คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2024
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 3
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรายังอยู่ในกาลาเทีย บทที่ 1 เรามาต่อข้อที่ 21 …
กาลาเทีย 1:21-24 “21 หลังจากนั้น ข้าพเจ้าไปยังเขตแดนซีเรียและซิลีเซีย 22 คริสตจักรต่างๆ ในพระคริสต์ที่แคว้นยูเดียไม่รู้จักข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว 23 พวกเขาเพียงแต่ได้ข่าวว่า “คนที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเราเดี๋ยวนี้ประกาศความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามทำลาย” 24 และพวกเขาสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยข้าพเจ้า”
กาลาเทียบทที่ 1 อาจารย์เปาโลได้แนะนำตัวเองว่าเป็นอัครทูต ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพระเยซูคริสต์โดยตรง ไม่ได้ไปเรียนจากอัครทูตคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเปโตรหรือยากอบ หรือใครก็ตาม แต่ว่าท่านได้รับข่าวดีจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์โดยตรง ฉะนั้น ข่าวประเสริฐที่อาจารย์เปาโลประกาศนั้น อาจารย์เปาโลยืนยันว่าเป็นข่าวดีที่ถูกต้อง ตามที่พระเจ้าต้องการ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครก็ตาม ที่มาประกาศข่าวประเสริฐอื่น ก็คือมีบวกๆ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วทุกอย่างเลย เราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เรามารับเอาข่าวดีนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย นี่คือข่าวดี ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น ในช่วงเวลาที่อาจารย์เปาโลไม่อยู่กับชาวกาลาเทีย ก็มีคนอื่นซึ่งมาสอนข่าวดีที่มีบวกๆ มาด้วยว่าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ มันไม่พอ เราต้องทำอย่างอื่นเพิ่มเติม เพื่อว่าจะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า เพื่อว่าเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น หรืออะไรก็แล้วแต่
อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐอื่น ไม่ว่าคนนั้นจะใหญ่มาจากไหน? หรือแม้แต่ทูตสวรรค์ ให้คนนั้นถูกสาปแช่ง ทำไมอาจารย์เปาโลต้องพูดถึงขนาดนั้น ถูกสาปแช่ง เพราะว่าถ้าคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ ที่มีบวกๆ มา จะทำให้เขาไขว้เขว ฉะนั้น คนที่มาประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือเขาไม่ได้เชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเขาว่าพระองค์ทำสำเร็จ เมื่อเขาไม่เชื่อ ในความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ไม่ได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แน่นอนโดยปริยาย เขาก็ถูกสาปแช่งไป เพราะว่าผู้ไม่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ คนเหล่านั้นถูกสาปแช่งอยู่แล้ว อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามที่จะบอกที่มาที่ไป ที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดีกับคนต่างชาติ เพราะท่านถูกเรียกมา โดยเฉพาะเจาะจงให้ไปประกาศกับคนที่ไม่ใช่ยิว ก็มาจากผลที่พระเยซูคริสต์เลือกไว้ให้เปโตรกับอัครทูตคนอื่นประกาศกับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เปาโลให้ประกาศกับคนต่างชาติ
พออาจารย์เปาโลได้ยินข่าวดีของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์เองโดยตรง อาจารย์เปาโลก็ออกประกาศเลย ไม่ได้ขอความเห็นจากเปโตร หรือจากคนโน้นคนนี้ว่าโอเคไหม? อาจารย์เปาโลมั่นใจในการทรงเรียกของพระเจ้า ก็เลยออกประกาศ หลังจากนั้น ประกาศไปหลายปี ก็กลับมาที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะมาทักทายปราศรัย ไม่ใช่มาขอความรู้เพิ่มเติม เพราะว่าความรู้ของอาจารย์เปาโลมีเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว อัดแน่นมาก ฉะนั้น มาเพื่อที่จะยืนยันให้กับอัครทูตคนอื่น ได้รับรู้ว่าท่านได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า เพื่อไปประกาศข่าวดีกับคนต่างชาติ
