั่งแต่ร้องเพลง ไม่ใช่น่าเบื่อขนาดนั้นหรอก ก็เป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่มันดีกว่านี้ เขาเรียกว่าโลกใหม่ สวยกว่านี้ ดีกว่านี้ ยอดเยี่ยมกว่านี้ ร่างกายเรา เราไม่ต้องตื่นขึ้นมา วันนี้ปวดหัว เราจะไม่มีภูมิแพ้ เรามีแต่ภูมิชนะ เราไม่มีเป็นหวัด เราไม่มีอุบัติเหตุ เราไม่มีมะเร็ง เราไม่มีโรคเบาหวาน เราอยากกินของหวาน เชิญเลย อยากกิน กินไป แต่ถึงวันนั้น เราอาจจะไม่อยากกินก็ได้  เราอยากกินอย่างอื่นก็ได้  อาจจะมีผลไม้ที่อร่อยกว่านี้ตั้งเยอะ เพราะผลไม้ทุกวันนี้ อร่อย ยังสู้ผลไม้ในอนาคตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราไม่ได้ เป็นล้านๆ เท่า ล้านๆ ชนิด อร่อยกว่าทุกวันนี้ตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ อย่าไปกินเยอะเลย เตรียมไว้กินข้างหน้า ทุกวันนี้กินเยอะ ก็เป็นโรคอีก กินอร่อยเหรอ อร่อยกินไม่ได้ เดี๋ยวเป็นเบาหวาน เดี๋ยวเป็นมะเร็ง แทบจะไม่ต้องกินอะไรเลย เพราะอันนี้ก็เป็นอันนั้น อันนั้นก็เป็นอันนี้ มันเครียดไปหมดเลย มันวาระเดียว  เพราะฉะนั้น อยากกินอะไรตอนนี้ อดทนไว้ อย่าเพิ่งกิน แล้วก็พูดในใจ ขอฉันรอแค่หนึ่งวาระ สองวาระ สามวาระ แล้วถึงวันนั้น ฉันจะกลับมากินแกให้หมดเลย วันนี้ ท่านก็ต้องอดทน ถ้าท่านกินไม่เลือก มันก็จะเกิดสุขภาพไม่ดี มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็บาป เสียหายไปหมดแล้ว พระเจ้ากำลังสร้างใหม่ แล้ววันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราครอบครองเป็นนิตย์ร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เขาจึงมีเพลงนี้ให้เราร้อง “มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา”  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017 เรื่อง “Palm Sunday” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2017

เรื่อง “Palm Sunday”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ ช่วงนี้ ก็เป็นช่วงเวลาแห่งเริงฤดูร้อน Summer Holiday นึกถึงอะไร? นึกถึงทะเล ต้องนึกถึงเตือนกันบ่อยๆ ทุกฤดูร้อน เทศกาลของพวกเรา ตื่นเต้นที่สุด ก็คือการระลึกถึงอีสเตอร์ ประมาณปลายๆ มีนาคมถึงประมาณค่อนไปทางปลายๆ นิดๆ เดือนเมษายน วันใดวันหนึ่ง ช่วงนี้ เป็นช่วงที่เราเตรียมความพร้อม สำหรับการเข้าสู่เทศกาลอีสเตอร์ เตรียมตัวที่จะมาระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ในวันศุกร์ประเสริฐ ปีนี้ วันที่ตรงกับวันศุกร์ประเสริฐ ก็คือวันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2017 และรวมกันเฉลิมฉลองแน่นอนวันที่ 3 พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาใหม่ จึงทำให้เรามีวันนี้แหละ วันที่เราได้นั่งที่นี่ เป็นลูกของพระเจ้า วันที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ก็คืออีก 3 วันต่อมา ปีนี้ ตรงกับวันที่ 16 เมษายน 2017

วันศุกร์ ถ้าไม่ได้ไปไหน รถติดแค่ไหน ก็อยากให้เรามานมัสการพระเยซู มาระลึกถึงสิ่งดีงาม และมาฝังรากลึกแห่งความเชื่อศรัทธา ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เรื่องนี้ประกาศและเข้าใจยากมาก แต่เมื่อได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า มันสามารถเข้าใจได้  แต่ถ้าไม่ได้รับการเปิดตา มันพูดอย่างไร? อธิบายอย่างไร? ต่อให้เป็นตรรกะ มีเหตุผลมากมายเพียงใด แต่ก็ฟังแล้ว เหลือเชื่อ คือเชื่อไม่ไหว เชื่อไม่ได้นั่นเอง เราก็คือคนนั่นแหละในอดีตใช่ไหม? แต่พอพระเจ้าเปิดตา ทำไมเราเชื่อง่ายๆ อย่างนั้น เชื่อง่ายๆ ถึงขนาดบอก ไม่มีอไรหรอก ยังเชื่อเลย มันเป็นไปได้นะ ขอบคุณพระเจ้า

ในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะแถบยุโรป ช่วงนี้ หมายถึงช่วงก่อนเทศกาลอีสเตอร์ 1 สัปดาห์ เขาก็จะมีการเตรียมตัวฉลองกันมากๆ ค่อนยุโรปเลยนะ หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์ เขาเรียกสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ หรือสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Holy Week” หรือ “Passion Week” โดยสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ หรือสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ จะเริ่มนับจากวันอาทิตย์ก่อนหน้าวันอีสเตอร์ ก็คือหนึ่งอาทิตย์ อาทิตย์ชนอาทิตย์นั่นเอง ซึ่งปีนี้อย่างที่บอกว่าถ้าเผื่อวันอีสเตอร์ตรงกับวันที่ 16 เพราะฉะนั้น วันที่เขาเริ่มต้นเทศกาลทนทุกข์นี้ ก็คือวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายนนั่นเอง เขาก็ฉลองกัน ระลึกถึงเทศกาลนี้ เรียกว่าเทศกาล Palm Sunday อาทิตย์ทางตาล (ต้นตาล)

คืออย่างนี้ พระคัมภีร์เขามีบันทึกเหตุการณ์วันอาทิตย์ก่อนหน้าวันอีสเตอร์ว่าอาทิตย์หนึ่งก่อนหน้าพระเยซูจะเป็นขึ้นจากความตาย อาทิตย์หนึ่ง ประมาณ 5 วันก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน วันอาทิตย์นั้น พระเยซูได้เสด็จเข้าเมืองเยรูซาเล็ม อย่างผู้พิชิต บันทึกอย่างนี้ในพระคัมภีร์ โดยประทับบนหลังลา เข้ามา และในวันนั้น มีผู้คนจำนวนมากแห่กันมาต้อนรับพระองค์ บางคนก็นำเอาใบปาล์ม หรือทางตาล ก็คือใบไม้ มาโบย บนเส้นทางที่พระเยซูเสด็จผ่านทางเข้าเมืองกรุงเยรูซาเล็ม จึงเรียกวันนี้ว่าวันทางตาล หรือ Palm Sunday บางคนมีผ้าอะไรต่างๆ ก็เอาผ้ามาปู ไม่มีผ้า ก็ไปตัดใบตาล ใบปาล์มมาปู เหมือนกับราชาเสด็จ คือตั้งแต่สมัยโบราณ ใบปาล์มหรือทางตาล มันจะถูกนำมาใช้ตกแต่งในการฉลองชัยชนะ  และนำมาโบกสะบัด ต้อนรับผู้ชนะ ผู้พิชิตของชาวยิว ชาวอิสราเอล เป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่ายิ่งใหญ่มาก ชนะ อะไรเป็นต้น อย่างกษัตริย์ดาวิดได้รับชัยชนะมา เขาก็เป็นอย่างนี้

โดยชาวยิวในสมัยนั้น ได้รับรู้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ  บอกกันต่อๆ มา ชาวอิสราเอล ชาวยิว ตั้งแต่โบราณมา ตั้งแต่เล็กๆ เขาก็จะพูดกันต่อๆ เขาไม่มีหนังสือมาให้อ่านอย่างนี้ เขาจะพูดกันต่อๆ ตั้งแต่ลูก หลาน เหลน โหลด พูดกันไปเรื่อยๆ ว่าจะมีพระเจ้าเตรียมพระเมสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอด แปลเป็นไทย จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ คือมีพระเจ้าส่งบุคคลหนึ่ง เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่าพระเมสิยาห์ เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดจะมาเกิด และจะเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม โดยบันทึกไว้ว่านั่งบนลา

เพราะฉะนั้น วันที่พระเยซูเสด็จเข้าเมือง โดยประทับหลังลาเข้ามา ชาวเมืองก็เลยแห่กันมาต้อนรับ เพราะเชื่อว่าพระองค์ คือเมสิยาห์ของเขา  รอมาตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปีแล้ว นานแล้วครับ คราวนี้แหละ เราชาวยิวสบายกันแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสใคร พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในวันอาทิตย์นั้น ที่พระเยซูประทับบนลา เสด็จเข้าเมืองเยรูซาเล็มนั้น พวกชาวยิวมาต้อนรับ หลับตานึกตามนะ เฮโล ต้อนรับยิ่งกว่ากษัตริย์เสด็จเข้ามา ปูผ้าที่พื้น โห่ร้องสรรเสริญ บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

“โฮซันนา แด่บุตรดาวิด”

ท่านคิดดูนะ คนเยอะแยะมากมาย เฮกันมา แล้วพูดว่า …

“โฮซันนา แด่บุตรดาวิด สรรเสริญพระองค์ ผู้เสด็จมาในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า โฮซันนาในที่สูงสุด”

