คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 9 “บาปแค่ไหน ก็รอดเท่ากัน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  มกราคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 9 “บาปแค่ไหน ก็รอดเท่ากัน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีปีใหม่ครับ เราได้พบกันครั้งแรกในปีนี้ ปีใหม่ก็จริง แต่กลับมาบรรยายเรื่องเก่า เป็นซีรี่ย์ต่อ จริงๆ ว่ากันมาแล้ว 2,000 ปี ก็เป็นเรื่องเดิม เรื่องข่าวดี ซีรี่ย์นี้ ใช้ชื่อเรื่องว่า “อุปมาคำสอนของพระเยซู” เราเรียนกันมาแล้ว 8 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 9 มีชื่อตอนว่า “บาปแค่ไหน ก็รอดเท่ากัน” เราได้เรียนรู้กันไปหลายอุปมาแล้ว ตั้งแต่เรื่องผ้าเก่า ผ้าใหม่ เหล้าเก่า เหล้าใหม่ ถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ ต้นไม้ดี ต้นไม้เลว และสุดท้าย การให้อภัย แต่ไม่ว่าจะเป็นอุปมาคำสอนเรื่องอะไร? ก็จะเป็นแก่นแท้ หรือความหมายที่แท้จริงของอุปมา เรื่องเดียวกันหมด  พระเยซูสอนเรื่องหนทางเดียวที่มนุษย์จะไปสวรรค์ มนุษย์ที่เป็นคนบาป คนชั่ว จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้อย่างไร? ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้แล้ว ต้องบังเกิดใหม่ หรือเกิดใหม่ในพระเยซูเท่านั้น แม้เราจะเรียนอุปมาไปอีกหลายตอน แต่ว่าพระเยซูสอนพุ่งตรงมา หมายความถึงเรื่องนี้ทั้งนั้น

ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันถึงเรื่องการให้อภัย ตามความหมายในพระคัมภีร์ที่เปโตรได้ถามพระเยซูว่า …

“หากพี่น้องทำบาปต่อเรา เราควรยกโทษให้เขาสักกี่ครั้งดี? สัก 7 ครั้งหรือ?”

และคำตอบของพระเยซู ก็คือ … “เราบอกท่านว่าไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่เป็น 70 … 7 ครั้ง”

ก็คือ 70x7 นี่คือการให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือเป็นจำนวน 490 ครั้ง ต่อหนึ่งคน ต่อหนึ่งเรื่อง … มาตรฐานของพระเจ้า ที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ ทุกคน ทำได้ไหม? คิดเอาเองแล้วกัน

การให้อภัยที่เปโตรถาม เป็นบัญญัติที่สำคัญมาก ที่ชาวยิวในสมัยโน้น ยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยตลอด กังวลตลอด คือบัญญัติจะบอกไว้เลยว่าถ้าท่านไม่ให้อภัยต่อมนุษย์ พี่น้องคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งไม่ใช่ชาวยิวก็ตาม พระเจ้าก็จะไม่ให้อภัยท่านด้วย

ซึ่งสมัยนั้น คำว่า “การอภัย” มันคือการอภัยแบบครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเจ้าบอก คือแม้กระทั่งว่าเขา “ไอ้โง่” ยังไม่ได้เลย นี่แหละคืออภัยอย่างสมบูรณ์ บอกไอ้เซ่อ เท่ากับเราฆ่าเขา มีค่าเท่ากัน

สรุป ก็คือพระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้หรอก ไม่สามารถที่จะให้อภัยตาม  มาตรฐานของพระเจ้า ถ้าอยากทำได้ ต้องไปเกิดใหม่ มาหาเรา เดี๋ยวเราจะบอกวิธีทำ ก็คือทำให้เจ้าเกิดใหม่ เกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณก็ใหม่ สะอาดเหมือนพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนในเรื่องอุปมานี้ และอุปมาอื่นๆ ก็ลักษณะเดียวกัน

มนุษย์ทุกคนจึงจำเป็นต้องมาพึ่งพระเยซู เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะมีธรรมชาติในวิญญาณข้างในเป็นความรักของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  ก็จะสามารถให้อภัยใครก็ได้ เป็นไปตามธรรมชาติ โกรธไม่เป็น แม้ว่าข้างนอกโกรธอยู่ เพราะกิเลสของเนื้อหนังที่ได้รับอิทธิพล จากบาป ซึ่งส่งกระแสเข้ามา แต่วิญญาณก็จะสะอาดใหม่เอี่ยม พระเจ้ามองที่วิญญาณเท่านั้น สะอาดทุกคน ไม่รู้จักโกรธสักคน แต่อยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว เพราะพระเจ้าใช้เราให้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเสร็จสิ้นการงาน พระเจ้าก็เอาวิญญาณและความคิดจิตใจที่เป็นตัวตนของเราแท้ๆ กลับบ้าน ไปอยู่สวรรค์ มันสะอาดหมดจด ส่วนร่างกายเก่าเราไม่เอา ไม่ใช่ตัวเรา สวมไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะรีบทิ้งร่างกายนี้ไปนะ ในพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น การจากไป ก็มีความสุขหรือดีกว่าการอยู่บนโลกใบนี้ จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย ไม่ต้องอยู่ในเนื้อหนังร่างกาย ที่มันต้องอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของความบาป ผ่านทางกิเลสของเนื้อหนังอยู่นี้ มันดีกว่า ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความวุ่นวายของโลกใบนี้ด้วย แต่ว่าพระเจ้ายังต้องใช้งานเราอยู่ เราอยากจะไป ก็ยังไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น บอกพี่น้องข้างๆ อดทนรออีกนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งรีบไปไหน รอพระเจ้าใช้งานให้ครบถ้วนบริบูรณ์ซะก่อน ที่อยากจะไป ก็ตั้งความหวังไว้ รอที่จะจากไป เอเมน นี่แหละ ความสุขของผู้ที่ได้บังเกิดใหม่

คำอุปมา คำสอนของพระเยซูเรื่องใหม่ ที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ อยู่ในหนังสือลูกา  7:36-39 เป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งพระเยซูจะสอนให้เรารู้จักการบังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? การได้รับการชำระ อภัยโทษจากความบาปของพระเจ้า เป็นอย่างไร?

ลูกา 7:36-39 “36 ฟาริสีคนหนึ่ง เชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ พระองค์จึงเสด็จไปที่บ้านของเขา และทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ 37 หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้น เคยเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระเยซูกำลังเสวยพระกระยาหารที่บ้านฟาริสีคนนั้น ก็นำขวดน้ำมันหอมเข้ามา 38 และมายืนอยู่ข้างหลังพระองค์ที่พระบาท นางร่ำไห้หลั่งน้ำตารดพระบาท แล้วเอาผมเช็ด จูบพระบาท และรินน้ำมันหอม ชโลมพระบาทของพระองค์  39 เมื่อฟาริสีที่เชิญพระเยซูเห็นเช่นนั้น ก็นึกในใจว่า “หากคนนี้เป็นผู้เผยพระวจนะ เขาก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่มาแตะต้องเขาเป็นใคร และเป็นผู้หญิงประเภทไหน เพราะนางเป็นคนบาป”

 

เริ่มเรื่อง คือพระเยซูได้รับเชิญไปรับประทานอาหารมื้อค่ำที่บ้านฟาริสีคนหนึ่ง ที่ชื่อ ซีโมน ไม่ใช่คนที่เป็นสาวกพระเยซูนะ  คล้ายๆ กับนิโคเดมัส คือเป็นคนที่เริ่มเชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? และอยากจะเรียนรู้ต่อไป เขาก็เชิญพระเยซูไปบ้าน ไปเลี้ยง แล้วพระเยซูก็ไป แล้วมีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้น ซึ่งรู้ข่าวว่าพระเยซูจะไปที่นั่น และเป็นหญิงที่ในพระคัมภีร์ บอกว่าเป็นหญิงชั่ว

คำว่า “หญิงชั่ว” ตรงนี้ ในพระคัมภีร์บางฉบับอธิบายว่าผู้คนทั้งเมือง รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้หญิงบาป มักจะใช้กับผู้หญิงที่มีประวัติในเรื่องการผิดศีลธรรม หรือผู้หญิงที่ทำตัวไม่เรียบร้อย  ไม่สำรวม ซึ่งตามบัญญัติของชาวยิวในสมัยนั้น ถือว่าผู้หญิงเหล่านี้ เป็นคนชั่ว  หรือเป็นคนบาป อย่างแรง ยิวเขาคิดอย่างนี้นะ

แล้วพวกที่คิดว่าตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ตัวเองรักษาบทบัญญัติอย่างดี ก็คือพวกฟาริสี ก็จะไม่เข้าไปใกล้ชิด หรือคบหาสมาคมกับหญิงชั่วเหล่านี้ โดยเด็ดขาด ถือว่าผิดบัญญัติ ใครไปคบ ไปใกล้ชิดกับหญิงพวกนี้ เป็นเรื่องประหลาด เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทำให้เสียเกียรติพระเจ้ามาก โดยเฉพาะคนยิว เพราะเขาคิดว่าเขาอยู่ใกล้พระเจ้ามาก เขาสะอาดบริสุทธิ์กว่าคนที่ไม่ใช่ยิว

ในนี้บอกว่าผู้หญิงคนนั้น เข้ามาหาพระองค์ เอาน้ำมันหอมราด ชโลมพระบาท แล้วก็ใช้ผมเช็ด ร้องไห้ด้วย ทำไมต้องทำอย่างนั้น? การกระทำของหญิงคนนี้ ไม่ต้องอธิบายเยอะนะ ก็คือความรู้สึกว่าพระเยซูมีบุญคุณต่อเขามาก รักพระเยซูมาก ต้องอะไรบางอย่างที่พระเยซูช่วยอะไรเขาไว้ เขาต้องเทิดทูน ยกย่อง ให้เกียรติ นึกถึงพระคุณของพระเยซูมากเลย เขาถึงกล้าทำอย่างนี้ พวกฟาริสีเห็น  รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงชั่ว ตกใจ นึกในใจว่า …

“หากพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะจริงๆ ตามที่เขาบอกกันมา พระเยซูก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่มาแตะต้องเขา เป็นหญิงประเภทไหน? และนางเป็นคนบาป (บาปหนา, บาปเยอะ, บาปมาก)”

ท่านลองคิดเองแล้วกันว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน แล้วมีคนไม่ดีมากๆ เข้ามาในโบสถ์ ท่านจะคิดอย่างไรกับเขา แล้วพระเจ้าคิดอย่างไร? ฝากไว้

สิ่งที่พวกฟาริสี รวมทั้งพวกเราด้วย ใช้ตัดสินว่าใครเป็นคนชั่วคนบาป ก็จะดูการกระทำของเขา ในอดีต เราจะดูประวัติคนนี้ว่าเคยทำชั่วอะไรมาบ้าง สำหรับพระเยซู พระองค์คิดอย่างไรในเรื่องนี้

ลูกา 7:40-43 “40 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน” เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ว่าไปเถิด 41 พระองค์ตรัสว่า “คนปล่อยเงินกู้คนหนึ่ง มีลูกหนี้สองราย รายหนึ่งเป็นหนี้ห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีกรายหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบเหรียญ 42 ทั้งสองคนไม่มีเงินใช้หนี้ เขาจึงยกหนี้ให้ทั้งคู่ ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน?” 43 ซีโมนทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่ได้รับการยกหนี้มากกว่า” พระเยซูตรัสว่า “ท่านตัดสินถูกแล้ว”

 

คำอุปมาของพระเยซูตรงนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะฟาริสีสมัยนั้น แต่หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาป ตามที่พระคัมภีร์บอก เป็นคนชั่ว อยู่ในวิญญาณของเรา จะมีนิสัยอย่างนี้ มักชอบเปรียบเทียบ เปรียบมันทุกเรื่องตั้งแต่เปรียบว่า …

“ฉันเป็นอย่างไร? เธอทำอะไร? เธอเป็นอย่างไง?”

ตั้งแต่ใครรวยกว่ากัน ใครสวยกว่ากัน ใครหล่อกว่ากัน ใครผอมกว่ากัน? ใครเก่งกว่ากัน? ใครดีกว่ากัน? เปรียบเทียบแม้กระทั่งว่าบาปชนิดไหน? ใครทำอะไรใหญ่กว่ากัน

“ที่เธอทำบาปน้อย ฉันทำบาปเยอะ เธอทำบาปเยอะกว่าฉัน บาปอันนี้มากกว่า อันนี้น้อยกว่า”

นี่คือมนุษย์ทุกคน เพราะวิญญาณข้างในบาป มาอ่านกันต่อว่าคำอุปมาในนี้ พระเยซูกำลังจะบอกอะไรกับฟาริสี และกำลังจะบอกกับพวกเราด้วย

ลูกา 7:44-50 “44 แล้วพระองค์ทรงหันไปทางหญิงนั้น และตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้หรือไม่ เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาให้เราล้างเท้า ส่วนนางเอาน้ำตาล้างเท้าของเรา และเช็ดด้วยผมของนาง 45 ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงนี้จูบเท้าเราไม่หยุด ตั้งแต่เราเข้ามาในบ้าน 46 ท่านไม่ได้รินน้ำมันรดศีรษะของเรา แต่นางรินน้ำมันหอมรดเท้าของเรา 47 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้ว ตามที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็รักน้อย” 48 แล้วพระเยซูตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 49 แขกรับเชิญคนอื่นๆ เริ่มพูดกันว่า “ผู้นี้เป็นใครหนอ จึงให้อภัยบาปได้?” 50 พระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้า ได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด”

 

พระเยซูกำลังให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่ม กลุ่มที่เรียกว่าฟาริสี ที่คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ดีงาม แล้วเห็นผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นคนชั่ว บาปหนามาก แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ ทำกับพระเยซูต่างกัน ผู้หญิงนี้พึ่งพระเยซูหมดเลย ผู้เดียวที่จะช่วยฉันได้ แต่ฟาริสีบอกพระเยซูก็ดี แต่มีบางอย่างที่ฉันจะทำเองด้วย พระเยซูเลยลดความสำคัญลง รู้ได้อย่างไร? ก็ทำต่อพระเยซูน้อยลง พระเยซูกำลังบอกกับฟาริสีว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับพระองค์ แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเทิดทูน ที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีต่อพระองค์ และรู้ว่าพระองค์มีค่าเท่าไร? สำหรับเขา ถ้าผู้หญิงคนนี้ ทำอย่างนี้มาก แสดงว่าพระเยซูมีค่ากับเขามาก เทียบกับฟาริสีที่ทำนิดเดียว ล้างเท้ายังไม่ล้างเลย แสดงว่าฟาริสีให้ความสำคัญกับพระเยซูน้อย พูดง่ายๆ พระเยซูไม่จำเป็นสำหรับชีวิตท่านเท่าไรนัก หรือถ้าจำเป็น ก็จำเป็นน้อยกว่าผู้หญิงคนนี้ที่ต้องการพระเยซู

ความหมาย ก็คือเพราะผู้หญิงคนนี้ รู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรมาบ้าง? มีบาปหนาขนาดไหน? เหมือนอุปมาเรื่องเจ้าหนี้ที่เมื่อตะกี้เราอ่าน เป็นลูกหนี้ที่ถูกยกหนี้มากกว่า ก็ย่อมรักเจ้าหนี้มากกว่า เพราะได้รับการช่วยเหลือ ผู้หญิงคนนี้รู้ตัวเองว่าเป็นลูกหนี้ ที่มีหนี้เยอะมาก ยังไงๆ ตัวเองก็ใช้หนี้ไม่หมด ก็เลยต้องพึ่งในพระเยซู 100% เชื่อหมดใจว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะว่าตัวเองไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้นั่นเอง

นี่คือหัวใจของคนที่จะเกิดใหม่ นี่คือหัวใจของคนที่จะมาเชื่อพระเยซู คือต้องรู้ว่าฉันแย่มาก ไม่มีทางรอดเลย ถ้าไม่มีพระเยซู

สรุปหมายถึงอย่างนี้  ผู้หญิงคนนี้ได้สำแดงสิ่งนี้ให้เราได้เห็น ในขณะที่เทียบกับพวกฟาริสีที่คิดว่าตัวเองเป็นคนบาป ก็จริง แต่ฉันกำลังพยายามด้วยตัวเอง รักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ทำให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์บ้าง? บาป  แม้ฉันจะมี แต่ก็มีไม่มากเท่ากับคนอื่น ฟังให้ดี ตรงนี้คือหัวใจ ตามอุปมา ก็คือฉันเป็นหนี้แค่นิดเดียว คนอื่นเป็นหนี้ 500 ฉันเป็นหนี้แค่ 50 หรือบางคนปฏิบัติเยอะมากๆ อธิษฐานมากๆ ฉันเป็นหนี้แค่ 5 เท่านั้นเอง เผลอๆ ฉันเป็นหนี้แค่หนึ่ง ยิ่งมีความคิดมากเท่าไร? พระเยซูก็ลดความสำคัญมากเท่านั้น เมื่อเป็นหนี้แค่นิดเดียว การปฏิบัติตัวออกมา ก็เลยแสดงออกถึงความรัก ที่มีต่อคนที่เป็นเจ้าหนี้ น้อยกว่าคนอื่นเขา นี่หมายถึงข้างใน ข้างนอกเราไม่รู้ว่าปฏิบัติอะไรอย่างไร?

พระเยซูบอกว่า “เหตุฉะนั้น บาปมากมายของนาง ได้รับการอภัยแล้ว จากที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อย ก็รักน้อย”

เห็นหรือยัง? “ผู้ที่ได้น้อย ก็ไม่ได้สำนึกถึงการกระทำของพระเยซู คือรักพระเยซูน้อย ผู้ที่สำนึกตัวเองมาก ที่บอกว่าฉันบาป ไม่มีทางแก้ไขได้เลย  ไม่มีใครช่วยฉันได้ แม้แต่ตัวฉันเองก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฉันพึ่งพระเยซู 100% เต็ม ก็เลยรักพระเยซู พึ่งพระเยซู 100% อีกคนหนึ่งบอก ฉันพึ่งตัวเองได้ พึ่งพระเยซูสัก 50 ตัวฉันเองทำเองอีก 50 ก็จะรักและพึ่งพระเยซูน้อยกว่า นี่เป็นธรรมชาติ ต้องเป็นอย่างนี้เลย

คำอุปมาที่พระเยซูสอน เป็นการย้ำให้เราเห็นพื้นฐานของมนุษย์ที่ชอบเปรียบเทียบ พยายามชั่ง ตวง วัด ค่าของความเข้มข้นของความชั่วที่ทำ เพื่อหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองรอดพ้นจากบาป ด้วยตัวเอง ซึ่งมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็พยายามที่จะทำ เพราะว่ามันติดบาป มาตั้งแต่เกิดแล้ว จะลบมันออกให้ได้ ทั้งๆ ที่พอมาเชื่อพระเยซู พระเยซูลบมันออก 100% แล้ว ไม่พอ วันทั้งวันยังเอายางลบๆ มันอยู่นั่น ลบจนเลือดไหลเลย เป็นผลร้ายอีก ชีวิตไม่มีสันติสุข

ตัวอย่างเช่น ถ้าทำแบบนี้นะ เป็นบาปใหญ่ ถ้าทำแบบนี้ บาปเล็กๆ เอง แค่ขับรถฝ่าไฟแดง แค่นี้เอง แค่ด่าเพื่อน บาปไม่เยอะ ด่าพ่อกับแม่ เรื่องใหญ่มากๆ เรามักจะคิดกันอย่างนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ให้ด่าแม่เขานะ หมายถึงว่าแม่ตัวเองอย่างนี้ ตวาดแม่ตัวเอง ไม่ได้ ฆ่าคนตายเป็นบาปใหญ่ ถ้าทะเลาะวิวาทกัน เป็นบาปเล็ก ทะเลาะวิวาทแค่นี้ นิดหน่อยเอง ยังไม่ถึงขนาดตีหัวเขาเลย พระเยซูบอกทะเลาะแค่นั้น ก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว บาปเท่ากัน

อีกอันหนึ่งชัดใหญ่ “เจตนา” เราไม่ได้เจตนา ดังนั้นไม่บาป  สำหรับพระเจ้า เจตนาหรือไม่เจตนา ก็บาป เพราะว่ามันเป็นบาป เพราะมันเป็นกฎ ลบเลือนไม่ได้ จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งก็ลบไม่ได้ เพราะเป็นพระเจ้าผู้ดูแลรักษากฎนี้ เหมือนท่านเดินออกไป จากดาดฟ้าชั้น 2 ปุ๊บ ไม่มีอะไรรับท่าน ท่านก็ถูกแรงดึงดูดของโลก ดูดท่านลงมา เพราะว่ามันเป็นกฎของโลกนี้ กฎของวัตถุ คืออะไรที่มีน้ำหนัก เป็นวัตถุสิ่งของ ออกไปลอยๆ อยู่ จะถูกแรงดึงดูดของโลก ดูดลงมาบนพื้นดิน เพราะมันเป็นกฎ จะมีแบบนี้ไหม?

“คนนี้ไม่ดูดหรอก เพราะเขาทำดีไว้เยอะ อย่าไปดูดเขาเลย”

ทำได้ไหม?  พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์อาจจะมาขึ้นทางทิศตะวันตก เพราะมีคนอธิษฐานขอเยอะ และจำเป็นมากเลย เพราะมันจะช่วยคนอีกประมาณ 2, 3 ล้านคนรอดจากการหายนะ เฉพาะพรุ่งนี้วันเดียว ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก ทำได้ไหม? ไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นกฎ คนไม่เข้าใจตรงนี้ นึกว่า …

“พระเจ้าทำไมไม่ยุติธรรม”

พระเจ้ายุติธรรมจริงๆ พระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม ไม่มีการลำเอียงใดๆ เลย ทุกอย่างเป็นกฎ เป็นระเบียบ ถ้าท่านได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ ก็เหมือนกัน มันก็เป็นกฎ ถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปท่าน ท่านก็ได้รับความรอดเลย มันเป็นกฎ ท่านจะแก้ ยังแก้ไม่ได้เลย ท่านอาจจะบอกว่าโจรคนนี้ ทำชั่วมาตลอดชีวิต แล้วทำชั่วจริงๆ จนถูกจับได้ แล้วถูกตรึง ให้ตายอย่างทรมานที่กางเขน เพื่อเป็นตัวอย่างว่าอย่าทำอย่างนี้อีก แล้วถูกตรึงวันเดียวกับพระเยซู อยู่ข้างพระเยซู 2 คน ทำชั่วทั้งสองคน สมควรตาย อีกคนหนึ่งมาหาพระเยซูบอก …

“พระเยซูฉันเชื่อๆ ขอฝากชีวิตด้วย ฉันเชื่อพระองค์ นำฉันไปสวรรค์ด้วย”

พระเยซูบอกว่าอย่างไร? เราจะได้เจอกันในสวรรค์ รอดไหม? รอด เราบอกไม่ยุติธรรม นี่คือมนุษย์คิด กับพระเจ้าคิดต่างกัน ต้องเข้าใจตรงนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ต้องเข้าใจเรื่อยเปื่อยตามประสาของมนุษย์ ตำรวจเรียกรถ 2 คัน ฝ่าไฟแดงทั้งสองคัน คันหนึ่งปรับ 5,000 บาท จ่าย 5,000 ไม่มีการยกเว้น อีกคันหนึ่ง จอดพร้อมกัน ฝ่าไฟแดงปรับเท่ากัน 5,000 ส่งศาล คนนี้ก็แย้งผู้พิพากษาว่าที่ฝ่าไฟแดงเพราะอะไร? สมมตินะ ยกตัวอย่างให้น่าสงสาร เพราะว่าจำเป็นต้องไปช่วยคนนี้ ภายในหนึ่งวินาที เขาจะตายไม่ตาย ต้องรีบไปโรงพยาบาล มีหลักฐานเรียบร้อย ศาลและลูกขุนเห็นเหมาะสม เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่เขาทำไว้ เพราะฉะนั้น ละเว้นสักหนึ่งราย ไม่เปรียบเทียบปรับ ถามว่าสามารถทำได้ไหม? ได้ เพราะมันเป็นกฎที่มนุษย์วาง มนุษย์ก็จะอย่างนี้ อันนี้ดีๆ มันคนละเรื่องกับโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าวางกฎไว้ต่างๆ แก้ไขไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับบาปแทนเรา และสร้างกฎใหม่ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  ทำอย่างไรก็ตาย เพราะมันอยู่ในกฎนั้น จะมาอ้างไม่ได้ว่า …

“ฉันทำอย่างโน้น ฉันทำอย่างนี้ หวังดี”

มันไม่ใช่  มันอยู่ที่รู้ความจริงของกฎไหม? ความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ ไม่อย่างนั้น เราก็จะมานั่งคิดว่าอันนี้เจตนาทำผิดไหม? อันนี้ไม่เจตนา สำหรับพระเจ้า ทำบาป ก็คือบาป ไม่มีเจตนาหรือไม่เจตนา เราก็จะบอกทำบาปเยอะ ทำบาปน้อย ทำบาปเยอะๆ ต้องไปอยู่ในนรกมากกว่าคนที่ทำบาปน้อย เราบอก คนทำบาปน้อย ไปอยู่ในนรกขุมเดียว คนทำบาปเยอะๆ ไปอยู่นรกหลายขุม แสดงว่ามันต่างกันนะ ในพระเจ้าทำบาปมากบาปน้อย ก็ไปอยู่ในนรกที่เดียว ในทำนองเดียวกัน คนที่ไปอยู่ในสวรรค์ ก็ไปอยู่ในสวรรค์ที่เดียวกันนั่นแหละ ไม่มีอะไรที่ดีกว่า คนนี้ทำดี ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่ง พอแล้ว เธอต้องทำดีมากๆ ขึ้นไปอีก เพื่อว่าเมื่อจบชีวิต เธอจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงๆ เลย ชั้น 12 ก็ได้ เดี๋ยวนี้ยิ่งดีใหญ่ ใช้ลิฟท์ ชั้น 50 ก็ได้  แล้วแต่มนุษย์จะคิดตามประสามนุษย์ พระเยซูกำลังจะสอนเราอย่างนี้ สอนมา 2,000 ปี ยังเอามาใช้ได้ถึงปัจจุบัน เหมือนกันเด๊ะ คุ้นๆ ใช่ไหมถ้อยคำแบบนี้ แต่ในทางพระเจ้าไม่มีแบบนี้ ความรัก ความเมตตา การให้อภัยของพระเจ้าไม่มีความแตกต่างเลย ไม่มีการแบ่งแยกเลยว่าคนนี้บาปน้อย ฉะนั้น อภัยให้น้อย คนนี้บาปหนามาก เพราะฉะนั้น ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ไม่มี พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทุกคน เพื่อทุกคนจะได้รับความรอด มาถึงชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อมนุษย์ทุกคน แต่ทุกคนต้องทำหน้าที่ ก็คือต้องใช้สิทธิของเขา ถ้าเขาใช้สิทธิของเขา ก็จะไม่มีใครมาแย้งได้เลย เขาก็จะได้รับสิทธิของเขาไป ตามนั้น

ในสายพระเนตรของพระเจ้า คำว่าบาป ไม่มีเรื่องปริมาณ ไม่มีเรื่องเจตนา มีเพียงบาป ก็คือบาป ทำบาปเล็ก ทำบาปใหญ่ ก็บาปเท่ากัน ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็บาป เหมือนกัน ไม่ว่าจะเจตนา หรือไม่เจตนา ก็บาปเหมือนกัน ไม่มีคำปรากฏในพระคัมภีร์ว่ารอดจากบาป นิดหน่อย รอดจากบาปมาก มีแต่รอดจากบาปทุกคน มีแต่ขาวกับดำ ไม่มีเทาๆ

ถ้าเราทำให้กฎของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้าแม้แต่ขีดๆ หนึ่ง จุดๆ หนึ่ง ลบเลือนหายไป ด้อยลง อ่อนค่าลง ทำให้บัญญัติของพระเจ้าอ่อนแอลง คือไม่เข้มเท่าเดิม เพราะเราคิดเอง เราก็จะไม่แสวงหาพระคุณพระเจ้า เราก็จะพยายามด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งคิดว่าทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน แล้วเราจะเป็นที่พอใจของพระเจ้า เป็นที่รับได้ของพระองค์มากกว่าคนที่เขาไม่พยายาม อันตรายมาก แต่พระเยซูกำลังมาชี้ให้เราเห็นว่าเราพยายามเท่าไร ก็ไม่มีทางผ่านมาตรฐานของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  ไม่มีทางที่จะบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากมลทินของบาปใดๆ ได้ตามมาตรฐาน ตามสายพระเนตรของพระเจ้าได้ เราไม่มีทางทำได้  ถ้าเราเห็นตามที่พระเยซูบอก พระเยซูกำลังบอกว่า …

“ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านต้องพึ่งเรา 100% ไง ต้องมาหาทางเรา 100%”

มาหาทางพระเยซู 100% และวางใจในพระองค์ ที่ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเมสซียาห์

บัญญัติของพระเจ้าที่จะรักษาไว้ เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้พ้นจากบาปได้นั้น ต้องเป็นบัญญัติที่ครบถ้วนบริบูรณ์ บอกว่า “ห้ามฆ่าคน” ก็ต้องไม่ฆ่าเลย แม้กระทั่งว่าคน เกลียดคนก็ไม่ได้เลย ต้องครบถ้วนอย่างนั้น ถึงจะได้เข้าในสวรรค์ได้ เข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้ ต้องครบถ้วนบริบูรณ์ 600 กว่าข้อ หรือมากกว่านั้นอีก ซึ่งพระเยซูบอกมนุษย์ทำไม่ได้หรอก แต่พระองค์ทำให้เราได้ ก็คือเข้าไปเชื่อในพระองค์ พอท่านเชื่อ ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นกฎแห่งพระวิญญาณ พอท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อแบกรับเอาความบาปของมวลมนุษยชาติ และของฉันด้วย และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์เดชอำนาจ คือกฎของวิญญาณ ใครที่เชื่ออย่างนี้ วิญญาณของเขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ มีวิญญาณเหมือนพระเจ้าเลย สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีตำหนิใดๆ เลย พระเจ้าเป็นวิญญาณแห่งความรัก เคยได้ยินใช่ไหม?