แล้วก็มาที่ข้อที่ 21 บอกว่าหลังจากที่ไปโน่นมานี่ หลายปีเลย ก็ไปที่เขตแดนซีเรียและซีลีเซีย คริสตจักรต่างๆ แบบไม่รู้จักอาจารย์เปาโลเป็นการส่วนตัว แต่ได้ยินข่าวว่าอาจารย์เปาโลเป็นผู้ที่แต่ก่อนได้ข่มเหงคริสเตียน ข่มเหงขนาดที่เรียกว่าได้ยินว่าใครเชื่อทางนั้น ก็คือเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ไม่ได้ต้องจัดการให้สิ้นซากไปเลย ก็ไปขอทหาร ไปจับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์มาติดคุก มาทำร้าย ก็แล้วแต่กรณี ทุกคนก็หวาดกลัว ตอนที่อาจารย์เปาโลไปประกาศใหม่ๆ จะมาหลอกเราว่าเป็น คริสเตียน แล้วมาจับเราไปข่มเหงอีกหรือเปล่า? แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยิน คืออาจารย์เปาโลได้กลับใจใหม่จริงๆ แล้วมาประกาศความเชื่อเดียวกันกับเขา
เมื่อเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ทุกคนก็ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าเลยว่าคนนี้เมื่อก่อนข่มเหงพวกเรา ตอนนี้ เขาได้กลับใจใหม่แล้ว เขาได้มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เหมือนกับพวกเรา มาทางเดียวกันกับเราเรียบร้อยไปแล้ว … บทที่ 2 …
กาลาเทีย 2:1 “สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าไปที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบารนาบัส ข้าพเจ้าพาทิตัสไปด้วย”
หลังจากนั้น 14 ปี แปลว่าอาจารย์เปาได้ไปประกาศกับคนต่างชาติ มาเรื่อยๆ ได้มีผลงานมากมาย คือมีคนต่างชาติได้กลับใจใหม่ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดอย่างเยอะแยะมากมาย แล้วอาจารย์เปาโลก็ได้ก่อตั้งคริสตจักร ตามที่ต่างๆ ที่มีคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากนั้น อาจารย์เปาโลก็แต่งตั้งผู้คน ในกลุ่มคนเหล่านั้น ให้ดูแลกัน แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศต่อตามที่ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงนำพาไป หลังจาก 14 ปี อาจารย์เปาโลก็ไปที่กรุงเยรูซาเล็มอีก ตอนนี้พาบารนาบัสกับทิตัสไปด้วย ทิตัสเป็นคนต่างชาติ
กาลาเทีย 2:2 “ข้าพเจ้าไปตามการทรงสำแดง และได้ชี้แจงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างชาติ ให้พวกเขาฟัง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงเป็นการส่วนตัว ให้บรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นผู้นำฟัง เนื่องจากเกรงว่าที่ข้าพเจ้ากำลังวิ่งแข่ง หรือได้วิ่งแข่งไปแล้วจะเปล่าประโยชน์”
ก็คือชี้แจงให้ผู้นำต่างๆ ได้เห็นถึงการงานที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำงานผ่านทางอาจารย์เปาโล ไปกับผู้คนมากมาย ที่เขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า
กาลาเทีย 2:3 “แต่กระนั้นทิตัส ซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า แม้เขาจะเป็นกรีกก็ไม่ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต”
ตรงนี้เป็นประเด็น คนยิวหลายๆ คนเขายังยึดถือกฎเดิม แม้ว่าเขาเปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังพยายามที่จะทำตามกฎเดิมของเขา เหมือนกับทำสักหน่อย เพื่อมีความรู้สึกว่าอุ่นใจดี แค่บอกว่ามาเชื่อวางใจในนามของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ได้รับความรอด ดูมันง่ายไป ขอทำพิธีสักนิดหนึ่ง ฉะนั้น จะมีผู้เชื่อชาวต่างชาติหลายคนที่ถูกผู้เชื่อชาวยิวแนะนำว่า …
“ท่านเชื่ออย่างเดียว ไม่น่าจะพอ ควรจะทำอันนี้ด้วย เพิ่มเติม คือรักษาวันสะบาโต และมาทำพิธีเข้าสุหนัต มาทำโน่นนี่นั่น จากพิธีกรรมเดิมที่พระเจ้าสั่งโมเสสเอาไว้”
เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว คือพิธีกรรมเหล่านั้น ไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผู้เชื่อ ซึ่งเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติก็ตาม ไม่มีผลอะไรเลย
ฉะนั้น การที่ผู้คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นคนยิว พยายามที่จะเอากฎเก่ากับกฎใหม่มาผสมผเสด้วยกัน เพื่อจะได้มีอะไรทำบ้าง ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วสบายเลย ไม่ต้องทำอะไร? หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เราทุกคนมารับเอาผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับพวกเราแล้ว ต่อแต่นี้ไป ผู้เชื่อไม่ต้องทำอะไร?
