คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2019 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า”  ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry  Christmas” ครับ  แปลภาษาไทยเลย “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ  จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์  ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

วันนี้ก็ต้องมาพูดเรื่องความหมายของคริสตมาสทุกปี ก็ต้องพูดอย่างนี้ คริสเตียนทุกคนตอบกันได้หมดว่าวันคริสตมาส ก็คือวันที่เขาฉลอง ไม่ใช่วันประสูติจริงๆ นะ หมายถึงเขาถือเอาวันนี้มาฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ให้รอดพ้นจากโทษของความบาปทั้งมวล  ตามที่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  และต้องรับโทษของความบาปนั้นทุกคน โทษนี้ก็คือถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ เข้าไปไม่ได้เลย พระเจ้าจึงส่งพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป กลับไปคืนดี ไปมีสัมพันธ์กับพระเจ้าที่ดีเหมือนเดิม

นี่คือคำตอบว่าทำไมต้องมีวันคริสตมาส  หรือทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งทุกคนที่เป็นคริสเตียนก็ต้องรู้ตรงนี้อยู่แล้ว เป็นพื้นฐาน

ถ้าใครถามว่า “ทำไมต้องมีวันคริสตมาส”

ก็ต้องตอบเขาว่า “เพื่อว่ามนุษย์จะได้สามารถกลับคืนดีกันกับพระเจ้าได้”

เข้ากันได้ มีความสัมพันธ์กันได้ อย่างถูกต้อง เหมือนกับนึกถึงเรื่องนี้ เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ปกติบ้านเราใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ เราเสียบปลั๊กไป กระแสไฟ วิ่งมา 220 โวลต์ ผมไปหยิบเอาหลอดไฟที่มันเป็นหลอด 12 โวลต์ พอเสียบไปปุ๊บ มันขาด ไม่สว่างเลย ผมก็นึกขึ้นได้ เหมือนไม่มีผิดเลย  เมื่อมนุษย์ทำบาป ก็ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้าไปอย่างนี้ เข้ากันไม่ได้เลย มันไม่สว่าง ผมต้องไปเปลี่ยนเอาหลอดใหม่มา ซึ่งเขียนว่าหลอด 220 โวลต์ พอเสียบไปปุ๊บ มันกลับคืนดีกับไฟฟ้า เพราะมันคืนดีกัน มันเป็น 220 เหมือนกัน มันจึงเข้ากันได้ มันแปลว่าอย่างนี้

เราก็จะมาย้อนเหตุการณ์ถอยหลังไปอีกว่าก่อนที่มนุษย์จะกลายเป็นคนบาป มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? แล้วทำไมอยู่ๆ มนุษย์ก็บาป และต้องได้รับโทษของความบาปนั้น พูดง่ายๆ ถ้าพระเจ้าสร้างมนุษย์ ทำไมมนุษย์จะต้องตายด้วย หมายถึงตายทางร่างกายนี้ด้วยนะ ทำไมต้องเจ็บป่วย ทำไมต้องตาย

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจก่อนว่าตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์เป็นอย่างไร? เราจะศึกษาเรื่องนี้ จะดูให้ถ่องแท้ เราต้องรู้ว่ามนุษย์นั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง? ในพระคัมภีร์บอกมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์มีวิญญาณนะ มนุษย์เป็นวิญญาณ เหมือนที่ท่านบอกว่า …

“ฉันเป็นผู้หญิง” ไม่ใช่บอกว่า “ฉันมีผู้หญิงอยู่” … “ฉันเป็นผู้ชาย” มันต่างกัน

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ที่มีจิตใจติดอยู่กับวิญญาณนั้น และอาศัยอยู่ในร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากธาตุทั้ง 4 ที่เรียกว่าโลกนี้  คือดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าจะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับเรา อันนี้สำคัญที่สุด นี่คือความจริงที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จำเป็นต้องรู้ และเมื่อรู้แล้ว จำเป็นต้องยอมรับ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อตรงนี้ไม่รับตั้งแต่แรก  ที่เรียนไป ก็ไม่มีประโยชน์ มันผิดทาง เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เพราะฉะนั้น ต้องจำไว้ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยในร่างกาย จำได้ไหม?

“มนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยในร่างกาย”

มันต่างกันนะ “เป็น” … “มี” … “อาศัย”

จำไว้เลย ไปไหนก็ตาม ให้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ  ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นวิญญาณ คุณพิชิตเป็นร่างกายของผม ไปไหนก็ไปด้วยกัน ให้มองอย่างนี้ตลอด ดูในกระจกก็ให้เห็นว่าผม ฉันเป็นวิญญาณ มีความคิดอยู่ในนี้ คิดสรรเสริญพระเจ้าก็ได้ คิดไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ได้ แต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายที่สร้างขึ้นมาด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ  คือโลกใบนี้ ฉันจะอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว

และแรกเริ่ม เดิมทีนั้น วิญญาณข้างในตัวเรา มาจากพระเจ้า มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ใกล้ชิดสนิทสนม สัมผัสมองเห็นพระเจ้า มองเห็นโลกวิญญาณชัดเจนเลย ไม่ต้องพยายาม ต่อมาเมื่อมารซาตานเข้ามาล่อลวงให้มนุษย์หลงเชื่อ เริ่มดื้อกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกการไม่เชื่อฟัง การกบฏต่อพระเจ้านี้ว่าการทำบาป

การทำบาปนี้ เรียกว่า “Miss the target” แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ พระเจ้าไม่ได้วางไว้ให้มนุษย์ต้องตาย พระเจ้าไม่ได้วางให้มนุษย์เป็นอย่างนี้ แต่มนุษย์ไปทำให้มันเกิดขึ้น ผิดเป้าหมายไป เขาเรียกว่าทำบาป

และผลของความบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าทำให้เกิดความตายในวิญญาณ แล้วมันก็มีผลออกมาที่ร่างกายต้องกลับสู่ดิน ซึ่งมนุษย์เราเรียกว่าตายเหมือนกัน  แต่จริงๆ มันคือการกลับไปสู่ดิน สลายไป แต่วิญญาณนั้นตาย ข้างใน

ตั้งแต่นั้นมา สภาพของมนุษย์จึงกลายเป็นวิญญาณที่บาป เมื่อตะกี้นี้ วิญญาณที่เราเห็น จากสภาพเป็นลูกพระเจ้า กลายเป็นวิญญาณบาป มีลักษณะเป็นศัตรู กบฏกับพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากันกับพระเจ้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถมีสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าได้อีกต่อไป  ไม่สามารถสัมผัส ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถรับรู้โลกวิญญาณได้เหมือนเดิมอีกต่อไป กลายเป็นทาสมาร ตกอยู่ใต้อิทธิพลของมาร มารมีความชั่วร้าย กำเนิดขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง คือเป็นต้นกำเนิดของความชั่ว หรือความบาปทั้งปวง เป็นศัตรูกับพระเจ้าเกิดขึ้น โดยตัวของมันเอง ก็คือมารเป็นแหล่งกำเนิดของบาป เป็นรากของความบาป

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพอย่างชัดเจนว่านี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่มนุษย์ได้ถูกล่อลวงให้ตกลงไปในความบาป โดยผ่านทางอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา เมื่อมนุษย์ทำ ถือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ทำ เพราะว่าเราทั้งหลาย อยู่ในดีเอ็นเอของอาดัมและเอวา เพราฉะนั้น ทุกคนในเผ่าพันธุ์นี้ ตกลงไปในโทษของความบาปนี้ เหมือนกัน อยู่ในคำสาปแช่งนี้ เหมือนกันทั้งสิ้นเลย

สาธิตให้ดู แรกเริ่มเดิมที ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ วิญญาณของมนุษย์กับพระเจ้าไม่ต่างกันเลย บริสุทธิ์ สีขาว คือความบริสุทธิ์สะอาด พระเจ้ากับมนุษย์รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ไปไหนมาไหนได้ พอมนุษย์ถูกล่อลวงโดยมาร ให้ไม่เชื่อฟัง พระเจ้าสั่งไว้แล้วนะว่า …

“วันใดเจ้าขืนกบฏ ไม่เชื่อฟังเรา  เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะได้รับโทษ เจ้าจะถูกตัดขาดจากเรา แล้วมารไปล่อลวงมนุษย์ อาดัมเอวาก็ได้ทำบาป ในโลกวิญญาณ ทันทีเลย ขาดออกจากกัน พระเจ้าสีขาว แต่มนุษย์เป็นสีดำแล้ว มืดแล้ว มนุษย์ลงไปอยู่ในอาณาจักรของความมืด จากวันนั้น มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ตลอด เข้ากับพระเจ้าไม่ได้

ตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ที่บอกว่าคือวิญญาณนั้น ข้างในมันเป็นบาป เป็นศัตรู กบฏกับพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้เลย ซึ่งตามกฎของพระเจ้า ก็คือความบาปก่อให้เกิดความตายและคำสาปแช่ง ไม่ต้องบอกนะคำสาปแช่งแปลว่าอะไร? มนุษย์ทุกคนรู้ดี คือการรับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง

ปัญหาของมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่การกระทำข้างนอก ที่เรียกว่าบาป แต่มันอยู่ที่สภาพวิญญาณที่เป็นบาปต่างหาก มนุษย์ทั่วๆ ไป จึงพยายามที่จะช่วยเหลือตนเองก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด หรือแม้แต่เกิดแล้ว แต่ไม่ยอมรับพระเยซู เหมือนเราเมื่อตอนก่อนมาเชื่อพระเยซู มนุษย์จึงพยายามช่วยเหลือตนเองให้พ้นคำสาปแช่ง เพราะรู้ตัวเองว่าเราเป็นคนบาป ลึกๆ เรารู้ และพยายามทุกหนทางที่จะไม่ทำบาป เพื่อจะได้ลดโทษได้ลดคำสาปแช่ง แล้วคำถามว่ามนุษย์พยายามทำด้วยวิธีใด  ก็ด้วยวิธีฝึกฝน บอกลูก บอกหลาน บอกชุมชน บอกกลุ่มของตน บอกกับตัวเอง โดยออกเป็นกฎ เราเรียกกันว่ากฎระเบียบ กฎข้อกำหนดต่างๆ ข้อห้ามต่างๆ ศีลธรรมต่างๆ ตามที่แต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชนเห็นพ้องกันว่ามันดีงาม ทำอย่างนี้ พยายาม แต่จิตสำนึกลึกๆ ข้างในของมนุษย์ก็รู้ว่าไม่มีทางที่จะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ มันถึงมีคำว่า “ต้องสะสมบารมี” สะสมความดีไปเรื่อยๆ ต้องเกิดใหม่อีกกี่ครั้งก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันต้องทำ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ได้แค่ทำจากข้างนอกเข้าไป มันจะครบถ้วนสมบูรณ์ได้อย่างไร? ในเมื่อปัญหามันอยู่ที่วิญญาณตัวจริงๆ ข้างใน เรามาแก้ข้างนอก มันไม่มีทางได้

ปัญหาของมนุษย์มันอยู่ที่วิญญาณที่เป็นตัวจริง ที่อยู่ข้างใน ที่มันเป็นบาป เป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายต่างๆ เป็นพิษร้ายแรงอยู่ในวิญญาณ ที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ไม่ใช่การกระทำเลย พอเห็นภาพไหม?

คือข้างนอกทำอะไร  มันไม่ได้เกี่ยวกับข้างในเลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี มันก็อยู่ที่รากของมัน มันก็จะออกผลดี ถ้าเราไปเบียดกับต้นที่ไม่ดี ก็ออกผลไม่ดี ซึ่งตอนแรกๆ มันจะดูเหมือนดี เหมือนกับว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่มันชั่วร้ายข้างใน เขาเรียกว่าหลุมศพฉาบปูนขาว ข้างนอกก็ดูสะอาดสอ้านเรียบร้อยดี แต่ข้างในมันสกปรก

นี่ไม่ได้หมายถึงพระเยซูต้องการมาว่าใคร? แต่พระเยซูกำลังมาบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้เราได้รู้ว่าเหตุมันเกิดขึ้นที่ใด และพระองค์มาเพื่อช่วยเราที่ต้นเหตุ เพื่อมันจะได้ผล ก็คือต้องมารักษาเรา ต้นเหตุที่เกิดขึ้น ก็คือที่วิญญาณของเรา พระเจ้าผู้เป็นพ่อก็ขอร้อง เรียกร้องให้ลูกๆ ของพระองค์กลับบ้าน กลับมาคืนดีกันเถอะ ตั้งแต่วันนั้น โดยวางแผนการไว้ให้พระเยซูมาช่วย ร้องเรียก เรียกร้องให้มนุษย์กลับสวรรค์เถิด กลับบ้านเราเถิด โดยทางพระเยซูคริสต์ ให้มาเป็นผู้เยียวยา รักษาวิญญาณของมนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า ทำให้มนุษย์สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ กลับมาอยู่ในบ้าน มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ ให้พระเยซูมา แก้ไข เปลี่ยนเราใหม่จากหลอดที่มันใช้ไม่ได้แล้ว ให้มันเป็นหลอดที่สามารถเสียบเข้าไปใน 220 โวลต์ แล้วก็สว่างออกมาได้ เอเมน เราไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้ เราเป็นหลอดไฟริบรี่ๆ มีไฟไม่ถึง 1 โวลต์ เราพยายามปั่นตัวเอง ปั่นให้ตายอย่างไร ก็ไม่ถึง 220 โวลต์ พระเยซูคริสต์จะมาเปลี่ยนเราเลย ชุบเราใหม่เลย เอาหลอดของเรานั่นแหละทิ้งไปเลย แล้วให้หลอดเราใหม่ เป็นหลอด 220

“เสียบเลยลูก”

พอเสียบปั๊บ มันติดปุ๊บ มันสว่างทันที พระเยซูจึงบอกว่าท่านเป็นลูกแห่งความสว่างไม่รู้เหรอ จงให้ความสว่างในท่านฉายไปยังโลกใบนี้ ไปที่ไหน ก็สว่างที่นั่น เอเมน ไม่ใช่ความดีที่ท่านทำ แต่มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์จริงๆ ในทางพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่สนใจ พอสว่างแล้ว ข้างนอกท่านจะไปทำอะไร เดี๋ยวมันจะตามมาเอง และความสว่างนั้น เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า มัน เกิดที่วิญญาณ  เพราะฉะนั้น มันจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ แค่วันหนึ่ง 2 วัน  3 วัน 7 วัน แต่มันจะเป็นตลอดไป มันไม่สามารถที่จะมานับเวลาได้ เพราะว่ามันเป็นวิญญาณ เป็นตัวตนเราเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ซึ่งไม่ได้แปลความหมายว่าระยะเวลานิรันดร์ เราจะอยู่ตลอดไป ไม่มีการตาย อันนั้นเป็นคุณสมบัติ ซึ่งได้รับอยู่แล้ว แต่เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ แล้วเราจะอยู่ที่นั่น พระเยซู เจ้าของวันคริสตมาสมาบังเกิด เพื่อมนุษย์จะได้กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับไปอยู่สวรรค์ ไปอยู่บ้านของเรานิรันดร์ จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป มีความสุขตลอดไปนิรันดร์ นี่คือความหวัง นี่คือความจริง  ที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ในวิวรณ์บทที่ 21 อ่านนิดหนึ่ง เพื่อจะให้กำลังใจท่านว่าทำไมคนรู้เรื่องนี้ จึงมาฉลองคริสตมาสกันมานานแล้ว ไม่ใช่คริสตมาสอย่างเดียว ฉลองทุกวันแหละ ดีใจเหลือเกินที่พระเยซูมาบังเกิด เพราะเขามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่ได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล โดยไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป วิวรณ์ บทที่ 21 เขาบอกถึงบ้านที่เราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน ในโลกที่มองไม่เห็น จงมองให้เห็นเถิดในโลกวิญญาณจะเป็นอย่างนี้ว่าเมื่อท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อในการทรงไถ่บาปของพระเยซู ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าของวันคริสตมาสแล้ว พระเยซูได้ไถ่ท่าน ให้ท่านได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ทำให้ท่านไปอยู่ในบ้านแห่งสวรรค์ และบ้านสวรรค์นั้น ท่านจะอยู่นิรันดร์ มีลักษณะตอนจบเป็นอย่างไร เมื่อท่านเชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ท่านต้อนรับพระเยซูเมื่อไร? ท่านก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ทันที แต่เป็นอาณาจักรสวรรค์ที่เรียกว่าพาราไดร์ เรียกว่าสวรรค์อันหนึ่ง ตอนที่เรานั่งอยู่นี้ เรานั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว พระคัมภีร์บอก อยู่ในพาราไดร์ แต่รอการไปอยู่ในสวรรค์ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่พระเยซูกลับมาใหม่ หรือเมื่อวันที่ครบกำหนด ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับโลกใบนี้ อาจจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เที่ยงวันนี้ เราไม่รู้หรอก อาจจะเป็นปีหน้า อีกกี่ปีเราไม่รู้ มาดูสิว่าวันสุดท้ายจริงๆ เมื่อเราออกจากร่างกายนี้แล้ว  เราอยู่ที่ไหนนิรันดร์ จะได้เห็นภาพ จะได้เห็นความหมาย ความสำคัญของคริสตมาสว่ามันคืออะไร?

วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิม ได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาว แต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าว อีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

นี่คือความหวังที่ชัดเจน ที่มองเห็นจับต้องได้เลย สำหรับผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซู และได้ยอมรับแล้วว่า …

“พระเยซูเป็นผู้ไถ่บาปให้กับตัวเอง ให้กับฉัน และบัดนี้ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้วปัจจุบันนี้ แต่อนาคตเมื่อฉันทิ้งร่างกายเก่านี้ไปแล้ว ที่ฉันสวมอยู่ในปัจจุบัน ฉันจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ และจะไปอยู่ในสวรรค์”

แบบนี้ ชัดเจน ต้องบอกตัวเองเลยว่าจงมองให้เห็นเถิด มันเป็นอย่างนี้แหละ

เราควรจะมีความชื่นชมยินดีมากขนาดไหน? ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้

ถ้าอยากให้เห็นโลกวิญญาณ ต้องช่วยเหลือ โดยการหลับตาเนื้อหนังซะ มันจะได้มีสมาธิ หลับตาลง แล้วก็บอกตัวเองนะ

“จงมองให้เห็นเถิดๆๆๆ”

แล้วก็นึกถึงภาพที่เขาอ่านถ้อยคำพระเจ้าให้เราฟังเมื่อสักครู่นี้

“บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับฉัน ฉันจะเป็นลูกของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับฉันตลอดเวลา และเป็นพระเจ้าของฉันตลอดไป และพระเจ้า พ่อของฉันนี้ จะซับน้ำตาทุกๆ หยดของฉัน จะไม่มีความตาย ไม่มีการคร่ำครวญ ไม่มีการร่ำไห้ ไม่มีการเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะโลกเก่า ระบบเก่าจบสิ้นแล้ว นี่คือโลกใหม่ บ้านใหม่ สวนเอเดนใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับฉัน เอเมน”

ลืมตาได้ เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ หรืออยากจะให้เข้าใจโลกวิญญาณชัดๆ พยายามทำอย่างนี้แหละ เราเรียกกันว่าภาวนา พิจารณา ใคร่ครวญถ้อยคำของพระเจ้า เราเรียกกันว่า Set our mind การตั้งโฟกัสไปที่โลกวิญญาณ คือสวรรคสถาน ซึ่งมันเป็นจริงตามถ้อยคำของพระเจ้า

ตอนที่พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และเริ่มต้นทำการประกาศ ตอนอายุ 30  ตอนหลังคริสตมาสประมาณ 30 ปี พระองค์ทรงเริ่มต้นคำแรกเลย  พระองค์ประกาศ ในยอห์น 3:16 ว่า …

ยอห์น 3:16  “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระบุตรองค์เดียว ก็คือตัวพระองค์เอง เพื่อจะไม่พินาศ ก็คือเพื่อจะไม่ต้องไปลงนรก ไม่ถูกลงโทษด้วยคำสาปแช่ง แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ชีวิตนิรันดร์คืออยู่ตลอดไป  แม้คนไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็อยู่ตลอดไปเหมือนกัน อยู่ในนรกตลอดไป อยู่ในความพินาศตลอดไป แต่ไม่มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา วิญญาณเขาอยู่ในความมืด

ในโคโลสี 1:21-22 ก็เช่นเดียวกัน ได้บันทึกไว้อย่างนี้ “21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

 

“ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ” ครั้งหนึ่ง เราเคยเป็นหลอดไฟที่ใช้ไม่ได้ ขืนเสียบไปพังแน่ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ คือรักษาเรา ทำอะไรบางอย่างในวิญญาณของเรา ให้เราเป็นวิญญาณที่สามารถต่อติดกับพระเจ้าได้เหมือนเดิม

ในประโยคที่บอกว่าเพราะพฤติกรรมชั่วของท่านนั้น ไม่ใช่พฤติกรรม มันหมายถึงตัวตนจริงๆ ภาษาเดิมตรงนี้ หมายถึงว่าเพราะท่านเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในวิญญาณของท่าน “เพราะพฤติกรรมชั่วของท่าน” ก็คือเพราะพฤติกรรมจากวิญญาณชั่วของท่าน วิญญาณที่สกปรก วิญญาณดำๆ นั้น พระคัมภีร์กำลังพูดอย่างนั้น ท่านไม่สามารถเข้าหาพระเจ้า แต่พระเจ้าพระเยซูเข้ามารักษาท่าน ในวิญญาณของท่านให้เปลี่ยนใหม่เลย บังเกิดใหม่  ไม่เอาหลอดเดิมอีกต่อไป เอาหลอดใหม่มาเลย วิญญาณท่านเปลี่ยนใหม่ สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ นั่นหมายความว่าอย่างนี้

โรม 5:10 ก็เช่นเดียวกัน บอกไว้อย่างนี้ว่า … “เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน

 

ก่อนพระเยซูมาช่วยเรา เป็นอย่างนี้ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เราทั้งหลายได้รับการทำให้คืนดีกับพระเจ้า คืนดีแล้ว ดีกว่าเดิมอีก โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยโลหิตของพระเยซู ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน จะเรียกว่าการบัพติศมาเข้าไปสู่วิญญาณเดียวกันก็ได้ ตามพระคัมภีร์บอก โคโลสี 1:12-14 …

โคโลสี 1:12-14 “12 ในการขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนบาป วิญญาณเรามืด แต่เมื่อเราเริ่มต้นยอมรับ และเชื่อในความจริงในข่าวดีนี้ว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้เรารอดจากโทษของความบาป และความตายนี้ได้ พอเรารับเชื่อปั๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณดำๆ ที่ข้างในนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเราลงไปอยู่กับพระเยซู ไปตายร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ไปลงในนรก พร้อมกับพระเยซู ในวินาทีนั้นเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้ววันที่ 3 พระเจ้าก็ชุบให้เราเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดในพระคัมภีร์ใหม่ ชัดเจน เป็นอย่างนี้ นี่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์

ถามว่าทั้งหมดนี้ เกี่ยวอะไรกับที่เราทำไหม? ไม่เกี่ยวเลย  ข้างนอกจะทำอะไรไม่เกี่ยวเลย  ไม่สำคัญเลย สำคัญที่วิญญาณที่เราอยู่ข้างในต่างหาก ใช่ไหม? แล้วพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์จึงประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” มนุษยชาติ จากอาณาจักรของความมืด  มาสู่ความสว่างได้รับอิสรภาพแล้ว จากอยู่ในคุกมืด บัดนี้มนุษย์ ไม่ใช่ฉันคนเดียว มนุษย์ทั้งหมด สามารถที่จะมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง มาคืนดีกับพระเจ้าได้แล้ว ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว หมายถึงอย่างนั้น มนุษย์จากคนบาป มาเป็นคนชอบธรรมได้แล้ว วิญญาณนะ จากการเป็นทาส เป็นหนี้ต้องชดใช้ มาเป็นวิญญาณที่มีอิสรภาพ ได้ครอบครองสวรรค์ของพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้าด้วย ได้ถูกย้ายจากอำนาจของมาร มาสู่อำนาจของพระเจ้า จากอยู่ในนรก อยู่ในความพินาศตลอดไป กลายเป็นมาอยู่ในสวรรค์ และจะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ มีความสุขกับพระเจ้าตลอดไป ถูกย้ายจากเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  ซึ่งได้รับมาจากรากของมารซาตาน ลงไปอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ผ่านทางอาดัม ต้น DNA ของมนุษย์ เราเคยอยู่ในตัวอาดัม อยู่ในรากของต้นไม้ต้นนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่เป็นรากของความชั่วร้าย ความตาย การเป็นกบฏต่อพระเจ้า บัดนี้ถูกย้ายออกจากรากของต้นนี้แล้ว มาอยู่ในรากของต้นใหม่ที่ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เอเมน เห็นภาพไหม?

