คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2019
เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”
ตอน 9 “บาปแค่ไหน ก็รอดเท่ากัน”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีปีใหม่ครับ เราได้พบกันครั้งแรกในปีนี้ ปีใหม่ก็จริง แต่กลับมาบรรยายเรื่องเก่า เป็นซีรี่ย์ต่อ จริงๆ ว่ากันมาแล้ว 2,000 ปี ก็เป็นเรื่องเดิม เรื่องข่าวดี ซีรี่ย์นี้ ใช้ชื่อเรื่องว่า “อุปมาคำสอนของพระเยซู” เราเรียนกันมาแล้ว 8 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 9 มีชื่อตอนว่า “บาปแค่ไหน ก็รอดเท่ากัน” เราได้เรียนรู้กันไปหลายอุปมาแล้ว ตั้งแต่เรื่องผ้าเก่า ผ้าใหม่ เหล้าเก่า เหล้าใหม่ ถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ ต้นไม้ดี ต้นไม้เลว และสุดท้าย การให้อภัย แต่ไม่ว่าจะเป็นอุปมาคำสอนเรื่องอะไร? ก็จะเป็นแก่นแท้ หรือความหมายที่แท้จริงของอุปมา เรื่องเดียวกันหมด พระเยซูสอนเรื่องหนทางเดียวที่มนุษย์จะไปสวรรค์ มนุษย์ที่เป็นคนบาป คนชั่ว จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้อย่างไร? ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้แล้ว ต้องบังเกิดใหม่ หรือเกิดใหม่ในพระเยซูเท่านั้น แม้เราจะเรียนอุปมาไปอีกหลายตอน แต่ว่าพระเยซูสอนพุ่งตรงมา หมายความถึงเรื่องนี้ทั้งนั้น
ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันถึงเรื่องการให้อภัย ตามความหมายในพระคัมภีร์ที่เปโตรได้ถามพระเยซูว่า …
“หากพี่น้องทำบาปต่อเรา เราควรยกโทษให้เขาสักกี่ครั้งดี? สัก 7 ครั้งหรือ?”
และคำตอบของพระเยซู ก็คือ … “เราบอกท่านว่าไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่เป็น 70 … 7 ครั้ง”
ก็คือ 70x7 นี่คือการให้อภัย ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือเป็นจำนวน 490 ครั้ง ต่อหนึ่งคน ต่อหนึ่งเรื่อง … มาตรฐานของพระเจ้า ที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ ทุกคน ทำได้ไหม? คิดเอาเองแล้วกัน
การให้อภัยที่เปโตรถาม เป็นบัญญัติที่สำคัญมาก ที่ชาวยิวในสมัยโน้น ยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยตลอด กังวลตลอด คือบัญญัติจะบอกไว้เลยว่าถ้าท่านไม่ให้อภัยต่อมนุษย์ พี่น้องคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งไม่ใช่ชาวยิวก็ตาม พระเจ้าก็จะไม่ให้อภัยท่านด้วย
ซึ่งสมัยนั้น คำว่า “การอภัย” มันคือการอภัยแบบครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเจ้าบอก คือแม้กระทั่งว่าเขา “ไอ้โง่” ยังไม่ได้เลย นี่แหละคืออภัยอย่างสมบูรณ์ บอกไอ้เซ่อ เท่ากับเราฆ่าเขา มีค่าเท่ากัน
สรุป ก็คือพระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้หรอก ไม่สามารถที่จะให้อภัยตาม มาตรฐานของพระเจ้า ถ้าอยากทำได้ ต้องไปเกิดใหม่ มาหาเรา เดี๋ยวเราจะบอกวิธีทำ ก็คือทำให้เจ้าเกิดใหม่ เกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณก็ใหม่ สะอาดเหมือนพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนในเรื่องอุปมานี้ และอุปมาอื่นๆ ก็ลักษณะเดียวกัน
