คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018 เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018

เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรามา Merry Christmas กันก่อน

ภาษาไทยบอกว่าอย่างไรครับ? …“ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาทองของการประกาศข่าวดีของพระเยซู ที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้บนโลกใบนี้ มากขึ้นทุกวันๆ เห็นชัดเจนว่าเป็นของพระเจ้าจริงๆ คือเทศกาลคริสตมาส

เราจะไม่มาดูเรื่องประวัติศาสตร์ว่าใช่วันที่ 25 จริงไหม? วันที่ 24 จริงไหม? ไม่ใช่สิ พระเยซูเกิดแถวๆ เดือนเมษายน อะไรต่างๆ บางแห่งเขาก็ฉลองเดือนมกราฯ ก็มี เราไม่ได้สังเกต เราไม่ได้สนใจตรงนั้น เราสนใจว่าปีหนึ่ง ทั้งโลกมีการระลึกถึงสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งพระเจ้าได้วางแผนก่อน 2,000 ปีอีก ตั้งหลายพันปีมาก่อนที่จะเกิดขึ้นว่าวันคริสตมาสจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น คือพระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากความบาปและความตาย ในวิญญาณของเขา  ในชีวิตของเขา  นี่คือข่าวดี

ข่าวดี คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และข่าวดีนี้จะถูกประกาศออกไป ตั้งแต่พระเยซูกำลังจะทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขนแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ พระเยซูก็บอกแล้วว่าพระองค์มาทำไม? เริ่มประกาศข่าวประเสริฐไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้ว ก็ประกาศข่าวประเสริฐนี้มาตลอด คนก็รับรู้ รับรู้ข่าวดีของพระเจ้า มี 2 พวก …

พวกหนึ่งที่รับรู้ คือรับรู้ในลักษณะเป็นประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ไม่มีผลอะไร?  สำหรับวิญญาณจิตเลย  เพราะว่าเขารู้เฉยๆ เขารู้ … รู้เรื่องพระเยซู รู้ดีกว่าคนที่เป็นคริสเตียนบางคนอีก เขารู้

ถามว่าเขารู้เพราะอะไร?  เขารู้ เพราะเขาศึกษา ก็รู้เรื่องแหละ ไม่ได้ยากเย็นอะไร? แต่ข่าวดีของพระเจ้า มันต้องใช้ความเชื่อเอา และเกิดผลทางวิญญาณ ที่พระเยซูบอก มันไม่มีทางอื่น พระเยซูมาเดินบนโลกนี้ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้น พระเยซูเลยเตือนก่อนเลย เตือนใคร? เตือนพี่น้องของพระองค์ในทางเนื้อหนังนะ ในทางมนุษย์ พี่น้องของพระองค์ ก็คือชาวยิว พระเยซูก็เตือนชาวยิวก่อนเลยว่าจะเป็นอย่างนี้แหละ ข่าวประเสริฐ เรื่องราวจะเป็นอย่างนี้ พระเจ้าบอกเรื่องราวไว้ตั้งแต่โน้น  ตั้งแต่ก่อนเราจะมาเกิด  ตั้งหลายพันปีแล้วใช่ไหม? พวกท่านก็รู้ดี ท่านคือพวกยิว ท่านก็อ่านหนังสือเหล่านี้ เยอะแยะ ศึกษา ตั้งใจ แต่พอตัวจริงมาถึง ท่านกลับไม่เชื่อ ในหนังสือยอห์น 5:39-40 ได้บันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? ฟังดูนะ เอาใช้กับพวกเราได้ด้วย นี่พระเยซูพูดกับชาวยิว นึกภาพนะ ชาวยิว  ในสมัยนั้น รู้เรื่องพระคัมภีร์จะตาย เพราะว่าเขาเป็นคนของพระเจ้าเลย ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ตั้งหลายพันปีก่อน ติดสนิทกับพระเจ้า รักษาบทบัญญัติ ศึกษาบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างมากมาย ใกล้ชิดพระเจ้ามาก ดูสิพูดว่าอย่างไร? …

ยอห์น 5:39-40 “39 ท่าน (คือพวกยิวนะ) ขยันศึกษาพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระธรรมเหล่านั้น คือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา 40 กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเรา เพื่อจะได้ชีวิต”

 

นึกว่าการปฏิบัติเช่นนั้น การเคร่งครัดทางศาสนายิว ดูเอาจริง เอาจัง จะทำให้เขารอด พระเยซูบอกอย่างนั้น

ศึกษาเรื่องเดียวกับเราแล้ว ท่านนึกว่าการกระทำอย่างนั้น พระเจ้าจะให้ชีวิตนิรันดร์กับท่าน พอตัวจริง ก็ศึกษาเรื่องของเรา พระเยซูมาแล้ว พระเยซูบอก เรานะ พระเจ้าส่งมา  เพื่อช่วยท่าน กับไม่เชื่อ แล้วรู้ไหม? รู้เรื่องราวทั้งหมดเลย แต่ขาดอย่างเดียว คือขาดความเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร แค่นั้นจบ จบแล้ว

ไม่ใช่เชื่อว่าพระเยซูรักษาโรค ทำการอัศจรรย์ เรียกคนง่อยให้สามารถลุกขึ้นมาเดินได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป เขาไม่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ทั้งๆ ที่เขามีความรู้มากมาย

ที่มาคุยเรื่องนี้ เพราะ 2-3 วันก่อนนี้ ได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีอาชีพ เรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เป็นไกด์ จริงๆ ก็พอจะได้รู้เรื่องนี้บ้างพอสมควรแล้ว เวลาไปเที่ยว ชอบคุยกับคนที่เป็นไกด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไปเที่ยวแถบตะวันออกกลาง ไปอิสราเอล ก็ชอบคุยเรื่องพระเจ้าใช่ไหม? ท่านรู้ไหมว่าคนไปเที่ยวอิสราเอล ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไปเที่ยวอิสราเอล ไกด์ที่นั่นนะ เก่งมาก เก่งยิ่งกว่าด๊อกเตอร์คนที่เรียนพระคัมภีร์ที่เป็นคริสเตียนด้วยซ้ำ จำแม่นหมดเลย อะไรเป็นอะไร เพราะเป็นชีวิตของเขาเองด้วย ชีวิตของบรรพบุรุษของเขา  ปู่ย่าตายายเขา เป็นยิว  ส่งทอดกันมา เขาเรียนด้วย เขาไปเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วมาทำทัวร์ พูดเป็นฉาก รู้หมดเลย ถามอะไร หลักฐานเป็นอย่างไร? ปีค.ศ.ไหน? ใครมาตรงนี้? ไปตรงนั้น รู้หมดเลย แต่เขาขาดอย่างเดียว คือขาด เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีอย่างนี้จริงๆ

เอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเราจะสังเกตว่าเอามาดัดแปลงใช้กับชีวิตคริสเตียนว่าเรามีชีวิตคริสเตียนแบบที่เราเชื่อพระเยซูจริงๆ ว่าเป็นใคร? หรือว่าเราต้องไปค้นหา แล้วถึงเอามาเป็นหลักฐานว่าเราเชื่อพระเยซู ถ้าเราเอาไปค้นหาพระคัมภีร์ ไม่ใช่ผมไม่ส่งเสริมการอ่านพระคัมภีร์  สนับสนุนให้ยิ่งอ่านยิ่งดี ยิ่งศึกษายิ่งดี แต่เป็นตัวประกอบให้กับความเชื่อของเรา ไม่ใช่เอามาเป็นตัวหลัก เข้าใจใช่ไหม? ถ้าเอามาเป็นตัวหลัก ท่านตายแน่ เพราะหลายอย่างในนั้น ท่านไม่เข้าใจ มันต้องเป็นตัวรอง

เหมือนที่เราคุยกันใช่ไหม? ยายแก่ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดหนึ่ง แต่เขารู้จักพระเยซู เขาจึงได้รับความรอด เขาไม่รู้เรื่องพระคัมภีร์เลย ยายแก่ๆ เขารู้จักพระเยซู ถามว่าเขารู้จักพระเยซูได้อย่างไร? ก็เพราะเขาไปผ่าตัด

หมอมาถามว่า … “เจ็บไหม?”

“ไม่เจ็บค้า ขอบคุณพระเจ้า” นี่เขารู้จักพระเยซู

“ยาย น่าสงสารจริงเลยยาย ฟันหรอหมดปากเลย กินข้าวได้เหรอ”

ยายหัวเราะ … “ขอบคุณพระเจ้าค่ะ ยังเหลืออีก 2 ซี่ และขอบคุณพระเจ้ามากกว่านั้น คือซี่หนึ่งอยู่ข้างล่าง และอีกซี่หนึ่งอยู่ข้างบน มันยังเคี้ยวกันได้ไง ถ้ามันอยู่ข้างล่างหมด เคี้ยวไม่ได้เลยนะ”

นี่ไง หาเรื่องขอบคุณพระเจ้า เรารู้ว่าคนนี้รู้จักพระเจ้าแน่ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ไม่รู้เลย ข้อนี้อยู่ไหน? ข้อนั้นอยู่ไหน? หรือนั่งข้างหน้านี้ กำลังชูมือสรรเสริญพระเจ้า ร้องไปเมื่อตะกี้นี้ ฮาเลลูยา เราอยู่ข้างหลังมองไปคนนี้คงจะได้รับพระพรพระเจ้าเต็มที่ในชีวิต เลิกเสร็จปุ๊บ เดินมาดูข้างหน้า คนที่เราเห็นชูมือนั้นนะ เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ แต่ไม่มีขา พิการทั้ง 2 ขาเลย อย่างนี้แหละ คนที่เชื่อพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าพระคัมภีร์ คืออะไร? แต่รู้ว่า …

“พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน พระเจ้าให้ฉันบังเกิดใหม่ ฉันรักพระเจ้า ฉันรู้จักพระองค์”

ไม่ใช่ … “ฉันมีความรู้เรื่องพระองค์” ไม่ใช่

“ฉันรู้จักพระองค์ แต่ไม่มีความรู้เรื่องพระองค์มากมายนัก ไม่รู้ พ.ศ.ไหน? มาเกิดอย่างไร? ไม่รู้เรื่องเลย แต่ฉันรู้จักพระเยซู เพราะพระเยซูสถิตอยู่กับฉัน คุยกันทุกวัน คุยกันอย่างไร?  เดินไป ก็คุยไป อันนั้น ก็คุยไป อันนี้ ก็คุยไป มีอะไร ฉันก็คุยกับพระเยซูทุกวัน” นี่คือการรู้จักพระเยซู

ในยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับโลกใบนี้ เพราะว่าทรงรักโลกนี้ พระเจ้าทรงรักโลก จนประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความรู้เรื่องพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระเยซูถูกประทานโดยพระเจ้า พระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากนรก แต่มนุษย์คนนั้นจะต้อง เชื่อในพระเยซูว่าเป็นใคร แค่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์   ที่พระเจ้าประทานให้มาช่วยเหลือมนุษย์ แค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องรู้ว่าวันเกิดคริสตมาสวันไหน? พ.ศ.อะไร? อย่างไร? มาเกิดลักษณะเป็นอย่างไร?  เกิดแล้วมีโหราจารย์กี่คน? 3 คน หรือ 2 คน ในประวัติศาสตร์มี 3 คน แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นอย่างไร? แล้วศพตอนนี้อยู่ที่ไหน?  แล้วอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไง แล้วมันจริงหรือไม่จริง อันนั้นเป็นเรื่องประกอบ รู้ก็ดี ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แค่ที่รู้ก็พอ คือรู้จักพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราที่พระเจ้าประทานให้เรา แค่นี้ ก็พอแล้ว

นี่คือหัวใจของการประกาศเรื่องพระเจ้า ก็คือชีวิตที่รู้จักพระเยซูจริงๆ อย่างที่เรารู้ การประทานชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าประทานให้เราผ่านทางพระเยซู ก็คือให้พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับเรา มาทำให้เราบังเกิดใหม่ นั่นแหละ ไม่ใช่มาเกิดใหม่ เพราะเรารู้เรื่องพระเยซู ไม่ใช่ แต่เพราะเราเชื่อ แต่ถามว่าเราเชื่อเพราะอะไร? เพราะเราได้ยินเรื่องราวของพระเยซู อย่างนี้ถูก เราเชื่อ เราบังเกิดใหม่ เพราะเราได้ยินข่าวประเสริฐ อย่างนี้ถูก ไม่ใช่เราได้รับความรอด เพราะเราไปเรียนพระคัมภีร์ ไม่ใช่ เราได้รับความรอด เพราะมีคนมาประกาศ อย่างนี้ก็ไม่ใช่อีก เรารอด เพราะมีความมาประกาศ และเราเชื่อ … เชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? อย่างนี้ ไม่ใช่ คนมาประกาศ คนเชื่อ เพราะว่าจริงๆ แล้ววันนี้เทศกาลคริสตมาส เขาฉลองกันทั่วโลกเลย ใครๆ ก็ฉลอง อย่างนี้ต้องมีพระเจ้าแน่ๆ

เพราะฉะนั้น เราเชื่อพระเยซู ไม่ใช่ แต่เราเชื่อด้วยหัวใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ต่อให้สัปดาห์ต่อไป  หรือปีต่อไป ไม่มีคริสตมาสในโลกนี้อีกเลย ก็จะเชื่อพระเยซู เอเมน ต้องอย่างนี้ บางทีเราพูดไป มีหลักฐานอะไรต่างๆ เราก็จะไปติดยึดกับหลักฐาน วัตถุเหล่านั้น แล้วก็บอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเยซู เพราะหลักฐาน”

วันหนึ่งหลักฐาน ก็ถูกลบเลือนหายไปได้ มันสูญสิ้นไปได้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าพระองค์ไม่สูญสิ้น พระองค์สถิตอยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระองค์บอกว่าถ้าเราเชื่อพระองค์ พระองค์จะมาสถิตอยู่กับเราตลอด ไม่มีใครหน้าไหนจะเอาเราออกไปพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจใด จะเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้ ถ้าเราบังเกิดใหม่ในพระเยซู ด้วยความเชื่อแล้ว เอเมน

เข้าใจนะ คราวนี้ เราอ่านพระคัมภีร์ เราเรียนรู้จักพระคัมภีร์ เราก็ต้องเรียนรู้ในท่าทีนี้ว่าเรียนรู้ เพื่อมาเสริม เสริมความเชื่อของเรา  เสริมความสนุกสนาน เขาเรียกว่าจรรโลงชีวิตให้มีความสุข แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แต่รู้ แล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้าว่าให้เรารู้ เพื่อไปบอกคนอื่นว่าการมาเชื่อพระเยซู เขาเชื่อกันอย่างไร?  อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าพระเจ้าไม่นำเราไปเรียนรู้อะไรมากมาย ก็ไม่ต้องไปเรียนรู้ ก็ได้เรียนรู้ปัจจุบันนั้น มันหนักกว่าเยอะ ยิ่งกว่าด๊อกเตอร์อีก เรียนรู้วันหนึ่งตื่นขึ้นมา ไม่สบายบ้าง ทำงานเจ๊งบ้าง โมโหเข้าบ้าง โกรธเขาบ้าง แล้วก็ไม่อยาก แล้วไปทำ อย่างนี้ ยิ่งกว่าเรียนตลอดชีวิตของเรา ซึ่งเป็นการเรียนรู้จักพระเยซู โดยชีวิตประจำวัน พระเจ้าสอนเราเป็นวินาที อยู่กับเราตลอดเวลา นี่แหละ คือของแท้ เอเมน

นี่แหละ คือของแท้ ทุกคนไม่หนี ถ้าเขาได้เกิดใหม่ในพระเจ้า พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่กับเขา วิญญาณเขาเป็นของพระเจ้าแล้ว เขาไม่มีทางหนีไปไหน พระเจ้าจะนำเขาไป โดยสอนเขาไปทีละวันๆ

อย่างที่บอกใช่ไหม? เราเชื่อพระเยซูแล้ว เราเกิดใหม่ ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่บังเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณนิรันดร์ แปลว่าวิญญาณที่อยู่ตลอดกาลหรือ? ไม่ใช่ ต่อให้ไม่เชื่อพระเจ้า วิญญาณก็อยู่ตลอดกาลอยู่แล้ว แต่ตายตลอดกาล อยู่ในนรกตลอดกาล แต่วิญญาณนิรันดร์ หมายถึงวิญญาณที่เป็นแบบเหมือนพระเจ้าเลย ชนิดเรียกว่าเป็นของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เรียกว่าลูกๆ ของพระเจ้า นี่จะได้ชีวิตอย่างนั้น จะได้วิญญาณอย่างนั้น บังเกิดใหม่ วิญญาณบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ แล้วมีความคิดจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ ชำระโดยฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน สะอาดหมดจดเรียบร้อย มีความคิดจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ร่างกายที่อ่อนแอ ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ยังแพ้เชื้อโรคอยู่ ร่างกายที่ยังแพ้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังอยู่ ซึ่งมารสามารถส่งผ่านทางความบาปเข้ามากระตุ้นเราได้ ในเนื้อหนัง ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่มันไม่ใช่ตัวจริงของเรา เพราะร่างกายนี้ มันอยู่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ตัวจริงของเรา มันเข้ามาไม่ได้แล้ว ก็คือความคิดจิตใจที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ และวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า

วิญญาณและความคิดจิตใจเราจะได้รับร่างกายใหม่ในอนาคต และมันเป็นความหวังใจนิรันดร์ของเราทั้งหลาย รอวันพระเยซูกลับมา ก็คือวันนี้แหละ วันแห่งชัยชนะของเรา ก็คือวันที่ทิ้งร่างกายนี้ไป และวิญญาณเราออกจากร่างไป นั่นแหละ คือวันแห่งชัยชนะ พระคัมภีร์จึงบอกว่าตายดีกว่าอยู่ หมายถึงออกจากร่างกายนี้ดีกว่า แต่ถ้าอยู่ในร่างกายนี้ ก็ขอให้พระเจ้าใช้ไป อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ รับใช้พระเจ้าไป พระเจ้าสถิตอยู่ นำไปไหน ก็ประกาศ ให้คนเขารู้จักพระเจ้า ไปทีละวัน หมดหน้าที่ ก็กลับบ้าน กลับไปทำอะไร? กลับไปอยู่ในสวรรค์ พักผ่อน รอร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่ร่างกายที่อ่อนแออีกต่อไป เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่ต้องไปสู้กับบาปอีกต่อไป สบายตลอดชั่วนิตย์นิรันดร์ เอเมน

นี่คือความหวังใจของข่าวประเสริฐ และคือข้อมูลที่เราทั้งหลายควรจำไว้และเรียนรู้ ไม่ยากเลย จำแค่เรื่องราวเหล่านี้ แล้วเอาไปบอกคนเขา บอกแค่นี้ ไม่ต้องไปบอกอย่างอื่น เอเมนว่าจะเราพึ่งพระเยซูด้วยวิธีนี้ วิธีใด? ก็คือวิธีนี้ โดยความเชื่อเท่านั้น เชื่อ แล้วถึงจะได้ เชื่อเท่านั้น เชื่อแล้วได้เลย ได้เมื่อไร? ได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอตาย แล้วถึงจะได้ไปสวรรค์ เชื่อปั๊บ  วิญญาณเกิดใหม่ปุ๊บ อยู่ในสวรรค์ปั๊บ เดี๋ยวนี้เลย เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมเท่านั้นเอง เอเมน

ประกาศไหม? ปีหนึ่งประกาศครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง ช่วงเดือนธันวาคมนี้ กระตุ้นกันทีหนึ่ง ก็ไปประกาศตามชีวิตของเรา ไม่ต้องเร่งรีบ แต่เป็นไปตามที่พระเจ้านำเรา เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ ตื่นขึ้นมา ก็นำพาเราตลอด จนกระทั่งหลับ ในกลางคืน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2018 เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2018

เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรามา Merry Christmas กันก่อนได้ไหม? เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์ ก็จะถึงวัน คริสตมาส ตอนนี้ไปที่ไหน อย่างที่บอกพระคัมภีร์ได้ถูกทำให้สำเร็จ โดยการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ พระเยซูคริสต์ไปทุกแห่ง มันมากขึ้นทุกปี ไม่มีน้อยลงไป มีแต่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ชื่นชมยินดีกันทั่วโลก มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น มันเป็นจริงตามนั้นว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูจะต้องถูกประกาศไปทั่วโลก และจะถึงวันสิ้นสุด พระองค์จะกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง นี่คือความหวังของเรา

เพราะฉะนั้น เวลาคริสตมาสผมชอบไปเดินตามห้าง ไม่ได้ไปซื้อของและไม่ได้ตั้งใจไปเอาแอร์ เอาบรรยากาศ เดินดู แล้วมีความสุขดี เพราะขนาดคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขายังมีความสุขเลย แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เรารู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? มองอะไรไป ก็เห็นถ้อยคำพระเจ้าในนั้น ฟังเพลง ก็ฟังถ้อยคำพระเจ้า อยู่ในเพลงเหล่านั้นหมด เพลงที่เปิดนั้น ทั้งหมดเลย พูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ทั้งนั้น

วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไร? พระเยซูบอกว่าบันทึกไว้อย่างไร? มันต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน และมันเป็นจริงๆ แล้วมันอัศจรรย์ที่ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เฉพาะพระคัมภีร์ตัวไบเบิ้ลได้ถูกพิมพ์และขายออกไปแล้ว ประมาณ 5,000 ล้านเล่ม ตกแล้วคนในโลกนี้ น่าจะมีคนละ 1 เล่ม ประมาณเกือบๆ 1 เล่ม เยอะที่สุด ขายดีที่สุด  เป็นหนังสือขายอันดับดีที่สุดของโลก มาเป็นหลายปีแล้ว ตลอดเลย ไม่มีใครทำลายสถิตของไบเบิ้ลได้เลย แล้วไบเบิ้ลนี้ ท่านเชื่อไหมว่าเรื่องราวในไบเบิ้ล เป็นเรื่องทั้งหมดกี่ปี? ใครรู้บ้าง? ตั้งแต่โมเสสเป็นคนเขียนเริ่มต้น เฉพาะเรื่องที่เขียนมาถึงปัจจุบัน ที่เราได้อ่านกันในพระคัมภีร์ใหม่

พระคัมภีร์ใหม่ เขียนสำเร็จ ประมาณสัก 100 ปีในช่วงพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ประมาณนั้น หนังสือนี้ถูกเขียนถึงสมัยโมเสส ประมาณ 4,000 ปี ช่วงระยะเวลาของหนังสือเล่มนี้ ที่เขียนนะ ไม่ใช่เรื่องราวนะ เรื่องราวเกินกว่าเยอะเลย ตั้งแต่ปฐมกาล ไม่มีวันเวลาด้วย นับไม่ถ้วนปี เป็นเลยล้านๆ ปี นับไม่ถ้วน ตั้งแต่พระคัมภีร์เล่มต้น แต่เฉพาะเริ่มเขียน จนจบหนังสือเล่มนี้ ใช้เวลา 4,100 ปี เขียนหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว ประกอบด้วยเล่มเล็กๆ 66 เล่ม

เริ่มต้นเล่มแรก ก็คือหนังสือปฐมกาล หนังสือสุดท้าย คือวิวรณ์ เป็นการสำแดงล่วงหน้าว่าจะจบโลกนี้อย่างไร? ขึ้นต้นและจบสุดท้าย 66 เล่มใช้เวลา 4,100 ปี เขียนนะ ไม่ใช่เรื่องนะ เรื่องยาวกว่านั้น แต่เขียน เฉพาะเขียนอย่างเดียว ตั้งแต่โมเสสเขียนมาถึงยอห์น 4,100 ปี ใน 4,100 ปี มีคนเขียนทั้งหมดตั้ง 40 คน ปกติหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเขียนคนหนึ่ง หรือไม่ก็ 2 คน นี่เขียน 40 คน 4,100 ปี ปรากฏว่าเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย เป็นไปได้อย่างไร? เขาพิสูจน์แล้ว พิสูจน์อีกว่าเรื่องนี้ คนเขียนขึ้นมาเอง คนแต่งขึ้นมาใหม่  มันพิสูจน์อย่างไรก็ไม่ออก ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมาเขียน แล้วมันตรงกันได้อย่างไร? โมเสสเขียนมาตรงกันกับสิ่งที่ยอห์นเขียน เมื่อ 4,000 ปีผ่านมาแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร? แล้วไม่ได้ตรงแบบธรรมดา ตรงแบบเป๊ะๆ เลย นี่คืออัศจรรย์

สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้กันมาว่าพระเจ้าแห่งอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงเป็นเหมือนกับพระเจ้ารู้อยู่แล้ว  มนุษย์ก็อย่างนี้แหละ จริงๆ ไม่ต้องใช้พระคัมภีร์ก็ได้ แต่เดี๋ยวก็ไปเถียงกัน ไปว่ากัน วุ่นวาย คนนี้ถูก ฉันว่าฉันเป็นอย่างนี้ ฉันมีพระวิญญาณอยู่ในฉัน เอาอย่างนี้แล้วกัน เอาตรงกลาง ไปพิสูจน์เอง แล้วกันว่ามันเขียนไว้ในนี้มีไหม? มีหรือไม่มี ถ้าไม่มี ก็บอกว่าไม่มี มันผิด ถ้ามี ก็บอกว่ามี อย่าไปซีซั่วใส่เข้าไป อย่าไปแต่งเติมลงไป  เห็นไหม?

พระเจ้าทรงทราบก่อนล่วงหน้า ตั้งนานแล้วจึงได้เตรียมชายคนหนึ่ง ให้ไปเรียน โดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องไปเรียน นอกจากเตรียมสติปัญญาให้เขาเรียนแล้ว เรียนเก่งๆ ในเรื่องภาษาแล้ว ไม่พอ ยังต้องให้เรียนรู้จักเรื่องวิญญาณ เรื่องจิตใจ เตรียมใจเขาไว้ เตรียมความเชื่อเขาไว้ เริ่มต้น คนนั้น ก็คือโมเสส เตรียมโมเสสตั้งแต่โมเสสไม่รู้เรื่อง เล็กๆ ออกมา เกิดเหมือนเป็นกำพร้าเลยนะ แต่เตรียมเขาไว้แล้ว ให้ไปเรียน เรียนอย่างดี แบบลูกกษัตริย์เลย ลูกฟาโรห์เลย เรียน เพื่อจะได้เรียนรู้ และได้มาเป็นคนเขียน เริ่มต้นพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเขียนยากที่สุด ตอนเริ่มต้น ทั้งหมด 66 เล่มเล็ก รวมเป็นเล่มใหญ่ไบเบิ้ล เขียนโดยคน 40 คนบวกกับ 1 วิญญาณ ก็คือวิญญาณพระเจ้า พระเจ้าดลใจให้คนๆ นั้น 40 คนเขียน เป็นเรื่องเดียว เพราะฉะนั้น ใครเป็นคนเขียน พระวิญญาณเขียน มันจึงเรื่องเดียวกันไง

มันจึงเป็นเรื่องเดียวกันหมด เพราะว่าพระวิญญาณเป็นผู้เดียว แต่ผ่านทางคน 40 คนใน 40 สมัย ยุคประมาณ 4,100 ปี จึงเรื่องเดียวกันหมดเลย  อัศจรรย์ใหญ่ พระเจ้าเตรียมหมดเลย เตรียมคนแรก คือโมเสส เตรียมคนสุดท้าย คือยอห์น  เก่งด้วยกันทั้งคู่ เก่งแบบนักประวัติศาสตร์ นักจดบันทึก นักค้นคว้า นักเขียน คงไม่เตรียมเปโตรเป็นคนสุดท้าย เพราะเปโตรเป็นชาวประมง นึกออกใช่ไหม? หรือคงไม่เตรียมซาอูลเป็นแรก แต่เตรียมโมเสสเป็นคนแรก เราจึงได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

นี่พูดนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นว่าทั้งหมดนี้  เป็นเรื่องๆ เดียวที่เขียนขึ้นมา ถามว่าเรื่องนั้น คือเรื่องอะไร? เรื่องเกี่ยวกับทำอย่างไรมนุษย์จะได้ไปสวรรค์ ก็คือต้องเกิดใหม่ แค่นี้เอง ทั้งเล่มบอกแค่นี้เองว่ามนุษย์จะไปสวรรค์ ต้องไปอย่างไร? และเขาต้องเกิดใหม่ ผู้ที่มาบอกคนสุดท้าย ก็คือพระเยซู

พระเยซู คือผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วพูดเรื่องนี้ คือพระเยซู หลังจากนั้น ไม่ต้องมีแล้ว เพราะหลังจากพระเยซู ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหมด เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขา ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหมด ผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายไม่ใช่มาลาคี แต่เป็นพระเยซู ไม่ใช่ยอห์น บัพติศโต ที่เป็นคนให้บัพติศมาในน้ำ แต่เป็นคนหลังยอห์น บัพติศโต บอกว่า …

“คนที่มาข้างหลังฉัน จะเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าที่ฉันจะไปผูกเชือกรองเท้า ด้วยซ้ำไป เขา คือเยซู เจ้าของวันคริสตมาสนั่นเอง”

เห็นไหม? แค่คิดแค่นี้ ที่คิดได้ทั้งหมดนี้ ไปเดินเล่นนะ ไม่ได้ไปค้นคว้าอะไร? เราไปเดินเล่นเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ เลยนะ ถามว่าที่เดินเล่นนี้ คิด ใครคิด พระวิญญาณคิด เดินเล่นทำอะไร? คุยกับพระเจ้าไป คุยด้วย กินไอศกรีมไป  ไม่ได้อยู่ในห้องอธิษฐานหรอก นั่นแหละ คืออธิษฐานที่ลี้ลับของมนุษย์ ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอธิษฐานกับพระองค์ทุกเมื่อ คุยกับพระองค์ทุกอย่างได้ ไม่ใช่จะคุยกับพระองค์ ต้องเอาอย่างนี้ ท่านคิดไป พระเจ้าก็คิดตามท่าน พระเจ้านำท่าน ท่านยังไม่รู้เลย มองก็ไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร? เหมือนอย่างที่ผมเคยเทน้ำร้อนลงไปในถุงชา แล้วผมถามว่าไหนล่ะ ตัวไหนชา ตัวไหนน้ำ ไม่เห็นเลย แยกไม่ออก มันเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันวิญญาณเรากับวิญญาณพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน พระผู้ไถ่ของเรา ท่านทำอะไร พระเจ้าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา อยู่ตรงนั้นแหละ จะทำผิด ทำถูก ทำอย่างไร? อยู่ตรงนั้นแหละ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ สำนึกหรือไม่สำนึก พระเจ้าอยู่ตรงนั้นแหละ รู้ไหมว่าพระองค์อยู่ด้วยตรงนั้นหรือไม่? พระองค์ก็อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่แล้ว ก็อยู่เลย และอยู่ตลอดไป พระองค์บอกว่าไม่มีใครหน้าไหน? ใหญ่ขนาดไหนที่จะมาเอาท่านออกไปจากมือของฉันได้ เอเมน

ขอบคุณพระเจ้านะ นี่คือวันคริสตมาสที่ใหญ่ที่สุด และเป็นความหวังเดียวของมนุษย์บนโลกใบนี้เท่านั้นเอง มองไป มีความสุขในวันคริสตมาส แต่ก็แอบทุกข์ใจไม่ได้ ไม่ใช่เราทุกข์ใจ แต่พระวิญญาณทุกข์ใจ ทุกข์ใจตรงไหน? แหม! อยากให้คนอื่นได้รู้อย่างที่เรารู้นะ มันง่ายมากเลยข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้ามันง่ายๆ จริงๆ ง่ายจนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ เป็นหินก้อนสะดุดให้กับมนุษย์ เพราะมันง่ายเกินไป มนุษย์ทุกคนเกิดมามีบาป อยากจะทำอะไรก็ตาม เพื่อล้างบาปตัวเอง ฟ้องผิดตลอดมาว่า …

“ฉันบาปๆ”

ก็เลย อยากจะหาอะไรทำ เพื่อจะลบบาปตัวเอง ตั้งแต่กำเนิด ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา เป็นอย่างนี้หมด มันจึงกลายเป็นประตูใหญ่ ที่พระเยซูบอก ประตูใหญ่ คือทุกคนอยากจะทำๆ มีประตูเล็กๆ ประตูเดียวที่ผ่านทางพระเยซู ที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มาเลย บาปผิดอะไรต่างๆ สกปรกอะไรต่างๆ ก็เข้าได้ เข้าสวรรค์เลย  ไม่มีใครอยากเข้า เพราะทุกคนอยากทำด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป อยากจะล้าง ล้างไม่ออก ก็ล้างใหญ่เลย พยายามไปบอกคนอื่นให้ช่วยกันล้าง ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูมาถึงเราวันคริสตมาส ก็คือไม่ต้องลาเลย ล้างอย่างไรก็ไม่หมด มาหาฉัน ง่ายนิดเดียว  เชื่อแล้ว ก็เข้าไปเลย  ไม่เอา ขอไปทำเองดีกว่า มันเป็นอย่างนี้ มันจึงน่าเศร้า

พอเรารู้ความจริงอย่างนี้  พอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจึงทำมันง่ายอย่างนี้ เราจึงขอบคุณพระเจ้า เราจึง Amazing grace แต่ Amazing สำหรับเรา คือทำไมคนเขาไม่เชื่อ ก็พระเยซูบอกแล้ว ทุกคนไปทางกว้างหมด ไปประตูกว้างหมด ประตูเล็ก ไม่ค่อยมีใครมา ใครเข้าสวรรค์ ต้องเข้าประตูเล็ก ประตูเล็กคืออะไร? ไม่ค่อยมีใครมาหรอก เพราะไม่มีใครจะยอมเชื่อพระเยซู 100% จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จะไปทำด้วยตัวเอง พยายามๆ พยายามไม่ได้ ก็ไปบอกคนอื่นพยายาม พยายามจนตาย บอกง่ายๆ ไม่เอา

นี่คือความทุกข์ทรมานช่วงคริสตมาส เวลาเราคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าให้เราปกป้องคุ้มครองดูแลข่าวประเสริฐให้ดีๆ สิ่งเดียวที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือข่าวประเสริฐจะต้องถูกประกาศออกไป ข่าวประเสริฐ คือข่าวดี ข่าวดีจริงๆ นอกเหนือจากข่าวดีแล้ว มันคือข่าวร้าย ถ้าไม่มาพึ่งพระเยซูทางเดียว ถือว่าเป็นข่าวร้ายทั้งหมด อะไรที่ต้องทำด้วยตัวเอง  เป็นกฎ เป็นระเบียบอะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นข่าวร้ายทั้งหมด ข่าวดี คือประตูแคบ เล็กๆ เอง คือไม่ต้องทำอะไรเลย โจรบนไม้กางเขน ก็เข้าสวรรค์ได้ ไม่ต้องเป็นฟาริสีที่รักษาศีล รักษากฎระเบียบตั้ง 2-3 พันข้อ 500 ข้อ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นเลย ใครก็ได้ที่เชื่อวางใจในพระเยซู เจ้าของคริสตมาสเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ คือหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องประกาศออกไป คริสตมาสจึงมีไว้ เพื่อประกาศ ที่เราเห็นกัน ที่แจกของ มีของขวัญอะไรต่างๆ เหล่านั้น  คือหน้าที่ที่พระเจ้านำพาผ่านมนุษย์ เพื่อประกาศ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เขากำลังประกาศ เพลงเหล่านี้ ที่ถูกดลใจโดยพระวิญญาณ  เพลง Silent night, Holy night อะไรต่างๆ ที่เราฟังอยู่ทุกวันนี้ คือสิ่งหนึ่งที่เป็นการประกาศ ต้องประกาศ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พวกเราที่นี่ก็ได้อิทธิพลมาจากข่าวประเสริฐอย่างนี้แหละ จนถึงวันนี้ เรามาถึงความรอดแล้ว ก็ส่งกันต่อๆ ไป  ความรัก ความหวังดี คือการให้ ให้ที่ดีที่สุด คือให้ชีวิตกับเขา เราทำได้แล้ว เพราะเราบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยวิธีการบอกเขาในเรื่องข่าวดีของพระเยซู ข่าวดีของพระเยซู คืออะไร? เอเมน

 

************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2018 เรื่อง “วันพ่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2018

เรื่อง “วันพ่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เป็นวันพิเศษ ที่เราจัดเป็นวันพ่อ ได้มาระลึกถึงพระคุณของพ่อด้วยกัน อันดับแรก ก็คือระลึกถึงพระคุณของพ่อฝ่ายวิญญาณของเรา  คือพระเจ้า ผู้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอด จะได้ถูกรับเข้ามาเป็นลูกของพระองค์เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นวันที่ 1 ปี ก็มาระลึกถึงวันนี้

และขณะเดียวกัน วันพ่อแห่งชาติ มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรามาก คือทำให้เราระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่อีกอันหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลย คือพ่อผู้ให้กำเนิด ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพ่อที่เป็นมนุษย์ ก็เลียนแบบ มีความรัก เหมือนกับพ่อที่เป็นพระเจ้า เพียงแต่ว่าพระเจ้าใส่ความรักของพระองค์ลงมาในคนที่เป็นพ่อ เพียงแต่ว่าพ่อเป็นมนุษย์ ตกลงไปในความบาป เสียหายไป บางทีรัก อยากจะรักมาก แต่มันทำไม่ได้ เพราะว่าความอ่อนแอของเนื้อหนังร่างกาย มันทำให้ไม่สามารถที่จะแสดงความรักอย่างที่ควรจะเป็น หรืออย่างที่อยากจะทำได้

ฉะนั้น วันนี้จึงเป็นวันที่เราน่าจะมาระลึกถึงว่าจริงๆ แล้วไม่มีทางไม่รักหรอก เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าความรักของพระเจ้าใส่ลงไปในผู้ที่ให้กำเนิด ที่เป็นมนุษย์ คือผู้ที่เป็นพ่อ เพราะฉะนั้น เขาต้องรักเราแน่นอน  เพียงแต่บางทีบางอย่างเขาปฏิบัติไม่ได้ เราก็ต้องรู้ เราก็ต้องเข้าใจ ก็มาทำความเข้าใจกันในวันนี้ วันนี้คริสตจักรก็จัดเป็นวันพิเศษ เป็นความระลึกถึงพระคุณของพ่อด้วยกัน

 

*****************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “Thanksgiving Worship and Prayers” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018

เรื่อง “Thanksgiving  Worship and Prayers”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง ถ้าสังเกตจะเห็นว่านมัสการจะมีแต่เพลงขอบคุณ เพราะอะไร?  เพราะว่าเดือนนี้เป็นเดือนขอบคุณพระเจ้า ประจำปีของทุกๆ ปี คือเป็นเดือนที่มีวันขอบคุณพระเจ้าอยู่ในนั้น แล้วเราก็นำสิ่งนี้ นำโอกาสนี้มา ระลึกถึงพระคุณพระเจ้าร่วมกัน วันนี้ ก็เลยเป็นพิเศษ นมัสการพิเศษ เน้นเรื่องการขอบคุณพระเจ้า เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ และรู้ว่าพระคุณของพระเจ้า ต่อชีวิตเรานั้น เป็นเช่นไร เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง จะให้ต่างคนต่างขอบคุณส่วนตัว แต่จะขอแนะแนวให้ก่อนว่าเราควรจะขอบคุณพระเจ้าตรงไหน? มี 2 อันเท่านั้นเอง ความหวังในโลกนี้ และในโลกหน้า

ในพระเจ้ามี 2 อย่าง ความหวังปัจจุบันนี้ ตอนนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าสัญญากับเราว่าอย่างไร?  ดูแลเราอย่างไร? และความหวังในชีวิตหน้า ความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่เราจะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์กาล พระเจ้าสัญญากับเราไว้อย่างไร? และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในวิญญาณของเรา ในใจของเรา ยืนยันกับเราอย่างไรว่า 2 สิ่งนี้เป็นจริง นี่แหละ เราขอบคุณพระเจ้าใน 2 อย่างนี้

เอาอย่างแรกก่อน เราควรขอบคุณพระเจ้าเรื่องความหวังในปัจจุบัน คือพระเจ้าบอกว่าแม้นกในอากาศ มองสิ นกในอากาศมันเคยอดตายไหม? มันไม่ได้ทำมาหากินอะไร? มันไม่ได้หว่านข้าว ไม่ได้เก็บเกี่ยว พระเจ้าเลี้ยงนกเอาไว้ แล้วท่านล่ะ ท่านในที่นี่ คือใครที่เป็นลูกพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซู ท่านเป็นลูกของพระเจ้า สำคัญกว่านกนั้นตั้งเท่าไร? เห็นนกบินอยู่บนฟ้าทุกชนิด มีข้าว มีปลากิน อยู่ได้ดี ชีวิตของท่านพระเจ้าดูแลให้อย่างมากมาย ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเอาอะไรกิน วันนี้ พรุ่งนี้ จะทำอย่างไร? พระเจ้าดูแลให้ เห็นไหม? สัญญา

สัญญาที่สอง บอกว่าไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ ไม่มีความโหดร้ายใดๆ ไม่มีอิทธิพลใดๆ ไม่มีอาวุธใดๆ มาทำร้ายท่าน เอาท่านออกไปจากมือพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ ก็ตาม ท่านเดินไปไหนมาไหนบนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับท่านตลอดเวลา เห็นไหม?