ความหมายตรงนี้ คือไม่ต้องทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณอีกต่อไป นึกภาพออกนะ เพราะว่าเรื่องของวิญญาณ พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราได้รับความรอด หรือเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น หรือเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเพิ่มพูนมากขึ้น หรือไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น
ซึ่งตรงนี้ พระเยซูบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น พระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรมด้วย พระเยซูเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นทายาท พวกเราได้รับหมดเลย นี่คือเรื่องของโลกวิญญาณ เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว แต่ส่วนหลังจากนั้น หลายคนจะเข้าใจตรงนี้ว่าอ้าว! อย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องมาโบสถ์ ไม่ต้องถวายสิบลด ไม่ต้องอธิษฐาน ไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว จบ อันนั้นเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ แต่ส่วนการกระทำบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลยังคงบอกเราว่าให้เราเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก ในเมื่อเราเป็นบุตรที่รักแล้ว พระเจ้าเราเป็นอย่างไร? เราก็เลียนแบบพระองค์ตามนั้น
ท่าทีข้างในของเรา ต้องเปลี่ยนแล้ว จากที่เราเข้าใจว่าถ้าเรามาโบสถ์ เราถึงจะได้รับความโปรดปรานมากขึ้นจากพระเจ้า มันต้องเปลี่ยนแล้ว เราจะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์ ความโปรดปรานของพระเจ้ามี 100% เต็มในชีวิตของเรา แต่ที่ต่างกัน คือเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราแล้ว เราอยากมาโบสถ์ อยากจากข้างใน พี่น้องนึกภาพออกไหม? อยากจากวิญญาณข้างใน ที่เรารู้สึกว่าเราอยากมาโบสถ์ เราอยากมาเจอพี่น้อง เราอยากถวายทรัพย์ เราอยากอ่านพระคัมภีร์ เราอยากอธิษฐาน มันจากวิญญาณข้างในของเรา มันออกไป แต่ทุกอย่างที่เราทำ ไม่มีผลอะไรกับการบังเกิดใหม่ของเราเลย ไม่ได้ทำให้เรารอดมากขึ้น เรารอดอยู่แล้ว หลังจากรอด เราก็เริ่มต้นประพฤติ เริ่มต้นทำอะไรทุกอย่างจากวิญญาณของเรา
ที่พระคัมภีร์ใหม่ อาจารย์เปาโลจะเขียนว่าเมื่อท่านถวาย ให้ท่านถวายจากใจข้างใน เมื่อก่อนดิฉันก็เข้าใจผิด กฎเก่าของโมเสส ก็คือพระเจ้าตั้งไว้ให้ประชากรของพระองค์ถวายสิบลด เพื่อสิบลดนี้จะได้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของเลวี คือตระกูลปุโรหิต ซึ่งตระกูลปุโรหิต พระเจ้าไม่ได้ให้ที่ดินทำกิน แต่พระองค์แยกเขาออกมา เพื่อจะปรนนิบัติในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เมื่อปรนนิบัติในพระนิเวศน์ของพระเจ้าปุ๊บ มันก็เลยเป็นหน้าที่ของอิสราเอลเผ่าอื่นๆ ที่พระเจ้าบอกว่าให้ถวาย 10% เข้าในพระวิหารของพระเจ้า เพื่อกลุ่มคนเลวีเหล่านั้น จะได้นำเอาทรัพย์สินเหล่านี้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
พอหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย กฎต่างๆ เหล่านี้ มันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ทุกกฎเลยนะ พระเยซูคริสต์บอกว่ากฎเก่าที่โมเสสตั้งไว้ เมื่อพระเยซูคริสต์มาทำสำเร็จ กฎเก่าทุกอย่างมันถูกยกเลิกไปแล้ว แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือความรักที่อยู่ข้างในวิญญาณของเรา ทำให้เราอยากจะให้ มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก ที่ผลักดันผู้เชื่อทุกคนที่อยากจะให้ออกไป โดยที่มีเป้าหมายไว้ในใจ ไม่ได้เป็นข้อบังคับว่าต้องๆ แต่เป็นความรู้สึก …
“ฉันอยากทำ”
ไม่ใช่ต้องทำ คำว่า “อยากทำ” กับ “ต้องทำ” มันต่างกันมากเลย อยากทำ มันทำจากข้างในวิญญาณ ที่เรามีความสุข มีความสุขที่เราได้มาโบสถ์ มีความสุขที่เราได้มาเจอพี่น้องในคริสตจักรของพระองค์ มีความสุขที่ได้มาพูดคุยกัน มีความสุขที่ได้มาฟังถ้อยคำของพระเจ้าร่วมกัน แม้เราจะต้องเดินทางไกล แต่เรามีความสุข มาแล้วมันได้รับกำลังใจ นี่คือจากวิญญาณข้างใน ไม่ใช่ท่าทีที่ต้องมานะ ถ้าวันอาทิตย์ไม่มา เดี๋ยวเราไม่ได้รับพระพร มันไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้น เหมือนต้อง มันกลายเป็นกฎบังคับ กลายเป็นกลับไปที่เดิม ที่พระเจ้าสั่งคนอิสราเอลว่า …
“เจ้าต้องๆๆๆๆๆ”