มนุษย์ทุกคนจึงจำเป็นต้องมาพึ่งพระเยซู เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะมีธรรมชาติในวิญญาณข้างในเป็นความรักของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะสามารถให้อภัยใครก็ได้ เป็นไปตามธรรมชาติ โกรธไม่เป็น แม้ว่าข้างนอกโกรธอยู่ เพราะกิเลสของเนื้อหนังที่ได้รับอิทธิพล จากบาป ซึ่งส่งกระแสเข้ามา แต่วิญญาณก็จะสะอาดใหม่เอี่ยม พระเจ้ามองที่วิญญาณเท่านั้น สะอาดทุกคน ไม่รู้จักโกรธสักคน แต่อยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว เพราะพระเจ้าใช้เราให้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเสร็จสิ้นการงาน พระเจ้าก็เอาวิญญาณและความคิดจิตใจที่เป็นตัวตนของเราแท้ๆ กลับบ้าน ไปอยู่สวรรค์ มันสะอาดหมดจด ส่วนร่างกายเก่าเราไม่เอา ไม่ใช่ตัวเรา สวมไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะรีบทิ้งร่างกายนี้ไปนะ ในพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น การจากไป ก็มีความสุขหรือดีกว่าการอยู่บนโลกใบนี้ จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย ไม่ต้องอยู่ในเนื้อหนังร่างกาย ที่มันต้องอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของความบาป ผ่านทางกิเลสของเนื้อหนังอยู่นี้ มันดีกว่า ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความวุ่นวายของโลกใบนี้ด้วย แต่ว่าพระเจ้ายังต้องใช้งานเราอยู่ เราอยากจะไป ก็ยังไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น บอกพี่น้องข้างๆ อดทนรออีกนิดหนึ่ง อย่าเพิ่งรีบไปไหน รอพระเจ้าใช้งานให้ครบถ้วนบริบูรณ์ซะก่อน ที่อยากจะไป ก็ตั้งความหวังไว้ รอที่จะจากไป เอเมน นี่แหละ ความสุขของผู้ที่ได้บังเกิดใหม่
คำอุปมา คำสอนของพระเยซูเรื่องใหม่ ที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ อยู่ในหนังสือลูกา 7:36-39 เป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งพระเยซูจะสอนให้เรารู้จักการบังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? การได้รับการชำระ อภัยโทษจากความบาปของพระเจ้า เป็นอย่างไร?
ลูกา 7:36-39 “36 ฟาริสีคนหนึ่ง เชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ พระองค์จึงเสด็จไปที่บ้านของเขา และทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ 37 หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้น เคยเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระเยซูกำลังเสวยพระกระยาหารที่บ้านฟาริสีคนนั้น ก็นำขวดน้ำมันหอมเข้ามา 38 และมายืนอยู่ข้างหลังพระองค์ที่พระบาท นางร่ำไห้หลั่งน้ำตารดพระบาท แล้วเอาผมเช็ด จูบพระบาท และรินน้ำมันหอม ชโลมพระบาทของพระองค์ 39 เมื่อฟาริสีที่เชิญพระเยซูเห็นเช่นนั้น ก็นึกในใจว่า “หากคนนี้เป็นผู้เผยพระวจนะ เขาก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่มาแตะต้องเขาเป็นใคร และเป็นผู้หญิงประเภทไหน เพราะนางเป็นคนบาป”
เริ่มเรื่อง คือพระเยซูได้รับเชิญไปรับประทานอาหารมื้อค่ำที่บ้านฟาริสีคนหนึ่ง ที่ชื่อ ซีโมน ไม่ใช่คนที่เป็นสาวกพระเยซูนะ คล้ายๆ กับนิโคเดมัส คือเป็นคนที่เริ่มเชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? และอยากจะเรียนรู้ต่อไป เขาก็เชิญพระเยซูไปบ้าน ไปเลี้ยง แล้วพระเยซูก็ไป แล้วมีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้น ซึ่งรู้ข่าวว่าพระเยซูจะไปที่นั่น และเป็นหญิงที่ในพระคัมภีร์ บอกว่าเป็นหญิงชั่ว