นี่ 2 เรื่องแค่นี้  และท่านก็เห็นแล้วว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้จัดเตรียม จัดหาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ท่านจำเป็นต้องใช้สอย จากคลังทรัพย์อันมั่งคั่งของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เมื่อท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะดูแลเลี้ยงดูท่าน ไม่มีวันขัดสน พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น  คนมาเชื่อพระเจ้าไม่เคยขัดสน

คำว่า “ขัดสน” บางคนก็บอกว่ายังขาดแคลนเงิน เรารู้สึกขาดแคลน แต่เราไม่ขัดสน เรามีพอกินพอใช้ มีน้อยก็ใช้น้อย มีมากก็ใช้มาก บางคนมีน้อยใช้มากอีกต่างหาก เพราะมันมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็ใช้ไป ให้ออกไป

แล้วอะไรที่จำเป็น เงินซื้อไม่ได้ อย่างที่ผมเคยบอก เงินซื้อไม่ได้หลายเรื่องเลย เงินซื้อไม่ได้ แต่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราได้ สันติสุข ความสงบสุข เงินซื้อได้ไหม? ไม่ได้ และอีกหลายๆ เรื่อง  ความสัมพันธ์ ผู้คนรอบข้างที่ดีงาม จิตใจที่ดีงาม ซื้อได้ไหม? ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา นี่คือความหวังใจอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วง เราสามารถเผชิญทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง ผู้ทรงนำพาเราผ่าน  นี่สัญญาไว้อย่างนั้น

แล้วก็มีตัวอย่าง เช่น เปาโลก็เป็นตัวอย่างว่าพระเจ้านำพาเขาผ่าน ผ่านหมดทุกอย่าง ตอนอด ก็ผ่าน ตอนมีก็ผ่าน ตอนแข็งแรงดี ก็ผ่าน ตอนสุขภาพไม่ดี ก็ผ่าน ผ่านเพราะอะไร? เพราะพระเยซู พระเจ้าเสริมกำลังให้เขา เขาผ่าน เอเมน

สองสิ่งนี้เหมาะสมที่จะนำมาคิดในการขอบคุณพระเจ้าประจำปี จริงๆ ประจำวันของเราด้วยซ้ำ ประจำชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ปีหนึ่ง ครั้งหนึ่งที่เรานำมาเน้นให้ท่านได้ปฏิบัติ ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ก็จะมีพระพรมากยิ่งขึ้น

ใช้เวลานี้ในการขอบคุณพระเจ้าส่วนตัว ท่านก็อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าอย่างที่ผมบอกมา ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความหวังเดี๋ยวนี้  ปัจจุบันบนโลกใบนี้ เดินบนโลกใบนี้ ไม่ต้องห่วงแล้ว

สองความหวังในโลกหน้า เมื่อท่านจากโลกนี้ไป ไม่ต้องกลัวตายเลย ตาย คือกำไรชีวิต เริ่มต้นใหม่ เข้าไปในสวรรค์สถาน หลุดรอดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากตลอดไปเลย 2 สิ่งนี้ให้เราขอบคุณพระเจ้านะ …

“พระเจ้าเราขอบคุณพระองค์ร่วมกัน ขอบคุณพระองค์ที่หลายครั้ง ที่เราไม่รู้ว่าเราจะเผชิญปัญหานั้นได้อย่างไร? หลายครั้งที่ปัญหานั้น ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้จริงๆ โดยสายตาของมนุษย์ เหมือนทางตัน แต่แล้วพระหัตถ์ของพระองค์ก็เข้ามาในวินาทีนั้น ช่วยให้รอดไปอีกครั้งหนึ่ง บินขึ้นมาใหม่เหมือนนกอินทรีพร้อมกับพระองค์ ลูกทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์ ที่ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ และมันเป็นสิ่งดี สำหรับลูกทั้งหลาย ที่จะดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วย

ขอทรงนำพวกเราทั้งหลายต่อไป แบบนี้ด้วยเถิด และขอบคุณพระองค์ สำหรับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงประทานให้ ทุกครั้งที่เรานึกถึงความตาย ความเจ็บปวด อีกด้านหนึ่ง คือความปิติยินดีที่เราจะได้พักผ่อน อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลเสียทีหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถให้ความคิด ความสงบ การเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากความหวังใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราขอบคุณพระองค์ สิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถซื้อได้ ไม่สามารถแสวงหาด้วยมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยกำลังของมนุษย์  แต่เป็นของประทานจากพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์

เราทั้งหลายขอบคุณพระเจ้า สำหรับปีนี้ และปีต่อๆ ไป เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับวันขอบคุณพระเจ้าที่ผ่านมา เมื่อวันพฤหัสฯ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับประเทศไทย ที่พระองค์ทรงให้เราได้มาเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ มีสันติสุข ความสงบสุขที่นี่ เป็นประเทศที่ปลอดภัย เจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ และมีอิสรภาพ เสรีภาพในการทำหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการแสวงหาความจริงในองค์พระเยซูคริสต์

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงประทานให้ในประเทศนี้ ที่ให้เราได้อยู่ร่วมกันเหมือนกันเหมือนครอบครัวใหญ่ๆ ครอบครัวหนึ่ง มีความผูกพันซึ่งกันและกัน

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับครอบครัวที่ดีงาม ที่พระองค์ทรงประทานให้เราได้อยู่อาศัยในคริสตจักร เหมือนครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ที่เราได้รู้จัก เป็นพี่เป็นน้อง หนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน โดยท่ามกลางการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เราขอบคุณพระเจ้า

ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเลี้ยงดูเรา ไม่เคยขัดสน ไม่เคยขาดแคลน ไม่เคยอดตาย มีกินมีใช้ตลอดเวลา

ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงแก้ไขให้หลายเรื่อง หลายสิ่งนั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร? เหตุการณ์อย่างไร? แต่รู้ว่าไม่สามารถที่จะมีใช้มาช่วยเราในขณะนั้นได้ แต่พระองค์ก็มาช่วยเราทุกที ทุกครั้ง ตลอดเสมอมา เราขอบคุณพระองค์

และขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงประทานความมั่นใจ ยืนยันในจิตใจของเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์ สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเราเหมาะสมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เมื่อเราทิ้งร่างนี้แล้ว ในวันหนึ่งข้างหน้า ขอบคุณพระเจ้าในสิ่งนี้

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ ขอชีวิตเราเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์เถิด ขอบคุณพระองค์ร่วมกัน ในนามพระเยซู  เอเมน

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 8 “การให้อภัย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  พฤศจิกายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 8 “การให้อภัย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            มาถึงอาหารฝ่ายวิญญาณ อุปมาคำสอนของพระเยซู ตอนที่ 8 “การให้อภัย” 7 ตอนที่ผ่านมา วนเวียน เน้นย้ำกันอยู่ในเรื่องของการบังเกิดใหม่ ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์ ซึ่งเป็นคนบาป โดยกำเนิด สามารถเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้ และพระคัมภีร์ทั้งเล่ม อุปมาคำสอนของพระเยซู ก็พูดเกี่ยวกับเรื่องการบังเกิดใหม่ หรือการเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์เหล่านี้ ทั้งนั้นเลย วันนี้เจะสอนเกี่ยวกับเรื่องการให้อภัย  ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ และจะเข้าไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้อย่างไร?

สมมติว่ามีเพื่อนมาพูดจาไม่ดีกับเรา  หรือว่าเขามาโกงเรา  หรือหักหลังเรา  เราจะสามารถยอมได้สักกี่ครั้งที่จะไม่โต้ตอบเลย  นิ่งเลย  เอาง่ายๆ เพื่อนที่ใกล้ชิดเราที่สุดเลย ลูกเราดื้อกับเรา ไม่เชื่อฟังเรา แถม (หักหลังเราอีก) มีนะ จะเกิดเหตุอะไรก็ตาม ไม่รู้ เราจะให้อภัยลูกที่รักที่สุด สักกี่ครั้ง ถ้าเขาทำผิด เหมือนเดิมอีก เราคงได้ยินคำพูดอย่างนี้บ่อยๆ ว่า …

“ครั้งนี้ยอมให้ก่อนนะ แต่อย่าให้มีครั้งที่สอง”

หรือไม่ก็บอกว่า “หลายครั้งมาแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ได้แล้วนะ” คือไม่ยอมอีกแล้ว ถูกไหม?

เรามาดูคำตอบดีกว่า ในพระคัมภีร์ พระเยซูตอบเรื่องการให้อภัยนี้ไว้อย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้า เรื่องการอภัยนี้อยู่ตรงไหน? เราจะต้องยกโทษ ผู้ที่กระทำผิดต่อเราสักกี่ครั้งดี? มัทธิว 18:21-22

มัทธิว 18:21-22 “21 เปโตรมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องทำบาปต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ควรจะยกโทษให้เขากี่ครั้งดี สักเจ็ดครั้งหรือ! 22 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านว่าไม่ใช่เจ็ดครั้ง แต่เจ็ดสิบ  เจ็ดครั้ง”

 

ตามมาตรฐานของมนุษย์ทั่วไป เราคิดว่าการอภัยเพียงแค่ครั้งสองครั้ง หรืออย่างมาก 3 ครั้งก็ อภัยได้เยอะแล้วนะ เหมือนคำพูดที่บอกว่าความอดทนของเรามีขีดจำกัด

เปโตรมาถามพระเยซูว่า “หากพี่น้องทำบาปกับข้าพระองค์ … ข้าพระองค์ควรจะยกโทษให้เขากี่ครั้งดี สัก 7 ครั้งหรือ?”

ซึ่งถ้าเอาตามมาตรฐานของมนุษย์ เปโตรคงคิดว่าที่คิดว่า 7 ก็น่าจะสุดยอดของคนดีแล้วนะ  อดทนมาได้ 7 ครั้ง ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว …

“ฉันทำเยี่ยมแล้วนะ  สัก 7 ครั้งได้ไหม?”

กะว่าจะได้รับคำชม “เปโตร ดีมากเลย เธอทำได้ตั้ง 7 ครั้ง”

แต่นี่เรากำลังพูดถึงจำนวนครั้งที่เราต้องอภัยกับคนๆ เดียว กับความผิดเรื่องเดียวกันนะครับ พูดง่ายๆ คือต่อให้มีใครมาทำผิดต่อเรา เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ ถึง 7 ครั้ง เราก็ยังไม่โกรธ รอให้มีครั้งที่ 8 แล้วค่อยโกรธ ยากมากเลยนะ พระเยซูบอกว่า …

“เราบอกท่านว่าไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่ 70 … 7 ครั้ง”

ตรงนี้ ไม่ได้หมายความ 77 นะ ภาษาอังกฤษ ภาษาเดิม แปลว่า Seventy time seven แปลว่า 70×7 = 490 ครั้งต่อหนึ่งเรื่อง  ถ้าเขาโกงเรา … เราต้องอภัยให้เขา ให้เขาโกงเราประมาณ 490 อายตัวเองมาก นึกว่าตัวเองแน่ อภัยให้ 7 ครั้ง พระเยซูตอบกลับมา  พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้  ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเหตุการณ์ที่เปโตรถามพระเยซู เป็นช่วงเวลาก่อนการถูกตรึงที่ไม้กางเขนของพระเยซู ก่อนที่พระเยซูจะบอกว่า …

“สำเร็จแล้ว”

การไถ่บาปของมนุษย์สำเร็จแล้ว เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีวันเพ็นเตคอส คือวันเกิดใหม่ของมนุษย์ พระวิญญาณลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์  คือทำให้วิญญาณมนุษย์ได้เกิดใหม่ เป็นครั้งแรกของโลกนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่พูดกับเปโตรตอนนี้ ไม่ได้เป็นช่วงหลังเพ็นเตคอส แต่ก่อนหน้า มนุษย์ยังไม่เกิดใหม่ มนุษย์ยังไม่ได้รับการชำระล้างจากบาป ยังอยู่ใต้กฎแห่งธรรมบัญญัติเดิมอยู่ คือพระเยซูตอบเปโตรว่าถ้าจะทำตามกฎบัญญัติ ตามมาตรฐานของพระเจ้าเดิมๆ ในการให้อภัยจากพระเจ้า ต้องทำขนาดไหน? เดิมๆ คือกฎในสมัยโมเสสให้ไว้ และคำตอบของพระเยซู ก็คือต้องทำแบบชนิดที่ว่าต้องไม่มีขอบเขต ต้องอภัยตลอดเลย ไม่มีที่สิ้นสุด

พระเยซูกำลังจะบอกว่าเมื่อผู้คนของพระเจ้า หรือว่าประชากรของพระเจ้า ยอมทำตามพระเจ้าทุกอย่าง จากใจ จากวิญญาณของเขา พระเจ้าถึงจะรับได้ ถ้าเขาทำด้วยกำลังของเขา และเขาทำไม่ได้  ก็ถือว่าสอบตกหมด ไม่ว่าจะทำได้มากหรือน้อย ไม่ว่าจะ 7 ครั้ง 70×7 ครั้ง 70×20 ครั้งก็ตาม เขาก็สอบตกหมดทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งหมดเลย

พระเยซูบอกว่าการให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือต้องให้อภัย 70×7 ครั้ง ต่อหนึ่งคน ต่อหนึ่งเรื่อง เปโตรฟังแล้ว อึ้ง ซึ่งตรงนี้แหละ น่าจะเป็นประเด็นคำตอบที่แท้จริง ที่พระเยซูบอกว่าต้องอภัย 70x7 = 490 เป็นเพียงอุปมาเปรียบเทียบ เพื่อจะให้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ มนุษย์ไม่มีใครทำอย่างนี้ได้หรอก แต่มนุษย์คิดว่าทำได้ 90% ยอดเยี่ยมแล้ว แข่งกันใหญ่เลย มัทธิว 18:23-27 บอกไว้ว่า …

มัทธิว 18:23-27 “23 เหตุฉะนั้น อาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง ซึ่งประสงค์จะสะสางบัญชีกับข้าราชบริพาร 24 เมื่อเริ่มสะสางคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้านเหรียญเดนาริอัน ถูกนำตัวมาพบ 25 เนื่องจากเขาไม่สามารถชำระหนี้ กษัตริย์จึงสั่งให้เอาตัวเขากับภรรยาและบุตร ตลอดจนข้าวของทุกอย่างไปขาย เพื่อมาใช้หนี้ 26 “ข้าราชบริพารคนนั้น ก็คุกเข่าลง วิงวอนต่อหน้าพระองค์ว่า ‘ขอทรงผัดผ่อนให้ข้าพระองค์เถิด แล้วข้าพระองค์จะใช้หนี้ให้จนครบ’ 27 กษัตริย์ทรงสงสาร จึงยกหนี้ให้ และปล่อยตัวไป”

 

คำอุปมาของพระเยซูในเรื่องนี้ จะถูกยกมาใช้บ่อยมาก เวลาที่จะสอนเรื่องเกี่ยวกับการให้อภัย หรือการยกโทษให้กับผู้ที่กระทำผิดต่อเรา  ในข้อ 22 ที่เราอ่านตอนต้น  ตอนที่พระเยซูตอบว่าต้องให้อภัย 70×7 หรือ 490 ครั้ง ก็เป็นอุปมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่ามันเป็นไปไม่ได้ จำนวน 490 ครั้ง เป็นการแทนความหมายว่าเป็นการอภัยแบบไม่มีวันสิ้นสุด เป็นการอภัยแบบสมบูรณ์ คือต้องอภัยตลอดไปนั่นเอง

มาถึงข้อที่ 24 บอกว่า “อาณาจักรสวรรค์เหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งที่จะสะสางบัญชีกับข้าราชบริพาร แล้วมีข้าราชบริพารคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้านเหรียญ ก็เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าเป็นหนี้ จำนวนมหาศาล ที่เกินกว่าใครจะชำระหนี้ได้หมด เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั้งหลายจะทำได้

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังจะให้เราเห็นภาพว่าหนี้ความบาปและความตายของมนุษย์ที่รับมาจากอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่จะต้องชดใช้นั้น มันใหญ่ มากมายมหาศาล เกินกว่ากำลังของมนุษย์จะใช้หนี้ของตัวเองได้ คือมันเป็นไปไม่ได้เลย

คือต้องทำความเข้าใจก่อน ตอนที่เปโตรถามพระเยซู เป็นตอนที่พระเยซูยังไม่ถูกตรึง เปโตรยังไม่ได้เกิดใหม่ เปโตรยังไม่เข้าใจถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ว่าเกิดใหม่มันคืออะไร? เปโตรยืนอยู่บนกฎบัญญัติเดิม ตั้งแต่สมัยโมเสส เรื่องนี้ เกิดขึ้นในขณะที่พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ชาวยิวจะเข้าใจหมดเลยว่าที่พระเยซูพูดหมายความว่าอย่างไร? นี่คือกฎระเบียบของชาวยิวทั้งสิ้น พระเยซูกำลังบอกเปโตรว่าถ้าจะทำตามกฎบัญญัติ ตามมาตรฐานของพระเจ้า ในเรื่องการอภัย ต้องทำขนาดนี้ คือขนาดสุดๆ 100% 70×7 คือบริบูรณ์จริงๆ คือทำไม่ได้

ในนี้บอกว่าเมื่อข้าราชบริพารคนนั้น เป็นหนี้ แล้วคุกเข่าของเขา อ้อนวอนต่อกษัตริย์ กษัตริย์ก็สงสาร ยกหนี้ให้ โดยไม่คิดอะไรเลย เรามาอ่านต่อว่าหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น มัทธิว 18:28-35

มัทธิว 18:28-35 “28 แต่เมื่อข้าราชบริพารผู้นั้น ออกมาพบเพื่อนข้าราชบริพารด้วยกัน ซึ่งติดหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญเดนาริอัน จึงจับคนนั้นเค้นคอและขู่เข็ญว่าจงจ่ายหนี้คืนมา 29 เพื่อนข้าราชบริพารนั้น ก็คุกเข่าอ้อนวอนเขาว่า ‘ขอผัดผ่อนหนี้ให้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ให้’ 30 “แต่เขาไม่ยอม กลับนำคนนั้นไปเข้าคุก จนกว่าเขาจะใช้หนี้ 31 เมื่อข้าราชบริพารคนอื่นๆ เห็นเหตุการณ์ก็สลดใจนัก จึงพากันไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และกราบทูลทุกอย่างที่เกิดขึ้น 32 “กษัตริย์จึงตรัสเรียกข้าราชบริพารคนนั้นมา และตรัสว่า ‘ไอ้ข้าชั่วช้า เรายกหนี้ของเจ้าทั้งหมดให้ ก็เพราะเจ้าวอนขอต่อเรา 33 ไม่ควรหรือ ที่เจ้าจะเมตตาเพื่อนข้าราชบริพารด้วยกัน เหมือนที่เราเมตตาเจ้า?’ 34 กษัตริย์กริ้วนัก จึงทรงมอบตัวเขาให้พัศดีไปทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้ครบ 35 “เช่นนี้แหละ พระบิดาของเราในสวรรค์ จะทรงกระทำแก่ท่านแต่ละคนเช่นนั้น หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากใจของท่าน”

 

อุปมาในเรื่องนี้ จะจบด้วยประโยคนี้ว่า …

“เช่นนี้แหละ พระบิดาของเราในสวรรค์จะทำกับท่านแต่ละคนเช่นนั้น หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากใจของท่าน”

“ใจ” ตัวนี้ ก็คือวิญญาณของท่าน

“หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากวิญญาณของท่าน ท่านก็ไม่ได้รับการยกโทษ หรืออภัยโทษจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน”

ตอนที่พระเยซูพูดอย่างนี้ มนุษย์ยังไม่สามารถเกิดใหม่ได้ พระเยซูยังไม่ไถ่บาปให้กับมนุษย์เสร็จสิ้นบนไม้กางเขนเลย ยังไม่บอกว่าสำเร็จแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย เห็นหรือยังว่าพระเยซูกำลังสอนอุปมาเรื่องนี้ เกี่ยวกับการไปสวรรค์และการบังเกิดใหม่ พระเยซูกำลังบอกเราว่าเจ้าทำเองไม่ได้ เพื่อจะได้บอกว่า …

“มาพึ่งเราๆ ถ้าเจ้าทำเองได้ เจ้าก็ไม่มาพึ่งเรา เพราะฉะนั้น เจ้าทำเองไม่ได้ จำไว้”

พระเยซูกำลังบอกว่ากฎก็คือกฎ … กฎก็คือบัญญัติ … บัญญัติจะอยู่ตลอดไป มาตรฐานของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิม ในบัญญัติเขียนไว้อย่างไร? ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีการลดหย่อน  ไม่มีคำว่าน้อยลง ตามที่พระเยซูได้พูดเอาไว้ในมัทธิว 5:17-20 ว่า …

มัทธิว 5:17-20 “17 อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้ แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของพวกฟาริสี และเหล่าธรรมาจารย์แล้ว ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

ในข้อ 19 บอก “ผู้ใดฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ แม้ข้อเล็กๆ น้อยๆ ที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”

“ผู้นั้นจะเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” คือไม่ได้เข้าสวรรค์

อะไรล่ะ “ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติแค่เล็กน้อย” เขาบอกว่าอภัย ต้องอภัย 490 ครั้งต่อหนึ่งคดี เราก็บอกว่าอภัยแค่ 7 ครั้งก็เก่งแล้ว พระเจ้าคงเห็นใจเราแล้ว อันนี้ทำให้เล็กน้อย เราก็บอกว่าพยายามทำให้ดีที่สุดแล้วกัน ทำให้มันได้สัก 20 ครั้ง คนนี้ก็ยอดกว่าคนนี้ นี่มันทำให้เล็กน้อย พระเจ้าบอกไม่ได้ ต้องทำให้ 490 ครั้ง ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ใช้เชื่อเอา