แล้วแต่ละต้อง ก็คือคนอิสราเอลไม่เคยทำได้ครบถ้วนสักทีหนึ่ง เพราะว่าเรายังเป็นมนุษย์อยู่ ฉะนั้น จากท่าทีข้างในวิญญาณของเรา ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เรามีเสรีภาพ ดังนั้น เสรีภาพที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ก็คือเสรีภาพที่เราอยากจะทำสารพัดสิ่ง อะไรก็ได้ ที่ข้างในวิญญาณเราต้องการ ข้างในวิญญาณเรารักพระเจ้า เพราะว่าวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา เป็นวิญญาณแห่งความรัก เมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เรารักพระเจ้าเลย ไม่ต้องพยายามรัก ไม่ต้องพยายามที่ว่าต้องรัก ไม่ใช่ มันเกิดมาเป็นความรัก ข้างในวิญญาณของเรา แม้ว่าหลายครั้ง เราอาจจะทำอะไร? ดูเหมือนไม่รักพระเจ้า แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือวิญญาณเรารักพระเจ้า 100% เรียบร้อยไปแล้ว
ฉะนั้น พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำ หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า เราอาจจะทำบ้าง? ไม่ทำบ้าง? เชื่อฟังบ้าง? ไม่เชื่อฟังบ้าง? ดื้อบ้าง? อะไรบ้าง? แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ขนาดไหน? พระเจ้ารักเราครบถ้วนสมบูรณ์ 100% ไม่มีลดน้อยลง พระเจ้าไม่เคยรักเราน้อยลง ทำไมเรารู้ว่าพระเจ้าไม่รักเราน้อยลง? เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทุ่มสุดตัว คือเอาชีวิตของพระองค์แลกกับชีวิตของพวกเรา คือไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้พระเจ้ารักเรามากกว่านี้แล้ว คือรักจนสุดๆ แล้ว
ตรงนี้อย่าให้ใครหลอกเราว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะไม่รักเรา ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าจะไม่รักเรา อย่าให้โดนหลอก แต่ให้ทุกอย่างที่เราทำ มันออกจากข้างในวิญญาณของเรา แล้วเรามีความสุข
พี่น้องมีความสุขไหมที่ได้มาโบสถ์ ดิฉันคนหนึ่งมีความสุขมากที่ได้อยู่โบสถ์ แล้วดิฉันก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้อยู่โบสถ์ มันเป็นความสุขที่โลกนี้ให้เราไม่ได้ แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน พระองค์ให้กับพวกเรา เวลาเรามาโบสถ์ เราจะมีความสุขทุกครั้ง เวลาเราได้เจอพี่น้อง เราก็มีความสุขทุกครั้ง เวลาเราได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าคุยกับเรา เวลาเรามาอ่านพระคัมภีร์ เหมือนพระเจ้าคุยกับเรา เราก็มีความสุข เหมือนพ่อกับลูกได้คุยกัน ถ้าอยู่ในครอบครัว พ่อลูกไม่คุยกันเลย แม่ลูกไม่คุยกันเลย พี่น้องไม่คุยกันเลย มันก็ดูแปลกๆ อย่างน้อยได้คุยกันบ้าง? แต่ไม่ใช่ว่าคุยจ้อทั้งวัน มันไม่ใช่ ก็คือเราได้คุยกันบ้าง เรารู้ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หรือแม้บางคนคุยไม่เก่ง เรานั่งอยู่ด้วยกัน เราก็สัมผัสถึงความรักที่มันอยู่ข้างในออกมา บางคนคุยไม่เก่ง แต่แค่เราได้เห็นหน้าเขา เราก็มีความสุข เพราะเราได้ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว
ฉะนั้น ภาพพวกนี้ ให้พี่น้องเห็นถึงเสรีภาพที่พระเจ้าให้กับพวกเรา อย่าให้เราโดนหลอก ขโมยเสรีภาพ ออกไปจากชีวิตของเรา ทำให้ชีวิตของเราถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์อะไรก็ไม่รู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะทำการงานในวิญญาณของเรา พระองค์จะบอกเราเอง ผลักดันเราให้ไปทำอะไรตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับว่าถ้าเรายอมพระองค์ บางครั้งพระเจ้าผลักดัน แต่เราไม่ยอม เราดื้อดึง พระเจ้าก็โอเค ต้องปล่อยตามนั้น ก็ให้เราทำตามใจตัวเอง แต่ว่าทุกครั้งที่เราทำตามใจตัวเอง พี่น้องหันกลับไปดู หลังจากนั้น เราจะรู้สึกไม่สบายใจ …
“ทำไมเราถึงทำอย่างนี้ เราไม่น่าทำเลย”
แต่ว่าทุกครั้งที่เราทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะมีความสุข มันเป็นสุขที่อยู่ลึกๆ ข้างในวิญญาณ ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าทิตัส เป็นคนกรีก ซึ่งคนต่างชาติ หลังจากที่เขามาเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว กฎเดิม ที่พระเจ้าตั้งไว้ สำหรับคนอิสราเอล ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา คนต่างชาติไม่จำเป็นต้องเข้าสุหนัต หรือแม้แต่คนยิวที่มาเชื่อพระเจ้า ที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต ก็ไม่ต้องพยายามไปทำพิธีกรรมนี้ เพราะว่าพิธีกรรมนี้ ไม่มีผลอะไรกับความรอดของเขาแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามให้เห็นถึงภาพว่านี่แหละ คือเสรีภาพที่แท้จริง
กาลาเทีย 2:4 “เรื่องนี้ลุกลามขึ้นมา เพราะพี่น้องจอมปลอมบางคนที่แทรกซึมเข้ามาในหมู่เรา เพื่อสืบดูเสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์ และเพื่อจะทำให้เราเป็นทาส”
ทำให้เราเป็นทาส ทำเป็นทาสตรงไหน? ตรงที่เราไปเชื่อไง เชื่อฟังพี่น้องจอมปลอมว่าเราได้รับความรอดแล้ว แค่เชื่ออย่างเดียวไม่พอ เราควรจะทำอันนี้เพิ่ม ทำอันโน้นเพิ่ม ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ได้ อันนั้น ผิดจากเป้าหมายจริงๆ ที่พระเจ้าได้ตั้งไว้