คำว่า “หญิงชั่ว” ตรงนี้ ในพระคัมภีร์บางฉบับอธิบายว่าผู้คนทั้งเมือง รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้หญิงบาป มักจะใช้กับผู้หญิงที่มีประวัติในเรื่องการผิดศีลธรรม หรือผู้หญิงที่ทำตัวไม่เรียบร้อย ไม่สำรวม ซึ่งตามบัญญัติของชาวยิวในสมัยนั้น ถือว่าผู้หญิงเหล่านี้ เป็นคนชั่ว หรือเป็นคนบาป อย่างแรง ยิวเขาคิดอย่างนี้นะ
แล้วพวกที่คิดว่าตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ตัวเองรักษาบทบัญญัติอย่างดี ก็คือพวกฟาริสี ก็จะไม่เข้าไปใกล้ชิด หรือคบหาสมาคมกับหญิงชั่วเหล่านี้ โดยเด็ดขาด ถือว่าผิดบัญญัติ ใครไปคบ ไปใกล้ชิดกับหญิงพวกนี้ เป็นเรื่องประหลาด เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทำให้เสียเกียรติพระเจ้ามาก โดยเฉพาะคนยิว เพราะเขาคิดว่าเขาอยู่ใกล้พระเจ้ามาก เขาสะอาดบริสุทธิ์กว่าคนที่ไม่ใช่ยิว
ในนี้บอกว่าผู้หญิงคนนั้น เข้ามาหาพระองค์ เอาน้ำมันหอมราด ชโลมพระบาท แล้วก็ใช้ผมเช็ด ร้องไห้ด้วย ทำไมต้องทำอย่างนั้น? การกระทำของหญิงคนนี้ ไม่ต้องอธิบายเยอะนะ ก็คือความรู้สึกว่าพระเยซูมีบุญคุณต่อเขามาก รักพระเยซูมาก ต้องอะไรบางอย่างที่พระเยซูช่วยอะไรเขาไว้ เขาต้องเทิดทูน ยกย่อง ให้เกียรติ นึกถึงพระคุณของพระเยซูมากเลย เขาถึงกล้าทำอย่างนี้ พวกฟาริสีเห็น รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงชั่ว ตกใจ นึกในใจว่า …
“หากพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะจริงๆ ตามที่เขาบอกกันมา พระเยซูก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่มาแตะต้องเขา เป็นหญิงประเภทไหน? และนางเป็นคนบาป (บาปหนา, บาปเยอะ, บาปมาก)”
ท่านลองคิดเองแล้วกันว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน แล้วมีคนไม่ดีมากๆ เข้ามาในโบสถ์ ท่านจะคิดอย่างไรกับเขา แล้วพระเจ้าคิดอย่างไร? ฝากไว้
สิ่งที่พวกฟาริสี รวมทั้งพวกเราด้วย ใช้ตัดสินว่าใครเป็นคนชั่วคนบาป ก็จะดูการกระทำของเขา ในอดีต เราจะดูประวัติคนนี้ว่าเคยทำชั่วอะไรมาบ้าง สำหรับพระเยซู พระองค์คิดอย่างไรในเรื่องนี้
ลูกา 7:40-43 “40 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน” เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ว่าไปเถิด 41 พระองค์ตรัสว่า “คนปล่อยเงินกู้คนหนึ่ง มีลูกหนี้สองราย รายหนึ่งเป็นหนี้ห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีกรายหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบเหรียญ 42 ทั้งสองคนไม่มีเงินใช้หนี้ เขาจึงยกหนี้ให้ทั้งคู่ ในสองคนนี้ คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน?” 43 ซีโมนทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่ได้รับการยกหนี้มากกว่า” พระเยซูตรัสว่า “ท่านตัดสินถูกแล้ว”
คำอุปมาของพระเยซูตรงนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะฟาริสีสมัยนั้น แต่หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาป ตามที่พระคัมภีร์บอก เป็นคนชั่ว อยู่ในวิญญาณของเรา จะมีนิสัยอย่างนี้ มักชอบเปรียบเทียบ เปรียบมันทุกเรื่องตั้งแต่เปรียบว่า …
“ฉันเป็นอย่างไร? เธอทำอะไร? เธอเป็นอย่างไง?”