พระเยซูมาตอกย้ำว่าความศักดิ์สิทธิ์และความเคร่งครัดของบทบัญญัติ  กฎของพระเจ้า  ยังคงอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ แม้ว่าพระเยซูจะมาก็ตาม กฎบัญญัติเหล่านั้น ที่ได้บันทึกเอาไว้ ยังอยู่ครบถ้วน แม้ตัวอักษรเล็กๆ หรือแม้แต่เพียงขีด ขีดเดียว ก็จะไม่หายไปจากบทบัญญัติ แต่พระองค์จะทำให้มันสมบูรณ์ ใครทำ? พระเยซูทำแทนเรา  เราทำไม่ได้  สิ่งเหล่านั้น ทำให้เสร็จ สมบูรณ์ ถึงจะได้รับการอภัยจากพระเจ้า ถึงจะได้รับพรจากพระเจ้า แต่มนุษย์ทำไม่ได้ เราจึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ ขณะที่เราทำ มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในเรานั้น ทำด้วยกัน เอเมน

ความหมาย ก็คือเมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำได้ คือไม่สามารถให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน พระเยซูจึงพูดแล้วพูดอีก ย้ำแล้วย้ำอีกว่าหนทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะไปสวรรค์ได้ ก็คือต้องผ่านทางพระเยซู คือต้องบังเกิดใหม่ ในความเชื่อ ในพระเยซูเท่านั้น ถึงจะอภัยจากใจได้ เพราะใจเกิดใหม่ วิญญาณเกิดใหม่ มันอภัยจากใจ เพราะว่าบริสุทธิ์ อินโนเซ็นต์เรื่องของการโกรธกัน อินโนเซ็นต์ข้างในเลย วิญญาณสะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ ทั้งสิ้นเลย ไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่าการโกรธเขา การไม่ให้อภัยเขาเป็นอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น

ชาวยิวในสมัยนั้น อยู่ใต้กฎบัญญัติของพระเจ้าที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส มีกฎบัญญัติที่ต้องปฏิบัติตาม 600 กว่าข้อ ชาวยิวต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เรื่องการให้อภัย ที่เราเรียนรู้กันอยู่นี้ ก็เป็นเพียง 1 ใน 600 กว่าข้อเท่านั้น  ที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ให้รู้ว่าพูดตรงนี้ไป โดนทุกคน

“ฉันเป็นคนมีเมตตา ฉันอภัย ฉันไม่เคยฆ่าคนเลย ไม่เคยตีหัวชาวบ้านเขา”

พระเยซูบอก “แค่ว่าเขาไอ้บ้า แค่โกรธเขานิดเดียว ก็เท่ากับฆ่าเขาแล้ว ไม่รู้เหรอ” เป็นอย่างนี้

พระเยซูพยายามบอกว่ากฎ มันมีจริงๆ แล้วต้องทำตามจริงๆ ถึงจะรอด แต่มนุษย์ทำไม่ได้ พยายามชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทำไม่ได้ๆ แต่มนุษย์ก็พยายามทำให้รู้สึกว่าเอาแค่ครึ่งหนึ่งก็พอ พระเยซูบอกไม่ได้ ขีดๆ หนึ่ง จุดๆ หนึ่ง ก็จะไม่ถูกลบเลือนหายไป จนกว่าสิ่งนั้นจะถูกทำให้สำเร็จ ซึ่งพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนแทนพวกเราทุกคน เราจึงต้องไปพึ่งพระเยซู ถ้าเราทำสำเร็จแล้ว เราพึ่งตัวเองได้ เราก็ไม่ต้องไปพึ่งพระเยซูไง ถ้าไม่พึ่งพระเยซู ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่า …

“เราก็ทำดีที่สุดแล้ว”

พูดถึงตอนก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด และหลังพระเยซูมาเกิด ก็ยังมีคนคิดอย่างนี้อยู่ ในพวกชาวยิว

“เราก็ทำดีที่สุดแล้ว ก็ได้แค่นี้ พระเจ้าคงเข้าใจในความพยายามของเรา และความตั้งใจของเราดีอยู่แล้ว”

นี่คือความคิดแบบมนุษย์ ที่ร้ายแรงมาก ดูเหมือนหนุนใจดี แต่มันไม่ใช่ เพราะถ้าคิดอย่างนี้เมื่อไร? พระคุณทางพระเยซูคริสต์จะหมดความหมายทันที

เปาโลก็คิดอย่างนั้นนะ อดีตที่เปาโลยังไม่ได้มาเชื่อ

“ฉันถือได้ 300 แล้ว พวกเธอทำไมไม่ถือ เธอยังได้แค่ร้อยกว่าเอง ฝึกต่อไปสิ อดทนต่อไป รักษาต่อไป แล้วกะว่าสิ้นปีหน้า ฉันจะได้เป็น 400 ข้อ”

แล้วก็มาอวดกัน แล้วไปเจอบางคนไม่ถือเลย อยู่นอกวิหาร ตีอกชกหัว พระเยซูยกตัวอย่าง …

“พระเจ้าเมตตาลูกด้วย ลูกเป็นคนเลว ลูกเป็นคนบาป ไม่มีอะไรดีเลย”

แล้วพวกฟาริสีบอก “นี่ไง พวกนี้ ตกนรกแน่นอน ไม่รักษาบัญญัติเลย ไม่ได้สนใจเลย ฉันไปสวรรค์ ฉันดีกว่าเขาตั้งเยอะ”

พอเห็นอะไรไหม? แต่พระเยซูบอกเป็นศูนย์เท่ากัน ไม่มีคำว่าดี 90% ไม่มีคำว่าดี 99% ไม่มีคำว่าดี 99.99% ไม่มี เพราะ 99.99% ก็คือจุดหนึ่งมันหายไป พระเยซูบอกจุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่ถูกลบหายไป จะบอกว่าได้ตั้ง 99.99% ทำด้วยตัวเองถึงขนาดนี้ ไม่ได้ พระเยซูบอกว่าพระเจ้าต้องการ 100%

แม้กระทั่งหน้าสุดท้ายของหนังสือวิวรณ์บอกว่าใครก็ตามที่ให้จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ลบหายไป ไม่ได้เข้าสวรรค์แน่ ก็เพราะว่าเขาพึ่งตัวเองไง เขาเอาตัวเองเป็นตัวตั้งว่า …

“ฉันทำได้เท่าไร?”

มนุษย์ก็เลยเอาความคิดตรงนี้มาแข่งขันกัน มาอวดกัน การทำความดี

“ฉันชั้นที่ 8 แล้ว เธอชั้นที่ 6 เอง ฉันกำลังพุ่งไปสู่ชั้นที่ 9 เธอยังอยู่ชั้นที่ 6 ชั้นที่ 4 ชั้นที่ 2 ไปกันใหญ่เลย”

แต่สำหรับพระเจ้าแล้วเหมือนกันหมด พระคัมภีร์บอกมนุษย์เป็นคนเลวหมด ชั่วเหมือนกันหมด ไม่มีคนดีสักคนเดียว แต่พอพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ช่วยมนุษย์ทุกคนให้ได้มีโอกาสรอดจากความบาปแล้ว หนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 บอกว่าทุกคนรอดเหมือนกันหมด

“เหมือนกัน” แปลว่ารอดด้วยพระคุณ เพื่อว่าจะได้ไม่มีใครสามารถอวดตัวได้ว่าฉันทำ แล้วฉันได้รอด …

“เป็นไปได้อย่างไร โจรบนไม้กางเขน ทำชั่วมาตลอดชีวิตเลย แค่บอกพระเยซูว่าฉันเชื่อพระองค์แล้ว  ได้รับความรอด”

มนุษย์ก็คิดแบบมนุษย์ เอาไปแข่งกัน เอาไปอวดกัน เย่อหยิ่ง คนไหนทำได้มาก ก็คิดว่าจะได้รับรางวัลจากพระเจ้ามาก ก็จะมาอวดกัน นี่พูดถึงช่วงนั้น ช่วงที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ทำงานยังไม่สำเร็จ อวดกัน

“ทำอย่างไร ถึงจะอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าได้”

แปลว่า “ทำอย่างไร เมื่อไปสวรรค์ถึงจะได้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ถ้าคนอื่นเขาทำ 10 ข้อ ฉันทำสัก 15 ข้อ ได้อยู่เบื้องขวาไหม?”

ขึ้นไปยังคิดอีกว่าถ้าฉันทำเยอะๆ ฉันจะได้ดีกว่าคนอื่นเขา เถียงกันทั้งยอห์น ทั้งยากอบ ทั้งเปโตร

นี่ขนาด สาวกใกล้ๆ กัน ใครจะอยู่เบื้องขวา แต่หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ สาวกเหล่านี้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีใครถามอีกต่อไปเลยว่าจะอยู่เบื้องขวาเบื้องซ้าย ทุกคนเท่ากันหมดเลย เหมือนที่พระเยซูยกตัวอย่างเรื่องที่เจ้าของสวนจ้างคนงานมาทำงาน จะทำ 8 โมงเช้า จะทำ 5 โมงเย็น ทำงานเวลาไหน? ได้ค่าจ้างเท่ากัน 1 เดนาริอัน ไม่ใช่คนมาทำสายๆ จะได้น้อยกว่า ทุกคนได้เท่ากัน แล้วจะมาโวยวายอะไรกัน มนุษย์ชอบคิดว่าฉันทำเยอะกว่า ฉันควรจะได้เยอะกว่า ลืมคิดว่าไปว่าที่เธอทำได้เยอะ มันก็ไม่สมบูรณ์ มันไม่เข้าข่ายการรับการอภัยโทษจากพระเจ้า ยังไง มันตกนรกอยู่ดี พระเยซูกำลังจะบอกว่า …

“ถ้าเธอยังพึ่งตัวเองอยู่ เธอไม่มีทางไปสวรรค์เลย ถ้าเธอยังถือกฎบัญญัตินั้น แล้วจะไปทำตาม ไม่ได้เลย ฉันนี่แหละจะมาทำกฎบัญญัตินั้นให้สำเร็จ เธอต้องมาพึ่งฉัน เธอต้องเชื่อในฉันเท่านั้น”

พระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล พระองค์ต้องยุติธรรมต่อทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น ต้องตามกฎจริงๆ ถึงจะเป็นผู้ชอบธรรม ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ จะอะลุ่มอล่วยกันก็ไม่ได้  พระเยซูบอกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องมีพระองค์ ต้องการพระองค์เพียงอย่างเดียว ถึงจะได้รับความรอดจากบาป ไปสู่สวรรค์ได้ โดยเขาต้องเกิดใหม่ โดยเขาต้องผ่านทางความเชื่อในพระองค์ … พระองค์จะมาช่วยมนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากความบาป ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือแค่เชื่อ แล้วได้รับการบังเกิดใหม่

อย่างที่ผมบอกแล้ว ทั้งหมดนี้ อุปมาก็กลับมาสอนเรื่องเดิม ต้องบังเกิดใหม่ จะได้เข้าสวรรค์ได้ จบ จะเข้าสวรรค์ก็เหมือนกันหมด เข้าเท่ากันหมดเลย  เพราะตอนก่อนเข้าสวรรค์ มันก็ชั่วเท่ากันหมด พอเข้าสวรรค์ก็เท่าๆ กันหมด ไม่ใช่คนนี้ ได้รางวัลพระเจ้ามาก รับใช้เยอะ เทศนาเยอะ ประกาศเยอะ ไม่มีเท่ากันหมด เพราะการเทศน์เยอะ การประกาศเยอะ รับใช้เยอะ มันได้ทำให้คุณได้รับความรอด คุณคิดไปเองว่าคุณได้รับรางวัล เปล่าเลย คุณรอด เพราะพระคุณของพระเจ้า ฟรีๆ  ผ่านทางพระเยซูคริสต์  เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนกับคนมาเชื่อเมื่อวานนี้ ตลอดชีวิตเขาขี้เหล้าเมายามาตลอด อาทิตย์ต่อไป ก็เสียชีวิตแล้ว เขาก็ไปสวรรค์เท่ากับคุณ ไม่มีใครเบอร์หนึ่ง เอเมน แค่นี้เอง

“พยายามทำต่อไปให้ดีที่สุดแล้วกัน พระเจ้าเข้าใจดี” นั่นเขากำลังปลอบใจคนอื่นแบบผิดๆ

ต้องบอกเขาเลย “ไม่ได้ เธอต้องมาพึ่งพระเยซู”

เธอทำไม่ได้หรอก อภัยให้ไม่ได้ ไปโกรธ ไปด่า มนุษย์ก็ทำอย่างนี้นะ แต่ที่เธอด่าไป ที่เธอโกรธไป มันเนื้อหนัง มันไม่ใช่ตัวเธอจริงๆ ตัวเธอจริงๆ คือวิญญาณ สามารถบังเกิดใหม่ได้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน เมื่อเธอเกิดใหม่ วิญญาณเธอบริสุทธิ์แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนังที่มันเป็นกาฝากที่อยู่ในร่างกายนี้เลยสักนิด ซึ่ง ณ วันนี้ มันยังอยู่ในร่างกาย วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเธอจากโลกนี้ไป วิญญาณและความคิดจิตใจของเธอที่บริสุทธิ์นั้น ไปอยู่กับพระเจ้าและได้รับร่างกายใหม่ ร่างนี้ มันตกกระป๋องไปแล้ว มันไม่เกี่ยวกัน มันไม่ใช่ตัวเธอ เธอไม่เคยโกรธใครเลย ตั้งแต่เกิดใหม่แล้ว เอเมน ถ้าท่านไม่เชื่อตรงนี้ ท่านกำลังบอกพระเยซูโกหก พระเยซูบอกว่าถ้าท่านบังเกิดใหม่  ก็คือบังเกิดใหม่ ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าจะโกหกได้อย่างไร? ท่านกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้ามาสร้างบ้านอยู่ในท่าน วิญญาณท่านจุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จุ่มลงไปในวิญญาณพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน สะอาดหมดจดแล้ว ท่านจะโกหกได้อย่างไร? ท่านจะโกงได้อย่างไร? ท่านจะฆ่าคนได้อย่างไร? ท่านจะเป็นคนเลวได้อย่างไร? ไม่เป็นแล้ว แต่ …

“ฉันยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราว เดี๋ยวก็ทิ้งมันไป”

ความหวังเรา ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ออกจากร่างไป นั่นแหละอิสระ นั่นแหละ Freedom นั่นแหละโซ่ตรวนหักหาย ฉันได้เป็นไท (จริงๆ) แต่ตอนอยู่ในโลกนี้ หักหายในวิญญาณ แต่ร่างกายยังคงทุกข์ทรมานกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะเนื้อหนัง เพราะกาฝากมันเกาะอยู่ แต่พระเจ้ายังต้องใช้เนื้อหนังนี้อยู่ ให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อกระทำการงานของพระองค์ ซึ่งมีอย่างเดียว คือแผนการของพระเยซูทำมา และให้เราทำต่อ ก็คือการประกาศข่าวดี ให้กับผู้คนได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่และการเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างไร? นี่แหละหน้าที่ของเรา มีแค่นี้เอง ซึ่งความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ไม่มีทางที่จะทำด้วยตัวเองได้ ให้บริสุทธิ์ 100% ได้ มนุษย์ก็รู้ แต่ด้วยพระคุณพระเจ้าเท่านั้น ที่มนุษย์จะรอดพ้นจากโทษของความบาป ความตาย และได้รับการบังเกิดใหม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้าได้ เขาเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม คือไม่มีบาป ไม่มีการตัดสินคดีว่าเป็นคนดี คนบาป แต่ตัดสินเป็นคนดี 100% และสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ อยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์กาล ว่าไปแล้ว ก็อยู่เดี๋ยวนี้เลย เมื่อเชื่อก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว เพียงแต่เรายังติดอยู่ที่ร่างกายนี้ ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบมนุษย์อยู่ เพราะว่าพระเจ้าต้องการใช้ร่างกายนี้ ให้เป็นเครื่องมือของพระองค์ในการประกาศข่าวดีต่อไป

ถามว่าเราอยู่บนโลกนี้ทำไม? ทุกข์ทรมานร่างกายก็แก่ลงไป และยังมาสู้กับกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กาฝากนี้อีก พระเจ้าบอกยังไม่หมดงาน กำลังใช้อยู่ มีป้ายปักข้างหลังไว้ว่า “อยู่ในระหว่างการใช้งาน” แล้วร่างกายนี้อยู่ในการทรงสร้างใหม่ วันหนึ่งข้างหน้า ตัวเก่านี้ทิ้งไปเลย รอตัวใหม่ สะอาดหมดจด เอเมน ดีใจไหมตอนนี้ สบายไหม?

มิน่า พระเยซูจึงบอกว่า “ใครที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รวมทั้งชาวยิวด้วย รวมทั้งไม่ใช่ยิวด้วย รวมทั้งคนที่ทำอบายมุกทุกชนิด รวมทั้งคนที่มีความชอบธรรมมากเลย เป็นคนดีมากๆ เลย พวกนี้ทั้งหมด เหนื่อยทั้งนั้น มาหาเราสิ เราจะให้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

หายเหนื่อย คืออย่างนี้ มอบภาระไว้ที่พระเยซู มันแปลว่าอย่างนี้ แล้วก็พึ่งในพระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “ความหมายของการให้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2018

เรื่อง “ความหมายของการให้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เดือนพฤศจิกายน ใกล้เทศกาลอะไรน๊า เทศกาลขอบคุณพระเจ้า เราก็มาเริ่มต้นคุยกันทุกปี ปีนี้พิเศษนิดหนึ่งว่าเราจะขอบคุณพระเจ้าอย่างไร ถึงจะเหมาะที่สุด รู้ไหม?  มีอันเดียว ที่ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าให้เราขอบคุณตรงนี้ เพื่อชีวิตเราเอง ไม่ใช่เพื่อพระองค์เลย คนที่เป็นพ่อแม่ คนที่เป็นคนให้กำเนิด ก็จะมักจะอย่างนี้เสมอ ไม่เคยคิดถึงตัวเองหรอก คิดถึงคนอื่นเสมอ บางทีสอนไป ให้ทำไป ดูเหมือนทำให้พระองค์ แต่ไม่ได้ทำให้พระองค์หรอก ส่วนประโยชน์อันใหญ่ยิ่งเกิดขึ้นกับคนทำนั่นแหละ ก็คือลูกคนนั้นที่กตัญญู พระเจ้าบอกว่าถ้าอยากจะรับใช้พระองค์ ให้มีชีวิตด้วยการให้

วันนี้ เราจะมาคุยกันเรื่องการให้ นานจะคุยทีหนึ่ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่บาดใจมาก ไม่อยากจะคุยเลย คุยทีไรมันสะเทือน เพราะมันสะเทือนหัวใจที่สองของเรา ซึ่งสำคัญกว่าหัวใจแรกอีก  หัวใจแรกเราอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา? ทางซ้าย  หัวใจที่สองอยู่ซ้ายขวาเลย รู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน? กระเป๋าตังค์ พูดถึงกระเป๋าตังค์ ทุกคน  วันนี้จะพูดถึงการให้

การให้ คือการต้องให้ออกไป หลายคนไม่เข้าใจ มาหาพระเจ้า  เวลาจะให้ จะถวาย  ทำไงรู้หรือเปล่า? ตั้งเป้าเลย อยากจะได้คืนตรงนั้น อยากจะได้คืนตรงนี้ อยากได้ตรงนั้น อยากได้ตรงนี้ เลยไม่ได้เลย เพราะว่าการให้ ให้โดยตั้งใจว่าอยากจะได้คืน ไม่ใช่ให้เลยไง เอาใหม่อีกที การให้โดยที่เราตั้งใจหวังว่าจะได้คืน ไม่ว่าจะคืนน้อย คืนเยอะ คืนอะไรก็ตาม มันก็คือไม่ได้ตั้งใจจะให้ ถูกไหม? เราเรียกว่าอะไร? ถ้าทำอย่างนั้น อย่างท่านไปตลาด

ท่านตั้งใจจะซื้อมะม่วงสักโลหนึ่ง ท่านเอาเงินให้เขา 200 เพื่ออะไร? ท่านให้เงินเขาไป 200 ท่านให้เงินเขา 200 ใช่หรือเปล่า? ไม่ได้ให้ ท่านแลกกับมะม่วงที่ท่านตั้งใจอยากได้ อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าให้ เห็นหรือยัง? นี่คือแง่มุมหนึ่งที่ให้เราได้สังเกตเห็น