กาลาเทีย 2:5 “แต่เราไม่อ่อนข้อให้เขาแม้สักขณะหนึ่ง เพื่อความจริงของข่าวประเสริฐจะได้คงอยู่กับท่าน”
อาจารย์เปาโลไม่ยอม แบบว่าหยวนๆ เขาบอกให้ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ก็ไปทำๆ ให้เขาเถอะ อะไรประมาณนั้น อาจารย์เปาโลไม่ยอมนะ บอกว่าเราได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ผ่านทางการประพฤติใดๆ ของมนุษย์
สมัยก่อน คนยิวคิดว่าเขาประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า เขาเป็นผู้ชอบธรรม อันนั้นกฎเดิม พระเจ้าได้ตั้งไว้อยู่แล้ว สำหรับคนยิวว่าเขายังคงเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แล้วก็เชื่อตามพันธสัญญาที่พระเจ้าตั้งไว้ให้กับคนยิวในยุคเดิมว่าให้มาทำพิธีกรรมปีต่อปี เอาแพะเอาแกะมาถวายเครื่องบูชา ให้ปุโรหิตเอาเลือดมาปะพรมแท่นบูชา เขาจะได้รับการอภัยโทษ แล้วเขาจะเป็นประชากรของพระองค์ แต่ ณ ปัจจุบัน ก็คือตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ กฎเหล่านั้นได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว พระเยซูคริสต์ได้ทำพันธสัญญาใหม่กับผู้คนบนโลกใบนี้ แม้แต่คนยิวที่รักษากฎบัญญัติ เขายังจำเป็นจะต้องมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอน ณ เวลานี้ ไม่ได้โดยปริยายว่าคนยิวจะเป็นคนของพระเจ้า ตอนนี้กฎใหม่มาแล้ว ก็คือคนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องเหมือนคนต่างชาติ มาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่พึ่งการประพฤติปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติของโมเสสที่ตั้งไว้ ถ้าเขายังพึ่งกฎบัญญัติ เขาก็หล่นพ้นจากความรอดที่พระเยซูคริสต์ทำให้
กาลาเทีย 2:6-8 “6 สำหรับบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นคนสำคัญ ซึ่งเขาจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาที่รูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาไม่ได้เพิ่มเติมอะไรแก่ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้เลย 7 ตรงกันข้าม เขาเห็นว่าข้าพเจ้าได้รับมอบหมายภารกิจในการประกาศข่าวประเสริฐ แก่คนต่างชาติเช่นเดียวกับที่เปโตรประกาศแก่คนยิว 8 เพราะพระเจ้าผู้ทรงดำเนินการในพันธกิจของเปโตร ผู้เป็นอัครทูตไปยังคนยิว ก็ทรงดำเนินการในพันธกิจของข้าพเจ้า ผู้เป็นอัครทูตไปยังคนต่างชาติด้วย”
อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนยันว่าการทรงเรียกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย พระเจ้าใช้เปโตรกับอัครทูตคนอื่นๆ ไปประกาศกับคนยิว ซึ่งคนยิวก็ต้องได้รับข่าวดีของพระเจ้า และต้องกลับใจใหม่ด้วย ไม่ใช่โดยปริยายว่าจะได้รับความรอด ผ่านทางการประพฤติ เขาจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ แล้วอาจารย์เปาโลก็ถูกมอบหมายให้ประกาศกับคนต่างชาติ
ทุกคนพอได้ยินดังนั้น ก็มีความสุข โอเค พระเจ้าได้เลือกแล้ว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุดตามที่พระเจ้าได้มอบหมายไว้
กาลาเทีย 2:9 “เมื่อยากอบ เปโตรและยอห์น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักเห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน เขาเหล่านี้เห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาไปหาคนยิว”
เมื่อได้รับฟังความจริงที่อาจารย์เปาโลได้บอกแล้ว ก็มีความสุข เหมือนกับพวกเราทุกคน ณ เวลานี้ เราได้ยินว่าใครได้รับการทรงนำจากพระเจ้า ให้ไปประกาศกับคนอื่น ที่ยังไม่เชื่อ เราก็มีความสุข เพราะว่าแต่ละคนจะถูกเรียกไม่เหมือนกัน บางคนพระเจ้าใช้เขาในการประกาศข่าวดี อาจจะไม่ใช่เป็นลักษณะเป็นผู้รับใช้ แต่ว่าพระเจ้าให้ของประทาน เขาก็จะมีความสามารถในการประกาศกับคนนี้ คนโน้น คนนั้น แล้วพาเขามารับเชื่อ เราก็มีความสุขร่วมกัน ฉะนั้น แต่ละคนมีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกัน
พี่น้องเชื่อหรือไม่ ดิฉันเชื่อพระเจ้ามาแล้ว จะ 38 ปีแล้ว ดิฉันยังไม่สามารถประกาศเอาใครมารับเชื่อสัก 1 คน เมื่อเราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ได้รับคำสอนว่าเราจำเป็นจะต้องไปประกาศ ทุกโอกาสเลย คือเมื่อมีโอกาส เราต้องรีบประกาศ ไม่อย่างนั้น ข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง ที่ถูกยกมาใส่สมองของเราว่า …
“วิบัติแก่เจ้า ถ้าเจ้าไม่ประกาศ”
ข้อนี้ทำให้แป๊กได้ทุกครั้ง ก็คือ … “ถ้าเราไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับเราไหม? แล้วจะเป็นอย่างไร? เราจะถูกลงโทษไหม? เราจะโน่นนี่นั่นไหม?”