“พระเจ้าเป็นความรัก  พระเจ้าเป็นความรัก”

พอเราเหมือนพระเจ้า เราก็เลย เป็นความรัก วิญญาณเราเป็นความรักเหมือนพระเจ้าเลย อย่างที่ตะกี้ผมบอก เราเพียงสวมใส่ร่างกายเก่า ซึ่งร่างกายเก่านี้ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลของบาป เนื่องจากกิเลสตัณหามันยังอยู่ในนี้ เนื้อหนังนี้ และยังอยู่ในความคิดเก่าๆ นี้ อาจจะเผลอตกหล่นไป พระเจ้าไม่สนใจ พระเจ้าสนใจตัวจริงของเรา และความคิดจิตใจของเราที่บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า พระเจ้าบอกว่า …

“จะไม่มีใครที่ไหนเอาเจ้าออกไปจากมือของเราได้อีกแล้ว เราใส่หัวใจใหม่ วิญญาณใหม่ลงไปที่เจ้าแล้ว ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ ที่มาเอาเจ้าออกไปจากความรักของเราได้อีกแล้ว”

ฟิลิปปี บทที่ 1 บอกว่าพระเจ้าทรงให้ท่านเกิดใหม่แล้ว เริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงกระทำ พาท่านต่อไป จนกระทั่งสำเร็จผล เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า จนกว่าวันของพระเยซูคริสต์จอมเจ้านาย คือวันที่ท่านจากไปหาพระเยซู หรือพระเยซูกลับมา เอเมน

เห็นไหม? ทำได้ เพราะว่าพระองค์ทำหนทางให้เรา สามารถไป เพราะว่ามันเป็นกฎ กฎนี้ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ มนุษย์คิดว่าพยายามทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน เพื่อพระเจ้าจะได้พอใจ ฟังให้ดีๆ นะ มนุษย์คิดเหมือนฟาริสีสมัยก่อน แม้จะเป็นคริสเตียน ก็ยังคิดอย่างนี้อยู่ คิดว่าพยายามทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกันนะ เพื่อพระเจ้าพอใจ แต่พระเยซูบอกว่า …

“สิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอใจที่สุด คือท่านทั้งหลายจงเชื่อในเรา”

คนถามพระเยซู “พระเยซู พระเจ้าส่งพระองค์มาทำอะไรบนโลกนี้”

พระเยซูบอก “เรามาทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือเชื่อในพระบิดา คนใดจะไปหาพระบิดา ต้องเชื่อในเรา”

คนไหนทำให้พระเจ้าพอใจ คือเชื่อในพระเจ้า พูดง่ายๆ คือคนไหนที่ทำให้พระเจ้าพอใจ คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาไถ่บาปมนุษย์และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่แหละ คนที่เชื่อตรงนี้ คือคนที่พระเจ้าพอใจที่สุด เพราะว่าเชื่อตรงนี้แล้ว พระเจ้าจะนำพาเขามาเป็นลูกของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงนำพาเขาไปเรื่อยๆ และใช้เขาบนโลกใบนี้ ให้เป็นแสงสว่างที่เดินอยู่บนโลกนี้ พร้อมๆ กับพระองค์ เอเมน

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากทำชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ซึ่งทุกคนอยากทำอยู่แล้วล่ะ พยายามอยากทำอยู่ อันนี้ง่ายขึ้นแล้ว อยากทำให้ชีวิตเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ก็คือเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซู ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเรา เพื่อให้เราได้บังเกิดใหม่ พร้อมๆ กับพระองค์ในวันที่ 3 ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ แค่นั้นเอง แล้วเมื่อเราเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะอวยพร และนำพาชีวิตท่านต่อไป เมื่อพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเสด็จเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ในวิญญาณของท่าน พระองค์จะนำพาท่านไป จบอุปมานี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2018 เรื่อง “เหตุจากวันคริสต์มาส เราจึงได้บังเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  ธันวาคม  2018

 เรื่อง “เหตุจากวันคริสต์มาส เราจึงได้บังเกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

Merry Christmas ครับ … “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ  จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์  ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

วันนี้เป็นวันที่เราจะมาระลึกถึงวันประสูติของพระเยซู ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อเยซูคริสต์ ถามว่าทำไมพระเยซู ซึ่งมีสภาพเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์? เหตุผล ก็คือเพื่อมาไถ่มนุษย์ ก็ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป ซึ่งคือความตายในวิญญาณ และได้รับการบังเกิดใหม่

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ตายในวิญญาณ ไม่รู้จักกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ นี่คือโทษหรือคำสาปแช่งของบาป ซึ่งมนุษย์ทุกคนตกอยู่ในบาป พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น และมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษนี้ได้ ก็คือมนุษย์ต้องบังเกิดใหม่

บังเกิดใหม่ เป็นคำภาษาโบราณ เขาเขียนพระคัมภีร์มาตั้งหลาย 100 ปีแล้ว ใช้คำว่า “บังเกิด” หนทางเดียวที่จะทำให้มนุษย์รอด ก็คือต้องเกิดใหม่ เหมือนกับใครที่ต้องทำอะไรยากๆ บางคนอยากจะเป็นนักร้อง ร้องก็เพี้ยนๆ หรืออาจจะร้องดีบ้างนิดหน่อย แต่อยากจะเป็นนักร้องดังๆ ที่เขาร้องเพลงเก่งๆ เหมือนโอเปร่า ซึ่งทำอย่างไรก็ไม่ได้ คนรอบข้างก็รู้ เขาเลยบอกว่า …

“อย่างนี้ เธอต้องไปเกิดใหม่ซะ”

บางคนชัดเจนเลยนะ อยากเป็นนักกีฬา รูปร่างไม่ไห้

“ฉันอยากเป็นๆ”

คนรำคาญ เลยพูดไป “โน่น อย่างเธอ ถ้าเป็นได้ ต้องไปเกิดใหม่ซะ”

ยิ่งนิสัย ยิ่งชัดเจน บางคนขี้เกียจจนเป็นนิสัย หรือขี้เกียจจนเป็นสันดาน ผู้คนรอบข้างจึงบอกว่า …

“ถ้าจะไปเปลี่ยนนิสัยเขานะ ให้เขาไปเกิดใหม่เถอะ”

มันเป็นไปไม่ได้ เป็นสำนวนที่ทำให้เรารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่จะทำได้แล้ว เราเรียกว่าไปเกิดใหม่ซะ มนุษย์อยากไปสวรรค์ แต่ไปไม่ได้ พระเยซูบอกว่าไปเกิดใหม่ซะ พระเยซูไม่ได้พูดประชด พระองค์พูดจริงๆ ว่าเพื่อมนุษย์จะได้บังเกิดใหม่ ไปสวรรค์ได้นั่นเอง

เช่นเดียวกัน มนุษย์ที่เป็นคนบาป ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ในวิญญาณตายอยู่ คือเกิดมาไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความมืด แต่อยากจะเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด และอยากจะไปอยู่ในสวรรค์หลังความตาย เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องไปเกิดใหม่ซะ แล้วในพระคัมภีร์บอกไปเกิดใหม่ได้จริงๆ ความสำคัญของคริสตมาส คือตรงนี้ มนุษย์สามารถเกิดใหม่ได้แล้ว พระเยซูมาแล้ว

และเพราะตัวการที่ทำให้มนุษย์ต้องกลายเป็นคนบาป ก็คือมนุษย์ด้วยกันเอง คืออาดัมและเอวาต้นพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง บรรพบุรุษของเรา  ซึ่งตกลงไปในความบาป และนำพาเอาลูกหลานเหลนโหลนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ลงไปในคำสาปแช่งของความบาปนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปนี้ได้ ก็คือมนุษย์ด้วยกัน พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า จึงจำเป็นต้องมาเกิดในร่าง ในชีวิตที่เป็นมนุษย์เหมือนๆ กับเราทั้งหลาย พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงมาเกิด เพื่อร่วมชาติพันธุ์กับเรา ร่วมเป็นมนุษย์กับเรา เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของเรา  ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติได้นั่นเอง

นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์? ก็เพื่อไถ่มนุษย์ เผ่าพันธุ์เดียวกันนั่นเอง

“วันคริสตมาส คือวันที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ พระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ สามารถลงมาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ โดยลงมา เพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้”

เขาอธิษฐานกันมาอย่างนี้ตั้งแต่สมัยโบราณ อธิษฐานขออะไร?  “พระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์สถาน ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่ยกย่องสักการะบูชา ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ สวรรค์เป็นอย่างไร? ขอให้เป็นอย่างนั้น บนโลกใบนี้”

ขอมาเป็นพันๆ ปีเลย จนกระทั่ง พระเยซูมาบังเกิดในวันคริสตมาส เมื่อ 2,000 ปี นั่นแหละ พระเยซูบอกสวรรค์มาแล้ว ที่ขอกันมาตลอด รอกันมาตลอด ตั้งหลายพันปี บัดนี้สวรรค์มาที่นี่แล้ว สวรรค์อยู่ในใจของเธอ  ใจคือในวิญญาณของเธอ เพราจะให้เธอบังเกิดใหม่ พระเจ้าจะลงไปสถิตอยู่กับเธอ เธอจะเป็นสวรรค์ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เอเมน

พอท่านไปไหนวันคริสตมาส ท่านจะได้เห็นภาพว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ บ้านในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์จะพูดถึงโลกวิญญาณอย่างเดียวเลย อ่านพระคัมภีร์ เรียนรู้พระคัมภีร์ ต้องมองทะลุไปถึงว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

ถามว่าโลกวิญญาณ คืออะไร? คือโลก โลกหนึ่งที่มีอยู่จริงๆ เหมือนกับที่เราเห็นอย่างนี้ เพียงแต่ความสามารถของตาของเรา ถูกทำให้เสียหายไป เนื่องจากคำสาปแช่งของความบาป ทำให้มองไม่เห็นเท่านั้นเอง เหมือนมันมีหมอกบังอยู่ แค่นั้นเอง

ถามว่าภูเขามีอยู่จริงไหม? มีอยู่ มองไปไม่เห็นภูเขา ทำไมไม่เห็น เพราะว่าหมอกหนา มันบัง ช่วงนี้ยิ่งเห็นชัดเลย หมอกมันบังอยู่ แต่ภูเขามีไหม? มี บ้านมีไหม? มี แต่ทำไมมองไม่เห็นบ้าน เพราะว่ามันมืด ดวงอาทิตย์ลับโลกไปแล้ว ดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น ผมเลยมองไม่เห็นว่ามีบ้าน แต่จริงๆ มันมีบ้านอยู่ไหม? มีอยู่

ในทำนองเดียวกัน พระคัมภีร์บอกโลกวิญญาณมีจริงๆ เพียงแต่เรามองไม่เห็น เพราะตาเราไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณได้ แต่มีอยู่จริงๆ เพียงแต่เหมือนกับลายแทงหรือว่าแผนที่ให้บอกว่าอะไรบ้างที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

เรามาเรียนรู้ต่อที่บอกว่าวันคริสตมาส คือวันที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ ในโลกวิญญาณนี้ ลักษณะเป็นอย่างไร? ภาพมันเป็นอย่างไร? ที่ตาเรามองไม่เห็น มันมีอยู่จริงๆ ไม่ว่าท่านจะปฏิเสธเท่าไร? ก็ตาม ถ้ามีอยู่จริง มันก็เป็นจริง ถ้าบ้านมันมีอยู่จริง มันก็เป็นจริง แม้ว่าตาเรามองไม่เห็น เราบอกว่าไม่มีๆ แต่มันก็มี เพราะมันมีอยู่จริงๆ เพียงแต่เรามองไม่เห็น พระคัมภีร์จึงบอกว่านี่คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่บังเกิดขึ้น และเกี่ยวพันกับวันคริสตมาสอย่างนี้แหละ ผมนำมาแค่นิดเดียวเอง เลือกเอาเฉพาะ 22 ข้อที่ต่อเนื่องกัน เรื่องเดียวเลย อ่าน แล้วท่านจะเห็นภาพเลย โลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้นในวันคริสตมาส หนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ทั้งบทนี้ เริ่มข้อ 1 – 3 ก่อน

เอเฟซัส 2:1-3 “1 ส่วนท่านทั้งหลาย ได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิด และในบาป ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่งเราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) และทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษสาปแช่ง เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ และไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูได้กระทำให้”

 

นี่คือสภาพของโลกวิญญาณ  ก่อนที่มนุษย์จะสามารถได้รับการบังเกิดใหม่ คือก่อนที่มีวันคริสตมาสแรกของโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก่อนที่พระเยซูจะถูกจับที่ไม้กางเขน คือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง  พระเยซูคริสต์เกิดเป็นมนุษย์ พออายุประมาณ 33 ปี พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน และไถ่บาปให้กับมนุษย์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด สภาพเป็นอย่างนี้ สภาพก่อนมนุษย์ได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นวิญญาณที่ตายอยู่

ตายในที่นี้ ก็คือตายต่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่ในบาป เพื่อมาร คือเป็นทาสมาร คอยรับใช้มาร ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าเป็นขาว เราก็เป็นดำ พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เป็นความมืด ไม่มีอะไรที่เหมือนพระเจ้าเลย แม้แต่นิดเดียว เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้เลย อยู่ในโลกของความมืด ที่มีมารคอยควบคุม เป็นทาสมารตลอด นั่นคือวิญญาณของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สภาพเป็นเช่นนี้

ที่เราอ่าน บอกว่า  “ซึ่งวิญญาณ บัดนี้ทำการงานอยู่ในบรรดาคนที่ไม่เชื่อ” ก็คือมาร ในนี้บอก “ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนผู้คนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อ” นี่กำลังพูดถึงคนที่เชื่อว่าสมัยก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เรายังไม่ได้ถูกไถ่ เรายังไม่ได้รับสิทธิของเรา  เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทำตามตัณหา คือความอยากของวิสัยบาป

“วิสัยบาป” คือธรรมชาติบาป เนเจอร์ของบาป หรือพูดตามภาษาไทยดั้งเดิม ซึ่งไม่หยาบ แต่คนเอามาทำเป็นหยาบ ก็คือคำว่า “สันดาน” ตามสันดานของเรา เป็นอย่างนั้น เหมือนที่ตะกี้เราพูดกันใช่ไหม? สันดาน แก้ไม่ได้หรอก มีทางเดียว ต้องเกิดใหม่ มันเรื่องจริงๆ วิญญาณเราเป็นสันดานบาป วิสัยบาป เนเจอร์หรือธรรมชาติบาป เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลย เพราะข้างใน เหมือนที่พระเยซูบอกต้นไม้ดี ก็ให้ผลดี ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว นี่เราเป็นต้นไม้ไม่ดี รากมันมาจากวิญญาณของเราไม่ดี  สกปรกอยู่ เป็นบาปอยู่ อย่างไร เดี๋ยวก็บาป ยังไง เดี๋ยวก็ทำไม่ดี ไม่มีผลดีเลย ข้อพระคัมภีร์บอกไว้ว่า … “แต่เพราะความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ทำให้เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นชีวิตที่ตายต่อมาร ตายต่อบาป และมีชีวิต อยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า รับใช้พระเจ้า

เห็นไหมว่าตรงข้ามกันเลย  ตะกี้นี้เราตายต่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่ในบาป เพื่อมาร ตอนนี้กลับกัน พอเรามารู้จักพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ เป็นชีวิตที่ตายต่อบาป ตายต่อมาร แต่มีชีวิตอยู่ในพระเจ้า เอเฟซัส 2:4-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

เอเฟซัส 2:4-7 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป … คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ” 6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ … และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์”

 

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ความรักของพระเจ้า คือความเมตตาของพระเจ้าที่เห็นลูกๆ ของพระองค์ที่เสียศูนย์ เสียชีวิตดีงามที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ตกลงไปในความบาป ตกลงไปในความตาย อยู่เป็นทาสของมาร ทำอะไรก็ไม่ได้ มีแต่ความชั่วร้ายตลอด เพราะข้างใน หัวใจเขา คือวิญญาณของเขาเป็นความมืด เป็นความบาป เป็นทาสของมาร ทำอะไรไม่ได้เลย พระเจ้าเมตตา รัก วางแผนมาตั้งนาน เพื่อจะช่วยนั่นเอง  ช่วยด้วยวิธีที่เราอ่าน เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงของพระเจ้า ที่มีต่อเรา เปี่ยมด้วยพระคุณอันอุดม ได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ คือทำให้วิญญาณเรา เกิดใหม่นั่นเอง มีทางเดียวเท่านั้น ต้องเปลี่ยนหัวใจใหม่ พระเจ้าเปลี่ยนให้เราจริงๆ โดยผ่านทางพระเยซู ผ่านทางวันคริสตมาสแรกของโลก จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตกับพระคริสต์ หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง ให้เกิดใหม่ เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระคริสต์ พระเจ้าให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ ก็คือให้เรามีตำแหน่ง ความบริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระองค์ มีสิทธิ์เท่าๆ กันกับพี่ชายของเรา ก็คือพระเยซู ที่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเจ้าของวันคริสตมาส  ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไร? ยิ่งลึกซึ้งและซาบซึ้งในความรัก ความเมตตา และเข้าใจถึงความหมายของวันคริสตมาสอย่างถ่องแท้ ลึกเข้าไปข้างใน มันซึ้งมากเลย มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ได้  ก็โดยความเชื่อ พระคัมภีร์บอกเชื่อด้วยใจ และพูดด้วยปาก เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนมนุษย์ ยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษของบาป ให้กับมวลมนุษย์ และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ซึ่งคือข่าวประเสริฐนั่นเอง

“ข่าวประเสริฐ” คือข่าวดี มาสำหรับมนุษย์ว่าบัดนี้ มนุษย์ทุกคนสามารถหลุดพ้นจากความบาป ความตายในวิญญาณได้แล้ว ก็คือโดยการเชื่อในพระเยซู เพื่อว่าจะได้บังเกิดใหม่ แต่ก่อนพูดเล่นๆ กัน แต่เดี๋ยวนี้ เกิดได้จริงๆ เขาถึงเรียกว่าข่าวดี

เมื่อใดที่ความเชื่อนี้ หยั่งรากลึกลงไปในวิญญาณของใครก็ตาม คนนั้นก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเขา วิญญาณจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนที่พระเจ้าบอก ได้รับชีวิตใหม่ หัวใจใหม่ วิญญาณใหม่ สถานที่อยู่ใหม่ อาณาจักรใหม่ ซึ่งเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  เพราะตามองไม่เห็น พระคัมภีร์กำลังบอกถึงสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกวิญญาณ เอเมน

เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อและรู้ว่าสิ่งนี้เป็นจริง ก็ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ใครที่ไม่เชื่อ ซึ่งมันมีเป็นจริงอยู่แล้ว ก็เสียประโยชน์ไป และเสียหายอย่างสูงสุดด้วยในชีวิตนี้ รวมถึงชีวิตหน้า ตลอดไปด้วย นี่คือข่าวดี พระเจ้าจะให้หัวใจใหม่ให้กับเรา จะให้วิญญาณใหม่กับเรา  ซึ่งเรียกว่าบังเกิดใหม่ แต่เป็นการยากมากสำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ที่จะได้รับความรอดจากบาป ที่เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม โดยการบังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ยิ่งบอกไม่ต้องทำอะไร ยิ่งยากใหญ่ เพราะว่าไม่ต้องทำอะไรไง เพราะมนุษย์ตกอยู่ในความบาป จึงมีความคิดแบบความบาป ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าเย่อหยิ่ง

“เฮ้อ! เป็นไปได้อย่างไร? ได้มาฟรีๆ อย่างนี้เหรอ”

ยิ่งได้เยอะ ยิ่งมีความรู้สึก “ฉันไม่สมควรจะได้ ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่นอน ถามจริงๆ มีอะไรแอบแฝง วางแผนไว้ในใจหรือเปล่า?  มาให้ฉันตั้งเยอะขนาดนี้”

เราไม่เคยคิดว่า “เป็นไปได้  แล้วมีคนทำให้เราได้อย่างนี้จริงๆ ยิ่งไม่เชื่อใหญ่ เป็นไปไม่ได้หรอก มีแต่เขาโกงกันทั้งนั้นแหละ เขาหลอกลวงทั้งโลก อยู่ดีๆ จะมีคนมาตายเพื่อฉันที่ไม้กางเขน เพื่อให้ฉันได้ชีวิตใหม่ ไม่ต้องทำอะไร? ก็สามารถไปสวรรค์ได้ อย่างนี้เหรอ ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้หรอก นี่เขาทำดีแทบตาย เขายังไม่ได้ไปสวรรค์เลย”

มนุษย์คิดอย่างนี้เสมอ เขาเรียกกันว่าเข้าสวรรค์ ทางมันแคบ แต่ไม่เข้าสวรรค์ ไปนรก ทางมันกว้าง เพราะเราคิดอย่างนี้  ถ้าไปสวรรค์ต้องยากๆ แต่จริงๆ ไม่ พระเจ้าบอก …

“เธอทำไม่ได้ แค่บอกอย่าทำชั่ว ก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่ต้องรักษากฎระเบียบมากมายขนาดไหน?”

มีใครที่เกิดมา ไม่เคยทำชั่วเลย ไม่มี พอบอกว่า “ถ้างั้นให้ฟรีๆ”

ให้ฟรีๆ ก็ไม่เอา ขอทำอะไรบ้างสิ มันจึงเชื่อยาก แต่จริงๆ ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าให้ฟรีๆ เลย ง่ายๆ ถามว่าให้ฟรีๆ เพราะอะไร? เพราะไม่มีทางที่เธอจะทำได้ พระเยซูบอก …

“ไม่มีทางที่เธอจะไปสวรรค์ได้  วิญญาณเธอจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ไปเกิดใหม่ซะ ฉันมา เพื่อพวกเธอได้เกิดใหม่ได้ไง” นี่เรื่องจริง

พระคัมภีร์ได้ย้ำยืนยันว่าความรอดนี้ เป็นพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ จากการกระทำของเราเอง ถ้าเป็นการกระทำของเราเองแน่นอน ต้องมีบางคนทำได้ บางคนอาจจะทำไม่ได้ แต่นี่ไม่มีทางทำได้เลย สักนิดหนึ่ง ไม่มีใครรักษาความบริสุทธิ์ได้ ให้เหมือนพระเจ้า อาจจะเป็นคนดี … ดีที่สุด ในจำพวกคนทั้งหลาย ที่เป็นคนบาปด้วยกัน แต่สำหรับมาตรฐานของพระเจ้า คือเต็มร้อย เขาเรียกว่าสมบูรณ์ ดีพร้อม 100% บางคนอาจจะทำได้ 10% สอบตก บางคนอาจจะทำได้ 51% ดีใจ พระเจ้าคงรับ พระเจ้าบอก …

“ไม่ เกณฑ์ของเรา คือต้องเต็มร้อย  ต้องได้ 100% ถึงจะผ่าน แล้วมีใครทำได้ ไม่ได้เลย”

“เราทำได้  20 เราเก่งกว่านาย”

“เราทำได้ 50 เราเก่งกว่านาย”

“เราทำได้ 60 เราพยายามตลอดเลย เราเป็นผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางมนุษย์แล้วนะ”

พระเจ้ามองมา ตกหมด ตกคือตก ไม่มีการมาสอบตกมาก ตกน้อย ไม่มี ตกที่1 ตกที่ 2 ไม่มี มีแต่ตกหมด ขึ้น ก็ขึ้นหมด ได้ 100 เท่ากัน ไม่มีใครได้มากกว่านี้ บางอย่างดูเหมือนง่าย แต่มันกลับเป็นยาก เพราะในความเป็นจริง มนุษย์ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย มนุษย์ไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ของเขาให้ได้เหมือนพระเจ้าเลย แม้แต่นิดเดียว พอบอกไม่ได้ ก็มาพึ่งพระเจ้าอย่างเดียว ไม่ต้องคิด  ก็ทำไม่ได้อีก เพราะชินของเก่า ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อช่วยพระเจ้าก็ยังดี พระเจ้าบอกไม่จำเป็นเลย ให้เชื่ออย่างเดียว เธอทำไม่ได้อยู่แล้ว  พระเยซูมาทำแทนทั้งหมด เอเฟซัส 2:8-9 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดี ในความรอดของตนได้”

 

ชัดไหม? โดยพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ได้นำท่านเข้ามาสู่พระคริสต์ พระเจ้าพาเราเข้าไปสวรรค์ ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีในสายตาของมนุษย์ หรือเป็นคนชั่ว ในสายตาของมนุษย์ก็ตาม เขาทั้งหลายเหล่านั้น ต้องพึ่งในพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเขาจะเข้าสวรรค์ไปหาพระเจ้า และอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ จะได้บังเกิดใหม่ได้

ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวของท่านเอง แม้แต่นิดเดียว คนละเรื่องเลย ว่ากันตามจริง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 งานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เรายังไม่เกิดเป็นมนุษย์เลย แต่ทำให้เราไปแล้ว คิดดู แค่นี้ ในนี้บอกว่า …

“เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด แอบอ้างในความดี ในความรอดของตน”

“เห็นไหม? ที่ฉันได้รับความรอด และมาเป็นคริสเตียนได้ เพราะฉันทำดีมาตลอด ฉันรู้ว่าพระเจ้ามองเห็น”

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พระเยซูไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ให้มนุษย์ทำกันเอง ไม่ใช่ พระเยซูมาเพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นคนชั่วทุกคน เป็นคนเลวทุกคน เป็นคนบาปทุกคน เราคิดเองว่าเราบาปน้อยกว่าคนนี้ คนนี้บาปมากกว่า แต่พระเยซูบอกเท่ากันหมดเลย  เพราะฉะนั้น พระองค์มาเพื่อคนบาปทั้งปวง รวมทั้งฉันด้วย นี่เป็นพระคุณ

บางครั้งเราพยายามหาทางกตัญญูต่อพระเจ้า ที่ช่วยเรารอดจากบาป และรับเราเป็นลูกของพระองค์ แต่ในความกตัญญูของเรานั้น มันไม่เป็นไปตามพระประสงค์ หรือความต้องการของพระเจ้า เพราะพระเจ้าต้องการจากเราเพียงอย่างเดียว คือให้เราไปอยู่ในพระคริสต์ จบ ต้นไม้ดีแล้ว เดี๋ยวมันดีเอง

ความประสงค์ของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้า คือให้เราเชื่อในพระบุตร ที่พระองค์ทรงส่งมาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อช่วยเหลือเรา ผู้ไม่มีแรงจะทำ แต่พระองค์ทำให้เรา คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ เจ้าของวันคริสตมาส ให้เรารักษาวันคริสตมาสให้ดีๆ จบ

บางคนบอกว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า คืออันโน้น อันนี้ ไม่ให้เราไปไหว้รูปเคารพ ไม่อยากให้เราทำอันนี้ ไม่ใช่เลย เอาต้นเหตุเลย ได้ต้นเหตุ เดี๋ยวข้างล่างก็ได้หมด พระเยซูจะพูดอย่างนี้เสมอ น้ำพระทัยพระเจ้า คือทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ที่ได้ส่งเรามา คือเชื่อในเราว่าเราเป็นใคร? พระองค์จะพูดอย่างนี้ เชื่อในเราๆ พระเยซูไม่ได้มาสอนคนทำความดี พระเยซูมาสอนให้เรากลายเป็นคนดีพร้อม ในวิญญาณของเรา  เมื่อเรามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว คิดดูนะ เราเป็นลูกของพระเจ้า สิ่งเดียวที่พ่อเราต้องการจากเรา ก็คือให้เราอยู่กับพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ว่า …

“เธอมองไม่เห็น แต่ฉันมองเห็น  ฉันจะบอกเธอ ให้เธอเชื่อ พระคริสต์แค่นั้นเอง เธอรอดจากบาปได้เพราะเขา วันคริมาสเกิดขึ้น  เพื่อ 2 สิ่งนี้” ก็คือ …

(1) พระเจ้ามีนามว่าพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน

(2) เกิดใหม่ในวันที่ 3

สองอันนี้ แค่นั้นเอง ตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนเรา เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สำคัญกว่า ก็คือบังเกิดใหม่ การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราทั้งหลาย สามารถบังเกิดใหม่ พร้อมพระองค์ได้ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากตำหนิใดๆ เลย ในวิญญาณของเรา เหมือนหรือเท่าๆ กันกับความสะอาด ศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้าที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

 

การกระทำของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ตายด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไม่ใช่ เพื่อให้เรา หรือมนุษย์ทุกคน สามารถทำความดี สามารถสั่งสมความดีไว้มากๆ เพื่อจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เพื่อให้มนุษย์ทุกคน สามารถเป็นคนดีพร้อม บริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรม 100% เท่ากับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าเท่ากับพระเยซูคริสต์ โดยการบังเกิดใหม่เท่านั้น ไม่ใช่ โดยการเปลี่ยนศาสนา ไม่มีประโยชน์ โดยการเปลี่ยนนิสัย ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องเปลี่ยนวิญญาณของท่าน เพราะฉะนั้น มนุษย์เปลี่ยนวิญญาณเอง ไม่ได้ จึงต้องพึ่งพระเจ้า พระเจ้าจะเปลี่ยนวิญญาณให้กับท่าน มันหมายความว่าอย่างนี้ นี่คือข่าวประเสริฐ นี้คือข่าวดี ไม่อย่างนั้น เราก็จะวนอยู่กับการแสวงหาที่ไปไม่ถึงฝั่งเหมือนเดิม  มันจะเป็นความชอบธรรมที่บริสุทธิ์ สะอาด เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ความสะอาดบริสุทธิ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเองว่าอย่างนี้สะอาด อย่างนี้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ เป็นความชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ชนิดที่เป็นของพระเจ้า ที่ประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ ใครไม่เชื่อ ก็ไม่ได้

โรม 3:23-24 บันทึกไว้อย่างนี้ “23 เพราะว่ามนุษย์ทุกคนได้ทำบาป และถูกตัดขาดจากพระสิริของพระเจ้า 24 แต่ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นของประทานจากพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางการไถ่ ในพระเยซูคริสต์

 

มนุษย์ทุกคนได้เป็นคนบาป และทำบาป และถูกตัดขาด จากพระสิริของพระเจ้า คือไม่รู้จักพระเจ้า ตายในวิญญาณ ตาบอดในวิญญาณ ไม่รู้เรื่องเลย อยู่กับมารตลอด โดยธรรมชาติ โดยสันดาน ต้องถูกลงโทษ แต่ได้รับการชำระให้สะอาด โดยพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางการไถ่ คือการตายที่ไม้กางเขน เหมือนกับพระเยซูคริสต์ชำระหนี้ ด้วยชีวิตของพระองค์ และซื้อพวกเรา กลับคืนมา และในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ไถ่บาป สะอาดหมดจดแล้ว การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์ ก็คือพระเจ้าให้เราเป็นขึ้นพร้อมกับพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

โรม 4:5 “ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่วางใจพระเจ้า ผู้ทรงทำให้คนชั่วเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขา เป็นความชอบธรรม”

 

ความชอบธรรม แปลว่าสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ กอดคอกับพระเจ้าได้ เป็นพ่อลูกกัน เข้ากับพระเจ้าได้ คุยกับพระเจ้าได้ เขาเรียกว่านมัสการ … นมัสการ คือการมีปฏิสัมพันธ์ การรู้จัก สนิทสนม นมัสการพระเจ้า แปลว่าติดต่อกัน หรือแปลอีกนัยหนึ่งว่าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า การไถ่ สามารถทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า โดยที่เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ มนุษย์เราไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขา เป็นความชอบธรรม แค่เชื่อเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว จะมีธรรมชาติ หรือเรียกว่าเนเจอร์ หรือเรียกว่าสันดาน หรือเรียกว่าวิสัย ก็ได้ อันเดียวเท่านั้น เมื่อเขาเกิดใหม่แล้ว คือสันดานบริสุทธิ์ เนเจอร์บริสุทธิ์ ธรรมชาติบริสุทธิ์ วิสัยบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า อยู่ในวิญญาณของเขา เป็นตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกายที่เราเห็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น วิญญาณและความคิดจิตใจของเขาจะอยู่ตลอดไป ถ้าเขาเกิดใหม่ ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ตั้งแต่เป็นมนุษย์ เขาก็จะอยู่กับพระเจ้าอย่างนั้น ตลอดไป เพียงแต่ว่าเปลี่ยนร่างกายใหม่เท่านั้นเอง เขาทิ้งร่างกายเก่าไป พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับเขา แต่วิญญาณ ยังเป็นวิญญาณเดิม วิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ (หรือไม่?) เท่านั้นเอง นี่คือข่าวดี

ความสะอาดบริสุทธิ์นี้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “วิสุทธิชน” แปลว่าคนที่เป็นโฮลี่ ไม่ใช่เป็นสมาชิกที่นี่ โฮลี่ ที่แปลว่าบริสุทธิ์ ที่เราไม่กล้าใช้ คนนั้น ได้ถูกทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เพียงแค่เชื่อและวางใจในเจ้าของคริสตมาส คือพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่ และจะอยู่ในการบังเกิดใหม่นั้น นิรันดร์ ไม่กลับมาเป็นคนสกปรก ไม่อยู่ในความบาป อีกต่อไปเลย แม้แต่นิดเดียว

เอเฟซัส 2:11-13 “11 เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติ คือไม่ใช่ชาวยิวโดยกำเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” (ชาวยิว) เรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” 12 จงระลึกว่าตอนนั้นท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  ไม่มีความหวัง และอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า 13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ท่านทั้งหลาย ซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์”

 

“เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติ” ในนี้กำลังพูดถึงผู้เชื่อที่ไม่ใช่เป็นชาวยิว แต่พระเจ้าเรียกท่านเข้ามา และแผนการของพระเจ้า คือเลือกทั้งยิว ทั้งไม่ใช่ยิว พวกยิวนึกว่าพระเจ้าเป็นของเขาคนเดียว พระเยซูเป็นของเขาประเทศเดียว ชนชาติเดียว ชนชาติอื่น ถือว่าไม่รู้จักพระเจ้าทั้งสิ้น  ถือว่าเป็นคนนอกรีต เป็นพวกต่างชาติ แต่เปาโลมาประกาศว่าพระเยซูเป็นของมนุษย์ทุกคน

ยิวก็ต้องการเหมือนกับที่คนต่างชาติต้องการ แม้ว่าเขาจะรู้จักพระเจ้ามาก่อนก็ตาม แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เขาก็จำเป็นต้องเชื่อในข่าวดี เหมือนกันกับคนที่ไม่ใช่ยิว อยู่ดีๆ เขาจะได้รับความรอด เพราะการประพฤติเก่าๆ ตามบัญญัติ ไม่ใช่ เขาต้องเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม และการเชื่อแค่นี้ เขาก็ได้รับความรอดเท่าๆ กันกับคนที่ไม่ใช่ยิว

เอเฟซัส 2:14-18 “14 เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทำให้เราสองพวก  ยิวและคนต่างชาติ ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง 15 โดยทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์ จุดประสงค์ของพระองค์  ก็เพื่อยุบสองฝ่าย และสร้างขึ้นใหม่ เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ เช่นนี้แหละ จึงทรงทำให้มีสันติสุข 16 และในกายเดียวนี้ ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้า โดยไม้กางเขน ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป 17 พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล และสันติสุขแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ 18 เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวกสามารถเข้าถึงพระบิดา  โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

ในอดีต คนยิวเขาเกลียดพวกเรา เขาถือว่าเราเป็นคนนอกรีต ไม่เชื่อพระเจ้า แต่พระเยซูเปิดเผยให้เขา ตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขนว่าแผนการของพระเจ้า คือเลือกมนุษย์เท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือต่างชาติ ทุกคนต้องผ่านทางความรอดเดียว คือผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน และแบกรับเอาความบาป และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามเท่านั้น พระเจ้าได้ทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือทำให้ 2 พวกนี้ ทั้งยิวและไม่ใช่ยิวนี้ กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นประเทศเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าประเทศพระคริสต์ เรียกว่าในพระคริสต์ ในประเทศนี้ ทุกคนมีค่าเท่ากันหมด หรือคนชนชาติใดก็ตาม เป็นลูกของพระเจ้า ในพระคริสต์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาป และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ผู้คนในประเทศนี้ ในพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่กันทุกคน เอเมน

เอเฟซัส 2:19-20 “19 ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า 20 ท่านได้รับการสร้างขึ้น  บนฐานรากของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ โดยมีพระเยซูคริสต์เอง เป็นศิลามุมเอก”

 

ท่าน คือคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว บัดนี้ พระเจ้าที่ยิวเขาเคารพนับถือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมา ตอนนี้เป็นพระเจ้าของท่านด้วย  เป็นพ่อของท่านด้วย  และเป็นพ่อเดียวกันนั่นแหละ ท่านไม่ใช่เป็นคนต่างชาติอีกต่อไปแล้ว ท่านได้รับการทรงสร้างขึ้น บนรากฐานของเหล่าอัครทูต

การสร้างขึ้น บนรากฐานจากเหล่าอัครทูต คือผู้ที่ประกาศข่าวดีของพระเยซู วันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วก็ลอยเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว และให้เหล่าอัครทูตเหล่านี้ ประกาศข่าวประเสริฐ อัครทูตเหล่านี้ ก็ไปประกาศ ให้ผู้คนทั้งที่เป็นยิวและไม่ใช่ยิว ได้ยินข่าวประเสริฐ พอเชื่อ ก็ได้บังเกิดใหม่ ผู้คนที่บังเกิดใหม่เหล่านี้ อยู่บนรากฐานของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ คือผู้เผยพระวจนะ ตั้งแต่สมัยโมเสสอาโรน จนถึงยอห์น บัพติศโต คนที่ให้ลงน้ำ ผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ ได้พูดถึงพระเยซูมาตลอด เป็นหลายๆ พันปีว่าพระองค์จะมาทำอย่างนี้ พูดเป็นนัยบ้าง พูดเป็นคำเผยพระวจนะ พูดเป็นความฝัน พูดเป็นนิมิต ตลอด หมายถึงอย่างนี้ และโดยมีพระเยซูคริสต์เอง เป็นศิลามุมเอก ก็คือผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ พูดมาทั้งหมดเลย รวมทั้งพอพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ ปุ๊บ มาตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว อัครทูตก็พูดเรื่องพระองค์อีก  พระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก หมายถึงพระเยซูคริสต์เป็นแกนหลักของเรื่องนี้

เอเฟซัส 2:21-22 “21 ในพระองค์ ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิท และประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 และในพระองค์ ท่านก็เช่นกัน กำลังรับการ ทรงสร้างขึ้นด้วยกัน ให้เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในวิญญาณ”

 

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้ ทั้งคนยิวและไม่ใช่ยิว ถูกประกอบกันเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ที่พระเจ้ากำลังสร้างขึ้นใหญ่โต วิหารนี้ พระเจ้าใช้ชื่อว่าในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ เหมือนกับอาณาจักร เหมือนกับประเทศๆ หนึ่ง ใหญ่ๆ ซึ่งตรงนี้ ภาษาไทยเรียกว่า “สวรรค์” ในพระคริสต์ ก็คือสวรรค์นั่นเอง พระเจ้าจับท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ก็คือจับท่านเข้ามาอยู่ในสวรรค์ ใครจะมาอยู่ในพระคริสต์ได้ เขาต้องบังเกิดใหม่ ใครจะบังเกิดใหม่ได้ เขาต้องเชื่อว่าผู้ที่ทำให้เขาบังเกิดใหม่ได้ คือพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ ที่พระองค์ทรงกระทำในพระเยซู ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้าพระบิดาชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และเราก็เป็นขึ้นมาใหม่กับพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ ตัวแทนของเรา  ขณะที่เราตายที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระองค์ นี่คือมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งเราด้วย

แต่พระเยซูตรัสว่า … “ไม่มีใครจะเอาแกะออกจากคอกของพระองค์ได้ ไม่มีมนุษย์หน้าไหน? หรือฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ จะเอาเจ้าออกจากมือของเราไปได้”

ฟิลิปปี 1:6 บอกว่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว จะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ จอมเจ้านายของเรา”

เมื่อท่านเกิดแล้ว เริ่มต้นการงานดีแล้ว ไม่ต้องห่วง แค่นี้เอง จบ ไม่ต้องไปบังคับทำอันโน้น อันนี้ ต้องมาอย่างนั้น อย่างนี้ หนีตะเหลิดเปิดเปิงหมด ทั้งที่ยังไม่ทันไรเลย มา ย้ายจากอันนั้นมาเข้า ย้ายจากอันนี้มาเข้า เหนื่อย มาเข้าอันนี้เหนื่อยกว่าเก่าอีก รับไปฟรีๆ มันของฟรี ประทานพระคุณให้ โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย จริงๆ เชื่ออย่างเดียว รักษาความเชื่อนี้ไว้ แล้วเล่าสู่กันฟัง ประกาศให้เขาฟัง มาเกิดใหม่ดีกว่า เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 8 “การให้อภัย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  พฤศจิกายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 8 “การให้อภัย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            มาถึงอาหารฝ่ายวิญญาณ อุปมาคำสอนของพระเยซู ตอนที่ 8 “การให้อภัย” 7 ตอนที่ผ่านมา วนเวียน เน้นย้ำกันอยู่ในเรื่องของการบังเกิดใหม่ ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์ ซึ่งเป็นคนบาป โดยกำเนิด สามารถเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้ และพระคัมภีร์ทั้งเล่ม อุปมาคำสอนของพระเยซู ก็พูดเกี่ยวกับเรื่องการบังเกิดใหม่ หรือการเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์เหล่านี้ ทั้งนั้นเลย วันนี้เจะสอนเกี่ยวกับเรื่องการให้อภัย  ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ และจะเข้าไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้อย่างไร?