โฮซันนา ก็คือสรรเสริญพระเจ้า

“นี่แหละ คือคนนั้นแหละที่พระเจ้าส่งมาช่วยเราแล้ว”

มาแล้วคราวนี้อิสราเอลไม่ต้องเป็นทาสใครอีกแล้ว เพราะว่าพวกชาวยิวเขาคิดว่าพระเยซู คือเมสิยาห์ที่เขารอคอยกันแน่นอน เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นไปตามคำบอกล่วงหน้า คำเผยพระวจนะ เป็นพันๆ ปีมาแล้ว ตรงเป๊ะทุกอย่างเลย ตรงแบบเป๊ะๆ เลย หมดเลย ส่วนหนึ่งของชาวยิวที่โห่ร้อง สรรเสริญพระเยซู ก็คือบรรดาสาวกที่ติดตามพระองค์มา ตั้ง 3 ปี ตั้งแต่พระองค์เริ่มกระทำการงาน บนโลกใบนี้ เรื่องประกาศข่าวประเสริฐ เริ่มประกาศสวรรค์ ทำอัศจรรย์ คนเหล่านี้บางคนก็ได้รับอัศจรรย์ บางคนก็ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย บางคนก็เดินได้ บางคนจากตาบอดแล้วมองเห็น เดินมา ทำมากับตัว ได้รับมากับตัว บางคนก็เห็นมากับตา กับคนอื่นก็เดินตามมา ตามพระเยซูมา ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นพยานให้คนอื่น รู้ว่าใช่แน่นอน คนนี้แน่นอน ตลอดระยะ 3 ปีที่พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ ใหญ่ๆ มากๆ ที่ผู้คนเห็นกับตา

แล้วยังทำไมอีก วันนี้ขี่ลามาอีก ชัวร์แน่ ชัดแน่ คนนี้แน่ๆ เป๊ะๆ ตามที่บันทึกเอาไว้ หมดเรียบร้อยแล้ว ตลอด ที่บรรพบุรุษพูดกับเรามาเป็นหลายๆ พันปี  ส่งต่อกันมาตลอด แน่นอนเลย แล้วเป็นไง เกิดอะไรขึ้น แล้วพอวันอาทิตย์ ปูผ้า ต้อนรับ ตะโกนร้องสรรเสริญ โฮซันนา แด่ผู้สูงสุด คือพระเยซู พอเลยมา 5 วัน วันศุกร์ … ศุกร์ประเสริฐเกิดอะไรขึ้น? ชาวยิวกลุ่มเดียวกัน ที่วันอาทิตย์ยังตะโกนฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า บอกว่าอย่างไร? เอาเขาไปตรึงที่ไม้กางเขนเลย ตรึงไปเลย พวกเดียวกันนี่แหละ บันทึกไว้อย่างนี้ พวกเดียวกัน ทำไม? เขาเกิดความผิดหวัง ไปว่าเขาก็ไม่ได้ เขาผิดหวัง

ถามว่าเขาผิดหวังอะไร? ก็เพราะในความคิดของชาวยิว ในขณะนั้น ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมสิยาห์ของเขา เขาเชื่อว่าพระองค์จะมาปลดปล่อยพวกเขาให้รับความรอด จากการถูกข่มเหง รังแก กดขี่ของคน ก็คือคนโรมันในสมัยนั้น จักรวรรดิโรมัน สมัยนั้น และก่อนหน้านั้น อาณาจักรอะไรต่างๆ ที่เราไปเป็นทาสเขามาก่อน มาซีฮาห์มาช่วยให้เขาไม่เป็นทาสอีกแล้ว คิดว่าพระเยซูจะมาพิชิตอาณาจักรหรือจักรวรรดิโรมัน  และอาณาจักรอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นมาหลังนั้นอีก ให้เสร็จเลย ต่อไปนี้ ยิวใหญ่ที่สุด พูดง่ายๆ คือมีความหวังแค่ว่าจะได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน หรืออาณาจักรใดๆ อีกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน เปอร์เซีย กรีก หรือเป็นใครก็ตาม ไม่อยากเป็นแล้วตอนนี้ พระเยซูมาแล้ว มาซีฮาห์ถูกส่งมาแล้ว ทำการอัศจรรย์มากมาย เห็นกับตา คนนี้แน่นอน เห็นไหม? เขาหวังเต็มที่ แต่ภาพที่เขาเห็น คืออะไร? ภาพที่เขาเห็นก่อนเขาจะบอก “เอาไปตรึงๆ” เขาเห็นอะไรรู้ไหมครับ? เขาเห็นว่าพระเยซู ที่เคยทำอัศจรรย์ให้เขาเห็นกับตา ตอนนี้ กลายสภาพเป็นอะไร? เป็นนักโทษ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย ถูกทุบตี เฆี่ยนตี ถ่มน้ำลาย ยังไม่ทำอะไรเขาเลย  แสดงว่าพระองค์ไม่ใช่ของแท้ ถ้าของแท้ต้องสู้แล้ว ถ้าของแท้ ทำได้ต้องทำแล้ว ถ้าอัศจรรย์จริง เป็นลูกพระเจ้าจริง ป่านนี้ เสร็จพระองค์ไปแล้ว พวกนี้ไม่สามารถสู้พระองค์ได้หรอก แต่นี้ ไม่จริง ไม่ใช่ หมดหวัง หมดความเชื่อ จบ