พอเรารู้ความจริง ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ เลย ขอบคุณ เพราะว่าคำนี้ ประโยคนี้ พระเจ้าใช้เฉพาะอาจารย์เปาโลเท่านั้น ดังนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ ให้รู้ว่าบริบทนั้น พระเจ้ากำลังคุยกับใคร? คำนี้อาจารย์เปาโลเป็นคนพูดเอง พระเจ้าได้ใช้และเรียกอาจารย์เปาโลให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยพูดคำนี้ขึ้นมาว่า …
“วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ”
เพราะว่าพระเจ้าใช้และให้ของประทาน ให้กำลัง ให้ความสามารถ ให้สิทธิอำนาจกับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลเลยยืนยันตรงนี้ ให้กับคนที่เขียนถึง ให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องแบบนี้ เรื่องของเรื่อง คือเราผู้เชื่อ เราก็เก็บเอามาเป็นของเราเอง แล้วเราก็มาทุกข์ใจ ดิฉันทุกข์ใจเป็นสิบปี เพราะว่าดิฉันประกาศไม่ได้สักที แล้วดิฉันก็หาทุกโอกาสด้วย เขาบอกเวลาขึ้นรถเมล์ คนมานั่งข้างๆ ต้องหาวิธีประกาศเรื่องพระเยซูให้เขาให้ได้ แล้วก็ตั้งใจมาก แบบจ้องเขา ตั้งแต่ขึ้นรถ จนเขาเดินลงรถ ยังพูดไม่ได้สักที ปากมันไม่ออกมา มันไม่ได้ หรือหลายครั้ง ขึ้นแท็กซี่ด้วย ตั้งแต่ขึ้นรถ จนลงรถ ก็ไม่สามารถประกาศ คือมันพูดไม่ออก เราพูดไม่ได้ แต่อย่ามาถามเรื่องพระเจ้า ถ้าถามปุ๊บ คุยได้สบาย มันต้องมีที่มาที่ไป มีเหตุว่าพอคนมาถาม เราก็เล่าให้เขาฟังได้ใช่ไหม? เขานั่งอยู่ เขาไม่รู้จักเราเลย เราก็ไม่รู้จักเขา อยู่ดีๆ เราก็ไปบอกเขาเรื่องของพระเจ้า มันไม่ได้ คือเราไม่ได้ถูกเรียกมาแบบนี้ แล้วก็ทุกข์ใจมากว่า …
“แล้วตกลง ฉันจะรอดไหม? เพราะฉันวิบัติแน่ๆ เลย ฉันเชื่อมา 30 กว่าปีแล้ว ฉันยังประกาศกับใครไม่ได้เลย”
แล้วพระเยซูก็บอกกับเราว่า … “ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไท”
พอเรารู้ความจริง ขอบคุณพระเจ้า เราแต่ละคน เหมือนเป็นอวัยวะที่แตกต่างกัน ในร่างกายของมนุษย์คนหนึ่ง พระเจ้าสร้างบางคนเป็นผม บางคนเป็นคิ้ว บางคนเป็นตา บางคนเป็นจมูก เป็นปาก เป็นแก้ม เป็นมือ เป็นเท้า เป็นตับ ไต ไส้ พุง คือแต่ละคน แต่ละส่วนทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน แต่เราถูกสอนว่าทุกคนต้องทำเหมือนกัน อันนี้แหละเป็นเรื่อง ทุกคนต้อง แล้วก็ต้อง เลยกลายเป็นว่าคำสอนนี้ ไปบีบคั้นผู้เชื่อ ที่เขามาเชื่อพระเจ้า แล้วเขาทำไม่ได้ แล้วเขาก็ทุกข์ใจ แล้วเขาก็เกิดความสงสัยว่า …
“แล้วตกลงฉันจะรอดหรือไม่รอด”
แต่อาจารย์เปาโลบอกชัดเจนว่าความรอด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติ ความรอดขึ้นอยู่กับความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้น เราได้รับความรอด หลังจากนั้น พระเจ้าจะใช้เราแบบไหน? อย่างไร? นั่นเป็นเรื่องของพระองค์ พระองค์ใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน
ตรงนี้แหละ คือประเด็นหลัก ที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริง เมื่อพระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็ถูกใช้เยอะมาก อย่างเช่นอาจารย์เปาโลถูกใช้ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ พาคนมารับเชื่อเป็นแสน เป็นหมื่นคน แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลได้รับ ได้รับเหมือนพวกเรา คือได้รับพระพร ได้รับมรดกเท่ากับผู้เชื่อคนหนึ่ง ที่เพิ่งกลับใจใหม่ คือได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอด ผ่านทางการเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ได้รับพระพรนานัประการในสวรรคสถาน คือได้รับเท่ากันเลย เพียงแต่ว่าของประทานของแต่ละคนไม่เท่ากัน และของประทานของแต่ละคนไม่เหมือนกันปุ๊บ ในพระคัมภีร์จะพูดถึงคำว่า “บำเหน็จ”
เรามาคุยเรื่องบำเหน็จ พอพระคัมภีร์พูดถึงคำว่า “บำเหน็จ” ปุ๊บ หรือ “รางวัล” เราก็ไปเข้าใจว่าถ้าเรารับใช้พระเจ้าเยอะๆ หลังจากที่เราจากโลกนี้ไป เราจะได้รางวัลพิเศษมากกว่าคนอื่น เมื่อก่อนดิฉันก็เชื่ออย่างนั้น เราจะได้รับรางวัลพิเศษมากกว่าคนอื่น เหมือนผู้รับใช้เก่าๆ เขาก็เล่ากันมา …
“ถ้าเรารับใช้พระเจ้ามากๆ เราขึ้นไปสวรรค์ เราก็จะได้บ้านเดี่ยวสวยงาม ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราไม่ได้รับใช้พระเจ้า เราไม่ยอมรับใช้อะไร? ขึ้นไปสวรรค์ เราก็จะได้กระต๊อบหลังเล็กๆ แถมหลังคารั่วด้วย”