สมมติว่ามีเพื่อนมาพูดจาไม่ดีกับเรา  หรือว่าเขามาโกงเรา  หรือหักหลังเรา  เราจะสามารถยอมได้สักกี่ครั้งที่จะไม่โต้ตอบเลย  นิ่งเลย  เอาง่ายๆ เพื่อนที่ใกล้ชิดเราที่สุดเลย ลูกเราดื้อกับเรา ไม่เชื่อฟังเรา แถม (หักหลังเราอีก) มีนะ จะเกิดเหตุอะไรก็ตาม ไม่รู้ เราจะให้อภัยลูกที่รักที่สุด สักกี่ครั้ง ถ้าเขาทำผิด เหมือนเดิมอีก เราคงได้ยินคำพูดอย่างนี้บ่อยๆ ว่า …

“ครั้งนี้ยอมให้ก่อนนะ แต่อย่าให้มีครั้งที่สอง”

หรือไม่ก็บอกว่า “หลายครั้งมาแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ได้แล้วนะ” คือไม่ยอมอีกแล้ว ถูกไหม?

เรามาดูคำตอบดีกว่า ในพระคัมภีร์ พระเยซูตอบเรื่องการให้อภัยนี้ไว้อย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้า เรื่องการอภัยนี้อยู่ตรงไหน? เราจะต้องยกโทษ ผู้ที่กระทำผิดต่อเราสักกี่ครั้งดี? มัทธิว 18:21-22

มัทธิว 18:21-22 “21 เปโตรมาทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องทำบาปต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ควรจะยกโทษให้เขากี่ครั้งดี สักเจ็ดครั้งหรือ! 22 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านว่าไม่ใช่เจ็ดครั้ง แต่เจ็ดสิบ  เจ็ดครั้ง”

 

ตามมาตรฐานของมนุษย์ทั่วไป เราคิดว่าการอภัยเพียงแค่ครั้งสองครั้ง หรืออย่างมาก 3 ครั้งก็ อภัยได้เยอะแล้วนะ เหมือนคำพูดที่บอกว่าความอดทนของเรามีขีดจำกัด

เปโตรมาถามพระเยซูว่า “หากพี่น้องทำบาปกับข้าพระองค์ … ข้าพระองค์ควรจะยกโทษให้เขากี่ครั้งดี สัก 7 ครั้งหรือ?”

ซึ่งถ้าเอาตามมาตรฐานของมนุษย์ เปโตรคงคิดว่าที่คิดว่า 7 ก็น่าจะสุดยอดของคนดีแล้วนะ  อดทนมาได้ 7 ครั้ง ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว …

“ฉันทำเยี่ยมแล้วนะ  สัก 7 ครั้งได้ไหม?”

กะว่าจะได้รับคำชม “เปโตร ดีมากเลย เธอทำได้ตั้ง 7 ครั้ง”

แต่นี่เรากำลังพูดถึงจำนวนครั้งที่เราต้องอภัยกับคนๆ เดียว กับความผิดเรื่องเดียวกันนะครับ พูดง่ายๆ คือต่อให้มีใครมาทำผิดต่อเรา เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ ถึง 7 ครั้ง เราก็ยังไม่โกรธ รอให้มีครั้งที่ 8 แล้วค่อยโกรธ ยากมากเลยนะ พระเยซูบอกว่า …

“เราบอกท่านว่าไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่ 70 … 7 ครั้ง”

ตรงนี้ ไม่ได้หมายความ 77 นะ ภาษาอังกฤษ ภาษาเดิม แปลว่า Seventy time seven แปลว่า 70×7 = 490 ครั้งต่อหนึ่งเรื่อง  ถ้าเขาโกงเรา … เราต้องอภัยให้เขา ให้เขาโกงเราประมาณ 490 อายตัวเองมาก นึกว่าตัวเองแน่ อภัยให้ 7 ครั้ง พระเยซูตอบกลับมา  พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้  ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเหตุการณ์ที่เปโตรถามพระเยซู เป็นช่วงเวลาก่อนการถูกตรึงที่ไม้กางเขนของพระเยซู ก่อนที่พระเยซูจะบอกว่า …

“สำเร็จแล้ว”

การไถ่บาปของมนุษย์สำเร็จแล้ว เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีวันเพ็นเตคอส คือวันเกิดใหม่ของมนุษย์ พระวิญญาณลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์  คือทำให้วิญญาณมนุษย์ได้เกิดใหม่ เป็นครั้งแรกของโลกนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่พูดกับเปโตรตอนนี้ ไม่ได้เป็นช่วงหลังเพ็นเตคอส แต่ก่อนหน้า มนุษย์ยังไม่เกิดใหม่ มนุษย์ยังไม่ได้รับการชำระล้างจากบาป ยังอยู่ใต้กฎแห่งธรรมบัญญัติเดิมอยู่ คือพระเยซูตอบเปโตรว่าถ้าจะทำตามกฎบัญญัติ ตามมาตรฐานของพระเจ้าเดิมๆ ในการให้อภัยจากพระเจ้า ต้องทำขนาดไหน? เดิมๆ คือกฎในสมัยโมเสสให้ไว้ และคำตอบของพระเยซู ก็คือต้องทำแบบชนิดที่ว่าต้องไม่มีขอบเขต ต้องอภัยตลอดเลย ไม่มีที่สิ้นสุด

พระเยซูกำลังจะบอกว่าเมื่อผู้คนของพระเจ้า หรือว่าประชากรของพระเจ้า ยอมทำตามพระเจ้าทุกอย่าง จากใจ จากวิญญาณของเขา พระเจ้าถึงจะรับได้ ถ้าเขาทำด้วยกำลังของเขา และเขาทำไม่ได้  ก็ถือว่าสอบตกหมด ไม่ว่าจะทำได้มากหรือน้อย ไม่ว่าจะ 7 ครั้ง 70×7 ครั้ง 70×20 ครั้งก็ตาม เขาก็สอบตกหมดทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งหมดเลย

พระเยซูบอกว่าการให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือต้องให้อภัย 70×7 ครั้ง ต่อหนึ่งคน ต่อหนึ่งเรื่อง เปโตรฟังแล้ว อึ้ง ซึ่งตรงนี้แหละ น่าจะเป็นประเด็นคำตอบที่แท้จริง ที่พระเยซูบอกว่าต้องอภัย 70x7 = 490 เป็นเพียงอุปมาเปรียบเทียบ เพื่อจะให้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ มนุษย์ไม่มีใครทำอย่างนี้ได้หรอก แต่มนุษย์คิดว่าทำได้ 90% ยอดเยี่ยมแล้ว แข่งกันใหญ่เลย มัทธิว 18:23-27 บอกไว้ว่า …

มัทธิว 18:23-27 “23 เหตุฉะนั้น อาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง ซึ่งประสงค์จะสะสางบัญชีกับข้าราชบริพาร 24 เมื่อเริ่มสะสางคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้านเหรียญเดนาริอัน ถูกนำตัวมาพบ 25 เนื่องจากเขาไม่สามารถชำระหนี้ กษัตริย์จึงสั่งให้เอาตัวเขากับภรรยาและบุตร ตลอดจนข้าวของทุกอย่างไปขาย เพื่อมาใช้หนี้ 26 “ข้าราชบริพารคนนั้น ก็คุกเข่าลง วิงวอนต่อหน้าพระองค์ว่า ‘ขอทรงผัดผ่อนให้ข้าพระองค์เถิด แล้วข้าพระองค์จะใช้หนี้ให้จนครบ’ 27 กษัตริย์ทรงสงสาร จึงยกหนี้ให้ และปล่อยตัวไป”

 

คำอุปมาของพระเยซูในเรื่องนี้ จะถูกยกมาใช้บ่อยมาก เวลาที่จะสอนเรื่องเกี่ยวกับการให้อภัย หรือการยกโทษให้กับผู้ที่กระทำผิดต่อเรา  ในข้อ 22 ที่เราอ่านตอนต้น  ตอนที่พระเยซูตอบว่าต้องให้อภัย 70×7 หรือ 490 ครั้ง ก็เป็นอุปมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่ามันเป็นไปไม่ได้ จำนวน 490 ครั้ง เป็นการแทนความหมายว่าเป็นการอภัยแบบไม่มีวันสิ้นสุด เป็นการอภัยแบบสมบูรณ์ คือต้องอภัยตลอดไปนั่นเอง

มาถึงข้อที่ 24 บอกว่า “อาณาจักรสวรรค์เหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งที่จะสะสางบัญชีกับข้าราชบริพาร แล้วมีข้าราชบริพารคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้านเหรียญ ก็เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าเป็นหนี้ จำนวนมหาศาล ที่เกินกว่าใครจะชำระหนี้ได้หมด เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั้งหลายจะทำได้

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังจะให้เราเห็นภาพว่าหนี้ความบาปและความตายของมนุษย์ที่รับมาจากอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่จะต้องชดใช้นั้น มันใหญ่ มากมายมหาศาล เกินกว่ากำลังของมนุษย์จะใช้หนี้ของตัวเองได้ คือมันเป็นไปไม่ได้เลย

คือต้องทำความเข้าใจก่อน ตอนที่เปโตรถามพระเยซู เป็นตอนที่พระเยซูยังไม่ถูกตรึง เปโตรยังไม่ได้เกิดใหม่ เปโตรยังไม่เข้าใจถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ว่าเกิดใหม่มันคืออะไร? เปโตรยืนอยู่บนกฎบัญญัติเดิม ตั้งแต่สมัยโมเสส เรื่องนี้ เกิดขึ้นในขณะที่พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ชาวยิวจะเข้าใจหมดเลยว่าที่พระเยซูพูดหมายความว่าอย่างไร? นี่คือกฎระเบียบของชาวยิวทั้งสิ้น พระเยซูกำลังบอกเปโตรว่าถ้าจะทำตามกฎบัญญัติ ตามมาตรฐานของพระเจ้า ในเรื่องการอภัย ต้องทำขนาดนี้ คือขนาดสุดๆ 100% 70×7 คือบริบูรณ์จริงๆ คือทำไม่ได้

ในนี้บอกว่าเมื่อข้าราชบริพารคนนั้น เป็นหนี้ แล้วคุกเข่าของเขา อ้อนวอนต่อกษัตริย์ กษัตริย์ก็สงสาร ยกหนี้ให้ โดยไม่คิดอะไรเลย เรามาอ่านต่อว่าหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น มัทธิว 18:28-35

มัทธิว 18:28-35 “28 แต่เมื่อข้าราชบริพารผู้นั้น ออกมาพบเพื่อนข้าราชบริพารด้วยกัน ซึ่งติดหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเหรียญเดนาริอัน จึงจับคนนั้นเค้นคอและขู่เข็ญว่าจงจ่ายหนี้คืนมา 29 เพื่อนข้าราชบริพารนั้น ก็คุกเข่าอ้อนวอนเขาว่า ‘ขอผัดผ่อนหนี้ให้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ให้’ 30 “แต่เขาไม่ยอม กลับนำคนนั้นไปเข้าคุก จนกว่าเขาจะใช้หนี้ 31 เมื่อข้าราชบริพารคนอื่นๆ เห็นเหตุการณ์ก็สลดใจนัก จึงพากันไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และกราบทูลทุกอย่างที่เกิดขึ้น 32 “กษัตริย์จึงตรัสเรียกข้าราชบริพารคนนั้นมา และตรัสว่า ‘ไอ้ข้าชั่วช้า เรายกหนี้ของเจ้าทั้งหมดให้ ก็เพราะเจ้าวอนขอต่อเรา 33 ไม่ควรหรือ ที่เจ้าจะเมตตาเพื่อนข้าราชบริพารด้วยกัน เหมือนที่เราเมตตาเจ้า?’ 34 กษัตริย์กริ้วนัก จึงทรงมอบตัวเขาให้พัศดีไปทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้ครบ 35 “เช่นนี้แหละ พระบิดาของเราในสวรรค์ จะทรงกระทำแก่ท่านแต่ละคนเช่นนั้น หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากใจของท่าน”

 

อุปมาในเรื่องนี้ จะจบด้วยประโยคนี้ว่า …

“เช่นนี้แหละ พระบิดาของเราในสวรรค์จะทำกับท่านแต่ละคนเช่นนั้น หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากใจของท่าน”

“ใจ” ตัวนี้ ก็คือวิญญาณของท่าน

“หากท่านไม่ยกโทษให้พี่น้องจากวิญญาณของท่าน ท่านก็ไม่ได้รับการยกโทษ หรืออภัยโทษจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน”

ตอนที่พระเยซูพูดอย่างนี้ มนุษย์ยังไม่สามารถเกิดใหม่ได้ พระเยซูยังไม่ไถ่บาปให้กับมนุษย์เสร็จสิ้นบนไม้กางเขนเลย ยังไม่บอกว่าสำเร็จแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย เห็นหรือยังว่าพระเยซูกำลังสอนอุปมาเรื่องนี้ เกี่ยวกับการไปสวรรค์และการบังเกิดใหม่ พระเยซูกำลังบอกเราว่าเจ้าทำเองไม่ได้ เพื่อจะได้บอกว่า …

“มาพึ่งเราๆ ถ้าเจ้าทำเองได้ เจ้าก็ไม่มาพึ่งเรา เพราะฉะนั้น เจ้าทำเองไม่ได้ จำไว้”

พระเยซูกำลังบอกว่ากฎก็คือกฎ … กฎก็คือบัญญัติ … บัญญัติจะอยู่ตลอดไป มาตรฐานของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิม ในบัญญัติเขียนไว้อย่างไร? ก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีการลดหย่อน  ไม่มีคำว่าน้อยลง ตามที่พระเยซูได้พูดเอาไว้ในมัทธิว 5:17-20 ว่า …

มัทธิว 5:17-20 “17 อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้ แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของพวกฟาริสี และเหล่าธรรมาจารย์แล้ว ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

ในข้อ 19 บอก “ผู้ใดฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ แม้ข้อเล็กๆ น้อยๆ ที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”

“ผู้นั้นจะเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” คือไม่ได้เข้าสวรรค์

อะไรล่ะ “ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติแค่เล็กน้อย” เขาบอกว่าอภัย ต้องอภัย 490 ครั้งต่อหนึ่งคดี เราก็บอกว่าอภัยแค่ 7 ครั้งก็เก่งแล้ว พระเจ้าคงเห็นใจเราแล้ว อันนี้ทำให้เล็กน้อย เราก็บอกว่าพยายามทำให้ดีที่สุดแล้วกัน ทำให้มันได้สัก 20 ครั้ง คนนี้ก็ยอดกว่าคนนี้ นี่มันทำให้เล็กน้อย พระเจ้าบอกไม่ได้ ต้องทำให้ 490 ครั้ง ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ใช้เชื่อเอา

พระเยซูมาตอกย้ำว่าความศักดิ์สิทธิ์และความเคร่งครัดของบทบัญญัติ  กฎของพระเจ้า  ยังคงอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ แม้ว่าพระเยซูจะมาก็ตาม กฎบัญญัติเหล่านั้น ที่ได้บันทึกเอาไว้ ยังอยู่ครบถ้วน แม้ตัวอักษรเล็กๆ หรือแม้แต่เพียงขีด ขีดเดียว ก็จะไม่หายไปจากบทบัญญัติ แต่พระองค์จะทำให้มันสมบูรณ์ ใครทำ? พระเยซูทำแทนเรา  เราทำไม่ได้  สิ่งเหล่านั้น ทำให้เสร็จ สมบูรณ์ ถึงจะได้รับการอภัยจากพระเจ้า ถึงจะได้รับพรจากพระเจ้า แต่มนุษย์ทำไม่ได้ เราจึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ ขณะที่เราทำ มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในเรานั้น ทำด้วยกัน เอเมน

ความหมาย ก็คือเมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำได้ คือไม่สามารถให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน พระเยซูจึงพูดแล้วพูดอีก ย้ำแล้วย้ำอีกว่าหนทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะไปสวรรค์ได้ ก็คือต้องผ่านทางพระเยซู คือต้องบังเกิดใหม่ ในความเชื่อ ในพระเยซูเท่านั้น ถึงจะอภัยจากใจได้ เพราะใจเกิดใหม่ วิญญาณเกิดใหม่ มันอภัยจากใจ เพราะว่าบริสุทธิ์ อินโนเซ็นต์เรื่องของการโกรธกัน อินโนเซ็นต์ข้างในเลย วิญญาณสะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ ทั้งสิ้นเลย ไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่าการโกรธเขา การไม่ให้อภัยเขาเป็นอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น

ชาวยิวในสมัยนั้น อยู่ใต้กฎบัญญัติของพระเจ้าที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส มีกฎบัญญัติที่ต้องปฏิบัติตาม 600 กว่าข้อ ชาวยิวต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เรื่องการให้อภัย ที่เราเรียนรู้กันอยู่นี้ ก็เป็นเพียง 1 ใน 600 กว่าข้อเท่านั้น  ที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ให้รู้ว่าพูดตรงนี้ไป โดนทุกคน

“ฉันเป็นคนมีเมตตา ฉันอภัย ฉันไม่เคยฆ่าคนเลย ไม่เคยตีหัวชาวบ้านเขา”

พระเยซูบอก “แค่ว่าเขาไอ้บ้า แค่โกรธเขานิดเดียว ก็เท่ากับฆ่าเขาแล้ว ไม่รู้เหรอ” เป็นอย่างนี้

พระเยซูพยายามบอกว่ากฎ มันมีจริงๆ แล้วต้องทำตามจริงๆ ถึงจะรอด แต่มนุษย์ทำไม่ได้ พยายามชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทำไม่ได้ๆ แต่มนุษย์ก็พยายามทำให้รู้สึกว่าเอาแค่ครึ่งหนึ่งก็พอ พระเยซูบอกไม่ได้ ขีดๆ หนึ่ง จุดๆ หนึ่ง ก็จะไม่ถูกลบเลือนหายไป จนกว่าสิ่งนั้นจะถูกทำให้สำเร็จ ซึ่งพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนแทนพวกเราทุกคน เราจึงต้องไปพึ่งพระเยซู ถ้าเราทำสำเร็จแล้ว เราพึ่งตัวเองได้ เราก็ไม่ต้องไปพึ่งพระเยซูไง ถ้าไม่พึ่งพระเยซู ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่า …

“เราก็ทำดีที่สุดแล้ว”

พูดถึงตอนก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด และหลังพระเยซูมาเกิด ก็ยังมีคนคิดอย่างนี้อยู่ ในพวกชาวยิว

“เราก็ทำดีที่สุดแล้ว ก็ได้แค่นี้ พระเจ้าคงเข้าใจในความพยายามของเรา และความตั้งใจของเราดีอยู่แล้ว”

นี่คือความคิดแบบมนุษย์ ที่ร้ายแรงมาก ดูเหมือนหนุนใจดี แต่มันไม่ใช่ เพราะถ้าคิดอย่างนี้เมื่อไร? พระคุณทางพระเยซูคริสต์จะหมดความหมายทันที

เปาโลก็คิดอย่างนั้นนะ อดีตที่เปาโลยังไม่ได้มาเชื่อ

“ฉันถือได้ 300 แล้ว พวกเธอทำไมไม่ถือ เธอยังได้แค่ร้อยกว่าเอง ฝึกต่อไปสิ อดทนต่อไป รักษาต่อไป แล้วกะว่าสิ้นปีหน้า ฉันจะได้เป็น 400 ข้อ”

แล้วก็มาอวดกัน แล้วไปเจอบางคนไม่ถือเลย อยู่นอกวิหาร ตีอกชกหัว พระเยซูยกตัวอย่าง …

“พระเจ้าเมตตาลูกด้วย ลูกเป็นคนเลว ลูกเป็นคนบาป ไม่มีอะไรดีเลย”

แล้วพวกฟาริสีบอก “นี่ไง พวกนี้ ตกนรกแน่นอน ไม่รักษาบัญญัติเลย ไม่ได้สนใจเลย ฉันไปสวรรค์ ฉันดีกว่าเขาตั้งเยอะ”

พอเห็นอะไรไหม? แต่พระเยซูบอกเป็นศูนย์เท่ากัน ไม่มีคำว่าดี 90% ไม่มีคำว่าดี 99% ไม่มีคำว่าดี 99.99% ไม่มี เพราะ 99.99% ก็คือจุดหนึ่งมันหายไป พระเยซูบอกจุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่ถูกลบหายไป จะบอกว่าได้ตั้ง 99.99% ทำด้วยตัวเองถึงขนาดนี้ ไม่ได้ พระเยซูบอกว่าพระเจ้าต้องการ 100%

แม้กระทั่งหน้าสุดท้ายของหนังสือวิวรณ์บอกว่าใครก็ตามที่ให้จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ลบหายไป ไม่ได้เข้าสวรรค์แน่ ก็เพราะว่าเขาพึ่งตัวเองไง เขาเอาตัวเองเป็นตัวตั้งว่า …

“ฉันทำได้เท่าไร?”

มนุษย์ก็เลยเอาความคิดตรงนี้มาแข่งขันกัน มาอวดกัน การทำความดี

“ฉันชั้นที่ 8 แล้ว เธอชั้นที่ 6 เอง ฉันกำลังพุ่งไปสู่ชั้นที่ 9 เธอยังอยู่ชั้นที่ 6 ชั้นที่ 4 ชั้นที่ 2 ไปกันใหญ่เลย”

แต่สำหรับพระเจ้าแล้วเหมือนกันหมด พระคัมภีร์บอกมนุษย์เป็นคนเลวหมด ชั่วเหมือนกันหมด ไม่มีคนดีสักคนเดียว แต่พอพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ช่วยมนุษย์ทุกคนให้ได้มีโอกาสรอดจากความบาปแล้ว หนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 บอกว่าทุกคนรอดเหมือนกันหมด

“เหมือนกัน” แปลว่ารอดด้วยพระคุณ เพื่อว่าจะได้ไม่มีใครสามารถอวดตัวได้ว่าฉันทำ แล้วฉันได้รอด …

“เป็นไปได้อย่างไร โจรบนไม้กางเขน ทำชั่วมาตลอดชีวิตเลย แค่บอกพระเยซูว่าฉันเชื่อพระองค์แล้ว  ได้รับความรอด”

มนุษย์ก็คิดแบบมนุษย์ เอาไปแข่งกัน เอาไปอวดกัน เย่อหยิ่ง คนไหนทำได้มาก ก็คิดว่าจะได้รับรางวัลจากพระเจ้ามาก ก็จะมาอวดกัน นี่พูดถึงช่วงนั้น ช่วงที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ทำงานยังไม่สำเร็จ อวดกัน

“ทำอย่างไร ถึงจะอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าได้”

แปลว่า “ทำอย่างไร เมื่อไปสวรรค์ถึงจะได้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ถ้าคนอื่นเขาทำ 10 ข้อ ฉันทำสัก 15 ข้อ ได้อยู่เบื้องขวาไหม?”

ขึ้นไปยังคิดอีกว่าถ้าฉันทำเยอะๆ ฉันจะได้ดีกว่าคนอื่นเขา เถียงกันทั้งยอห์น ทั้งยากอบ ทั้งเปโตร

นี่ขนาด สาวกใกล้ๆ กัน ใครจะอยู่เบื้องขวา แต่หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ สาวกเหล่านี้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีใครถามอีกต่อไปเลยว่าจะอยู่เบื้องขวาเบื้องซ้าย ทุกคนเท่ากันหมดเลย เหมือนที่พระเยซูยกตัวอย่างเรื่องที่เจ้าของสวนจ้างคนงานมาทำงาน จะทำ 8 โมงเช้า จะทำ 5 โมงเย็น ทำงานเวลาไหน? ได้ค่าจ้างเท่ากัน 1 เดนาริอัน ไม่ใช่คนมาทำสายๆ จะได้น้อยกว่า ทุกคนได้เท่ากัน แล้วจะมาโวยวายอะไรกัน มนุษย์ชอบคิดว่าฉันทำเยอะกว่า ฉันควรจะได้เยอะกว่า ลืมคิดว่าไปว่าที่เธอทำได้เยอะ มันก็ไม่สมบูรณ์ มันไม่เข้าข่ายการรับการอภัยโทษจากพระเจ้า ยังไง มันตกนรกอยู่ดี พระเยซูกำลังจะบอกว่า …

“ถ้าเธอยังพึ่งตัวเองอยู่ เธอไม่มีทางไปสวรรค์เลย ถ้าเธอยังถือกฎบัญญัตินั้น แล้วจะไปทำตาม ไม่ได้เลย ฉันนี่แหละจะมาทำกฎบัญญัตินั้นให้สำเร็จ เธอต้องมาพึ่งฉัน เธอต้องเชื่อในฉันเท่านั้น”

พระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล พระองค์ต้องยุติธรรมต่อทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น ต้องตามกฎจริงๆ ถึงจะเป็นผู้ชอบธรรม ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ จะอะลุ่มอล่วยกันก็ไม่ได้  พระเยซูบอกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องมีพระองค์ ต้องการพระองค์เพียงอย่างเดียว ถึงจะได้รับความรอดจากบาป ไปสู่สวรรค์ได้ โดยเขาต้องเกิดใหม่ โดยเขาต้องผ่านทางความเชื่อในพระองค์ … พระองค์จะมาช่วยมนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากความบาป ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือแค่เชื่อ แล้วได้รับการบังเกิดใหม่

อย่างที่ผมบอกแล้ว ทั้งหมดนี้ อุปมาก็กลับมาสอนเรื่องเดิม ต้องบังเกิดใหม่ จะได้เข้าสวรรค์ได้ จบ จะเข้าสวรรค์ก็เหมือนกันหมด เข้าเท่ากันหมดเลย  เพราะตอนก่อนเข้าสวรรค์ มันก็ชั่วเท่ากันหมด พอเข้าสวรรค์ก็เท่าๆ กันหมด ไม่ใช่คนนี้ ได้รางวัลพระเจ้ามาก รับใช้เยอะ เทศนาเยอะ ประกาศเยอะ ไม่มีเท่ากันหมด เพราะการเทศน์เยอะ การประกาศเยอะ รับใช้เยอะ มันได้ทำให้คุณได้รับความรอด คุณคิดไปเองว่าคุณได้รับรางวัล เปล่าเลย คุณรอด เพราะพระคุณของพระเจ้า ฟรีๆ  ผ่านทางพระเยซูคริสต์  เหมือนกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนกับคนมาเชื่อเมื่อวานนี้ ตลอดชีวิตเขาขี้เหล้าเมายามาตลอด อาทิตย์ต่อไป ก็เสียชีวิตแล้ว เขาก็ไปสวรรค์เท่ากับคุณ ไม่มีใครเบอร์หนึ่ง เอเมน แค่นี้เอง

“พยายามทำต่อไปให้ดีที่สุดแล้วกัน พระเจ้าเข้าใจดี” นั่นเขากำลังปลอบใจคนอื่นแบบผิดๆ

ต้องบอกเขาเลย “ไม่ได้ เธอต้องมาพึ่งพระเยซู”

เธอทำไม่ได้หรอก อภัยให้ไม่ได้ ไปโกรธ ไปด่า มนุษย์ก็ทำอย่างนี้นะ แต่ที่เธอด่าไป ที่เธอโกรธไป มันเนื้อหนัง มันไม่ใช่ตัวเธอจริงๆ ตัวเธอจริงๆ คือวิญญาณ สามารถบังเกิดใหม่ได้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน เมื่อเธอเกิดใหม่ วิญญาณเธอบริสุทธิ์แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหนังที่มันเป็นกาฝากที่อยู่ในร่างกายนี้เลยสักนิด ซึ่ง ณ วันนี้ มันยังอยู่ในร่างกาย วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเธอจากโลกนี้ไป วิญญาณและความคิดจิตใจของเธอที่บริสุทธิ์นั้น ไปอยู่กับพระเจ้าและได้รับร่างกายใหม่ ร่างนี้ มันตกกระป๋องไปแล้ว มันไม่เกี่ยวกัน มันไม่ใช่ตัวเธอ เธอไม่เคยโกรธใครเลย ตั้งแต่เกิดใหม่แล้ว เอเมน ถ้าท่านไม่เชื่อตรงนี้ ท่านกำลังบอกพระเยซูโกหก พระเยซูบอกว่าถ้าท่านบังเกิดใหม่  ก็คือบังเกิดใหม่ ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าจะโกหกได้อย่างไร? ท่านกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้ามาสร้างบ้านอยู่ในท่าน วิญญาณท่านจุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จุ่มลงไปในวิญญาณพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน สะอาดหมดจดแล้ว ท่านจะโกหกได้อย่างไร? ท่านจะโกงได้อย่างไร? ท่านจะฆ่าคนได้อย่างไร? ท่านจะเป็นคนเลวได้อย่างไร? ไม่เป็นแล้ว แต่ …

“ฉันยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราว เดี๋ยวก็ทิ้งมันไป”

ความหวังเรา ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ออกจากร่างไป นั่นแหละอิสระ นั่นแหละ Freedom นั่นแหละโซ่ตรวนหักหาย ฉันได้เป็นไท (จริงๆ) แต่ตอนอยู่ในโลกนี้ หักหายในวิญญาณ แต่ร่างกายยังคงทุกข์ทรมานกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะเนื้อหนัง เพราะกาฝากมันเกาะอยู่ แต่พระเจ้ายังต้องใช้เนื้อหนังนี้อยู่ ให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อกระทำการงานของพระองค์ ซึ่งมีอย่างเดียว คือแผนการของพระเยซูทำมา และให้เราทำต่อ ก็คือการประกาศข่าวดี ให้กับผู้คนได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่และการเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างไร? นี่แหละหน้าที่ของเรา มีแค่นี้เอง ซึ่งความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ไม่มีทางที่จะทำด้วยตัวเองได้ ให้บริสุทธิ์ 100% ได้ มนุษย์ก็รู้ แต่ด้วยพระคุณพระเจ้าเท่านั้น ที่มนุษย์จะรอดพ้นจากโทษของความบาป ความตาย และได้รับการบังเกิดใหม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้าได้ เขาเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม คือไม่มีบาป ไม่มีการตัดสินคดีว่าเป็นคนดี คนบาป แต่ตัดสินเป็นคนดี 100% และสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ อยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์กาล ว่าไปแล้ว ก็อยู่เดี๋ยวนี้เลย เมื่อเชื่อก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว เพียงแต่เรายังติดอยู่ที่ร่างกายนี้ ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบมนุษย์อยู่ เพราะว่าพระเจ้าต้องการใช้ร่างกายนี้ ให้เป็นเครื่องมือของพระองค์ในการประกาศข่าวดีต่อไป

ถามว่าเราอยู่บนโลกนี้ทำไม? ทุกข์ทรมานร่างกายก็แก่ลงไป และยังมาสู้กับกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กาฝากนี้อีก พระเจ้าบอกยังไม่หมดงาน กำลังใช้อยู่ มีป้ายปักข้างหลังไว้ว่า “อยู่ในระหว่างการใช้งาน” แล้วร่างกายนี้อยู่ในการทรงสร้างใหม่ วันหนึ่งข้างหน้า ตัวเก่านี้ทิ้งไปเลย รอตัวใหม่ สะอาดหมดจด เอเมน ดีใจไหมตอนนี้ สบายไหม?