อีกอันหนึ่ง แง่มุมหนึ่งที่ให้เห็น ก็คือขณะที่เราไปกับเพื่อนเรา เราทานข้าว 2 จาน สั่งจานหนึ่ง แล้วยังไม่อิ่ม สั่งอีกจานหนึ่งมา ปรากฏว่าสั่งอีกจานหนึ่งมา อิ่มเกินไป กินได้ครึ่งจานอิ่มแล้ว อีกครึ่งจานเราให้เพื่อน  แบ่งให้เพื่อน เราให้เธอ เราให้เขาไหม? ถามจริง เราให้หรือเปล่า? อีกครึ่งจานเราให้เขาไหม? ไม่ได้ให้ ทำไม?  เราเหลือ เราไม่ได้ตั้งใจให้เขาสักหน่อยเลย เราเหลือ เรากินไม่หมด เราจะทิ้งแล้ว ทิ้งไป ก็เสียดาย เพราะฉะนั้น ให้ดีกว่า อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้ไม่ใช่ให้ บางคนบอกฉันเสียดายนะ เอาไปให้เขาดีกว่า อย่างนี้ไม่ใช่ให้ ให้ในลักษณะของพระเจ้า ไม่ใช่แบบนี้

แค่ยกตัวอย่าง 2 อย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจนว่าคำว่าให้ในลักษณะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของพระเจ้า แปลว่าอะไร? คำที่พระเยซูพูดว่าการให้ เป็นเหตุให้เกิดความสุขมากกว่ายิ่งการรับ การให้ที่พระเยซูพูด หมายถึงอะไร? หมายถึงการแลกหรือ? หมายถึงการลงทุนหรือ? เพื่อจะหวังกำไรหรือ?  ไม่ใช่ แต่การให้เป็นลักษณะอย่างนี้ อยู่ใน 2 โครินธ์ 9:6 จะได้รู้ว่าที่แล้วมาทั้งปี หรือบางคนเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ตั้ง 10 ปีแล้ว ได้ให้อะไรบ้างไหม? ปรากฏว่าคิดมาแล้ว ไม่ได้ให้เลย ทั้งหมดเป็นการลงทุน และเป็นการทิ้งขยะของเหลือ เสียดาย ไหนๆ จะทิ้งอยู่แล้ว ก็เลยไปให้คนอื่นเขา อย่างนี้ไม่ได้ให้แบบพระเจ้า

2 โครินธ์ 9:6-8 6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรใหตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง

 

ตะกี้ผมอ่านแบบตกร่องให้ท่านเห็น  เพื่อให้ท่านจำแม่นๆ ว่านี่คือการให้ จำไว้ ให้ต้องคิดหมายไว้ในใจว่าเราตั้งใจให้จริงๆ ให้ ก็คือให้ ไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาถึงเรียกว่าให้ ถ้าหวังแม้แต่นิดเดียว คือจะเป็นลงทุนก็ตาม จะเป็นเศษของ ของเหลือ ก็ตาม ช่วยเอาไปเก็บที ช่วยเอาไปทิ้งขยะที นั่นแหละ เรากำลังบอกเพื่อเรา เอาไปทิ้งขยะที  แหม! ทำเป็นมีบุญคุณอีกนะ ให้เขา ตัวเองก็กินไม่ลง อย่างไรก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว นึกออกใช่ไหม? เสื้อขาดๆ แทนที่จะเอาไปทำขี้ริ้ว แต่เอาไปให้เขา แล้วก็บอกว่าให้ ไม่จริง

ถ้าท่านอยากให้จริงๆ ยกตัวอย่างเสื้อขาดๆ คุณต้องเอาเสื้อที่คุณรักที่สุด อย่างนี้แหละ ท่านจะชัดเลยว่านี่ให้จริง เวลาให้ มันจะมีเหมือนมีดเฉือน เลือดชิบๆ นิดๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่าให้ พระเจ้าทำเป็นตัวอย่าง ยอห์น 3:16 พระเจ้าทรงให้พระบุตร คือพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา นี่แหละให้ เลือดชิบๆ มีเสียสละลงไป นั่นแหละ คือการให้

“คิดหมายไว้ในใจ” คือตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เมื่อไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ก็ไม่เสียใจเลย มีแต่สุข ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจ ยังไม่ทันให้เลย แค่ตัดสินใจได้แล้ว

ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เราตั้งใจจะมาโบสถ์ คิดว่าจะเอาเงินมาให้ เพื่อมีส่วนร่วมในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า การเอาเงินมารวมกันที่โบสถ์ โบสถ์ ก็คือสถานที่ของพระเจ้า เพื่อจะเอาไปประกาศข่าวดีหลายๆ ทาง แล้วแต่ ให้ข่าวดีออกไป เป็นการงานดี ตั้งใจจากที่บ้านแล้ว ตั้งใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว อธิษฐานเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจตั้งแต่ที่บ้านแล้ว วันนี้ 10 บาทนี้จะให้ออกไป จบสิ้น พออธิษฐาน เอเมนปุ๊บ มีสุขแล้ว  เพราะไม่ได้นึกว่า 10 บาทนั้น มันไม่ใช่ …

“พระเจ้า ลูกให้ไป 10 บาทแล้ว พระองค์สัญญา (เปิดพระคัมภีร์เลย 2 โครินธ์ บทที่ 9 เมื่อตะกี้) พระองค์จะให้ลูกเหลือล้น ให้ทุกอย่างที่ลูกจำเป็น โอ้! เหลือล้น มีทรัพย์สินเงินทองเยอะแยะ ลูกเหลือล้นมีมากมาย”

ไม่ใช่วิธีนั้น … ใช่ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปหวังว่าจะต้องเหลือล้นอย่างนั้น จะต้องเหลือล้นอย่างนี้  ในนี้บอกมีทุกอย่างที่จำเป็น แล้วใครเป็นคนตัดสินใจจำเป็น? ใคร? เราเหรอ ถ้าเราจำเป็น มันจำเป็นไปหมด มากกว่ารถเบนซ์ ยังจำเป็นเลย มีรถเบนซ์ก็อยากจำเป็นเป็นรถยี่ห้ออื่น ไปดวงดาว ก็จำเป็นไปดวงอื่นต่อๆ ไป ไปดวงจันทร์ได้ ก็จำเป็นที่จะไปดวงดาวพฤหัสฯ ที่ไกลออกไป ไม่มีวันจบวันสิ้น นี่คือจำเป็นเหรอ เราไม่มีทางหรอก เพราะเราอยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในความบาป อยู่ในความอ่อนแอ เป็นไปไม่ได้หรอก ดังนั้นความจำเป็นตรงนี้อยู่ที่พระเจ้า พระองค์ทรงประทานให้เราทุกอย่างที่เราจำเป็น ถ้าเราอธิษฐานอย่างนี้ว่าเราตัดสินใจถวาย 10 บาท จบ พรุ่งนี้ให้ออกไปเลย จบแล้ว เรานอนหลับสบาย ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เพราะว่าไม่ว่าเราจะจำเป็นอะไร เดี๋ยวพระเจ้าจัดการให้เอง อย่างนี้ คือเรียกว่าให้ เอเมนไหม? จบสักที

นึกว่าพระเจ้าเป็น ATM นึกว่าพระเจ้าเป็นสลอดแมนชีน ให้ไป 10 บาท กะจะได้ 100 นี่คิดการค้าเกินควร ตำรวจควรจำนะเนี้ย  เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่แย่มากเลย จะเอาตั้ง 10 เท่า 100 เท่า เห็นพระเจ้าเป็นแบบหมูๆ ให้ไป 10 บาทจะเอามา 100 เอามาพัน ไม่ใช่หน้าที่เรา  นี่แหละคือเคล็ดลับของการเจริญรุ่งเรืองในทางพระเจ้า มันนิดเดียวเอง ทำได้ไหม? นานๆ พูดที ทำได้ไหม? ทำได้ อดทนหน่อย ฝึกตั้งแต่นิดๆ หน่อยๆ 10 บาท ก็ทำได้ ถ้าท่านทำ 10 ได้ 100 บาทก็ทำได้  100 บาท ต่อไปเป็นพันก็ทำได้ เห็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน เป็นสิบล้าน เป็นยี่สิบล้าน เป็นร้อยล้านท่านก็ทำได้ เพราะมันเริ่มจากนิดเดียว อย่ารอบอกพระเจ้า …

“พระเจ้าให้ถูกล๊อตเตอร์รี่ก่อน จะให้เลย”

ไม่มีวันให้หรอก อย่างนี้ก็โลภตลอดชีวิต ไม่มีทางเป็นไปได้เลย มันต้องมาจากนิดเดียว ถ้าน้อยท่านให้ได้ ใหญ่ก็ให้ได้ น้อยยังให้ไม่ได้เลย อย่าไปหวังเลยว่าพอมีเยอะๆ แล้วจะให้ เป็นไปไม่ได้ ทุกคน พอเป็นไปไม่ได้ นึกถึงจะเป็นไปได้ทุกที แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก …

“รอให้ฉันถูกล๊อตเตอร์รี่ก่อนเถอะ ฉันจะสร้างโบสถ์เองเลย จะถวายครึ่งหนึ่งของที่ถูกเลย”

สมมติว่าถูกจริงๆ ให้ไหม? คิดเอาเองแล้วกัน ถ้าบางคนบอกว่าให้ ถูกเลย ให้ครึ่งหนึ่ง ก็หวังพระเจ้าจะให้อะไรมาอีกไหม? ไม่มีวันจบสิ้น อย่างนี้เขาเรียกว่าโลภ ซึ่งพระเยซูบอกว่าจงระวังความโลภทุกชนิด  ทุกคนรู้วิธีการให้ แล้วแต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? บอกว่ามีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลาด้วย 10 บาท เมื่อคืนตัดสินใจให้ไปแล้ว เงินยังไม่ได้จ่ายออกจากกระเป๋าเลย มีความสุข นี่แหละ มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ โอ้โห ยิ้มตลอดเลย  ยิ้มหวังว่าจะได้ เปล่า ยิ้มหวัง พระเจ้าดูแล แม้กระทั่งนกในอากาศ  พระองค์ยังดูแลเลย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ลูกเป็นลูกพระองค์ พระองค์จะดูแลลูก เพราะลูกเป็นลูกที่เชื่อฟัง จบ

ลูกเป็นลูกที่ไม่โลภ แล้วแต่พระองค์ แล้วแต่ทุกอย่าง ชีวิตมีความสุข แล้วในนี้บอกว่าทุกเวลา ทุกเวลา คือคุณจำเป็นอะไร? ทุกเวลา มันไม่แน่นอน วันนี้ท่านอาจจะจำเป็นใช้เงิน แต่ในวันข้างหน้าอีก 10 ปีท่านอาจจะไม่ได้ใช้เงินแล้ว เพราะเงินท่านมีแล้ว  หรืออาจจะไม่มี แต่เงินก็ช่วยไม่ได้ ในตอนนั้น  อย่างอื่นมากกว่าที่ช่วยได้ ซึ่งผมก็ไม่รู้อะไร เงินก็ช่วยไม่ได้ ถูกไหม? แต่อาจจะเป็นคนข้างเคียงช่วยได้ อาจจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้โดยเฉพาะมาช่วยคุณได้ พระเจ้าจะส่งคนนั้นแหละมาหาคุณ เอาสติปัญญามาให้คุณ เงินก็จะช่วยไม่ได้ เอเมนไหม? เยอะแยะมากมาย ในชีวิตเราก็ผ่านมาเยอะ ทุกเวลา เวลาไหนก็ตาม เวลาที่เราจำเป็นต้องใช้อะไรต่างๆ มาถึงที่เลย  ใครเอามาให้ พระเจ้าจัดเตรียมให้ และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง

ล้นเหลือทำการดี ไม่ได้หมายถึงเงินนะ บางทีแรง บางทีสติปัญญา  บางทีโอกาสด้วย บางครั้งมันมีโอกาสให้ท่านทำดี มันมีโอกาส บางคนไม่มีโอกาส พระเจ้าเปิดโอกาสให้ท่านมีโอกาสทำดี ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าพาท่านเผอิญเดินไปเจอคนกำลังเป็นลม ล้มฟุบลงไป พระเจ้าทำการงานในใจของท่านช่วยเขา ดูแลเขาอย่างดี จนกระทั่งเขาหายดีเลย เรียบร้อยแล้ว ท่านรู้สึกมีความสุขมากเลย ที่ได้ให้ตรงนี้ออกไป ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเลยว่าวันนี้ ท่านจะเดินออกจากบ้าน เคยมองดูใครล้มบ้าง ท่านไม่ได้ดู ท่านก็ทำงานชีวิตของท่านไปเรื่อยๆ อยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา แต่พอเกิดขึ้นปุ๊บ ทันทีปุ๊บ เวลานั้นทันที ท่านต้องการอะไร? ท่านได้รับการทรงนำจากพระเจ้า เรื่องความรัก ความเสียสละ ความเสี่ยง ที่จะกล้าทำ บางครั้งมันเสี่ยงนะ เขาอาจจะอยู่กลางถนนก็ได้ ท่านต้องเสี่ยงบ้าง แต่พระเจ้าจะบอกท่านว่าให้ทำอะไรบ้าง? ในขณะนั้น  แล้วท่าน พอทำเสร็จแล้ว ท่านดูเป็นฮีโร่เลยนะ นี่คือการดี ฮีโร่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ แต่อย่าไปรับนะ อย่าไปรับว่าเราเป็นฮีโร่ เราขอบคุณพระเจ้า แล้วก็เดินผ่านไป นั่นคือหนึ่งบทบาท ในชีวิต ไม่ได้มีเป็นหยากเยื่อเลย สำหรับเรา ขอบคุณพระเจ้า  เป็นการดีอันหนึ่ง ที่พระเจ้าทำผ่านชีวิตเรา จบ ไม่ใช่เราควรจะได้รับเกียรติ ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นพระเจ้า แล้วก็เดินผ่านไป เห็นไหม?

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเรา แต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในการให้ด้วยความตั้งใจจริงจากข้างในว่าให้เพราะความยินดี คืออะไร? ให้จริงๆ นะ ไม่ใช่ให้เพื่อหวัง เอเมน

จากนี้ต่อไป รู้จักการให้แล้วนะ เพราะฉะนั้น ก็ถึงเวลาประมาณ 11 โมงกว่าๆ คริสตจักรก็จะมีเวลาให้ท่าน ช่วงนี้ เป็นเวลาที่แล้วแต่ท่าน จะบอกท่านเสมอว่าทำใจให้สบาย จะให้ไม่ให้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วไม่ต้องให้วันนี้  เดี๋ยวนี้ก็ได้ ไปให้ที่อื่น แอบให้ อะไรก็ตาม อยู่ที่ท่าน วิธีการให้ ผมอยากจะบอกท่าน เป็นพยานกับท่านว่าคนทำอย่างนี้ เป็นได้อย่างนี้จริงๆ

ถ้าใครอยากได้พระพรที่พระเยซูบอกว่าเป็นสุขมากยิ่งกว่าการรับ ใครอยากได้ล้นเหลือ มีทุกอย่างเท่าที่จำเป็นในทุกเวลา  จงให้ๆ อย่าหยุดให้ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? จะแนะนำท่านว่าจงให้เถิด ยิ่งให้มากเท่าไร? ท่านยิ่งได้มากเท่านั้น คำว่า “มาก” ไม่ใช่เงินจำนวนมากๆ หมายถึงให้ตามกำลังของท่าน คนมีล้านหนึ่ง เขาให้ 10 บาท กับคนมี 10 บาท เขาให้ 10 บาท มันต่างกันเยอะเลยนะ คนมีล้านหนึ่งให้แสนหนึ่ง กับคนมี 10 บาท ให้ 9 บาท ต่างกันเยอะเลยนะ มันไม่ได้อยู่ที่เงิน มันอยู่ที่จำนวน การเสียสละของท่านออกไป  การเฉือนเนื้อของท่าน การเฉือนหัวใจของท่านเจ็บปวดขนาดไหน? ท่านยอมออกไปนั้น  ตัวนี่แหละ คือตัวกำหนดว่ามันเยอะขนาดไหน? ซึ่งมันวัดกันไม่ได้ คนมีความสามารถอยู่หนึ่งแสน มันหลอกไม่ได้หรอก ก็รู้ว่าตัวเองมีแสนหนึ่ง คนมีหนึ่งพัน ก็หลอกไม่ได้หรอกว่าตัวเองมีหนึ่งพัน เพราะฉะนั้น เขาเฉือนจากหนึ่งพัน ไปร้อยหนึ่ง 10% นะ แต่คนมีแสนหนึ่ง เฉือนร้อยหนึ่ง เฉือนออกไปห้าร้อย เฉือนออกไปพันหนึ่ง สู้คนนี้ไม่ได้เลย มี 1% เท่านั้นเอง มันเป็นตัวเปอร์เซ็นต์มากกว่า

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ให้ท่านได้สังเกตว่าได้ให้มากมาย แล้วพยายาม คือฝึกฝน ครั้งแรกยกได้น้อย ต่อไปจะยกได้มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นกฎกติกาที่พระเจ้าวางไว้  กล้ามเนื้อในการให้ออกไป มันจะเพิ่มพูนขึ้นๆ อย่าไปอยู่ดีๆ แบกหนักๆ ล้มทับตาย ทีละนิดทีละหน่อย ไม่ได้เดือดร้อนเลย  แต่เป็นการฝึกฝน เอาใจใส่ ตั้งใจจริง  เอเมน

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 7 “สงครามหลังการบังเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  ตุลาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 7 “สงครามหลังการบังเกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ถึงเวลาทานอาหารทางฝ่ายวิญญาณ วันนี้เราต่อเลยนะ เรายังอยู่ในซีรี่ย์ เรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู วันนี้เป็นตอนที่ 7 หลายตอนที่ผ่านมา เราเน้นกันไปเยอะ ในเรื่องของการบังเกิดใหม่ ตามที่พระเยซูได้บอกว่าคนที่เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า หรือเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น อุปมาคำสอนของพระเยซู ในเรื่องการบังเกิดใหม่ ที่เราเรียนกันไปแล้ว ทวนนิดหนึ่งที่บอกว่าต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว ต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นด้วย ผลของมัน เปรียบเทียบกับวิญญาณของมนุษย์จะเป็นวิญญาณที่ดี เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ได้ ก็ต้องเกิดมาจากต้นกำเนิดที่ดีเท่านั้น คือข้างในวิญญาณต้องบังเกิดจากพระเจ้า หรือเกิดจากพระวิญญาณเท่านั้น จึงจะดีได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่บังเกิดใหม่ ไม่มีวันได้ดีเลย เพราะว่าต้นไม้เป็นเลวอยู่

พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นคนดีพร้อม 100% เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว พูดไว้อย่างนี้เลยว่าคนไหนที่เชื่อในพระเยซู และบังเกิดใหม่แล้ว เป็นคนดีพร้อม 100%

คนที่พ่อแม่เป็นมนุษย์ เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ เขาตีแม่ เขายังเป็นมนุษย์ไหม? เป็น … เขาไปโกรธ ไปฆ่าคนตาย เขายังเป็นมนุษย์ไหม? เป็น … ในทำนองเดียวกัน พระเยซูบอกใครที่จะไปหาพระเจ้าได้ เขาต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ พอเกิดใหม่ในวิญญาณปุ๊บ ก็เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พอเขาเกิดใหม่ในวิญญาณ เขาเป็นลูกของพระเจ้าเลย เขาต้องไปทำอะไรให้เป็นลูกพระเจ้าไหม?  ไม่ต้องแล้ว

เราเป็นลูกพระเจ้าเมื่อพระเยซูหลั่งพระโลหิต ตายที่ไม้กางเขน เราอยู่ในพระเยซู เราตายไปกับพระเยซูด้วย เราคือมวลมนุษยชาติทั้งหมด ได้ถูกทำให้ตายไปพร้อมกับพระเยซู แล้วพระคัมภีร์บอกพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พวกเราทั้งหลายก็ถูกชุบให้เป็นพร้อมกับพระองค์ด้วย แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ฟังข่าวดีของพระเจ้าว่าเป็นอย่างนี้ เราเพิ่งรู้ เรามีหน้าที่บอกว่าเอาด้วยคน ใช้สิทธิ์ด้วย เขาก็ได้สิทธิ์นั้นทันที คือเขาได้เป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ แค่นี้เอง เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่าคนที่เชื่อในพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพ่อของเขา คือพระเจ้า 100% เหตุจากเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ ที่พระเจ้ากระทำในพระเยซู ตอนที่ให้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม คนที่เชื่ออย่างนี้ เขาเป็นคนบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เขาเป็นคนดีพร้อม 100% เลย เขาบอกว่าคนนี้พูดจา ใช้ไม่ได้เลย ฉันคนที่ยังโลภอยู่เลย ฉันคนที่ยังทำอะไรแย่ๆ อยู่เลย แต่พระเยซูบอกฉันดีพร้อม 100% เพราะว่าฉันเกิดมาดี เอเมน เพราะเกิดจากต้นไม้ดี เกิดจากรากที่ดี ยังไงมันก็ต้องดี เอเมน

หลังการบังเกิดใหม่ เราถูกย้ายจากยุคแห่งพันธสัญญาเดิม ไปสู่ยุคของพันธสัญญาใหม่  เราถูกย้ายจากตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไปสู่ยุคพระคุณ เราถูกย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืดของมาร ไปสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง เราถูกย้ายจากสภาพของคนบาป ไปสู่สภาพของคนชอบธรรม เราถูกย้ายออกจากการพึ่งการกระทำของตนเอง กลายเป็นเข้าสู่การพึ่งพาในพระเจ้า ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว  บนไม้กางเขน และชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาใหม่ เราถูกย้ายออกจากครอบครัวในอาดัม มาสู่ครอบครัวในพระคริสต์ ซึ่งสภาวะต่างๆ ที่เรากำลังพูด มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า … พระเจ้าเป็นวิญญาณมนุษย์ก็เป็นวิญญาณด้วย