เป็นอย่างนั้น พอคำสอนนี้ออกไป คริสเตียนก็ตกใจสิ … “แล้วอย่างนี้ทำอย่างไร? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง หรือฉันเป็นแม่บ้าน ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานความรอดให้กับฉัน ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย? ฉันอยู่บ้านเฉยๆ แล้วตกลงฉันจะได้รางวัลไหม? ขึ้นไปบนสวรรค์ ฉันจะเฉียดสวรรค์ไหม? ฉันจะได้เข้าไปในที่ที่สวยงามไหม? หรือฉันต้องอยู่นอกขอบสวรรค์”
นั่นแหละ เรียกว่าสร้างความงุนงงให้กับผู้เชื่อ แต่ความเป็นจริงแล้ว ทุกคนจะได้เท่ากัน คือได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเยซูคริสต์เลย ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลย ทุกคนได้เท่ากันหมด เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บังเกิดใหม่ คือพระเจ้าได้บัพติศมาเรา ผ่าตัดวิญญาณเรา ให้เราเข้าไปตายพร้อมกับพระองค์ ตัวเก่าที่เป็นบาปของเรา ตายพร้อมกับพระองค์แล้ว แล้วเราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่เหมือนกับพระองค์ด้วย ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันพระเจ้าพระบิดา พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเราด้วย เราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นวิหารของพระเจ้า เราอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์
ถ้อยคำเหล่านี้ เป็นความจริงหมดเลยในโลกวิญญาณ ก็คือตั้งแต่ที่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือพูดอีกนัยหนึ่งเราได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา แล้ว ณ วันนี้ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข้างในวิญญาณ พระเจ้าบอกเราว่า …
“เรารู้จักเจ้า”
แค่คำนี้เป็นคำที่สำคัญมากๆ สำหรับพวกเรา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์รู้จักเรา ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด รู้จักตั้งแต่วันนั้น จนดำเนินชีวิต จนถึงวันสุดท้าย ลมหายใจออกจากร่าง เราได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเยซูยังคงพูดว่า …
“เรารู้จักเจ้า” … เพราะว่ารู้จักตั้งแต่ยังอยู่บนโลกใบนี้
แต่ที่พระเยซูบอกว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้า” แปลว่าตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็ไม่รู้จักพระเยซู พระเยซูก็ไม่รู้จักเรา เราไม่ยอมเข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่ยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่ยอมรับว่าพระองค์ คือผู้นั้น ที่จะสามารถช่วยเราให้รอดได้ คนนั้น ก็คือปฏิเสธผู้ที่จะมาช่วยเขาให้รอด เมื่อปฏิเสธ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ พี่น้องนึกภาพออกไหม? ในพระคัมภีร์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งเอเมน ไม่ว่ามนุษย์จะตัดสินใจอะไรก็ตาม พระเจ้าเอเมนด้วย ก็คือเป็นไปตามนั้น พระเจ้าไม่บังคับ มนุษย์ที่ไม่ยอมตัดสินใจย้ายข้าง จากการอยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น
แต่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าไหม? ไม่ใช่แน่นอน เพราะพระประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด นี่คือเป้าหมาย นี่คือพระประสงค์ ฉะนั้น คนที่ไม่ยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูก็ต้องบอกว่าเอเมน หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ที่เราชอบพูดว่า …
“พระเจ้าอนุญาต”
“ทำไมพระเจ้าอนุญาตล่ะ”
“ก็พระเจ้าทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าต้องอนุญาติให้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าเธอไม่ยอม”
แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระองค์แน่นอน นี่คือภาพที่เราแยกออก เราจะขอบคุณพระเจ้า เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับผลสำเร็จทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนี้ไป เราก็แค่ยอมให้พระเจ้าใช้เราแค่นั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็จะทำงานขับเคลื่อนเรา เหมือนกับเวลาเรามาโบสถ์ เราก็มาจากข้างในวิญญาณ อยากมา เวลาเราถวายทรัพย์ ก็จากข้างในวิญญาณเราอยากถวาย ไม่ใช่ว่าพอถุงถวายทรัพย์เดินผ่าน เราอึกอักๆ เราไม่อยากถวาย แล้วทำอย่างไร? เกรงใจคนข้างๆ เขามองหน้าเรา ควักสักหน่อย อะไรอย่างนี้ ไม่ต้องเลยนะพี่น้อง ให้ทุกอย่างทำจากข้างในวิญญาณ ให้สิ่งที่เราทำ มีเป้าหมายเรียบร้อยไปแล้วในใจของเราว่าเรามีเป้าหมายอย่างนั้น