ตั้งแต่ใครรวยกว่ากัน ใครสวยกว่ากัน ใครหล่อกว่ากัน ใครผอมกว่ากัน? ใครเก่งกว่ากัน? ใครดีกว่ากัน? เปรียบเทียบแม้กระทั่งว่าบาปชนิดไหน? ใครทำอะไรใหญ่กว่ากัน
“ที่เธอทำบาปน้อย ฉันทำบาปเยอะ เธอทำบาปเยอะกว่าฉัน บาปอันนี้มากกว่า อันนี้น้อยกว่า”
นี่คือมนุษย์ทุกคน เพราะวิญญาณข้างในบาป มาอ่านกันต่อว่าคำอุปมาในนี้ พระเยซูกำลังจะบอกอะไรกับฟาริสี และกำลังจะบอกกับพวกเราด้วย
ลูกา 7:44-50 “44 แล้วพระองค์ทรงหันไปทางหญิงนั้น และตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้หรือไม่ เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาให้เราล้างเท้า ส่วนนางเอาน้ำตาล้างเท้าของเรา และเช็ดด้วยผมของนาง 45 ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงนี้จูบเท้าเราไม่หยุด ตั้งแต่เราเข้ามาในบ้าน 46 ท่านไม่ได้รินน้ำมันรดศีรษะของเรา แต่นางรินน้ำมันหอมรดเท้าของเรา 47 เหตุฉะนั้น เราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้ว ตามที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็รักน้อย” 48 แล้วพระเยซูตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 49 แขกรับเชิญคนอื่นๆ เริ่มพูดกันว่า “ผู้นี้เป็นใครหนอ จึงให้อภัยบาปได้?” 50 พระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้า ได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด”
พระเยซูกำลังให้เห็นความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่ม กลุ่มที่เรียกว่าฟาริสี ที่คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ดีงาม แล้วเห็นผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นคนชั่ว บาปหนามาก แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ ทำกับพระเยซูต่างกัน ผู้หญิงนี้พึ่งพระเยซูหมดเลย ผู้เดียวที่จะช่วยฉันได้ แต่ฟาริสีบอกพระเยซูก็ดี แต่มีบางอย่างที่ฉันจะทำเองด้วย พระเยซูเลยลดความสำคัญลง รู้ได้อย่างไร? ก็ทำต่อพระเยซูน้อยลง พระเยซูกำลังบอกกับฟาริสีว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับพระองค์ แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเทิดทูน ที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีต่อพระองค์ และรู้ว่าพระองค์มีค่าเท่าไร? สำหรับเขา ถ้าผู้หญิงคนนี้ ทำอย่างนี้มาก แสดงว่าพระเยซูมีค่ากับเขามาก เทียบกับฟาริสีที่ทำนิดเดียว ล้างเท้ายังไม่ล้างเลย แสดงว่าฟาริสีให้ความสำคัญกับพระเยซูน้อย พูดง่ายๆ พระเยซูไม่จำเป็นสำหรับชีวิตท่านเท่าไรนัก หรือถ้าจำเป็น ก็จำเป็นน้อยกว่าผู้หญิงคนนี้ที่ต้องการพระเยซู
ความหมาย ก็คือเพราะผู้หญิงคนนี้ รู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรมาบ้าง? มีบาปหนาขนาดไหน? เหมือนอุปมาเรื่องเจ้าหนี้ที่เมื่อตะกี้เราอ่าน เป็นลูกหนี้ที่ถูกยกหนี้มากกว่า ก็ย่อมรักเจ้าหนี้มากกว่า เพราะได้รับการช่วยเหลือ ผู้หญิงคนนี้รู้ตัวเองว่าเป็นลูกหนี้ ที่มีหนี้เยอะมาก ยังไงๆ ตัวเองก็ใช้หนี้ไม่หมด ก็เลยต้องพึ่งในพระเยซู 100% เชื่อหมดใจว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะว่าตัวเองไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้นั่นเอง
นี่คือหัวใจของคนที่จะเกิดใหม่ นี่คือหัวใจของคนที่จะมาเชื่อพระเยซู คือต้องรู้ว่าฉันแย่มาก ไม่มีทางรอดเลย ถ้าไม่มีพระเยซู
สรุปหมายถึงอย่างนี้ ผู้หญิงคนนี้ได้สำแดงสิ่งนี้ให้เราได้เห็น ในขณะที่เทียบกับพวกฟาริสีที่คิดว่าตัวเองเป็นคนบาป ก็จริง แต่ฉันกำลังพยายามด้วยตัวเอง รักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ทำให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์บ้าง? บาป แม้ฉันจะมี แต่ก็มีไม่มากเท่ากับคนอื่น ฟังให้ดี ตรงนี้คือหัวใจ ตามอุปมา ก็คือฉันเป็นหนี้แค่นิดเดียว คนอื่นเป็นหนี้ 500 ฉันเป็นหนี้แค่ 50 หรือบางคนปฏิบัติเยอะมากๆ อธิษฐานมากๆ ฉันเป็นหนี้แค่ 5 เท่านั้นเอง เผลอๆ ฉันเป็นหนี้แค่หนึ่ง ยิ่งมีความคิดมากเท่าไร? พระเยซูก็ลดความสำคัญมากเท่านั้น เมื่อเป็นหนี้แค่นิดเดียว การปฏิบัติตัวออกมา ก็เลยแสดงออกถึงความรัก ที่มีต่อคนที่เป็นเจ้าหนี้ น้อยกว่าคนอื่นเขา นี่หมายถึงข้างใน ข้างนอกเราไม่รู้ว่าปฏิบัติอะไรอย่างไร?