วันนี้น่าจะเป็นตอนสุดท้ายในการเน้นย้ำ เรื่องการบังเกิดใหม่ การบรรยายในวันนี้ มีชื่อตอนว่า “สงครามหลังการบังเกิดใหม่” เรามาดูในพระคัมภีร์ยอห์น 14:21, 23 ที่พระเยซูได้พูดเองว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าและพระเยซูคริสต์จะมาสถิตอยู่กับเรา  ในร่างกายนี้

ยอห์น 14:21, 23 “21 ผู้ใดที่ยึดถือและเชื่อฟังคำบัญชาของเรา ผู้นั้นก็คือผู้ที่รักเรา พระบิดาของเรา จะทรงรักผู้ที่รักเรา และเราเองก็จะรักเขา และจะสำแดงตัวเราเองแก่เขาด้วย

23 ผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

 

“ผู้ใดที่ยึดถือและเชื่อฟังคำสอนของเรา”

พระเยซูกำลังสอนเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ และเข้าสวรรค์อย่างไร? ก็คือการบังเกิดใหม่ พระเยซูบอกผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา ก็คือเขาจะเชื่อว่าไปสู่สวรรค์ ไปอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน วิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น” 1 โครินธ์ 3:16 ว่าไว้อย่างนั้น

ถามว่าท่านคือวิหารบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น ท่านคือใคร? คือใครก็ตามที่บังเกิดใหม่แล้ว

ตัวท่าน ใช้คำว่า Body ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ พระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในวิหารที่เป็นชีวิตของเราจริงๆ ที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ด้วยกันกับชีวิตของเรา  เป็นหนึ่งเดียวกัน แยกกันไม่ออกเลย ท่านกำลังคิดในใจใช่ไหม? …

“ฉันบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดนั้น จริงหรือ? ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ จริงหรือ? เมื่อวานนี้ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันยังทำอะไรที่น่าเกลียดอยู่เลย แล้วพระเจ้าอยู่กับฉัน ตามพระคัมภีร์ที่ฉันอ่าน จริงหรือ? แต่พระคัมภีร์ก็บอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ! ว่าท่านคือวิหาร ท่านไม่รู้หรือ! ร่างกายของท่านเป็นที่อาศัยของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์  ศักดิ์สิทธิ์”

ซึ่งมันอธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจหรอก ต้องเชื่อเอาเท่านั้น … นี่แหละ ที่บอกว่าเป็นคริสเตียนเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ มันหมายถึงตรงนี้ เชื่อเอา พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ท่านก็เป็นวิหาร เพราะว่ามันลำบากมากที่จะอธิบายให้เข้าใจตามภาษามนุษย์ มันต้องใช้ความเชื่อว่า …

“มันเป็นอย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันก็เชื่ออย่างนั้น”

หนังสือฮีบรู บทที่ 11 บอกว่า “ความเชื่อ คือความแน่ใจ มั่นใจในสิ่งของที่จับต้องมองไม่เห็น แต่ฉันรู้ว่ามีจริงๆ ตามที่พระคัมภีร์บอก”

นั่นแหละความเชื่อ เพราะฉะนั้น เลยไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือหลักฐานอะไร ถ้าพระคัมภีร์เขียน อ่านแล้วอ่านอีก มันก็เป็นอย่างนั้น ใช้วิญญาณสื่อเข้าไปแทน สัปดาห์ก่อน ผมได้อธิบายส่วนประกอบของมนุษย์ว่าตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มีความคิดจิตใจและอารมณ์ อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราว ซึ่งผมไม่ได้พูดเอง ไม่ได้ฟังมาจากนักจิตวิทยาคนไหนด้วย แต่ผมฟังมาจากพระเจ้า

          1 เธสะโลนิกา 5:23 “ขอพระเจ้าเอง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข ทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์หมดจด ขอให้ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไร้ที่ติ เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา”

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน เป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกาย เห็นไหม? มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด เพียงแต่มนุษย์คนนั้นอยู่ในอาณาจักรไหน? อาณาจักรในอาดัม หรือในพระคริสต์ ในความมืด หรือความสว่าง ในมารหรือในพระเจ้า ในอาณาจักรเดิม ซึ่งต้องช่วยเหลือ พึ่งพาตัวเอง พึ่งพาการกระทำของตัวเอง ซึ่งกระทำไม่ได้อยู่แล้ว หรือจะพึ่งพาพระเจ้า จะอยู่ในกฎเดิม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน หรืออยู่ในกฎใหม่ ที่เขาเรียกว่า “พระคุณ” จะอยู่ในกฎพระวิญญาณแห่งชีวิต ซึ่งเป็นกฎใหม่ หรือจะอยู่ในกฎเก่า กฎของความบาปและความตาย จะเอาเช่นใด

เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์คนไหนหรือเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่ ทั้ง 3 ส่วนนี้หมดเลย เกิดใหม่จริงๆ มิฉะนั้นพระคัมภีร์ตะกี้นี้ ใน 1 โครินท์ 3:16 คงไม่บอกว่าร่างกายเราก็เป็นวิหาร อันบริสุทธิ์ของพระเจ้า เกิดใหม่ทั้ง 3 ส่วนนี้เลย คือที่วิญญาณ แล้วก็ความคิด จิตใจ และร่างกาย ทั้ง 3 ส่วนนี้ บังเกิดใหม่หมด เราได้เป็นลูกของพระเจ้า

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ทันทีทันใด พระองค์เข้ามาอยู่กับเรา โอบกอดเรา ห่อหุ้มเรา ครอบครองเรา ใช้คำนี้ด้วยซ้ำ ครอบหง่ำเข้าไปในเรา ทั้งหมด ทั้งสามส่วนนี่แหละ พระเยซูได้ทรงชำระล้างเรา ให้สะอาดและบริสุทธิ์ ในฮีบรูบอกว่า …

“ด้วยพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียวก็พอ”

เราเคยได้ยินใช่ไหม? พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้หลั่งที่ไม้กางเขน เพียงครั้งเดียว ในการชำระล้างร่างกายของเราผู้เชื่อ หรือมนุษย์ทุกคนให้สะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ หมายถึงเรา ที่เป็นตัวตนครบถ้วนบริบูรณ์ คือเราที่เป็นวิญญาณ เราที่มีความคิดจิตใจ และเราที่อาศัยในร่างกายนี้ แต่สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ใน 3 พระภาคของพระเจ้า เขาเรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเข้ามาอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ดองกับพระองค์ไปแล้ว แยกกันไม่ออกเลย

ตามถ้อยคำพระเจ้าก็ยังได้บอกว่าในขณะเดียวกัน เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังไม่จากโลกนี้ไป และบนโลกใบนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ต้องการ สิ่งนั้นเรียกว่ามาร และมารก็มีอาวุธประจำตัวของมัน ก็คือบาป ความบาป การต่อต้านพระเจ้า การไม่เชื่อฟังพระเจ้า มารอยู่บนโลกใบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่เมื่อปฐมกาล มันเข้ามาแล้ว พระคัมภีร์บอก มารเข้ามาพร้อมอาวุธของมัน ก็คือความบาป และยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่เลย คอยปิดบังตาให้ผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ในข่าประเสริฐของพระเจ้า นี่แหละคือหน้าที่ของมัน ทุกวัน พยายามปิดบังตา คนไหนที่เชื่อแล้ว ก็พยายามให้รู้น้อยที่สุด พยายามไม่ให้คนรู้เรื่องข่าวประเสริฐว่าพระเจ้าทำอะไรไปแล้ว ช่วยมนุษย์ได้อย่างไร? ซึ่งถึงแม้ว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้วก็ตาม

แต่ร่างกายของเรายังมีประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่อ่อนแอ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย จริงๆ มีอันหนึ่ง  คือความคิดของเรา ซึ่งมันสัมผัสไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง คือเราหยุดคิดไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่อ่อนแอทั้งหมดนี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา มันยังสามารถรับสื่อต่างๆ ภายนอกร่างกายเราได้ ก็คือจากสื่อของโลกใบนี้ พูดง่ายๆ จากมารได้นั่นเอง  แม้ว่ามันจะหลุดออกจากการเป็นทาสของมารแล้ว แต่มันยังเป็นสื่อ เป็นเหมือนสภาพกึ่งๆ ทาสที่ยังต้องรับข่าวสาร หรือสื่อสาร การกระตุ้นจากมารที่ส่งผ่านอาวุธของมัน คือความบาปเข้ามาได้ กระตุ้นชีวิตของเรา ผ่านทาง 5 สัมผัสนี้ ให้ทำตามมัน แต่ก่อนเราสู้มันไม่ได้เลย วิญญาณเราเป็นของมัน แต่ตอนนี้ วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า ความคิดเราเป็นของพระเจ้า ร่างกายเราก็เป็นของพระเจ้า แต่ว่าร่างกายนี้  ยังอ่อนแออยู่ ยังรับสื่อจากโลกบาปนี้อยู่ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ยังคงเวียนว่ายอยู่กับการทำผิด ทำบาป ทำไมถึงไม่ขาวบริสุทธิ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ก็เพราะแบบนี้ไง

พระเจ้าจึงสัญญาว่าวันหนึ่งจะเปลี่ยนให้เราใหม่ เปลี่ยนที่เดียว วิญญาณเปลี่ยนไหม? ไม่เปลี่ยน ความคิดจิตใจเปลี่ยนไหม? ไม่เปลี่ยน เปลี่ยนร่างกายใหม่ ไม่รับสื่อจากมารอีกแล้ว และว่ากันตามตรงไม่ได้เปลี่ยนร่างกายเราอย่างเดียว เปลี่ยนแม้กระทั่งที่อยู่ให้กับเราเลย คือมารถูกจับขังไว้เลย ไม่มีมารอีกต่อไป ไม่มีความมืดอีกต่อไป ทั้งหมดเป็นแสงสว่าง ดังนั้น ต่อจากนี้ไปไหน ไม่มีสื่อมืดๆ สกปรกๆ ส่งเข้ามาอีกแล้ว มันก็ใสกิ๊งเลย ทุกวันนี้ที่เรารอคอย ก็เพราะทุกคนมีความหวังอยู่อย่างนั้น วันที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ และพระเจ้าจะประทานร่างกายใหม่ให้กับเรา ทุกวันนี้ที่เราอ่อนแอ ก็เพราะร่างกายนี้แหละ

ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าจะให้เข้าใจในเรื่องนี้ดี ต้องเปรียบเทียบให้เห็นถึงองค์ประกอบของมนุษย์ ที่เป็นวิหารของพระเจ้าว่าจะเหมือนวิหารที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสทำ สมัยพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสวรรค์จริงๆ เลย ที่พระเจ้าสถิตอยู่ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่ที่โมเสสทำขึ้น จำลองมาจากสวรรค์อีกที พระเจ้าสั่งให้โมเสสทำอย่างนี้

วิหารที่พระเจ้าให้โมเสส ทำขึ้นนั้น จะเป็นพลับพลาที่แยกเป็น 3 ส่วน ส่วนภายนอกสุด จะเป็นลานของพระวิหาร หรือลานวิหาร เป็นที่ที่มนุษย์สามารถเดินเข้าออก มานมัสการพระเจ้าได้ ไม่มีกฎข้อห้ามมากมาย ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องความสะอาด ศักดิ์สิทธิ์มากมายนัก แต่ก็ศักดิ์สิทธิ์นะ เพราะเป็นเขตพระวิหาร เรียกว่าเขตพระวิญญาณ

ต่อมาชั้นที่ 2 ก็จะเป็นส่วนที่เรียกว่า “Holy place” หรือเรียกว่า “วิสุทธิสถาน” เป็นชั้นที่กฎระเบียบมากขึ้น ต้องเป็นผู้ประกอบพิธีที่เรียกว่าปุโรหิต หรือผู้นำทางศาสนาเท่านั้น ที่จะเข้าได้ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ และมีการรักษาความบริสุทธิ์ มีพิธีการถวายเครื่องบูชา ถวายเครื่องหอมแด่พระเจ้าเป็นพิเศษขึ้น แต่ก็ยังไม่บริสุทธิ์ที่สุด

ส่วนในชั้นสุดท้าย เรียกว่า “Holy of Holies Place” หรือ “อภิสุทธิสถาน” เป็นที่ประทับของพระเจ้า ที่ตั้งหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่ มนุษย์ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด จะมีเพียงระดับมหาปุโรหิตเท่านั้น ที่เป็นตัวแทนมนุษย์ เข้าไปทำพิธีได้ ปีละ 1 ครั้ง และต้องเข้าไปด้วยความระมัดระวังอย่างมากในความบริสุทธิ์สะอาด

และในขั้นสุดท้ายนี้ ที่มนุษย์เข้าไปไม่ได้ เพราะมนุษย์ยังเป็นคนบาปอยู่ และความสกปรก หรือความบาปของมนุษย์นั้น จะเข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้เลย มันคนละขั้วกันเลย ไม่อย่างนั้นมนุษย์ถูกทำร้ายหมด เหมือนอุสซาห์ที่ไปยันหีบพันธสัญญา ซึ่งเขาทำไม่ได้ เพราะพระเจ้าไม่ให้หน้าที่ สามารถไปแตะต้องหีบพันธสัญญาได้ เขาไปรับด้วยความหวังดี ไม่อยากให้มันล้มลงมา แตะปุ๊บ ตายเลย

หลังจากที่พระเยซูคริสต์สละชีวิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน ข้อความและกฎระเบียบเก่าๆ เหล่านี้ ก็ถูกยกเลิกทั้งหมดเลย ฮีบรู 10:9-10 สรุปอย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 10:9-10 “9 … พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก เพื่อตั้งระบบที่สอง 10 และโดยพระประสงค์นี้เราทั้งหลาย จึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์  เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก แบบสวรรค์จำลอง เป็นเงาของโมเสสออกไป ตั้งเป็นระบบที่สอง โดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวพอ ที่ไม้กางเขนนั้น โดยการถวายพระโลหิตเพียงครั้งเดียว พระเยซูทำเพื่อพวกเรา คือมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมดเลย เพียงแต่เรานั่งอยู่ที่นี่ เพราะเราเชื่อแล้ว เราใช้สิทธิ์ของเราแล้ว แต่จริงๆ ทำให้มนุษย์ทุกคน สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว 2,000 ปี ไม่ใช่เพิ่งมาเรียบร้อยตอนที่เราเชื่อ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว 30 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ 2,000 ปีแล้ว ตั้งแต่ผมยังไม่เกิดเลย พอผมเกิด ผมก็ไม่รู้เรื่องเลย ก็ไม่ได้รับสิทธิของตัวเอง จนมีคนมาบอก

จนไม่ไหวแล้ว เพราะรู้สึกขาดแคลน อยากได้ เงินไม่พอใช้ เพราะฉะนั้น โอเคไปก็ไป … ไปเขต ได้จริงๆ เพราะเกิน 60 แล้ว ได้เดือนละ 600 บาท นี่ผมยกตัวอย่างข้ามรุ่นไปเลย เงินช่วยคนที่มีอายุเยอะ รัฐบาลให้คนละ 600 บาท ประกาศออกไปตั้งนานแล้ว ท่านคิดว่ามีบางคนไม่ไปรับไหม? เพราะอะไร? …

(1)  รู้แล้ว และไปรับเอา

(2)  เพราะว่าไม่รู้ข่าวดีนี้ หรือรู้แล้ว ไม่เชื่อ รอก่อน

(3)  ได้ยินได้ฟังแล้ว อาจจะไม่ได้ ก็ได้

(4)  รู้สึกยังไม่จำเป็นต้องใช้ รวย แต่ในทางวิญญาณไม่รวย ไม่มี

บางคนบอกว่ารวยแล้ว เขาไม่มารับ เพราะเขานึกว่าสิ่งที่สะสมไว้ ด้วยการกระทำของตนเอง ที่จะชำระล้างบาปด้วยตนเอง มันเพียงพอ เขาเลย ไม่ต้องการ เขาเลยรู้สึกว่าพระเยซูไม่ต้องมาชำระ ชำระเองก็ได้ เดี๋ยวรอชาติหน้าทำอีก ชาติต่อไปทำอีก เดี๋ยวมันก็คงถึง เขาก็ไม่รู้สึกขาดแคลน เขาก็ไม่มา ยกตัวอย่างนี้เห็นชัดนะ จริงๆ ทำให้มนุษย์ทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว แต่พระองค์ไม่บังคับ พระเจ้าสร้างเหมือนลูก ให้เราตัดสินใจเอง

“วิหารของฉัน ฉันเข้าไม่ได้ เพราะเจ้าของไม่ให้ฉันเข้าไป เขาไม่เชิญฉันเข้าไป เขาอยากอยู่อย่างนี้ อยากอยู่กับมารต่อ เราก็เลยเข้าไม่ได้ เราได้แต่เคาะประตู เมื่อไรจะเปิดหัวใจให้ฉันเข้าไปสักที”

เคาะจนวันหนึ่ง คนนั้นเปิด พระองค์ก็เข้าไป ก็ได้รับสิทธิของเขาไป จบแค่นั้น ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น คำตอบ ก็คือเราสะอาดบริสุทธิ์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งความคิด จิตใจ ร่างกาย เป็นวิหารของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าสถิตอยู่กับเราได้แล้ว เป็นมา 2,000 ปีแล้ว ใครเกิดในสมัยนี้ รับเชื่อเดี๋ยวนี้ ก็คือมารับสิทธิเท่านั้นเอง

แต่ในขณะเดียวกัน ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเราก็มีสิ่งสกปรกที่ผ่านเข้ามาได้ อย่างที่บอกแล้ว ความคิด จิตใจเรา ก็ยังสามารถมีสิ่งสกปรกเล็ดลอดเข้ามาได้ ย้อนกลับไปภาพวิหารของพระเจ้า ที่โมเสสทำขึ้น

มีอยู่ 3 ชั้น … ชั้นแรกกับชั้นที่สอง ก็ยังสามารถให้มนุษย์ที่มีเชื้อบาปเข้าไปได้ แต่ชั้นที่ 3 ไม่ได้แล้ว เข้าไปได้แค่คนเดียว และอันตรายมาก แป๊บเดียวออกมาเลย

ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เราเป็นวิหารของพระเจ้า ก็เช่นกัน ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลก ตราบใดที่ท่านมีลมหายใจอยู่ในร่างกายนี้ ตราบใดที่เรายังมีประสาทสัมผัสในร่างกายนี้ เรียกว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมทั้งใจ … “ใจ” ตัวนี้ หมายถึงความคิด และตราบใดที่บนโลกใบนี้ ยังมีมารอยู่ มีอาวุธของมาร คือความบาปอยู่ ตราบนั้น ความสกปรกหรือความบาป ก็ยังสามารถเข้ามาสู่ชั้นร่างกายและความคิด จิตใจของเราได้ เช่นเดียวกัน

ท่านจะเห็น สงครามมาแล้วนะ แต่ชั้นสุดท้าย คือวิญญาณของเราลึกๆ รวมทั้งจิตใต้สำนึกของเราที่อยู่ลึกๆ นั้น จะไม่มีวันถูกแตะต้องได้เลย เป็นอันขาด ไม่มีทางเลย เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้ใน 2 โครินธ์ 10:4-5 อย่างนี้

2 โครินธ์ 10:4-5 “4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้งและคำแอบอ้างทั้งปวงที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

มนุษย์เป็นวิญญาณ มีร่างกายและความคิด จิตใจ  เพราะฉะนั้น สงครามมันเกิดที่ความคิดจิตใจ เพราะมันเกิดใหม่แล้ว มันจะกั้น พยายามทำตามวิญญาณ ที่อยู่ข้างใน แต่ขณะเดียวกัน สื่อจากข้างนอก ออกมาในร่างกายนี้ มีแต่ความมืดหมดเลย รอบข้าง ส่งผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ไปในทางมารหมด ทางการทำบาปทั้งหมด

เพราะฉะนั้น เราควรจะทำอย่างไร? พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน คือข้างในตัวเรา ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั่นแหละ จดจ่อไปที่นั่น ไปที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า จดจ่อไปที่ความจริงที่ว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว จดจ่อไปที่ในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ หมดจดแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของมารอีกต่อไป

“เพราะฉะนั้น เรื่องอะไรฉันจะทำตามความคิดแก”

นี่สงครามอยู่ที่นี่ อย่ามาสนใจ หรือพยายามที่จะรับสื่อจากข้างนอก เพราะข้างนอก มันมีมารทั่วไปหมดเลย มันคอยส่งสัญญาณมาเรื่อยๆ เหมือนสัญญาณวิทยุ ส่งมาจากข้างนอก แต่ถ้าสัญญาณจากข้างใน คือพระเจ้า

ถ้าผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ ง่ายๆ ก็คือท่านตอบว่าสัญญาณนี้มาจากไหน? ถ้าสัญญาณมาว่า …

“จงเกลียด จงฆ่า จงขโมย จงไม่ให้อภัย”

ถามว่ามาจากข้างนอกร่างกาย  หรือมาจากข้างในวิญญาณอย่างนี้ มาจากข้างนอกร่างกาย มาจากโลกนี้ มาจากความมืด ถูกไหม?