มิน่า พระเยซูจึงบอกว่า “ใครที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รวมทั้งชาวยิวด้วย รวมทั้งไม่ใช่ยิวด้วย รวมทั้งคนที่ทำอบายมุกทุกชนิด รวมทั้งคนที่มีความชอบธรรมมากเลย เป็นคนดีมากๆ เลย พวกนี้ทั้งหมด เหนื่อยทั้งนั้น มาหาเราสิ เราจะให้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

หายเหนื่อย คืออย่างนี้ มอบภาระไว้ที่พระเยซู มันแปลว่าอย่างนี้ แล้วก็พึ่งในพระองค์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 7 “สงครามหลังการบังเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  ตุลาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 7 “สงครามหลังการบังเกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ถึงเวลาทานอาหารทางฝ่ายวิญญาณ วันนี้เราต่อเลยนะ เรายังอยู่ในซีรี่ย์ เรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู วันนี้เป็นตอนที่ 7 หลายตอนที่ผ่านมา เราเน้นกันไปเยอะ ในเรื่องของการบังเกิดใหม่ ตามที่พระเยซูได้บอกว่าคนที่เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า หรือเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น อุปมาคำสอนของพระเยซู ในเรื่องการบังเกิดใหม่ ที่เราเรียนกันไปแล้ว ทวนนิดหนึ่งที่บอกว่าต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว ต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นด้วย ผลของมัน เปรียบเทียบกับวิญญาณของมนุษย์จะเป็นวิญญาณที่ดี เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ได้ ก็ต้องเกิดมาจากต้นกำเนิดที่ดีเท่านั้น คือข้างในวิญญาณต้องบังเกิดจากพระเจ้า หรือเกิดจากพระวิญญาณเท่านั้น จึงจะดีได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่บังเกิดใหม่ ไม่มีวันได้ดีเลย เพราะว่าต้นไม้เป็นเลวอยู่

พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นคนดีพร้อม 100% เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว พูดไว้อย่างนี้เลยว่าคนไหนที่เชื่อในพระเยซู และบังเกิดใหม่แล้ว เป็นคนดีพร้อม 100%

คนที่พ่อแม่เป็นมนุษย์ เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ เขาตีแม่ เขายังเป็นมนุษย์ไหม? เป็น … เขาไปโกรธ ไปฆ่าคนตาย เขายังเป็นมนุษย์ไหม? เป็น … ในทำนองเดียวกัน พระเยซูบอกใครที่จะไปหาพระเจ้าได้ เขาต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ พอเกิดใหม่ในวิญญาณปุ๊บ ก็เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พอเขาเกิดใหม่ในวิญญาณ เขาเป็นลูกของพระเจ้าเลย เขาต้องไปทำอะไรให้เป็นลูกพระเจ้าไหม?  ไม่ต้องแล้ว

เราเป็นลูกพระเจ้าเมื่อพระเยซูหลั่งพระโลหิต ตายที่ไม้กางเขน เราอยู่ในพระเยซู เราตายไปกับพระเยซูด้วย เราคือมวลมนุษยชาติทั้งหมด ได้ถูกทำให้ตายไปพร้อมกับพระเยซู แล้วพระคัมภีร์บอกพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พวกเราทั้งหลายก็ถูกชุบให้เป็นพร้อมกับพระองค์ด้วย แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ฟังข่าวดีของพระเจ้าว่าเป็นอย่างนี้ เราเพิ่งรู้ เรามีหน้าที่บอกว่าเอาด้วยคน ใช้สิทธิ์ด้วย เขาก็ได้สิทธิ์นั้นทันที คือเขาได้เป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ แค่นี้เอง เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่าคนที่เชื่อในพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพ่อของเขา คือพระเจ้า 100% เหตุจากเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ ที่พระเจ้ากระทำในพระเยซู ตอนที่ให้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม คนที่เชื่ออย่างนี้ เขาเป็นคนบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เขาเป็นคนดีพร้อม 100% เลย เขาบอกว่าคนนี้พูดจา ใช้ไม่ได้เลย ฉันคนที่ยังโลภอยู่เลย ฉันคนที่ยังทำอะไรแย่ๆ อยู่เลย แต่พระเยซูบอกฉันดีพร้อม 100% เพราะว่าฉันเกิดมาดี เอเมน เพราะเกิดจากต้นไม้ดี เกิดจากรากที่ดี ยังไงมันก็ต้องดี เอเมน

หลังการบังเกิดใหม่ เราถูกย้ายจากยุคแห่งพันธสัญญาเดิม ไปสู่ยุคของพันธสัญญาใหม่  เราถูกย้ายจากตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไปสู่ยุคพระคุณ เราถูกย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืดของมาร ไปสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง เราถูกย้ายจากสภาพของคนบาป ไปสู่สภาพของคนชอบธรรม เราถูกย้ายออกจากการพึ่งการกระทำของตนเอง กลายเป็นเข้าสู่การพึ่งพาในพระเจ้า ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว  บนไม้กางเขน และชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาใหม่ เราถูกย้ายออกจากครอบครัวในอาดัม มาสู่ครอบครัวในพระคริสต์ ซึ่งสภาวะต่างๆ ที่เรากำลังพูด มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า … พระเจ้าเป็นวิญญาณมนุษย์ก็เป็นวิญญาณด้วย

วันนี้น่าจะเป็นตอนสุดท้ายในการเน้นย้ำ เรื่องการบังเกิดใหม่ การบรรยายในวันนี้ มีชื่อตอนว่า “สงครามหลังการบังเกิดใหม่” เรามาดูในพระคัมภีร์ยอห์น 14:21, 23 ที่พระเยซูได้พูดเองว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าและพระเยซูคริสต์จะมาสถิตอยู่กับเรา  ในร่างกายนี้

ยอห์น 14:21, 23 “21 ผู้ใดที่ยึดถือและเชื่อฟังคำบัญชาของเรา ผู้นั้นก็คือผู้ที่รักเรา พระบิดาของเรา จะทรงรักผู้ที่รักเรา และเราเองก็จะรักเขา และจะสำแดงตัวเราเองแก่เขาด้วย

23 ผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

 

“ผู้ใดที่ยึดถือและเชื่อฟังคำสอนของเรา”

พระเยซูกำลังสอนเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ และเข้าสวรรค์อย่างไร? ก็คือการบังเกิดใหม่ พระเยซูบอกผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา ก็คือเขาจะเชื่อว่าไปสู่สวรรค์ ไปอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน วิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น” 1 โครินธ์ 3:16 ว่าไว้อย่างนั้น

ถามว่าท่านคือวิหารบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น ท่านคือใคร? คือใครก็ตามที่บังเกิดใหม่แล้ว

ตัวท่าน ใช้คำว่า Body ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ พระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในวิหารที่เป็นชีวิตของเราจริงๆ ที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ด้วยกันกับชีวิตของเรา  เป็นหนึ่งเดียวกัน แยกกันไม่ออกเลย ท่านกำลังคิดในใจใช่ไหม? …

“ฉันบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดนั้น จริงหรือ? ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ จริงหรือ? เมื่อวานนี้ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันยังทำอะไรที่น่าเกลียดอยู่เลย แล้วพระเจ้าอยู่กับฉัน ตามพระคัมภีร์ที่ฉันอ่าน จริงหรือ? แต่พระคัมภีร์ก็บอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ! ว่าท่านคือวิหาร ท่านไม่รู้หรือ! ร่างกายของท่านเป็นที่อาศัยของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์  ศักดิ์สิทธิ์”

ซึ่งมันอธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจหรอก ต้องเชื่อเอาเท่านั้น … นี่แหละ ที่บอกว่าเป็นคริสเตียนเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ มันหมายถึงตรงนี้ เชื่อเอา พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ท่านก็เป็นวิหาร เพราะว่ามันลำบากมากที่จะอธิบายให้เข้าใจตามภาษามนุษย์ มันต้องใช้ความเชื่อว่า …

“มันเป็นอย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันก็เชื่ออย่างนั้น”

หนังสือฮีบรู บทที่ 11 บอกว่า “ความเชื่อ คือความแน่ใจ มั่นใจในสิ่งของที่จับต้องมองไม่เห็น แต่ฉันรู้ว่ามีจริงๆ ตามที่พระคัมภีร์บอก”

นั่นแหละความเชื่อ เพราะฉะนั้น เลยไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือหลักฐานอะไร ถ้าพระคัมภีร์เขียน อ่านแล้วอ่านอีก มันก็เป็นอย่างนั้น ใช้วิญญาณสื่อเข้าไปแทน สัปดาห์ก่อน ผมได้อธิบายส่วนประกอบของมนุษย์ว่าตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มีความคิดจิตใจและอารมณ์ อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราว ซึ่งผมไม่ได้พูดเอง ไม่ได้ฟังมาจากนักจิตวิทยาคนไหนด้วย แต่ผมฟังมาจากพระเจ้า

          1 เธสะโลนิกา 5:23 “ขอพระเจ้าเอง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข ทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์หมดจด ขอให้ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไร้ที่ติ เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา”

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน เป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกาย เห็นไหม? มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด เพียงแต่มนุษย์คนนั้นอยู่ในอาณาจักรไหน? อาณาจักรในอาดัม หรือในพระคริสต์ ในความมืด หรือความสว่าง ในมารหรือในพระเจ้า ในอาณาจักรเดิม ซึ่งต้องช่วยเหลือ พึ่งพาตัวเอง พึ่งพาการกระทำของตัวเอง ซึ่งกระทำไม่ได้อยู่แล้ว หรือจะพึ่งพาพระเจ้า จะอยู่ในกฎเดิม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน หรืออยู่ในกฎใหม่ ที่เขาเรียกว่า “พระคุณ” จะอยู่ในกฎพระวิญญาณแห่งชีวิต ซึ่งเป็นกฎใหม่ หรือจะอยู่ในกฎเก่า กฎของความบาปและความตาย จะเอาเช่นใด

เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์คนไหนหรือเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่ ทั้ง 3 ส่วนนี้หมดเลย เกิดใหม่จริงๆ มิฉะนั้นพระคัมภีร์ตะกี้นี้ ใน 1 โครินท์ 3:16 คงไม่บอกว่าร่างกายเราก็เป็นวิหาร อันบริสุทธิ์ของพระเจ้า เกิดใหม่ทั้ง 3 ส่วนนี้เลย คือที่วิญญาณ แล้วก็ความคิด จิตใจ และร่างกาย ทั้ง 3 ส่วนนี้ บังเกิดใหม่หมด เราได้เป็นลูกของพระเจ้า

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ทันทีทันใด พระองค์เข้ามาอยู่กับเรา โอบกอดเรา ห่อหุ้มเรา ครอบครองเรา ใช้คำนี้ด้วยซ้ำ ครอบหง่ำเข้าไปในเรา ทั้งหมด ทั้งสามส่วนนี่แหละ พระเยซูได้ทรงชำระล้างเรา ให้สะอาดและบริสุทธิ์ ในฮีบรูบอกว่า …

“ด้วยพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียวก็พอ”

เราเคยได้ยินใช่ไหม? พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้หลั่งที่ไม้กางเขน เพียงครั้งเดียว ในการชำระล้างร่างกายของเราผู้เชื่อ หรือมนุษย์ทุกคนให้สะอาดหมดจด ปราศจากบาปใดๆ เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ หมายถึงเรา ที่เป็นตัวตนครบถ้วนบริบูรณ์ คือเราที่เป็นวิญญาณ เราที่มีความคิดจิตใจ และเราที่อาศัยในร่างกายนี้ แต่สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ใน 3 พระภาคของพระเจ้า เขาเรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเข้ามาอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ดองกับพระองค์ไปแล้ว แยกกันไม่ออกเลย

ตามถ้อยคำพระเจ้าก็ยังได้บอกว่าในขณะเดียวกัน เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังไม่จากโลกนี้ไป และบนโลกใบนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ต้องการ สิ่งนั้นเรียกว่ามาร และมารก็มีอาวุธประจำตัวของมัน ก็คือบาป ความบาป การต่อต้านพระเจ้า การไม่เชื่อฟังพระเจ้า มารอยู่บนโลกใบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่เมื่อปฐมกาล มันเข้ามาแล้ว พระคัมภีร์บอก มารเข้ามาพร้อมอาวุธของมัน ก็คือความบาป และยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่เลย คอยปิดบังตาให้ผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ในข่าประเสริฐของพระเจ้า นี่แหละคือหน้าที่ของมัน ทุกวัน พยายามปิดบังตา คนไหนที่เชื่อแล้ว ก็พยายามให้รู้น้อยที่สุด พยายามไม่ให้คนรู้เรื่องข่าวประเสริฐว่าพระเจ้าทำอะไรไปแล้ว ช่วยมนุษย์ได้อย่างไร? ซึ่งถึงแม้ว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้วก็ตาม

แต่ร่างกายของเรายังมีประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่อ่อนแอ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย จริงๆ มีอันหนึ่ง  คือความคิดของเรา ซึ่งมันสัมผัสไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง คือเราหยุดคิดไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่อ่อนแอทั้งหมดนี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของเรา มันยังสามารถรับสื่อต่างๆ ภายนอกร่างกายเราได้ ก็คือจากสื่อของโลกใบนี้ พูดง่ายๆ จากมารได้นั่นเอง  แม้ว่ามันจะหลุดออกจากการเป็นทาสของมารแล้ว แต่มันยังเป็นสื่อ เป็นเหมือนสภาพกึ่งๆ ทาสที่ยังต้องรับข่าวสาร หรือสื่อสาร การกระตุ้นจากมารที่ส่งผ่านอาวุธของมัน คือความบาปเข้ามาได้ กระตุ้นชีวิตของเรา ผ่านทาง 5 สัมผัสนี้ ให้ทำตามมัน แต่ก่อนเราสู้มันไม่ได้เลย วิญญาณเราเป็นของมัน แต่ตอนนี้ วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า ความคิดเราเป็นของพระเจ้า ร่างกายเราก็เป็นของพระเจ้า แต่ว่าร่างกายนี้  ยังอ่อนแออยู่ ยังรับสื่อจากโลกบาปนี้อยู่ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ยังคงเวียนว่ายอยู่กับการทำผิด ทำบาป ทำไมถึงไม่ขาวบริสุทธิ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ก็เพราะแบบนี้ไง

พระเจ้าจึงสัญญาว่าวันหนึ่งจะเปลี่ยนให้เราใหม่ เปลี่ยนที่เดียว วิญญาณเปลี่ยนไหม? ไม่เปลี่ยน ความคิดจิตใจเปลี่ยนไหม? ไม่เปลี่ยน เปลี่ยนร่างกายใหม่ ไม่รับสื่อจากมารอีกแล้ว และว่ากันตามตรงไม่ได้เปลี่ยนร่างกายเราอย่างเดียว เปลี่ยนแม้กระทั่งที่อยู่ให้กับเราเลย คือมารถูกจับขังไว้เลย ไม่มีมารอีกต่อไป ไม่มีความมืดอีกต่อไป ทั้งหมดเป็นแสงสว่าง ดังนั้น ต่อจากนี้ไปไหน ไม่มีสื่อมืดๆ สกปรกๆ ส่งเข้ามาอีกแล้ว มันก็ใสกิ๊งเลย ทุกวันนี้ที่เรารอคอย ก็เพราะทุกคนมีความหวังอยู่อย่างนั้น วันที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ และพระเจ้าจะประทานร่างกายใหม่ให้กับเรา ทุกวันนี้ที่เราอ่อนแอ ก็เพราะร่างกายนี้แหละ

ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าจะให้เข้าใจในเรื่องนี้ดี ต้องเปรียบเทียบให้เห็นถึงองค์ประกอบของมนุษย์ ที่เป็นวิหารของพระเจ้าว่าจะเหมือนวิหารที่พระเจ้าสั่งให้โมเสสทำ สมัยพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสวรรค์จริงๆ เลย ที่พระเจ้าสถิตอยู่ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่ที่โมเสสทำขึ้น จำลองมาจากสวรรค์อีกที พระเจ้าสั่งให้โมเสสทำอย่างนี้

วิหารที่พระเจ้าให้โมเสส ทำขึ้นนั้น จะเป็นพลับพลาที่แยกเป็น 3 ส่วน ส่วนภายนอกสุด จะเป็นลานของพระวิหาร หรือลานวิหาร เป็นที่ที่มนุษย์สามารถเดินเข้าออก มานมัสการพระเจ้าได้ ไม่มีกฎข้อห้ามมากมาย ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องความสะอาด ศักดิ์สิทธิ์มากมายนัก แต่ก็ศักดิ์สิทธิ์นะ เพราะเป็นเขตพระวิหาร เรียกว่าเขตพระวิญญาณ

ต่อมาชั้นที่ 2 ก็จะเป็นส่วนที่เรียกว่า “Holy place” หรือเรียกว่า “วิสุทธิสถาน” เป็นชั้นที่กฎระเบียบมากขึ้น ต้องเป็นผู้ประกอบพิธีที่เรียกว่าปุโรหิต หรือผู้นำทางศาสนาเท่านั้น ที่จะเข้าได้ ที่พระเจ้ากำหนดไว้ และมีการรักษาความบริสุทธิ์ มีพิธีการถวายเครื่องบูชา ถวายเครื่องหอมแด่พระเจ้าเป็นพิเศษขึ้น แต่ก็ยังไม่บริสุทธิ์ที่สุด

ส่วนในชั้นสุดท้าย เรียกว่า “Holy of Holies Place” หรือ “อภิสุทธิสถาน” เป็นที่ประทับของพระเจ้า ที่ตั้งหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่ มนุษย์ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด จะมีเพียงระดับมหาปุโรหิตเท่านั้น ที่เป็นตัวแทนมนุษย์ เข้าไปทำพิธีได้ ปีละ 1 ครั้ง และต้องเข้าไปด้วยความระมัดระวังอย่างมากในความบริสุทธิ์สะอาด

และในขั้นสุดท้ายนี้ ที่มนุษย์เข้าไปไม่ได้ เพราะมนุษย์ยังเป็นคนบาปอยู่ และความสกปรก หรือความบาปของมนุษย์นั้น จะเข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้เลย มันคนละขั้วกันเลย ไม่อย่างนั้นมนุษย์ถูกทำร้ายหมด เหมือนอุสซาห์ที่ไปยันหีบพันธสัญญา ซึ่งเขาทำไม่ได้ เพราะพระเจ้าไม่ให้หน้าที่ สามารถไปแตะต้องหีบพันธสัญญาได้ เขาไปรับด้วยความหวังดี ไม่อยากให้มันล้มลงมา แตะปุ๊บ ตายเลย

หลังจากที่พระเยซูคริสต์สละชีวิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน ข้อความและกฎระเบียบเก่าๆ เหล่านี้ ก็ถูกยกเลิกทั้งหมดเลย ฮีบรู 10:9-10 สรุปอย่างนี้ว่า …

ฮีบรู 10:9-10 “9 … พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก เพื่อตั้งระบบที่สอง 10 และโดยพระประสงค์นี้เราทั้งหลาย จึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์  เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก แบบสวรรค์จำลอง เป็นเงาของโมเสสออกไป ตั้งเป็นระบบที่สอง โดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวพอ ที่ไม้กางเขนนั้น โดยการถวายพระโลหิตเพียงครั้งเดียว พระเยซูทำเพื่อพวกเรา คือมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมดเลย เพียงแต่เรานั่งอยู่ที่นี่ เพราะเราเชื่อแล้ว เราใช้สิทธิ์ของเราแล้ว แต่จริงๆ ทำให้มนุษย์ทุกคน สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว 2,000 ปี ไม่ใช่เพิ่งมาเรียบร้อยตอนที่เราเชื่อ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว 30 ปีที่แล้ว ไม่ใช่ 2,000 ปีแล้ว ตั้งแต่ผมยังไม่เกิดเลย พอผมเกิด ผมก็ไม่รู้เรื่องเลย ก็ไม่ได้รับสิทธิของตัวเอง จนมีคนมาบอก

จนไม่ไหวแล้ว เพราะรู้สึกขาดแคลน อยากได้ เงินไม่พอใช้ เพราะฉะนั้น โอเคไปก็ไป … ไปเขต ได้จริงๆ เพราะเกิน 60 แล้ว ได้เดือนละ 600 บาท นี่ผมยกตัวอย่างข้ามรุ่นไปเลย เงินช่วยคนที่มีอายุเยอะ รัฐบาลให้คนละ 600 บาท ประกาศออกไปตั้งนานแล้ว ท่านคิดว่ามีบางคนไม่ไปรับไหม? เพราะอะไร? …

(1)  รู้แล้ว และไปรับเอา

(2)  เพราะว่าไม่รู้ข่าวดีนี้ หรือรู้แล้ว ไม่เชื่อ รอก่อน

(3)  ได้ยินได้ฟังแล้ว อาจจะไม่ได้ ก็ได้

(4)  รู้สึกยังไม่จำเป็นต้องใช้ รวย แต่ในทางวิญญาณไม่รวย ไม่มี

บางคนบอกว่ารวยแล้ว เขาไม่มารับ เพราะเขานึกว่าสิ่งที่สะสมไว้ ด้วยการกระทำของตนเอง ที่จะชำระล้างบาปด้วยตนเอง มันเพียงพอ เขาเลย ไม่ต้องการ เขาเลยรู้สึกว่าพระเยซูไม่ต้องมาชำระ ชำระเองก็ได้ เดี๋ยวรอชาติหน้าทำอีก ชาติต่อไปทำอีก เดี๋ยวมันก็คงถึง เขาก็ไม่รู้สึกขาดแคลน เขาก็ไม่มา ยกตัวอย่างนี้เห็นชัดนะ จริงๆ ทำให้มนุษย์ทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว แต่พระองค์ไม่บังคับ พระเจ้าสร้างเหมือนลูก ให้เราตัดสินใจเอง

“วิหารของฉัน ฉันเข้าไม่ได้ เพราะเจ้าของไม่ให้ฉันเข้าไป เขาไม่เชิญฉันเข้าไป เขาอยากอยู่อย่างนี้ อยากอยู่กับมารต่อ เราก็เลยเข้าไม่ได้ เราได้แต่เคาะประตู เมื่อไรจะเปิดหัวใจให้ฉันเข้าไปสักที”

เคาะจนวันหนึ่ง คนนั้นเปิด พระองค์ก็เข้าไป ก็ได้รับสิทธิของเขาไป จบแค่นั้น ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น คำตอบ ก็คือเราสะอาดบริสุทธิ์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งความคิด จิตใจ ร่างกาย เป็นวิหารของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าสถิตอยู่กับเราได้แล้ว เป็นมา 2,000 ปีแล้ว ใครเกิดในสมัยนี้ รับเชื่อเดี๋ยวนี้ ก็คือมารับสิทธิเท่านั้นเอง

แต่ในขณะเดียวกัน ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเราก็มีสิ่งสกปรกที่ผ่านเข้ามาได้ อย่างที่บอกแล้ว ความคิด จิตใจเรา ก็ยังสามารถมีสิ่งสกปรกเล็ดลอดเข้ามาได้ ย้อนกลับไปภาพวิหารของพระเจ้า ที่โมเสสทำขึ้น

มีอยู่ 3 ชั้น … ชั้นแรกกับชั้นที่สอง ก็ยังสามารถให้มนุษย์ที่มีเชื้อบาปเข้าไปได้ แต่ชั้นที่ 3 ไม่ได้แล้ว เข้าไปได้แค่คนเดียว และอันตรายมาก แป๊บเดียวออกมาเลย

ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เราเป็นวิหารของพระเจ้า ก็เช่นกัน ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เป็นวิหารของพระเจ้าแล้ว ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลก ตราบใดที่ท่านมีลมหายใจอยู่ในร่างกายนี้ ตราบใดที่เรายังมีประสาทสัมผัสในร่างกายนี้ เรียกว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมทั้งใจ … “ใจ” ตัวนี้ หมายถึงความคิด และตราบใดที่บนโลกใบนี้ ยังมีมารอยู่ มีอาวุธของมาร คือความบาปอยู่ ตราบนั้น ความสกปรกหรือความบาป ก็ยังสามารถเข้ามาสู่ชั้นร่างกายและความคิด จิตใจของเราได้ เช่นเดียวกัน

ท่านจะเห็น สงครามมาแล้วนะ แต่ชั้นสุดท้าย คือวิญญาณของเราลึกๆ รวมทั้งจิตใต้สำนึกของเราที่อยู่ลึกๆ นั้น จะไม่มีวันถูกแตะต้องได้เลย เป็นอันขาด ไม่มีทางเลย เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้ใน 2 โครินธ์ 10:4-5 อย่างนี้

2 โครินธ์ 10:4-5 “4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้งและคำแอบอ้างทั้งปวงที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

มนุษย์เป็นวิญญาณ มีร่างกายและความคิด จิตใจ  เพราะฉะนั้น สงครามมันเกิดที่ความคิดจิตใจ เพราะมันเกิดใหม่แล้ว มันจะกั้น พยายามทำตามวิญญาณ ที่อยู่ข้างใน แต่ขณะเดียวกัน สื่อจากข้างนอก ออกมาในร่างกายนี้ มีแต่ความมืดหมดเลย รอบข้าง ส่งผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ไปในทางมารหมด ทางการทำบาปทั้งหมด

เพราะฉะนั้น เราควรจะทำอย่างไร? พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน คือข้างในตัวเรา ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั่นแหละ จดจ่อไปที่นั่น ไปที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า จดจ่อไปที่ความจริงที่ว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว จดจ่อไปที่ในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ หมดจดแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสของมารอีกต่อไป

“เพราะฉะนั้น เรื่องอะไรฉันจะทำตามความคิดแก”

นี่สงครามอยู่ที่นี่ อย่ามาสนใจ หรือพยายามที่จะรับสื่อจากข้างนอก เพราะข้างนอก มันมีมารทั่วไปหมดเลย มันคอยส่งสัญญาณมาเรื่อยๆ เหมือนสัญญาณวิทยุ ส่งมาจากข้างนอก แต่ถ้าสัญญาณจากข้างใน คือพระเจ้า

ถ้าผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ ง่ายๆ ก็คือท่านตอบว่าสัญญาณนี้มาจากไหน? ถ้าสัญญาณมาว่า …

“จงเกลียด จงฆ่า จงขโมย จงไม่ให้อภัย”

ถามว่ามาจากข้างนอกร่างกาย  หรือมาจากข้างในวิญญาณอย่างนี้ มาจากข้างนอกร่างกาย มาจากโลกนี้ มาจากความมืด ถูกไหม?

ถ้าผมบอกว่า 1 โครินธ์ 13:4 บอกว่า …

“ความรักก็อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ประพฤติผิด อภัยให้เสมอ อดทนได้ทุกอย่าง”

สื่อนี้มาจากข้างใน ยกตัวอย่างง่ายๆ เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือคอยมองไปที่วิญญาณ แล้วคอยสังเกตดูว่าอะไรใช่? อะไรไม่ใช่ แต่แน่นอน มันก็ต้องมีพลาด มีเผลอ แต่ไม่ต้องไปสนใจ เพราะว่าวันหนึ่งมันต้องเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว

พระคัมภีร์จึงบอกว่าวิธีจะเอาชนะมัน ต้องพยายามหันเสาอากาศไปที่วิญญาณ ก็คือไปที่พระเจ้า Set your mind เขาเรียกว่าตั้งเสาอากาศในความคิดของเราไปที่พระเจ้า … พระเจ้าก็คือในวิญญาณของเรา ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ในพระคัมภีร์ เพื่อจะป้องกันสื่อที่มาจากข้างนอก ที่ไม่ดี นี่แหละ ที่เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ

ให้มันเชื่อฟังต่อพระเยซูคริสต์ให้ได้ ทั้งหมดเลย มันบอกว่า …

“ทำอย่างนี้ได้รับความรอดได้อย่างไร? ได้รับความบริสุทธิ์ได้อย่างไร?”

ไม่สนใจ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น

“บริสุทธิ์ที่ไหน? ตะกี้ ขับรถยังปาดหน้า ปาดหลังเขาอยู่เลย คนนี้ยังคิดไม่ให้อภัยเขาอยู่เลย ยังเหม็นหน้าคนนี้อยู่เลย แล้วตัวเองยังบอกบริสุทธิ์สะอาด” ไม่สนใจ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

สู้กันอย่างนี้ ไม่สนใจ พระเยซูบอกว่า …

“ชำระฉัน สะอาดหมดจดแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉัน พระเจ้าสร้างบ้านอยู่ในร่างกายฉัน ร่างกายฉันเป็นวิหารของพระเจ้า”

นี่คือหน้าที่ของเรา ในแต่ละวัน ทุกเรื่องเลย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือมองเข้ามาที่ด้านใน ข้างใน วิญญาณของเรา มองเข้ามา หมายถึง …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ ฉันได้รับการไถ่บาปแล้ว พระเจ้ารักฉัน และกอดฉันอยู่ตลอดเวลาเลย” อย่างนี้ “ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันจะเป็นอย่างนี้”

แล้วก็ไปเรื่อยๆ แล้วความคิดเขาก็จะเปลี่ยนไป นิสัยข้างนอก ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปด้วย

โคโลสี 3:1-3  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นจากความตาย เป็นขึ้นร่วมกับพระคริสต์ จงให้ความคิด จิตใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และท่านนั่งอยู่ที่นั่นด้วย”

คำว่า “นั่งอยู่ที่เบื้องขวา” คือสิทธิอำนาจสูงสุด ในการครอบครองสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้าง แล้วเราครอบครองร่วมกับพระคริสต์ เราใหญ่ขนาดไหนนะ ให้ตั้งความคิดจิตใจไว้ที่นั่น จดจ่ออยู่เบื้องบนนี้ ไม่ใช่ไปจดจ่อสิ่งที่มันอยู่ตรงกันข้าม

จำเรื่องทาร์ซานได้ไหม? ทาร์ซานที่ผมบอก “ยังไงเราก็เป็นลูกเจ้าของบ้านแล้ว ทำให้สมกับฐานะการเป็นลูกเจ้าของบ้านหน่อย อย่าทำเหมือนลูกลิง ลูกหมี ลูกเสือ ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย”

อะไรอย่างนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? บางคนไม่ได้ฟัง ไปฟังของเก่าดูก็แล้วกัน ผมยกตัวอย่างทาร์ซานเป็นอย่างไร?

ให้จดจ่ออยู่ที่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ในวิญญาณของเรา เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์   “ตายแล้ว” คือตายต่อบาป บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว จบไปแล้ว ชีวิตท่านถูกซ่อนไว้อยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว และยกขึ้นตั้งสูงสุด เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย เหนือนามทั้งปวง ท่านก็ถูกยกขึ้นไปกับพระเยซูคริสต์ด้วย สูงกว่านามทั้งปวงด้วย สูงเหนือใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครแตะต้องท่านได้อีกแล้ว เอเมน

ท่านอยู่ในพระคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ พระคริสต์อยู่ไหน? ชีวิตท่านซ่อนอยู่ในนั้นเลย คำว่า “ซ่อนอยู่ใน” มันมากกว่าคำว่า “อยู่ใน” คำว่าซ่อนอยู่ใน คือซ่อนทุกอณูเนื้อ แยกกันไม่ออก ซ่อนอยู่ใน อย่างที่ผมบอก เราเป็นน้ำ ที่เทลงไปในน้ำที่ใหญ่ๆ หาไม่เจอเลย … ถ้าซ่อนเฉยๆ เป็นเหมือนกับว่าเราเป็นก้อนหิน แล้วทิ้งลงไปในน้ำ ซ่อนอยู่ในน้ำ อย่างนี้มองเห็นอยู่ … แต่นี่ไม่ใช่ นี่ซ่อนเข้าไป กลืนหายไปกับพระเจ้า พระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียว สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ จงรู้ไว้เป็นเช่นนั้น เมื่อเราอยู่ในพระเยซู  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 6 “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  ตุลาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 6 “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะเรียนถ้อยคำพระเจ้าต่อจากครั้งที่แล้ว อยู่ในซีรี่ย์ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” วันนี้เป็นตอนที่ 6 ใช้ชื่อเรื่องว่า “การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร?”

เมื่อครั้งที่แล้ว เราค้างกันไว้ที่เรื่องของนิโคเดมัส ฟาริสีคนยิวคนหนึ่ง ในสมัยที่พระเยซูกำลังตระเวนประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า กำลังสอนเรื่องความจริงที่ว่าคนที่จะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ หรือเข้าในอาณาจักรพระเจ้าได้นั้น จะต้องบังเกิดใหม่ นิโคเดมัส ก็เชื่อ แต่ไม่เข้าใจ ก็เลยแอบมาถามพระเยซูตอนดึกๆ ว่า …

“คนเราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? ต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาหรือ?”

เราจะมาอ่านทบทวนถ้อยคำตรงนี้กันก่อนว่าพระเยซูตอบว่าอย่างไร? ยอห์น 3:1-15

ยอห์น 3:1-15 “1 มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อ “นิโคเดมัส” เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว 2 เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครู ผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่ หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา 3 พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่”

5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน” 9 นิโคเดมัสทูลถามว่า “สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”

10 พระเยซูตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล แล้วท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเราเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็นมา แต่ถึงกระนั้น พวกท่านก็ไม่ยอมรับคำพยานของเรา 12 เราได้พูดกับท่านถึงสิ่งในโลกนี้และท่านไม่เชื่อ แล้วถ้าเราพูดถึงสิ่งในสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ 14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์”

 

พระเยซูก็เลยยกคำอุปมา หรือการเปรียบเทียบว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร?

พระเยซูบอกว่า … “ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่”

แล้วก็ยกว่า “ลมพัดไปที่ไหนได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม ท่านใช้หูได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน? หรือจะไปที่ไหน? ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นนั้น”

พระเยซูยกตัวอย่าง หมายความว่าถ้าเราจะเชื่อพระเจ้า เราอยากจะไปอยู่ในสวรรค์ เราต้องใช้ใจ ใช้วิญญาณ เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย มองไม่เห็น เหมือนลมมองไม่เห็น แต่รู้ว่ามี เชื่อเอา พระเยซูกำลังบอกอย่างนั้น ต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้หู ตา จมูก ลิ้น กาย พิสูจน์พระเจ้ามีจริงไหม? สวรรค์เป็นจริงไหม? ไม่สามารถใช้สัมผัสใดๆ เลย มันต้องสัมผัสด้วยวิญญาณ หรือใจเท่านั้น

การบังเกิดใหม่ เกิดขึ้นที่วิญญาณ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปแสวงหาอัศจรรย์  แบบให้เห็นว่าเกิดใหม่เป็นอย่างไร? สัมผัสได้ทางเดียว คือวิญญาณเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นเช่นไร?