แล้วไปว่าเขาไม่ได้ เราอยู่ตรงนั้น เราอาจจะหมดหวังเหมือนกัน เราก็คิดว่าจะมาทำอัศจรรย์ให้ ที่ไหนได้ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย หนีออกจากที่ถูกจับยังไม่ได้เลย ถูกเขาเฆี่ยนตี เลือดสาด เห็นกับตา หมดแรง แบกไม้กางเขนไปที่โกละโกธา ก็ยังแบกไม่ไหวเลย นี่หรือพระเจ้า ถ้าเป็นพระเจ้าจริงไม่เป็นอย่างนั้น แล้วไปถูกเขาตรึงที่ไม้กางเขน นึกว่าจะอัศจรรย์ว่าถูกตรึง แล้วจะลงมาจากไม้กางเขน มีคนตะโกนท้า

“ลงมาสิ ถ้าเป็นลูกพระเจ้า”

ไม่เห็นลงมาเลย ไม่ใช่แน่นอน หมดศรัทธา หมดความหวัง ก็เพราะเวลานั้น ในช่วงนั้น อย่างที่ผมบอก ยิวมองแค่วัตถุสิ่งของว่าเขาจะได้อะไรบ้างวัตถุสิ่งของ เขาอยากได้อะไร? เขาก็ได้ตามนั้น เขาเห็นคนตาบอด อยากจะเห็น มองเห็น พิสูจน์ว่าคนนี้เป็นพระเจ้า ตามองเห็นจริงๆ ได้ในสิ่งที่เขาได้ เขาเห็นคนตาย ถ้าเผื่อชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ ต้องเป็นพระเจ้าแน่ เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ เลย  ลาซารัสเดินอยู่ตรงนี้ เดินออกมาได้ ใช่แน่ๆ เป็นพระเจ้าแน่ๆ เขาอยากได้อย่างนั้น อยากได้อัศจรรย์ที่เห็นๆ แต่พอมาถึงเรื่องความรอด เขาก็อยากได้ความรอดที่เห็นๆ คือไม่ต้องการเป็นทาสให้กับใครที่ตามองเห็น มนุษย์ผู้ใด? อาณาจักรใดอีกแล้ว เขาลืม พระเยซูมา เพื่อไถ่บาปเขา พระคัมภีร์บอกไถ่บาปเขา ให้เป็นอิสรภาพจากมารซาตาน ไถ่ทางวิญญาณ เขาจะได้กลับมาเป็นลูกพระเจ้าอีกที จะได้มารับบาปแทนเขา ไม่ใช่มารับโทษ แบบโลกนี้แทนเขา ไม่ได้รับมาโรคภัยไข้เจ็บบนโลกใบนี้แทนเขา

คำว่า “พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน” ถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตีนั้น ให้เราหายดี หมายถึงหายดี หายจากบาป และกลับไปหาพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าได้ ส่วนโลกใบนี้ พระเยซูบอก แล้วแต่พระเจ้า อธิษฐานว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ แล้วแต่พระองค์เถิด”

แต่สำหรับโลกวิญญาณ พระองค์ชนะแล้ว เราชนะแล้ว ถ้าเราเชื่อพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ใครก็เอาเราออกไปไม่ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโลกใบนี้ วันหนึ่งเราจากโรคนี้ไป เราเป็นลูกของพระเจ้า เราจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล ในสวรรค์ ส่วนโลกนี้ พระเจ้าควบคุมดูแลอยู่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ วันหนึ่งเขาจะสิ้นสุดเอง เอเมน เขาไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่อย่างที่บอก มันยังไม่ถึงเวลา เมื่อยังไม่ถึงเวลา ก็ยังไม่คิด ก็ดีแล้วที่เขาไม่คิด ถ้าเขาคิด ก็คงไม่มีเครื่องมือให้มารซาตานใช้ ที่จะจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน แล้วถ้าพระเยซูไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราก็ไม่ได้รับความรอด

สรุปแล้ว รวมไปรวมมา พระเจ้าควบคุม ทุกสถานการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และกระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ และเป็นสิ่งที่ดี สำหรับคนทั้งหลายเหล่านั้นที่รักพระองค์ ซึ่งรวมทั้งเราด้วย เอเมน

 

*************************