ถ้าผมบอกว่า 1 โครินธ์ 13:4 บอกว่า …

“ความรักก็อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ประพฤติผิด อภัยให้เสมอ อดทนได้ทุกอย่าง”

สื่อนี้มาจากข้างใน ยกตัวอย่างง่ายๆ เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือคอยมองไปที่วิญญาณ แล้วคอยสังเกตดูว่าอะไรใช่? อะไรไม่ใช่ แต่แน่นอน มันก็ต้องมีพลาด มีเผลอ แต่ไม่ต้องไปสนใจ เพราะว่าวันหนึ่งมันต้องเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว

พระคัมภีร์จึงบอกว่าวิธีจะเอาชนะมัน ต้องพยายามหันเสาอากาศไปที่วิญญาณ ก็คือไปที่พระเจ้า Set your mind เขาเรียกว่าตั้งเสาอากาศในความคิดของเราไปที่พระเจ้า … พระเจ้าก็คือในวิญญาณของเรา ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ในพระคัมภีร์ เพื่อจะป้องกันสื่อที่มาจากข้างนอก ที่ไม่ดี นี่แหละ ที่เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ

ให้มันเชื่อฟังต่อพระเยซูคริสต์ให้ได้ ทั้งหมดเลย มันบอกว่า …

“ทำอย่างนี้ได้รับความรอดได้อย่างไร? ได้รับความบริสุทธิ์ได้อย่างไร?”

ไม่สนใจ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น

“บริสุทธิ์ที่ไหน? ตะกี้ ขับรถยังปาดหน้า ปาดหลังเขาอยู่เลย คนนี้ยังคิดไม่ให้อภัยเขาอยู่เลย ยังเหม็นหน้าคนนี้อยู่เลย แล้วตัวเองยังบอกบริสุทธิ์สะอาด” ไม่สนใจ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

สู้กันอย่างนี้ ไม่สนใจ พระเยซูบอกว่า …

“ชำระฉัน สะอาดหมดจดแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉัน พระเจ้าสร้างบ้านอยู่ในร่างกายฉัน ร่างกายฉันเป็นวิหารของพระเจ้า”

นี่คือหน้าที่ของเรา ในแต่ละวัน ทุกเรื่องเลย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือมองเข้ามาที่ด้านใน ข้างใน วิญญาณของเรา มองเข้ามา หมายถึง …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ ฉันได้รับการไถ่บาปแล้ว พระเจ้ารักฉัน และกอดฉันอยู่ตลอดเวลาเลย” อย่างนี้ “ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันจะเป็นอย่างนี้”

แล้วก็ไปเรื่อยๆ แล้วความคิดเขาก็จะเปลี่ยนไป นิสัยข้างนอก ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปด้วย

โคโลสี 3:1-3  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นจากความตาย เป็นขึ้นร่วมกับพระคริสต์ จงให้ความคิด จิตใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และท่านนั่งอยู่ที่นั่นด้วย”

คำว่า “นั่งอยู่ที่เบื้องขวา” คือสิทธิอำนาจสูงสุด ในการครอบครองสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้าง แล้วเราครอบครองร่วมกับพระคริสต์ เราใหญ่ขนาดไหนนะ ให้ตั้งความคิดจิตใจไว้ที่นั่น จดจ่ออยู่เบื้องบนนี้ ไม่ใช่ไปจดจ่อสิ่งที่มันอยู่ตรงกันข้าม

จำเรื่องทาร์ซานได้ไหม? ทาร์ซานที่ผมบอก “ยังไงเราก็เป็นลูกเจ้าของบ้านแล้ว ทำให้สมกับฐานะการเป็นลูกเจ้าของบ้านหน่อย อย่าทำเหมือนลูกลิง ลูกหมี ลูกเสือ ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย”

อะไรอย่างนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? บางคนไม่ได้ฟัง ไปฟังของเก่าดูก็แล้วกัน ผมยกตัวอย่างทาร์ซานเป็นอย่างไร?

ให้จดจ่ออยู่ที่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ในวิญญาณของเรา เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์   “ตายแล้ว” คือตายต่อบาป บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว จบไปแล้ว ชีวิตท่านถูกซ่อนไว้อยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว และยกขึ้นตั้งสูงสุด เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย เหนือนามทั้งปวง ท่านก็ถูกยกขึ้นไปกับพระเยซูคริสต์ด้วย สูงกว่านามทั้งปวงด้วย สูงเหนือใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครแตะต้องท่านได้อีกแล้ว เอเมน

ท่านอยู่ในพระคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ พระคริสต์อยู่ไหน? ชีวิตท่านซ่อนอยู่ในนั้นเลย คำว่า “ซ่อนอยู่ใน” มันมากกว่าคำว่า “อยู่ใน” คำว่าซ่อนอยู่ใน คือซ่อนทุกอณูเนื้อ แยกกันไม่ออก ซ่อนอยู่ใน อย่างที่ผมบอก เราเป็นน้ำ ที่เทลงไปในน้ำที่ใหญ่ๆ หาไม่เจอเลย … ถ้าซ่อนเฉยๆ เป็นเหมือนกับว่าเราเป็นก้อนหิน แล้วทิ้งลงไปในน้ำ ซ่อนอยู่ในน้ำ อย่างนี้มองเห็นอยู่ … แต่นี่ไม่ใช่ นี่ซ่อนเข้าไป กลืนหายไปกับพระเจ้า พระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียว สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ จงรู้ไว้เป็นเช่นนั้น เมื่อเราอยู่ในพระเยซู  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 6 “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  ตุลาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 6 “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะเรียนถ้อยคำพระเจ้าต่อจากครั้งที่แล้ว อยู่ในซีรี่ย์ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” วันนี้เป็นตอนที่ 6 ใช้ชื่อเรื่องว่า “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร?”

เมื่อครั้งที่แล้ว เราค้างกันไว้ที่เรื่องของนิโคเดมัส ฟาริสีคนยิวคนหนึ่ง ในสมัยที่พระเยซูกำลังตระเวนประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า กำลังสอนเรื่องความจริงที่ว่าคนที่จะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ หรือเข้าในอาณาจักรพระเจ้าได้นั้น จะต้องบังเกิดใหม่ นิโคเดมัส ก็เชื่อ แต่ไม่เข้าใจ ก็เลยแอบมาถามพระเยซูตอนดึกๆ ว่า …

“คนเราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? ต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาหรือ?”

เราจะมาอ่านทบทวนถ้อยคำตรงนี้กันก่อนว่าพระเยซูตอบว่าอย่างไร? ยอห์น 3:1-15

ยอห์น 3:1-15 “1 มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อ “นิโคเดมัส” เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว 2 เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครู ผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่ หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา 3 พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่”

5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน” 9 นิโคเดมัสทูลถามว่า “สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”

10 พระเยซูตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล แล้วท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเราเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็นมา แต่ถึงกระนั้น พวกท่านก็ไม่ยอมรับคำพยานของเรา 12 เราได้พูดกับท่านถึงสิ่งในโลกนี้และท่านไม่เชื่อ แล้วถ้าเราพูดถึงสิ่งในสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ 14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์”

 

พระเยซูก็เลยยกคำอุปมา หรือการเปรียบเทียบว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร?

พระเยซูบอกว่า … “ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่”

แล้วก็ยกว่า “ลมพัดไปที่ไหนได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม ท่านใช้หูได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน? หรือจะไปที่ไหน? ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นนั้น”

พระเยซูยกตัวอย่าง หมายความว่าถ้าเราจะเชื่อพระเจ้า เราอยากจะไปอยู่ในสวรรค์ เราต้องใช้ใจ ใช้วิญญาณ เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย มองไม่เห็น เหมือนลมมองไม่เห็น แต่รู้ว่ามี เชื่อเอา พระเยซูกำลังบอกอย่างนั้น ต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้หู ตา จมูก ลิ้น กาย พิสูจน์พระเจ้ามีจริงไหม? สวรรค์เป็นจริงไหม? ไม่สามารถใช้สัมผัสใดๆ เลย มันต้องสัมผัสด้วยวิญญาณ หรือใจเท่านั้น

การบังเกิดใหม่ เกิดขึ้นที่วิญญาณ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปแสวงหาอัศจรรย์  แบบให้เห็นว่าเกิดใหม่เป็นอย่างไร? สัมผัสได้ทางเดียว คือวิญญาณเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นเช่นไร?

เรื่องของพระเจ้าในพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโมเสส เรื่องปฐมกาล เรื่องตั้งแต่สมัยอาดัม เอวา อับราฮัม กษัตริย์ดาวิด ซาโลมอน เรื่องทั้งหมดนี้ กำลังเล็งไปถึงเบื้องหลัง คือเรื่องฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์เดิมที่เราอ่านกัน บนโลกใบนี้ ที่เกิดเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้น ที่เรารู้เรื่องรู้ราวต่างๆ เหล่านั้น เป็นเพียงแค่เงา ให้เราเห็นว่าพระเจ้ากำลังจะทำอะไร? พระเจ้าสัญญาว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ นี่คือเคล็ดลับในการอ่านพระคัมภีร์อย่างหนึ่งที่สำคัญ

ฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่ท่านได้เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ท่านจึงจะเข้าใจได้ทั้งหมด ถ้าท่านไม่เข้าในโลกวิญญาณ ต่อให้ท่านอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ไม่ว่าเป็นพระคัมภีร์ใหม่หรือเก่า หน้าไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ตาม จำประวัติศาสตร์ได้หมดก็ตาม อ่านเยอะขนาดไหนก็ตาม ศึกษามากแค่ไหนก็ตาม ไม่มีวันเข้าใจ ถ้าท่านไม่เล็งไปถึงเบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้ากำลังทำอะไร?  ตอนที่โมเสสแยกทะเลแดง พระเจ้ากำลังทำอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งหมดเลย ไม่อย่างนั้นเราจะหลงทาง เพราะเราอ่าน เราก็จะใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรา คิดไปคิดมา เละ

ก็กลายเป็นที่เขาเรียกกันว่าตาบอดคลำช้าง เราก็นึกว่าช้างต้องเป็นยาวๆ อย่างนี้นะ เพราะเราไปจับที่งามัน ยาวๆ งอนๆ แข็งแรง นี่แหละคือช้าง พอเราไปเจอช้างทั้งตัว เราตกใจ คนละเรื่องกับที่เราคิดว่าช้างเป็น พอเราไปจับที่ขามัน ช้างต้องเป็นดุ้นๆ แท่งๆ แล้วแถมข้างใต้เป็นรู เท้าช้างมีรู ต้องเป็นอย่างนี้ โผล่มาจริงๆ ตกใจ

ในข้อที่ 14 ที่บอกว่า “โมเสสยกงูขึ้น ในถิ่นทุรกันดารอย่างไร? บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น”

จะอธิบายความหมายตรงนี้ให้ฟังสั้นๆ วันนี้เราไม่ได้มาเน้นตรงนี้ ต้องเล่าย้อนหลังถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิม ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือกันดารวิถี เป็นช่วงที่ชาวยิวเริ่มบ่นและต่อว่าพระเจ้า คือไม่เชื่อพระเจ้า เชื่อมาได้ส่วนหนึ่ง มีอัศจรรย์เกิดขึ้นก็จริง เกิดความลำบาก ก็เริ่มบ่น ไม่เชื่อพระเจ้า ก็เริ่มต่อต้านผู้นำของพระเจ้า คือโมเสส ที่นำพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์และต้องผจญกับความทุกข์ทรมาน เบื่อจะตาย บ่น  พระเจ้าก็เลยรำคาญ จำไว้นะ พระเจ้าไม่ได้โหดร้าย แต่เบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ อย่าตัดสินตามที่ตาเราอ่านดู แล้วเราก็บอกว่าอย่างนั้น อย่างนี้ อย่านะ พระเจ้าก็เลยลงโทษพวกนี้ โดยส่งงูพิษ ในนั้นเขียนไว้เลย ส่งงูพิษมากัดคนเหล่านั้น กัดตาย ชาวอิสราเอลก็สารภาพผิด ไปหาพระเจ้า ยกโทษให้ ไม่บ่นแล้วๆ พระเจ้าก็บอกโอเค จะยกโทษให้ โดยสั่งโมเสส

โมเสสไปเอาไม้เท้าของเจ้ามา แล้วก็ทำสัญลักษณ์เป็นรูปงู ผู้ใดที่ถูกงูกัด พระเจ้ายกโทษให้โดยการใช้ความเชื่อของตัวเองว่าพระเจ้าบอกว่าให้ไปหาโมเสส แล้วพระเจ้าให้โมเสสยกไม้เท้ารูปงูนั้น ปักไว้กลางค่าย ใครที่เชื่อ เดินไปมองที่รูปงูนั้น พระเจ้าจะอภัยให้ ไม่ตาย แค่นั่นเอง จบ

พระเยซูบอกว่าโมเสสยกงูขึ้น ในถิ่นทุรกันดารอย่างไร? บุตรมนุษย์ ก็คือพระเยซูก็จะถูกยกขึ้นอย่างนั้น

ความหมาย ก็คือสมัยโมเสส ยกงูขึ้น แล้วคนป่วย ก็ได้รับการรักษาให้หาย ไม่ต้องตาย

บุตรมนุษย์ คือพระเยซูก็ถูกยกขึ้น ตอนที่พระเยซูพูดยังไม่ถูกยกขึ้น เพราะยังไม่ถึงวันที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน แต่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน จะถูกยกขึ้นเช่นนั้น เหมือนกัน คือผู้ที่ไปมองที่ไม้กางเขน เมื่อพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเชื่อในพระเจ้าว่านี่คือพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อไถ่เขาหลุดพ้นจากความบาปและความตาย เขาจะไม่ต้องตาย เขาจะเป็นขึ้นมาใหม่ เขาจะบังเกิดใหม่ทันที เอเมน พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร? ไปอยู่ด้วยการบังเกิดใหม่ ใครมองพระเยซูที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  และเชื่อในพระเจ้าว่าผู้นี้แหละพระเจ้าส่งมา เขาจะได้รับการรักษาให้หายทางวิญญาณ พระโลหิตพระเยซูเท่านั้นที่รักษาได้ คือโรคบาป

เกิดมาก็ติดเชื้อบาปแล้ว ไม่มีใครรักษาได้ นอกจากความเชื่อ ในพระโลหิตพระเยซูที่ยกขึ้นที่ไม้กางเขน เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะได้รับการรักษาให้หาย เห็นไหม? รักษาให้หายทางวิญญาณ พระเยซูอุปมาเหล่านี้ทั้งหมด เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์กับเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ

กิจการ 26:14-18 ฟังพระเยซูพูดเองเลยว่าเป็นอย่างไร? ก่อนจะอ่าน ผมจะเล่าเรื่องให้ฟังก่อนว่าเบื้องหลังคืออะไร? เป็นประสบการณ์ของเปาโล ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า เปาโลเป็นนักศาสนาตัวยงเลย เรียนสูงมาก และรักพระเจ้ามากด้วย นับถือศาสนายิว แบบเคร่งครัดมาก แล้วก็ต่อต้านพระเยซูมากเช่นเดียวกัน เพราะยังไม่เข้าใจ ทุกอย่างทำตามตา หู จมูก ลิ้น กายเท่านั้น ใจไม่มีเลย ก็เห็นว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้า หาว่าตัวเองเป็นลูกพระเจ้า อะไรประมาณนั้น ถือว่าตัวเองเคร่ง ยิ่งเคร่ง ยิ่งต่อต้าน เขาต่อต้านพระเยซูสุดขีด แม้กระทั่งพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วก็เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว เปาโลก็ไม่หยุดแค่นั้น คนที่เชื่อพระเยซู คือคริสเตียน สมัยนั้น ถูกเปาโลข่มเหงรังแกเยอะแยะมากมายไปหมด ถึงขนาด ขอใบอนุญาตจากสภาศาสนาของชาวยิว เพราะยิวสมัยนั้น ปกครองด้วยระบบสูงสุด คือระบบศาสนา  … ศาสนาอยู่เหนือกฎหมาย เอาศาสนาเป็นตัวสำคัญ เอาใบอนุญาตมา เพื่อไปข่มเหงรังแกชาวยิวทั้งหลาย ที่กลับตัวมาเป็นคริสเตียน จับมาขังคุก เฆี่ยนตีบ้าง บังคับให้เลิกเชื่อ บังคับให้ปฏิเสธพระเยซู นี่คือประสบการณ์หนึ่งของเขา เขาเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ในละแวกที่ยิวอยู่ในสมัยนั้น ในอิสราเอล

มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังเดินทางไปดามัสกัส พร้อมทหารของสภาชาวยิว เพื่อจะไปจับคนที่เป็นคริสเตียน ในขณะที่เขาเดินทางไป พระเยซู ซึ่งตอนนั้น เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว อยู่กับเหล่าสาวก 40 วันแล้ว ลอยเข้าไป ได้รับเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว มองด้วยตาไม่เห็นแล้ว แต่สัมผัสด้วยวิญญาณรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ เพราะว่าคริสเตียนเกิดขึ้นมากมาย เกิดเป็นดอกเห็ดเลย คนโน้นก็เป็นคริสเตียน คนนี้ก็เป็น คริสเตียน เพราะว่าพระองค์ทรงอยู่จริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ทำการงานในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในโลกวิญญาณ เปาโลมองไม่เห็น เปาโลก็ควบม้าไป ทันทีทันใดนั้น พระเยซูที่อยู่ในโลกวิญญาณ ปรากฏพระองค์เองให้เปาโลเห็น (คนเดียว) ไปกันหลายๆ คน แต่เปาโลเห็นคนเดียว เพราะพระเยซูต้องการเรียกคนๆ นี้ นี่คือสิทธิ์ขาดของคำว่าพระเจ้าจะทำอะไรก็ได้ พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจ เราไม่รู้ แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงทำได้ พระองค์ทรงเรียกเปาโลคนเดียว ให้รู้ความจริง มาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างทาง

กิจการ 26:14-18 “14 พวกข้าพระบาททั้งหมด ล้มลงกับพื้น  และข้าพระบาทได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับข้าพระบาทเป็นภาษาอารเมคว่า  ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม  เป็นการยากที่เจ้าจะขัดขืนความประสงค์ของเรา  15  “แล้วข้าพระบาทถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด  “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า  ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังข่มเหง 16 บัดนี้ จงลุกขึ้นยืนเถิด  เราได้ปรากฏแก่เจ้า ก็เพื่อแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้รับใช้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เจ้าได้เห็นเกี่ยวกับเรา และสิ่งที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 17 เราจะช่วยเจ้า ให้รอดพ้นจากพี่น้องร่วมชาติของเจ้าเองและจากชาวต่างชาติ เราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา 18 เพื่อเปิดตาของพวกเขา และหันพวกเขาจากความมืด มาสู่ความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษบาป และได้อยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยความเชื่อในเรา”

 

พระเยซูกำลังพูดเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พระเยซูได้บอกกับเปาโลถึงวัตถุประสงค์ของพระองค์ว่า ..