ทุกอย่างอยู่ที่รากมัน มันอยู่ที่ข้างใน มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก  ถ้าเข้าต่อกับรากถูก มันไปเอง ข้างนอกไม่ต้องไปสนใจเลย ข้างนอกเดี๋ยวพระวิญญาณก็จะนำเราไปทำ ถูกๆ ผิดๆ บ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก ให้มันสมกับที่เป็นลูกพระเจ้าก็แล้วกัน จะเอาครบถ้วนบริบูรณ์ จนกระทั่งสุดท้ายบนโลกใบนี้ มันเป็นไม่ได้หรอก แต่วิญญาณมันสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องห่วง ลูกเอ๋ย เอเมน ตัดสินใจจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เชื่อฟังพระเจ้า 100% เลย เข้ากันได้ดี เรียบร้อยเลย เพราะวิญญาณเข้ากันได้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าใช่ๆ แต่เนื้อหนังร่างกายข้างนอก ก็ว่ากันไปตามความเคยชิน ตามระบบที่ต้องอยู่บนโลกใบนี้  ระบบที่มันเสียหาย ไปบนโลกใบนี้ มันทำให้เกิดอะไรวิปริตวิปราตเยอะแยะไปหมด ไม่เป็นไรลูกเอ๋ย เดี๋ยวเรานำไปเอง เอเมน เขาถึงเรียกว่าพระคุณไง จากความทุกข์นิรันดร์ พระเยซูนำพาเรา เปลี่ยนแปลงวิญญาณเราเข้ามาสู่ความสุข ที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งแปลว่าตลอดไป ตลอดกาล

1 โครินธ์ 15:22 “เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต ฉันนั้น”

 

มนุษย์ทั้งหมด  เป็นวิญญาณ และทั้งหมดอยู่ในความตาย อยู่ในความมืด มนุษย์ทุกคนเริ่มต้นจากอาดัมนั่นเอง ในอาดัมคนทั้งปวงตาย นี่พูดถึงปฐมกาล และก็ตายมาตลอด เพราะมีแต่ลูกหลานอาดัมทั้งนั้น และลูกหลานเหล่านั้นก็ติดเชื้อมาตลอด วิญญาณก็ตายมาตลอด จนกระทั่ง เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นหัวหน้าของมนุษย์ เพราะมนุษย์ต้องได้รับการช่วยเหลือจากมนุษย์เท่านั้น มนุษย์จะได้รับการช่วยเหลือมาจากวิญญาณไม่ได้ วิญญาณหมายถึงวิญญาณเปล่าๆ จากทูตสวรรค์ก็ไม่ได้ จากพระเจ้าเองก็ไม่ได้ จากพระเยซูก็ไม่ได้ ถ้าเผื่อพระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็เป็นวิญญาณ ก็มาทำอะไรบนโลกใบนี้ไม่ได้ โลกใบนี้เป็นของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ใครจะมาทำอะไรบนโลกใบนี้ ต้องเป็นมนุษย์ พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้มีสิทธิ จะทำอะไรก็ได้  เป็นหนึ่งคนของมนุษย์ เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่มาจากพระเจ้า  และเป็นมนุษย์ 100% ก็คือเป็นบุคคลเดียวในโลกใบนี้ ที่พิเศษกว่าชาวบ้านเขา สมัยนั้น  เรียกว่าเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ในคนเดียวกัน จึงจำเป็นต้องมาเกิดในหญิงพรหมจารีย์ แมรี่ เพื่อเป็นมนุษย์ แต่วิญญาณมาจากพระเจ้า เพื่อมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ รับโทษ การกระทำของมนุษย์ทั้งปวง รับเอาความบาปทั้งปวงไว้ที่ตัวพระองค์เอง เพื่อจะไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความผิดบาป ที่ต้องรับโทษ แล้วพระองค์ก็เป็นต้นพันธุ์ของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ตระกูลใหม่ ต่อจากอาดัม ก็คือเป็นต้นตระกูลของพระคริสต์

เพราะฉะนั้น บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้ในโลกวิญญาณ มนุษย์มีอยู่แค่ 2 ตระกูลเท่านั้น ตระกูลหนึ่ง คือตระกูลเก่า มีชื่อว่า “ในอาดัม” ตระกูลใหม่ เชื่อวางใจในพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแน่นอน มาเริ่มต้นพันธุ์ใหม่แน่นอน มาพาฉันกลับบ้านไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน และเชื่อตามนี้  เขาก็จะได้ไปอยู่ในตระกูลใหม่ ตระกูลที่มีชัยชนะ เรียกว่า “ในพระคริสต์” ท่านอยากจะเลือกอย่างไหน? แน่นอน ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ไม่มีใครเลือกอาดัม เลือกในพระคริสต์ วิธีเลือกทำอย่างไร?  เชื่อแค่นั้นเอง เชื่อว่าพระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มากระทำสิ่งนี้ เพื่อปวงมนุษยชาติทั้งหลายจะได้รับความรอด จากบาป รอดจากนรก เพื่อมาตั้งต้นพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ เรียกว่าพันธุ์แห่งชัยชนะ เพื่อให้มนุษย์ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เพราะเป็นวิญญาณบาปนั้น ได้มีโอกาสย้ายตัวเองแค่นั่นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะทำไม่ไหวอยู่แล้ว  เพราะวิญญาณเราบาปอยู่ มาพึ่งในบุคคลที่สามารถทำได้ พี่ชายหรือบรรพบุรุษเราคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าเยซู และเขาบอกว่าเขามาจากพระเจ้า แค่นั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ใช้สิทธิ์

เพราะตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ตอนสมัยอาดัม มนุษย์ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะอาดัมทำ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันยังเป็นบาปไปด้วยเลย ฉันยังถูกสาปแช่งไปด้วยเลย แล้วพระเยซูมา เพื่อช่วยฉันหลุดพ้นจากคำสาปแช่ง ฉันก็ไม่ต้องทำอะไรด้วย ตอนก่อนหน้าพระเยซูจะมา ฉันเชื่อว่าฉันอยู่ในอาดัม มนุษย์มีเวรมีกรรมต้องชดใช้ ทำไมฉันเชื่อได้ ฉันไปทำเวรกรรมอะไรมาจากที่ไหน? เกิดมาก็ต้องชดใช้เวรกรรม เวรกรรมปางก่อนปางไหนก็ไม่รู้ ฉันก็ยอมรับได้ แต่พอมาบอกว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ต้องชดใช้บาปแหละ มันจริงเหรอ มันเป็นไปได้เหรอ ทีอย่างนี้ทำไมไม่เชื่อ มันก็เหมือนกันแหละ มันไม่ต่างอะไรกันเลย คนหนึ่งพาเราไปลงเหว อีกคนหนึ่งพาเราขึ้นจากเหว เราไม่ได้ทำอะไรทั้งสองข้างเลย  ตอนบาป เราก็ไม่ได้ทำ ตอนเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็ไม่ต้องทำเช่นเดียวกัน เพราะว่าความตายทั้งหมดที่เข้ามาในโลก เกิดจากมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์เพียงคนเดียว ก็ทำให้เป็นขึ้นจากความตายได้เหมือนกัน และเพราะว่าในอาดัมทำให้มนุษย์ทุกคนตาย ตัดขาดจากพระเจ้า และต้องอยู่ในนรกตลอดไป ฉันใดก็ฉันนั้น ในพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้มนุษย์ทุกคน เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่ เข้ามาสู่ชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน (เยาะเย้ยมารแบบว่า “นะโว๊ย มารแพ้แล้ว”) ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ในพระคัมภีร์เขียนคำนี้เลย เยาะเย้ยเลย เปาโล เขียนบอก …

“ความตายเจ้าอยู่ไหน? เหล็กในเจ้าอยู่ไหน?”

นี่มันก็เคือเยาะเย้ยนะ  ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับชัยชนะเหนือความตายเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวดีมันง่ายๆ มันไม่มีอะไรเลย  ถ้าเราไม่ไปผสมปนเปกับปรัชญา หรือสติปัญญาแบบมนุษย์ พระเยซูถึงบอกสำเร็จแล้วๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือสำเร็จแล้ว

โอเค มาถึงเวลาให้เราฝึกฝนในการใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ … หลับตาลง … แล้วก็พูดกับตัวเอง …

“จงมองให้เห็นเถิด จงมองเข้าไปในวิญญาณ (พูดกับตัวเองนะ) จงมองเข้าไปในโลกวิญญาณและมองให้เห็นเถิด  (สบายๆ หายใจลึกๆ ให้พระวิญญาณนำเราไป) ฉันเป็นวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ มีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ เป็นวิญญาณและมีจิตใจที่เหมือนกับพระเยซู สะอาด บริสุทธิ์ ไร้ที่ตำหนิใดๆ ในสายพระเนตรของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความสว่างเหมือนพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเยซู วิญญาณของฉันนี้ และใจนี้ อาศัยในร่างกายเก่านี้ เพียงชั่วคราว วันหนึ่ง เมื่อร่างกายนี้ กลับสู่ดินไป วิญญาณและจิตใจใหม่ ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของฉัน จะไปรอสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ จะเป็นร่างกายที่สง่างาม เต็มด้วยรัศมี ราศีพระสิริของพระเจ้า  ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ตลอดชั่วนิรันดร์ และฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป เป็นลูกของพระเจ้าที่ได้ครอบครองทุกสิ่ง ร่วมกับพระเยซูตลอดไป ขอบคุณพระเจ้า”

แล้วก็ให้อธิษฐาน … “พระบิดาขอช่วยลูกให้เห็นภาพเหล่านี้ ที่จะเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้ชัดเจน เพื่อลูกจะได้มีกำลัง มีความหวังในการดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อประกาศข่าวดีของพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน และลูกอธิษฐานขอพระองค์ทรงช่วยลูก ที่จะนำเอาแสงสว่างความจริงของพระองค์นี้ ไปยังบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ ทุกๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่รู้ความจริง ยังไม่ได้ยอมรับความจริงเหล่านี้ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ขอทรงช่วยผู้คนเหล่านั้นด้วยเถิด จะผ่านทางชีวิตของลูกหรือผ่านทางอะไรก็ตาม ลูกอธิษฐานวิงวอนให้กับผู้คนเหล่านั้น พี่น้องร่วมโลกเดียวกัน ที่เขายังไม่ได้เห็นความเป็นจริงนี้ ขอเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับเขาด้วยเถิด ลูกสรรเสริญ และขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VSความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สัปดาห์ที่แล้ว เราเริ่มกันที่เรื่องแรกของซีรี่ย์ที่ใช้ชื่อว่า “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” เราเริ่มกันที่เรื่องแรก คือความเชื่อในการทำตามพิธีที่ในปัจจุบันยังมีคริสเตียนหลายคน โดยเฉพาะคริสเตียนเก่าแก่ ที่ยังคงยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่ได้รับการสอนต่อๆ กันมา ที่เปาโลจะใช้คำนี้ ในเรื่องนี้ เพื่อเตือนสติให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว เปาโลใช้คำว่าเป็นปรัชญาอันไร้แก่นสาร ฟังดูดี ฟังดูเป็นปรัชญา แต่มันไร้แก่นสาร ซึ่งบันทึกไว้ในโคโลสี 2:8

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

จับเป็นทาส ก็แสดงว่าเราเป็นไท ถูกไหม?  อย่าให้ใครมาจับเราไปเป็นทาส เพราะเราเป็นไทแล้ว นี่พูดกับใคร? พูดกับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็สรุปได้ว่าการกระทำตามประเพณีเก่าแก่ ตั้งแต่โบร่ำโบราณไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักความจริงในพระคัมภีร์ทุกอย่างเสมอไป ดังนั้น เราต้องยึดมั่นในความจริงของข่าวดี เรื่องของการไถ่บาปของพระเยซู ในพระคัมภีร์เป็นหลักอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ตามตำนานเล่าขาน ที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ ผู้อาวุโส หรือผู้ที่น่าเชื่อถือ ตามสายตา ตามสติปัญญาของมนุษย์ อันนี้ชัดๆ ไม่ว่าตามสายตาของเรา หรือมนุษย์ทั้งหลายจะยกย่อง และน่าเชื่อถือแต่ถ้ามันไม่ตรงกับข่าวดีข่าวประเสริฐที่บันทึกไว้ มันไร้แก่นสาร มันไม่มีประโยชน์ ทำลายข่าวประเสริฐด้วยซ้ำไป พระเยซูตรัสว่าความจริงในข่าวประเสริฐจะทำให้เราเป็นไท

คำว่า “ต้อง” แปลว่ากฎ ต้องคือต้องทำ ถ้าไม่ทำ ก็โดน พระเยซูมาปลดปล่อยเราเป็นอิสระจากกฎ ก็คือมาปลดปล่อยเราจากการต้องทำอันโน้น ต้องทำอันนี้ ต้องไม่ทำอันโน้น ต้องไม่ทำอันนี้ ต้องอย่าทำอย่างนั้น ต้องอย่าทำอย่างนี้ “ต้อง” ก็คือการเป็นทาสนั่นเอง

ในหนังสือ 1 โครินธ์เปาโลก็บอกไว้แล้วว่ากฎ ระเบียบ มีอยู่ต้องเดียว ก็คือข้อบังคับของพระเจ้า  สำหรับผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน ผู้เชื่อแล้ว คือต้องทำทุกอย่าง ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาป เพื่อมนุษย์ทั้งปวง

ในหนังสือโรม บันทึกไว้อย่างนี้ เปาโลบอก มันเหลือต้องเดียว  และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ (ในพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาปของพระองค์) ก็เป็นบาปทั้งสิ้น กฎทุกอย่างล้มเลิกหมด ถ้าไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้ช่วยให้รอดจากบาป ทำอะไรก็บาป เพราะยังไม่ได้เกิดใหม่ ชีวิตจริงๆ คือวิญญาณข้างใน ยังเป็นบาปอยู่ จะทำอะไรก็มาจากภายในวิญญาณของเรา ที่เป็นบาป มันก็บาปทั้งนั้น เหมือนที่พระเยซูเปรียบพวกฟาริสีที่มีความภาคภูมิใจในการกระทำของตัวเอง ในความชอบธรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นว่าอย่างนี้ดี ทำตามกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้ทั้งหมด แล้วบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เราได้ทำแล้วดี พระเยซูเปรียบฟาริสีนี้เหมือนหลุมศพ ฉาบปูนขาว หลุมศพ คือข้างใน มันตาย ข้างในมันเป็นบาป ข้างนอกฉาบปูนขาว ทำอย่างดี มันไม่มีประโยชน์ ตรงกันข้ามกับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่พึ่งการกระทำของตัวเอง ไม่พึ่งความชอบธรรมของตนเอง แต่พึ่งความชอบธรรมที่มาจากผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เขาคนนั้น ก็ได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณ แก่นชีวิตของเขา ข้างในวิญญาณของเขาจริงๆ มันได้เกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ แล้วยังแถมมีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งสะอาด บริสุทธิ์ชอบธรรม ในพระคัมภีร์บอกเท่าๆ กันกับเปาโล ถูกไหม? ในวิญญาณเขาจะสะอาดหมดจด ปราศจากที่ตำหนิใดๆ เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ เท่าๆ กับพระเยซู

ตอนนี้ใครที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ใครที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาด เท่ากับพระเยซูเลย เราแน่ใจ เพราะได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนั้น เอเมน

“ชอบธรรมเท่ากับพระเยซูเลยเหรอ เมื่อเช้าขับรถมา ยังด่าเขาอยู่เลย”

“ไม่รู้ ในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น ฉันก็เชื่ออย่างนั้น”

มันตรงกันข้ามกันกับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ช่วยให้รอด เขาไม่ได้พึ่งการกระทำของตนเอง แต่เขาพึ่งในพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพียงผู้เดียว คือพระเยซู มีทางเดียวเท่านั้น คือพระเยซู สะอาดหมดจดเท่ากับพระเยซู ภายนอกเราอาจจะทำอะไรก็ตาม แต่วิญญาณของเราจริงๆ เป็นผู้ชอบธรรม โดยธรรมชาติ ลักษณะชีวิตเรา ตัวตนจริงๆ เรา เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเยซู แต่นิสัย ความประพฤติของเรา มันไม่เหมือนพระเยซู มันแยกกัน พอเข้าใจไหม? ความเป็นตัวตนกับนิสัยมันไม่เหมือนกัน ผมพยายามที่จะหาทางอธิบายตรงนี้ให้ท่านเข้าใจ

การกระทำที่เป็นนิสัย ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ แท้ๆ ของเรา ยกตัวอย่าง อันนี้ท่านจะเห็นได้ชัดเลย ตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเรา ใครเป็นผู้หญิงยกมือขึ้น? บางครั้งผู้หญิงก็แต่งตัวให้เหมือนผู้ชาย ทำท่าทางทะมัดทะแมง เล่นกล้าม กล้ามใหญ่มากเลย มีในยูทูปเยอะแยะ ถามว่าจะเล่นให้ตายอย่างไร ล่ำกว่านักเพาะกายผู้ชายเยอะขนาดไหน? เขาก็บอกว่าเขาเป็นผู้ชายนะๆ เขาก็เป็นเป็นผู้หญิงอยู่ดี เพราะว่าธรรมชาติการเกิดของเขาเป็นผู้หญิง ใครจะเป็นอะไร? มันเป็นอยู่จากการเกิดมาเป็น ถูกไหม? ถ้าเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชายตั้งแต่เกิด  ไม่สามารถเกิดเป็นผู้หญิง แล้วมาทีหลัง ทำนิสัยให้เป็นผู้ชาย ไม่มีทาง อันเดียวกันกับตะกี้นี้ ถ้าเกิดใหม่ในพระเยซู เป็นคริสเตียนแล้ว มันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พระเยซูชำระเรียบร้อยแล้ว แต่ภายนอกอาจจะทำอะไรบางอย่างที่มันสกปรกอยู่ ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเรา เอเมน มีความหวังแล้ว ยิ้มหลายคนเลยนะ เปาโลจึงบอกไว้อย่างนี้ว่านี่คืออิสรภาพ ในการเชื่อในพระเยซู นี่คือข่าวดีของพระเยซู ข่าวดีที่เปาโลปกป้องไว้ ห้ามไม่ให้ใครมาลบล้าง หรือทำลาย หรือทำให้มันด้อยลง ใน 1 โครินธ์ 10:23 บอกไว้อย่างนี้ชัดเจน

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาต (มีอิสระเสรีภาพ ) ให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

“เราได้รับอนุญาต” ก็แปลว่าเรามีอิสระเสรีภาพในพระเยซูคริสต์ ที่จะทำอะไรทุกสิ่งได้ ไม่บาปอีกต่อไป เพราะว่าวิญญาณข้างในมันสะอาดหมดจด เปาโลก็บอกไง ไปคิดไตร่ตรองเองแล้วกันว่าสิ่งที่เราทำ มีประโยชน์ไหม? สร้างสรรค์ไหม?  มันมีโทษ ไม่สร้างสรรค์ ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นลูกของพระเจ้าที่มีวิญญาณ และมีจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้ว เราทำอะไรไป มันสมไหม? เราเป็นสุภาพสตรี ควรรจะเป็นกุลสตรีไหม? กุลสตรีไทย ควรจะอ่อนช้อย เรียบร้อย สมกับเป็นกุลสตรีหน่อย ทำอะไรแข็งกระด้าง ไม่สมกับเป็นกุลสตรีเลย  เคยได้ยินใช่ไหม? โบราณ คนไทยชอบว่าลูกสาว ทำอะไรอย่ากระโดกกระเดก เหมือนผู้ชาย เป็นผู้หญิง ทำอะไรให้มันนุ่มนวล พูดจาให้มันอ่อนหวานหน่อย

ในทำนองเดียวกัน เราเป็นลูกพระเจ้า เกิดใหม่ รู้จักทำอะไรให้มันดีๆ หน่อย ทำอะไรให้มันสมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย ถวายเกียรติแด่พ่อเราหน่อย ไม่ใช่ทำอะไรอย่างนี้ แต่การกระทำนั้น ไม่สามารถทำให้เรากลายเป็นลูกมารได้ เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกพระเจ้า เอเมน นี่ชัดเจน  เรามีอิสรภาพในการทำ แต่มาคิดดูว่ามันสร้างสรรค์ มีประโยชน์ไหม? ให้เกียรติต่อพ่อของเราหรือเปล่า? แล้วก็พยายามที่จะทำสิ่งที่สร้างสรรค์เกิดประโยชน์ ให้โทษน้อยที่สุดกับตัวเอง และผู้คนรอบข้าง แค่นี้เอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรอด ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวตนจริงๆ ที่เรา เป็นลูกของพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้เราจะเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์แล้ว ก็ตาม ก็ทำอะไรให้มันมีประโยชน์ ให้มันเป็นที่ถวายเกียรติ และการมีประโยชน์นั้น มันทำให้ชีวิตเราบนโลกใบนี้ มีความสุขมากขึ้น ลำบากน้อยลงนั่นเอง หลายสิ่งหลายอย่าง พระเจ้าก็สอนในพระคัมภีร์ แนะนำเราว่าเมื่อเรามาเชื่อแล้ว เราควรทำอย่างไร? เพื่อจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข แต่มิได้หมายถึงว่ามาสั่งเราว่าต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ เรามีอิสรภาพแล้ว เพียงแต่มาแนะนำแนวทางว่า …

“ลูกทำอย่างนั้น ลูกทำอย่างนี้ แล้วจะมีความสุข ยังไงลูกก็เป็นลูกของพ่ออยู่แล้ว”

พระเจ้าแนะนำอะไร? ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น จงให้เกียรติบิดามารดา จงมีความกตัญญูต่อพ่อแม่  เจ้าจะได้ไปดีมาดีบนโลกใบนี้ เจ้าจะได้พระพร เจ้าจะได้ดี แล้วถ้าเราไม่ให้เกียรติบิดามารดา เราตกนรกเหรอ? ไม่ใช่ แต่เราจะเหมือนตกนรก อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้พระพร

หรือพระเจ้าบอกว่าถ้าเราโกรธใคร? มีความขุ่นเคืองใคร? ทะเลาะกัน ไม่ว่าใครถูกใครผิดก็ตาม ก่อนตะวันตกดิน ให้เราเคลียร์ซะ คืนดีกันซะ คำว่า “คืนดี” ไม่ต้องวิ่งไปหาเขา ไม่ต้องโทรศัพท์ไปหาเขา ให้เราเคลียร์ออกจากสมองซะ ก่อนตะวันตกดิน ปัจจุบันเขาก็รู้ ก็บอกแล้ว ก่อนจะนอนให้มันเคลียร์ ไม่ใช่นอนไป โกรธไป มันหลับไม่สนิท ฝันร้ายอีกต่างหาก สุขภาพเสื่อมโทรม มันไม่ได้เกี่ยวกับการตกนรกหรือไม่? ไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณเราเลย แต่มันเกี่ยวกับความสุข ชีวิตของเราบนโลกใบนี้ต่างหาก หรือสอนเราว่า …

“ลูกเอ่ย อย่ารักเงินทอง”

“อย่าโลภนะ”

ถ้าเราโลภ เราจะหลุดจากการเป็นลูกพระเจ้าไหม? ไม่เป็น แล้วเราโลภ เราจะตกนรกไหม?  ไม่เป็น แต่เราเหมือนตกนรกเลย เพราะเราจะเป็นหนี้เป็นสินเขา ก็เพราะความโลภของเราทั้งนั้นแหละ เราจะอยู่ห่างจากพระเจ้ามาก เพราะเรารักเงินเยอะ อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง เราจะได้เห็นชัดเจนว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าสอนเรา เพื่อให้มันเกิดผลดี ไม่ใช่สั่งเราต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ เพราะข่าวดีของพระเจ้า คือพระองค์ทรงปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสอะไรอีกต่อไป กฎต่างๆ เหล่านี้ จะต้องทำอันนั้น จะต้องทำอันนี้ สิ่งเหล่านี้ มันควรจะรักษาไว้ เพื่อรักษาข่าวดีของพระเจ้า  ไม่อย่างนั้น ข่าวดีมันจะถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ จนในที่สุด พระเยซูทำหรือไม่ทำ มีค่าเท่ากัน เรายังต้องมาทำอยู่ ทำความชอบธรรมให้ตนเอง อย่างนี้เป็นต้น

หรือยกตัวอย่างอันหนึ่ง ง่ายๆ พระเยซูบอกว่าการทำมหาสนิท กินขนมปังและดื่มน้ำองุ่น พระเยซูบอกว่าจงกระทำเช่นนี้ เพื่อระลึกถึงเรา ถ้าเราไม่กระทำ เราหลุดจากการเป็นลูกพระเจ้าไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว ไม่หลุด เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกแล้ว แต่พระเยซูกำลังสอนเราว่าถ้าทำตรงนี้ มันเป็นประโยชน์ต่อเจ้าว่าจงระลึกถึงสิ่งที่เราได้กระทำให้กับเจ้า ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเจ้าลืม ก็คือเราได้ตาย ขนมปัง คือร่างกายที่แตกหัก เราได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเจ้า เจ้าไม่มีบาป เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำของเรา ไม่ใช่การกระทำของเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าจะพลาดไปทำอะไรก็ตาม แต่เจ้าเชื่อในเรา เจ้าก็เป็นผู้ชอบธรรมอยู่ดี ไม่มีบาปอยู่ดี เอเมน ไม่อย่างนั้น พอเราเดินไป เราไม่ทำการระลึกถึงอย่างนี้บ่อยๆ เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถูกหลอก ก็เห็นอยู่กับตาว่าทำบาป แล้วยังจะบอกว่าเป็นผู้ชอบธรรมอีก อย่างนี้ก็ดีสิ เป็นคริสเตียนก็ดี ทำชั่วอะไรก็ได้ แล้วบอกว่าพระเจ้าไถ่บาปให้ เราก็จะถูกโลกนี้ ปัญญาอะไรต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ หลอกลวงเรา ทำให้เราไขว้เขว งง เราก็จะมีชีวิตอยู่ ที่มีความทุกข์ แม้ว่าเป็นลูกพระเจ้าที่รอดแล้วก็จริง แต่เราจะมีความทุกข์ ฟ้องผิด และเราจะเป็นคนทำลายข่าวประเสริฐด้วยชีวิตของเรา เพราะเราทำให้ข่าวประเสริฐด้อยลง

หรือแม้แต่ถวายสิบลดอย่างนี้  จำเป็นต้องถวายไหม? ไม่ต้อง แต่มันมีประโยชน์นะ มันสร้างสรรค์ไหม? ถวายสิบลด ก็คือตรงกันข้ามกับโลภ รักเงินและทอง ยิ่งทำตามพระเยซู มากขึ้นเท่าไร? ก็ยิ่งจะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ทำตามน้อย ก็มีความสุขน้อย แค่ไม่รักเงินทองเฉยๆ มันก็เริ่มให้ ยิ่งไม่รักเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระเยซูกำลังจะบอกเราทางอ้อมทางตรง ทุกอย่างว่ามันมีความสุขมากนะ ก่อนพระเยซูมาอยู่ในกฎ ถูกบังคับว่าจงถวายสิบลด 10% เท่านั้นเอง แต่พอมาอยู่ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้อยู่ในกฎนี้อีกต่อไป ใน 2 โครินธ์บอกไว้ว่าจงให้ด้วยใจยินดี และคิดหมายไว้อยู่ในใจ แล้วพระเจ้าจะจัดเตรียมทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นพระพรนานานับประการ ทุกด้านของชีวิต ให้กับท่าน มากกว่าอีก เห็นไหม? ไม่ได้ใส่ 10% แล้วนะ อาจจะ 50% อาจจะเป็น 100% ขึ้นอยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาท่านในวิญญาณของท่านนั่นแหละ ที่เกิดใหม่นั้น เห็นหรือยัง? อะไรมีความสุขกว่า

สิ่งเหล่านี้ควรจะมานั่งคิดดีๆ หรือแม้กระทั่งมาโบสถ์วันอาทิตย์ เขาเรียกวันสะบาโต ไม่ต้องไปบังคับว่าต้องมาโบสถ์ ไม่ต้องแล้ว แต่ถามว่ามันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ มันสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์ การมารวมกันอยู่ ในสถานที่ชุมนุมของผู้เชื่อ ในทุกอาทิตย์ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตเราบนโลกใบนี้ หรือมีโทษ  ท่านไปคิดดู มันมีประโยชน์มากมายมหาศาลเลย ได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ได้ยินเสียงเพลงเกี่ยวกับพระเจ้า ได้ร่วมร้องเพลงกับเขา เขาเล่นดนตรี เราอยู่บ้าน เราก็เล่นดนตรีไม่ได้ ร้องเพี้ยนไปเพี้ยนมา ไม่ค่อยมัน แต่ก็ยังดี มาที่นี่ได้รับเพลงใหม่ ไปหัดร้องต่อที่บ้าน ไม่อย่างนั้น มันเบื่อแหละ อะไรอย่างนี้ และแถมได้ฟังคำหนุนใจ ออกไปได้เจอพี่น้องทักทายกัน อยู่ในโลกของความเชื่อ เสริมสร้างความเชื่อซึ่งกันและกัน ถามว่ามันสร้างสรรค์ไหม? สร้างสรรค์ ควรทำไหม?  ควรทำ แล้วถ้าไม่ทำล่ะ ท่านก็ไม่ได้พระพรตรงนี้ นึกออกไหมว่าไม่มีการบังคับแล้ว เพียงแต่แนะแนว แนะนำให้ พระเจ้าเป็นพ่อเรา แนะนำดีกว่า หรือแม้แต่การเฝ้าเดี่ยว ในแต่ละวัน อธิษฐานในแต่ละวัน ในพระคัมภีร์พูดเสมอว่าจงอธิษฐาน  เขาบอกกันว่าถ้าเป็นผู้เชื่อแล้ว อย่างน้อย แต่ละวัน ควรจะมีเวลาเฝ้าเดี่ยว

เฝ้าเดี่ยว แปลว่าอยู่คนเดียวกับพระเจ้า อธิษฐานกับพระเจ้า  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม อย่างน้อยวันละสัก 15 นาที

“15 นาทีเยอะ งานฉันยุ่งมากๆ เลย”

เขาก็เลยบอกว่าปกติคนเรา ควรจะมีเวลาสัก 15 นาที ในการเฝ้าเดี่ยว ในการคุยกับพระเจ้า ในการอธิษฐานกับพระเจ้า ในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วชีวิตจะมีความสุข ความสุขนะ ไม่ใช่สันติสุข เผชิญกับโลกใบนี้ได้ ซึ่งมันวิปริต มันเสียหายจากการกระทำของมาร ยุ่งวุ่นวายไปหมดแล้ว เอาอะไรแน่กับโลกใบนี้ไม่ได้เลย สักอย่างหนึ่ง แต่ท่านเข้าไปหลบ ลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า โดยการอธิษฐานได้ อย่างน้อยวันละ 15 นาที คิดว่าดีที่สุดแล้ว ท่านบอกว่ายุ่งมาก งานเยอะมาก อันนั้นก็ต้องทำ อันนี้ก็เป็นภาระ ผู้เชี่ยวชาญเลยบอกว่า …

“ถ้าคุณคิดว่าคุณมีภาระยุ่งวุ่นวายมาก คุณควรจะมีการอธิษฐานเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้าอย่างน้อย แทนที่จะ 15 นาที ก็เป็นครึ่งชั่วโมง”

แล้วถ้าคุณบอกไม่มีเวลาเลย  ถ้าไม่มีเวลาเลย คุณควรจะ ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าวันละ 1 ชั่วโมง คือมันจำเป็น  แล้วถ้าคุณไม่ทำตาม คุณตกนรกไหม? ไม่ตก ถ้าคุณไม่ทำตาม คุณก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ แต่เป็นลูกของพระเจ้าที่ขึ้นสวรรค์ แบบเหมือนรอดด้วยไฟ ไม่มีความสงบ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง พระเจ้าเป็นที่ยึดมั่น เป็นป้อมปราการ เป็นที่พักพิง พึ่งพิงแห่งเดียวของเรา

สรุปแล้ว ควรอธิษฐานไหม?  แล้วในนี้มีกี่คนที่อธิษฐาน? เราเป็นอิสระแล้วก็จริง แต่มันมีสติปัญญา ที่พระเจ้าบอกเราว่าไม่ต้องแล้ว แต่ …

“ลูกเอ่ย ทำอย่างนี้มันดีสำหรับเจ้า เจ้ารอดแล้วล่ะ เจ้าอยู่ในมือเราแล้ว อยู่ในคอกของเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกไปจากความรอดนี้ได้แล้ว เจ้าเป็นลูกของเราแล้ว แต่สมกับเป็นลูกของเราหน่อย ให้มีสันติสุข ให้มีความสุข ชนะทุกอย่างบนโลกนี้ ด้วยวิธีการนี่แหละ ไม่ใช่ด้วยตามใจเจ้า เพราะตามใจเจ้า ไม่ได้หรอก เพราะโลกนี้มันวิปริต มันผิดไปแล้ว กิเลสตัณหาของเจ้ามันคอยฟังระบบของโลกนี้ตลอด พระเจ้าที่อยู่ข้างในเจ้า จะเป็นคนทำ เจ้าจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าเจ้าไม่ใช้เวลาในการอธิษฐาน ในการเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า”

นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เริ่มต้นทำกันเยอะขึ้น แน่นอน เหมือนถูกโวยวาย พระเจ้าไม่ว่า พระเจ้ารักเรานะ ถึงมาเตือนเราอะไรต่างๆ เหล่านี้  พูดออกนอกเรื่องไปนิดหนึ่ง

กลับมาเรื่องนี้ มาดูกันต่อกับเรื่องความเชื่อเก่าแก่ ที่ไม่ตรงกับข่าวดีของพระเยซู ตามที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ วันนี้ก็เป็นตอนที่ 3 เป็นเรื่องของความเชื่อที่สอนกันมานานมากแล้ว ที่บอกว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ต้องหมั่นฝึกฝนให้ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น

เคยได้ยินไหมครับคำสอนจากคริสเตียนอาวุโสกว่าเราบอกว่า … ต้อนรับพระเยซูแล้ว ต้องหมั่นฝึกฝนตัวเอง พยายามกระทำให้มีความเชื่อเพิ่มพูนขึ้นทุกวันนะ เคยได้ยินใช่ไหม?  ต้องพยายามทำตัวให้เป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์แบบ ต้องพยายามทำอุปนิสัยตัวเองทุกอย่างให้เป็นผู้ชอบธรรมที่สมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า ย้ำอีกที “สมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า” ต้องพยายามให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เพิ่มเติมในชีวิตของท่าน ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานเต็มที่ ในวิญญาณของท่าน เคยได้ยินใช่ไหม? พอเราไม่ได้อะไรสักอย่าง เขาก็บอกว่า ….