พระเยซูบอกว่า “เหตุฉะนั้น บาปมากมายของนาง ได้รับการอภัยแล้ว จากที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อย ก็รักน้อย”
เห็นหรือยัง? “ผู้ที่ได้น้อย ก็ไม่ได้สำนึกถึงการกระทำของพระเยซู คือรักพระเยซูน้อย ผู้ที่สำนึกตัวเองมาก ที่บอกว่าฉันบาป ไม่มีทางแก้ไขได้เลย ไม่มีใครช่วยฉันได้ แม้แต่ตัวฉันเองก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฉันพึ่งพระเยซู 100% เต็ม ก็เลยรักพระเยซู พึ่งพระเยซู 100% อีกคนหนึ่งบอก ฉันพึ่งตัวเองได้ พึ่งพระเยซูสัก 50 ตัวฉันเองทำเองอีก 50 ก็จะรักและพึ่งพระเยซูน้อยกว่า นี่เป็นธรรมชาติ ต้องเป็นอย่างนี้เลย
คำอุปมาที่พระเยซูสอน เป็นการย้ำให้เราเห็นพื้นฐานของมนุษย์ที่ชอบเปรียบเทียบ พยายามชั่ง ตวง วัด ค่าของความเข้มข้นของความชั่วที่ทำ เพื่อหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองรอดพ้นจากบาป ด้วยตัวเอง ซึ่งมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็พยายามที่จะทำ เพราะว่ามันติดบาป มาตั้งแต่เกิดแล้ว จะลบมันออกให้ได้ ทั้งๆ ที่พอมาเชื่อพระเยซู พระเยซูลบมันออก 100% แล้ว ไม่พอ วันทั้งวันยังเอายางลบๆ มันอยู่นั่น ลบจนเลือดไหลเลย เป็นผลร้ายอีก ชีวิตไม่มีสันติสุข
ตัวอย่างเช่น ถ้าทำแบบนี้นะ เป็นบาปใหญ่ ถ้าทำแบบนี้ บาปเล็กๆ เอง แค่ขับรถฝ่าไฟแดง แค่นี้เอง แค่ด่าเพื่อน บาปไม่เยอะ ด่าพ่อกับแม่ เรื่องใหญ่มากๆ เรามักจะคิดกันอย่างนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ให้ด่าแม่เขานะ หมายถึงว่าแม่ตัวเองอย่างนี้ ตวาดแม่ตัวเอง ไม่ได้ ฆ่าคนตายเป็นบาปใหญ่ ถ้าทะเลาะวิวาทกัน เป็นบาปเล็ก ทะเลาะวิวาทแค่นี้ นิดหน่อยเอง ยังไม่ถึงขนาดตีหัวเขาเลย พระเยซูบอกทะเลาะแค่นั้น ก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว บาปเท่ากัน
อีกอันหนึ่งชัดใหญ่ “เจตนา” เราไม่ได้เจตนา ดังนั้นไม่บาป สำหรับพระเจ้า เจตนาหรือไม่เจตนา ก็บาป เพราะว่ามันเป็นบาป เพราะมันเป็นกฎ ลบเลือนไม่ได้ จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งก็ลบไม่ได้ เพราะเป็นพระเจ้าผู้ดูแลรักษากฎนี้ เหมือนท่านเดินออกไป จากดาดฟ้าชั้น 2 ปุ๊บ ไม่มีอะไรรับท่าน ท่านก็ถูกแรงดึงดูดของโลก ดูดท่านลงมา เพราะว่ามันเป็นกฎของโลกนี้ กฎของวัตถุ คืออะไรที่มีน้ำหนัก เป็นวัตถุสิ่งของ ออกไปลอยๆ อยู่ จะถูกแรงดึงดูดของโลก ดูดลงมาบนพื้นดิน เพราะมันเป็นกฎ จะมีแบบนี้ไหม?