ดังนั้น ทุกอย่างที่เราทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้นำเรา หรือหลายครั้งเราออกนอกลู่นอกทาง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลุ้นเรานั่นแหละ …
“ลูกๆ เหวนะเหว กำลังออกนอกลู่นอกทางแล้ว กลับมาๆ”
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำแค่นี้จริงๆ เพราะว่าบังคับเราไม่ได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องพูดคำนี้ทุกวันเนอะ …
“ลูกๆ กลับมาๆ เหวนะเหว” … อะไรแบบนี้
ก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีให้กับพวกเรา เป็นความรักที่พระองค์ไม่เคยบังคับเรา แล้วพอเรามาอยู่ในพระเจ้าเรามีความสุขไง คือเราได้อยู่กับพ่อของเราที่เข้าใจเรา เป็นพ่อที่อบอุ่นมากๆ เป็นพ่อที่ไม่เคยบังคับเรา เป็นพ่อที่พยายามโน้มนำเรา นำเสนอ เสนอแนะทางดีให้กับเรา แค่หลายครั้งเราก็ดื้อบ้าง? อะไรบ้าง? ไม่เป็นไร พอลูกเราดื้อ พ่อก็คงไม่ตัดออกจากกองมรดกแน่นอน ถ้าดื้อคุณพ่อคุณแม่ก็เสียใจนิดๆ แต่ยังรักลูกเหมือนเดิม ความรักที่พ่อแม่ให้กับลูกไม่เคยถดถอย รักเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิด จนวันที่เขาตาย เหมือนเดิม แล้วยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด? ความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา หนักกว่านั้นอีก พระองค์รักเราตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสุดท้าย แล้วพระองค์ก็ดูแลนำพาชีวิตของเรา ระหว่างที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์เริ่มต้นการงานดีแล้ว พระองค์ก็จะพาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง ทำให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
*************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
โลกบอกว่า … “ทุกทางของความเชื่อ ต่างสอนให้คนทำดี เพื่อไปสู่สวรรค์ หลังความตายเหมือนๆ กัน”
แต่พระเจ้าบอกว่า … “ไม่มีทางไหนมาถึงสวรรค์ของเราได้ นอกจากทางพระเยซูเท่านั้น”
ยอห์น 14:6 … “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดา (ผู้สถิตในสวรรค์) ได้นอกจากมาทางเรา”
พระเยซูได้นำสวรรค์ของพระเจ้า ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้วทางฝ่ายวิญญาณ
พระเยซู คือประตูสวรรค์ที่เปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลก ให้เข้าไปอาศัยอยู่กับพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ตราบนิรันดร์
ยอห์น 14:1-2 พระเยซูตรัสว่า … “1 อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย 2 ในพระนิเวศพระบิดาของเรา (คือในสวรรค์ของพระบิดา) มีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มี เราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้ สำหรับท่านทั้งหลาย”
ยอห์น 14:23 … “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอน (ข่าวดี) ของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”
• เป็นข่าวดี ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคน ที่จะสามารถมีความหวัง เข้าสวรรค์ได้เลย ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ เข้าอยู่ทันที ไม่ต้องรอให้ตายก่อน
• คือแต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่มนุษย์เคยเรียนรู้มาตลอด ในทุกยุคทุกสมัย และแทบจะ ทุกความเชื่อเลย ก็คือมนุษย์ต้องสั่งสมความดี ต้องละเว้นการกระทำบาป เพื่อที่ว่าหลังจากที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะสามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้
• คำสอนและความเชื่อแบบนี้ เป็นข่าวธรรมดา ที่มนุษย์ทุกคนคุ้นเคยกันดี แต่ความเป็นจริง ก็คือมันเป็นความหวัง ที่ไม่แน่นอน เพราะอย่างที่เราย้ำมาตลอดว่าไม่มีใครไม่ทำบาป ทุกคนไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์เพียงพอที่จะเข้าสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ เพราะฉะนั้น ความเชื่อแบบนี้ จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถมั่นใจ ในชีวิตหลังความตายได้เลยว่าตัวเองจะได้ไปสวรรค์หรือไม่ ต้องทำดีแค่ไหน ต้องละเว้นบาปขนาดไหน จึงจะเพียงพอ
• จนกระทั่ง หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตาย มนุษย์ที่เชื่อในคำประกาศข่าวดีของพระเยซู จึงสามารถมั่นใจได้แล้วว่าได้ไปสวรรค์แน่นอน โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำใดใดของตนเลย แต่หันกลับมาพึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแทน
พระเจ้าอวยพรครับ