“ความเชื่อไม่พอ ต้องเพิ่มความเชื่อเข้าไปอีก”

พอเราป่วยขึ้นมา “ความเชื่อไม่พอ สร้างความเชื่อขึ้นมาสิ มันจะได้หายป่วย”

ทุกอย่าง ภาระตกมาที่เราหมดเลย เราต้องรับผิดชอบหมด มาดูว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร?  โคโลสี 2:9-10

โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์  ในพระกายของพระองค์  10  และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์  ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ  และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น

 

ตั้งใจฟังนิดหนึ่งนะ “ในพระคริสต์” คำว่า “พระกายของพระองค์” คือพระลักษณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า คือพระเจ้าเต็มรูปแบบเลย ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ … และต่อด้วย … และท่าน … ท่านตรงนี้ คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู พูดง่ายๆ ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่วางใจในการไถ่บาปของพระเยซู และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ … แสดงว่าความบริบูรณ์ของพระเจ้า อยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าและต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นึกถึง เรารับด้วยปาก เชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ ที่พระบิดาทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อไถ่บาปและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไม่รู้เมื่อไร ที่เราเชื่อจริงๆ ณ นาทีนั้น เราได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง ในฐานะที่ผู้เชื่อควรได้รับ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ครบเลย ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา เปาโลบอกว่า …

“ท่านไม่รู้เหรอว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่”

ไม่ใช่ว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว  เชื่อแล้ว ค่อยมาพยายามปฏิบัติ ให้ชีวิตครบถ้วนบริบูรณ์ทีหลัง เห็นไหม? มันต่างกันกับที่เขาสอนกันมา ไม่จำเป็นต้องมาเพิ่มพูนพระวิญญาณทีหลัง เมื่อท่านบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อในข่าวดี ท่านได้รับพระพรนานาประการทางฝ่ายวิญญาณครบถ้วนสมบูรณ์แบบ เรียบร้อยไปแล้ว ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ฮาเลลูยา เราจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะเรามีครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ขาดอะไรเลย

สมมติว่าเรามีลูกสัก 50 คน คนโตคลอดออกมา เขาก็เป็นลูก เขาก็อยู่ในบ้านของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา ก็เป็นของเขาหมด เราทำมรดกให้เขาหมด มาเมื่อวานนี้ มีลูกคนที่ 50 เพิ่งเกิด เขาก็เป็นลูกเรา เขาก็ได้รับทั้งหมดเลย มรดกที่เราเตรียมไว้ให้เท่ากันกับคนแรกเลย ยกตัวอย่างว่าคนที่เชื่อพระเจ้ามาแล้ว  เป็นคริสเตียนมาก่อนหน้านั้น ได้รับอะไร เมื่อตอน 50 ปีที่แล้ว คนนี้รับเชื่อแล้ว วินาทีที่ท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูตอนนี้ ท่านก็ได้รับเท่ากันกับคนที่อายุ 50 เท่ากันหมด เอเมนไหม? รับในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีคำว่าลูกคนนี้ก่อน ลูกคนนี้หลัง พระเจ้าให้เท่ากันหมดเลย เอเมน เพราะให้ในฐานะเป็นลูก

เรากำลังคุยกับในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น เรื่องความเชื่อและความรอดทางวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกเลย ไม่ต้องฝึกฝนอะไรอีกเลย ไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกเลย เพราะทุกอย่างมันครบถ้วนบริบูรณ์ สำเร็จแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจ ต้อนรับ ใช้สิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เอเมน พอท่านรับเชื่อจริงๆ ปุ๊บ ท่านได้ถูกทำให้ตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และลงไปอยู่ในนรก อยู่ในหลุมศพกับพระเยซูคริสต์ และวันที่ 3 พระองค์ได้ชุบให้พระเยซูคริสต์และตัวท่านที่อยู่ในพระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย  เกิดเป็นลูกของพระเจ้า ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าบัพติศมา

พอท่านเชื่อปุ๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่าน บัพติศมา จุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน พอพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ท่านก็เลยตายด้วย พอพระเยซูอยู่ในหลุมศพ ท่านก็อยู่ด้วย พอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านก็เป็นด้วย พอพระเยซูนั่งอยู่ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ ท่านก็นั่งด้วย นั่นแหละ อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่าง คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” หมายถึงอย่างนี้

สมมติว่านี่เป็นวิญญาณของเรา ที่เป็นบาป นี่พระเยซู พระเจ้าบอกว่าพระองค์มาเคาะประตู เคาะหัวใจเราตลอด เปิดใจๆ เถิด เปิดใจต้อนรับพระเยซู คือต้อนรับข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นจริง พอรับเชื่อทันทีปุ๊บ ในโลกวิญญาณ วิญญาณตัวนี้ พระเจ้าจับใส่เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วก็ลงไปอยู่ในนรก วันที่สาม พระองค์ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ถูกยกขึ้นอยู่สูงสุด เหนือเทพใดๆ เหนืออาณาจักร เหนือฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ ทั้งหมดเลย อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เบื้องขวา ก็คือเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี อยู่ที่พระองค์ และท่านอยู่ในนี้ด้วย ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เพราะฉะนั้น ในเรื่องความรอดในวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว

มีคำสอนแบบโบราณๆ เขาว่ามา ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า บางคนบอกว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ต้องรอเวลา ให้ได้รับพระวิญญาณเพิ่มขึ้นก่อน แล้วจึงมีประสบการณ์กับพระเจ้าเต็มที่ ได้รับพระพรเต็มที่ ฟังดูดี มีหลักการ น่าจะเป็นอย่างนั้น คนที่เริ่มเชื่อใหม่ๆ ยังอธิษฐานน้อยมาก ยังไม่เคยออกไปประกาศเลย จะมีประสบการณ์กับพระเจ้าเท่ากับผู้ที่เชื่อ รับใช้มาเป็น 10ๆ ปีได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ ต้องรอให้พระวิญญาณเต็มที่เสียก่อน No เลย มันไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ตรงนั้น มันคือทางกาย ทางนิสัย  ทางความประพฤติ ไม่ใช่ความรอดทางวิญญาณ ทางวิญญาณมันครบถ้วนบริบูรณ์ไปแล้ว แต่ในทางนิสัยใจคอ มันยังต้องฝึกฝน พระวิญญาณก็จะนำเรา ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง อย่างเช่น คนที่เคยโกรธ หลับไปทั้งโกรธ ตะกี้ที่ผมพูดเรื่องควรจะเคลียร์ความบาดหมางอะไรต่างๆ ก่อนตะวันตกดิน เริ่มเข้าใจแล้ว เย็นนี้เริ่มต้นอธิษฐาน แล้วก็เริ่มต้นเคลียร์ ไม่โกรธใครดีกว่า เดี๋ยวมันเป็นโทษกับตัวเอง ไม่ได้รักเขาหรอก รักตัวเองนั่นแหละ ไม่โกรธเขาดีกว่า อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพร หลับสบาย ได้ดีขึ้น เห็นไหม?

นี่คืออุปนิสัยใจคอ ซึ่งยังคงพัฒนาอยู่ แต่ทางวิญญาณ ทางความรอดไม่ต้องพัฒนาแล้ว มันจบแล้ว เป็นหน้าที่ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ บัพติศมาเราด้วยไฟ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไป ให้เราเกิดใหม่ เราเป็นลูกของพระองค์ สะอาดบริสุทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง แต่นิสัยข้างนอก เดี๋ยวค่อยๆ ปรับไป แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูจะนำเราไป  เคยได้ยินบ่อยๆ เราร้องเพลงอยู่เรื่อยๆ

“พระหัตถ์พระองค์ ทรงจูงมือข้า”

แล้วพระเยซูก็จะเสียบป้ายลงไปในพวกเราผู้เชื่อทั้งหลายว่า …

“ลูกเราคนนี้ น้องเราคนนี้เขากำลังถูกสร้างอยู่ เขาทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขออภัยนะ”

มาดูถ้อยคำในเอเฟซัส 1:3-5 อันนี้ยิ่งย้ำชัดเจนใหญ่เลย

เอเฟซัส 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณ นานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรพระองค์ด้วยความรัก 5 พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์”

 

พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรของพระองค์ ด้วยความรัก พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกเราให้อยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่ต้องไปฟังใครแล้ว สายตาของพระเจ้ามองเรามา สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย บางคนบอกว่าพระเจ้ามองเราบริสุทธิ์ เพราะว่ามองผ่านพระเยซู ไม่ใช่ มองตัวเราบริสุทธิ์เท่าพระเยซูเลย ถ้อยคำที่สำคัญอยู่ข้อ 4 ที่บอกว่า … พระองค์คือพระเจ้าได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก และในข้อที่ 5 บอกว่า … พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ … แผนการตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้วว่าเราจะเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย จะย้ายเรามาอยู่ในสวรรค์ คือในพระคริสต์ เตรียมมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าเราจะเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระเจ้า เราจะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซู เพราะความบาป ทำให้เราทำเองไม่ได้ครบ 100 แน่นอน เพราะฉะนั้น ต้องผ่านทางพระเยซูเท่านั้น

คำว่า “ผ่านทางพระเยซู” ก็คือผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์ คือผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และพระเจ้าได้ยกพระองค์ ให้นั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน และข้อสำคัญ คือพระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ประกาศด้วยตัวของพระองค์เองที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมงว่า … “สำเร็จแล้ว” … ทั้งหมดนี้ ที่พระเจ้าบอก ที่เราอ่านกันนี้ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นลูกของพระองค์อะไรต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูบอกว่ามันสำเร็จแล้ว ถ้าตามสายตายมนุษย์ คือสำเร็จแล้วมา 2,000 ปี เพราะกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับคุณสมบัติเหล่านี้ คือได้เป็นผู้บริสุทธิ์ สมบูรณ์ครบถ้วน ปราศจากที่ติในสายพระเนตรของพระเจ้า ได้เป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ ไม่ใช่การกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน และสิทธิ์นี้จะเกิดผลได้ โดยผ่านทางการยอมรับในการกระทำของพระเยซู ผ่านการยอมรับในขบวนการที่พระเจ้าวางไว้ คือให้เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพียงผู้เดียวเท่านั้น พูดอีกครั้งหนึ่ง เพียงทางเดียวเท่านั้น พระเยซูจึงบอกว่าเราเป็นทางนั้น ท่านทั้งหลายจะไปหาพระบิดา คือจะไปสวรรค์ได้ มีทางเราทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นใดเลย และทันทีที่ผ่านทางความเชื่ออย่างนี้ ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจในพระเยซูคริสต์อย่างนี้แล้ว ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบแล้ว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะพระเยซูทำให้แล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีการตายอีกต่อไป ไม่มีใครเอาลูกพระเจ้าออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจใหญ่ขนาดไหน? สติปัญญาขนาดไหน? ไม่มีใครสามารถมาเอาพวกเรา ลูกของพระเจ้า ที่เชื่อในพระองค์แล้วออกไปจากในพระคริสต์นี้ได้เลย พระเยซูบอกว่าไม่มีใครเอาแกะที่อยู่ในคอกของเราออกไปได้เลย ไม่มีทางเลย

เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณเพิ่มขึ้น ถูกไหม? ใครจะมาหลอกเราไม่ได้แล้ว ฝ่ายวิญญาณ เรามีพรเต็มที่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ไม่ต้องรอรับพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเราแล้ว ตั้งแต่วินาทีแรก ที่เรารับเชื่อแล้ว เป็นผู้มาบัพติศมาเราด้วยไฟ ยิ่งกว่านั้นอีกต่างหาก ตั้งแต่นาทีที่เรารับเชื่อ และได้บังเกิดใหม่  ถ้าเราไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร?  การบังเกิดใหม่ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาเราด้วยไฟ คือพระเจ้าจุ่มเราลงไป บัพิตศมา แปลว่าจุ่มลง จุ่มลงไปในวิญญาณของพระเจ้า  จุ่มและให้เราบังเกิดใหม่ทันทีเลย เปลี่ยนแปลงวิญญาณเราที่สกปรกโสโครกให้กลายเป็นสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย เขาเรียกว่าบัพติศมาด้วยไฟ คือฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ย้ายเรา เปลี่ยนแปลงเรา เขาเรียกว่าคอนฟอร์ม ทรานฟอร์ม เปลี่ยนรูปร่างจากวิญญาณหงิกๆ งอๆ ผ่านทางไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปลี่ยนเราเป็นรูปร่างที่ดีขึ้น เป็นลูกของพระเจ้าที่มีสง่าราศี ไม่มีที่ติใดๆ เลย ไม่มีบาป ไม่มีสิ่งสกปรกใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และท่านเป็นอย่างนั้นแล้วตอนนี้ เพราะท่านเป็นผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เอเมน

โรม 8:9-10 ”9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน  กายของท่านก็ตายไป  เพราะบาป  ถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม”

 

ขอบคุณพระเจ้า ทางฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องของความเชื่อและความรอด เราไม่ต้องทำอะไรอีก ไม่ต้องรออะไรอีก และทางฝ่ายวิญญาณ ความรอด ไม่มีตรงกลาง ไม่มีว่ามีพระเยซู แต่ยังไม่ได้รับพระวิญญาณ หรือมีพระเยซูแล้ว แต่ยังทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มี ความเชื่อแบบนี้ คือที่เราใช้คำว่าความเชื่อเก่าแก่ ที่ไม่ถูกต้องตามข่าวดีของพระเยซู ที่ควรจะถูกลบล้างออกไป และแทนที่ด้วยความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ที่จะทำให้เราเป็นไท พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ขาดตกบกพร่องในสิ่งใดๆ เลย ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดมาเพิ่มเติมอีกแล้ว เพื่อให้เราสมบูรณ์มากขึ้นกว่านี้อีก เราเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เป็นลูกมากขึ้น แต่ถ้าทำดี พ่อก็ชื่นใจ ต่อให้ทำไม่ดี ก็เป็นลูก เหมือนบุตรน้อยหลงหาย เป็นลูก ก็คือเป็นลูก ไม่ต้องไปสนใจว่าลูกแย่ ลูกทำอะไรผิด พ่อไม่ได้คิดเลย ลูกกลับมา ดีใจ เพราะเขาเป็นลูกเรา ไม่ใช่ว่าอ๋อ! หนีออกจากบ้านไปเหรอ ตัดขาด ไม่ใช่เป็นลูก ตัดไม่ได้ เขาเป็นลูกโดยสายเลือด นี่คือสายเลือดของพระเจ้า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ให้กำเนิดเรา

ดังนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราจึงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีในพระคริสต์ ในวิญญาณ เรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกันกับการรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ด้วยการต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ในชีวิตของเรา คือได้บังเกิดใหม่นั่นเอง คุณสมบัติแบบสมบูรณ์แบบอย่างนี้ เราได้รับทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ความพยายาม ไม่ใช่การกระทำ ไม่ใช่ตั้งใจจะมีความประพฤติที่ถูกต้อง ไม่ใช่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นดีหมดนะ แต่ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เรามีคุณสมบัติครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้ และสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือการบังเกิดใหม่ในพระเยซู โดยพระเจ้าเท่านั้น ตัวนี้จึงเป็นตัวสำคัญมาก ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โดยการบังเกิดใหม่เท่านั้น เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งปวง ด้วยพระคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์และได้เป็นบุตรของพระองค์ชั่วนิรันดร์ และสิ่งเหล่านี้ ที่เราเล่ากันอยู่นี้ คือความจริง นี่คือข่าวประเสริฐ แล้วทำไมเขาสอนกัน เขาคุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ภาษาอังกฤษเขาเรียกดิสเครดิต คือมันทำให้ข่าวประเสริฐก้ำๆ กึ่งๆ มันไม่ชัดเจน  ถ้าเราช่วยกันรักษาข่าวประเสริฐให้มันชัดๆ ง่ายๆ อย่างนี้ แล้วไม่มีอะไรมารบกวน มาทำให้มันด้อยลง ผมเชื่อว่าคนมาเชื่อพระเจ้าง่ายๆ เยอะแยะ แต่นี่เราทำจนยากลำบาก  อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ อันนั้นก็ยุ่ง เลยตัดสินใจยังไม่มาเชื่อดีกว่า พอมาเชื่อพระเจ้า ภาระเต็มไปหมด มากกว่าเก่าอีก สมัยยังไม่มาเชื่อพระเจ้า ไม่ต้องทำเลย ตอนนี้ต้องทำโน้นทำนี้ ตายแล้ว กลับไปหาครอบครัวก็ไม่ได้ มันเหนื่อยมาก จริงๆ พระเยซูบอกว่า …

“จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

บางทีเราฟังดูแล้ว รู้สึกอาจจะไม่เกี่ยวกับเรา เราเชื่อแล้ว แต่ เรามีหน้าที่อย่างหนึ่ง ที่ต้องทำ ก็คือรักษาข่าวดีของพระเจ้า ช่วยกันปกป้องข่าวดีของพระเจ้า อย่าให้ใครมาดิสเครดิตให้มันแย่ลง  โดยปรัชญาของมนุษย์ โดยสติปัญญาของมนุษย์ ที่พระคัมภีร์เรียกว่าไร้แก่นสาร แต่จะทำอย่างนั้นได้ ตัวเราเองต้องอยู่ในความจริงเหล่านั้นมากๆ เพื่อให้มันเข้มแข็ง ในวิญญาณของเราให้ชัดเจนมาก แล้วทำอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่า …

“จงจดจ่อไปที่เบื้องบน”

ก็คือจงจดจ่อไปที่โลกวิญญาณ จดจ่อไปในพระคริสต์ ในพระคริสต์ที่เราเป็นอยู่ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรคสถาน เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว จดจ่อด้วยวิธีหลับตา แล้วเปิดตาฝ่ายวิญญาณมองให้เห็นเถิดว่าฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ จะไม่มีอะไรมาลบล้างความจริงเหล่านี้ จากวิญญาณของฉัน จากความคิดของฉันได้เลย เพราะมันเป็นไปตามพระคัมภีร์เป๊ะ เอเมน

ฝึกฝนเหมือนเดิม จดจ่อตามพระคัมภีร์บอก 2 โครินธ์ 4:16  บอกให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ให้เราจดจ่อไปที่พระเจ้าไถ่บาป ให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์

หายใจลึกๆ แล้วก็เริ่มปรับโหมดเข้าสู่โลกวิญญาณ เริ่มเปิดตาฝ่ายวิญญาณขึ้นมา เพราะเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น และให้มองเห็นความเป็นจริงของโลกวิญญาณในขณะนี้ว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ และสถานะของเราในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? ตามที่พระเจ้าบอกในพระคัมภีร์ หายใจลึกๆ นะครับ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า … จงมองให้เห็นเถิด  เปิดตาวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิด … จงคิดตาม หรือพูดตามที่ผมจะนำท่านก็ได้นะครับ

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ประทานจิตใจใหม่ให้กับฉัน ฉันจึงเป็นวิญญาณที่มีจิตใจใหม่ สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ไร้ที่ติในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซู สามารถอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในขณะนี้ วิญญาณของฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน พระเจ้าได้ประทานพระพรนานานับประการให้กับฉัน ที่ฉันจำเป็นต้องใช้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และในสวรรค์ตลอดไป ฉันมีพระพรนี้ครบถ้วนบริบูรณ์ และพระวิญญาณสถิตอยู่กับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกับฉัน คอยเป็นพี่เลี้ยงนำพาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในฐานะพี่เลี้ยงของลูกของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู ฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ในฐานะลูกของพระองค์ชั่วนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้า”

ท่านก็ใช้เวลานี้อธิษฐาน ตอบสนองถ้อยคำพระเจ้า นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าได้กระทำให้กับเรา โดยพระคุณ ฝึกที่จะคุยกับพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ ขอพระองค์ทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้ลูกมากขึ้น ที่จะมองเห็นความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  พฤศจิกายน  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้า เรามาต่อเรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 2 ที่เราจะรวบรวมความเชื่อ หรือคำสอนที่มีมาแต่โบราณ ที่เรียกว่าสอนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก อะไรประมาณนี้ ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเชื่อเก่าแก่ ไม่รู้มาจากไหน? ซึ่งเราจะเน้นเฉพาะตรงจุดที่คำสอนในความเชื่อเหล่านั้น ไม่ตรงกันกับความหมายในพระคัมภีร์เลย ซึ่งอย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ ในสัปดาห์ที่แล้วว่ามีอยู่หลายเรื่องที่ทำให้ข่าวดีของพระเยซูที่ง่ายที่สุด กลับกลายเป็นเรื่องยาก ไม่มีอะไรง่ายเท่ากับเรื่องของข่าวดีของพระเยซูที่จะไปสวรรค์ ก่อนหน้าพระเยซูมามีแต่คนบอกจะไปสวรรค์อย่างไร? ไม่มีใครไปได้สักคน ยากหมดเลยครับ ทุกคำสอนเลย แม้กระทั่งรวมถึงคำสอนของชาวอิสราเอลเอง ที่เรียกว่าประชากรของพระเจ้า พระเจ้าก็บอกว่าไม่มีใครไปได้สักคน มันยากมาก พอพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน  เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์ลงมาตั้งง่ายๆ คนเข้ามาได้ง่ายๆ แต่คนไปติดอยู่ของเก่า เพราะสอนกันมานาน รู้สึกของพระเยซูง่ายไป คือจริงๆ มันง่ายอย่างนั้น

ในหนังสือโคโลสี อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าต้องยกเรื่องนี้มาพูดกับท่าน เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ”

ความเชื่อเก่าๆ ที่สอนมาตั้งแต่เก่าแก่ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก ส่วนใหญ่มาจากผู้ที่ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ ทั้งสิ้น ที่เขายกย่องให้เป็นผู้อาวุโสทางด้านคำสอน ทางด้านปรัชญาอะไรแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ พอเราได้ยินได้ฟัง มันฟังดูดี ใช่ในสายตามนุษย์ ตามความคิดของมนุษย์ เป็นไปได้เยอะแยะเลย แม้กระทั่งกวีเอง แต่งเพลงเอย แต่งบทกลอนอะไรต่างๆ ฟังดูดี ก็มีเยอะแยะ แต่ความหมายในคำว่าดูดี มันคืออะไร? ตรงนี้สำคัญมากกว่า อาจารย์เปาโลไม่อยากจะให้ใครถูกล่อลวงไปด้วยความน่าเชื่อถือแบบมนุษย์ พูดง่ายๆ ซึ่งความน่าเชื่อถือแบบมนุษย์ บางครั้งเราไปเชื่อ ในสิ่งที่ดูน่าเชื่อถือ แต่มันไม่ตรงกันกับถ้อยคำพระเจ้า เราก็จะเสียผลประโยชน์ ในเรื่องข่าวประเสริฐไป และเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ทำลายข่าวประเสริฐ โดยไม่รู้ตัว คือเรากลายเป็นพยานเท็จ เรื่องข่าวประเสริฐ โดยไม่รู้ตัว

เปาโลย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ว่าคำพูดหรือคำสอนนั้น จะมาจากผู้ใหญ่ขนาดไหน? จากผู้อาวุโส ผู้มีตำแหน่งขนาดไหนก็ตาม หรือฟังดูน่าเชื่อถือมากขนาดไหนก็ตาม คนแห่กันไปฟังเยอะเลย สมมตินะ แต่ถ้ามันไม่ตรงกับข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ คำพูด คำสอนเหล่านั้น ก็เชื่อถือไม่ได้เด็ดขาด เปาโลเป็นผู้ที่ปกป้องเรื่องนี้อย่างมาก ตอนที่พูดอยู่นี้ เปาโลนึกไปถึงพวกอัครสาวก ที่เดินกับพระเยซูในสมัยนั้น ถ้าอัครสาวกที่เดินกับพระเยซู ที่เรียกว่าสาวกใกล้ชิด 12 ท่าน ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดูเหมือนสนิทกว่า ดูเหมือนจะรู้เรื่องมากกว่าคนอื่นๆ ก่อนที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน ยังเดินอยู่ด้วยกัน ขนาดเป็นขึ้นจากความตาย ยังมาเจอกันเลย  เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้น่าจะมีคนเชื่อถือมากกว่า เปาโลหมายถึงว่าแม้กระทั่งคนเหล่านี้ ทำอะไร หรือพูดอะไร หรือสอนอะไรที่ไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ก็ไม่ต้องไปเชื่อเขา ไม่ได้อยู่ที่เดินกับพระเยซูมาก่อนหรือไม่ อยู่ที่ถ้อยคำของพระเจ้า เมื่อพระเยซูสอนเรื่องข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นใคร? มาไถ่บาป แผนการของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ตรงนั้น สำคัญมากกว่า เอเมน