เรื่องของพระเจ้าในพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโมเสส เรื่องปฐมกาล เรื่องตั้งแต่สมัยอาดัม เอวา อับราฮัม กษัตริย์ดาวิด ซาโลมอน เรื่องทั้งหมดนี้ กำลังเล็งไปถึงเบื้องหลัง คือเรื่องฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์เดิมที่เราอ่านกัน บนโลกใบนี้ ที่เกิดเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้น ที่เรารู้เรื่องรู้ราวต่างๆ เหล่านั้น เป็นเพียงแค่เงา ให้เราเห็นว่าพระเจ้ากำลังจะทำอะไร? พระเจ้าสัญญาว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ นี่คือเคล็ดลับในการอ่านพระคัมภีร์อย่างหนึ่งที่สำคัญ

ฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่ท่านได้เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ท่านจึงจะเข้าใจได้ทั้งหมด ถ้าท่านไม่เข้าในโลกวิญญาณ ต่อให้ท่านอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ไม่ว่าเป็นพระคัมภีร์ใหม่หรือเก่า หน้าไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ตาม จำประวัติศาสตร์ได้หมดก็ตาม อ่านเยอะขนาดไหนก็ตาม ศึกษามากแค่ไหนก็ตาม ไม่มีวันเข้าใจ ถ้าท่านไม่เล็งไปถึงเบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้ากำลังทำอะไร?  ตอนที่โมเสสแยกทะเลแดง พระเจ้ากำลังทำอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งหมดเลย ไม่อย่างนั้นเราจะหลงทาง เพราะเราอ่าน เราก็จะใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรา คิดไปคิดมา เละ

ก็กลายเป็นที่เขาเรียกกันว่าตาบอดคลำช้าง เราก็นึกว่าช้างต้องเป็นยาวๆ อย่างนี้นะ เพราะเราไปจับที่งามัน ยาวๆ งอนๆ แข็งแรง นี่แหละคือช้าง พอเราไปเจอช้างทั้งตัว เราตกใจ คนละเรื่องกับที่เราคิดว่าช้างเป็น พอเราไปจับที่ขามัน ช้างต้องเป็นดุ้นๆ แท่งๆ แล้วแถมข้างใต้เป็นรู เท้าช้างมีรู ต้องเป็นอย่างนี้ โผล่มาจริงๆ ตกใจ

ในข้อที่ 14 ที่บอกว่า “โมเสสยกงูขึ้น ในถิ่นทุรกันดารอย่างไร? บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น”

จะอธิบายความหมายตรงนี้ให้ฟังสั้นๆ วันนี้เราไม่ได้มาเน้นตรงนี้ ต้องเล่าย้อนหลังถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิม ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือกันดารวิถี เป็นช่วงที่ชาวยิวเริ่มบ่นและต่อว่าพระเจ้า คือไม่เชื่อพระเจ้า เชื่อมาได้ส่วนหนึ่ง มีอัศจรรย์เกิดขึ้นก็จริง เกิดความลำบาก ก็เริ่มบ่น ไม่เชื่อพระเจ้า ก็เริ่มต่อต้านผู้นำของพระเจ้า คือโมเสส ที่นำพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์และต้องผจญกับความทุกข์ทรมาน เบื่อจะตาย บ่น  พระเจ้าก็เลยรำคาญ จำไว้นะ พระเจ้าไม่ได้โหดร้าย แต่เบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ อย่าตัดสินตามที่ตาเราอ่านดู แล้วเราก็บอกว่าอย่างนั้น อย่างนี้ อย่านะ พระเจ้าก็เลยลงโทษพวกนี้ โดยส่งงูพิษ ในนั้นเขียนไว้เลย ส่งงูพิษมากัดคนเหล่านั้น กัดตาย ชาวอิสราเอลก็สารภาพผิด ไปหาพระเจ้า ยกโทษให้ ไม่บ่นแล้วๆ พระเจ้าก็บอกโอเค จะยกโทษให้ โดยสั่งโมเสส

โมเสสไปเอาไม้เท้าของเจ้ามา แล้วก็ทำสัญลักษณ์เป็นรูปงู ผู้ใดที่ถูกงูกัด พระเจ้ายกโทษให้โดยการใช้ความเชื่อของตัวเองว่าพระเจ้าบอกว่าให้ไปหาโมเสส แล้วพระเจ้าให้โมเสสยกไม้เท้ารูปงูนั้น ปักไว้กลางค่าย ใครที่เชื่อ เดินไปมองที่รูปงูนั้น พระเจ้าจะอภัยให้ ไม่ตาย แค่นั่นเอง จบ

พระเยซูบอกว่าโมเสสยกงูขึ้น ในถิ่นทุรกันดารอย่างไร? บุตรมนุษย์ ก็คือพระเยซูก็จะถูกยกขึ้นอย่างนั้น

ความหมาย ก็คือสมัยโมเสส ยกงูขึ้น แล้วคนป่วย ก็ได้รับการรักษาให้หาย ไม่ต้องตาย

บุตรมนุษย์ คือพระเยซูก็ถูกยกขึ้น ตอนที่พระเยซูพูดยังไม่ถูกยกขึ้น เพราะยังไม่ถึงวันที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน แต่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน จะถูกยกขึ้นเช่นนั้น เหมือนกัน คือผู้ที่ไปมองที่ไม้กางเขน เมื่อพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเชื่อในพระเจ้าว่านี่คือพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อไถ่เขาหลุดพ้นจากความบาปและความตาย เขาจะไม่ต้องตาย เขาจะเป็นขึ้นมาใหม่ เขาจะบังเกิดใหม่ทันที เอเมน พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร? ไปอยู่ด้วยการบังเกิดใหม่ ใครมองพระเยซูที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  และเชื่อในพระเจ้าว่าผู้นี้แหละพระเจ้าส่งมา เขาจะได้รับการรักษาให้หายทางวิญญาณ พระโลหิตพระเยซูเท่านั้นที่รักษาได้ คือโรคบาป

เกิดมาก็ติดเชื้อบาปแล้ว ไม่มีใครรักษาได้ นอกจากความเชื่อ ในพระโลหิตพระเยซูที่ยกขึ้นที่ไม้กางเขน เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะได้รับการรักษาให้หาย เห็นไหม? รักษาให้หายทางวิญญาณ พระเยซูอุปมาเหล่านี้ทั้งหมด เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์กับเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ

กิจการ 26:14-18 ฟังพระเยซูพูดเองเลยว่าเป็นอย่างไร? ก่อนจะอ่าน ผมจะเล่าเรื่องให้ฟังก่อนว่าเบื้องหลังคืออะไร? เป็นประสบการณ์ของเปาโล ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า เปาโลเป็นนักศาสนาตัวยงเลย เรียนสูงมาก และรักพระเจ้ามากด้วย นับถือศาสนายิว แบบเคร่งครัดมาก แล้วก็ต่อต้านพระเยซูมากเช่นเดียวกัน เพราะยังไม่เข้าใจ ทุกอย่างทำตามตา หู จมูก ลิ้น กายเท่านั้น ใจไม่มีเลย ก็เห็นว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้า หาว่าตัวเองเป็นลูกพระเจ้า อะไรประมาณนั้น ถือว่าตัวเองเคร่ง ยิ่งเคร่ง ยิ่งต่อต้าน เขาต่อต้านพระเยซูสุดขีด แม้กระทั่งพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วก็เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว เปาโลก็ไม่หยุดแค่นั้น คนที่เชื่อพระเยซู คือคริสเตียน สมัยนั้น ถูกเปาโลข่มเหงรังแกเยอะแยะมากมายไปหมด ถึงขนาด ขอใบอนุญาตจากสภาศาสนาของชาวยิว เพราะยิวสมัยนั้น ปกครองด้วยระบบสูงสุด คือระบบศาสนา  … ศาสนาอยู่เหนือกฎหมาย เอาศาสนาเป็นตัวสำคัญ เอาใบอนุญาตมา เพื่อไปข่มเหงรังแกชาวยิวทั้งหลาย ที่กลับตัวมาเป็นคริสเตียน จับมาขังคุก เฆี่ยนตีบ้าง บังคับให้เลิกเชื่อ บังคับให้ปฏิเสธพระเยซู นี่คือประสบการณ์หนึ่งของเขา เขาเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ในละแวกที่ยิวอยู่ในสมัยนั้น ในอิสราเอล

มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังเดินทางไปดามัสกัส พร้อมทหารของสภาชาวยิว เพื่อจะไปจับคนที่เป็นคริสเตียน ในขณะที่เขาเดินทางไป พระเยซู ซึ่งตอนนั้น เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณแล้ว พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว อยู่กับเหล่าสาวก 40 วันแล้ว ลอยเข้าไป ได้รับเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว มองด้วยตาไม่เห็นแล้ว แต่สัมผัสด้วยวิญญาณรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ เพราะว่าคริสเตียนเกิดขึ้นมากมาย เกิดเป็นดอกเห็ดเลย คนโน้นก็เป็นคริสเตียน คนนี้ก็เป็น คริสเตียน เพราะว่าพระองค์ทรงอยู่จริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ทำการงานในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในโลกวิญญาณ เปาโลมองไม่เห็น เปาโลก็ควบม้าไป ทันทีทันใดนั้น พระเยซูที่อยู่ในโลกวิญญาณ ปรากฏพระองค์เองให้เปาโลเห็น (คนเดียว) ไปกันหลายๆ คน แต่เปาโลเห็นคนเดียว เพราะพระเยซูต้องการเรียกคนๆ นี้ นี่คือสิทธิ์ขาดของคำว่าพระเจ้าจะทำอะไรก็ได้ พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจ เราไม่รู้ แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงทำได้ พระองค์ทรงเรียกเปาโลคนเดียว ให้รู้ความจริง มาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างทาง

กิจการ 26:14-18 “14 พวกข้าพระบาททั้งหมด ล้มลงกับพื้น  และข้าพระบาทได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับข้าพระบาทเป็นภาษาอารเมคว่า  ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม  เป็นการยากที่เจ้าจะขัดขืนความประสงค์ของเรา  15  “แล้วข้าพระบาทถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด  “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า  ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังข่มเหง 16 บัดนี้ จงลุกขึ้นยืนเถิด  เราได้ปรากฏแก่เจ้า ก็เพื่อแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้รับใช้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เจ้าได้เห็นเกี่ยวกับเรา และสิ่งที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 17 เราจะช่วยเจ้า ให้รอดพ้นจากพี่น้องร่วมชาติของเจ้าเองและจากชาวต่างชาติ เราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา 18 เพื่อเปิดตาของพวกเขา และหันพวกเขาจากความมืด มาสู่ความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษบาป และได้อยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยความเชื่อในเรา”

 

พระเยซูกำลังพูดเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พระเยซูได้บอกกับเปาโลถึงวัตถุประสงค์ของพระองค์ว่า ..

“เราได้ปรากฏแก่เจ้า ก็เพื่อแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับใช้ เป็นพยานถึงสิ่งที่เจ้าได้เห็นเกี่ยวกับเรา (ได้เห็นนะ) และสิ่งที่เราจะสำแดงกับเจ้า (คือจะบอกในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ) ต่อไป”

แสดงว่าพระเจ้า พระเยซูได้เปิดตาฝ่ายวิญญาณของเปาโล แต่ตาทางเนื้อหนังของเปาโลตอนนั้นบอดเลย บอดทางตาเนื้อหนัง แต่ตาวิญญาณได้ถูกเปิดออก พูดง่ายๆ เหมือนบังเกิดใหม่ พระเยซูเรียกเปาโลมาเป็นผู้รับใช้ เพื่ออะไร? อ่านดีๆ พระเยซูพูดเอง

“เราจะช่วยเจ้า ให้รอดพ้นจากพี่น้องร่วมชาติของเจ้าเอง”

คือพวกยิวด้วยกัน เพราะเมื่อเปาโลมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็จะถูกข่มเหงด้วยพวกยิวนั่นแหละ เธอจะถูกล่าบ้างล่ะ แต่ฉันจะเป็นคนช่วยเธอให้รอดพ้นเอง นี่คืออนาคต

“และจากชาวต่างชาติ” คือใครก็ตามที่ไม่ใช่คนยิว

“เราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา” คือพวกต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว รวมทั้งคนไทยด้วย เปิดตาวิญญาณพวกเขา รวมทั้งพวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย คนไทย คนจีน คนอะไรแล้วแต่

“และหันพวกเขาจากความมืด มาสู่ความสว่าง” คำว่า “หัน” ภาษาเดิมแปลว่า “และย้ายพวกเขา นำพวกเขาออกมาจากความมืด มาสู่ความสว่าง”

“และจากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษบาป (ที่อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในชีวิตของเขา) และได้อยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ โดยความเชื่อในเรา” ก็คือเขาจะได้เข้ามาอยู่ในหมู่ของคนที่อยู่ในสวรรค์ ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในเรา คือพระเยซู ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต

พระเยซูบอกว่าเราส่งเจ้าไป เพื่อเปิดตาคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เปิดตาฝ่ายวิญญาณของพวกเขาให้ออก และนำเขาให้ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง จากอำนาจของซาตานมาสู่อ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการยกโทษจากความผิดบาป เพื่อเขาจะได้มาเป็นธรรมิกชน เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า เรียกว่าผู้บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีการลงโทษใดๆ ไม่มีติดภาระโทษใดๆ ในตัวเขาเลย ได้รับการชำระด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าเกิดใหม่นั่นเอง

นี่คือรูปภาพของมนุษย์ จากพระคัมภีร์ ในหนังสือ 1 เธสะโลนิกา 5:23 บอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ ซึ่งเราเรียกว่าความคิด จิตใจ จิตใต้สำนึก แล้วก็มีร่างกาย สัมพันธ์กันโดยคำพูดประโยคนี้ว่า …

“มนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มีความคิดจิตใจ มีจิตใต้สำนึก อาศัยอยู่ในร่างกาย”

อันนี้เห็นชัดขึ้น ท่านเดินไปที่ไหน? ท่านเห็นตัวท่านเองในกระจก หรือท่านเดินไปที่ไหน? ท่านรู้ว่าคนนั้นเป็นมนุษย์ ท่านมองทะลุเข้าไป ท่านจะเห็นเป็นอย่างนี้ทุกคน ในโลกวิญญาณเป็นเช่นนี้ พระคัมภีร์บอกเป็นเช่นนี้ ตื่นขึ้นมามีหน้าที่เตือนตัวเองว่า …

“ฉันเป็นวิญญาณ ฉันมีความคิดจิตใจ ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ชั่วคราวเท่านั้น”

คำว่า “ชั่วคราว” หมายถึงร่างกายนี้นะ เอเมน สิ่งที่อยู่ตลอดไป คือความคิดจิตใจ และวิญญาณแต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น เดี๋ยวก็ไปแล้ว เราจะได้ไม่มาติดยึดอยู่กับโลกนี้มากนัก ตื่นขึ้นมาเห็นหมดเลย เห็นชื่อเสียง เห็นเงินทอง เห็นร่างกายแข็งแรง เห็นความดีงามของโลกใบนี้หมด ลืมไปว่าของพวกนี้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว เดี๋ยวมันก็สิ้นสุด เดี๋ยวมันจบไป เปลี่ยนแปลงทุกวัน มีวันสิ้นสุด ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงทุกวัน แก่ขึ้นทุกวัน ไปสู่ความตาย วันสิ้นสุดทุกวัน แต่วิญญาณอยู่ตลอด ความคิดจิตใจอยู่ตลอด เรามีหน้าที่จัดการวิญญาณให้มันดีๆ แล้วกัน เอเมน ถ้ายังไม่เกิดใหม่ ก็พยายามหาทางให้เกิดใหม่สิ พอเกิดใหม่แล้ว วิญญาณที่มีอยู่ปรับปรุงให้มันสมกับที่มันเกิดใหม่หน่อย สมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย อะไรอย่างนี้

ตอนที่พระเยซูยังไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนตกลงไปอยู่ในความบาป ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณเป็นทาสของความบาปและความตาย เรียกว่าความมืด อยู่ใต้อำนาจของมารซาตาน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

เพราะฉะนั้น ตอนที่พระเยซูบอกว่าสวรรค์มาแล้ว ใครที่เชื่อพระเยซูจะได้เกิดใหม่ จะได้เข้าไปในสวรรค์ บังเกิดใหม่ที่ตาเรามองไม่เห็น คือทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจและอาศัยอยู่ในร่างกายที่เกิดใหม่ เขาเรียกว่าเกิดใหม่ชั่วคราว เกิดใหม่ระดับหนึ่ง เพราะวันหนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงร่างกายนี้ ก็คือปรับปรุงร่างกายนี้ ให้สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ แต่ก่อนนี้ติดต่อไม่ได้เลย ร่างกายเรา ที่อาศัยอยู่นี้ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ระดับหนึ่ง เพื่อให้เป็นที่อาศัยของพระเจ้าได้ เรียกว่าพระวิหารของพระเจ้า

“ท่านไม่รู้หรือ ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า”

วิญญาณของท่าน ที่เป็นตัวจริง มันบังเกิดใหม่จริงๆ 100% นิวคลีเอชั่น สะอาดหมดจด ปิ๊ง มาพร้อมกับความคิดจิตใจเลย แต่ความคิดจิตใจท่านยังสามารถสะอาดก็จริง บริสุทธิ์เกิดใหม่ก็จริง แต่มันอาจจะกินฉี่ กินอึของตัวเองอยู่ เพราะว่ามันยังเล็กอยู่ รอให้เติบโตขึ้น ก็จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ แต่เกิดใหม่แล้ว เหมือนเราอยู่ในครรภ์มารดาก็เป็นคนแล้ว เป็นมนุษย์แล้ว ทำนองเดียวกัน ถ้าบังเกิดใหม่ วิญญาณก็ใหม่เอี่ยมเลย ตอนเด็กๆ ก็ทำเหมือนเด็กๆ ไปก่อน แต่พอโตแล้ว เขาก็จะรู้ว่าอะไรไม่ควรทำ แล้ววิธีเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจทำอย่างไร?  พระคัมภีร์บอกเอาถ้อยคำพระเจ้าค่อยๆ เปลี่ยนแปลง

1 โครินธ์ 15:21-22 “21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว  การเป็นขึ้นจากตาย  ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม  คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์  คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น”

ความตายฝ่ายวิญญาณ คือถูกตัดขาดออกจากสวรรค์ ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า เพราะในเมื่อความตาย ได้สืบเนื่อง ได้ตกทอดมาจากมนุษย์คนเดียว คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ก่อนที่เราจะเกิด เราก็อยู่ในพ่อและแม่ของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในปู่ย่าของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิดเราก็อยู่ในตาทวดของเรานี่แหละ ก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในซุปเปอร์อากง ซุปเปอร์อาม่าของเรานี่แหละ ไปไม่รู้กี่ทอด จนกระทั่งก่อนเราจะเกิด ไล่ไปจนกระทั่งก่อนเราจะเกิด เราก็อยู่ในอาดัมนี่แหละ เราจึงได้รับการตาย เป็นทาสของความตาย เป็นทาสของมาร ตกทอด จากบรรพบุรุษของเรา มาถึงตัวเรา

ข้อพระคัมภีร์บอกว่า “การเป็นขึ้นจากตาย” ก็คือการหลุดพ้นจากอำนาจของความตายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรของพระเจ้า การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน มนุษย์คนนั้น ก็คือพระเยซู เพราะฉะนั้น การที่จะย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ เราต้องเชื่อในพระเยซู ให้พระองค์เป็นผู้ช่วยเรา ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในพระเยซู

เพราะว่าในอาดัม ในมืดๆ กลมๆ นั้น มนุษย์ทั้งปวง ตายฉันใด อยู่ใต้อำนาจของความบาป อยู่ใต้อำนาจของความมืดและมารฉันใด ในพระคริสต์ตรงขาวๆ คือสวรรค์ แสงสว่าง พระเจ้า ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น

“ชีวิต” หมายถึงชีวิตนิรันดร์ ไม่มีบาป  อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์

ถ้าแปลให้ชัดๆ ภาษาเดิม ง่ายนิดเดียว “เพราะว่าความตายทั้งหมด ที่ได้เข้ามาในโลกนี้ เกิดจากมนุษย์ เพียงคนเดียว ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เพียงคนเดียว ก็ทำให้มีการเป็นขึ้นจากตาย และเพราะว่าในอาดัมทำให้มนุษย์ทุกคนต้องตาย ฉันใดก็ฉันนั้น ในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นขึ้นมาใหม่ ได้รับชีวิตใหม่ในพระเจ้า เอเมน”

โรม 5:12 “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

ที่พระเยซูพูด และที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ มนุษย์ทุกคนอยู่ในความมืด อยู่ในความบาป อยู่ในความตาย หมายถึงไม่รู้จักพระเจ้า ตายอยู่ในความชั่วร้ายต่างๆ ทางวิญญาณและออกมาทางความคิดจิตใจ และทางร่างกาย อยู่ในอำนาจมืด อยู่ในกำมือ อยู่ในการบีบบังคับ กดขี่ข่มเหง โดยมารซาตาน อยู่ในทางวิญญาณ เรามองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกมันเป็นเช่นนั้น

ตอนพระเยซูมาเกิด เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์บอกสวรรค์กำลังมา และวันที่พระองค์ทรงถูกตรึงแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว พระองค์บอกสวรรค์มาถึงแล้ว เรียบร้อยแล้ว จบ เราทำสำเร็จแล้ว คือเอาสวรรค์มา ที่ไม้กางเขน พระองค์ตรัสตอนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

แปลว่าเราทำให้สวรรค์มาถึงที่นี่แล้ว มนุษย์ทุกคนมีที่ย้ายแล้ว แต่ก่อนนี้ไม่มีที่ไป ตอนนี้พระเจ้ามาแล้ว มาช่วยปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากอำนาจของความมืด และอำนาจของผีมารซาตาน และนำพาพวกเขามนุษย์ทุกคน เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระองค์เรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวดี

พระองค์ทรงรักและห่วงใย และต้องการให้เขากลับมา ที่พระเยซูส่งเปาโลออกไป ก็เพื่อสิ่งนี้เหมือนกัน เพื่อนำเอาข่าวดีนี้ ให้มนุษย์ทุกคนได้ยินได้ฟัง และเปิดตาวิญญาณเขา ให้เขาได้เห็น และให้เขาเข้ามารับเอาสิทธินี้เท่านั้นเอง  ที่พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา ในโลกฝ่ายวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว

โคโลสี 1:12-13 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

พอใครตาสว่างแบบนี้แล้ว และได้บังเกิดใหม่อย่างนี้แล้ว จะบอกว่า … ขอบพระคุณพระบิดา ขอบพระคุณพระเจ้ามากเลย ไม่ใช่แค่พูด แต่ในใจลึกๆ ขอบคุณจริงๆ ไม่มีใครสามารถช่วยมนุษย์ได้เลย ขอบคุณในสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขอบคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกเราเหมาะสม คือมีคุณสมบัติพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่จะมีส่วนอยู่ในสวรรค์ มีกรรมสิทธิ์ เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่สวรรค์ได้ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระองค์ได้นั่นเอง

ในข้อ 13 บอกว่า “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”

คือพระองค์ได้ย้ายเราออกจากความมืด ในอาดัม  มาอยู่ในพระคริสต์ มาอยู่ในครอบครัวใหม่ ครอบครัวของสวรรค์ ครอบครัวของพระเจ้า ครอบครัวแห่งแสงสว่าง

โคโลสี 1:21-22 “21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่าน ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์”

กลับไปที่รูป … ครั้นหนึ่ง เราเคยถูกแยกออกจากพระเจ้า แยกออกจากแสงสว่าง เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้าในวิญญาณของเรา เพราะพฤติการณ์ชั่ว หมายถึงในวิญญาณมันสกปรก เหมือนที่พระเยซูบอกว่าถ้าข้างในสกปรก ข้างนอกผลมันก็ต้องสกปรกแน่นอน ต่อให้ทำดีอย่างไร? มันก็สกปรก มันเหมือนหลุมศพ ฉาบปูนขาว ต้นไม้จะต้องให้ผลดีเสมอ ต้นไม้เลว ก็จะให้ผลเลว รากของท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในวงกลมๆ ที่เป็นดำนี้ ท่านไม่มีวันที่จะมีอะไรดีเลย ในนี้ถึงบอกว่าชั่วร้าย บางท่านบอกว่า …

“ฉันก็เป็นคนดีนะ  พระเยซูกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ในวิญญาณของท่านเป็นอะไร?”

มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ  มันไม่ได้มาวัดตรงข้างนอกว่าทำอะไร? ข้างในวิญญาณของท่านเป็นตัวกำหนด นี่คือหนึ่งในอุปมาที่เราเรียนไปแล้ว

ข้อ 22 ได้บอกว่าแต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ แต่ก่อนท่านอยู่ในความมืด แต่บัดนี้ ทำให้ท่านคืนดี คือสามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า ตรงสีขาวๆ นั้น โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายท่าน ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ ทั้ง 3 ด้านของท่าน ถวายให้เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ และพ้นจากผู้กล่าวหา ต่อหน้าพระองค์ จะได้เป็นวิหารของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านได้ เพราะพระองค์อยู่สกปรกไม่ได้  วิหารไม่ได้หมายถึงต้องสะอาดตลอด ไม่ได้หรอก เพราะท่านอยู่บนโลกนี้ อาจจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนบ้าง มันไม่ได้สำคัญ มันอยู่ที่ข้างในของท่านสำคัญกว่าเยอะ

โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์  ในการจุ่มลง ดองลงไปกับพระองค์ ประโยคแรกแปลแค่นี้เอง บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ดองกัน พระเยซูถูกฝังไว้ ท่านก็ถูกฝังด้วย

และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตาย พร้อมกับพระเยซู … พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากตายในวันที่ 3 เราก็เป็นขึ้นมาด้วย แค่นี้เอง ทั้งหมดนี้ผ่านทางความเชื่อของท่าน เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ไม่ต้องเข้าใจ ผ่านทางความเชื่อ เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกพระเยซูเป็นขึ้นมา ฉันก็เป็นขึ้นมาด้วย จบแล้ว เราจุ่มลงไปกับพระเยซู ไม่ใช่เพิ่งมาจุ่มตอนเราเชื่อ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว 6 ปีที่แล้ว จุ่มตั้งแต่โน้น ตั้งแต่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน ฉันก็อยู่ด้วยแล้ว พระเยซูถูกเฆี่ยน ฉันก็ถูกเฆี่ยนด้วย พระเยซูถูกตรึง ฉันก็ถูกตรึงด้วย พอพระเยซูบอกตาย ฉันเลยตายไปด้วย แปลว่าอย่างนั้น พอพระเยซู 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ ฉันก็เลย เป็นขึ้นด้วย

ไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา ถ้อยคำเหล่านี้เป็นอาหารทางวิญญาณ เข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของท่าน ความคิดของท่าน ที่เป็นตัวตนของท่าน  ที่จะติดวิญญาณของท่าน เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ร่างกายไม่ได้ ติดไป ทิ้งไป  แต่ความคิดจิตใจท่านติดไปด้วย จะได้เรียนรู้มากขึ้นว่าคืออะไร? ก็มีสันติสุข มีความสงบสุข  มีชีวิตที่ดีกว่า ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เดินอยู่บนโลกใบนี้ สะเปะสะปะ ได้รับความรอดเหมือนกัน น่าจะได้รับความรอดแบบผ่านไฟ ถ้ารอดอย่างนี้มันสงบกว่า จะเอาอย่างไหน? ก็แล้วแต่เลือก

โคโลสี 3:1-3 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

“ในเมื่อได้ทรงทำให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นพร้อมกับพระคริสต์แล้ว” รู้แล้วเป็นขึ้น เป็นอย่างไร? ลอยขึ้นมาด้วยกัน เราอยู่ในพระคริสต์

“ก็จงให้ใจของท่าน” ใจตัวนี้ไม่ได้แปลว่าวิญญาณ  แต่ใจตัวนี้ แปลว่าจงให้ความคิดจิตใจของท่าน กลับมาที่รูป จะได้รู้ว่าตรงไหนควรจะทำ ตรงไหนไม่ควรทำ มองไปที่วิญญาณข้างในลึกๆ ตัวของท่าน วิญญาณข้างในของท่าน ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เพราะอยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ความคิด มันจดจ่อไปกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน

สิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือในสวรรค์ เข้ามาที่ตัวตรงกลาง ตรงวิญญาณของท่าน ความคิด จิตใจของท่านพยายามสื่อมาที่ตัววิญญาณของท่าน ทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลาเลย รับข่าวสารจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในวิญญาณของท่าน จดจ่อ แปลว่าต่อเนื่องกันอยู่เรื่อยๆ มันมาได้ 2 ทาง ตัวท่านอยู่ตรงกลาง วิญญาณของท่าน เสร็จแล้วมาความคิดจิตใจของท่าน แล้วมาเนื้อหนังร่างกาย เนื้อหนังร่างกายนี้ ที่ผมบอกว่ามันได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ อยู่ระดับเดียว มันยังเป็นสื่อรับกระแสความบาป ส่งผ่านทางปรสิต ตัวกาฝาก มันยังสามารถมาแปะติดอยู่กับเนื้อหนังร่างกายเก่าเราได้ ซึ่งตัวนี้ มันเป็นตัวต่อต้านที่อยู่ข้างใน ดังนั้น ความคิดจิตใจท่านต้องพยายามสื่อกับตัวที่อยู่ข้างในให้ดีๆ แค่นั้นเอง

ให้จดจ่อความคิดจิตใจของท่านไปที่เบื้องบน คือด้านในของท่าน คำว่า “เบื้องบน” หมายถึงที่ดีกว่า ไม่ได้หมายถึงเบื้องบนขึ้นไปบนสวรรค์ ตรงนี้ก็สวรรค์แล้ว สวรรค์มันไม่มีระดับว่าต้องขึ้นไปข้างบน สวรรค์อยู่ตรงนี้ อยู่บนโลกใบนี้แหละ อยู่ในตัวท่าน เอาความคิดจิตใจของท่านจดจ่อไปวิญญาณของท่าน ที่อยู่ด้านใน

ในนี้บอกว่า “ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” ที่ตรงนี้ ที่ท่านกำลังจดจ่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ประทับอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ตรงนี้ แล้วท่านนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูด้วย เพราะท่านอยู่กับพระคริสต์ไง พระคริสต์นั่งอยู่ที่นั้น ท่านก็เลยนั่งอยู่ด้วย เห็นไหม? นี่คือความจริง ในถ้อยคำพระเจ้า มันต้องใช้วิธีนี้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

“จงให้ความคิดของท่าน” อันนี้ชัดเลย จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก สิ่งฝ่ายโลก ร่างกายของท่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ฝ่ายโลกทั้งนั้น มันติดต่อกับฝ่ายโลก มันติดต่อกับผู้คน ติดต่อกับอากาศ ติดต่ออาหาร  ติดต่อกับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ความโมโห ความโกรธ ความใคร่ เยอะแยะไปหมดเลย ให้ความคิดจิตใจท่านจดจ่อไปที่พระเจ้าข้างใน อย่าไปจดจ่อกับตัวร้อน เป็นไข้ ทำให้ฉันโมโห อยากได้อย่างนั้นบ้าง อิจฉาริษยาเขาจังเลย อยากได้เหมือนเขา  นี่แหละคือฝ่ายโลก ยกตัวอย่างให้ท่านฟังเท่านั้นเอง แล้วนี่ก็คือสงครามของคริสเตียนทุกคน ความคิดจิตใจเลยจะไปทางไหนดี จะไปทางโลก หรือจะไปทางพระเจ้าดี ก็ไปๆ มาๆ ก็เต้นรำถวายพระเจ้าไปก็แล้วกัน ก็คือให้พระเจ้านำไปทีละวันๆ พลาดบ้าง? ก็ไม่เป็นไร? กลับมา

“โอ้! พระเจ้าลูกไม่อยากทำเลย แต่ลูกก็รู้ว่าพระองค์ทรงให้อภัยลูกอยู่แล้ว ลูกเสียใจ ให้กำลังใจลูกใหม่”

แต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกิดหรือไม่เกิด? เกิดก็คือเกิดไปแล้ว  ถ้าไม่เกิด ก็คือไม่เกิดเลย พระคัมภีร์บอกว่าถ้าอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระองค์ได้ พระองค์พูดไว้อย่างนี้ ในหนังสือโรม 8:38-39 ไม่มีใครลึกขนาดไหน? ใหญ่ขนาดไหน? กว้างขนาดไหน? หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ที่จะเอาเจ้าออกไปจากเราได้อีกแล้ว เพราะพระเยซูช่วยให้เจ้ารอด และตายที่ไม้กางเขน เพื่อเจ้าแล้ว และเจ้าเชื่อจริงๆ แล้ว เจ้ารอดแล้วไม่ต้องห่วง เอเมน

สุดท้าย “จดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก” เพราะตัวเก่าที่เป็นทาสของมารซาตาน มันตายไปแล้ว แต่ก่อนเป็นทาสมัน สลัดมันไม่พ้น แต่บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า อย่างที่ผมบอกแล้ว เพราะชีวิตของเราตอนนี้ ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ บัพติศมา ดองเป็นหนึ่งเดียวกัน ไปไหนก็แอบอยู่ในนี้ตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้ ตัวเราเองยังทำอะไรตัวเราเองไม่ได้ เพราะเกิดมาก็เป็นอย่างนี้ เห็นภาพตรงนี้เถิด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 5 “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  กันยายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 5 “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 5  “การเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่” อุปมาคำสอนของพระเยซู เราฟังกันมา 4 ตอนแล้ว …

เรื่องผ้าทอใหม่กับเสื้อเก่า ที่บอกว่า “ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า” เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น จะหดตัว ทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไป  ไม่มีประโยชน์และทำให้เสียหายด้วย

เป็นอุปมาเปรียบเทียบว่าการที่มนุษย์ จะสามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้นั้น หรือการที่มนุษย์จะทำให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา ในวิญญาณของเขา ในร่างกายของเขาได้นั้น มนุษย์กับพระเจ้าต้องมีสภาพเข้ากันได้

เรื่องไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า เพราะจะทำถุงหนังขาด น้ำองุ่นรั่วและถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่

เหล้าองุ่นใหม่ หมายถึงพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ไม่สามารถอยู่กับวิญญาณของมนุษย์ที่เก่าๆ สกปรก เป็นบาปได้นั่นเอง เพราะความสะอาดบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะไปอยู่กับความสกปรกของมนุษย์ ไม่ได้ ต้องทำให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าเสียก่อน พระเจ้าจึงจะเข้ามาอยู่ได้

ทุกอุปมาที่พระเยซูสอน เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ การเข้าไปในสวรรค์ได้อย่างไร?  สวรรค์เป็นอย่างไร? บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? ทั้งหมดเลย

เรื่องท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน  และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ ท่านทั้งหลาย คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูนั่นเอง พระเยซูบอกว่าคนไหนที่เชื่อพระเยซูจริงๆ จังๆ แล้ว เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ กลายเป็นเหมือนพระเจ้า … พระเจ้าเป็นแสงสว่าง เขาก็เป็นแสงสว่างด้วย ในวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้อีกคำหนึ่งว่า “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเยซูบอกว่า “จงรับรู้ และปล่อยให้แสงสว่างในชีวิตของท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฉายแสงไปทั่ว ไม่ต้องพยายาม เพราะมันสว่างของมันเอง เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ตามการทรงนำของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ซึ่งพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน ไปก็ไปด้วยกัน”

ให้พระเยซูคริสต์ดำรงชีวิตอยู่ในเรานั่นเอง แปลว่าอย่างนี้ พระเยซูบอกว่า “จงให้แสงสว่างฉายแสงออกไป” ก็คือปล่อยให้พระเยซูนำทางเรา เป็นชีวิตของเรา ให้เรารับรู้เสมอๆ ตลอดเวลาว่าพระเยซูเป็นแสงสว่าง พระเยซูอยู่กับเรา แค่นี้เอง ไม่ต้องพยายามไปจุดให้มันสว่างขึ้น มันสว่างพอแล้ว เอเมน

ก็เหมือนพระเจ้า ไม่พอได้อย่างไร? เพียงแต่เปลี่ยนความคิดจิตใจเสียใหม่ เปลี่ยนการมองเสียใหม่ ให้มันเป็นไปตามวิญญาณข้างใน ซึ่งเป็นความจริง … ความจริงทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไทว่า …

“ฉันเป็นแสงสว่าง ไม่ต้องพยายามไปทำอะไรก็ตาม ให้มันสว่างขึ้น”

ปล่อยให้มันสว่างไปเรื่อยๆ ตามการทรงนำของพระเจ้า

เรื่องต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี แน่นอน พระเยซูกำลังเปรียบเทียบ เป็นธรรมชาติง่ายๆ ถ้าต้นไม้เลว มันเลวแน่ๆ ต้นไม้เป็นพงหนาม มันเป็นพงหนามแน่ ต้นไม้เป็นทุเรียน มันออกมาเป็นทุเรียนแน่ ต้นไม้เป็นมะม่วง มันออกมาเป็นมะม่วงแน่ อยู่ที่รากของมัน

พระเยซูบอกว่าเราจะรู้จักต้นไม้ดีหรือไม่ดี  ได้ด้วยการดูที่ผลของมัน ผลของต้นไม้ขึ้นอยู่กับรากของมัน รากมันเป็นอย่างไร? เดี๋ยวผลมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ถ้ารากดี ย่อมให้ผลดี ถ้ารากเลว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นผลดีได้เลย แม้แต่นิดเดียว แม้มองตอนนี้ ดูเหมือนดี แต่ในที่สุด มันเลว เพราะข้างล่างมันเลว แต่ถ้าข้างล่างมันดี ตอนนี้ดูมันอาจจะหงิกๆ งอๆ แต่เดี๋ยวมันต้องดี เพราะมันอยู่ที่รากของมัน มนุษย์มองไม่เห็น แต่พระเจ้า พระเยซูกำลังสอนเราว่าอยู่ที่รากมัน

“ลูกดูที่รากมันนะ อย่าไปดูข้างนอก อาจจะถูกหลอกได้”

เดี๋ยวนี้เขายิ่งหลอกกันง่ายๆ ทำได้หมดทุกอย่าง แต่รากไม่ใช่ของมัน ในที่สุด มันไม่ใช่

พระเยซูกำลังเปรียบเทียบวิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงของมนุษย์ จะเป็นวิญญาณที่ดี เป็นวิญญาณที่สะอาดและบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ ก็ต้องเกิดมาจากรากที่ดี ก็คือต้องบังเกิดจากพระเจ้า หรือเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น มันถึงจะออกมาดี ซึ่งตอนนี้ อาจจะดูเหมือนไม่ดี แต่ข้างในมันดี พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณง่ายๆ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ อุปมาเหล่านี้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์