“เราได้ปรากฏแก่เจ้า ก็เพื่อแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับใช้ เป็นพยานถึงสิ่งที่เจ้าได้เห็นเกี่ยวกับเรา (ได้เห็นนะ) และสิ่งที่เราจะสำแดงกับเจ้า (คือจะบอกในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ) ต่อไป”

แสดงว่าพระเจ้า พระเยซูได้เปิดตาฝ่ายวิญญาณของเปาโล แต่ตาทางเนื้อหนังของเปาโลตอนนั้นบอดเลย บอดทางตาเนื้อหนัง แต่ตาวิญญาณได้ถูกเปิดออก พูดง่ายๆ เหมือนบังเกิดใหม่ พระเยซูเรียกเปาโลมาเป็นผู้รับใช้ เพื่ออะไร? อ่านดีๆ พระเยซูพูดเอง

“เราจะช่วยเจ้า ให้รอดพ้นจากพี่น้องร่วมชาติของเจ้าเอง”

คือพวกยิวด้วยกัน เพราะเมื่อเปาโลมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็จะถูกข่มเหงด้วยพวกยิวนั่นแหละ เธอจะถูกล่าบ้างล่ะ แต่ฉันจะเป็นคนช่วยเธอให้รอดพ้นเอง นี่คืออนาคต

“และจากชาวต่างชาติ” คือใครก็ตามที่ไม่ใช่คนยิว

“เราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา” คือพวกต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว รวมทั้งคนไทยด้วย เปิดตาวิญญาณพวกเขา รวมทั้งพวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย คนไทย คนจีน คนอะไรแล้วแต่

“และหันพวกเขาจากความมืด มาสู่ความสว่าง” คำว่า “หัน” ภาษาเดิมแปลว่า “และย้ายพวกเขา นำพวกเขาออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง”

“และจากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษบาป (ที่อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในชีวิตของเขา) และได้อยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยความเชื่อในเรา” ก็คือเขาจะได้เข้ามาอยู่ในหมู่ของคนที่อยู่ในสวรรค์ ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในเรา คือพระเยซู ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต

พระเยซูบอกว่าเราส่งเจ้าไป เพื่อเปิดตาคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เปิดตาฝ่ายวิญญาณของพวกเขาให้ออก และนำเขาให้ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง จากอำนาจของซาตานมาสู่อ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการยกโทษจากความผิดบาป เพื่อเขาจะได้มาเป็นธรรมิกชน เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า เรียกว่าผู้บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีการลงโทษใดๆ ไม่มีติดภาระโทษใดๆ ในตัวเขาเลย ได้รับการชำระด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าเกิดใหม่นั่นเอง

นี่คือรูปภาพของมนุษย์ จากพระคัมภีร์ ในหนังสือ 1 เธสะโลนิกา 5:23 บอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ ซึ่งเราเรียกว่าความคิด จิตใจ จิตใต้สำนึก แล้วก็มีร่างกาย สัมพันธ์กันโดยคำพูดประโยคนี้ว่า …

“มนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มีความคิดจิตใจ มีจิตใต้สำนึก อาศัยอยู่ในร่างกาย”

อันนี้เห็นชัดขึ้น ท่านเดินไปที่ไหน? ท่านเห็นตัวท่านเองในกระจก หรือท่านเดินไปที่ไหน? ท่านรู้ว่าคนนั้นเป็นมนุษย์ ท่านมองทะลุเข้าไป ท่านจะเห็นเป็นอย่างนี้ทุกคน ในโลกวิญญาณเป็นเช่นนี้ พระคัมภีร์บอกเป็นเช่นนี้ ตื่นขึ้นมามีหน้าที่เตือนตัวเองว่า …

“ฉันเป็นวิญญาณ ฉันมีความคิดจิตใจ ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ชั่วคราวเท่านั้น”

คำว่า “ชั่วคราว” หมายถึงร่างกายนี้นะ เอเมน สิ่งที่อยู่ตลอดไป คือความคิดจิตใจ และวิญญาณแต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น เดี๋ยวก็ไปแล้ว เราจะได้ไม่มาติดยึดอยู่กับโลกนี้มากนัก ตื่นขึ้นมาเห็นหมดเลย เห็นชื่อเสียง เห็นเงินทอง เห็นร่างกายแข็งแรง เห็นความดีงามของโลกใบนี้หมด ลืมไปว่าของพวกนี้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว เดี๋ยวมันก็สิ้นสุด เดี๋ยวมันจบไป เปลี่ยนแปลงทุกวัน มีวันสิ้นสุด ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงทุกวัน แก่ขึ้นทุกวัน ไปสู่ความตาย วันสิ้นสุดทุกวัน แต่วิญญาณอยู่ตลอด ความคิดจิตใจอยู่ตลอด เรามีหน้าที่จัดการวิญญาณให้มันดีๆ แล้วกัน เอเมน ถ้ายังไม่เกิดใหม่ ก็พยายามหาทางให้เกิดใหม่สิ พอเกิดใหม่แล้ว วิญญาณที่มีอยู่ปรับปรุงให้มันสมกับที่มันเกิดใหม่หน่อย สมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย อะไรอย่างนี้

ตอนที่พระเยซูยังไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนตกลงไปอยู่ในความบาป ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณเป็นทาสของความบาปและความตาย เรียกว่าความมืด อยู่ใต้อำนาจของมารซาตาน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น ตอนที่พระเยซูบอกว่าสวรรค์มาแล้ว ใครที่เชื่อพระเยซูจะได้เกิดใหม่ จะได้เข้าไปในสวรรค์ บังเกิดใหม่ที่ตาเรามองไม่เห็น คือทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจและอาศัยอยู่ในร่างกายที่เกิดใหม่ เขาเรียกว่าเกิดใหม่ชั่วคราว เกิดใหม่ระดับหนึ่ง เพราะวันหนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงร่างกายนี้ ก็คือปรับปรุงร่างกายนี้ ให้สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ แต่ก่อนนี้ติดต่อไม่ได้เลย ร่างกายเรา ที่อาศัยอยู่นี้ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ระดับหนึ่ง เพื่อให้เป็นที่อาศัยของพระเจ้าได้ เรียกว่าพระวิหารของพระเจ้า

“ท่านไม่รู้หรือ ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า”

วิญญาณของท่าน ที่เป็นตัวจริง มันบังเกิดใหม่จริงๆ 100% นิวคลีเอชั่น สะอาดหมดจด ปิ๊ง มาพร้อมกับความคิดจิตใจเลย แต่ความคิดจิตใจท่านยังสามารถสะอาดก็จริง บริสุทธิ์เกิดใหม่ก็จริง แต่มันอาจจะกินฉี่ กินอึของตัวเองอยู่ เพราะว่ามันยังเล็กอยู่ รอให้เติบโตขึ้น ก็จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ แต่เกิดใหม่แล้ว เหมือนเราอยู่ในครรภ์มารดาก็เป็นคนแล้ว เป็นมนุษย์แล้ว ทำนองเดียวกัน ถ้าบังเกิดใหม่ วิญญาณก็ใหม่เอี่ยมเลย ตอนเด็กๆ ก็ทำเหมือนเด็กๆ ไปก่อน แต่พอโตแล้ว เขาก็จะรู้ว่าอะไรไม่ควรทำ แล้ววิธีเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจทำอย่างไร?  พระคัมภีร์บอกเอาถ้อยคำพระเจ้าค่อยๆ เปลี่ยนแปลง

1 โครินธ์ 15:21-22 “21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว  การเป็นขึ้นจากตาย  ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม  คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์  คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น”

ความตายฝ่ายวิญญาณ คือถูกตัดขาดออกจากสวรรค์ ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า เพราะในเมื่อความตาย ได้สืบเนื่อง ได้ตกทอดมาจากมนุษย์คนเดียว คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ก่อนที่เราจะเกิด เราก็อยู่ในพ่อและแม่ของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในปู่ย่าของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิดเราก็อยู่ในตาทวดของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในซุปเปอร์อากง ซุปเปอร์อาม่าของเรานี่แหละ ไปไม่รู้กี่ทอด จนกระทั่งก่อนเราจะเกิด ไล่ไปจนกระทั่งก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในอาดัมนี่แหละ เราจึงได้รับการตาย เป็นทาสของความตาย เป็นทาสของมาร ตกทอด จากบรรพบุรุษของเรา มาถึงตัวเรา

ข้อพระคัมภีร์บอกว่า “การเป็นขึ้นจากตาย” ก็คือการหลุดพ้นจากอำนาจของความตายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรของพระเจ้า การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน มนุษย์คนนั้น ก็คือพระเยซู เพราะฉะนั้น การที่จะย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ เราต้องเชื่อในพระเยซู ให้พระองค์เป็นผู้ช่วยเรา ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในพระเยซู

เพราะว่าในอาดัม ในมืดๆ กลมๆ นั้น มนุษย์ทั้งปวง ตายฉันใด อยู่ใต้อำนาจของความบาป อยู่ใต้อำนาจของความมืดและมารฉันใด ในพระคริสต์ตรงขาวๆ คือสวรรค์ แสงสว่าง พระเจ้า ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น

“ชีวิต” หมายถึงชีวิตนิรันดร์ ไม่มีบาป  อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์

ถ้าแปลให้ชัดๆ ภาษาเดิม ง่ายนิดเดียว “เพราะว่าความตายทั้งหมด ที่ได้เข้ามาในโลกนี้ เกิดจากมนุษย์ เพียงคนเดียว ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เพียงคนเดียว ก็ทำให้มีการเป็นขึ้นจากตาย และเพราะว่าในอาดัมทำให้มนุษย์ทุกคนต้องตาย ฉันใดก็ฉันนั้น ในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นขึ้นมาใหม่ ได้รับชีวิตใหม่ในพระเจ้า เอเมน”

โรม 5:12 “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

ที่พระเยซูพูด และที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ มนุษย์ทุกคนอยู่ในความมืด อยู่ในความบาป อยู่ในความตาย หมายถึงไม่รู้จักพระเจ้า ตายอยู่ในความชั่วร้ายต่างๆ ทางวิญญาณและออกมาทางความคิดจิตใจ และทางร่างกาย อยู่ในอำนาจมืด อยู่ในกำมือ อยู่ในการบีบบังคับ กดขี่ข่มเหง โดยมารซาตาน อยู่ในทางวิญญาณ เรามองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกมันเป็นเช่นนั้น

ตอนพระเยซูมาเกิด เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์บอกสวรรค์กำลังมา และวันที่พระองค์ทรงถูกตรึงแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว พระองค์บอกสวรรค์มาถึงแล้ว เรียบร้อยแล้ว จบ เราทำสำเร็จแล้ว คือเอาสวรรค์มา ที่ไม้กางเขน พระองค์ตรัสตอนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

แปลว่าเราทำให้สวรรค์มาถึงที่นี่แล้ว มนุษย์ทุกคนมีที่ย้ายแล้ว แต่ก่อนนี้ไม่มีที่ไป ตอนนี้พระเจ้ามาแล้ว มาช่วยปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากอำนาจของความมืด และอำนาจของผีมารซาตาน และนำพาพวกเขามนุษย์ทุกคน เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระองค์เรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวดี

พระองค์ทรงรักและห่วงใย และต้องการให้เขากลับมา ที่พระเยซูส่งเปาโลออกไป ก็เพื่อสิ่งนี้เหมือนกัน เพื่อนำเอาข่าวดีนี้ ให้มนุษย์ทุกคนได้ยินได้ฟัง และเปิดตาวิญญาณเขา ให้เขาได้เห็น และให้เขาเข้ามารับเอาสิทธินี้เท่านั้นเอง  ที่พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา ในโลกฝ่ายวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว

โคโลสี 1:12-13 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พอใครตาสว่างแบบนี้แล้ว และได้บังเกิดใหม่อย่างนี้แล้ว จะบอกว่า … ขอบพระคุณพระบิดา ขอบพระคุณพระเจ้ามากเลย ไม่ใช่แค่พูด แต่ในใจลึกๆ ขอบคุณจริงๆ ไม่มีใครสามารถช่วยมนุษย์ได้เลย ขอบคุณในสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขอบคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกเราเหมาะสม คือมีคุณสมบัติพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่จะมีส่วนอยู่ในสวรรค์ มีกรรมสิทธิ์ เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่สวรรค์ได้ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระองค์ได้นั่นเอง

ในข้อ 13 บอกว่า “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

คือพระองค์ได้ย้ายเราออกจากความมืด ในอาดัม  มาอยู่ในพระคริสต์ มาอยู่ในครอบครัวใหม่ ครอบครัวของสวรรค์ ครอบครัวของพระเจ้า ครอบครัวแห่งแสงสว่าง

โคโลสี 1:21-22 “21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่าน ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์”

กลับไปที่รูป … ครั้นหนึ่ง เราเคยถูกแยกออกจากพระเจ้า แยกออกจากแสงสว่าง เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้าในวิญญาณของเรา เพราะพฤติการณ์ชั่ว หมายถึงในวิญญาณมันสกปรก เหมือนที่พระเยซูบอกว่าถ้าข้างในสกปรก ข้างนอกผลมันก็ต้องสกปรกแน่นอน ต่อให้ทำดีอย่างไร? มันก็สกปรก มันเหมือนหลุมศพ ฉาบปูนขาว ต้นไม้จะต้องให้ผลดีเสมอ ต้นไม้เลว ก็จะให้ผลเลว รากของท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในวงกลมๆ ที่เป็นดำนี้ ท่านไม่มีวันที่จะมีอะไรดีเลย ในนี้ถึงบอกว่าชั่วร้าย บางท่านบอกว่า …

“ฉันก็เป็นคนดีนะ  พระเยซูกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ในวิญญาณของท่านเป็นอะไร?”

มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ  มันไม่ได้มาวัดตรงข้างนอกว่าทำอะไร? ข้างในวิญญาณของท่านเป็นตัวกำหนด นี่คือหนึ่งในอุปมาที่เราเรียนไปแล้ว

ข้อ 22 ได้บอกว่าแต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ แต่ก่อนท่านอยู่ในความมืด แต่บัดนี้ ทำให้ท่านคืนดี คือสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ตรงสีขาวๆ นั้น โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายท่าน ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ ทั้ง 3 ด้านของท่าน ถวายให้เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ และพ้นจากผู้กล่าวหา ต่อหน้าพระองค์ จะได้เป็นวิหารของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านได้ เพราะพระองค์อยู่สกปรกไม่ได้  วิหารไม่ได้หมายถึงต้องสะอาดตลอด ไม่ได้หรอก เพราะท่านอยู่บนโลกนี้ อาจจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนบ้าง มันไม่ได้สำคัญ มันอยู่ที่ข้างในของท่านสำคัญกว่าเยอะ

โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์  ในการจุ่มลง ดองลงไปกับพระองค์ ประโยคแรกแปลแค่นี้เอง บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ดองกัน พระเยซูถูกฝังไว้ ท่านก็ถูกฝังด้วย

และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตาย พร้อมกับพระเยซู … พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากตายในวันที่ 3 เราก็เป็นขึ้นมาด้วย แค่นี้เอง ทั้งหมดนี้ผ่านทางความเชื่อของท่าน เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ไม่ต้องเข้าใจ ผ่านทางความเชื่อ เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกพระเยซูเป็นขึ้นมา ฉันก็เป็นขึ้นมาด้วย จบแล้ว เราจุ่มลงไปกับพระเยซู ไม่ใช่เพิ่งมาจุ่มตอนเราเชื่อ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว 6 ปีที่แล้ว จุ่มตั้งแต่โน้น ตั้งแต่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน ฉันก็อยู่ด้วยแล้ว พระเยซูถูกเฆี่ยน ฉันก็ถูกเฆี่ยนด้วย พระเยซูถูกตรึง ฉันก็ถูกตรึงด้วย พอพระเยซูบอกตาย ฉันเลยตายไปด้วย แปลว่าอย่างนั้น พอพระเยซู 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ ฉันก็เลย เป็นขึ้นด้วย

ไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา ถ้อยคำเหล่านี้เป็นอาหารทางวิญญาณ เข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของท่าน ความคิดของท่าน ที่เป็นตัวตนของท่าน  ที่จะติดวิญญาณของท่าน เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ร่างกายไม่ได้ ติดไป ทิ้งไป  แต่ความคิดจิตใจท่านติดไปด้วย จะได้เรียนรู้มากขึ้นว่าคืออะไร? ก็มีสันติสุข มีความสงบสุข  มีชีวิตที่ดีกว่า ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เดินอยู่บนโลกใบนี้ สะเปะสะปะ ได้รับความรอดเหมือนกัน น่าจะได้รับความรอดแบบผ่านไฟ ถ้ารอดอย่างนี้มันสงบกว่า จะเอาอย่างไหน? ก็แล้วแต่เลือก

โคโลสี 3:1-3 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

“ในเมื่อได้ทรงทำให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นพร้อมกับพระคริสต์แล้ว” รู้แล้วเป็นขึ้น เป็นอย่างไร? ลอยขึ้นมาด้วยกัน เราอยู่ในพระคริสต์

“ก็จงให้ใจของท่าน” ใจตัวนี้ไม่ได้แปลว่าวิญญาณ  แต่ใจตัวนี้ แปลว่าจงให้ความคิดจิตใจของท่าน กลับมาที่รูป จะได้รู้ว่าตรงไหนควรจะทำ ตรงไหนไม่ควรทำ มองไปที่วิญญาณข้างในลึกๆ ตัวของท่าน วิญญาณข้างในของท่าน ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เพราะอยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ความคิด มันจดจ่อไปกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน

สิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือในสวรรค์ เข้ามาที่ตัวตรงกลาง ตรงวิญญาณของท่าน ความคิด จิตใจของท่านพยายามสื่อมาที่ตัววิญญาณของท่าน ทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลาเลย รับข่าวสารจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในวิญญาณของท่าน จดจ่อ แปลว่าต่อเนื่องกันอยู่เรื่อยๆ มันมาได้ 2 ทาง ตัวท่านอยู่ตรงกลาง วิญญาณของท่าน เสร็จแล้วมาความคิดจิตใจของท่าน แล้วมาเนื้อหนังร่างกาย เนื้อหนังร่างกายนี้ ที่ผมบอกว่ามันได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ อยู่ระดับเดียว มันยังเป็นสื่อรับกระแสความบาป ส่งผ่านทางปรสิต ตัวกาฝาก มันยังสามารถมาแปะติดอยู่กับเนื้อหนังร่างกายเก่าเราได้ ซึ่งตัวนี้ มันเป็นตัวต่อต้านที่อยู่ข้างใน ดังนั้น ความคิดจิตใจท่านต้องพยายามสื่อกับตัวที่อยู่ข้างในให้ดีๆ แค่นั้นเอง

ให้จดจ่อความคิดจิตใจของท่านไปที่เบื้องบน คือด้านในของท่าน คำว่า “เบื้องบน” หมายถึงที่ดีกว่า ไม่ได้หมายถึงเบื้องบนขึ้นไปบนสวรรค์ ตรงนี้ก็สวรรค์แล้ว สวรรค์มันไม่มีระดับว่าต้องขึ้นไปข้างบน สวรรค์อยู่ตรงนี้ อยู่บนโลกใบนี้แหละ อยู่ในตัวท่าน เอาความคิดจิตใจของท่านจดจ่อไปวิญญาณของท่าน ที่อยู่ด้านใน

ในนี้บอกว่า “ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” ที่ตรงนี้ ที่ท่านกำลังจดจ่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ตรงนี้ แล้วท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูด้วย เพราะท่านอยู่กับพระคริสต์ไง พระคริสต์นั่งอยู่ที่นั้น ท่านก็เลยนั่งอยู่ด้วย เห็นไหม? นี่คือความจริง ในถ้อยคำพระเจ้า มันต้องใช้วิธีนี้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

“จงให้ความคิดของท่าน” อันนี้ชัดเลย จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก สิ่งฝ่ายโลก ร่างกายของท่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ฝ่ายโลกทั้งนั้น มันติดต่อกับฝ่ายโลก มันติดต่อกับผู้คน ติดต่อกับอากาศ ติดต่ออาหาร  ติดต่อกับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ความโมโห ความโกรธ ความใคร่ เยอะแยะไปหมดเลย ให้ความคิดจิตใจท่านจดจ่อไปที่พระเจ้าข้างใน อย่าไปจดจ่อกับตัวร้อน เป็นไข้ ทำให้ฉันโมโห อยากได้อย่างนั้นบ้าง อิจฉาริษยาเขาจังเลย อยากได้เหมือนเขา  นี่แหละคือฝ่ายโลก ยกตัวอย่างให้ท่านฟังเท่านั้นเอง แล้วนี่ก็คือสงครามของคริสเตียนทุกคน ความคิดจิตใจเลยจะไปทางไหนดี จะไปทางโลก หรือจะไปทางพระเจ้าดี ก็ไปๆ มาๆ ก็เต้นรำถวายพระเจ้าไปก็แล้วกัน ก็คือให้พระเจ้านำไปทีละวันๆ พลาดบ้าง? ก็ไม่เป็นไร? กลับมา

“โอ้! พระเจ้าลูกไม่อยากทำเลย แต่ลูกก็รู้ว่าพระองค์ทรงให้อภัยลูกอยู่แล้ว ลูกเสียใจ ให้กำลังใจลูกใหม่”

แต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกิดหรือไม่เกิด? เกิดก็คือเกิดไปแล้ว  ถ้าไม่เกิด ก็คือไม่เกิดเลย พระคัมภีร์บอกว่าถ้าอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระองค์ได้ พระองค์พูดไว้อย่างนี้ ในหนังสือโรม 8:38-39 ไม่มีใครลึกขนาดไหน? ใหญ่ขนาดไหน? กว้างขนาดไหน? หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ที่จะเอาเจ้าออกไปจากเราได้อีกแล้ว เพราะพระเยซูช่วยให้เจ้ารอด และตายที่ไม้กางเขน เพื่อเจ้าแล้ว และเจ้าเชื่อจริงๆ แล้ว เจ้ารอดแล้วไม่ต้องห่วง เอเมน

สุดท้าย “จดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก” เพราะตัวเก่าที่เป็นทาสของมารซาตาน มันตายไปแล้ว แต่ก่อนเป็นทาสมัน สลัดมันไม่พ้น แต่บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า อย่างที่ผมบอกแล้ว เพราะชีวิตของเราตอนนี้ ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ บัพติศมา ดองเป็นหนึ่งเดียวกัน ไปไหนก็แอบอยู่ในนี้ตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้ ตัวเราเองยังทำอะไรตัวเราเองไม่ได้ เพราะเกิดมาก็เป็นอย่างนี้ เห็นภาพตรงนี้เถิด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************