สัปดาห์ที่แล้วเราเริ่มกันที่เรื่องแรก คือเรื่องความเชื่อในการทำตามประเพณี หัวข้อครั้งที่แล้ว ที่ในปัจจุบัน ยังมีคริสเตียนหลายคน โดยเฉพาะคริสเตียนเก่าแก่ ที่ยังคงยึดติดกับธรรมเนียมปฎิบัติต่างๆ ที่ได้สอนกันต่อๆ มา ที่เปาโลใช้คำว่า “เป็นปรัชญาอันไร้แก่นสาร” ฟังดูน่าเชื่อถือ แต่คำว่า “ไร้แก่นสาร” หมายถึงว่ามันไม่มีข้อมูลของความเป็นจริง ตามที่พระเยซูสอน ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เข้าสวรรค์ได้อย่างไร?  บางอัน ปรัชญามันยากมากเลย กว่าจะเข้าสวรรค์ได้ ลำบากมาก แต่ฟังดูมันมีเหตุผล แบบมนุษย์ คนพูดก็น่าเชื่อถือ ใช้คำพูดแบบสลวยด้วย แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่ตรงตามถ้อยคำพระเจ้า เปาโลบอกนั่นแหละ คือสิ่งที่ไร้แก่นสาร

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสาร และหลอกลวง  ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้  แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

แทนที่จะอาศัยพระเยซูคริสต์ ก็คืออาศัยข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่นี่ไม่อาศัยอะไร อาศัยปรัชญา อาศัยหลักการที่เขาถ่ายทอดกันมา เป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรมไปแล้ว อะไรต่างๆ

ก็สรุปได้ว่าการกระทำมี 2 แบบ แบบโบร่ำโบราณ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์เสมอ ต้องจำไว้เลย เราต้องหูไว ตาไวในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถ้าจะมีเหตุผล ก็ควรจะมีเหตุผลลักษณะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นรากฐาน ไม่ใช่มีเหตุผลแบบมนุษย์ ยกตัวอย่างมีเหตุผลแบบมนุษย์ ก็คือบรรยายเขาเป็นใคร? อย่างนี้ไม่ใช่  เขามีตำแหน่งอะไร? อย่างนี้ไม่ใช่ เขาแต่งตัวอย่างไร? อย่างนี้ไม่ใช่ นี่คือหลักการ มาตรฐานแบบมนุษย์ ใช่ไหม? แต่ถ้าหลักฐานตามแบบพระคัมภีร์ ก็คือที่เขาพูดมา ข้อความนั้น มันตรงกับที่พระเยซูพูดไหม? มันหมายความว่าอะไรในพระคัมภีร์ เกี่ยวกับสวรรค์อย่างไร? ถูกต้องไหม? ขัดแย้งกับข้ออื่นๆ หรือไม่? อะไรอย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ถึงแม้ขนาดย้ำกันขนาดนี้ก็ตาม พูดกันละเอียดถึงขนาดนี้  ก็ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้เชื่อในบ้านเรา

“บ้านเรา” หมายถึงที่ในประเทศไทย ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว มันทั้งแถบเอเชียสะส่วนใหญ่ ความยาก ก็คือส่วนใหญ่จะมีความเชื่อติดตัวมาตั้งแต่เดิม ในเรื่องเวรกรรม

“โอ๊ย! เวรกรรม” มันติดปากเลย

ไม่ได้ตั้งใจจะพูด มันหลุดปากออกมาเอง เหยียบตะปูเข้าไป

“โอ๊ย! เวรกรรม”

คนข้างๆ ถาม “เธอต้องไปทำอะไรมาแน่ๆ ชาติก่อน ไปทิ้งตะปูให้คนอื่นเขาเหยียบหรือเปล่า มาชาตินี้ คนอื่นเขาเลยทิ้งให้เราเหยียบมั้ง”

“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ มีกรรม มีเวร เราก็ต้องชดใช้มันไปว่ากันไป ทำดีเยอะๆ ไว้แล้วกัน เวรกรรมนั้นจะได้ลด ทำดีไว้ เพื่อจะได้ไปผ่อนจ่ายเจ้ากรรมนายเวรได้”

ไม่รู้มาจากไหน?  แล้วแทบไม่ต้องสอน มันเป็นหมดเลย มันอยู่ในใจ อยู่ในความคิดตลอด อย่างนี้เป็นต้น เขาเรียกความเชื่อแบบนี้ว่าประเพณี มันลึกกว่าประเพณี จะบอกว่าวัฒนธรรม มันลึกกว่าวัฒนธรรม มันฝังเข้าไปอยู่ในชีวิตเรา เมื่อเราเกิด มันจึงยากมาก ที่จะเอาความเชื่อเดิมๆ ออกไป เพราะเราถูกสอนมายาวนาน ความเชื่อเดิมๆ นี้ว่าเรามีบาปกรรมเวร ติดตัวมา มีเจ้ากรรม นายเวร มาตามเก็บหนี้เรา มาเคาะประตูบ้านทุกวัน จ่ายหรือยัง ชดใช้หรือยัง พอเราเกิดมีอะไรขึ้น เสียหาย เราก็บอกกำลังใช้เวร  เราต้องพยายามทำดีเยอะๆ เพื่อจะได้ลบล้างบาปออกบ้าง

แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดจากโทษของความบาปเรียบร้อยแล้วก็ตาม นี่คือหลักการของข่าวประเสริฐของพระเยซู เมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระองค์มาไถ่บาป มาชำระบาปให้กับมนุษย์หมดสิ้นแล้ว นี่คือความหมายของคำว่า “ข่าวดีของพระเยซู” สั้นๆ

เพราะฉะนั้น แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดจากบาปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ไถ่ให้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังติดอยู่กับคำสอนตามประเพณีเดิมๆ ที่สอนต่อๆ กันมา ที่สอนว่า …

“เราได้รับความรอด โดยพระคุณแล้ว ก็จริง แต่ก็ยังคงต้องรักษาความดีงามในการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วยนะ ปราศจากความบาป  มิฉะนั้น จะถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้าจะบ้วนออกมานะ หรือไม่ทำตามคำสอนของพระเยซู วันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะบอกว่าไม่รู้จักเรานะ กลัวมากเลย”

“ใครเมื่อเช้านี้ไม่ได้อธิษฐานตอนเช้า ระวังไว้นะ ไม่ได้อธิษฐานบ่อยๆ พระเจ้าลืมเธอนะ ตายไป เจอพระเยซู … “พระเยซูเจ้าข้า” … “เธอเป็นใคร ฉันไม่รู้จักเธอ”

อะไรประมาณนี้ ขู่เราอีก แล้วท่านคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นไหม? พระเยซูบอกว่า …

“เราไม่รู้จักท่าน”

ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระเยซูพูดกับผู้ที่เขาคิดว่าเขาเชื่อพระเยซู แล้วเขาบอกว่าอย่างไร?  พระเยซูบอกคนไหนที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คนนั้น คือผู้ที่จะได้ไปสวรรค์ ได้รับความรอดใช่ไหม? คนเหล่านั้นบอก

“ฉันตามน้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว”

“ทำอะไร”

“ข้าพเจ้าขับผีออก ข้าพเจ้าทำโน่นทำนี่ จำไม่ได้เหรอ ข้าพเจ้าทำเยอะแยะไปหมดเลย ขับผีออก ทั้งอดอาหาร อธิษฐาน ทั้งถวายสิบลด ทั้งตามกฎระเบียบ ทุกอย่างเลย”

พระเยซูบอก “ทำหมดทุกอย่างใช่ไหม? ดีมาก เมื่อถึงวันนั้น เราจะบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า”

ไม่งงเหรอ แล้วพระองค์บอกว่าผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะรู้จักเขา เขาถึงจะเป็นครอบครัวเดียวกับเรา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติพี่น้องกับเรา คนนั้นต้องเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แล้วน้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร? น้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือข่าวดีของพระเยซู น้ำพระทัยพระเจ้า คือพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้รับความรอด โดยประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงรักมากมาย ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสละชีวิต ที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งมวล คนมาเชื่อในเราถึงจะได้รับความรอด ถ้าเธอเชื่อในตัวเธอ เชื่อว่าฉันต้องทำอันนั้น ฉันต้องทำอันนี้ จะให้ช่วยตัวเองอยู่ แล้วจะรอดได้อย่างไร ในเมื่อ ช่วยอย่างไร มันก็ไม่มีวันที่จะครบ 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า พระเยซูจึงบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า เพราะเจ้าไม่มีทางไปสวรรค์ได้ด้วยตัวของเจ้าเองหรอก ต่อให้เจ้าขับผีออก ต่อให้เจ้าอธิษฐาน ต่อให้เจ้าทำอันโน้นทำอันนี้ให้กับพระเจ้าเยอะแยะ รักพระเยซูมาก แต่ถ้าเจ้ายังฝังความเชื่อว่า …

“ฉันจะรอดได้ ฉันจะต้องทำๆ พึ่งในสิ่งที่ฉันทำ ไม่ได้พึ่งพระเยซู”

สุดท้ายก็ไม่ได้รับความรอด ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ พระเยซูก็จะบอกว่า …

“เราไม่รู้จักเจ้า”

วันนี้ตรงนี้เฉพาะแค่นี้ก่อน เราค่อยๆ สอนเรื่องนี้ต่อๆ ไป เราก็วนๆ อยู่แถวๆ นี้  พอสอนกันไป สอนกันมา จนบางความเชื่อ ก็เป็นสอนผิดๆ ถูกๆ จนเกิดเป็นศาสนกิจประจำ ทำเป็นกิจวัตร แต่อันนี้เป็นกิจวัตรในเรื่องศาสนา ก็เลยเรียกว่าศาสนกิจ กลายเป็นกฎข้อบังคับขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ไม่มี มีทั้งรายการที่ห้ามทำ รายการที่ต้องทำ ยาวเหยียด จนทุกวันนี้ ศิษยาภิบาล ก็ยังคงเจอกับคำถามของสมาชิก หลายคริสตจักรก็เจอคำถามสมาชิก ก็เพราะคำสอนเก่าๆ แก่ๆ มาอย่างนั้น ซึ่งมันไม่รู้ว่ามาจากไหน? ศิษยาภิบาลก็จะถูกถามจากคริสเตียนที่พอมาเชื่อแล้ว ก็สับสน คนมาใส่โน่น คนมาสอนนี่ เยอะแยะเลย ถามว่าอย่างไร? อันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? ไปวัดได้ไหม? จุดธูปได้ไหม? ไปงานศพ ไหว้ศพไหม? ไปเช็งเม้งได้ไหม? อธิษฐานก่อนนอน ลืมอธิษฐานทำอย่างไร? ไม่อธิษฐานก่อนทานข้าว ผิดไหม? ต้องยกโทษไหม? ต้องขออภัยโทษบาป จากพระเจ้าไหม? ดูทีวีได้ไหม? กินหมูได้ไหม? เขาอดอาหารกัน เราต้องอดอาหารด้วยไหม? เขาอดอาหารกัน เราไม่อด เรารู้สึกฟ้องผิด คุ้นๆ ไหมอย่างนั้น

อย่าลืมนะครัวว่าเราอยู่กับการสอนที่ผิดๆ ที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมเดิมๆ มาเป็นเวลานานมาก นานเท่าไรไม่รู้ ตามชีวิตของเรา ซึ่งคำสอนเหล่านั้น บางทีมันไม่ได้สอนมาแบบนั่งสอนอย่างนี้ แต่มันคือชีวิตของเรา ได้เห็นบรรพบุรุษทำอันโน้น ทำอันนั้น มันก็ซึมซับเข้ามา จะให้ลบออกในเวลาสั้นๆ แค่พูดครั้งเดียวจบ อย่างนี้ มันยาก ไม่ใช่ง่ายๆ หรอก ซึ่งจริงๆ แล้วในหนังสือ 1 โครินธ์ เปาโลก็บอกไว้แล้วว่ากฎระเบียบ ข้อบังคับของพระเจ้าทั้งหมด มีเพียง 1 ข้อเอง คนมาถามเปาโลเยอะแยะเลย อย่างนี้ อันนั้นได้ไหม? อันนี้ได้ไหม? เปาโลบอกมันเยอะเหลือเกิน

แล้วก็อธิบายให้ฟังว่าอันนี้ทำได้นะ อันนี้ทำไม่ได้ อันนี้ถ้าจะไปกินของที่เขาไหว้รูปเคารพ กินได้นะ แต่ถ้าการกินนั้น ทำให้คริสเตียนคนอื่นเขาสะดุด เพื่อความรัก เราก็อดซะ อย่าไปกิน กินหรือไม่กินไม่สำคัญ ให้เขาสบายใจแล้วกัน อะไรประมาณนี้ แล้วมันมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะมากไปหมด เปาโลรู้ไม่มีทางตอบหมด ก็เลยสรุปเป็นมาตรฐานไว้ว่ากฎระเบียบ ข้อบังคับของพระเจ้า มีเพียงข้อเดียว คือ “จงทำทุกสิ่งด้วยความเชื่อ” ซึ่งอยู่ในโรม บทที่ 14 เดี๋ยวอ่าน ตอนนี้อ่าน 1 โครินธ์ 10:23 ก่อน

1 โครินธ์ 10: 23  “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

อาจารย์เปาโลตอบยอดเยี่ยมมาก สั้นๆ แต่มีความหมายครบ ถามทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม?  อาจารย์เปาโลบอกแล้วไงว่าพออยู่ในพระคริสต์ ท่านเป็นอิสระแล้ว ไม่ได้อยู่ในกฎที่ต้องถูกบังคับแล้ว อิสระ แต่จงใช้ความอิสระของท่าน ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงามในทางพระเจ้า แต่คนก็จะถาม มันจะถูกอย่างไร มันเยอะแยะไปหมด จะทำอันโน้น อันนี้ การกระทำบนโลกใบนี้ มัน 108  1009 อย่าง เปาโลก็เลยพูดรวมๆ เอามาตรฐานของข้อนี้ไปวัดแล้วกัน

“เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” คือเป็นอิสระแล้ว รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีวันสะบาโตแล้ว แต่ก่อนนี้ต้องมีวันสะบาโต 1 อาทิตย์ต้องมี 1 วัน ที่ไม่ทำอะไรเลย แสวงหาพระเจ้า พักผ่อน นั่นก่อนพระเยซูมา ซึ่งเขาใช้วันเสาร์ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเป็นอิสระแล้ว เราไม่ต้องมีวันสะบาโต ตอนนี้ วันอาทิตย์ เราไม่ต้องมาก็ได้ แต่ในนี้บอกว่า “ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น” พูดง่ายๆ ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ทุกสิ่งที่เราทำนั้น ไปคิดเอาเองว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ชีวิตคนรอบข้างไหม? เป็นความรัก เป็นความงดงาม เป็นความดีงามหรือไม่? เรามีอิสระที่จะทำแล้ว เพราะฉะนั้น ไปคิดดู ถ้าเป็นสิ่งที่ดี ก็ทำ เราไม่จำเป็นต้องมีวันสะบาโตแล้วใช่ไหม? อาทิตย์หนึ่งไม่ต้องมีวันหยุดแล้วใช่ไหม? แล้วจะทำมาหากินไป ทำอะไรเหนื่อยยาก จนไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพักผ่อน เดี๋ยวก็ป่วยหรอก เพราะฉะนั้น พักสะบ้าง ดีกว่าไหม? อะไรอย่างนี้ อะไรที่เป็นประโยชน์

มาโบสถ์ได้รับคำสอน มาเจอพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน ได้กินข้าวฟรี อันนี้แถมให้ ได้ฟังคำบรรยายที่พระเจ้าเตรียมไว้ ให้เราได้ยินได้ฟัง เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ ได้อบอุ่นกับคนในครอบครัวเดียวกัน คือครอบครัวของพระเจ้า มีความลำบาก ได้รับการหนุนจิต ชูใจ บางทีเราทุกข์ลำบาก เราก็ได้รับการหนุนจิต ชูใจจากเขา เป็นประโยชน์ไหม? เป็น ควรจะรักษาไว้ไหม? อย่างนี้ควรจะรักษา ยกตัวอย่างให้ท่านเห็น

แต่ก่อนนี้ เขาอดอาหารกันวันศุกร์ ก่อนวันสะบาโตหนึ่งวัน อดอาหารถวายแด่พระเจ้า มาตอนนี้ เราได้ยินคนอื่นเขาบอกว่าเขาจะอดอาหาร เกิดว่าเราเป็นโรคกระเพาะ เราก็รู้สึกฟ้องผิด เพราะเราไม่ได้อด เดี๋ยวพระเจ้าไม่พอใจ เพราะฉะนั้น เราเลยอดไปด้วย  ก็เกิดปัญหา คราวนี้ลำไส้ทะลุเลย เราไปร้องครวญครางกับพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เรามีอิสระแล้ว เราจำเป็นต้องรักษาการอดอาหารอธิษฐานไหม? ไม่ต้อง เราเลือกเอาเฉพาะตอนนี้ มันมีประโยชน์ต่อเราไหม? ไม่มี ก็ไม่ต้องไปอด ปล่อยให้คนอื่นเขาอดไป หรือบางทีคนอื่นเขาไม่อด คริสตมาสเขาเลี้ยงกันใหญ่โต รู้สึกเราอยากจะอด เพราะเป็นประโยชน์กับเรา เพราะเรารู้สึกเราอ้วนเกินไปแล้ว หมอบอก อ้าว! อย่างนี้เป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น  คริสตมาสปีนี้ เราก็มาเที่ยว กินกับเขาเหมือนเดิม แต่กินน้อยหน่อย  เพราะเราอ้วนเกินไป  หมอบอกให้ลดน้ำหนัก มันเป็นประโยชน์ต่อเราไหม? เป็น อย่างนี้ เปาโลตอบคำเดียว ได้หมดเลย อะไรที่เสริมสร้าง ไม่ต้องมาถามแล้วต่อไปนี้ ไม่ต้องไปหาศิษยาภิบาลมาถามอีกแล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ ไปคิดเอาเอง ทำได้หมดทุกอย่าง แต่มันมีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ครับ

1 โครินธ์ 10:31  “ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

นี่ก็คือเงื่อนไข ทำได้หมดทุกอย่างแหละ  แต่ทำสิ่งนี้ มีประโยชน์ไหม? แล้วมันถวายเกียรติไหมล่ะ ถ้าเราอ้วนฉุ แล้วก็เป็นโรคความดันโลหิตสูง เป็นเบาหวาน แล้วไม่ลดน้ำหนัก อ้วนเกินมากเลย แล้วเราก็เป็นคริสเตียน ถวายเกียรติแด่พระเจ้าไหม? อย่างที่บอก แม้ว่าผมจะมาบอกว่าเราควรดูแลสุขภาพ อย่าให้มันอ้วนจนเกินไป  นี่เป็นกฎระเบียบ ก็ต้องทำ เป็นอิสระในพระเยซูคริสต์ ความอ้วนความผอมไม่ได้ทำให้เราไปสวรรค์หรือไม่ไป แต่ความอ้วนหรือความผอม ที่เราไม่ดูแลสุขภาพเราเอง จะทำให้เราอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนอยู่ในนรก มันทุกข์เกินกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ไปสวรรค์อยู่ดี

โรม 14:23 อันนี้ตัวสรุปที่บอกไว้  เพราะฉะนั้น เราทำได้ทั้งนั้นแหละ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นอิสระแล้ว แต่ถ้าไม่สร้างสรรค์ ไม่ดีงาม เราก็ไม่ทำ ทั้งๆ ที่มีสิทธิ์

โรม 14:23 “แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากิน ก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป

 

“การกระทำใดๆ ที่มิได้มีรากฐานจากความเชื่อ ในพระเยซู  ก็บาปทั้งนั้น” หมายความว่าชีวิตคนไหน ถ้าไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร? ตรงไหน? ก็บาปทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเผื่อคนนั้นรู้ตัวว่าตัวเองเชื่อในพระเยซู ได้รับความรอด จากการไถ่บาปของพระเยซูแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม รอดหมด เข้าใจใช่ไหม? ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร เอาไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันไป เพราะเรื่องของพระเจ้า ต้องฟังกันบ่อยๆ ต้องค่อยๆ ทีละนิดๆ ไม่มีว่าฟังแล้ว รู้เลย รู้วันนี้ เดี๋ยววันรุ่งขึ้น อ๋อ!

ข่าวประเสริฐของพระเจ้า  มันจึงเป็นข่าวประเสริฐของการขอบคุณพระเจ้า และอ๋อ! ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือข่าวประเสริฐที่บอกว่าอ๋อ! ขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องคร่ำครวญ ไม่ใช่ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตของคนไหน ควรจะเป็น อ๋อ! ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็จะออกไปเรื่อยๆ ขอบคุณพระเจ้า อ๋อ! แล้วขอบคุณพระเจ้า ไปเรื่อยๆ

ความเชื่อและความรอดของเรา ไม่มีอะไร ขึ้นอยู่กับธรรมเนียมปฏิบัติ หรือประเพณีที่ทำกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพระเยซูได้ทำอะไรสำเร็จแล้วบ้างที่ไม้กางเขน  เอเมน ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ โคโลสี 2:6-7 จึงบันทึกไว้อย่างชัดเจน ต้องเอาตรงนี้ใส่เข้าไปในสมองของเราให้เต็มที่

โคโลสี 2:6-7  “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

เป็นบทสรุปของอาจารย์เปาโล ที่ให้เราได้ใช้มาตรฐาน ในการพิจารณาว่าเราควรจะมีท่าทีอย่างไร ต่อคำสอน คำพูด ที่เราได้ยินได้ฟังต่อขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่สอนกันมา ที่ขัดแย้งกับข่าวดีพระเยซู เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ คือเมื่อท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป หมายถึงขณะนั้น พระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าของพระคริสต์ ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระคริสต์ จงมีชีวิตอยู่ตรงนั้น

(1) หยั่งราก จากเดิมที่เรามีความเชื่อเก่าแก่ ผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้มาจากไหน? ฝังลึกอยู่ในสมองเรา อยู่ในชีวิตเรา  ก็ให้เราเปลี่ยน หันมาหยั่งรากใหม่ บนพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อต่อไปที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตาเรามองไม่เห็น เราจำเป็นต้องจดจ่อ คือหลับตาให้เห็น แล้วให้มันจำให้ได้ ต่อไปนี้ ลืมตาก็เห็นตลอดเลย เห็นว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้วนะจ๊ะ

(2) รับการสร้างขึ้นในพระองค์ รับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ … ในพระองค์ ก็คือในพระคริสต์ ยอมรับในการทรงสร้างใหม่ของพระคริสต์ว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว รับรู้ว่าเราเป็นวิญญาณอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเจ้ากำลังสร้างเราขึ้นใหม่ ให้เรารับรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่เราสร้างตัวเองให้เจริญเติบโต แต่พระเจ้าสร้างเรา เพราะเรามาอยู่ในครอบครัวของพระคริสต์แล้ว ให้เรารับรู้ตรงนี้เท่านั้นเอง ให้เราเติบโตขึ้นทุกวัน ก็คือจดจ่ออยู่ที่วิญญาณใหม่

ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4:16 “เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ท้อแท้ ไม่ย่อท้อ แม้กายภายนอกจะทรุดโทรมไป  แต่จิตใจภายในวิญญาณ มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ”

หลับๆ ตื่นๆ ก็ทุกวัน ไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็เจริญเติบโต เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เขาเจริญเติบโต เขา คือวิญญาณของเรา

(3) มั่นคงในความเชื่อ ตามถ้อยคำพระเจ้า ก็คือไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอกว่าเป็นปรัชญาที่ไร้แก่นสาร ที่จะมาหลอกลวงเรา เราไม่หวั่นไหวหรอก ไม่ว่าปรัชญานั้นจะมาจากคนมีชื่อเสียงขนาดไหน?  คนแห่กันไปทั้งโลกขนาดไหนก็ตาม แล้วก็บอกว่าใครๆ เขาก็เชื่ออย่างนี้ทั้งนั้น แต่ถ้าเผื่อมันไร้แก่นสาร มันไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า เราปฏิเสธได้ ฟันธงว่ามันผิดแน่นอน มันผิดจากที่เราฝังรากลึกของโลกวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้าไว้ในความคิดจิตใจของเราแล้ว โดยวิธีการใคร่ครวญ พิจารณา จดจ่อ set mind พระคัมภีร์บอก set mind above คือตั้งความคิดจิตใจไว้ที่เบื้องบน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และเราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย มันจะเห็นชัดได้ ก็โดยการพิจารณา โฟกัสทุกวันเวลา ตลอดชีวิตของเรา มันถึงจะสู้กับการถูกหลอกลวงที่เราบอกเมื่อตะกี้นี้ได้  แล้วต้อง set mind อย่างนั้นบ่อยๆ ให้มันอยู่ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น โลกวัตถุที่มองเห็น แทบไม่ต้องพูดเลย เพราะมองเห็นอยู่แล้ว

เมื่อวานซืน มีแผ่นดินไหว ไม่ต้องบอกก็ได้ มันมี มันก็เคลื่อนไว เสียหาย มันก็มีให้เห็นๆ แต่ในโลกวิญญาณ เกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปี พระเยซูมาทำอะไร ในโลกวิญญาณเปลี่ยนแปลงอย่างไร? พระคัมภีร์จะพูดในโลกวิญญาณทั้งสิ้น 100% ทั้งหมดเลย

(4) เต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ เพราะว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว เพราะพระเยซูทำเรียบร้อยหมดแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ได้แต่ขอบคุณ  ขอบคุณในทุกกรณี เป็นที่มาของการสรุปความเชื่อในพระเยซูคริสต์ของเรา ถ้าเรามีภาพในสมองชัดเจน  ถ้าเรามีภาพการจดจำชัดเจน และเรา set mind อยู่ตลอดเวลา ในเบื้องบนว่าเกิดอะไรขึ้น ตามหลักพระคัมภีร์ว่าเราได้ถูกไถ่ไปแล้ว ตอนนี้เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระองค์ เราร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว อยู่ ณ ที่นี่เรียบร้อยไปแล้ว ถ้าอีกสักครู่ เราเดินออกไปกินข้าว ติดคอ ตายไปเลย เราก็อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม แล้วเราก็ไปเตรียมรอรับร่างกายใหม่จากพระเจ้า เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด อะไรอย่างนี้ มันเยอะแยะไปหมดเลย  เราก็จะไม่กลัวอะไรเลยบนโลกใบนี้ เพราะเรามองทะลุสิ่งที่เป็นจริงในโลกวิญญาณแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าการตั้งความคิดจิตใจไว้ที่เบื้องบน

เรามาฝึกกัน ฝึกบ่อยๆ เวลาฝึกให้หลับตา แต่ถ้าคล่องๆ แล้ว ก็ไม่ต้องหลับตา ให้นึกในใจ จงมองให้เห็นเถิดในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งในภาษาไทยเขาแปลมาว่าให้จดจ่อ จงจดจ่อไปที่เบื้องบน คือโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  เดี๋ยววันนี้  ทำตามนี้นิดหนึ่ง นี่คือจดจ่อว่าในโลกวิญญาณตอนนี้มันเป็นอย่างไร? พูดง่ายๆ ตอนนี้เรากำลังไปดูในโลกวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? พระวิญญาณจะนำพาเราไปผ่านถ้อยคำพระเจ้าว่าในโลกวิญญาณตอนนี้เป็นอย่างไร? เราอยู่ที่ไหนในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไรบ้าง? แล้วอนาคตเราเป็นอย่างไร?