จากที่เรียนมา 4 ตอนแล้ว เราพอจะเห็นภาพชัดเจน … พระเยซูกำลังบอกว่าพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่มันเข้ากันไม่ได้ ไปด้วยกันไม่ได้ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือพันธสัญญาเดิม แต่พันธสัญญาใหม่ คือยุคพระคุณ เอามารวมกันไม่ได้ ต้องเลือกเอาอันใดอันหนึ่ง ของเก่ากับของใหม่ ไปด้วยกันไม่ได้ สกปรกกับสะอาดเข้ากันไม่ได้ ความมืดกับความสว่างไปด้วยกันไม่ได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้นไม้เลวกับต้นไม้ดี ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ มันต่างกันโดยสิ้นเชิง

จะพึ่งตัวเองกับพึ่งพระเจ้า ก็เข้ากันไม่ได้ จะพึ่งตัวเองก็พึ่งไปเลย ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า จะบอกว่าพึ่งพระเจ้า และพึ่งตัวเองด้วย ไม่จริง ถ้าพึ่งพระเจ้าจริง ต้องจริง 100% ไม่ใช่พึ่งพระเจ้า 99 แล้วพึ่งตัวเอง 1 ก็เท่ากับไม่พึ่ง เชื่อ ก็คือเชื่อ 100% ไม่มีเชื่อพระเจ้าแล้ว มาผสมอย่างอื่น ไม่มีทาง

พันธสัญญาเดิม ยุคตาต่อตา ฟันต่อฟันของเก่า ความสกปรก ความมืด ผลของต้นไม้เลว การพึ่งตนเอง ก็คือสภาพทางวิญญาณของมนุษย์ที่เป็นคนบาป ทั้งหมดนี้ กำลังพูดถึงมนุษย์สกปรก เป็นบาป ตั้งแต่เกิด มนุษย์ทุกคนเริ่มต้น เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ก็ยังไม่บาปนะ แต่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็ตายทางวิญญาณแล้ว เพราะว่าความตายเป็นผลของความบาป เพราะบรรพบุรุษของเราทำบาป ผลของความบาป ทำให้ความตายมาสู่มวลมนุษยชาติ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เราก็คือมวลมนุษยชาติที่เกิดมาภายหลัง เลยเกิดมาปุ๊บ ยังไม่ได้ทำบาปเลย แต่ตายในวิญญาณ พอตายในวิญญาณปุ๊บ ก็เริ่มทำบาป เพราะมันตาย ก็คือผลไม้เลว มันก็ออกผลเลว

ฟังไปเรื่อยๆ เดี๋ยววิญญาณก็ค่อยๆ สอนเรา ในที่สุด จะมีวันหนึ่งเราจะบอก

“มันแปลว่าอย่างนี้เอง เข้าใจแล้ว”

นั่นแหละ เข้าใจที่สอง เกิดขึ้นในวิญญาณ เป็นผลออกมา

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน ใช้เวรใช้กรรมที่บรรพบุรุษเราทำไว้ คือเราตายในวิญญาณ พอตายในวิญญาณปุ๊บ เกิดมาก็เริ่มทำบาป เราจะเห็นเด็กๆ ตีพ่อตีแม่  โกหกบ้าง? อิจฉาริษยาบ้าง? ไม่ได้มีใครสอนเลย เพราะว่าความตายในวิญญาณ มันเกิดเป็นผลเหล่านี้ ไม่ต้องสอน ที่ต้องสอน คือสอนฝั่งตรงข้าม สอนให้เขาเป็นคนแบ่งปัน อย่าเห็นแก่ตัว ยากๆ เด็กๆ เราจะเห็น พัฒนาการมันเป็นไปตามนี้ เพราะพระคัมภีร์เป็นจริง วิญญาณมนุษย์ที่เกิดมาชดใช้บาป ก็คือความตาย แล้วความตายนั้น จะทำให้มนุษย์ที่เกิดมาวิญญาณไม่รู้จักพระเจ้า วิญญาณอยู่ในความมืด วิญญาณสกปรก มีแต่ผลเลวออกมาทั้งสิ้น ก็เลยจะทำแต่สิ่งที่ไม่ดี จึงต้องพยายามใช้กฎระเบียบอะไรมาบีบมนุษย์ มาคั้นมนุษย์ มาสอนมนุษย์ให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับในใจ ก็คือทำดีๆ ถ้าเผลอก็ทำบาปเป็นธรรมชาติของเขา เพราะธรรมชาติมันสกปรก ธรรมชาติมันตาย ไม่รู้จักพระเจ้า มันก็จะผลิตแต่ผลไม่ดี

ซึ่งมนุษย์เกิดมา มีวิญญาณที่ตาย ไม่รู้จักพระเจ้า สกปรก อยู่ในความมืด ถ้าเผื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงในมนุษย์คนนั้นเลย  เขาก็จะอยู่ในสภาพนั้นตลอดไป จนกระทั่งจากโลกนี้ไป เขาก็จะไปอยู่ในที่ๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความทุกข์นั้นเอง ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่าง เป็นความมืดนั่นเอง เรารู้แล้วความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครช่วยได้เลย จึงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะสามารถเปลี่ยนสภาพนี้ได้ สภาพธรรมชาติที่เป็นความตายในวิญญาณ คือไปเกิดใหม่

ทุกครั้งที่ท่านทำอะไรลงไป จงมองให้เห็นเถิดว่ามีกาฝากนี้แอบๆ อยู่ด้วย … แล้วเรามีอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราได้คุยกันไป วันนี้มาทบทวน แล้วตอนท้ายๆ จะมีแถมอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนอีกเรื่องหนึ่งที่พระเยซูทรงสอนว่า …

          “แม้ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าเจ้านาย อาจารย์ แต่เราจะบอกท่านว่าเราไม่รู้จักเจ้า”

มาดูมัทธิว 7:21-23 “21 ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้า 22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ’ 23 เมื่อนั้นเราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น”

 

คำพูดตรงนี้ พระเยซูกำลังหมายถึงพวกที่ติดตามพระองค์ หรือพวกที่นับถือพระองค์ เพียงเพราะว่าเชื่อในการกระทำ อัศจรรย์ของพระองค์ อยากเห็นการรักษาคนป่วยให้หาย การทำคนตายให้ฟื้น การรักษาคนง่อยให้เดินได้ แต่คนเหล่านี้ ไม่ได้มีการบังเกิดใหม่ จึงไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ไม่รู้จักเขาจริงๆ และเมื่อยังไม่ได้บังเกิดใหม่  ต่อให้เรียกพระเยซูว่าพระเจ้า พระอาจารย์หรือเจ้านาย  ก็ยังคงเป็นได้แค่ผลของต้นไม้เลว ข้างในมันไม่เกิดใหม่ มันเลวอีกแล้ว พูดใหม่ก็เลว เพราะว่ายังไม่ได้เข้ามาติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกัน ยังไม่ได้บัพติศมา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของพระองค์ในพระเยซูคริสต์เลย ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ยังไม่ได้เป็นแสงสว่างเลย ยังไม่ได้รับความรอดจากบาป จากความตายทางวิญญาณเลย ยังอยู่ในสภาพตายในวิญญาณ เหมือนที่เกิดมาใหม่ๆ ตั้งแต่คลอด ยังไม่ได้รับการชำระให้สะอาดหมดจด พ้นจากความสกปรกในวิญญาณเลย พระคัมภีร์ใช้คำว่ายังเป็นคนบาป คนตายในวิญญาณ คนชั่วอยู่เลย จึงทำแต่สิ่งที่ไม่ดีแน่นอน แม้บางครั้งดูภายนอก เหมือนทำสิ่งที่ไม่ดีบ้าง? แต่มันมาจากข้างใน ที่เป็นต้นกำเนิดของที่ไม่ดีทั้งหลาย ในวิญญาณ เพราะวิญญาณยังไม่ได้บังเกิดใหม่

พระเยซูจึงบอกว่า “เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น”

ไม่ใช่พระเยซูไม่มีเมตตา พระเยซูกำลังยกอุปมา ก็จะไปรู้จักได้อย่างไร? เจ้าไม่บังเกิดใหม่ ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้าเป็นดำ เราเป็นขาว เจ้าเป็นความมืด เราเป็นแสงสว่าง แล้วจะมารู้จักกันได้อย่างไร? นี่ยกอุปมาให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ ไม่เข้าใจไม่เป็นไร ฟังไปเรื่อยๆ จะอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? ถ้าไม่บังเกิดใหม่ พระเยซูกำลังจะบอกว่าถ้าเราอยู่ในสวรรค์เมื่อไร?

พระเยซูก็จะบอกว่า “เรารู้จักเจ้า เจอเจ้าทุกวันทุกเช้า เจ้านอน เราก็อยู่กับเจ้า เจ้านั่งเราก็อยู่กับเจ้า เจ้าบ่นนินทาเราก็อยู่กับเจ้า เจ้าไม่เชื่อฟังเรา เจ้าไปทำเละเทะ เราก็อยู่กับเจ้า วันนั้นเจ้าด่าคน เราก็อยู่กับเจ้า ปากเจ้าพูดไม่ดี เราก็อยู่กับเจ้า” ถูกหรือไม่ถูก?

“เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า … เจ้าบัพติศมาอยู่ในเราแล้ว เราอยู่ในเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สามพระภาค มาทำบ้านอยู่กับเจ้า ในตัวของเจ้าแล้ว เอเมน”

อย่างนี้เรียกว่ารู้จัก ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ได้เกิดใหม่ แล้วจะไปรู้จักได้อย่างไร?

พระเยซูจึงบอกว่า … “เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว เพราะวิญญาณชั่ว จงไปให้พ้น”

พระเยซูพูดต่อว่า … “แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้าในอาณาจักรสวรรค์”

“คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา” ก็คือน้ำพระทัยของพระเจ้า คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ตั้งแต่อาดัมทำบาปใหม่ๆ หล่นปุ๊บ พระเจ้าก็พูดมาตั้งแต่วันนั้นเลยว่า …

“จะส่งพระมาซีฮาห์มาช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากโทษของความบาปนี้”

พูดมาตลอดๆ จนหลายพันปี พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง วันศุกร์พระองค์ตะโกนบอกว่าสำเร็จแล้ว จบแล้ว การไถ่บาปจบแล้ว  คนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เชื่อแผนการนี้  คือเชื่อในน้ำพระทัยพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูบอกคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เชื่อในฉัน  เชื่อในพระเยซู จึงสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ เพราะเขาจะได้บังเกิดใหม่ และความเชื่อที่จะนำไปสู่การบังเกิดใหม่ ก็คือการพูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ยอมรับสารภาพ ให้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกไว้

สารภาพว่า “พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระฉันให้พ้นจากความบาป และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ช่วยฉันให้เป็นอิสระแล้ว เอเมน” อย่างนี้เขาเรียกว่าสารภาพ

คนที่สารภาพอย่างนี้ ออกจากใจจริงๆ อย่างนี้ ก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อบังเกิดใหม่ คราวนี้ พระเยซูบอกว่า …

“ฉันรู้จักเจ้าแล้ว เจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว”

พระเยซูจึงบอกว่าคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้

ตอนที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน มันยังไม่สำเร็จ ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ การบังเกิดใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้น พันธสัญญาใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้น คนเหล่านั้น ไม่มีโอกาสที่จะมานั่งอยู่อย่างนี้เหมือนเรา คนเหล่านั้น เมื่อฟังอย่างนี้ เขาต้องเกิดการสงสัยแน่นอน งง และนี่คือเรื่องราวของคนหนึ่งที่เขางง พระเยซูพูดเรื่องบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้ มันคืออะไร?  ไม่ใช่ไม่เชื่อ เขาเริ่มต้นเชื่อแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? เขาก็เลยแอบไปหาพระเยซู ในหนังสือยอห์น 3:1-4 มาดูสิว่าคนนี้ เขาสงสัยตรงไหน สำคัญตรงที่พระเยซูอธิบายให้เขาฟังอย่างไร?

ยอห์น 3:1-4 “1 มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อ “นิโคเดมัส” เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว 2 เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครู ผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่ หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา 3 พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่”

 

พระเยซูสอนไปทั่ว มีคนแอบฟังบ้าง? ไม่ต่อต้านบ้าง? เชื่อบ้าง? แล้วแต่ … แต่มีคนหนึ่งแอบฟังอยู่ ชื่อนิโคเดมัส เป็นฟาริสี และเป็นสมาชิกของสภาการปกครองของชาวยิว ก็แสดงว่าเป็นหนึ่งในพวกผู้นำทางศาสนายิว ซึ่งพวกฟาริสีตอนนั้น ส่วนใหญ่ยังต่อต้านพระเยซู รับไม่ได้กับสิ่งที่พระเยซูพูด แต่ด้วยความที่นิโคเดมัส ซึ่งได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ อยากเริ่มต้น อยากรู้จักพระเยซูมากขึ้น แต่จะมาคุยกลางวัน ในที่สาธารณะ ก็กลัวเพื่อนๆ ต่อต้าน เลยแอบมาหาพระเยซูตอนกลางคืน

สิ่งที่นิโคเดมันสงสัย ก็คือสิ่งที่พระเยซูสอนว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรสวรรค์ หรือเข้าสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่ ทุกคนก็มุ่งไปที่สวรรค์ทั้งนั้น  ไม่ใช่ยิวอย่างเดียว ทุกๆ ศาสนาก็อยากไปสวรรค์ เขารู้เหรอ สวรรค์ แปลว่าอะไร? ทุกศาสนาก็มีคำว่าสวรรค์ รู้ว่าหลังความตายจะไปไหน?  ก็อยากไปอยู่สวรรค์ทั้งนั้น  นิโคเดมัสเป็นชาวยิวที่เคร่งในศานา ก็เป็นอย่างนั้น พอบอกวิธีเข้าสู่สวรรค์ ต้องบังเกิดใหม่

“ฉันอยากเข้าสู่สวรรค์อยู่แล้ว ต้องบังเกิดใหม่ ฉันก็เชื่อคนๆ นี้ว่าเขาพูดจริง เพราะเขาทำอัศจรรย์ ให้ฉันเห็นเยอะแยะ แต่บังเกิดใหม่อย่างไร? งง”

พวกเราไม่งง เพราะเรามาเรียนตอนพระเยซูมา พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว แต่พอนึกถึงคนที่ไม่รู้เรื่อง หรือแม้แต่ตอนนี้ที่ท่านไปคุยให้เพื่อนท่านฟัง เขาไม่ได้เป็นคริสเตียน อยากไปสวรรค์ ต้องไปบังเกิดใหม่? เขาก็จะบอกว่าบ้า ไปไกลๆ เขาจึงงงมากเลย  จะบ้าหรือไง? บังเกิดใหม่อะไร? แต่ทำไมเราไม่เห็นบ้า เรายิ้มแย้มแจ่มใส พอผมบอกทุกคนบังเกิดใหม่ ยิ้ม นี่เห็นความแตกต่างไหม?

นิโคเดมัสเขาอยากจะรู้ว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? มันหมายความว่าอย่างไร?  ก็เลยไปถามพระเยซู คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่ได้ เขาคิดถึงขนาดนี้ เลยมาถามพระเยซู คือคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ พอฟังอะไรในพระคัมภีร์ ก็จะเอาสติปัญญามนุษย์ คิดแต่เฉพาะสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้เท่านั้น แต่คนที่บังเกิดใหม่ เมื่อเล่าถึงพระคัมภีร์ทั้งหมด เขาจะมองไปที่โลกวิญญาณ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด ที่เราพูดถึงนี้เป็นโลกวิญญาณทั้งสิ้น และใครมีตา ใครมีหู จงฟังเถิด จงเห็นเถิด ถ้าบังเกิดใหม่ก็มีตาที่เห็น ถ้าไม่บังเกิดใหม่ ก็ไม่เห็น ท่านเห็นแล้ว ท่านเลยไม่รู้สึกงง

การบังเกิดใหม่ หมายความว่าการบังเกิดทางวิญญาณ  แต่นิโคเดมัสเข้าใจว่าเป็นการกำเนิดของมนุษย์ แบบเนื้อหนัง แบบสิ่งที่ตามองเห็น ต่างกันเยอะไหม? แต่ผมบอกคุณบังเกิดใหม่ เราทุกคนในนี้รู้แล้ว มันเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ทางวิญญาณ แต่นิโคเดมัสไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อนิโคเดมัสถามอย่างนี้แล้ว พระเยซูก็ตอบให้ เป็นแบบอุปมาเปรียบเทียบอีกแล้ว ในยอห์น 3:5-9

ยอห์น 3:5-9 “5 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ 7 ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” 8 ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน” 9 นิโคเดมัสทูลถามว่า “สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”

 

พระองค์ตรัสบอกว่า “ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ”

ก่อนพระเยซูจะตายที่ไม้กางเขน มีผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่ง ชื่อยอห์น บัพติศโต มีหน้าที่ให้คนได้บัพติศมาในน้ำ จุ่มลงไปในน้ำ เพื่อแสดงการกลับใจใหม่จริงๆ เชื่อพระเจ้าจริงๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้น  การกลับใจใหม่ คือการถ่อมใจ ถ้าไม่ถ่อมใจ ไม่มีวันที่จะได้พบความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ขนาดถ่อมใจยังต้องค่อยๆ ก้าวไปที่ละนิดๆ เดี๋ยวจะรู้ความจริงเอง เดี๋ยวความเชื่อจะค่อยๆ เจริญเติบโต จนกระทั่งมันดิ่งลงไปในใจ ในวิญญาณ มันถึงจะบังเกิดใหม่ อันนี้ กลับใจก็ไม่กลับใจ เย่อหยิ่ง ไม่มีทาง พระเยซูบอกเขาต้องกลับใจใหม่จริงๆ ยอมถ่อมใจ พอถ่อมใจแล้ว เขาจะมีโอกาสได้เกิดใหม่จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และทำให้มนุษย์สะอาด พระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมา เขาเรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือการที่มนุษย์ได้ชุบให้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือจุ่มลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มลงไปใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ย้ายไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าในสวรรค์นั่นเอง นี่หมายถึงตรงนั้น ชัดเลย แล้วพระองค์ยกตัวอย่างให้ฟังว่าท่านไม่ควรแปลกใจ

ที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหน? ก็ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงของลม แต่ท่านไม่รู้ว่าลมาจากที่ไหน?”

พระเยซูกำลังสอนนิโคเดมัสว่าที่ท่านคิด ท่านคิดแต่เรื่องของสิ่งที่ตามองเห็น ท่านไม่รู้จักลมเหรอ นิโคเดมัสบอกรู้จักลม มีไหมลม? มี ท่านเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ทำไมท่านเชื่อว่ามีลม เห็นไหม พระเยซูกำลังบอกนิโคเดมัส … นิโคเดมัสบอกต้องตามองเห็นถึงจะเชื่อ …

ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน ท่านเห็นพระวิญญาณไหม? ไม่เห็น แต่ท่านเชื่อ พระเยซูบอกว่าคนที่บังเกิดใหม่ เขาต้องเชื่อ ในขณะที่สัมผัสก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น แตะต้องก็ไม่โดน แต่เชื่อในพระคำของพระเจ้า แล้วจึงเกิดใหม่ คราวนี้แหละ มันจะรู้อยู่ข้างในวิญญาณของเขา ไม่ใช่ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ด้วยใจของเขา แต่นิโคเดมัสกำลังใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดม หา จึงบอกว่ามีลมจริงๆ ทั้งๆ ที่ตามองไม่เห็น แต่พระเยซูบอกว่าคนที่จะบังเกิดใหม่จะต้องไม่ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ต้องใช้ใจเชื่อ … เชื่อด้วยใจ แล้วพอได้ผลปุ๊บ ใจมันรู้ ไม่รู้จะตอบคนว่าอย่างไร? รู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา รู้สิ ทำไมรู้ “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เห็นไหม?

พอเรียนรู้แล้ว เราตื่นเต้นนะ แล้วเราดูว่าพระองค์พูดอะไรต่อ ท่านจะเห็นชัดว่าที่ผมพูดหมายถึงอะไร? แล้วท่านอ่านต่อไปในพระเยซู ท่านจะเห็นภาพรวมหมดเลย ขอบคุณพระเจ้า ในยอห์น 3:10-15 บอกว่า …

ยอห์น 3:10-15   “10 พระเยซูตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล แล้วท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ 11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเราเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็นมา แต่ถึงกระนั้น พวกท่านก็ไม่ยอมรับคำพยานของเรา 12 เราได้พูดกับท่านถึงสิ่งในโลกนี้และท่านไม่เชื่อ แล้วถ้าเราพูดถึงสิ่งในสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ 14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์”

 

ถ้าเราจะเชื่อพระเจ้า ถ้าเราอยากจะอยู่ในสวรรค์ พระเยซูกำลังบอกว่าเราต้องใช้ใจ เราต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียว เราไม่สามารถใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอะไรต่างๆ ไม่ได้เลย มันเกิดขึ้นข้างในวิญญาณเท่านั้น เรื่องพระเจ้าทั้งเล่มเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับใจ เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น เรื่องที่เล่าทั้งหมดว่าจะมีโมเสส มีอาโรน มีเรื่องกษัตริย์ดาวิดทั้งหมด กำลังเล็งไปถึงภาพเบื้องหลัง คือโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น สิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงแค่เงา ให้เราเห็นว่าพระองค์กำลังทำอะไร พาท่านเข้าไปสู่โลกวิญญาณแล้ว คือบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะรู้หมดเลย หมายถึงอะไร? งู หมายถึงอะไร? งูที่มาพูดกับเอวา อาดัม หมายถึงอะไร? ทำไมตกลงไปในความบาป เพราะอะไร? มันจะรู้ในวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เลิกใช้สติปัญญาและความคิดแบบมนุษย์ ในการอ่านพระคัมภีร์เสียที  พยายามนึกไปถึงข้างหลังว่าพระองค์กำลังทำอะไร? ในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป แม้เริ่มต้นแล้วอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่อดทนหน่อย ค่อยๆ ไปทีละนิดๆ ท่านจะรู้ความจริง ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 4 “ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  กันยายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 4 “ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาต่อซีรี่ส์นี้ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 4 ชื่อเรื่องว่า “ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี” อุปมาทั้งหมดนี้ พระเยซูเป็นผู้ตรัสและสอนเอง ฟังพระเจ้าพูดเลยว่าพระองค์มีแผนการอะไร สำหรับมนุษย์ และเป็นอย่างไร?

เรากำลังเรียนเรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู สรุป ก็คือเนื้อหาคำสอนทั้งหมดของพระเยซู พูดถึงทางที่มนุษย์จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ซึ่งทำได้ โดยวิถีทางเดียว ก็คือวิญญาณของมนุษย์จะต้องบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีที่ติเลย 100% ต้องเป็นเหมือนพระเจ้า จึงจะสามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้

ซึ่งคิดตามตรรกะเหตุผลของมนุษย์ จะไปอยู่กับพระเจ้า ก็ต้องเหมือนพระเจ้า สกปรกไปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ มนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษารู้เรื่องนี้หมด ซึ่งพระเยซูเป็นผู้ที่รับมอบภารกิจนี้ มาจากพระเจ้า คือพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม เพื่อทำให้มนุษย์ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ได้รับการชำระ โดยการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ

คำอุปมาคำสอนของพระเยซูที่เราจะเรียนทั้งหมด เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์และการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย ย้ำอีกที ไม่ได้พูดเรื่องศีลธรรม คำสอนใดต่างๆ พูดแต่เรื่องนี้ อาณาจักรสวรรค์ คืออะไร? อาณาจักรสวรรค์กำลังมา? อาณาจักรสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ก็คือสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ การบังเกิดใหม่ เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ซึ่งเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ และสะอาดเหมือนพระเจ้า จะได้สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ตลอดกาล ซึ่งมนุษย์ก็รู้นะว่าจะอยู่กับพระเจ้าต้องบริสุทธิ์สะอาดอย่างนั้น แต่ก็พยายามด้วยตัวเอง ซึ่งพยายามเท่าไรก็รู้ว่ามันไม่สำเร็จ พระเยซูเลยมาเป็นทางใหม่ให้ “มรดกใหม่” ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ เป็นพันธสัญญาจากพระเจ้า ที่ได้รับโดยผ่านทางความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ก็คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษกี่ร้อย? กี่พันปีมาแล้ว รอคอยกัน พระองค์ คือผู้นั่นแหละ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เป็นพระบุตรของพระองค์เองเลย มาเป็นพระมาซีฮาห์ ภาษาฮีบรู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด .. รอดจากนรก รอดจากความบาป ในวิญญาณของเรา เป็นผู้ไถ่บาป ก็ได้ ก็คือไถ่เราออกจากบาป ช่วยเราให้พ้นจากคุก นรก การเป็นทาส ในวิญญาณของเรา ซึ่งเราช่วยตัวเองไม่ได้ แต่พระองค์ทรงประทานพระเยซูมาช่วยเรา

ซึ่งตรงกันข้ามกับ “พันธสัญญาเก่า” ก็คือก่อนที่พระเยซูจะมาทำการบนไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ นั่นพันธสัญญาเก่า ซึ่งพระเจ้าได้ให้ไว้กับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ต้อง ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ตามกฎระเบียบเป๊ะ ต่อให้เป๊ะอย่างไร? ก็ไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีทางสมบูรณ์ได้ แต่ก็ยังดีบ้างนิดหน่อยๆ เพื่อติดต่อกับมนุษย์ได้บ้าง เพื่อรอให้ถึงวันหนึ่งที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และทำแผนการการไถ่มนุษย์ให้สำเร็จ และมันสำเร็จเมื่อวันศุกร์ประเสริฐ แปลว่าศุกร์ก่อนวันอีสเตอร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันศุกร์ที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน นั่นแหละ เรารู้ว่าสำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว บ่าย 3 โมงบนไม้กางเขน พระเยซูตะโกนลั่นเลยว่า … “สำเร็จแล้ว”

รอกันมาหลายพันปี จบแล้ว ได้แล้ว แล้วก็สิ้นพระชนม์ นั่นแหละ คือรอกันมา นั่นคือพันธสัญญาเก่า รอวันนี้ วันที่พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และทำให้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พันธสัญญาเก่า ก็ต้องจบกันไป หลังจากพระเยซูตายที่ไม้กางเขน  แล้วบอกสำเร็จแล้ว จากนี้ต่อไป เป็นพันธสัญญาใหม่ที่จะติดต่อกับมนุษย์ มนุษย์ต้องเชื่อฟัง ผู้สร้างเขา  ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย คือพระเจ้า พระองค์วางแผนการนี้ไว้อย่างนี้

“ใครมีหู จงฟังเถิด”

ขืนไปดำเนินอยู่ในพันธสัญญาเก่า มันไม่สำเร็จอยู่แล้ว ทำด้วยตัวเอง มันไม่ไหว ก็รู้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น  หยุดเถิด แล้วมาพึ่งในพันธสัญญาใหม่ พึ่งในการกระทำ ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว พระองค์ทรงทำให้ที่ไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ เอเมน

ซึ่งเราก็พูดกันมาตลอดว่าในความเป็นจริง จริงๆ แล้ว ไม่มีมนุษย์คนใด ที่สามารถทำตามบัญญัติ ถูกต้องหมด ด้วยตัวเอง ไม่มีผิดเลย ไม่มีมนุษย์คนใดไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็รู้อยู่ เพราะว่ามนุษย์อ่อนแอ ไม่มีทางที่จะทำได้ ตามมาตรฐานของพระเจ้าหรอก ไม่สามารถรักษาวิญญาณของตัวเองให้สะอาด ไร้ที่ตำหนิ ไม่มีมลทิน คือไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไปไม่ได้

และนี่ก็คือเหตุผลที่บอกว่าทำไม  พระเจ้าจึงต้องประทานพันธสัญญาใหม่ให้กับมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำไม่ได้ เพราะวิญญาณข้างในของมนุษย์เป็นทาสของความบาป แล้วจะทำได้อย่างไร? ข้างนอก ทำให้ตายอย่างไร? ก็บาปอยู่ดี ทำบาปนิดหนึ่ง ก็คือบาป สำหรับพระเจ้าไม่มีบาปน้อย บาปนิดหนึ่ง บาป 5% บาป 1% บาปเท่ากัน

บาป คือบาป เพราะพระเจ้าดูที่วิญญาณข้างใน  ถ้าวิญญาณบาป มันบาปแน่ๆ ไม่ว่าน้อยหรือมาก เพราะมันอยู่ข้างใน  ต่อให้ทำน้อย ข้างในก็มีความบาป เท่ากับคนทำข้างนอกเยอะ มีค่าเท่ากัน

ยิ่งเรียน ยิ่งชัดเจน เป็นตรรกะ บางครั้ง มีเหตุผล คิดตามภาษามนุษย์ก็ยังได้ว่าไม่มีใครทำได้เลยนะ มีใครในโลกนี้ ไม่เคยโกหก ไม่เคยคิดชั่วแม้แต่ครั้งเดียว มันเป็นไปไม่ได้เลย  และถ้าขืนไปพยายามด้วยตัวเองต่อไป มันก็ตาย พระองค์ประทานพระเยซูให้แล้ว กลับมาเถิด มาพักผ่อนหายเหนื่อยและเป็นสุข … ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนอุปมา เรื่องความสว่าง มาทบทวนกัน มัทธิว 5:14-16

มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์”

 

พระเยซูทรงเป็นความสว่าง และพระองค์บอกว่า …

“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่าง”

เราเป็นความสว่าง เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็จะมีสภาพเหมือนพ่อของเรา ก็เหมือนกับพระเจ้า ไม่อย่างนั้น เราอยู่กับพระองค์ไม่ได้ เราเป็นลูกพระองค์และมีสภาพในวิญญาณเหมือนพระเจ้า พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เลยเป็นความสว่างด้วย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

แสงสว่าง ก็คือสภาพที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู พระเยซูกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์พูดรวมๆ กันว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความเมตตา พระเจ้าเป็นความสว่าง พระเจ้าเป็นความดี เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นเหมือนพระองค์ เราก็เป็นความสว่าง เราเป็นความรัก เราเป็นความเมตตา เราเป็นความดี พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นคนดี เป็นเมตตา เราเป็นความรักเหมือนพระเจ้าเลย แม้ว่าบางครั้งในทางร่างกายที่เราเห็นกันอยู่ อาจถูกล่อลวงไปทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้างในวิญญาณของเรา แต่โดยเนื้อแท้ โดยสภาพในวิญญาณ ก็ยังเป็นความสว่างเหมือนพระเจ้าอยู่ดี

คำอุปมาคำสอนของพระเยซู ในพันธสัญญาใหม่ ที่สอนเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับวิธีไปสวรรค์ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ วันนี้เข้าตอนที่ 4 ในลูกา 6:43-45 …

ลูกา 6:43-45 “43 ต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี 44 เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้ ด้วยผลของมัน พุ่มหนามย่อมไม่ออกผลเป็นมะเดื่อ หรือกอหนามย่อมไม่ออกผลเป็นองุ่น 45 คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากความดีที่สะสมไว้ในใจของตน ส่วนคนชั่วก็นำสิ่งชั่วออกจากความชั่วที่สะสมไว้ในใจของตน เพราะปากย่อมเอ่ยสิ่งที่เอ่อล้นออกมาจากใจ”

 

เคล็ดลับที่จะเรียนเรื่องเหล่านี้ เอาผลมาก่อนเลย

“ไม่รู้ล่ะ สรุปฉันจะเข้าใจ ไม่เข้าใจ จากนี้ต่อไป แต่ฉันรู้ว่าทั้งหมดนี้ มันแปลว่าอะไร?”

ตรงนี้มันสำคัญกว่าเยอะเลย พูดตรงๆ ไม่ต้องเรียนมากเลย เอาแค่ท่านเชื่อแค่นี้ก็พอแล้ว แต่ไม่ได้หรอก พระเจ้าให้เราเรียน เพื่อเราจะได้รู้ จะได้เจริญเติบโต เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้เราออกไป เราเป็นแสงสว่าง นำเราไปปักที่ไหน เราก็ได้มากขึ้น เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

“ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี หรือต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว” และ “ต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี” นึกถึงธรรมชาติ พระเจ้าไม่ได้สอนอะไรยากเลย อุปมา คือเดินๆ ไปแล้วเห็น แล้วก็บอก แล้วพอท่านรู้เคล็ดลับ พอท่านมีอุปมาของท่านเอง พระเจ้าสอนท่านส่วนตัวเลย เหมือนที่สอนพวกเราที่รู้จักในเรื่องนี้มากๆ และสนใจในเรื่องนี้มากๆ ท่านเดินไปในชีวิต พระเจ้าจะบอก เหมือนตรงนั้นเลย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะสอนท่านเป็นหลายๆ ครั้งเลย ก็เหมือนเรื่องนี้ ต้นไม้ดี มันก็ให้ผลดี ถ้าต้นไม้เลว มันจะให้ผลดี เป็นไปไม่ได้ ปลูกต้นมะละกอ จะกลายเป็นทุเรียน อย่าไปหวังเลย  ไม่มีหรอก มันธรรมชาติ พระเยซูกำลังสอนเราง่ายๆ

“ต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้น ได้ด้วยผลของมัน พุ่มหนามย่อมไม่ออกผลเป็นมะเดื่อ หรือกอหนามย่อมไม่ออกผลเป็นองุ่น หรือต้นหญ้าย่อมไม่ออกผลเป็นเงาะ”

ในเมืองไทยเราเห็นชัด คำอุปมาตรงนี้ เป็นการเปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ ความเป็นจริงง่ายๆ ที่เราเรียกกันว่าความจริงทั่วๆ ไป ความจริงที่เขาเรียกว่ามีมาตรฐาน ยอมรับกันทั้งหมด ภาษาไทยเรียกว่าสัจจธรรม นี่คือสัจจธรรมของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครเถียง ถูกต้องหมด

คราวนี้มาดูสิว่าพระเยซูกำลังเปรียบเทียบเรื่องนี้กับเรื่องวิญญาณ การบังเกิดใหม่ การเข้าไปสู่สวรรค์ และเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร?