“คนนี้ไม่ดูดหรอก เพราะเขาทำดีไว้เยอะ อย่าไปดูดเขาเลย”
ทำได้ไหม? พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์อาจจะมาขึ้นทางทิศตะวันตก เพราะมีคนอธิษฐานขอเยอะ และจำเป็นมากเลย เพราะมันจะช่วยคนอีกประมาณ 2, 3 ล้านคนรอดจากการหายนะ เฉพาะพรุ่งนี้วันเดียว ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก ทำได้ไหม? ไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นกฎ คนไม่เข้าใจตรงนี้ นึกว่า …
“พระเจ้าทำไมไม่ยุติธรรม”
พระเจ้ายุติธรรมจริงๆ พระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม ไม่มีการลำเอียงใดๆ เลย ทุกอย่างเป็นกฎ เป็นระเบียบ ถ้าท่านได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ ก็เหมือนกัน มันก็เป็นกฎ ถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปท่าน ท่านก็ได้รับความรอดเลย มันเป็นกฎ ท่านจะแก้ ยังแก้ไม่ได้เลย ท่านอาจจะบอกว่าโจรคนนี้ ทำชั่วมาตลอดชีวิต แล้วทำชั่วจริงๆ จนถูกจับได้ แล้วถูกตรึง ให้ตายอย่างทรมานที่กางเขน เพื่อเป็นตัวอย่างว่าอย่าทำอย่างนี้อีก แล้วถูกตรึงวันเดียวกับพระเยซู อยู่ข้างพระเยซู 2 คน ทำชั่วทั้งสองคน สมควรตาย อีกคนหนึ่งมาหาพระเยซูบอก …
“พระเยซูฉันเชื่อๆ ขอฝากชีวิตด้วย ฉันเชื่อพระองค์ นำฉันไปสวรรค์ด้วย”
พระเยซูบอกว่าอย่างไร? เราจะได้เจอกันในสวรรค์ รอดไหม? รอด เราบอกไม่ยุติธรรม นี่คือมนุษย์คิด กับพระเจ้าคิดต่างกัน ต้องเข้าใจตรงนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ต้องเข้าใจเรื่อยเปื่อยตามประสาของมนุษย์ ตำรวจเรียกรถ 2 คัน ฝ่าไฟแดงทั้งสองคัน คันหนึ่งปรับ 5,000 บาท จ่าย 5,000 ไม่มีการยกเว้น อีกคันหนึ่ง จอดพร้อมกัน ฝ่าไฟแดงปรับเท่ากัน 5,000 ส่งศาล คนนี้ก็แย้งผู้พิพากษาว่าที่ฝ่าไฟแดงเพราะอะไร? สมมตินะ ยกตัวอย่างให้น่าสงสาร เพราะว่าจำเป็นต้องไปช่วยคนนี้ ภายในหนึ่งวินาที เขาจะตายไม่ตาย ต้องรีบไปโรงพยาบาล มีหลักฐานเรียบร้อย ศาลและลูกขุนเห็นเหมาะสม เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่เขาทำไว้ เพราะฉะนั้น ละเว้นสักหนึ่งราย ไม่เปรียบเทียบปรับ ถามว่าสามารถทำได้ไหม? ได้ เพราะมันเป็นกฎที่มนุษย์วาง มนุษย์ก็จะอย่างนี้ อันนี้ดีๆ มันคนละเรื่องกับโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าวางกฎไว้ต่างๆ แก้ไขไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับบาปแทนเรา และสร้างกฎใหม่ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ ในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ทำอย่างไรก็ตาย เพราะมันอยู่ในกฎนั้น จะมาอ้างไม่ได้ว่า …
“ฉันทำอย่างโน้น ฉันทำอย่างนี้ หวังดี”
มันไม่ใช่ มันอยู่ที่รู้ความจริงของกฎไหม? ความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ ไม่อย่างนั้น เราก็จะมานั่งคิดว่าอันนี้เจตนาทำผิดไหม? อันนี้ไม่เจตนา สำหรับพระเจ้า ทำบาป ก็คือบาป ไม่มีเจตนาหรือไม่เจตนา เราก็จะบอกทำบาปเยอะ ทำบาปน้อย ทำบาปเยอะๆ ต้องไปอยู่ในนรกมากกว่าคนที่ทำบาปน้อย เราบอก คนทำบาปน้อย ไปอยู่ในนรกขุมเดียว คนทำบาปเยอะๆ ไปอยู่นรกหลายขุม แสดงว่ามันต่างกันนะ ในพระเจ้าทำบาปมากบาปน้อย ก็ไปอยู่ในนรกที่เดียว ในทำนองเดียวกัน คนที่ไปอยู่ในสวรรค์ ก็ไปอยู่ในสวรรค์ที่เดียวกันนั่นแหละ ไม่มีอะไรที่ดีกว่า คนนี้ทำดี ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่ง พอแล้ว เธอต้องทำดีมากๆ ขึ้นไปอีก เพื่อว่าเมื่อจบชีวิต เธอจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงๆ เลย ชั้น 12 ก็ได้ เดี๋ยวนี้ยิ่งดีใหญ่ ใช้ลิฟท์ ชั้น 50 ก็ได้ แล้วแต่มนุษย์จะคิดตามประสามนุษย์ พระเยซูกำลังจะสอนเราอย่างนี้ สอนมา 2,000 ปี ยังเอามาใช้ได้ถึงปัจจุบัน เหมือนกันเด๊ะ คุ้นๆ ใช่ไหมถ้อยคำแบบนี้ แต่ในทางพระเจ้าไม่มีแบบนี้ ความรัก ความเมตตา การให้อภัยของพระเจ้าไม่มีความแตกต่างเลย ไม่มีการแบ่งแยกเลยว่าคนนี้บาปน้อย ฉะนั้น อภัยให้น้อย คนนี้บาปหนามาก เพราะฉะนั้น ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ไม่มี พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทุกคน เพื่อทุกคนจะได้รับความรอด มาถึงชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อมนุษย์ทุกคน แต่ทุกคนต้องทำหน้าที่ ก็คือต้องใช้สิทธิของเขา ถ้าเขาใช้สิทธิของเขา ก็จะไม่มีใครมาแย้งได้เลย เขาก็จะได้รับสิทธิของเขาไป ตามนั้น
ในสายพระเนตรของพระเจ้า คำว่าบาป ไม่มีเรื่องปริมาณ ไม่มีเรื่องเจตนา มีเพียงบาป ก็คือบาป ทำบาปเล็ก ทำบาปใหญ่ ก็บาปเท่ากัน ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็บาป เหมือนกัน ไม่ว่าจะเจตนา หรือไม่เจตนา ก็บาปเหมือนกัน ไม่มีคำปรากฏในพระคัมภีร์ว่ารอดจากบาป นิดหน่อย รอดจากบาปมาก มีแต่รอดจากบาปทุกคน มีแต่ขาวกับดำ ไม่มีเทาๆ
ถ้าเราทำให้กฎของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้าแม้แต่ขีดๆ หนึ่ง จุดๆ หนึ่ง ลบเลือนหายไป ด้อยลง อ่อนค่าลง ทำให้บัญญัติของพระเจ้าอ่อนแอลง คือไม่เข้มเท่าเดิม เพราะเราคิดเอง เราก็จะไม่แสวงหาพระคุณพระเจ้า เราก็จะพยายามด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งคิดว่าทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน แล้วเราจะเป็นที่พอใจของพระเจ้า เป็นที่รับได้ของพระองค์มากกว่าคนที่เขาไม่พยายาม อันตรายมาก แต่พระเยซูกำลังมาชี้ให้เราเห็นว่าเราพยายามเท่าไร ก็ไม่มีทางผ่านมาตรฐานของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ไม่มีทางที่จะบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากมลทินของบาปใดๆ ได้ตามมาตรฐาน ตามสายพระเนตรของพระเจ้าได้ เราไม่มีทางทำได้ ถ้าเราเห็นตามที่พระเยซูบอก พระเยซูกำลังบอกว่า …
“ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านต้องพึ่งเรา 100% ไง ต้องมาหาทางเรา 100%”
มาหาทางพระเยซู 100% และวางใจในพระองค์ ที่ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเมสซียาห์
บัญญัติของพระเจ้าที่จะรักษาไว้ เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้พ้นจากบาปได้นั้น ต้องเป็นบัญญัติที่ครบถ้วนบริบูรณ์ บอกว่า “ห้ามฆ่าคน” ก็ต้องไม่ฆ่าเลย แม้กระทั่งว่าคน เกลียดคนก็ไม่ได้เลย ต้องครบถ้วนอย่างนั้น ถึงจะได้เข้าในสวรรค์ได้ เข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้ ต้องครบถ้วนบริบูรณ์ 600 กว่าข้อ หรือมากกว่านั้นอีก ซึ่งพระเยซูบอกมนุษย์ทำไม่ได้หรอก แต่พระองค์ทำให้เราได้ ก็คือเข้าไปเชื่อในพระองค์ พอท่านเชื่อ ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นกฎแห่งพระวิญญาณ พอท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน ตายที่ไม้กางเขน เพื่อแบกรับเอาความบาปของมวลมนุษยชาติ และของฉันด้วย และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์เดชอำนาจ คือกฎของวิญญาณ ใครที่เชื่ออย่างนี้ วิญญาณของเขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ มีวิญญาณเหมือนพระเจ้าเลย สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีตำหนิใดๆ เลย พระเจ้าเป็นวิญญาณแห่งความรัก เคยได้ยินใช่ไหม?
“พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก”
พอเราเหมือนพระเจ้า เราก็เลย เป็นความรัก วิญญาณเราเป็นความรักเหมือนพระเจ้าเลย อย่างที่ตะกี้ผมบอก เราเพียงสวมใส่ร่างกายเก่า ซึ่งร่างกายเก่านี้ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลของบาป เนื่องจากกิเลสตัณหามันยังอยู่ในนี้ เนื้อหนังนี้ และยังอยู่ในความคิดเก่าๆ นี้ อาจจะเผลอตกหล่นไป พระเจ้าไม่สนใจ พระเจ้าสนใจตัวจริงของเรา และความคิดจิตใจของเราที่บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า พระเจ้าบอกว่า …
“จะไม่มีใครที่ไหนเอาเจ้าออกไปจากมือของเราได้อีกแล้ว เราใส่หัวใจใหม่ วิญญาณใหม่ลงไปที่เจ้าแล้ว ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ ที่มาเอาเจ้าออกไปจากความรักของเราได้อีกแล้ว”
ฟิลิปปี บทที่ 1 บอกว่าพระเจ้าทรงให้ท่านเกิดใหม่แล้ว เริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงกระทำ พาท่านต่อไป จนกระทั่งสำเร็จผล เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า จนกว่าวันของพระเยซูคริสต์จอมเจ้านาย คือวันที่ท่านจากไปหาพระเยซู หรือพระเยซูกลับมา เอเมน
เห็นไหม? ทำได้ เพราะว่าพระองค์ทำหนทางให้เรา สามารถไป เพราะว่ามันเป็นกฎ กฎนี้ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ มนุษย์คิดว่าพยายามทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน เพื่อพระเจ้าจะได้พอใจ ฟังให้ดีๆ นะ มนุษย์คิดเหมือนฟาริสีสมัยก่อน แม้จะเป็นคริสเตียน ก็ยังคิดอย่างนี้อยู่ คิดว่าพยายามทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกันนะ เพื่อพระเจ้าพอใจ แต่พระเยซูบอกว่า …
“สิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอใจที่สุด คือท่านทั้งหลายจงเชื่อในเรา”
คนถามพระเยซู “พระเยซู พระเจ้าส่งพระองค์มาทำอะไรบนโลกนี้”
พระเยซูบอก “เรามาทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือเชื่อในพระบิดา คนใดจะไปหาพระบิดา ต้องเชื่อในเรา”
คนไหนทำให้พระเจ้าพอใจ คือเชื่อในพระเจ้า พูดง่ายๆ คือคนไหนที่ทำให้พระเจ้าพอใจ คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาไถ่บาปมนุษย์และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่แหละ คนที่เชื่อตรงนี้ คือคนที่พระเจ้าพอใจที่สุด เพราะว่าเชื่อตรงนี้แล้ว พระเจ้าจะนำพาเขามาเป็นลูกของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงนำพาเขาไปเรื่อยๆ และใช้เขาบนโลกใบนี้ ให้เป็นแสงสว่างที่เดินอยู่บนโลกนี้ พร้อมๆ กับพระองค์ เอเมน
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากทำชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ซึ่งทุกคนอยากทำอยู่แล้วล่ะ พยายามอยากทำอยู่ อันนี้ง่ายขึ้นแล้ว อยากทำให้ชีวิตเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ก็คือเชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซู ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเรา เพื่อให้เราได้บังเกิดใหม่ พร้อมๆ กับพระองค์ในวันที่ 3 ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ แค่นั้นเอง แล้วเมื่อเราเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะอวยพร และนำพาชีวิตท่านต่อไป เมื่อพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเสด็จเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ในวิญญาณของท่าน พระองค์จะนำพาท่านไป จบอุปมานี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
********************************