หลับตาลง หายใจลึกๆ ทำตัวสบายๆ ตั้งสมาธิ เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ …

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่มีจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ร่างกายนี้ จำเป็นต้องเสื่อมโทรมลง แก่ลงไป ไปสู่ความตาย ตามคำสาปของบาป ตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัม แต่วิญญาณของฉัน และจิตใจของฉัน ได้รับการสร้างใหม่ โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้ทำให้ฉันตายไปพร้อมกับพระเยซู และทรงชุบฉันให้เป็นขึ้นจากความตาย  พร้อมกับพระเยซู ฉันจึงเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ และพระองค์ได้ประทานใจใหม่ ให้กับฉันด้วย ฉันจึงเป็นวิญญาณ และมีใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู มีลักษณะธรรมชาติเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความรัก เป็นความบริสุทธิ์ ไร้บาป ไร้ตำหนิ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นแสงสว่าง อาศัยอยู่ในพระคริสต์  เป็นชีวิตที่ซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า พระเจ้าได้จุ่มฉันลง เข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระองค์ คือฉันได้รับการบัพติศมา ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ทั้งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ

วิญญาณฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานนี้ ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว วันนี้ วินาทีนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ที่ฉันจำเป็นต้องสละร่างกายนี้ คือร่างกายนี้ตายไป วิญญาณของฉันจะออกไป อยู่ที่สวรรค์ที่เดิม รอคอยการสวมร่างใหม่ ที่พระเจ้าเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายทิพ ที่เหมือนพระเยซูในปัจจุบัน และฉันจะสวมร่างกายสวรรค์นี้ ชั่วนิรันดร์ จะไม่มีความตาย ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีการพลัดพรากจากกัน ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ ตลอดไป”

เงียบๆ ในขณะนี้ ให้ท่านขอบคุณพระเจ้า เพราะทั้งหมดนั้น พระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ท่านต้องขอบคุณพระเจ้า ให้พระวิญญาณนำท่านไปเรื่อยๆ ขอบคุณพระเจ้า

“ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ที่ฉันไม่ต้องทุกข์ทรมานนิรันดร์กาล ขอบคุณพระเจ้า ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันคงไม่สามารถทำอย่างนี้ได้”

ท่านก็ขอบคุณพระเจ้าไป ท่านอาจจะนึกถึงผู้คนรอบข้างในชีวิต ญาติพี่น้องต่างๆ ที่ยังไม่รู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐ ท่านก็จะเริ่มรู้แล้วว่าท่านจะทำอย่างไร? ท่านก็เริ่มอธิษฐานให้ผู้คนเหล่านั้น ท่านก็จะเริ่มปลดปล่อยความรักจากวิญญาณของท่าน ที่ท่านเป็นอยู่ในขณะนี้ ออกมาแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเป็นคนหงุดหงิด มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเป็นคนขี้โมโหง่าย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านอาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัว มันคนละเรื่องกัน มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโลกวัตถุนี้เลย เรากำลังเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ แล้วเราก็เห็นบรรดาผู้คนในโลกใบนี้ ยังไม่เห็นความจริงในโลกวิญญาณนี้อีกมากมายนัก เขาทั้งหลายก็เหมือนเราในอดีต เราจึงสามารถอธิษฐานให้เขาได้ด้วยวิญญาณที่บริสุทธิ์จากวิญญาณข้างในของเรา  ที่พระคัมภีร์เรียกว่าการอธิษฐานในวิญญาณ เราจึงสามารถอธิษฐานในวิญญาณ ในขณะนี้ได้ ขอพระเจ้าเปิดตาวิญญาณผู้คนเหล่านั้น ญาติพี่น้อง คนที่เรารู้จัก ให้เขาได้เห็นถึงความจริงง่ายๆ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราก็จะเริ่มซีรี่ย์ชุดใหม่ แต่ประเด็นเนื้อหาก็ยังคงเวียนอยู่เรื่องเดิมๆ บางคนก็บอกว่าฟังพาสเตอร์พูด … พูดแต่เรื่องเดิม วนไปวนมาตลอดเลย ก็พระคัมภีร์ทั้งเล่ม พูดเรื่องเดิมทั้งนั้น เรื่องไปสวรรค์อย่างไร? ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องกินและเรื่องดื่ม แต่เป็นเรื่องสวรรค์ เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องในสิ่งที่มองไม่เห็น ที่พระเยซูทำให้กับเรา ซึ่งถ้าตั้งใจฟังกันให้ดีๆ ถึงแม้จะดูเหมือนผมพูดเรื่องเดิมๆ ทุกอย่าง แต่มันจะมีมุมใหม่ๆ มีข้อคิดใหม่ๆ อยู่เสมอ ที่พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าสดใหม่เสมอ ใช้ได้กับทุกโอกาส ทุกสถานการณ์ และใช้ได้กับทุกยุค ทุกสมัย เอเมน

พระคัมภีร์บอกพระเยซู คือความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท พระเยซูจะทำให้ท่านเป็นอิสระ ซึ่งฟังดูก็ง่ายมาก ความหมายตรงๆ ไม่ต้องตีความอะไรทั้งนั้น แค่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู แล้วท่านจะเป็นไท เป็นอิสระ หลุดพ้นจากโทษของความบาป ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว เป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ที่เรียกว่าพระคุณ เราเรียนกันมาแล้ว

คริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าแล้วทุกคน มั่นใจไหมว่าได้รับความรอด จากบาปแน่นอน ถึงแม้จะพลั้งเผลอไปทำบาป หรือไม่ทำตามกฎบัญญัติเดิมๆ ของพระเจ้า ซึ่งทำแน่ๆ วันนี้ออกไป ทำบาปไหม? ทำแน่ๆ แล้วยังมั่นใจไหมว่าที่ทำแน่ๆ นั้น จะได้ไปสวรรค์จริงๆ คำว่ามั่นใจ หมายถึงมันเชื่ออย่างเต็มอกเลยนะ

ยกตัวอย่าง แม้กระทั่งปลุกขึ้นมาตอนดึกๆ เพลีย ง่วงมาก 11 โมงไปปลุกขึ้นมา ถามว่าไปสวรรค์ไหม? ไปแน่นอน อย่างนี้ คือข้างในมันรู้ 100% เข้าใจไหม? ไม่ใช่ปลุกขึ้นมา …

“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันอยู่ไหน จะไปสวรรค์เหรอ”

อย่างนี้ไม่มั่นใจ หรือไม่ต้อง 11 โมง ตื่นเช้ามา อากาศสดชื่น ดีเลย ไปสวรรค์ไหม? เมื่อตะกี้นี้ ตื่นขึ้นมาหงุดหงิด ไปว่าลูกก่อนไปโรงเรียน ไม่มั่นใจว่าจะไปสวรรค์หรือเปล่า?

แรกๆ บอก “ไปๆ” พอถามลึกๆ หลายคนเริ่มไม่มั่นใจ เพราะหลายคนยังมีความคิด หรือความเชื่อแบบเดิมๆ ติดตัวมา และยากที่จะลบล้างความเชื่อเดิมๆ เหล่านั้นออกไป มันก็เลยทำให้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซู ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย กลายเป็นเรื่องยาก จริงๆ มันง่ายนิดเดียว แต่คนชอบยากๆ มากกว่า พระเยซูบอกว่า …

“จงเข้าประตูทางแคบ”

ทางแคบ แปลว่าคนไม่ค่อยมาหรอก คนนึกว่าทางแคบ มันคงยาก ไม่ใช่ ทางแคบ คือมันง่ายเกินไป ไม่เอา ทำเองดีกว่า เพราะฉะนั้น ทุกคนก็จะไปทำเองๆ ฉันจะต้องสะสมความดี ฉันต้องสะสมบารมี ฉันจะต้องสะสมไปสวรรค์ให้ได้ เพราะฉะนั้น ทำเข้าไปๆ ทุกคนก็แห่ไปพึ่งตัวเองหมดเลย ซึ่งข่าวดีของพระเจ้า คือพึ่งพระเยซูเพียงผู้เดียว เอเมน พระเยซูบอกว่าทุกคนไปทางกว้างหมดเลย แต่ถ้าใครจะไปสวรรค์ต้องผ่านทางแคบ ทางแคบๆ ก็คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซู ทำให้เราเท่านั้น เวลาพูดมันง่าย เวลาปฏิบัติ มันยากมาก อาจารย์เปาโลเขียนในหนังสือโคโลสี 2:4

โคโลสี 2:2-4 “2 จุดมุ่งหมายของข้าพเจ้า ก็คือให้กำลังใจพวกเขา ให้พวกเขาประสานรวมกันด้วยความรักและด้วยความเชื่อมั่น อันเต็มเปี่ยม 3 ซึ่งเกิดจากความเข้าใจที่แท้จริง เพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้ถึงความล้ำลึกของพระเจ้า คือพระคริสต์ซึ่งคลังสติปัญญา และความรู้ทั้งมวลซ่อนอยู่ในพระองค์ 4 ข้าพเจ้าบอกอย่างนี้ เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่ฟังน่าเชื่อถือ”

 

“ข้าพเจ้าบอกอย่างนี้ เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน” ท่านผู้เป็นคริสเตียนเชื่อใหม่ ล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่น่าเชื่อ แบบมนุษย์ เพราะไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำที่ฟังน่าเชื่อถือ ก็เช่นถ้อยคำมาจากคำพูดของผู้ใหญ่ที่น่านับถือ มีตำแหน่ง โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำทางศาสนาในยุคนั้น หรือถ้อยคำที่มีสำนวนโวหารไพเราะ

“พี่น้อง บัดนี้ อะไรอย่างนี้”

ฟังแล้ว น่าเชื่อถือ ดูแล้วรู้สึกดี แล้วก็ไปเชื่อ คนนี้เทศน์ดีมาก สนุกมากเลย เชื่อ เปาโลบอกว่ามีโอกาสถูกหลอกลวงได้  เพราะฉะนั้น เตือนไว้ และคำสอนเหล่านี้ ก็ถูกถ่ายทอดกันต่อๆ มา คำหลอกลวงเหล่านี้  ที่ฟังดูแล้วไพเราะ เป็นสติปัญญาของมนุษย์ จนกลายเป็นความเชื่อที่เป็นประเพณีเก่าแก่ ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ว่าคนพูดนั้น จะผู้ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม หรือเป็นคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าคำพูดนั้น ไม่ตรงกับความจริง ตามข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ คำพูดนั้น ก็เชื่อถือไม่ได้ มันมาหลอกลวงเรา นี่คือหัวข้อคำบรรยาย ซีรี่ย์ชุดใหม่นี้ ที่มีชื่อเรื่องว่า “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”

ซึ่งจะรวบรวมเอาความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่หลายเรื่อง ทำให้เรื่องง่ายๆ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลายเป็นเรื่องยาก แล้วเราก็จะมาศึกษากันว่าความเชื่อเก่าแก่เหล่านี้  ขัดแย้งความจริง ตามถ้อยคำพระเจ้าอย่างไร? เพื่อความจริงจะได้ทำให้เราเป็นอิสระจริงๆ เราเชื่อพระเยซู เราควรจะเป็นอิสระ (จริงๆ) แต่บางคนมาเชื่อพระเยซูแล้ว ยังไม่ค่อยเป็นอิสระเท่าไร? ทั้งๆ ที่สมควรเป็นอิสระ เพราะพระเยซูทำให้เราเป็นอิสระ คริสเตียนที่เชื่อแล้วจริงๆ วิญญาณเป็นอิสระแล้ว แต่กระทำชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนเป็นทาสอยู่ เปาโลพูดแบบนั้นเลย เหมือนเป็นทาสอยู่ ทั้งๆ ที่พระเยซูปลดปล่อย หลุดจากการเป็นทาส เรียบร้อยแล้ว

เริ่มต้นเรื่องแรก “การทำตามธรรมเนียมประเพณี” คริสเตียนเก่าแก่หลายคน โดยเฉพาะพวกที่ชอบศึกษาธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่โบราณ แล้วก็คิดไปเองว่าเราควรจะยึดธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิม ตามที่ผู้ใหญ่เขาบอกกันมา นี่พูดถึงในอดีตเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ ผู้หลักผู้ใหญ่มียศ มีตำแหน่งทางศาสนาเขาว่ากันมา เพราะฉะนั้น เขาบอกว่าอย่างนี้ ตามเขา แล้วยังบอกกันว่าตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด อะไรประมาณนั้น แบบไทยๆ แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีหลายแห่งที่ยังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติที่เรียกว่าศาสนกิจกันอยู่ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ทั้งเล่มไม่มีตรงไหน บอกไว้เลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยกเว้น 2 เรื่องพระคัมภีร์มีบันทึกบอกไว้ คือ “พิธีมหาสนิท” กับ “พิธีบัพติศมาในน้ำ” แค่นี้เอง

แล้วคนก็เอา 2 อันนี้ไปใช้ ไปตีความหมายผิด พึ่งพิธีมหาสนิท เพื่อจะทำให้เรารอด พึ่งพิธีลงน้ำ เพื่อจะให้เรารอด ซึ่งไม่ใช่เลย

นอกจากพิธีกรรมต่างๆ แล้ว ก็ยังมีเรื่องข้อห้ามต่างๆ มีเรื่องกฎระเบียนที่ตั้งขึ้นมาเอง สำหรับผู้ใหญ่ต่างๆ เหล่านั้น  ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการสืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติที่มาตั้งแต่ดั้งเดิม เก่าแก่ ต่อๆ กันมาตั้งแต่กฎหมายเดิม ตั้งแต่ชาวยิวเดิมๆ อาจารย์เปาโลทราบอยู่แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์อย่างนี้ เกิดขึ้นแน่ๆ ก็เลยสอน ดักคอไว้ก่อน ในโคโลสี 2:8

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

“แทนที่จะอาศัยพระคริสต์” ก็คือแทนที่จะอาศัยข่าวดีของพระเยซู จะได้รู้ ปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ก็คือคำพูดหรือคำสอนที่เป็นปรัชญา ฟังดูเท่ห์ ฟังดูลึกซึ้ง เปาโลพูดภาษาชาวบ้านมากเลยนะ ท่านไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว และพระเจ้าได้ทำให้ท่านเป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่มีเท่ห์เลย คำสอนเชิงปรัชญา ต้องมาคิดหลายตลบ ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ อ้างอิงจากธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่โบราณ ที่ฟังแล้วมันดูขลัง สมัยโมเสสเขายังทำอย่างนี้ อาโรนก็อย่างนี้แหละ

“พระเจ้าเคลื่อนไหวตอนนั้น อย่างนี้เลย ต้องทำอย่างนี้”

อะไรประมาณนั้น ดูขลัง ดูศักดิ์สิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น จะขึ้นบรรยายถ้อยคำพระเจ้าทั้งที ดูขลัง เพราะถ้อยคำพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ ในพระคัมภีร์บอกถ้อยคำพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ มันหมายถึงศักดิ์สิทธิ์ของการเป็นความจริง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้หมายถึงดูขลัง มีฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้น เวลาเราจะขึ้นไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า หรือบรรยาย หรือเทศนา เราจะต้องแต่งชุด ให้ดูขลังหน่อย ใส่สายสะพาย ใส่อะไร ขึ้นมา เป็นเหมือนชุดปุโรหิตยิวโบราณ ที่พระเจ้าให้แต่ง แล้วก็เอามาดัดแปลง ให้ดูน้อยๆ ลงนิดหนึ่ง แต่ก็ยังแต่งอยู่ อันนี้ผมไม่ได้พูดถึงคนแต่ง ไม่เกี่ยวกัน แต่กำลังจะบอกให้ฟังว่าสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ข่าวดีของพระเจ้าค่อยๆ ถูกทำให้เสียหายไป ถูกทำให้ค่อยๆ จางไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันไม่ตรงกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้าเลย ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูพยายามสอนเรา บอกว่าพระองค์มาทำให้สำเร็จแล้ว ไถ่บาปเราแล้ว สวรรค์คืออะไร? การเข้าสวรรค์อย่างไร? เกิดในโลกวิญญาณอย่างไร? มันไม่ได้เกี่ยวกับการกิน การดื่ม การทำอะไรบนโลก เป็นศาสนกิจเลย ไม่เกี่ยวเลยแม้แต่นิดเดียว รวมทั้งพิธีมหาสนิทและพิธีบัพติศมาในน้ำ ก็ไม่เกี่ยวกับความรอดเลย แม้แต่นิดเดียว

เติมไปนิดหนึ่ง วันนี้ไม่ได้มาคุยเรื่องนี้ ทุกคนรู้จักบัพติศมาในน้ำ … บัพติศมาในน้ำไม่ได้ทำให้คนได้รับความรอด รู้ไหมบัพติศมาในน้ำ ผมคิดขึ้นมาเอง เปรียบเหมือนงานฉลองวันเกิด ท่านเกิดแล้วใช่ไหม? พอครบปีท่านก็มาฉลองวันเกิดใช่ไหม? ท่านก็ร้องเพลงอวยพรวันเกิด ท่านเกิดหรือยัง? เกิดแล้ว Happy Birthday ทำให้ท่านเกิดอีกทีไหม? ไม่ใช่ การบัพติศมาในน้ำ คือฉลองในหมู่ คนที่เขาเกิดใหม่แล้ว เขาเชื่อพระเยซูแล้ว ตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้ อาจจะเมื่อวาน เมื่อวานซืน อาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ไม่รู้เมื่อไร? แต่วันนี้เขาจะฉลอง Happy Birthday to you แล้วเราร้องเพลงอะไร? สมมติว่าวันเกิดทางด้านมนุษย์ Happy Birthday to you ไม่เกี่ยวอะไรกับที่เราเกิด ถูกไหม?  เกิดในวิญญาณก็เหมือนกัน เกิดเมื่อไร? อาจจะรับเชื่อเดือนที่แล้ว  เกิดใหม่แล้ว วันนี้มาฉลอง “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู” เหมือนกัน แค่นี้ อันนี้แถมให้

ปรัชญาอันไร้แก่นสารเหล่านี้ มันทำให้เกิดคำหลอกลวง คือบิดพลิ้วถ้อยคำพระเจ้า ค่อยๆ บิด ถ้าบิดไปหมดเลย ยิ่งดี ถ้าบิดไม่ได้หมด บิดสัก 10% ก็ดี  ถ้า 10% ไม่ได้ 5% ก็ยังดี 5 % ไม่ได้ 1% ก็ยังดี แต่ใจจริงมารอยากจะบิดให้มันได้ครบ 100 เลย   ก็คือคนที่ไม่เชื่อนั่นเอง  แต่มาเชื่อแล้ว ทำอย่างไรได้ เชื่อแล้วไม่เป็นไร ทำให้เพี้ยนๆ เพื่อที่จะไม่ให้เขาไปส่งต่อข่าวดีนี้กับคนอื่น คนนี้รอด ไม่เป็นไร  สงครามไม่ได้จบตรงที่ว่าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วมารปล่อย ไม่ใช่ เรามาเชื่อแล้ว เราเข้าไปอยู่ในมือพระเจ้าแล้ว เข้าไปอยู่ในบ้านพระเจ้า ในสวรรค์แล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว  ก็จริง แต่มันจะทำให้เราเป็นพยานเท็จ เราไปสวรรค์จริง แต่เราไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้เลย เพราะการประพฤติของเราตลกๆ แปลกๆ

เราเป็นช่างตัดผมอยู่ดีๆ พอมาเชื่อพระเจ้าเราดีใจเหลือเกิน ไปโบสถ์ ทุกคนพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทุกคนต้องประกาศๆ เราเป็นผู้เชื่อใหม่ ไม่รู้จะทำอย่างไร? เขาบอกต้องประกาศๆ เป็นช่างตัดผมก็ประกาศได้ เราก็ถูกบังคับ พยายามจะประกาศ พอลูกค้ามาปุ๊บ เรากำลังลับมีดจะโกนหนวดให้เขา ไปปาดที่ใกล้ๆ คอ แล้วเราถาม …

“คุณเคยตายไหม? คุณกลัวตายหรือเปล่า?”

เราพูดไม่ถูกกาลเทศะเลยนะ คนนั้น …

“กลัวสิครับ”

“เชื่อพระเยซูไหม?”

“เชื่อๆ”

เขาเชื่อจริงหรือเปล่าล่ะ

เราชอบทำอะไรแปลกๆ อย่างนี้ คริสเตียนใหม่ คุยแล้วสนุก เอารถไปล้าง เด็กวิ่งมาถึง …

“จะรับบริการอะไรครับ 1, 2, 3, 4”

“หนูเชื่อพระเยซูหรือยัง?”

เขาถามว่าจะรับบริการอะไรไหม? ดันไปถามว่าหนูเชื่อพระเยซูหรือยัง?

“พี่จอดรถข้างๆ นะ”

“หนูรู้ไหม ถ้าเชื่อพระเยซู แล้วหนูจะไปสวรรค์”

คุยกันรู้เรื่องไหมเนี้ย มันเหมือนถูกบังคับ มันไม่เป็นธรรมชาติ มันไม่มีกาลเทศะ ถ้าถูกทางพระเจ้า มันจะดีงาม เรียบร้อย ลงล๊อค เข้าใจได้ ไม่มีอะไรแปลกๆ นี่ข่าวประเสริฐเสียหายไหม? คนที่ประกาศ คนที่เชื่อแล้ว รอดจริงๆ แต่เขาไม่สามารถที่จะไปบอกให้คนอื่น รู้ถึงข่าวประเสริฐที่ง่ายๆ ของพระเยซูได้ เพราะถูกขโมยบางส่วน ที่เป็นความจริงไปนั่นเอง ซึ่งปรัชญาอันไร้แก่นสาร หลอกลวงเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็มาจากการไปศึกษาค้นคว้าดูว่าบรรพบุรุษ ผู้เชื่อในยุคก่อนๆ แทนที่จะไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า

ไปศึกษาดูว่าคนยุคก่อนๆ บรรพบุรุษของเรา ในคริสตจักรยุคแรกๆ เขาทำอะไรกัน ที่เปาโลเขียน ก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเผื่อเขาเดินมากับพระเยซู เคยเดินกับพระเยซู ต้องถูกต้องหมด ต้องทำตามเขาให้หมด เราต้องทำตามเปโตร ต้องทำตามยอห์น ต้องทำตามยากอบ เพราะว่าเขาเดินกับพระเยซูมานะ เปาโลเป็นใครยังไม่เคยเดินกับพระเยซูเลย แล้วยังแถมฆ่าคริสเตียนด้วย อย่าไปเชื่อเขาเลย มาเชื่อคนเหล่านี้ดีกว่า เขามองอย่างนี้ เขาไม่ได้มองเนื้อแท้ๆ ของความหมายของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาถึงถูกหลอกได้

เปาโลชัดเจน เปาโลอ้างอย่างนี้เสมอ “ข้าพเจ้าถูกเรียกมาเป็นอัครทูต แบบเมียน้อย อัครทูต ต้องเดินกับพระเยซูสิ ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกใบนี้ แต่เปาโลไม่ได้เดินกับพระเยซู เพราะฉะนั้น หลายคนดูถูก แล้วผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้น ที่บอก น่าเชื่อถือ เปโตรก็น่าเชื่อถือ ต้องทำตามเขา เขาแบ่งแยกคริสเตียน โดยการกระทำของเขา โดยความกลัวของเขา คือเขายังคงรักษาประเพณี การไม่คบหากับคนต่างด้าว คนที่ไม่ใช่ยิวอยู่เลย แม้กระทั่งเขาเป็นผู้นำในเรื่องคริสเตียนแล้ว มีคริสเตียนที่เป็นชาวกรีก และอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เปโตรไม่กินอาหารโต๊ะเดียวกัน ถือว่าเขาต่ำกว่า เปาโลถือมากเรื่องนี้ โกรธมาก ทะเลาะกันแต่เรื่องนี้

“คุณทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”

เปโตรที่ยืนกับพระเยซู ที่เดินกับพระเยซู แต่เนื่องจากความคุ้นเคย ความรับผิดชอบ ในฐานะเป็นอัครทูตของพระเจ้าที่ส่งไปให้ชาวยิว จึงตะขิดตะขวางใจมาก เคร่งครัดในเรื่องประเพณีในอดีตมากมาย นี่แหละคือสิ่งหนึ่งที่ความจริงถูกบิดเบือน ไม่ได้พิจารณาดูว่ามันตรงตามหลักการไหม? ถ้อยคำพระเจ้าหรือเปล่า? กลัวไปก่อนแล้ว ไบเบิ้ลบันทึกอย่างนั้นหรือ? ไม่รู้ รู้แต่ว่าเปโตรทำ ฉันทำบ้าง เพราะฉะนั้น …

“ข้างบ้านเขาเป็นชาวกรีกนะ เขาเพิ่งมาเชื่อพระเจ้า อย่าไปกินข้าวกับเขานะ”

“ทำไมทำอย่างนั้น เปาโลบอกว่ากินได้ เป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกันหมดแล้ว”

“ขนาดเปโตรเขายังไม่ทำเลย”

มันเป็นอย่างนี้  ขนาดเปโตรเขายังไม่ทำเลย  เปโตรเป็นใคร อะไรประมาณนี้

คริสเตียนมีอยู่ 2 ทางเลือก คือจะเลือกทำตามประเพณีปฏิบัติตามโบร่ำโบราณ ที่ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมา หรือจะยึดตามแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท

เห็นไหมมี 2 ทางเลือก สิ่งที่ยึดถือปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณ เก่าแก่ยาวนาน ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เราเรียนมาตั้งเยอะแล้วนะ อิสราเอลในอดีต ทำผิด ทำพลาดตั้งเยอะ ผู้เชื่อชาวโครินธ์ก็มีแตกแยกหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายก็มีธรรมเนียมปฏิบัติแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปทำตามเขา ก็เละไปหมด ไม่มีพื้นฐานที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น พื้นฐานจะต้องมาจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่บันทึกเอาไว้

เปาโลจึงบอกว่า “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ไม่ได้อยู่ที่การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีที่สอนกันมาตั้งแต่โบราณ แต่อยู่ที่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพียวๆ ไม่มีการผสม ไม่มีการแต่งเติมอื่นๆ เข้าไป

ข่าวดีเรื่องสวรรค์ เรื่องความรอดในพระเยซูนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ และต้องแปลความหมายให้ถูกต้องด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบรรพบุรุษ คนแก่คนเฒ่า หรือผู้อาวุโสในอดีตได้กล่าวไว้ คือในเรื่องของความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูนี้ เราไม่สามารถใช้คำพังเพยที่ไทยๆ เราชอบพูดกัน

“เชื่อเถอะ”

“เพราะเขาอาบน้ำร้อนมาก่อนเรา เขาเชื่อพระเจ้ามาก่อนเราตั้งนานแล้ว”

กรณีนี้ใช้ไม่ได้เด็ดขาด มีโอกาสถูกหลอกได้อย่างง่ายๆ ซึ่งส่วนใหญ่บรรพบุรุษของเรา ก็เชื่อตามคำบอกเล่าของบรรพบุรุษ และบรรพบุรุษของเราก็เชื่อกันต่อๆ มาจากบรรพบุรุษอีกที ซึ่งพอถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ก็ตอบไม่ได้ เพราะเขาสอนต่อๆ กันมา ตอบไม่ได้ ถ้าท่านรู้ความจริง ในไบเบิ้ล ท่านจะรู้ว่าทุกอย่างในพระคัมภีร์มันต่อเนื่องกันหมด ตอบอะไรก็ได้ ไม่มีแย้งกันเลยสักนิดหนึ่ง ไม่อย่างนั้นมันยุ่งไปหมดเลย อันนั้นก็แย้ง อันนี้ก็แย้ง พระเยซูบอกทำสำเร็จแล้ว อันนี้บอกยังทำต่อ พระเยซูอภัยให้หมดแล้ว อันนี้บอกไม่ได้ เธอต้องขอการอภัยโทษ อย่างนี้เป็นต้น แต่สิ่งที่เราทราบแน่ๆ จากการได้ศึกษาในประวัติศาสตร์ก็คือบรรพบุรุษก่อนหน้าเรา แตกแยกจริงๆ มีความขัดแย้งทางความเชื่อเยอะแยะมากมายไปหมด ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน กว่า 2,000 ปี ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเชื่อ ตามบรรพบุรุษฝ่ายไหน ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้  ซึ่งเราเรียกกันว่านิกาย ก็ว่ากันไป ซึ่งจริงๆ มันไม่มี มันมีหนึ่งเดียว

จึงสรุปได้ว่าประเพณีเก่าแก่ ตั้งแต่โบร่ำโบราณ มิได้เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ทุกอย่างเสมอไป ถึงทำตามประเพณีตลอด แต่ถ้าไม่ตรงกับพระคัมภีร์ ก็มีสิทธิ์เพี้ยนไปก็ได้  แต่ที่ทำมาถูกต้อง ก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี

ดังนั้น เราจึงควรมีบรรทัดฐานเดียวกัน พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้อย่างไร? เป็นเพียงหลักฐานเดียวเท่านั้น ที่เราจะต้องทำตาม ไม่ใช่ทำตามตำนานเล่าขาน สืบเนื่องจากความเชื่อของบรรพบุรุษอาวุโส

ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นอีกอันหนึ่ง ก่อนจะจบในวันนี้ เมื่อประมาณ 500 กว่าปีก่อน  มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น    ใหญ่โตมาก   ซึ่งทำให้เกิดคริสตจักรที่ถูกต้องตามกฎหมาย   แบบเราๆ เรียกกันว่าโปแตสแตนท์ ถ้าแบ่งคริสเตียนในปัจจุบัน  ในโลกนี้ทั้งหมด  แบ่งได้แค่ 2 กลุ่ม  คือโปแตสแตนท์ กับโรมันคาทอริค

เมื่อตอนที่เปาโลกำลังพูดอยู่นี้ ไม่มีโรมันคาทอริค ไม่มีโปแตสแตนท์ มีแต่คาทอริค เชิร์ท คาทอริค แปลว่าหนึ่งเดียว เริ่มประกาศที่กรุงเยรูซาเล็มไป แล้วเปาโลไปประกาศ และตั้งคริสตจักรที่ไหนก็ตาม เป็นคริสตจักรคาทอริคหมด เป็นคริสตจักรของพระเจ้า คริสตจักรของพระเยซูคริสต์ เหมือนกันหมด ไม่มีนิกายโน่นนี่ ทุกคนเหมือนกันหมด และทำตามที่พระเยซูบอก ทำตามข่าวประเสริฐ แล้วมันก็จะมีคนนี้ เริ่มเอาอย่างนั้นมาบวก จากข่าวประเสริฐเพียวๆ บวกอันนั้นไปนิดหนึ่ง บวกความเชื่อเดิม บวกประเพณีเดิม บวกกิเลสส่วนตัวเข้าไป บวกความอยากใหญ่อยากโตเข้าไป บวกความโลภเข้าไป  อยากได้เกียรติ มันเลยผสมปนเปกันมา จากเพียวๆ ก็เลยผสมกันเยอะแยะ เป็นหมู่เหล่าต่างๆ นานา แต่ก็ยังไม่แบ่งเป็นกลุ่มๆ ชัดเจนเหมือนปัจจุบัน

จนกระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น เมื่อมหาอาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นมหาอำนาจในขณะนั้นเปลี่ยนศาสนาประจำชาติ มาเป็นเชื่อพระเยซู โดยคอนสแตนติน เมื่อประมาณปี ค.ศ.300 คือหลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ประมาณ 300 ปี โรมันซึ่งเคยข่มเหงและต่อต้านคริสเตียน ก็กลับกลายเป็นประเทศ เป็นมหาอาณาจักร ที่กลายเป็นมีศาสนาประจำชาติ เป็นคริสเตียน แล้วก็เหมือนเดิม พอเป็นคริสเตียนปุ๊บ  ก็จะมีผสมปนเปกันไปเยอะแยะไปหมด อย่างที่ผมบอก คนนี้ก็เชื่ออย่างนี้ คนนั้นก็เชื่ออย่างนั้น เอาของเก่ามาเสริมบ้าง การเป็นคริสเตียนของโรมันคาทอริคก็เริ่มบวกกับสิ่งที่เขาเคยเชื่อมาในอดีต เรื่องรูปเคารพอะไรต่างๆ รวมเข้าไปกับการนมัสการพระเยซูด้วย

เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกสไตล์เขาเอง ซึ่งแตกต่างกับคาทอริคเดิมแล้ว จากคริสตจักรเดิมๆ สมัยกรุงเยรูซาเล็ม สมัยเปาโล มันไม่เหมือนกันแล้ว เพราะเติมอะไรเข้าไปเยอะ มีทั้งคนถูกต้อง คนบริสุทธิ์ดีงามจริงๆ มีทั้งคนอยากเล่นการเมือง มีทั้งคนอยากใหญ่ อยากโลภ มีทั้งคนอยากจะร่ำรวยเข้าไปทางศาสนา เพราะฉะนั้น มันก็เลยกลายเป็น ชื่อว่าคาทอริค แบบโรมัน เขาเรียกว่าโรมันคาทอริค แล้วก็มาเรื่อยๆ จนพันสองร้อยปีผ่านมา ก็เป็น  ค.ศ.1500  ตอนที่เป็นโรมันคาทอริค เขาจะมีคนธรรมดา ที่เชื่อแบบธรรมดา เป็นคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าจริงๆ มันไม่เห็นตรงกับพระคัมภีร์เลย เคยอ่านมาบ้าง มันแปลกๆ ความรอดในพระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ทำไมมันซื้อได้ด้วย ซื้อใบความรอด ก็ได้ คนทำบาปมา สารภาพบาปอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องจ่ายตังค์ด้วย ถึงจะบริสุทธิ์

อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง และอย่างอื่นอีกมากมาย คนก็เริ่มคิดต่างๆ นานา ทำไมมันไม่ตรง มันใช่เหรอ มันก็จะมีคนแย้งมาตลอดเวลา แย้งอยู่ใต้ดิน คนที่ต้องการอำนาจ ก็พยายามกำจัดคนที่แย้งๆ กันไป  เพื่อที่จะได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ จนกระทั่งประมาณ 500 ปีที่ผ่านมา  ก็มีคนๆ หนึ่ง ซึ่งก็คือหนึ่งในจำนวน คนเยอะแยะมากมาย ที่ประท้วงตลอดเวลาว่าอันนี้มันไม่ใช่เรื่องข่าวดีของพระเยซู นี่มันอะไรก็ไม่รู้ ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกให้ทำอย่างนี้สักหน่อย คนหนึ่งในจำนวนนั้นที่เป็นหัวหน้า มีชื่อว่ามาร์ติน ลูเธอร์ ก็คือหนึ่งในจำนวนผู้ที่แย้งอยู่ใต้ดิน ก็แอบแปลพระคัมภีร์ แอบไปอ่าน แอบไปทำ แล้วก็สอนใต้ดิน ให้คริสเตียนที่อยากรู้พระคัมภีร์จริงๆ อยากเป็นคริสเตียนแท้ๆ กลุ้มใจกับอันที่มันมั่วๆ กันหมด แอบเรียน ไม่แอบไม่ได้ ผิดกฎหมาย เพราะทางศาสนาตอนนั้น มันเข้มข้นมาก ในเรื่องของการเมือง เอาสั้นๆ นี่คือการต่อต้าน จนกระทั่ง ในสมัยของมาร์ติน ลูเธอร์ ต่อต้านจนสำเร็จ สรุปพูดง่ายๆ ก็คือต่อต้านจนกระทั่งพวกที่ต่อต้าน โผล่ขึ้นจากใต้ดินเยอะมากขึ้น จนกระทั่ง โรมันคาทอริค ไม่รู้จะทำอย่างไรได้  เพราะมันเยอะเหลือเกิน ปราบไม่หมดแล้ว เพราะฉะนั้น  ก็เลยยอมรับว่าโอเค ขึ้นมาเลย ให้เป็นอีกนิกายหนึ่ง เป็นความเชื่อหนึ่งในเรื่องพระเยซู

และจากนั้นมาร์ติน ลูเธอร์มาถึงปัจจุบัน 500 ปี ก็จะเกิดคริสเตียนแบบโปแตสแตนท์ คือพวกที่อยู่ในกลุ่มที่เขาเรียก โปแตส พวกประท้วง คริสเตียนพวกกลุ่มประท้วง เราก็อยู่ในข่ายพวกประท้วง ประท้วงว่านี่ไม่ใช่ และในกลุ่มผู้ประท้วงเอง ใน 500 ปีที่ผ่านมา ก็เชื่อไม่เหมือนกัน อย่างที่บอก บางคน ลงน้ำบัพติศมา ไม่เกี่ยวกับความรอด บางคนบอกไม่รู้ เขาว่ากันมาว่ามันเกี่ยว ทำดีกว่า ก็ทำต่อไป  พอทำต่อไป สอนลูกหลานว่าถ้าได้รับความรอด ไปสวรรค์ ต้องลงน้ำนะ ซึ่งในพระคัมภีร์ บอกไหมว่าจะไปสวรรค์ต้องลงน้ำ ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น

อันนี้ไม่เป็นไร ก็แยกไป เขาได้รับความรอดจริง ไปบังคับให้ทุกคนลงน้ำ อันนี้เชื่อใหม่ ศึกษาแล้วไม่ใช่ ก็แบ่งแยกออกไป โปแตสของโปแตสอีกที คือกลุ่มประท้วงเขา แล้วก็แยกออกมาเป็นกลุ่มประท้วงของกลุ่มประท้วงอีกทีหนึ่ง มันก็แยกไปเรื่อยๆ เห็นภาพอะไรไหมว่าข่าวดีของพระเจ้าที่เป็นเพียวๆ 100% มันมีบิดมาบิดไป แต่ขอบคุณพระเจ้า จะบิดอย่างไรก็ตาม มันง่ายตรงที่รอดทางวิญญาณ เขารอดไปแล้ว เพียงแต่เขาจะส่งไม้ต่อให้กับคนหลังๆ ไม่ได้ดีนักเท่านั้นเอง  เพราะว่าเขาไปพูดข่าวประเสริฐที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์จริงๆ มันคือยาก

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพว่าข่าวประเสริฐมันไม่ได้ยากอย่างนั้น แต่ที่เราเรียนรู้กันอยู่ เพื่อจะได้รู้ว่ามารมันตกกระป๋องไป มันถูกถอดยศออกไปหมด มันทำอะไรไม่ได้เลยตอนนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกว่าท่านไม่รู้หรือ! คำว่าท่านไม่รู้หรือ! มันทำเสร็จแล้ว ถูกไหม? พระคัมภีร์จะพูดสิ่งนี้เสมอ ท่านไม่รู้หรือๆ เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว ปุ๊บ เปาโลจะบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ ชำระบาปให้ท่านหมดเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต จบไปแล้ว ท่านไม่รู้หรือท่านเชื่อพระเยซูแล้ว  ท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่อาศัยในร่างกายนี้อยู่เท่านั้นเอง ท่านไม่รู้หรือ? แปลว่ามันสำเร็จแล้ว มันเป็นอย่างนั้นแล้ว

นี่คือข่าวดี ซึ่งอย่างที่บอก มารพยายามที่จะดันอันนี้ออกไปไกลๆ ให้มันยากๆ เข้าไว้ เพื่อให้คนรู้สึกก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่กับอันอื่นๆ เขา อันอื่นๆ ก่อนที่จะมา ก็มีเยอะแยะความเชื่อต่างๆ ที่บอกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องช่วยเหลือตัวเอง คนเราเกิดมามีเวรมีกรรม ต้องชดใช้เวรกรรม กฎแห่งกรรมมีจริงนะ ทำบาปก็ต้องชดใช้สิ แล้วในพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? พระเยซูมารับบาปของเราไปแล้ว หนังสือฮีบรู บทที่ 10 บอกว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และพระโลหิตของพระองค์ การตายของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ ที่จะชำระท่านทั้งหลาย ให้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ถวายแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์สะอาด เอเมน หมด

พระเยซูบนไม้กางเขนบอกสำเร็จแล้ว แปลว่าท่านมาเชื่อพระเยซู ท่านไม่ต้องทำอะไร พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่ท่าน ท่านจะเชื่ออะไร? ท่านจะเชื่อในพระคัมภีร์ หรือจะเชื่อที่เขาว่ามา  ท่านลองไปถามสิว่าเขาว่ามาจากไหน? ว่ามาจากความเชื่อเดิมๆ ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดมาว่ามีเจ้ากรรมนายเวร มาคอยเจอตลอดเวลา เธอต้องชดใช้หนี้สิน เธอต้องชดใช้กรรม ชดใช้เวร ไม่มีทางหมดหรอก

แต่อีกฝั่งหนึ่ง พระเยซูบอก “ฉันใช้ให้หมดแล้ว หมดแล้วๆ”

เราจะจบตรงที่แล้วถ้าเราเรียนรู้ความจริงนี้แล้ว วิธีการที่เราจะไปใช้ ทำอย่างไร? จำที่ผมบอก ครั้งที่แล้วว่ามันมีสงครามฝ่ายวิญญาณอยู่จริงๆ และสงครามฝ่ายวิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผีมารซาตาน จะมาหักคอท่านหรอก แต่มันเกี่ยวกับผีมารซาตานจะผ่านทางกระแสของโลกนี้ จะมาขโมยเอาความจริงออกไปจากสมองของท่าน ออกจากความคิดของท่าน พระคัมภีร์จึงบอกให้ท่านจดจ่อไปที่เบื้องบน ในสวรรค์สถานที่ท่านอยู่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ในสวรรค์ ซึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้แล้ว จดจ่อไปที่ถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกไว้อย่างนั้น อย่าให้มันขโมยออกไปด้วยถ้อยคำหลอกลวง

จดจ่อก็คือเซ็ตมายด์ ก็คือใคร่ครวญ ภาวนา โฟกัส จ้อง จับเอาความจริงเหล่านั้น ใส่ไว้ในสมอง ใส่ไว้ในความคิดของเราตลอดเวลา ฝึกตลอดเวลา ถ้ามันอยู่ในนี้ มันก็จะอยู่ตลอดไป ไม่มีใครมาเอาไปได้ มารก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะวิญญาณเราอยู่ในพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จะจบทุกครั้ง ผมก็จะฝึกเราในการเอาถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปในสมองของเรา เข้าไปในความคิดของเราว่านี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ นี่คือโลกวิญญาณที่ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ที่พระเจ้าบอกตระเตรียมไว้ให้คนที่รักพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ มันเกิดแล้ว มันเสร็จแล้ว มันเรียบร้อยแล้ว ท่านอยู่ตรงนั้นแล้ว ทำอย่างไรถึงจะได้เห็น ก็จงมองให้เห็นเถิด ทำอย่างไรท่านถึงจะได้รู้ ก็จงมองให้เห็นเถิด เปิดตาวิญญาณ แล้วมองให้เห็นเถิด อ้าว! เปิดตาวิญญาณเลย วิธีเปิดตาวิญญาณทำอย่างไร? ที่จะฝึกต่อไปนี้ ก็คือความจริงในถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมด ท่านก็พยายามพูดตามผมไปเรื่อยๆ เหมือนกับพูดกับตัวเอง กลับไปบ้าน ท่านก็พูดให้ตัวเองฟังลักษณะอย่างนี้ …

“ขอบคุณพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ลูกเป็นอิสระ จากโทษของความบาป ขอบคุณพระเยซู ที่ชดใช้เวรกรรมให้กับลูก ขอบคุณพระเจ้า ที่ลูกได้เป็นลูกของพระองค์ ลูกขอบคุณพระเจ้า ลูกเชื่อว่าลูกเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ให้ลูกตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และชุบให้ลูกเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ลูกจึงได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ เป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ ไร้โทษ และพระองค์ได้ประทานจิตใจใหม่ให้ลูกด้วย ลูกจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เป็นลูกของพระองค์ และอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ ขณะนี้แล้ว เพียงแต่ว่าลูกยังต้องอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้ เพื่อพระองค์จะสามารถใช้ลูกได้ ในการงานบนโลกใบนี้ แต่วันหนึ่งร่างกายที่จะต้องตายนี้ จะกลับไปสู่ดิน ตามโทษของความบาป จากบรรพบุรุษ คืออาดัม ณ วันนั้น วิญญาณของลูกและความคิดจิตใจของลูกจะออกจากร่างนี้ เตรียมไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เหมือนร่างกายของพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นความสว่าง ไม่มีการตาย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่ต้องรับโทษใดๆ ไม่ต้องโศกเศร้า ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป และลูกจะอยู่ในสวรรค์ ในร่างกายทิพย์นี้ ครอบครองร่วมกับพระเยซู อยู่ในสวรรค์ของพระองค์ที่เรียกว่าในพระคริสต์ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้าในพระคุณของพระองค์ ที่ทรงกระทำทุกสิ่งนี้ให้กับลูก ขอบคุณพระองค์ในนามพระเยซู เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ตุลาคม  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอนที่ 4 ใน 2 โครินธ์ บทที่ 10 พูดถึงสงคราม หรือการสู้รบทางฝ่ายวิญญาณ หรือทางความคิด และพูดถึงอาวุธที่เราใช้ในการทำสงครามทางฝ่ายวิญญาณ เราก็พร้อม

ก่อนจะเรียนรู้กันต่อไป ผมอยากจะย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ ที่มาที่ไปของบันทึกจดหมายฝากฉบับนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองโครินธ์ขณะนั้น และวัตถุประสงค์ของอาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฝากฉบับนี้  เพื่ออะไร? เราจะได้รู้เบื้องหลัง เราจะได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างตรงไปตรงมา และเป็นของจริง คือต้องเข้าใจถึงถ้อยคำที่อยู่ในบริบทนั้น อยู่ในหนังสือเล่มนั้น อยู่ในจดหมายฉบับนั้น มันแปลว่าอะไร? มันพูดถึงอะไร? เขียนถึงใคร มีเบื้องลึก เบื้องหลัง ที่มาที่ไปอย่างไร? เราถึงจะตีความได้ว่าหมายความว่าอย่างไร?

2 โครินธ์ 10:1-2 “1 ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ด้วยความถ่อมสุภาพและอ่อนโยนของพระคริสต์  ข้าพเจ้าเปาโล ผู้ซึ่งท่านบอกว่า “ขลาดกลัว” เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน แต่ “ห้าวหาญ” เมื่ออยู่ไกล 2 ข้าพเจ้าขอร้องว่าเมื่อข้าพเจ้ามา อย่าให้ข้าพเจ้าต้องห้าวหาญอย่างที่ข้าพเจ้าคาดหมายจะทำต่อบางคน ที่คิดว่าเราดำเนินชีวิต ตามมาตรฐานของโลกนี้”

 

ใครที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องราวชีวิตของอาจารย์เปาโล แล้วมาอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ อาจจะเริ่มงงเล็กน้อยว่าเปาโลกำลังพูดถึงใคร?  และหมายความว่าอะไร? การที่จะเข้าใจคำพูดของอาจารย์เปาโลตรงนี้ ต้องเข้าใจถึงสภาพเมืองโครินธ์ในขณะนั้น และความเป็นอยู่ของผู้เชื่อ คือคริสเตียนชาวโครินธ์ ในยุคนั้นเป็นอย่างไร?  ชาวเมืองโครินธ์ตอนนั้น ก็เหมือนกับกรุงเทพในขณะนี้ เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุ ในช่วงที่เปาโลไปประกาศ มีทั้งชาวยิวที่เคยเป็นพวกเคร่งศาสนา แล้วก็มีทั้งชาวต่างชาติ กรีก แล้วก็ผู้เชื่อไสยศาสตร์ ผู้เชื่ออะไรเยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งในขณะนั้นเกิดการแตกแยกในคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ ซึ่งผู้เชื่อเหล่านั้นได้มาเป็นคริสเตียน โดยละทิ้งความเชื่อเก่าๆ ของเขาไปหมด ซึ่งแตกต่างกัน มีทั้งยิวและไม่ยิว มันจึงเกิดการแตกแยกกัน คนนี้คิดอย่าง คนนี้ไปอีกอย่าง เพราะว่าเปาโลไปก่อตั้งคริสตจักร แล้วก็ออกไปประกาศยังสถานที่อื่นๆ ต่อไป

ชาวยิวที่เคยเคร่งศาสนายิว แม้จะรับเชื่อผ่านทางการประกาศของเปาโลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีบางคน บางกลุ่ม ที่ยังติดอยู่กับกิจกรรมเดิม ข้อบัญญัติเดิม พิธีกรรมเดิม ที่เคยปฏิบัติมาเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะเกิดอีก ตั้งแต่บรรพบุรุษของยิว พอมาเชื่อพระเจ้า อยู่ในคริสตจักรเดียวกัน เขาก็เริ่มต้นดูหมิ่น ดูถูกผู้เชื่อคนอื่นๆ  ที่ไม่ใช่ยิว ที่มาจากความเชื่ออื่น แล้วก็เริ่มไปแนะนำให้คนเหล่านั้นมาทำตามเขา เชิงบังคับบ้าง ขู่บ้าง ถ้าไม่ทำอย่างนี้นะ พระเจ้าลงโทษ ไม่ได้รับพร ถ้าทำอย่างนี้นะ ไม่ได้รับความรอดแล้ว อะไรประมาณนั้น ท่านลองคิดดู เปาโลปวดหัวขนาดไหน? อันนี้เรื่องหนัก เรื่องสำคัญมาก เปาโลต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องแข็งแกร่ง กล้าหาญ

ในจดหมายฝากโครินธ์ ฉบับที่ 1 เปาโลได้กล่าวถึงความคิดที่แตกแยกเหล่านี้ แล้วก็ให้แนวทางไว้แล้วว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรในเรื่องพิธีการ เรื่องการแต่งงาน เรื่องการใช้ชีวิตคู่ เรื่องการอยู่ด้วยกัน สามีภรรยา เรื่องการจัดการปัญหาต่างๆ ในแต่ละวัน แม้กระทั่งการกิน เรื่องการขัดแย้งต่างๆ และที่สำคัญ คือเรื่องของการยึดมั่นในความเชื่อ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูว่าเมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา แต่ความแตกแยกในเมืองโครินธ์ ก็ยังไม่จบ ยังคงมีอยู่ พวกที่อยู่ตรงข้าม คำว่า “ตรงข้าม” หมายถึงตรงข้ามกับอาจารย์เปาโลนะ พยายามให้ร้ายป้ายสีเปาโล พูดจาถากถาง นินทา พอแยกกลุ่มปุ๊บ ดูถูกเปาโลใหญ่เลย ทั้งๆ ที่เปาโลเป็นผู้วางรากฐานของคริสตจักรที่นั่น

พวกเหล่านี้ ก็เริ่มพูดจานินทา แล้วก็ยุยงให้ผู้เชื่ออื่น ในคริสตจักรเดียวกัน ด้วยการบิดเบือนความจริงข่าวดีของพระเยซู ที่เปาโลวางรากฐานไว้อย่างดี เริ่มเบี่ยงเบน เริ่มใส่เข้าไป

ยกตัวอย่าง ถ้ามาเชื่อพระเจ้า แล้วไม่พอนะ ยังคงต้องถวายสิบลดด้วย ไม่พอนะ วันสะบาโตต้องมานะ ต้องหยุดงานเลย เหมือนสมัยก่อน ทำงานไม่ได้ แล้วยังมีอีกเยอะแยะมากมาย เราต้องล้างมือ ฯลฯ

อันนี้จึงเป็นเหตุให้อาจารย์เปาโลได้ใช้คำขึ้นต้นจดหมายฝากฉบับนี้ว่า …

“ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านด้วยความถ่อมสุภาพ และอ่อนโยนของพระคริสต์ ข้าพเจ้าเปาโล ผู้ซึ่งท่านบอกว่าขลาดกลัว เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน แต่กล้าหาญ เมื่ออยู่ไกล ข้าพเจ้าขอร้องว่าเมื่อข้าพเจ้ามา อย่าให้ข้าพเจ้าต้องห้าวหาญ อย่างที่ข้าพเจ้าคาดหมาย จะทำต่อบางคนที่คิดว่าเราดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของโลกนี้ ข้าพเจ้าเปาโลผู้ซึ่งท่านบอกว่า …”

หมายถึงเขานินทากันว่าขลาดกลัว เมื่ออยู่ต่อหน้า เปาโลเคยไปประกาศ อยู่กับชาวโครินธ์ ตอนนี้ไม่อยู่ เขียนจดหมายมา เขานินทาบอกว่าเปาโล ตอนอยู่ต่อหน้า หน่อมแน้มมากเลย พอไม่อยู่เขียนจดหมายมาทำกร่าง ตรงนี้ ก็คือ 1 ในคำครหา นินทาว่าร้าย  ใส่ความเปาโล ตอนที่มาประกาศในเมืองโครินธ์ อาจารย์เปาโลมาในลักษณะเหมือนพระเยซู อ่อนโยน ถ่อมใจ ขณะเดียวกัน อาจารย์เปาโล ไม่มีของประทานในการพูดในที่สาธารณะ แบบมีโวหาร แบบชาวโลก แบบเนื้อหนัง อย่างเช่นนักเทศน์มาเทศน์ที่มีคำคม มีท่าทาง เปาโลไม่มีอย่างนั้น มีแต่เนื้อความล้วนๆ ของถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เปาโลจึงบอกเสมอว่าเรามาประกาศ ไม่ใช่สติปัญญามนุษย์ แต่เป็นถ้อยคำพระเจ้าล้วนๆ เลย  จะไม่ไปเอาปรัชญากรีกมาพูด แล้วก็มาเทียบกับถ้อยคำพระเจ้า เป็นต้น

ในจดหมายฝากถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 อาจารย์เปาโลแนะแนวทางสำหรับผู้เชื่อว่าให้ดำเนินชีวิตเลียนแบบท่าน … “ท่าน” ในที่นี้ก็คือเลียนแบบอาจารย์เปาโลเอง เพราะอาจารย์เปาโลมั่นใจว่าท่านดำเนินชีวิตในทางของพระเยซูคริสต์ด้วยความมั่นคง ในความเชื่ออย่างแท้จริง

1 โครินธ์ 4:15-21 “15 ถึงแม้ว่าท่านมีผู้ปกครองดูแลนับหมื่นในพระคริสต์ แต่ท่านมีบิดาคนเดียว เพราะในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้เป็นบิดาของท่าน โดยทางข่าวประเสริฐ 16 ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอให้ท่านเลียนแบบข้าพเจ้า 17 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะส่งทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มาหาท่าน เพื่อเตือนท่านให้ระลึกถึงวิถีชีวิตของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ อันสอดคล้องกับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าสอนทุกหนทุกแห่ง ในทุกคริสตจักร 18 บางคนในพวกท่านได้หยิ่งผยองขึ้นมา ราวกับข้าพเจ้าจะไม่มาหาท่าน 19 แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้ แล้วเมื่อนั้น ข้าพเจ้าจะได้รู้ ไม่เพียงสิ่งที่คนยโสพวกนั้นพูด แต่ฤทธิ์อำนาจที่เขามีด้วย 20 เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์อำนาจ 21 ท่านชอบแบบไหนมากกว่า จะให้ข้าพเจ้าถือแส้มาหาท่าน หรือมาด้วยความรัก และด้วยใจอ่อนโยน”

 

สิ่งหนึ่งซึ่งเปาโลพยายามสอนและวางแนวทางให้ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ให้ดำเนินชีวิต เลียนแบบชีวิตของท่าน ก็คือการตอบสนองต่อปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ด้วยแนวทางและความคิดแบบผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เพราะเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นผู้เชื่อแล้ว เราต้องมองไปที่โลกวิญญาณอย่างเดียว ให้ลักษณะเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ และไม่ทำในลักษณะที่เป็นแบบตรงกันข้าม ก็คือทำแบบที่โลกนี้เขาทำกัน ส่วนใหญ่ที่ผู้ที่ไม่เชื่อเขาทำกัน ก็คือภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าแบบเนื้อหนัง บางทีเราไม่เข้าใจ แบบเนื้อหนัง ก็คือแบบไม่ใช่วิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า พูดง่ายๆ แบบตัวฉัน ของฉัน แต่ถ้าฝ่ายวิญญาณ คือแบบวิญญาณที่เกิดใหม่แล้ว โดยที่ปรึกษาเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์

นี่คือที่มาที่ไปว่าทำไม อยู่ๆ อาจารย์เปาโลถึงขึ้นต้นจดหมายฝาก ด้วยคำพูดแบบนี้ ถ้าไม่ทราบเบื้องหลัง เบื้องหน้า ใครมาอ่านก็งง มาได้อย่างไร? เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมต้องพูดอย่างนี้ แล้วจดหมายฝากถึงชาวโครินธ์ 2 ฉบับนี้  เราพอจะประมาณการอุปนิสัยใจคอของอาจารย์เปาโลได้ว่าน่าจะเป็นแบบไหน? ที่เราสามารถนำไปเลียนแบบได้ ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์เปาโลเป็นคนกล้าหาญ ตายเป็นตาย แต่สุภาพอ่อนโยนมาก …

“พี่น้องจะให้ช่วยอะไรไหม? พี่น้องเป็นอะไรหรือเปล่า? พี่น้องต้องเชื่อในพระเจ้าต่อไปนะ พี่น้องพระเยซูทำอะไรให้กับท่านนะ ท่านได้เกิดใหม่แล้วนะพี่น้อง”

แต่ขณะเดียวกัน ใครจะมาจับเปาโล ว่ากล่าว ว่าร้ายอาจารย์เปาโล ตายเป็นตาย ตายก็ได้กำไร อยู่ก็อยู่เพื่อทำงานให้พระคริสต์ อยู่ก็อยู่เพื่อเสริมสร้างร่างกายพระคริสต์ให้เข้มแข็งในผู้เชื่อทั้งหลาย แล้วยังมีอะไรอีกที่เราสามารถเลียนแบบอาจารย์เปาโล อ่อนโยน แต่มั่นคง ชัดเจนในจุดยืน ไม่โอนเอนและไม่ก้าวร้าว มีใจถ่อม  แต่หนักแน่นในความเชื่อ ไม่ใช่ถ่อม แล้วก็โลเล ไม่ ถ่อมแล้วก็เป๊ะเลย ถ้าพระเยซูไถ่ท่านให้พ้นจากบาปแล้ว ท่านก็พ้นจากบาปจริงๆ ท่านไม่ต้องกลับไปนำแพะไปถวายพระเจ้า ปีต่อปีอีกแล้ว อะไรประมาณนั้น กล้าพูดเลย กับพี่น้องของเขานั่นเอง เขาเรียกว่ามีใจถ่อม แต่หนักแน่นในความเชื่อ อันนี้ไม่ใช่อุปนิสัย อันนี้ เป็นบุคลิกเกิดมาเป็น เขาเรียกว่าของประทานก็ว่าได้ หรือเป็นคนแบบนี้ ก็คือเป็นคนพูดไม่เก่ง พูดตะกุกตะกักอย่างนี้ อันนี้เป็นเหมือนกับพรสวรรค์

พวกเราได้ทราบข้อมูลในบริบท ถ้อยคำแล้ว เราก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ อย่างที่เราได้เรียนรู้กันไป 2 ตอน ในหัวข้อเรื่องต่อสู้ของโลกฝ่ายวิญญาณทางความคิด ที่หมายถึงการต่อสู้ระหว่างความจริงของพระเจ้ากับข้อมูลเท็จของมาร นี่คือรายละเอียดของสงครามฝ่ายวิญญาณ แค่นั้นเอง  ฟังให้ดีๆ เลยนะ ไม่อย่างนั้น ไปฟังจากที่อื่นมา แล้วก็มั่วไปหมดเลยว่าไปเกี่ยวอะไรกับทูตสวรรค์ ผีอะไร วุ่นวายกันไปหมด มันมีอยู่แค่นี้เอง ข้อมูลฝั่งไหน ครอบครองพื้นที่ได้มากกว่า ฝั่งนั้น ก็เป็นฝั่งชนะ แล้วความคิดเราอยู่ไหน?  ความคิดก็อยู่ในสมองเรา

แล้วเปาโลได้พูดถึงการทำสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ปัจจัย คือคำว่า ..