“ต้นไม้ดี ก็ย่อมให้ผลดี” พูดง่ายๆ ต้นไม้ที่มีธรรมชาติ ชีวิตของมัน เป็นของดี มันก็ออกผลเป็นดี ต้นไม้ที่มีธรรมชาติเลวอยู่ มันย่อมให้ผลเลว

คำขยายความข้อนี้บอกว่าถ้าเราเอาพุ่มหนาม หรือกอหนามมาปลูก เราจะให้มันออกผลเป็นลูกมะเดื่อหรือลูกองุ่นย่อมเป็นไปไม่ได้  พูดอย่างนี้ปุ๊บ ชาวอิสราเอล หรือคนติดตามพระองค์รู้หมดเลย ใช่ นี่เป็นสัจจธรรม

ความรู้สึกคนที่ฟังตอนนั้นเป็นอย่างไร? ชัดๆ ง่ายๆ ถูกเลย ถ้ามาสมัยเรา ผมพูด ผมก็จะเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าเราเลี้ยงสุนัข ธรรมชาติของสุนัขก็คือเห่า ถ้าเราเลี้ยงแมว ธรรมชาติของแมว ก็ร้องเมี้ยวๆ เราเลี้ยงสุนัข แล้วจะสอนให้มันร้องเมี้ยวๆ เหมือนแมว มันก็เป็นไปไม่ได้

คำอุปมาตรงนี้ พระเยซูต้องการเปรียบเทียบให้เราเข้าใจว่าเราจะไปบังคับ ไปฝืนธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้

ต้นไม้ มีทั้งที่เป็นต้นไม้ดี และต้นไม้เลว ฉันใด วิญญาณมนุษย์ ก็มีทั้งวิญญาณที่ดี และวิญญาณที่ไม่ดีฉันนั้น วิญญาณที่ดี ก็คือวิญญาณที่สะอาดหมดจด ไม่มีตำหนิใดๆ เลย เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ส่วนวิญญาณที่ไม่ดี ก็อยู่ตรงกันข้าม คือวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการชำระให้หลุดพ้นจากบาป ยังสกปรกอยู่ พูดง่ายๆ วิญญาณที่ดี คือวิญญาณที่สามารถไปสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ ไร้ตำหนิ ส่วนวิญญาณที่ไม่ดี คือวิญญาณที่ไม่สามารถเข้าไปในสวรรค์ได้ เพราะเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นความสกปรก นี่คือระเบียบ คือกฎต่างๆ ของธรรมชาติ ของสัจจธรรมที่พระเยซูกำลังสอนเราตรงนี้

เหมือนคำอุปมาที่บอกว่าต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี พูดอีกทางหนึ่ง ก็คือผลของต้นไม้จะออกมาดีได้ ต้องมาจากต้นไม้ต้นนั้นมันกำเนิดมาอย่างไร? ถ้าต้นไม้นั้น มีต้นกำเนิดที่ดี มันก็จะให้ผลดี คือแก่นของชีวิตของมัน ตัวจริงของมัน ธรรมชาติของมันเป็นอะไร? เปรียบเทียบกับวิญญาณของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน วิญญาณของมนุษย์ จะเป็นวิญญาณที่ดี เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ได้ ก็มาจากต้นกำเนิดที่ดีเท่านั้น และต้นกำเนิดที่ดีของมนุษย์ ต้องเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า

เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์จะเป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดได้ ก็ต้องเป็นวิญญาณที่บังเกิดมาจากพระเจ้า หรือพูดง่ายๆ เกิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น ก็กำลังพูดถึงการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ พระเยซูบอกว่าเราจำเป็นต้องมีการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ถ้าไม่บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เราไม่สามารถที่จะผลิตผลดีได้เลย แค่อุปมาสั้นๆ ลึกซึ้งมาก ซึ่งที่เราเรียนมาทั้งหมด ก็คือตรงนี้แหละ ที่บอกว่ามนุษย์ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น จึงจะสามารถมีวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ ไร้บาป เหมือนพระเจ้าได้ ต้องเกิดใหม่เท่านั้น เพราะการกำเนิดหรือการบังเกิดครั้งแรกของมนุษย์ทุกคน คือตอนเราคลอดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนบนโลกใบนี้ ล้วนมีเชื้อของความบาปติดตัวมาทั้งนั้น เราเกิดมาอุ๊แว๊ๆๆๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย วิญญาณก็บาปแล้ว

วิธีเดียวที่จะทำให้บาปนั้น หมดไปได้จากวิญญาณของเรา คือต้องเกิดใหม่ อย่างครั้งที่แล้วที่ผมพูด มันต้องเกิดใหม่เท่านั้น เห็นคนๆ หนึ่ง อย่างเช่นนักฟุตบอล โรนัลโด้ ถ้าผมบอกว่า …

“ผมอยากจะเตะบอลให้เก่ง ผมจะเรียนเตะบอลให้เก่งเท่าโรนัลโด้” สมมติผมพูด

คุณก็จะบอกผมว่า “คุณไปเกิดใหม่เถอะ”

เผลอๆ คุณดูถูกผมด้วย “เกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ไม่เป็น”

พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นเลยว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า พระบุตรของพระเจ้า พระเยซู ในการไถ่บาป พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะว่าต้นไม้ดีเท่านั้น จึงจะสามารถให้ผลดีได้ ถ้าเราไม่เกิดใหม่ ในวิญญาณ เราไม่สามารถผลิตผลออกมาได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณข้างในมันไม่ดี อย่างไรมันก็ไม่ดี

คำว่า “ผลดี” หรือ “ผลเลว” ตรงนี้ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้ ตั้งใจฟังนะ ไม่มีตรงกลางๆ ใครจะพูดว่าตอนนี้  ยังไม่ค่อยสะอาดเท่าไร? ยังมีสกปรกนิดๆ หน่อยๆ กำลังพยายามทำอยู่ อีกนิดเดียวกำลังจะบริสุทธิ์แล้ว ทำอีกนิดเดียวก็จะได้ไปสวรรค์แล้ว

ในทางวิญญาณ ไม่มีตรงกลาง ไม่มีคำว่าเกือบ ไม่มีคำว่าสีเทา มีแต่สีขาวกับดำ สว่างหรือมืด ไม่มีสลัวๆ มีดีกับเลว ดี 90 เลว 10 ไม่มี ดีก็คือดีเลย เลวก็คือเลวเลย แล้วก็มีไร้ที่ตำหนิ สะอาดบริสุทธิ์ 100% กับสกปรก 100% ไม่มีสะอาดไปแล้วประมาณ 90 ทั้งอธิษฐานเยอะ ทำอันนั้นเยอะ ทำอันนี้เยอะ มาโบสถ์ประจำ ช่วยโบสถ์อะไรต่างๆ ตอนนี้สะอาดไปแล้ว 90 ไม่มี ถ้าสะอาด ก็คือสะอาด 100% ถ้าสกปรก คือสกปรก 100%

ผมพยายามเอามาสอน ให้ท่านจำง่ายๆ ชีวิตปกติทั่วๆ ไป เอามาเปรียบเทียบให้ดู เพื่อให้เรารู้ถึงแก่นมัน ถ้าท่านรู้ถึงแก่นมัน ต่อไปนี้ท่านจะสนุกด้วย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่านไปเรื่อยๆ หรือธรรมชาติจะสอนท่านไปเรื่อยๆ

ถ้าเราพูดอย่างนี้ ตามพระคัมภีร์ตะกี้เลย ที่พระเยซูสอนเมื่อกี้ อุปมานี้ ถ้าบอกว่าเรามาเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่ดีแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าเลย เป็นแสงสว่าง มีสภาพในวิญญาณเหมือนพระเจ้า ไร้ที่ตำหนิ บริสุทธิ์สะอาด เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นความเมตตา เหมือนพระเยซูเลย

“แล้วคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อย่างนี้แล้ว แต่ทำสิ่งชั่วร้ายในชีวิต ผลิตผลที่ไม่ดีออกมา ไปทำสิ่งที่น่ารังเกียจ ในสายตาของมนุษย์ทั้งโลก รวมทั้งตัวเราเองด้วย คนข้างๆ ด้วย”

ถามว่ามีอีกไหน?  มี ก็ตัวเรา มีไหมล่ะ ทำไมเป็นอย่างนี้  ไหนบอกว่าเราเชื่อพระเจ้า เราบังเกิดใหม่แล้ว

“เป็นความรักอะไร? ตะกี้เกลียดจะตาย หน้านี้ไม่อยากจะเจอ ทำกับฉันอย่างนี้ ฉันจำได้ พระเจ้าขอช่วยลูกให้อภัยให้เขาได้”

แสดงว่าตอนนั้น มันอภัยไม่ได้ ถูกต้องแล้ว หลายคนก็คิดอย่างนี้ในใจ แล้วก็ทำอะไรหลายๆ  อย่าง ที่เป็นผลที่ไม่ดีทั้งนั้น  แล้วไหนบอกว่าข้างในดี มีผลที่ดีไง แล้วจะเอาอย่างไร? มีเยอะไหมที่คิดอย่างนี้ มีแน่ๆ ถ้าไม่รู้ความจริง

“ทำไมมันเป็นอย่างนี้นะ พระเยซูบอกว่าวิญญาณเราดีแล้ว ข้างนอกมันต้องดีแน่นอน เราดีได้อย่างไร? เมื่อตะกี้เรายังไปทำไม่ดีเลย พระเยซูพูดผิดเหรอ ชักงง”

อาจารย์เปาโลได้พูดไว้อย่างนี้ในหนังสือโรม 7:15-20 …

โรม 7:15-20 “15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ  ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำ สิ่งที่ตนเองเกลียด 16 และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี 17 ดังที่เป็นอยู่ จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้ทำสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าที่ทำ 18 ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดีอะไรอยู่ในตัวข้าพเจ้า คือ ในวิสัยบาปของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าปรารถนาจะทำสิ่งที่ดี แต่ทำไม่ได้ 19 เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งดีที่ข้าพเจ้าต้องการทำ แต่สิ่งชั่ว ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการทำ ข้าพเจ้ากลับทำเรื่อยไป 20 ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ”

 

เปาโลเป็นคริสเตียนที่มีความเชื่อสูง  สอนพระคัมภีร์ใหม่หลายเล่มของจดหมายฝาก ลึกซึ้งมาก เจอพระเยซูหน้าต่อหน้าเลย ความเชื่อสูงมาก ทำไมพูดอย่างนี้ พูดแปลกๆ มันแปลว่าอะไร? ผมจะพาท่านไปทีละนิดๆ แล้วท่านจะไม่งง มันก็เหมือนกับตัวท่านนั่นแหละ เวลาผมพูดถึงเปาโลตอนนี้ ท่านลองสลับสวิทส์ แล้วใส่ชื่อท่านเข้าไป มันเป๊ะเลย

“ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ฉันต้องการจะทำ ฉันไม่ทำ แต่ฉันกลับทำ สิ่งที่ตนเองเกลียด”

ใช่หรือไม่ใช่? อ้าว! ทุกคนไม่ยอมรับอีกเหรอ หรือทุกคนคิดว่าตั้งแต่เชื่อพระเยซูมา ฉันรักในสิ่งที่ฉันทำทุกอย่าง มันดีหมดเลย ไม่จริงหรอก ผมเชื่อว่าหลายครั้ง ท่านคงเบื่อเหลือเกิน ทำไมฉันเป็นอย่างนี้ ตั้งใจมากี่ครั้งแล้ว ว่าจะไม่งอนแล้วนะ เอาใหม่ๆ นี่แหละคือเกลียดตัวเองแล้ว  ว่าจะไม่เครียด เชื่อพระเจ้าสิ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัว นี่แหละ กำลังทำสิ่งที่ตัวเองเกลียด อย่าไปคิดถึงเรื่องไกลๆ มากๆ เอาใกล้ๆ ตัวนี่แหละ อ่านแล้วก็งงนะ แต่จริงๆ ใส่ชื่อเราลงไป มันก็ไม่งง ชัดเลย

สำหรับคำถามของหลายๆ คนที่มักจะถามว่าเป็นคริสเตียนแล้ว มีวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทำให้เราเกิดใหม่นั้น เป็นวิญญาณที่ดีแล้ว แต่ทำไมยังมีคนทำผิด ทำบาป ผลิตผลเลวอยู่เยอะ เต็มไปหมดในชีวิตของเขา อ่านข้อ 19 กับข้อ 20 ตรงนี้ แล้วจะชัดเลยนะว่า …

19 เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งดีที่ข้าพเจ้าต้องการทำ แต่สิ่งชั่ว ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการทำ ข้าพเจ้ากลับทำเรื่อยไป 20 ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ

“เรื่อยไป” แปลว่าทำตลอดชีวิตของเขาแหละ

ในภาษาเดิมบอกว่า “แต่เป็นบาปต่างหากที่มันทำ” เริ่มชัดขึ้นแล้วนะ

วิญญาณของผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด 100% เป็นวิญญาณที่เต็มล้นไปด้วยความรัก  ความเมตตา ความดีงาม 100% เป็นธรรมชาติเลย  แต่ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้  บนโลกใบนี้อยู่ มันก็อาจจะมีปรสิต

ปรสิตมี 2 อย่าง คือปรสิตทางพืชและปรสิตทางสัตว์ มีลักษณะเหมือนกัน ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน รับรองคำนี้ ทุกคนรู้เลย กาฝากหรือปรสิต มันใช้ชีวิตไปแฝงไว้กับชีวิตอื่น แล้วก็ทำลายชีวิตอื่น ด้วยการฆ่าตัวอื่นตาย โดยการแอบเอาอาหาร เอาชีวิตสิ่งที่มันไปฝากไว้ เอามาเป็นชีวิตของตัวเอง อย่างเช่น กาฝากต้นไม้ ว่ากันไปต้นโน้นต้นนี้เยอะแยะไปหมดเลย แล้วก็กาฝากที่เป็นสัตว์ อย่างเช่น พวกพยาธิ แบตทีเรีย พวกนี้มันเอาชีวิตเรา

เพราะฉะนั้น บาปเหมือนกาฝาก เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอกว่า … “ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองอยากทำ แต่มันเป็นบาป ซึ่งอยู่ในข้าพเจ้าต่างหากเป็นผู้ทำ เชื้อบาปที่อยู่ในข้าพเจ้า มันเป็นผู้กระทำ มันไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ ศัตรู คือเชื้อบาป ที่ยังแอบแฝงอยู่ในตัวของเรา ที่เป็นตัวมนุษย์ ที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้ ที่เป็นร่างกายนี้ มันเหมือนกาฝาก และเป็นผู้ที่ผลิตผลเลว มาอยู่ในชีวิตของเรา ตั้งใจฟังให้ดีๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแท้ๆ ของเราได้ ที่มันเป็นธรรมชาติที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ เนื้อแท้ หรือธรรมชาติของเราในวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก ความดี ความเมตตา เหมือนพระเจ้าทุกประการ แม้ว่าเมื่อตะกี้นี้เราจะคิดโกรธใคร แม้ว่าตะกี้นี้เราจะไปด่าใคร? ขณะที่ด่านั้น วิญญาณเราก็ยังบริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าอยู่ ผมไม่ได้พูดเอง เปาโลเป็นคนสอน ซึ่งตรงกับที่พระเยซูสอนเมื่อตะกี้นี้เลยนะครับ

เป็นไปไม่ได้ถ้าวิญญาณสะอาดแล้ว ข้างนอกมันต้องสะอาด เพราะว่ามันเป็นชีวิต มันสะอาด เป็นของแท้ มันเป็นตัวตนจริงๆ ของเราที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เชื้อบาปมันแอบแฝงเหมือนกาฝากที่อยู่ในชีวิตของเรา ต้นไม้ที่ดี แม้บางครั้ง อาจจะมีพวกกาฝากมาเกาะกิน ทำให้ผลที่ออกมา เปลี่ยนไปบ้าง บิดเบี้ยวไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความดี หรือความแข็งแกร่ง ธรรมชาติของต้นไม้ ความสวยงามของต้นไม้นั้นๆ เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มันก็ยังคงเป็นต้นไม้ที่ดีตลอดไป ถ้าเผื่อมีคนดูแลมันต่อ

เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ จากต้นกำเนิดที่เป็นต้นไม้ดี สภาพธรรมชาติของเรา คือข้างในวิญญาณ ก็จะเป็นไปตามนั้น  เราบังเกิดใหม่จากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของเรา ข้างในวิญญาณเป็นลูกพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า คือเป็นความรัก ความเมตตา ความดีงาม ความรอบคอบ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าที่ดีงาม แล้วก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปเลย ไม่มีใครเอาเราออกไป จากมือของพระองค์ได้ พระองค์ทรงปกปักคุ้มครองดูแลเรา

“เราช่วยเจ้าให้รอดแล้ว รอดเลย  ไม่มีใครมาเอาเจ้าออกไป จากเราได้”

พอหรือยังพระเจ้าสัญญาขนาดนี้ สัญญามากกว่านี้อีก เยอะกว่านี้ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากครอบครัวพระเจ้านี้ได้อีกแล้ว ไม่มีเลย กาฝากมันทำอะไรเราไม่ได้เลย มันก็ทำได้แค่หลอกล่อเราไปทีละนิด ทีละหน่อย

การอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นแสงสว่าง เต็มไปด้วยความดีงาม ชีวิตเราต่อติดอยู่กับพระองค์  จึงมีแต่ความดี ผลทั้งสิ้น ดี ไม่มีผลเลวร้ายเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเราอยู่กับพระเจ้าข้างในวิญญาณของเรา นอกจากบางครั้ง เราอาจถูกล่อลวง ยอมให้ศัตรู ปรสิตนี้  ที่เรียกว่าบาป ซึ่งมันเหมือนกาฝาก ปรสิตที่อาจจะมีอิทธิพลต่อร่างกายและความคิดจิตใจของเรา เข้ามาผลิตผลที่ไม่ดีในชีวิตของเราบ้าง? เป็นบางครั้งเท่านั้น  ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของเนื้อแท้ๆ ธรรมชาติในวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เราจึงไม่ค่อยสบายใจเลย เราจึง …

“ใครช่วยฉันที แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูคริสต์ช่วยฉันได้”

เรายังคงมั่นคงอยู่ในวิญญาณนี้ แล้วพระเจ้าก็เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเรา ด้วยถ้อยคำพระเจ้าไปทีละวันๆ จัดการกับกาฝากนั้นไปทีละนิดทีละหน่อย ให้มันน้อยลง

เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ตัวเราที่เป็นผู้กระทำ แต่เป็นบาป ซึ่งมันเป็นกาฝาก เป็นปรสิตต่างหาก ที่เป็นผู้กระทำ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น อะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเราเองแท้ๆ แท้จริงข้างในเราไม่ชอบ ไม่อยากทำ เราอยากท้องเสียเหรอ ไม่อยาก เราอยากผอมหัวโตเหรอ ไม่อยาก เพราะแบตทีเรียที่ไม่ดี พยาธิที่อยู่ในตัวเรา เราต้องรู้  เราจะดิวกับมันอย่างไร ให้มันทำร้ายเราน้อยที่สุด ต้องอยู่กับมัน เผลอนิดเดียว มันก็สามารถทำอะไรเราได้ อย่างนี้เป็นต้น นี่เขาเรียกว่ากาฝาก

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็จะเป็นคนดีพร้อม ที่อาจมีผลชั่วในบางครั้ง ซึ่งไม่เหมือนแต่ก่อน ตอนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซู ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  … วิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา ยังตกอยู่ในความบาป ยังเป็นทาสความบาป สกปรกอยู่

ก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิด พระคัมภีร์บอกเลยว่าในโลกนี้ ไม่มีใครดีเลยสักคน มีแต่คนไม่ดี คนชั่ว คนบาป อ่านให้ดีนะ ก่อนเราเชื่อพระเยซู เรายังไม่บังเกิดใหม่ พระคัมภีร์บอกว่าตอนนั้น ไม่มีใครสักคนเลยดีพร้อม ตัวเราเองก็ไม่ดี เป็นคนชั่ว คนบาป ถามว่ามีบางครั้งไหม ที่เราอาจทำความดีบ้าง? ตอนก่อนเชื่อพระเจ้า เราก็ยังทำดีอยู่

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าคนชั่ว คนบาป ที่บางครั้งทำดีบ้าง ก็มี ก็คือทำความดีอย่างไร? เท่าไร? ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ เพราะโดยธรรมชาติในวิญญาณ มันเป็นคนบาป ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า นี่คือความเป็นจริงของสัจจธรรม ที่ผมบอก มันเป็นธรรมชาติ

ส่วนคนที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระเยซู โดยธรรมชาติในวิญญาณ เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลย สะอาดบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ เหมือนพระเจ้า ถึงจะมีผลิตผลที่ไม่ดีบ้าง จากปรสิต แต่โดยธรรมชาติข้างในวิญญาณ เป็นคนดี มีเมตตา เหมือนพระเจ้า นั่นเอง

ไม่ต้องดูข้างนอก ให้ดูข้างในนั่นแหละ สำคัญ เราต้องดูแบบนี้ พระเยซูกำลังสอนว่าท่านไม่เป็นต้นไม้ดี ก็เป็นต้นไม้เลว ไม่มีกึ่งๆ กลางๆ ถ้าข้างในไม่เป็นต้นไม้ดี ก็เป็นต้นไม้เลว ท่านไม่เป็นของพระเจ้า ท่านก็เป็นของมาร ไม่เป็นคนชอบธรรม ก็เป็นคนบาป ไม่เป็นคนดี ก็เป็นคนชั่ว ท่านไม่สามารถมีสถานะอื่นได้ นอกจากนี้อีกแล้ว ก็คือไม่ขาว ก็ดำ ไม่สามารถอยู่ในที่เทาๆ ได้ เพราะมีแค่ 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรือเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า แล้วก็อาณาจักรของความมืด  ที่ไม่มีพระเจ้าเท่านั้น

วิญญาณมนุษย์ทุกคนจะอยู่ข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ถ้าอยู่ข้างมืด ก็อยู่ในอาดัม  ถ้าอยู่ในความสว่าง ก็อยู่ในพระคริสต์ ถ้าอยู่ในความมืด ก็อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ถ้าอยู่ในความสว่าง ก็คือสวรรค์ ไม่มีอย่างอื่น ไม่มีอยู่ 90% อยู่ไหน ก็อยู่ตรงนั้น  ถ้าคุณอยู่ในความมืด  อยู่ในอาดัม คุณยังมีสิทธิ์ ที่จะเลือกเปลี่ยนมา เพราะพระเยซูทำให้แล้ว ที่ไม้กางเขน พระเยซูบอกคนมีหูจงฟัง และมาหาพระองค์ และจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข

คุณสมบัติ ลักษณะ ความสามารถทั้งหมด มาจากการเกิดมาเป็น อย่างที่ผมบอก ทั้งหมดเลยที่เราเป็น สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เกิดมาเป็น ไม่ใช่เราทำ ไม่สามารถฝึกฝน ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เหมือนที่เคยบอกไว้ ครั้งที่แล้วว่าเกิดเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชาย ไม่สามารถ พยายามทำตัวเองให้เป็นผู้ชาย แม้เป็นผู้ชาย แอบไปใส่กระโปรง ก็ยังเป็นผู้ชาย จะแอบไปทาปากบ้าง ก็เป็นผู้ชาย  เดินเหมือนผู้หญิงบ้าง ก็เป็นผู้ชาย เพราะข้างในเป็นผู้ชาย  เพราะเขาเกิดมาเป็นผู้ชาย

เกิดมาเป็นปลา ก็อยู่ในน้ำ ว่ายน้ำเป็นเลย เหมือนเราคลอดเด็กมา เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็คลาน … คลานแล้วก็ตั้งไข่ … ตั้งไข่แล้วก็เดิน … เดินแล้วก็วิ่ง ต้องไปสอนเขาไหม? ไม่ต้องสอน

เกิดเป็นสุนัข ก็ไม่สามารถว่ายน้ำเหมือนปลาได้ แม้จะเอาสุนัขไปสอน ผมเคยเอาไปเข้าโรงเรียน ฝึกให้ทำได้หลายอย่างเลย คาบตะกร้าไปตลาด ก็ได้ แต่ก็ไม่เหมือนเอาคนไป สอนสุนัขว่ายน้ำได้ไหม? ได้ มันว่ายอยู่ในน้ำได้นานเท่าไร? ถ้าอยู่ทั้งวัน ในที่สุด มันต้องจมน้ำตาย

ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนกันเลย ถ้ามนุษย์คิดว่าเราทำด้วยตัวเองได้ ทำความดี เพื่อจะได้ความบริสุทธิ์ มันอาจจะไม่หมดแรงวันนี้ แต่มันก็ไปหมดแรงอีกวันหนึ่งข้างหน้า อาจจะไม่ใช่ปีนี้ อาจจะเป็นอีก 10 ปีข้างหน้า เหนื่อย   พระเยซูจึงบอกว่า …

“คนที่ทำอย่างนี้  จงมาหาพระองค์เถิด จงหายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด พระองค์ทรงทำให้สำเร็จแล้ว ท่านจะได้ในสิ่งที่ท่านได้ ยกตัวอย่างเรื่องว่ายน้ำ ท่านจะว่ายน้ำเลย โดยไม่ต้องฝึกอีกแล้ว ท่านจะเป็นคนดีพร้อมเลย  โดยไม่ต้องพยายามทำ เพราะว่าเราทำให้กับท่านแล้ว ท่านเพียงมารับสิทธิของท่าน”

พระเยซูกำลังสอนเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะทางฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 2 พวกเท่านั้น

พวกแรก คือเกิดในอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ เป็นบรรพบุรุษที่ติดเชื้อบาป เกิดมาก็เป็นบาป ต้องอยู่ในความมืด เป็นธรรมชาติเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นอยู่ในความมืดเลย นี่คือพวกแรก

พวกที่สอง คือพวกที่เชื่อในพระเยซู ได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เกิดในพระคริสต์ ก็เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิใดๆ ไร้บาปใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม อยู่ในความสว่าง เป็นความสว่างเลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในต้นไม้ดีเลย

มีอยู่ 2 พวกเท่านั้นเอง ผมเดินในหมู่บ้าน เห็นเขาปลูกต้นประดู่รอบหมู่บ้าน ประดู่มีดอกสวย สีเหลือง ถึงหน้าออกดอกหอม สวยมาก เดินไปก็เห็น และคิดว่าต้นไม้มันก็ชื่นชมยินดีที่ได้ทำหน้าที่ให้เราได้ดม ให้เราได้ดูความสวยงามของมัน ตามหน้าที่ที่มันถูกสร้าง 3-4 ปีให้หลัง ลืมสังเกต มีอยู่ต้นหนึ่งอยู่มุมๆ ไม่ค่อยมีคนเห็น มันรก ไปดู ปรากฏว่าต้นประดู่ต้นนี้ ที่ผมเห็น มันเป็นต้นประดู่ที่มีผลและดอกเป็นต้นไทร … ต้นไทรเป็นกาฝากชนิดหนึ่ง มาเกาะติดอยู่ในต้นประดู่นี้ มันกินไปค่อนต้นแล้ว เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ตกใจกลัวมันตาย พอเข้าไปดูใกล้ๆ ตื่นเต้นนิดหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงต้นประดู่พูดกับผมอย่างนี้ว่า …

“ดอกประดู่อันสวยงาม ข้าพเจ้าอยากผลิตออกมาให้ท่านได้ดม ได้หอม ได้ดูเหมือนเดิมหลายปีก่อน แต่ก็ผลิตไม่ได้แล้ว ดอกไทร ทำให้ผมน่าเกลียดมากเลย มันไม่สวยเลย ผมไม่อยากจะผลิตออกมาเลย แต่ก็ผลิตออกมาจนได้”

แล้วต้นประดู่ก็บอกต่ออีกว่า “ข้าพเจ้าช่างเป็นต้นไม้ที่น่าสมเพชจริงๆ”

แล้วมันก็ตะโกนว่า “มีใครบ้างหนอ ที่ช่วยข้าพเจ้าได้ ให้หลุดจากตรงนี้ ข้าพเจ้าอยากจะทำ”

นี่คือสภาวะในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน พระเจ้าไม่เคยโกรธใครเลย น่าสงสารมากกว่า ทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็อย่างนี้ แต่เขายิ่งหนัก เพราะเขาต้องสู้กับกาฝากพวกนี้ด้วยตัวเอง จะเอาแรงที่ไหนไปสู้ มันจะตายอยู่แล้ว อันนี้พูดถึงต้นไม้ ผมเองจะไปช่วยเขา ยังไม่รู้จะรอดไหม? หมายถึงว่าต้นไม้ต้นนี้จะรอดไหม? เพราะมันถูกกินไปเยอะมาก ดอกที่เคยให้สวยๆ ไม่มีแล้ว มันกลายเป็นอะไรไม่รู้ ตัวมันเองก็กลายพันธุ์ไปเลย กำลังจะตาย บางต้นก็ตายไปแล้ว เพราะกาฝาก

กาฝากบางทีมันก็ขึ้นกับต้นมะม่วงบ้าง? ต้นฝรั่งบ้าง? ต้นอะไรต่างๆ ท่านลองคิดดู ท่านคิดว่าต้นไม้เหล่านั้น มันไม่อยากผลิตฝรั่งสวยๆ ให้ท่านกินเหรอ มันคงดีใจมากเลย เพราะมันได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าสร้างมันขึ้นมา ให้เป็นอาหารของเรา ออกดอก ออกผลอย่างดี เพราะเป็นต้นไม้ดี แต่ทำไมเป็นต้นไม้เลวอย่างนั้นล่ะ มันไม่ใช่ตัวมัน มันวิปริตไปแล้ว มันมีเชื้ออะไรบางอย่าง ที่มีอิทธิพลในโลกใบนี้ มาทำให้โลกใบนี้เสียหายไป เรียกว่าปรสิต เรียกว่าสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งที่มันทำร้าย ความดีงามของมนุษย์ ซึ่งเป็นเหมือนพระเจ้า มันทำร้ายสภาพโลกใบนี้ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  เสียหายไปหมดเลย ซึ่งเราเรียกมันว่า “บาป” มันเข้ามาในโลกนี้แล้ว มันอยู่ที่นี่แล้ว มันยังอยู่ ยังไม่ถึงเวลาของมันที่จะถูกกำจัดออกไป แต่จะมีวันหนึ่งที่มันจะถูกกำจัดออกไป

นี่คือความรู้สึกของพระเจ้า และความรู้สึกของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเจ้าถึงบอกให้อภัยเถอะ ถ้าท่านมองเห็นอย่างนี้ ท่านจะให้อภัยทุกคนได้ นี่คือสัจจธรรม เวลาท่านออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเห็นต้นไม้ หรือเห็นสิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งเห็นคนและเห็นตัวท่านเองด้วย ถ้าท่านเห็นตัวท่านเองได้ ท่านก็จะเห็นคนอื่น ข้างๆ ท่านได้ว่าเขาจะพูดอย่างนี้ ท่านจะโกรธเขาไหม?

“มีใครช่วยข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ ข้าพเจ้าไม่อยากโกงคนนี้เลย แต่ข้าพเจ้าก็ไปโกงเขา”

แล้วเราก็ฆ่าเขา เอาให้ตายไปข้างหนึ่ง มันเลว เราดี เอาเปรียบเรา อะไรแบบนี้ แล้วถามว่าในใจเขาเป็นอย่างไร? ในใจเขาก็คิดเหมือนต้นไม้เมื่อตะกี้นี้

“ใครช่วยข้าพเจ้าได้บ้าง?”