  1. ป้อมปราการ คือที่มั่น
  2. อาวุธ
  3. กลยุทธ หรือวิธีการในการต่อสู้

2 โครินธ์ 10:3-5 ที่เรารู้จักกันดี เอามาใช้บ่อยๆ “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

ป้อมปราการของใครของมัน ป้อมปราการอยู่ที่สมองเรานี่ ป้อมปราการ ก็คือความคิด หรือสมองในการเก็บข้อมูล รับข้อมูล ข้อมูลอะไรก็ได้ อยู่ในสมองเราหมด อาวุธที่เราใช้ ก็คือถ้อยคำ หรือความจริงของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ และวิธีการต่อสู้ของเรา ก็คือสยบทุกความคิด ให้มันยอมจำนนและเชื่อฟังพระคริสต์ ก็คือเชื่อถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่บังคับให้คนอื่นเชื่อฟัง แต่บังคับตนเอง ไม่ใช่ไปสู้กับมารให้มันเชื่อฟัง แต่สู้กับความคิด ข้อมูลที่มันส่งเข้ามา ไม่เกี่ยวกับมารแล้ว เกี่ยวกับเราแล้ว มันส่งเข้ามา ไม่ต้องไล่มัน แต่ไล่ข้อมูลความคิดที่มันส่งเข้ามา รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

2 โครินธ์ 10:6 “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

 

ความหมาย ก็คือเราฝึกฝนที่จะใช้ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นอาวุธของเรา ในการต่อสู้กับข้อมูลเท็จของมาร เราจะพยายามเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง ให้ถึงที่สุด และถ้ายังมีความคิดตรงไหนที่เผลอไปอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  พอไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า เรารู้ดี มันแปลกปลอมเข้ามา เราก็จะลงโทษเจ้าความคิดตรงนั้นแหละ ตรงที่มันแปลกปลอมมา อยู่ในสมองเรา จัดการลงโทษมัน  ก็คือเอาเจ้าความคิดที่ตรงข้ามกับพระเจ้า ที่มารส่งเข้ามา ไล่มันออกไปจากสมองของเรา จากความคิดของเรา กำจัดมันออกไปจากสมอง แล้วก็ใส่ข้อมูลของพระเจ้า ที่บอกถึงความจริงนั้นลงไปแทนที่ ต้องทำอย่างนี้ ใส่ข้อมูลของพระเจ้าที่บอกถึงความจริงใส่เข้าไปแทนที่ แล้วก็ทำทุกสิ่งให้อยู่ในฝั่งพระเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่าการลงโทษความคิดที่มันส่งเข้ามา

สมมติว่ามารส่งข้อมูลเข้ามา … “เราต้องโลภหน่อยนะ เราต้องเก็บเอาไว้เยอะๆ นะ เราต้องทำงานเยอะ เราต้องเก็บทรัพย์สมบัติไว้ เผื่อข้าวยากหมากแพง ไม่มีอะไรกิน เราไม่ต้องให้ออกไปหรอก เราไม่ต้องไปช่วยใครหรอก เก็บไว้ก่อน” อย่างนี้

หรือบอกให้เราโลภ “อย่างนี้ ไม่พอ พระเจ้าจะอวยพรเราอีก ลงทุนเลย ไปกู้หนี้ยืมสิน ลงทุนเข้าไป พระเจ้าอวยพรแล้ว ได้อีกแล้ว เขาบอกใครมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าอวยพรทั้งสิ้นแหละ ขอแล้วจะได้ ขอสิๆ ลงทุนใหญ่เลย”

หวังว่าจะรวยขึ้น เยอะขึ้นๆ อย่างนี้ใช่ทางของพระเจ้าไหม? ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ในหนังสือฮีบรู บทที่ 13 ว่าอย่างไร? ตรงกันข้ามกัน พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าจงพึ่งพอใจในสิ่งที่ท่านกำลังมีอยู่ พระเจ้าทรงสัจธรรม ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ไม่ทอดทิ้ง หรือละท่านเลย พระองค์จะอยู่กับท่านตลอดเวลา  แล้วกลัวอดเหรอ เห็นไหม? ต่างกันเยอะเลย เพราะฉะนั้น ท่านก็เอาถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นอาวุธใส่เข้าไปแทนที่ แล้วก็ท่องถ้อยคำนั้นตลอดเวลา ที่ทำให้ท่านโลภ มันก็ไม่โลภ

บางครั้งเปิดโอกาสให้ การได้ทรัพย์มาครั้งนี้ มันดูเหมือนเทาๆ จะว่าผิดศีลธรรมก็ไม่ใช่ แต่ท่าทางมันน่ารับไว้ น่าจะๆ ได้มากขึ้นอีก เหมือนกับจะเอาเปรียบเขานิดๆ โกงเขาหน่อยๆ นี่มารมันก็จะส่งเข้ามา ถ้าท่านยอมมัน เอาเงินไว้ ท่านก็จะเริ่มโกงเขานิดๆ แล้วท่านก็บอกว่านี่การโกงอย่างบริสุทธิ์ใจ พระเจ้าอวยพร เอะอะอะไรก็พระเจ้าอวยพร ไม่คิดถึงว่าสิ่งที่มา มันมาได้อย่างไร? ท่านโลภหรือไม่? อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละ คือวิธีการหนึ่งในการต่อสู้ในโลกฝ่ายวิญญาณ

ย้อนกลับไปดูคำเริ่มต้นในจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่ได้บรรยายถึงลักษณะธรรมชาติของพระเจ้าที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร? นี่คือความจริง อาจารย์เปาโลสนิทกับพระเจ้า แล้วก็บอกว่าลักษณะพระเจ้าเป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น พวกท่านต้องรู้ว่าพระเจ้าของเรา  เป็นพ่อเรา มีนิสัยอย่างไร? ถ้าท่านรู้ ท่านก็จะไม่ถูกหลอก

2 โครินธ์ 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้า และพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  พระบิดาแห่งความเมตตาเอ็นดู และพระเจ้าแห่งการปลอบประโลมใจทั้งปวง 4 ผู้ทรงปลอบประโลมใจเราในความทุกข์ร้อนทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถปลอบประโลมใจ บรรดาผู้ทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ  ด้วยการปลอบประโลมใจ ซึ่งเราเอง ได้รับจากพระเจ้า”

 

เปาโลเริ่มต้นจดหมายฝากด้วยการจัดระเบียบความเชื่อที่ถูกต้อง เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า เพื่อที่จะย้ำว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าที่โหดร้าย  หรือเต็มไปด้วยข้อระเบียบ ข้อบังคับ ขู่เข็ญ เคี่ยวเข็ญ เหมือนเราเป็นทาส ไม่ใช่ แต่พระองค์เป็นพระเจ้า เป็นพ่อที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นผู้ที่คอยปลอบโยนเรา อยู่ข้างเรา คอยดูแลเรา พระเจ้าเป็นความรัก ตามแบบอธิบายไว้ใน 1 โครินธ์ 13:4 เป็นต้นไป อดทนนาน ไม่อิจฉา ไม่จดจำความผิด พระเจ้าเป็นความรัก มันหมายถึงอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น พระเจ้าไม่มีความเกลียดชัง พระเจ้าไม่มีความอิจฉา ไม่มีความโหดร้ายอย่างเด็ดขาดเลย ไม่เป็น ไม่รู้จัก เราจำเป็นต้องใส่ข้อมูลความจริงเหล่านี้ว่าพระเจ้าเป็นใคร? พระเยซูคริสต์เป็นใคร? พระวิญญาณเป็นใคร? มีบุคลิกลักษณะเป็นอย่างไร? ความจริง คือพระเจ้าเป็นความรัก เป็นความเมตตา คอยปลอบโยน เป็นผู้ที่อยู่ข้างเราตลอดเวลา พระองค์ไม่ได้มา เพื่อจะตัดสินเรา หรือดูแลเราอย่างแข็งกระด้าง หรือบังคับเคี่ยวเข็ญเราตลอดเวลา ไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ เปาโลเริ่มต้นจดหมายอย่างนี้  แสดงว่ามีข้อมูลอะไรผิดมา  ผ่านมาทางมาร ผ่านมาทางผู้เชื่อนั่นแหละ แล้วเอามาใส่ลงไปในคริสตจักร เมืองโครินธ์ เปาโลจึงต้องเขียนอย่างนี้ว่า …

“พระเจ้าเป็นอย่างนี้ จงมั่นใจนะ”

เพราะฉะนั้น เราต้องใส่ข้อมูลความจริงเหล่านี้ เข้าไปในความคิด เข้าไปในสมองเรา ให้เป็นข้อมูลพื้นฐานเลย  เพื่อที่จะคอยหักล้าง หรือทำลายล้างข้อมูลเท็จที่มารส่งเข้ามา ตัวนี้สำคัญมาก ไม่อย่างนั้น เราจะไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรู พอเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา แทนที่จะไปมองศัตรู กลับมองพ่อเราเอง แค้นพ่อเรา ทำไมพ่อเราทำอย่างนี้ ทำไมพ่อเราไม่สงสารเรา มันเป็นอย่างนี้ ตัวมาร มันทำอีก มันแอบอยู่หลังเสา แอบหัวเราะ จงมองเห็นภาพเถิด ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น ทารุณจิตใจพระเจ้าไหม? …

“เราไม่ได้ทำ ยังถูกใส่ร้ายอีก เราตั้งใจจะช่วย แต่เขาหนีเรา เพราะเขานึกว่าเราเป็นคนทำ”

“ไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว นี่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น”

มีบางคนหนักกว่านั้น เชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ไปอเมริกา มันเกิดเหตุ เราก็เคยได้ยิน คนเสียสติ เอาปืนกราดยิงเด็กนักเรียนตายเต็มไปหมดเลย คนนี้บอก …

“ฉันเลิกเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าควบคุมได้ ทำไมพระเจ้าปล่อยให้มีคนมาฆ่าเด็กๆ ตายหมดเลย เด็กบริสุทธิ์ สงสารเด็กมากเลย พระเจ้าโหดร้ายอย่างนี้ ไม่เชื่ออีกแล้ว เพราะเชื่อว่าพระเจ้าควบคุมทุกอย่างได้ แล้วทำไมไม่ควบคุมเรื่องนี้”

เดี๋ยวไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้เอง นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เราต้องรู้จักสงคราม รู้จักการหักล้างข้อมูลที่มารส่งเข้ามา เมื่อเราเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราได้รับความรอดแล้ว ปลอดภัยในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว ด้วยความรัก และความเมตตาของพระเจ้า ด้วยความดีงามของพระองค์ เหมือนพ่อที่ใจดีมากๆ ไม่มีใครมาเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเชื่อและเกิดใหม่แล้ว เอเมน ตัวเราเองยังเอาออกไปไม่ได้เลย มันเกิดแล้ว

ท่านมีลูก ลูกท่านเกิดมา ท่านสามารถเอาลูกออกไปได้ไหม? ท่านอาจจะทำให้เขาตายได้ แต่เขาก็เป็นลูกท่าน ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น พระเจ้าให้ท่านเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว ท่านเชื่อแล้ว ท่านก็เกิดใหม่ อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า พระเจ้าดูแลท่านอย่างดีเลย หลายคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มักมีความคิดว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ถวายชีวิตให้พระองค์ พระเจ้าก็จะเริ่มเข้มงวดในชีวิตของเรา ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ถ้าทำนะ ซัดเลย ลงโทษเลย ไม่ได้พระพรเลย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน อย่างนั้นหรือ? ตั้งใจฟังต่อไป

ก็คล้ายๆ กับผู้ที่อยู่ที่เมืองโครินธ์ในสมัยนั้น สมัยที่เรากำลังพูดอยู่ ที่สอนกันไปต่างๆ นานา ห้ามทานข้าวกับพวกนอกรีต … “พวกนอกรีต” คือคนที่ไม่ใช่ยิว คนยิวสมัยก่อนนี้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เขาไม่กินข้าวกับคนที่ไม่ใช่ยิวเลย ถือว่าผิด มาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังไม่มากินอีก ถ้าอาหารไม่อร่อย ก็แล้วไปนะ นี่มันไม่เกี่ยว นี่หมายถึงว่า …

“คนละชั้น ชั้นเป็นคริสเตียนที่เป็นยิว ท่านเป็นคริสเตียนที่เป็นกรีก ไปไกลๆ ฉันบริสุทธิ์กว่า”

เป็นอย่างนี้ ถูกหลอก กินข้าวต้องล้างมือ อันนี้เป็นกฎต่างๆ ที่ใส่เข้าไป สมัยก่อนที่พระเยซูมาเกิด ห้ามทานของบูชารูปเคารพ พวกที่เคร่งในการทำสิ่งเหล่านี้ ก็จะคอยจับผิด ทำหรือเปล่า? ถ้าคนไหนทำ ก็แสดงว่าเป็นผู้เชื่อตกกระป๋อง ผู้เชื่อชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ชั้น 5 ไปเรื่อยๆ คนทำได้เยอะๆ ก็เป็นชั้น 1 นี่มันเป็นอย่างนี้ และคอยกล่าวหาคนอื่น ที่ไม่ได้ทำตามว่าทำไมไม่ทำอย่างนี้ ทำไมไม่อย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น จึงเป็นที่มา ทำให้อาจารย์เปาโลต้องเขียนจดหมายมาจัดระเบียบให้

ซึ่งว่ากันตามตรง คริสเตียนเราในปัจจุบัน ผู้เชื่อหลายๆ คน ก็ยังมีความคิดแบบนี้อยู่ ใช่หรือไม่? ยังเชื่อว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องเคร่งครัด ต้องเคร่งศาสนานิดๆ ต้องทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าสอนไว้เป๊ะๆ แถมยังมีการสอนต่อๆ กันไปอีกว่าพระเจ้าจะนำสิ่งไม่ดีเข้ามา จะนำท่านเข้าไปในความทุกข์ร้อน เพื่อจะทำให้ท่านแข็งแรง อดทน แข็งแกร่งขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก สิ่งไม่ดีในชีวิตนั้นแน่ มาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าจะให้เราแข็งแรงขึ้น จะให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

ฟังให้ดีๆ เมื่อฝึกฝนเราให้แข็งแกร่ง เพื่อว่าพระองค์จะทำให้เราเหมือนทหาร มันต้องฝึกสิ โดยเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์บาปๆ อย่างเรา ฝึกให้เจอความทุกข์ยากลำบาก ผมบอกความจริงให้ท่านนะ ท่านจะตกใจเลย ท่านรู้ไหมว่าเวลาพระคัมภีร์บอกว่าเวลาเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเกิดใหม่ เราเป็นทารกในวิญญาณในพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทนุถนอมทารกคนนี้ ยิ่งกว่าไข่ในหินอีก เพราะว่าเป็นเด็กๆ แดงๆ เลย เพิ่งจะเกิด รักมากเลย รอดจากมาร รอดจากนรกแล้ว ลูกฉันๆ ท่านจะทำอย่างนี้กับลูกของท่านที่เป็นทารกไหม? เขาเป็นทารกอยู่ แล้วไม่ใช่ทารกธรรมดานะ ในพระคัมภีร์บอกเป็นทารกที่อ่อนแออีกต่างหาก ตาเกือบบอด เพราะมันอยู่ในร่างกายนี้ มันมองไม่เห็น เห็นพระเจ้ารางๆ เห็นพ่อรางๆ พ่ออยู่ไหน? ถ้าท่านมีลูกอย่างนี้ แล้วลูกคนนี้ กลางคืนอึราด ท่านจะลุกขึ้นมาตบเขาไหมครับ

“สอนกี่ครั้งแล้ว อย่าอึๆ อย่างนี้หรือ”

ลูกทารกแดงๆ แล้วยังแถมป่วยอีก ท่านลองคิดดู นี่คือเรื่องจริง ในพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอท่านเห็นภาพอย่างนี้ ท่านจะรู้ว่าเราเคยมองพระเจ้าผิดไป เราเคยใส่ร้ายพระเจ้า พ่อของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว ทำไมเรากล้าทำอย่างนี้ ก็เพราะศัตรูของพ่อเราไง ใครล่ะ ที่กล้าเหยียบทารก ทั้งๆ ที่ทารกนี้อ่อนแอ ตาบอด ก็คือศัตรูของพ่อเรา ศัตรูของครอบครัวเรา ก็คือมารนั่นแหละ มันเหยียบเรา

ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ บางคนก็สอนต่างๆ นานา พระเจ้าจะนำเราเข้าไปสู่ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน  เพื่อจะดัดนิสัย นี่ใครเอามา มาร ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอก นี่คือมารทั้งสิ้น มารส่งมา ทางความคิดของเรา ซึ่งรับโดยทางเนื้อหนัง … เนื้อหนัง ก็คือร่างกายนี้ และในยามที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด พระเจ้าก็ตีสอนเรา อะไรประมาณนี้  สอนแบบนี้  และบางครั้ง พระเจ้าก็จะนำเราไปในสถานที่ที่ทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะทดสอบชีวิตเรา หรือทดสอบความเชื่อของเรา อะไรอย่างนี้ มันใช่ที่ไหน? ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น พระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เราถูกทดลองให้ทำสิ่งที่ชั่วร้าย อย่าบอกว่าพระเจ้าทดลองเรา แต่ท่านถูกทดลอง เนื่องจากกิเลสตัณหาทางเนื้อหนังของท่านเอง โดยผ่านทางการยุแยงของศัตรูที่อยู่นอกตัวท่าน ก็คือมาร ที่ทำงานอยู่บนโลกนี้ มันส่งกระแสมา ข้อมูลท่านไม่มี ท่านยอมแพ้ในความคิด เพราะฉะนั้น ท่านก็จะทำในสิ่งที่เอาความทุกข์มาสู่ท่าน แล้วท่านก็ไปบอกว่าพระเจ้าเป็นคนพาท่านเข้าไป

พอเราต้องเจอความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ก็จะเจอคำพูดที่บอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เราได้เรียนรู้ เพื่อให้เราได้ฝึกฝน ให้เข้มแข็ง แข็งแกร่ง เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้ได้ ถ้าพระเยซูอยู่ทุกวันนี้ ท่านที่เป็นคนบาปอยู่ แล้วได้รับการอภัยจากพระเจ้า  เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านจะดูเด็กทารก ลูกของท่านอย่างนี้ไหม? ท่านก็คงบอก “No” ไม่มีใครทำหรอกใช่ไหม?

ใครที่เคยได้ยิน ได้ฟังข้อมูลแบบนี้ เรื่องราวของพระเจ้าแบบนี้  วันนี้ขอร้องเลย เป็นวันที่เริ่มต้นกันใหม่เลย เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เอาความคิดที่ถูกต้อง ข้อมูลที่ถูกต้อง เรื่องเกี่ยวกับพ่อของเรา ใส่เข้าไปในสมอง แม้ว่าตอนนี้ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม แต่นี่คือถ้อยคำพระเจ้า เอเมน ใส่เข้าไปเลย แทนที่ไป แล้วพระเจ้าจะนำพาท่านต่อไปเรื่อยๆ เอาข้อมูลเก่าออกไปเลย ถ้าท่านได้ยินข้อมูลเก่า ที่บอกว่าพระเจ้าทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ อาจจะออกมาจากตัวผมเองก็ตาม ก็เอามันออกไปด้วยนะ ผมเอามันออกไปตั้งนานแล้ว เพราะถูกหลอกเหมือนกัน เราต้องใช้อาวุธ คือถ้อยคำพระเจ้ามาลบล้างข้อมูลออกไป เอาถ้อยคำพระเจ้าล้วนๆ มาใส่

คำกล่าวที่ว่าพระเจ้าจะทดสอบความเชื่อของเรา ความทุกข์ยากลำบาก  เพื่อจะฝึกฝนเราให้เข้มแข็ง นั่นคือความเท็จทั้งสิ้น มาจากมารทั้งนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วการทดสอบความเชื่อผ่านความทุกข์ยากลำบากเล่านี้ มาจากอะไร? เดี๋ยวผมบอกให้ท่านฟัง ท่านจะอ๋อเลย มีถ้อยคำพระเจ้ามาชี้ให้เราเห็น พระวิญญาณพระเจ้าที่เราเห็น เราจะเห็นชัดเลย ความทุกข์ยากลำบากอะไรที่เกิดขึ้น ความเสียหาย ความวิปริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันมาจากระบบของโลกนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราอาดัมและเอวาได้เอาบาปเข้ามาบนโลกใบนี้ มารก็เข้าครองบนโลกใบนี้ ระบบของมารครองโลกใบนี้อยู่ มันวิปริตไปแล้ว มันเสียหายไปแล้ว สงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้น ก็เป็นความคิด ข้อมูลผิดๆ ที่มารส่งเข้ามาให้เราว่าพระเจ้าเป็นผู้เอาความชั่วร้ายเข้ามา ความทุกข์ลำบากเข้ามาในโลกนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ 6 วัน แล้วพระองค์บอกว่า … “ดี” สร้างให้เป็นบ้านของเรา บ้านของมนุษย์ แล้วพระองค์อยู่กับเรา ในสวนเอเดน พระองค์สร้างไว้อย่างดี แล้วมารมันเข้ามาหลอกล่อบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ให้ทำพลาด  คือไล่พระเจ้าออกไป แล้วส่งมอบทุกอย่าง สิทธิของมวลมนุษย์ และลูกหลานของเรา คือมนุษยชาติทั้งหมด ให้เป็นสิทธิของมารซาตานไปแล้ว พระเจ้าก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น พยายามช่วยเหลือมนุษย์กลับคืนมา โดยวางแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษย์ โดยยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียว มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่จะช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง ความบาปนั้น แล้วก็ช่วยสำเร็จแล้ว ความสำเร็จนั้น มันเกิดขึ้นที่โลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว แต่ขบวนการที่จะเกิดผลสำเร็จจนกระทั่งถึงโลกใบนี้ เปลี่ยนใหม่ มันยังไม่ถึง มันต้องรอก่อน รอวันที่พระเยซูกลับมาใหม่ โลกจะถูกเปลี่ยนไป มารจะถูกผลักลงไปในบึงไฟนรก นิรันดร์

กลับมาที่ชีวิตเราคริสเตียน ในขณะที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะคอยช่วยนำพาเรา เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้ปลอบโยน คอยช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากที่มันเกิดขึ้น เป็นธรรมดาบนโลกใบนี้ได้ เพราะโลกใบนี้มันเสียหายไปแล้วต่างหากล่ะ ไม่ใช่เป็นผู้นำเราเข้าไป แต่เป็นผู้นำเราออกมา

นี่คือข้อมูลความจริง และเป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่แท้จริง ที่เราเรียกกันว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ความดีงาม รักเราหมดหัวใจ ทุ่มเททุกอย่างให้กับเรา นี่แหละคือพ่อของเรา เห็นไหม นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณที่หนักที่สุดเลย ถ้าเราหาศัตรูไม่เจอ หรือไปเพ่งที่ผิด ผิดผู้ ผิดคน แย่เลย ศัตรูยังอยู่ ทำให้มิตรเราเสียหายไป พระเจ้าที่เป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าผู้ปลอบโยน จะไม่ติดต่อกับเรา หรือพูดคุยกับเราผ่านความทุกข์ลำบากที่ให้เกิดกับเรา ผ่านทางโศกนาฎกรรมอย่างเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้เลย อย่างที่ตะกี้นี้ ที่ผมบอกแล้วนะ เพราะเราเป็นลูก แล้วยังเป็นลูกที่อ่อนแอด้วย  เป็นทารกที่เพิ่งเกิด พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่ทำให้เกิดโศกนาฎกรรม หรือเป็นผู้อนุญาตให้มีการฆ่ากันตายบนโลกใบนี้ คนดีๆ ถูกฆ่าตาย  พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ก่อสิ่งเหล่านั้นขึ้นบนโลกใบนี้  โลกใบนี้มันวิปริตแล้ว เนื่องจากบาป แล้วพระองค์มาช่วยเรียบร้อยด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าทรงเป็นที่ปรึกษา เป็นที่ปลอบโยน และเป็นผู้นำพาเราผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก ให้สามารถดำเนินชีวิตผ่านทางความวิปริตบนโลกใบนี้ได้ เอเมน ถ้าคนเชื่อเต็มๆ เขาบอก …