เขาอาจจะไม่ได้ยินข่าวประเสริฐก็ได้ ถูกไหม? นี่คือความรู้สึก ในกาลาเทีย บทที่ 5 พระคัมภีร์จึงได้บอกว่าผลของพระวิญญาณ คือการกระทำดี ความดีงาม ความมีเมตตา และผลของความบาป นำไปสู่ความตาย คือการฆ่ากัน ความเย่อหยิ่ง การไม่ให้อภัย แล้วเราอยากทำเหรออย่างนั้น ไม่ใช่เราเอง แต่เราถูกกาฝากผลิตออกมา

แต่ขอบคุณพระเจ้าครับ ในฝ่ายวิญญาณ ตะกี้นี้ประดู่ใครช่วยมันได้ครับ? เจ้าของสวน คนที่รู้เรื่องสวน มาขุดมันไป แล้วก็จัดการให้มัน แล้วไปปักในสวนของตนเอง แล้วเริ่มให้อาหารอย่างดีเลย จัดการกับกาฝาก แต่ตัดมากไม่ได้ เพราะตัดได้แต่กิ่งกาฝากออกเท่านั้น ที่มันลงลึกลงไปในลำต้นมัน ต้องทิ้งไว้อย่างนั้น อันนี้ไปถามชาวสวนมานะ ตัดมาก ต้นไม้ตาย ตัดมันเฉพาะเท่าที่ทำได้ แล้วก็ปล่อยไว้อย่างนั้น พอมันขึ้นมาอีก ก็ตัดอีก แต่ข้างล่าง ใส่ปุ๋ยอัดเต็มที่เลย มันก็จะออกดอกประดู่เหมือนเดิมได้ โดยที่มีกาฝากอยู่ในตัว แต่เผลอเมื่อไร? มันก็โผล่ออกมาอีกแล้ว นั่นคือชีวิตเราแหละ

ชีวิตคริสเตียน ก็เป็นอย่างนั้น เผลอเมื่อไร กาฝาก ก็ผลิตผลออกมา กลายเป็นโกรธ กลายเป็นโมโห กลายเป็นขุ่นเคือง กลายเป็นกังวล วิตกกลัว  จะเอาอะไรกิน  เอาอะไรดื่ม  ทุกอย่างเลย  แต่พอลิดกิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำพระเจ้า ด้วยการเข้ามาหาพระเจ้า ด้วยการศึกษา ด้วยการวิงวอนขอพระเจ้าไปทีละวันๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราเป็นคนดีแล้ว เรายอดเยี่ยมแล้ว พระเจ้าอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราเป็นลูกของพระเจ้า เดี๋ยวมันจะค่อยๆ ผลิตออกมา นี่คืออาหารในวิญญาณของเรา เกิดความมั่นคง เกิดความมั่นใจว่าเราคือใคร?  เราสมควรที่จะกระทำอะไร? แล้วพระเจ้าก็จะมาช่วยกันกับเราลิดกิ่งกาฝากนั้น ทีละนิดๆ โกรธก็น้อยลง อภัยได้มากขึ้นแล้ว ถามว่ายังอยู่กับเราไหม? อยู่ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว หรืออาจจะทำได้ แต่ทำได้ไม่เยอะ เพราะเราควบคุมมันแล้ว ตอนนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ให้กำลังกับเรา ให้สติปัญญากับเรา ให้เครื่องมือกับเราในวิญญาณของเรา ควบคุมมันที่ความคิดจิตใจของเรา ซึ่งเป็นเหมือนกองบัญชาการในชีวิตของเราเลยทีเดียว เอเมน แล้วก็อยู่กันไปจนวันสุดท้ายในโลกใบนี้ ขอบคุณพระเจ้า จากไป ดีกว่าอยู่ พระคัมภีร์จึงบอกไว้ พอจากไปปุ๊บ มันก็ตายไปพร้อมกับเนื้อหนัง เพราะมันอยู่แค่เนื้อหนังของเรา  จบ  เราก็ไปรับร่างกายใหม่  ที่ไม่มีปรสิต  ไม่มีกาฝากอีกต่อไปแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 3 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กันยายน  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 3 “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อกันในซีรี่ย์ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 3 ใช้ชื่อเรื่องตามชื่ออุปมาที่เราจะเรียนกัน คือ “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก”

เรากำลังเรียนรู้เรื่องอุปมาสอนของพระเยซู ซึ่งผมได้พูดไปแล้วว่าคำสอนของพระเยซู ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ส่วนใหญ่จะเป็นอุปมา … อุปมา คือข้อความ หรือเรื่องราวที่ยกมาเปรียบเทียบ อุปมาของพระเยซู ก็คือนำเอาสิ่งที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน มาเปรียบกับไปสวรรค์อย่างไร? บังเกิดใหม่อย่างไร? จะอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร? วิญญาณเกิดใหม่ได้อย่างไร? เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้อย่างไร? เข้าไปสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้อย่างไร? นึกวนเวียนอยู่ตรงนี้

อุปมาในพระคัมภีร์ทั้งหมด พระเยซูพูดเปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนอุปมาของพระเยซู 2 เรื่อง คือ …

  1. การเปรียบเทียบ “ผ้าทอเก่ากับเสื้อใหม่” ที่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีผู้ใด เอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก เสียหายมากขึ้นด้วยซ้ำ เป็นอุปมาเปรียบเทียบเรื่องการที่จะทำให้มนุษย์สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ หรือการที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้นั่นเอง มนุษย์กับพระเจ้าต้องมีลักษณะสภาพเข้ากันได้ พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ หรือมนุษย์ไปอยู่กับพระเจ้าได้เท่านั้น ถ้าอยู่คนละขั้ว มนุษย์ตาย ความบริสุทธิ์ของพระเจ้ากับความสกปรก ความบาปของมนุษย์ เข้ากันไม่ได้

เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบให้เห็นว่าผ้าเก่ากับผ้าใหม่จะต้องเข้ากันได้ มนุษย์จะต้องถูกชำระล้าง จะต้องบังเกิดใหม่ให้สะอาดหมดจด จึงเข้ากับพระเจ้าได้นั่นเอง

อุปมาตรงนี้ ที่พระเยซูกำลังอธิบายว่าผ้าเก่า คือพันธสัญญาเดิม ที่พระเจ้าใช้มาตั้งแต่อดีต เพื่อเล็งถึงว่าวันหนึ่งพระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และมาตายที่ไม้กางเขน ช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป และกลับไปสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้   เรียกกฎตอนพระเยซูตายที่ไม้กางเขนว่าผ้าใหม่ คือพันธสัญญาใหม่ เข้ากันไม่ได้ จะเอาอะไรก็เอาอย่างหนึ่ง พระเยซูกำลังบอกว่าเชื่อพระเยซู ก็ไม่ต้องไปทำพันธสัญญาเก่า เพราะมันจบไปแล้ว ถ้าไม่เชื่อพระเยซู ยังคงดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาเก่า ก็ช่วยไม่ได้  … ไม่ได้ไปสวรรค์

นี่คืออุปมาเกี่ยวกับผ้าเก่ากับผ้าใหม่ เรื่องของพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ อยู่คนละพื้นฐานกัน พันธสัญญาเดิม อยู่บนพื้นฐานของตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำเอง ทำได้ก็ได้ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษ  สำหรับผ้าใหม่ คือกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ คือไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการกระทำของเราเลย แต่บนพื้นฐานของการกระทำของพระเยซู ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย พระองค์เป็นตัวแทนให้กับเรา ทำแทนเราเลย เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เรามีแต่รับเอาลูกเดียว เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ

กฎเก่าในพระคัมภีร์เดิม เรียกว่า “กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

กฎใหม่ในพระสัญญาใหม่ เรียกว่า “กฎแห่งพระคุณ” ในกฎแห่งพระคุณนี้ ไม่มีกฎของความบาปและความตาย ไม่มีกฎแห่งการกระทำของตนเอง การกระทำของเรานั้น เป็นศูนย์ไปเลย ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเข้าไปอยู่ในกฎใหม่แล้ว

  1. และอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราเรียนสัปดาห์ที่แล้ว คือ “ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น ถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว และถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ด้วยกันดีไปเลย”

ฟังแล้ว ท่านรู้แล้ว เล็งถึงพระเจ้าที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ และมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่เชื่อพระเยซู หรือยังไม่เกิดในทางวิญญาณ ก็เหมือนถุงหนังเก่า ก็คือวิญญาณมนุษย์เก่า เข้ากันไม่ได้ พระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนเหล้าใหม่ จะมาใส่วิญญาณเก่าของเราไม่ได้ เพราะวิญญาณเก่าเราสกปรก มีตำหนิ มีมลทิน เป็นบาปอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ ขืนเข้ามา เราก็ตาย ต้องเปลี่ยนถุงเก่าให้เป็นใหม่เสียก่อน ก็คือพระเจ้า พระเยซูมาเพื่อเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อทำให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณ พอวิญญาณใหม่ปุ๊บ มันใหม่เอี่ยมเลย

ถามว่าเกิดเมื่อไร? เกิดเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตอนนั้น มนุษย์สามารถเกิดใหม่แล้ว ใครเชื่อ ก็ได้เกิดใหม่ที่ในวิญญาณ เป็นถุงหนังใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เหล้าใหม่สามารถเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้

เพราะฉะนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไปสถิตอยู่กับมนุษย์ที่มีวิญญาณเก่าๆ ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ไม่ได้ เพราะความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะอยู่กับความสกปรกของมนุษย์ไม่ได้ มันคนละทางกัน

ครั้งที่แล้วที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าแรงสูง ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณทำดีหรือไม่ดี มันเป็นกฎธรรมชาติเป็นอย่างนั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะลงมาอยู่กับมนุษย์ที่เป็นถุงหนังใหม่เท่านั้น ก็คือวิญญาณของมนุษย์ที่ได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นกฎ เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้น ทางทิศตะวันออก และฉายแสงมาทั่วโลก ไม่ว่าคนนี้จะทำเลวหรือไม่เลว ดีหรือไม่ดี พอดวงอาทิตย์ฉายแสงมา เขาก็ร้อน ถ้าเขาอยู่ในที่มืดๆ เขาก็สว่าง แสงสว่างมาเขาก็เห็น แม้ว่าเขาจะเป็นคนเลวก็ตาม เขาก็เห็น คนนี้เป็นคนดีมากๆ เลย แสงอาทิตย์ส่องมา เขาก็เห็น เหมือนกัน เขาไม่ได้อะไรพิเศษกว่ากันเลย เพราะนี่เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้ เป็นกฎธรรมชาติ

กฎ คือสิ่งที่เขียนจากพระคำของพระเจ้า จากถ้อยคำพระเจ้า แล้วบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มันต้องเป็นไปตามนั้น แล้วใครเป็นคนดูแลให้เป็นไปตามนั้น  ผู้พิพากษาใหญ่ของมหาจักรวาลเป็นผู้ดูแล ผู้พิพากษานั้น มีชื่อว่า “พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดน็น

ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ผู้เป็นพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ผู้ทรงประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางพระองค์ได้เลย ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง ผู้เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ผู้นี้แหละ เป็นผู้ดูแลอยู่ทั้งหมด ให้เป็นไปตามกฎ”

ที่อาทิตย์ที่แล้วผมบอกว่าพอเดินออกไปจากที่สูง ถ้าไม่มีฐานรองรับ มันก็ถูกดูดลงมา เช่น เดินไปดาดฟ้าชั้น 10 เดินก้าวออกไปจากดาดฟ้า มันก็ถูกดูดตกลงไปที่พื้น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีอย่างไร? เป็นคนยอดเยี่ยมอย่างไร? เป็นคนมีใจเมตตาอย่างไร? เดินออกไป ก็ตก คนนี้จะเลวอย่างไร? เป็นคนอกตัญญู แย่ในสายตามนุษย์เยอะแยะไปหมด ก้าวออกไป ก็ตก ปรากฏว่าไอแซค นิวตันเขาก็เจอกฎเหล่านี้ มันต้องดูดลงไป

เลยมาอีกสักพักหนึ่ง ก็มีพี่น้องตระกูลไรท์ ที่เป็นผู้ริเริ่มเกี่ยวกับกฎที่ทำให้มีเครื่องบินขึ้น มาถึงปัจจุบันนี้ พี่น้องตระกูลไรท์เขาก็เหมือนอย่างนี้ ไปนั่งดูๆ มันต้องมีกฎอะไรบางอย่าง ที่ทำให้แอปเปิ้ลไม่หล่นลงมา ทำให้ของที่มีน้ำหนัก ที่ดูดลงมา สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ เขาก็พยายามคิดค้นหา จนเจอกฎเรียกว่า “กฎแห่งการยกขึ้น”

“กฎของการยกขึ้น” ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Aero Dynamic” แปลว่ากลศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอากาศและก๊าซ

คิดบวกลบคูณหาร จนสามารถเอาชนะกฎของแรงดึงดูดของโลกได้ เขาก็คำนวณน้ำหนักเท่านี้ ฉะนั้น ปีกต้องเท่านี้ ต้องเบาอย่างนี้ ต้องวิ่งเร็วขนาดนี้ เร็วขนาดและสมดุลกับสิ่งต่างๆ ที่บอกมา Aero Dynamic ก็จะทำให้วัตถุที่จะถูกดูดลงมา มันลอยในอากาศได้  เขาก็เป็นผู้ริเริ่มทำเครื่องบินขึ้นมา

เครื่องบิน คือวัตถุหนักๆ ซึ่งสมควรที่จะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมา แต่มันไม่ดูดลงมา มันลอยอยู่ได้ ก็เพราะว่ามันมีกฎอีกกฎหนึ่งอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลก

ยังมีความเร็วบวกกับน้ำหนักของวัตถุ และความเบาของวัตถุ รูปร่างของวัตถุที่ตัดอากาศอะไรต่างๆ ผสมผสานกันแล้วเรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ขณะที่บินอยู่ มีชัยชนะอยู่เหนือแรงดึงดูด

ตอนที่เครื่องบินบินอยู่ แรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ แต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเครื่องบินลำนั้น ใช้กฎแรงยกขึ้น แต่ถ้าน้ำมันหมดปุ๊บ กฎแห่งการยกขึ้นเสียไป หายไป กฎแรงดึงดูดโลกก็ยังอยู่เหมือนเดิม ผมจะบอกให้คุณฟังว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนเลยว่ามันเป็นกฎ เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ทำให้เกิดความตายในวิญญาณของมนุษย์ ก็คือมนุษย์ทำบาปปุ๊บ ตาย คือชดใช้เวรกรรม หนี้สินที่ทำผิดไปเมื่อตะกี้ เรียกว่ากฎของความบาป ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดี หรือคนเลวก็ตาม คุณทำบาปปุ๊บ คุณรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ คือต้องชดใช้บาป ชดใช้เวรกรรม ต้องตาย … ตาย คืออยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าบาปนั้นจะเป็นบาปใหญ่ หรือบาปเล็ก บาปเผลอหรือบาปไม่เผลอ ก็ตาม เหมือนตอนที่คุณเดินออกไป ที่ชั้น 10 ของดาดฟ้า แล้วคุณบอกว่าคุณไม่เคยทำอะไรไม่ดีเลย คุณเป็นคนดีมาก พอคุณเดินออกไปชั้น 10 คุณก็ตก คุณบอกว่าคุณไม่เคยทำบาปเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เป็นคนดีมาก รักษาศีล รักษาธรรมทุกอย่าง เป็นคนเรียบร้อย กตัญญูด้วย แต่เมื่อวันนั้นคุณทนไม่ไหวจริงๆ กำลังอารมณ์เสียพอดีเลย ข้าวก็ไม่ได้กิน รถตัดหน้า น้ำกระเด็นใส่หน้า ทนไม่ไหว ด่าทันทีเลย

“ไอ้บ้าเอ้ย”

พระเยซูบอกว่าด่าเขาว่าไอ้บ้า มีค่าเท่ากับฆ่าเขาตาย ต้องใช้หนี้ ทำดีมาตลอดเลย ก็ต้องใช้บาปเวรกรรมนี่แหละ และมีใครล่ะ ที่จะสามารถรักษาตรงนั้นได้ จนกระทั่งวันตาย แค่คิดก็เท่ากับทำแล้ว

ยกตัวอย่างให้อีกอันหนึ่งก็ได้ กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก เวลาท่านลงไปอยู่ในน้ำ ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม ก็มีน้ำหนัก แรงดึงดูดโลก ก็ดูดท่านลงไปใต้น้ำ ถูกไหม? แต่มีอีกกฎหนึ่ง เขาเรียกว่าถ้าท่านมีลมพอ เอาง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็คือเรือยาง เราสูบลมเข้าไป มันก็พองขึ้น พอเรือยางพองขึ้นมา เราก็ไปนั่งอยู่ในเรือยาง ทั้งๆ ที่อยู่บนทะเล มันไม่ดูดลงไป เพราะเราทำดี ไม่ใช่ เพราะเรารู้จักอีกกฎหนึ่ง ในขณะนั้นว่ามันมีชัยชนะอยู่เหนือกฎของแรงดึงดูด คือถ้าผมอยู่ในน้ำ ผมก็หาอากาศมาให้มันมากพอที่จะพยุงผม ไม่ให้ถูกดูดลงไป

หรือผมจะใช้อีกวิธีหนึ่ง ใช้แรงตัวเองชนะมันได้เหมือนกัน แต่ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ผมโดดลงไปในน้ำ กับอีกคนหนึ่งโดด ผมพอว่ายน้ำเป็น ผมใช้กำลังของตัวเองกับกฎที่มีอยู่ คือถ้าผมมีความเร็วพอ มันดูดผมไม่ได้ ผมก็เอาแรงผมว่ายไป คนว่ายน้ำไม่เป็น โดดลงไปปุ๊บ ดูดทันทีเลย ผมทำดีกว่าเขาเหรอ ไม่ใช่ เพราะผมรู้จักกฎอะไรบางอย่างว่ามันใช่ ผมว่ายไปไม่นาน ผมก็หมดแรง สู้อีกคนหนึ่งไม่ได้ ซึ่งเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเหรียญทองของโลก เขาโดดลงไป เขาอยู่นานกว่าผมตั้งเยอะ   ท่านคิดว่าได้อีกนานเท่าไร? คนนี้ว่ายเก่งมาก ว่าย 24 ชั่วโมงเลย เป็นไปได้ ถามว่าเขาว่ายได้ถึงปีหนึ่งไหม? หยุดไม่ได้นะ เพราะหยุดเมื่อไร จม

กลับมาคนสุดท้าย ที่ผมบอก ก็คือคนต้นที่ผมยกตัวอย่าง ลอยอยู่ในห่วงยาง แรงก็ไม่ต้องออก แล้วก็ผิวปากไป ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าไป เอเมน ฮาเลลูยา ถามว่าเขาเอาเปรียบเหรอ ไม่ใช่ เพราะเขารู้ความจริงแห่งโลกวิญญาณว่ามีกฎตรงนี้อยู่ เขากำลังอยู่ในกฎพิเศษอีกอันหนึ่ง ที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่พระเจ้าสอนให้

ยกตัวอย่างทั้งหมดมา เพื่อให้เห็นว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ มีจริงๆ ซึ่งมีอายุยืนยาว 2,000 ปีแล้ว มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย … “กฎของความบาปและความตาย” มีอยู่ว่าท่านทำบาป ท่านต้องชดใช้หนี้บาปของท่าน และหนี้นั้นคือความตาย  แต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และทำให้เกิดกฎใหม่ขึ้น เรียกว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์” ทำให้ท่านมีอิสรภาพ มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย คือต่อให้ท่านทำบาป ท่านก็ไม่ต้องตาย เพราะท่านอยู่ในกฎใหม่ คือกฎของพระเยซูคริสต์ เอเมน

“ประชากรของเราถูกทำลาย เพราะขาดความรู้” พระเจ้าตรัส

มนุษย์ทั้งหลาย ถูกทำลาย เพราะเขาขาดความรู้ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ เขาถูกเชียร์ให้ใช้กำลังของตัวเอง แล้วมันไปไม่รอด เนื้อหนังก็อ่อนแอ มนุษย์ก็อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ยังไงก็ช่วยไม่ได้ มาพึ่งกฎใหม่ที่พระเจ้าวางไว้สิ แล้วอย่าเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองแน่

ครั้งที่แล้ว เราได้พูดถึงสภาพวิญญาณของมนุษย์ว่าวิญญาณของเราที่เกิดใหม่เหมือนกับถุงหนังใหม่ คือวิญญาณของมนุษย์ที่ใหม่เอี่ยม ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้น คนที่จะเชื่อในเรื่องนี้ได้ เขาต้องเชื่อว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ถ้าเขาไม่เชื่อเรื่องนี้ จบไปเลย ขนาดเราเป็นคริสเตียน เรารู้ เราเชื่อว่าเราเป็นวิญญาณ หลายครั้งเรายังต้องเปลี่ยนความคิดจิตใจว่า …

“ฉันเป็นวิญญาณจริงๆ”

เพราะพออยู่ๆ ไป เผลอๆ ท่านก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ “ฉันเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอยู่ในร่างกายนี้

พอบอก … “เราบังเกิดใหม่”

บางคน … “เกิดใหม่ได้อย่างไร? เธอก็อยู่เหมือนเดิม”

“ไม่ใช่ที่เธอเห็นฉันเหมือนเดิมนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน”

คือเป็นร่างกาย แต่ความคิดจิตใจ วิญญาณท่านมองไม่เห็น ที่ท่านจะเห็นผมมีบุคลิกอย่างนี้ เป็นคนสนุกๆ นี่คือบุคลิก แต่วิญญาณผมท่านไม่เห็นแน่นอน แต่ในพระคัมภีร์บอกขณะที่เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ เป็นพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดจากกฎของความบาปและความตายนั้น พระองค์ช่วย ถ้าเราเชื่อในพระองค์แล้ว เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา และมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เกิดใหม่ เมื่อเราเชื่อ ว่ากันตามตรงแล้ว การเกิดใหม่ มันเกิดตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น ท่านอยู่กับพระองค์ในนั้นแล้ว ท่านอยู่ในร่างกายของพระองค์ ท่านถูกตรึงไปด้วยกันแล้ว เพียงแต่ท่านเกิดมาตอนหลัง ในยุค 2,000 ปีต่อมา ท่านรับรู้เรื่องนี้ ท่านบอก …

“เชื่อๆ ฉันเชื่อว่าวันนั้น ฉันอยู่ที่นั่น ฉันอยู่ในร่างกายของพระเยซู พระองค์เอาชีวิตฉันเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว และฉันตายไปแล้วต่อบาป และได้เป็นขึ้นมาใหม่”

อาจจะฟังดูยาก ต้องใช้ความเชื่อเอา ไม่ต้องเข้าใจมาก เสร็จแล้ววิญญาณฉันได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าเวลาบอก “บังเกิดใหม่” เกิดใหม่ที่วิญญาณของท่าน ร่างกายยังเห็นอยู่เหมือนเดิม ความคิดจิตใจยังก้ำๆ กึ่งๆ คือมันเคยชินกับความเป็นเดิมๆ อยู่ แต่มันถูกเปลี่ยนด้วยกัน เพราะว่าความคิดจิตใจส่วนลึกนั้น มันติดอยู่กับวิญญาณ มันอาจจะมีอุปนิสัยใจคออะไรต่างๆ คล้ายๆ เดิม เคยชินกับเรื่องเดิมๆ นี่ร่างกายไม่ต้องพูดถึงเลย มันเดิมหมดแหละ แม้แต่สิวยังเม็ดเดิม ผมขาวก็ยังเส้นเดิม แต่วิญญาณมันใหม่เอี่ยมเลย พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ก็จะค่อยๆ ผ่านทางความคิดจิตใจ หรือเรียกว่า soul หรือเรียกว่า mind จิตใต้สำนึกก็ตาม พระเจ้าเสริมสร้างตรงนี้แหละ เขาเรียกว่ากองบัญชาการของพระเจ้าในชีวิตของเรา ก็คือเป็นตัวที่จะตัดสินใจว่าจะไปทางกิเลสตัณหาของเนื้อหนังดี หรือจะมาทางพระเจ้าดี เป็นผู้ตัดสินใจ

ตรงนี้ เรากำลังจะพูดถึงเรื่องวิญญาณ วิญญาณมันต้องเกิดใหม่ ไม่มีการเกิด แล้วก็ไปตายอีก ไม่มี เกิดแล้วเกิดเลย ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีใครเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว ถ้าเราเชื่อในพระเยซูจริงๆ และความเชื่อนั้นไหลลงไปในจิตวิญญาณ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เหมือนในพระคัมภีร์โรม 10:9-10 บอกไว้ ยอมรับด้วยปาก สารภาพด้วยปากว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 แค่นั้นเอง สิ่งเหล่านี้ ความเชื่อหล่นเข้าไปในใจ และเกิดสิ่งเหล่านี้ ทันทีทันใด คนนั้นได้บังเกิดใหม่ ยอมรับสารภาพว่าพระเจ้าพูดถูก พระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ รวมถึงฉันด้วย ฉันเชื่อ เขาเรียกว่ายอมรับสารภาพ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าพูดอย่างนั้น เราก็เชื่ออย่างนั้น สารภาพด้วยปากไปเรื่อยๆ นานๆ ขึ้น ไม่รู้วันไหน? คำสารภาพนั้น จะไหลเข้าสู่วิญญาณ เขาเรียกว่าไหลไปสู่ความคิดจิตใจ แล้วจะค่อยๆ ไหลลงมาลึกๆ จนวิญญาณนั้นบังเกิดใหม่

เปรี้ยง พอวิญญาณเกิดใหม่ พูดทันทีเลย ยอมรับว่า …

“พระเยซูคริสต์เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้า มาเกิด เพื่อไถ่ฉันให้รอดจากบาป แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”

คำพูดนี้ เขาเรียกว่า “เรม่า” เป็นฤทธิ์เดช เป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าแบบโลโค่ ก็คือแบบถ้อยคำพระเจ้าที่เรามาอ่านกัน เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่มันเกิดฤทธิ์เดชขึ้นมาจากใจเลย เหมือนถ้อยคำพระเจ้าที่พระองค์ทรงตรัส คำแรกเมื่อตอนสร้างโลกว่า …

“จงเกิดดวงสว่างขึ้น” อันนั่นแหละ แล้วดวงสว่างก็เกิดขึ้น

อันนี้เหมือนกัน “พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน”

มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ตัวนี่แหละ คือตัวที่จะอยู่กับพระเจ้า นิรันดร์ ไม่ใช่ …

“รอว่าเชื่อพระเยซู ทำตามน้ำพระทัยนะ พยายามทำดี ตามที่เขาสอนมา เพื่อว่าตายไปแล้ว ทิ้งร่างกายนี้ จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ จะได้วิญญาณใหม่เอี่ยมจากพระเจ้า”

พระคัมภีร์บอก “เดี๋ยวนี้เลย” ท่านเชื่อเดี๋ยวนี้ ได้เดี๋ยวนี้ ถึงแม้ท่านไม่เชื่อ ท่านก็ยังได้เลย เพียงแต่ท่านไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ของท่านเอง ที่ผมยกตัวอย่างเรื่อยๆ ว่าเงิน 600 บาท สำหรับคนที่เกษียนแล้ว ไปรับหรือเปล่า? ทุกเดือนท่านได้ 600 บาท รัฐบาลประกาศแล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ไปรับ แล้วเงินเขาอยู่ไหน?  ก็อยู่ที่ธนาคารนั่นแหละ ไม่ใช่เขาไม่ได้นะ เขาได้ แต่เขาไม่ไปรับ พระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระองค์ทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด คนที่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ เขาก็ไม่ได้ เขาก็ไม่เอา

ถ้าท่านเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ท่านจะเห็นภาพ มันเป็นกติกา เป็นระเบียบ เป็นกฎธรรมชาติ มันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ในการที่จะเข้าใจ แต่มันต้องใช้ความถ่อมใจ ถึงจะรู้ได้ ถ่อมใจถึงจะได้ผล ถ่อมใจ ถึงจะได้รับประโยชน์ แต่ถ้าอยากจะรู้มาก อาจจะไม่ได้อะไรเลย คิดใหญ่เลย

“เป็นไปได้อย่างไร ฉันไม่เคยไปช่วยรัฐบาลอะไรเลยสักนิดหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้สมควรเป็นคนอย่างนั้น ฉันอาจจะเป็นคนกินเหล้าเมายา ไม่เอางานเอาการเลย รัฐบาลจะมาช่วยฉันทำไม”

“เขาช่วยเธอจริงๆ ใครๆ ก็ได้ ไปรับเลย 600 บาทต่อเดือน”

“เป็นไปไม่ได้ รัฐบาลถังแตกอย่างนี้ เขาจะเอาอะไรมาให้ฉัน”

เถียงอยู่นั่นแหละ ในที่สุด วันแล้ววันเล่า ก็ไม่ได้ไปรับสิทธิของตัวเองสักที จนตาย เงินก็กองอยู่ตรงนั้น  ก็ไม่มีใครมาเอาของเขาไปได้ ความรอดก็เหมือนกัน นาย ก. ความรอดก็เป็นของเขา ไม่มีใครเอาไปได้ แต่เขายังเถียงอยู่ ยังเย่อหยิ่งอยู่อย่างนี้ ไม่เอาไป ตายไป ความรอดก็ยังอยู่ตรงนั้นแหละ เขาไม่ได้รับเท่านั้นเอง

เรามาต่อวันนี้ เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 3 ชื่อตอน “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” มัทธิว 5:14-16 นี่ก็เป็นอีกอันหนึ่งในอุปมาที่น่าเรียนรู้ คิดตามไปว่าเป็นอย่างไร? เรื่องหมายถึงอะไร?

มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์”

 

คำอุปมาตรงนี้ พระเยซูบอกว่า “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก” … “ท่านทั้งหลาย”  ก็คือผู้ที่เชื่อพระเจ้า เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์ ที่มาเกิดบนโลกนี้ เพื่อเราทั้งหลาย และมาตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3

“ท่านทั้งหลาย” คือผู้ที่เป็นถุงหนังใหม่ คือวิญญาณบังเกิดใหม่แล้ว เป็นแสงสว่างแล้ว ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก ไม่ใช่ท่านทั้งหลายมีแสงสว่าง เป็นกับมี คนละเรื่องกันนะ พระเยซูกำลังพูดกับเราว่าพระองค์เป็นแสงสว่าง และเมื่อพระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา มาเป็นลูกของพระเจ้า เราก็จะมีสภาพเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู คือเป็นแสงสว่างด้วย นี่พระองค์ทรงพูดเอง เราไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกับการเกิดมาเป็นผู้หญิง เกิดมาเป็นผู้ชาย ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเกิดมาเป็น หรือบางคนมีความสามารถเยอะแยะ เกิดมาก็ร้องเพลงเก่งเลย มีพรสวรรค์ในการร้องเพลง เขาเรียกว่าเกิดมาเป็น แต่การทำอะไรเพิ่ม เป็นการฝึกฝนเท่านั้นเอง เกิดมาเป็นเลย เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ ซึ่งบางคนก็ชอบพูดกันเล่นๆ ว่า …

“เธอเกิดใหม่ ก็ไม่มีทางได้อย่างนี้”

“ทำอย่างไรฉันถึงจะร้องเหมือนนักร้องดีๆ นะ”

เพื่อนบอก “อย่างนี้ เกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ไม่มีทางเป็น”

เพราะเขารู้ว่าคนที่ร้องเก่งๆ เหล่านั้น เกิดมาเป็นอย่างนั้นเลย ปลาเกิดมา มันต้องฝึกว่ายน้ำไหม? ไม่ต้อง เกิดมาเป็นเลย

พระเยซูบอกเราเป็นแสงสว่าง เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเจ้าของเรา ผู้ให้บังเกิดใหม่กับเรา  เกิดมา เราก็เป็นแสงสว่าง  เกิดเมื่อไร? เมื่อตอนที่เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ของเรา และทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณาเราได้บังเกิดใหม่ ฤทธิ์เดชอำนาจอะไรบางอย่าง เกิดเป็นบิ๊กแบ็ง ที่พระเจ้าเนรมิตสร้างโลกสมัยปฐมกาล มันได้บังเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา คนนั้นคนเดียวก่อน ตอนนั้น ณ วินาทีนั้น เราไม่รู้เมื่อไร ตอนไหนบิ๊กแบ็งมันเกิดขึ้น ที่วิญญาณของเรา ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีเสียงสั่งมาบอกว่า …

“จงเกิดใหม่”

เราเกิดใหม่ โดยกฎที่เราเข้าไปรับเอาผลประโยชน์ จากกฎของพระเยซูที่ทำไว้ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อ เรายกมือ เราจะไม่อยู่ที่กฎเดิมอีกต่อไปแล้ว กฎของความบาปและความตาย เราอยากจะมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องการ เราเชื่อพระองค์ทุกอย่าง พอความเชื่อนั้นถึงขั้น เต็มที่ตามกฎแล้ว มันก็เกิดขึ้นมาทันที วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ ถูกเนรมิตขึ้นมา เป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูบอก …

“เธอเป็นลูกแล้ว เธอก็เป็นเหมือนกับเรา (เราในที่นี้ หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์) เราทั้งสามเป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งสามเป็นความสว่าง หรือเป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ท่านเป็นความสว่าง”

ที่ผมบอกท่านแล้วว่าอุปมาทั้งหมดของพระเยซู จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับทางไปสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างไร? การบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? และการบังเกิดใหม่กับการไปสวรรค์ของพระเจ้า จะต้องเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียว บัพติศมา จุ่มลงไปร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ วิญญาณเราต้องบัพติศมาเข้าไปในวิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าบังเกิดใหม่ เราต้องพร้อมที่จะเข้าไปเป็นหนึ่ง ก็คือเชื่อในพระเยซู และได้รับการชำระบาป

เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราเกิดมา เราต้องทำอะไรให้เป็นแสงสว่างไหม? ท่านเชื่อแล้ว พระเจ้าทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นแสงสว่าง พระเยซูบอกท่านเป็นแสงสว่าง ท่านมีหน้าที่ทำอะไรให้มันเป็นแสงสว่างไหม? ไม่มีเลย ไม่ต้องแล้ว เพราะมันเป็น อย่างที่ผมบอกพ่อแม่ให้กำเนิดท่านเป็นผู้ชาย ท่านต้องพยายามทำให้มันเป็นผู้ชายไหม? ไม่ต้อง แต่บางครั้งท่านอาจจะอยากใส่กระโปรงบ้าง ท่านเกิดมาเป็นผู้หญิง บางครั้งท่านอาจจะทำตัวเป็นผู้ชาย แต่ท่านก็เป็นผู้หญิง ใครเป็นคนกำหนด? ถ้าเป็นมนุษย์ ก็คือพ่อแม่ให้กำเนิดท่านเป็นผู้ชาย ท่านก็เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็เป็นผู้หญิง ท่านไม่มีหน้าที่ทำอะไรให้มันเป็นมากขึ้นกว่านั้น  มันเป็นแล้ว เพียงแต่เมื่อรู้แล้วว่าเราเป็นผู้ชาย เราก็พยายามทำตัว เปลี่ยนความคิดจิตใจให้เป็นผู้ชายหน่อย ให้แมนๆ หน่อย ปกป้องดูแลผู้หญิงให้หน่อย ทำให้สมกับเป็นผู้ชาย แต่ไม่ต้องทำให้เป็นผู้ชาย  เพราะเป็นอยู่แล้ว

ทำอะไรก็ตามให้มันเป็นกุลสตรีหน่อย เคยได้ยินหรือเปล่า? มีมารยาทหน่อย เขารู้ว่าเราเป็นผู้หญิงแล้ว เธอไม่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นผู้หญิงมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าเรายังเกิดใหม่ เป็นแสงสว่าง พระเยซูกำลังบอกว่าแสงสว่าง ไม่มีใครเอาฝาครอบไว้ ใครจะจุดตะเกียง แล้วเอาฝาครอบไว้ แล้วจะไปจุดทำไม เปลืองไฟเปล่าๆ ผมจุดเทียน เพราะต้องการให้แถวนั้นสว่าง คนเดินไปเดินมาจะได้เห็นทาง ถูกไหม? ถามว่าผมจุดตะเกียง จุดเทียนเสร็จ ผมเดินออกมาปุ๊บ เทียนต้องทำอย่างนี้ไหม?

“ฉันต้องสว่างๆ ต้องสว่างขึ้นๆ”

ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น อยู่เฉยๆ พระเจ้าให้เราบังเกิดเป็นแสงสว่างแล้ว ปล่อยให้เขาสว่างไปเมื่อคนจุดตะเกียงแล้ว ย่อมไม่มีใครเอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้านและคนเดินไปเดินมา ในทำนองเดียวกัน

“จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้ง” จงให้ ภาษาเดิมใช้คำว่า let แปลว่าปล่อย จงปล่อยให้มันสว่างไป  มันสว่างเอง

“เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์” เพราะมันจะออกมาจากข้างใน พระเยซูยกตัวอย่าง บอกว่า …

“มาใกล้ๆ สิ ฉันสว่างแล้วนะ”

มีเทียนมาบอกอย่างนี้ไหม? จุดเทียนเสร็จ คนเดินผ่านไปผ่านมา

“ไม่เห็นขอบคุณเลย อุตส่าห์ให้ความสว่างไปแล้ว”

เทียน ไม่ต้องพูดเลย มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แล้วแต่คนจุดจะเอามันไปปักไว้ที่ไหน?  มันก็สว่างตรงนั้น เขาจะได้สรรเสริญพระบิดา เขาไม่ได้สรรเสริญเทียน เขาไม่ได้สรรเสริญตะเกียง เจ้าของตะเกียง คือพระบิดา ท่านพอเห็นภาพไหม?

ในทำนองเดียวกัน เราไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ยอมรับพระเยซู เปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในใจของเรา เพื่อเราจะได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ บังเกิดแล้วบังเกิดเลย

ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นปลา น้ำขึ้นท่วม เราออกมาเล่นน้ำ น้ำลง เราลงไม่ทัน ไปอยู่บนบก ดิ้นใหญ่เลย ถามว่าเราชอบไหม? ไม่ชอบ เพราะเราเป็นปลา เหมือนกัน เราเป็นลูกพระเจ้า เป็นแสงสว่างแล้ว บางครั้งมีความสุขเกินเหตุไปหน่อย ออกมาทำอะไรที่ไม่สมกับเป็นลูก ของพระเจ้าเลย เป็นไปได้ไหม?  และถามว่าเราดิ้นไหม? ดิ้น เพราะเราไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของเราเป็นความดี ความเมตตา ความรัก ความรอดนี้

และคนที่จะรับได้ ง่ายนิดเดียว พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สิทธินี้ไปรับเอาง่ายๆ ก็คือยอมรับสารภาพด้วยปากว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่กี่พันปีมาแล้วไม่รู้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยมนุษย์ให้รอด จากกฎของความบาปและความตาย และพระเยซูก็มาแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาป ให้มนุษย์สะอาดหมดจดไร้ตำหนิ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพียงแต่ยอมรับว่านี่เป็นจริง พระคัมภีร์พูดจริงๆ พระเจ้าพูดจริง แค่นั้นเอง และก็ปล่อยเลยว่าวันหนึ่งความจริงที่เราพูดไปเรื่อยๆ มันจะเกิดเป็นผลขึ้นมา ในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราจะบังเกิดมา กลายเป็นความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3

“พระเยซูเกิดใหม่ในวันที่ 3 และฉันก็เกิดพร้อมพระองค์ด้วย เกิดวันเดียวกันเลย และตอนนี้ ฉันรับสิทธิของฉันในพระเยซูคริสต์”

ก็เกิดความเชื่อ และเราก็ได้บังเกิดใหม่ตรงนั้นจริงๆ เริ่มต้นด้วยการเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เชื่อแค่นี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร? ไม่เข้าใจอย่างไร? ลดความเย่อหยิ่งลง ถ่อมใจลงแล้วเชื่อ และรักษาตรงนี้ไว้ จนวันหนึ่งมันไล่ลงไปในใจ มันปิ๊งขึ้นมา เป็นการบังเกิดใหม่ แค่นั้นเอง  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************