“พระเจ้าจะพาเราผ่านพายุที่โหมกล้ากระหน่ำ ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ว่าเราเชื่อว่าพระองค์พาเราผ่านไปได้ ไม่ว่าขณะที่เดินผ่าน พระองค์ทำให้มันสงบหรือไม่? หรือพระองค์ต้องปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็พาเราผ่านได้ ข้อมูลเท็จที่เรามักเคยได้ยิน พยายามที่จะบอกเราว่าโศกนาฎกรรมเหล่านั้น ความทุกข์ยากเหล่านี้มาจากพระเจ้า เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ใช่ ถูก เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องรับผิดชอบตรงนี้ด้วย เฮ้! อยู่ดีๆ ไปสรุปอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า ต้องดูอะไรมันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มารมันไปอยู่ไหน? บางคนไปดูละคร ดูออกมาเสร็จ ตัวละครมีอยู่ 10 ตัว ดูอยู่แค่ 3 ตัวเท่านั้นเอง พระเอก นางเอก และนางร้าย ตัวประกอบคนอื่นไม่เห็นเลย ไม่มองเลย ในโลกใบนี้ มีผู้แสดงเยอะแยะ มีทั้งพระเจ้า มีทั้งมนุษย์  และมีทั้งมาร เราต้องมองให้เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้ ซึ่งความหลอกลวงเหล่านี้ คืออาวุธของมารที่พยายามส่งข้อมูลที่ผิดพลาดเข้ามาในสมอง เข้ามาในความคิดของเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย และผู้ที่ไม่เชื่อด้วย สิ่งไม่ดีเหล่านี้มาจากพ่อของเรา มาจากพระเจ้าๆ ใส่เข้ามาอย่างนี้ตลอด ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกขึ้นมา แล้วบอกว่าไม่ใช่ๆ โดยที่บอกตัวเราเองก่อน แล้วค่อยบอกคนอื่น ถ้าตัวเราเองชัดเมื่อไร? มันจะออกมาเป็นอัตโนมัติเอง ไม่ใช่แน่นอน เราจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังที่จะไม่ปล่อยให้ข้อมูลเท็จเหล่านี้ เข้ามาครอบครองพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในสมองของเราเด็ดขาด เมื่อเรามองไปที่ความตายบนโลกใบนี้ หรือความทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้ ซึ่งโดนกันทุกคน หรือโรคภัยไข้เจ็บบนโลกใบนี้ หรือความยากลำบากบนโลกใบนี้ ความเครียดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ข้อมูลที่พวกมารพยายามส่งเข้ามา ก็คือพระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นผู้นำเข้ามาทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นข้อมูลไม่จริง แต่มนุษย์บนโลกใบนี้ ชอบคิดอย่างนี้ พอคิดถึงพระเจ้า ชอบคิดอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ต้องเจออย่างนี้ เพราะโลกมันถูกสาปแช่งไปแล้ว เพราะโลกมันอยู่ในอำนาจของมาร แต่พระเยซูชนะแล้ว และชัยชนะนั้นมันจะเลยมาถึงการทำโลกใหม่ การจับมารเข้าไปขังอยู่ในนรกนิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น อาวุธของเรา คือพระเยซูคริสต์ คือความจริง แล้วความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท ทำให้เราสามารถเอาชนะการหลอกลวง การล่อลวงของมาร เอาชนะสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ได้ เอเมน

ในข้อที่ 6 ที่บอกว่า “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

“เราพร้อมที่จะลงโทษ” ทุกคนรู้แล้วนะ

“ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง” ไม่ใช่คนแล้วนะ

“หลังจากที่ท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์” หมายถึงการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า … พระเจ้าบอกขาว คนนี้บอกดำ ก็คือบาปนั่นเอง

การลงโทษความคิดที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือบาป ก็คือความคิดที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ความคิดที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เรามีหน้าที่ลงโทษมัน ไม่ใช่คนแล้วนะ ลงโทษความคิดที่เป็นศัตรู ลงโทษความคิดที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ยกตัวอย่าง เช่นความคิดที่บอกว่าตัวเราเองด้อยกว่าคนอื่น พระเจ้ารักเราน้อยกว่าคนอื่น มาโบสถ์บ้าง ไม่มาโบสถ์บ้าง ขี้เกียจอธิษฐานบ้าง ประกาศก็ไม่กล้าพูด แล้วอะไรอีกล่ะ ถวายทรัพย์ก็ได้แค่นิดเดียว สรุปสุดท้ายถ้าเราเชื่อมัน มันก็จะบอก “ฉันมันเลว” ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างนี้คือความคิดที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเราจับมันได้ปุ๊บ ความคิดอย่างนี้ต้องถูกลงโทษ คือไล่มันออกไป แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นดาบสองคม แทงทะลุเข้าไปในความคิดของเรา เอาถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงเรื่องนี้ ที่เป็นความจริงใส่เข้าไป

ยกตัวอย่าง พูดไม่ดีมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว … “อันนั้นก็ไม่ได้ทำ อันนี้ก็แย่ ฉันเป็นคนเลวจริงๆ เซ็งตัวเองเหลือเกิน เดี๋ยวก็หงุดหงิด ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลย เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว ไม่เคยถวายเกียรติพระองค์เลย ฉันมันเลว”

ลุกขึ้นมาเลย เอาถ้อยคำพระเจ้าใส่เข้าไป แล้วลงโทษมันด้วยวิธีนี้ เชิดหน้าขึ้น แล้วก็บอกว่า …

“ในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่าฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย แล้วจะมาบอกว่า “ฉันเลว” ได้อย่างไร?”

บอกมันอย่างนี้ นี่แหละคือการลงโทษ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ใส่ถ้อยคำเข้าไปอย่างเดียว แต่เป็นการพูดให้มันได้ยิน   หรือบางอย่างต้องใช้การกระทำ  สมมติว่ากลัวๆ เขาให้ขึ้นไปเป็นพยานบนธรรมาส ไม่กล้าขึ้น เรายังไม่บริสุทธิ์พอ คราวนี้แหละ …

“อาจารย์ขอเป็นพยานหน่อยได้ไหม? ฉันจะขึ้นไปพูด”

ทั้งที่เป็นคนกลัว ไม่กล้า เพราะรู้สึกตัวเองไม่ดีพร้อม วันนี้กล้า ทำอะไร? กำลังลงโทษมันไง ลงโทษความไม่เชื่อฟังตะกี้นี้ ที่คิดว่า “ตัวฉันเลว” กลายเป็นมั่นใจแล้ว โอเค วันนี้ขอเป็นพยาน ขึ้นมา อธิษฐานเต็มที่เลย แล้วพูดว่า …

“ผมมาเชื่อพระเจ้าวันนั้น วันนี้ บัดนี้ผมเข้าใจแล้วว่าการเชื่อพระเจ้า คืออะไร? ผมเจริญเติบโตในวิญญาณ ผมเข้มแข็ง ผมเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้ ผมก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว”

เห็นไหม? มันตรงกันข้ามกับที่มารโกหกหลอกลวงแบบนี้เยอะแยะเลย ตัวอย่างเยอะแยะไปหมด ท่านสามารถเอาไปใช้ได้  อย่างนี้เขาเรียกว่าความคิดที่ต้องถูกลงโทษ ไล่มันออกไป แล้วก็แก้แค้นมันเลย เพราะฉะนั้น อาวุธที่ร้ายแรงที่สุด ที่เป็นเหมือนปรมณู สำหรับชีวิตคริสเตียน ก็คือความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราหรือท่านที่เชื่อแล้ว เป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านเกิดใหม่แล้ว อย่าให้ใครมาขโมยความจริงนี้ไปได้โดยเด็ดขาด รวมทั้งผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วยเช่นเดียวกัน  เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ สะอาดหมดจด พ้นจากบาปเวรกรรม เป็นของมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่เรามาเชื่อแล้ว เราได้รับแล้ว คนที่ยังไม่เชื่อ เขายังไม่ได้รับ แต่ก็เป็นของเขาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น มารมันพยายามปิดบังตา พยายามใส่ข้อมูลเท็จต่างๆ เข้าไป เพื่อไม่ให้คนได้มารับตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องรักษาตรงนี้ไว้

วันนี้ผมจะนำท่าน ติดอาวุธปรมณูไว้ที่สมองของท่าน วิธีติดอาวุธทำอย่างไร? อย่างที่บอก เอาถ้อยคำแห่งความจริงในนี้ว่าท่านเป็นใครในพระคริสต์ใส่เข้าไป ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่ฟังอยู่ทางบ้าน หรืออยู่ที่นี่ก็ตาม ถ้าท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า ไม่เชื่อพระเยซู ไม่ได้บังเกิดใหม่ สิ่งที่พูดมันเป็นของท่าน พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ไม่ใช่เพื่อผู้เชื่อทั้งหลายเท่านั้น แต่ผู้ที่ไม่เชื่อด้วย พร้อมทั้งผม ก็คืออดีตที่ไม่เชื่อนั่นแหละ แต่พอได้รู้ความจริงแล้ว ก็มาเชื่อ เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ท่านรู้ความจริง ท่านก็แค่มาเชื่อ ก็เป็นของท่านแล้ว อย่าให้มารหลอกลวงท่านอีกต่อไปว่านี่คือการเปลี่ยนศาสนา นี่คือการเปลี่ยนอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น ยุ่งไปหมดเลย เอาเป็นว่าให้เป็นประโยชน์ของท่าน ไม่เสียหายอะไร?

คราวนี้ผมจะนำผู้ที่เชื่อแล้ว ติดอาวุธของท่านเข้าไป ก็คือที่ผมเคยบอกบ่อยๆ ว่าใช้วิธีการใส่ถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปในสมองของเรา วิธีใส่เขาเรียกกันว่าใคร่ครวญภาวนาถ้อยคำพระเจ้า วันนี้เราจะฝึกต่อ พูดพึมพรำเบาๆ พูดกับตัวเอง ก็คือการเอาถ้อยคำพระเจ้าใส่ลงไปในความคิดของเรา พูดเบาๆ แล้วให้ตาฝ่ายวิญญาณของเราได้เปิดออก ให้เห็นภาพเป็นไปตามนั้น นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้แหละ …

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ ในการไถ่บาปของพระเยซู ที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้กระทำให้ฉันตายไปพร้อมกับพระเยซู ชดใช้บาป เวรกรรม ด้วยการตายที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู และพระเจ้า ได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ ได้เกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซู ฉันถึงเป็นวิญญาณที่เกิดใหม่พร้อมพระเยซู เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้บาป ไร้ตำหนิ ชอบธรรม เหมือนพระเยซู อยู่ในบ้านของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณ อยู่ในฐานะ เป็นลูกของพระเจ้า ครอบครองมรดกของพระเจ้าในสวรรค์ร่วมกับพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู และพระเจ้าได้ประทานจิตใจใหม่ให้กับฉัน ฉันจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ไร้มลทินใดๆ เหมือนพระเยซู เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ บนโลกใบนี้ ซึ่งร่างกายนี้ จะต้องตาย ต้องเจ็บป่วย เสียหาย เสื่อมโทรมไปสู่ความตาย กลับไปสู่ดิน เป็นไปตามโทษของความบาป ตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัม

ฉะนั้น ตัวจริงๆ ของฉัน คือวิญญาณของฉัน จะอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราว ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้น ในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ มันจึงแค่แป๊บเดียว เล็กน้อย ไม่สามารถเทียบได้กับสง่าราศีนิรันดร์ ในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูให้กับฉันวันหนึ่งข้างหน้า และฉันจะอยู่ในร่างกายใหม่นี้ ที่ไม่ต้องตาย ไม่มีเจ็บป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีอิทธิพลของความบาป อีกต่อไป และฉันจะอยู่ในร่างกายสวรรค์นี้ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้า ในนามพระเยซู เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ตุลาคม  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราจะต่อซีรี่ย์นี้ เรายังอยู่ในเรื่องของ “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3 ที่พระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราต้องเจอ และต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา ก็คือสงครามทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็พูดถึงสงครามทางฝ่ายวิญญาณนี้ ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ ซึ่งหลายๆ คน ก็ไม่เข้าใจเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณ เที่ยวนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แล้วเห็นชัดว่ามัน คืออะไร จะได้ไม่ถูกหลอก

ครั้งที่แล้ว ผมได้อธิบายให้ฟังแล้ว จุดกำเนิดของมารซาตาน จุดกำเนิดของความบาป คือความชั่วร้ายมาจากไหน? ก็คือมาจากทูตสวรรค์ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ซึ่งพอตกกระป๋อง ก็มีชื่อเปลี่ยนไปว่าซาตาน ความชั่วร้าย  ที่เกิดขึ้น ก็คือในตัวของลูซีเฟอร์ เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมาเอง อยากเป็นพระเจ้าเสียเองเลย มันโผล่ขึ้นมา มันก็เออร์เล่อ เกิดความผิดปกติในตัวของมันเอง มันก็จะคิดกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า  ทำสงครามกับพระเจ้า แล้วมันก็พ่ายแพ้ จึงตกกระป๋อง กลายเป็นซาตาน

แล้ววิธีทำสงครามของมัน ก็คือการใส่ข้อมูล ที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า บิดเบือนถ้อยคำของพระเจ้า ส่งเข้ามาในความคิดของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นพระฉายของพระเจ้า มันต้องการทำลายทุกอย่างที่เป็นของพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  เริ่มต้นครั้งแรกในสวรรค์ ไม่ใช่บนโลก มันมีพรรคพวก 1 ใน 3 หลังจากตกกระป๋องมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มันก็เริ่มหลอกพระฉายของพระเจ้า คือลูกของพระเจ้า คือพวกเรา เริ่มต้นจากอาดัมและเอวา ในสวนเอเดน ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เริ่มหลอกว่า …

“พระเจ้าบอกว่า “อย่ากิน วันใดเจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย”

แต่มันบอกว่า “พระเจ้าบอกว่าอย่ากิน”

ถูกครึ่งหนึ่ง แล้วมันบอกต่อว่า “ถ้าเจ้ากิน เจ้าจะเหมือนพระเจ้า”

ถ้ามันหลอกคำแรกเลย อาจจะไม่ฟัง คำแรกนะถูก พระเจ้าบอกอย่ากิน แต่พระเจ้าบอก ถ้าวันใด ขืนกิน เจ้าจะต้องตาย ถูกสาปแช่ง แต่มันบอกไม่ถูกสาปแช่งหรอก ไม่ตายหรอก แต่เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า

ก็คือนิสัยของมันนั่นเอง มันอยากจะเป็นพระเจ้า มันก็เอาสิ่งเหล่านั้น มาใส่ให้กับมนุษย์ หลอกมนุษย์ ผลก็คืออาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา ก็เชื่อมาร คือมีความคิดเหมือนกับที่มันส่งเข้ามา ก็คืออยากจะเป็นเหมือนพระเจ้า อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง ความคิดเดียวกันกับมาร ตอนสมัยที่เป็นลูซีเฟอร์ตกลงไปในความบาป อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น มันถ่ายทอดจากความคิดของมาร มาสู่ความคิดของมนุษย์ คู่แรก ก็คืออาดัมและเอวา พูดแล้วจะขนลุกเลยว่าขณะที่อาดัมและเอวา เชื่อฟังต่อคำโกหกและหลอกลวงของมาร และตกลงไปในความบาป ไปเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ในขณะที่อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังนั้น มนุษยชาติทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันที่พระเจ้าสร้างมาวันแรก ซึ่งทั้งหมด อยู่ในตัวของอาดัมและเอวา ซึ่งเรียกว่า DNA พวกเราอยู่ในนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่ออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป ตกลงไปในคำสาปแช่ง ถูกลงโทษ พวกเราก็เลยถูกลงโทษด้วย  เพราะเราอยู่ในนั้น เราก็ถูกลงโทษไปด้วย นี่คือสิ่งที่มารต้องการ และมารก็เยาะเย้ยพระเจ้าว่า  …

“นี่ไง เห็นไหม ลูกของพระองค์ตอนนี้ มาเป็นทาสเราแล้ว ลูกของพระองค์ตอนนี้มาเป็นพวกเราแล้ว”

ลูกของพระเจ้า แต่ตอนนี้ มาเป็นศัตรูกับพระเจ้า มารและพวกสมุนของมัน ก็ยังคงเดินหน้า ก่อการกบฏ และทำสงคราม ถามว่าสงครามนี้ มันจะสิ้นสุดเมื่อไร? พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่าต้องรอถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อทำการพิพากษา ปราบพวกมารเหล่านี้ให้สิ้นซาก

พระเยซูบอกว่าเมื่อข่าวดีถูกประกาศไปถึงมนุษย์คนสุดท้าย ตอนนี้ข่าวดีประกาศไปประมาณ 2,000 ปี และอีกกี่ปี พระเยซูถึงจะกลับมาใหม่ ถึงจะจบสักที จับมารขังคุก ลงนรกไปเลย อีกกี่ปี ก็ไม่รู้ แต่พระเยซูบอกว่าเมื่อวันที่ข่าวดีนี้ประกาศไปถึงมนุษย์คนสุดท้าย

ฟังดูสิ มนุษย์คนสุดท้ายจะเกิดเมื่อไร? ไม่รู้ แต่มันจะมีวันหนึ่งแหละที่มนุษย์คนสุดท้ายจะเกิด สมมติว่าเอาสิ้นปีนี้ มนุษย์คนสุดท้ายเกิด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? คนสุดท้ายเกิด เราไม่มีทางรู้ จนกว่าพระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อสิ้นปีนี้ มีเด็กเกิดมา อีก 7 ปีข้างหน้า เด็กคนนี้เจริญเติบโตไปจนถึงอายุ 7 ขวบ สมมตินะ แล้วข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศไปถึงคนๆ นี้ คนสุดท้าย แล้วพระเยซูก็กลับมา กลับมาเป็นผู้พิพากษา จัดการเรียบร้อยทุกอย่าง แล้วก็สร้างโลกใหม่ให้กับมนุษย์ได้อยู่ แล้วก็เอาความชั่วร้ายต่างๆ ไปที่บึงไฟนรกนิรันดร์ ไม่ขึ้นมาอีกแล้ว จบ

นี่คือความหวังใจ นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าโลกใบนี้มันเสียหายอยู่ มันเสียหาย เพราะบาปคงทำงานอยู่ พระเจ้าไถ่เราแล้วก็จริง แต่ไถ่ทางวิญญาณเท่านั้น ทางด้านวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้นั้น มันยังคงตกอยู่ในคำสาปแช่ง วันก่อนไปดูที่ดินกับพี่น้องที่เขาซื้อไว้ แล้วก็ทำสวน ปลูกต้นกล้วยบ้าง ปลูกแก้วมังกรบ้าง เลี้ยงปลา เขาบอกว่าปลูกยากลำบากจริงๆ เลย  เดี๋ยวแมลงก็มา ปลูกมะพร้าวเป๊บเดียว ตัวด้วงกิน ไม่เหลือเลย เหนื่อย เลยบอก พระคัมภีร์บอกไว้  สวนเอเดน ทุกอย่างดีหมด พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป ถูกสาปแช่ง โลกใบนี้เปลี่ยนไป พระเจ้าบอกว่าผืนดินจะให้หนาม พูดง่ายๆ ทำมาหากินลำบากลำบน ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ของที่กินได้ ปลูกแทบตาย ศัตรูพืชเต็มไปหมด แล้วก็เดินไปอีกแปลงของพี่น้องอีกคนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาไม่ค่อยได้มา ขึ้นดกเลย  คือไมยลาพ มีหนามด้วย เดินเข้าไปไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้มันไม่ใช่คำสาปแช่งเหรอ อันที่กินไม่ได้ มันขึ้นอย่างสวยงามมากเลย อันที่กินได้ เลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะได้สักชิ้นหนึ่ง นี่ถ้อยคำพระเจ้าทั้งสิ้น

แล้วถามว่าจะรอเมื่อไร พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน พระองค์บอกไถ่บาปเราเลยนะ  สำเร็จในโลกวิญญาณ วิญญาณนะเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ทุกคน เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว วิญญาณเขาได้เกิดใหม่ แต่ยังอยู่ในร่างกายเก่าอยู่ ร่างกายที่เรานั่งอยู่นี้ วิญญาณใหม่เราอยู่ข้างใน พระคัมภีร์พูดอย่างนี้เสมอ ในพระคัมภีร์ใหม่ บอกให้เรามองให้เห็นเถิดว่าวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นใหม่ทั้งสิ้นเลย 100% แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า  ร่างกายเก่าที่จำเป็นจะต้องเจ็บและตายในที่สุด ตายก็แปลว่าลงดินไป ตามคำสาปแช่ง ในปฐมกาล ตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป หนึ่งในคำสาปแช่งนั้น คือร่างกายของเจ้าที่ไม่ต้องตาย บัดนี้เจ้าจะต้องตาย ร่างกายของเจ้าสร้างมาจากดิน มันก็กลับไปสู่ดิน

เพราะฉะนั้นร่างกายของมนุษย์ที่เราเห็นๆ อยู่นี้  มันก็ต้องไปสู่ความตาย ลงไปสู่ดิน สักวันหนึ่ง เนื่องเหตุจากคำสาปแช่งนั่นเอง วิญญาณอยู่นิรันดร์ และพระเจ้าก็จัดเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซู ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องตายอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป  ให้กับผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เมื่อวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเขาทิ้งร่างกายนี้แล้ว พระเจ้าสัญญาว่าเขาจะได้ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ ซึ่งศักดิ์ศรีนิรันดร์  ศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ สูงกว่าร่างกายปัจจุบันมากเหลือเกิน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย เดินผ่านทะลุกำแพงได้เลย

สรุป ก็คือตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ และตราบเท่าที่พระเยซูยังไม่เสด็จกลับมา บรรดาพวกมาร ก็ยังคงทำงานของมันต่อไปเหมือนเดิม เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่จะต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะถูกจับทิ้งลงไปในบึงไฟนรก โดยพระเยซูคริสต์ของเรา และกองทัพผู้ชอบธรรมทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งเราด้วย ในอนาคตอันใกล้หรือไกล ไม่มีใครรู้

เรากลับมาที่ร่างกาย ในสมองหรือความคิดของมนุษย์ทุกคน ก็ยังคงต้องเป็นสมรภูมิรบ หรือเรียกว่าสนามรบต่อไป พระคัมภีร์บอก สมองความคิดของเรา  ที่เรามองไม่เห็น  จับต้องไม่ได้ มันทำงานอะไรก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันมีความคิดอยู่ตรงนี้ จะเรียกว่าสมอง จะเรียกว่าความคิดจิตใจก็ได้ นี่คือสงคราม ที่กระทำการงานอยู่ในสนามรบ มนุษย์ทุกคนเป็นเช่นนี้

นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราต้องมาคุยกันในเรื่องนี้เยอะๆ เพราะมันมองไม่เห็น พระคัมภีร์เป็นโคม เป็นแสงสว่างส่องให้เราเดิน ให้เรารู้ว่ามันคืออะไร? เราต้องมาย้ำกันเยอะๆ มาเล่าให้ฟัง อย่างละเอียดบ่อยๆ เพราะเราอยู่ท่ามกลางสนามรบ เราต้องเผชิญกับการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา มันถึงต้องบอกบ่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่น พวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว (ในวิญญาณของเรา) มองไม่เห็น พูดอย่างนี้บ่อยๆ เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ของมาร มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อันเป็นที่รักของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว  ตอนนี้ วิญญาณเราอยู่ที่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ มองเห็นไหม? ไม่เห็น มันถึงต้องย้ำกันอย่างนี้

นี่แหละคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ เมื่อไม่เห็นต้องย้ำ พระคัมภีร์ก็บอกเป็นระยะว่าเพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อทั้งหลาย ให้จดจ่อความคิดของท่านไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้นนี้ ซึ่งใช้คำว่าจดจ่อไปยังเบื้องบน

“เบื้องบน” หมายถึงมิติที่มันดีกว่า มิติที่อยู่สูงส่งกว่า มิติบนโลกใบนี้ที่มองไม่เห็น จะเป็นมิติที่ 4 หรือ 5 ก็ไม่รู้ … รู้ว่ามันมีอยู่จริง  แต่ร่างกายธรรมดาของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าไปสัมผัสรับรู้ได้ ต้องใช้วิญญาณเท่านั้น และวิญญาณก็จะถูกนำ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่านั่นคืออะไร? เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้าอย่างไร? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มากกว่าอื่นๆ ทั้งปวงเลย พระคัมภีร์จึงพยายามพูดวนเวียนถึงสิ่งเหล่านี้ และมารก็พยายามที่จะดึงเราออกจากสิ่งเหล่านี้ ให้มาอยู่ที่วัตถุ ให้มาอยู่ในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ พระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะพาเราไปในโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น แล้วก็บอกเราว่าที่นั่นเป็นอย่างไร? อยู่อย่างไร? เขาเป็นอย่างไรบ้าง และมีอะไรเกิดขึ้น พระเจ้าสัญญาอย่างไร? เรายิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเป็นลูกพระเจ้าอย่างไร? เราบริสุทธิ์สะอาดอย่างไร? มารก็พยายามดึงเราลงเวทีล่าง เพื่อจะชกเรา เพื่อจะอัด เพื่อจะให้เราเป็นทาสมันให้ได้ อย่างนี้เราเรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ

เคยได้ยินไหมครับ “ตำราพิชัยสงคราม” ที่บอกว่าในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องรู้เขารู้เรา รบ 100 ครั้ง ก็ชนะ 100 ครั้ง ในขณะที่เรากำลังทำสงครามกับพวกมารอยู่ เราก็ต้องรู้ว่าพวกมันทำงานกันอย่างไร? และเราควรต้องรับมืออย่างไร? เช่นเดียวกัน มันเข้ามา 100 ครั้ง เราก็ชนะ 100 ครั้ง ถ้าเรารู้วิธี คือดึงมันขึ้นมาที่โลกวิญญาณ ดึงขึ้นมาที่เวทีวิญญาณ ดึงมันขึ้นมาข้างบนนี้ให้ได้ อย่าไปชกกับมันที่โลกวัตถุ อย่าไปชกกับมันที่สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้

บางคนไม่เข้าใจ เวทีโลกวิญญาณ เวทีโลกวัตถุมันเป็นอย่างไร? เอาง่ายๆ สมมติว่ามีข้อมูล มีคนมาถามท่านว่า …

“เชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่เห็นแข็งแรงเลย ทำไมยังป่วยอย่างนี้อยู่อีกล่ะ มันไม่ควรจะป่วย พระเจ้ายิ่งใหญ่เหลือเกิน พระเยซูต้องก็รักษาได้สิ”

สมมติถ้าท่านจะชกกับมัน  มันมาแล้ว สงครามเริ่มต้นแล้ว

“ป่วยอย่างนี้ได้อย่างไรล่ะ เป็นลูกพระเจ้า ดูสิ พระเยซูรักษาก็หายแล้ว วางมือก็หายแล้ว”

นี่วางไปกี่ครั้งแล้ว ยังไม่หายเลย คุ้นๆ ไหม? เติมอีกนิดหนึ่ง ก็ได้

“นี่เป็นลูกพระเจ้า ทำไมอดๆ อยากๆ อยู่เลย ทำงานก็เจ๊งหมด อธิษฐานขอในพระเยซูมันได้หมดทุกอย่างไง ไม่ใช่หรือ?”

มี 2 เวทีให้ท่านเลือก ท่านจะชกอย่างไร? ถ้าเวทีวิญญาณ ท่านก็ดึงมันขึ้นมา

“ไม่ เพราะฉันไม่ท้อใจ 2 โครินธ์ 4:16 บอกมาเลย”

นี่ดึงขึ้นมาข้างบน “เพราะฉันไม่ท้อใจ ไม่กังวลใจ แม้ว่ากายภายนอกจะเจ็บป่วย หรือตายก็ตาม เพราะมันแค่แป๊บเดียว มันไม่สามารถเทียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่ฉันจะได้รับ ที่พระเจ้าเตรียมให้ คือร่างกายในสวรรค์ได้  เพราะว่าฉันได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว วิญญาณฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด”

ไปอีกเยอะเลย มันตกม้าตายไปแล้ว เห็นหรือยัง? ท่านชนะไปแล้ว ถูกไหม? ท่านเดินผิวปากไป ทั้งๆ ที่ยังเจ็บหลัง แต่จิตใจท่านเต็มไปด้วยสันติสุข นี่คือของแท้ แล้วในใจท่านยังพูดอีกว่า …

“ฉันก็รู้ คนเราเกิดมาบนโลกใบนี้ มันก็เจ็บป่วยอย่างนี้แหละ คนที่ไม่เชื่อไม่เจ็บป่วยหรือไง? แกไปถามดูสิ ไอ้มาร แกมาจดจ่อกับฉันคนเดียว พอฉันเป็นคริสเตียนมาถามว่าทำไมฉันต้องเจ็บป่วย ตอนไม่เป็นคริสเตียน เจ็บป่วย ทำไมไม่ถามบ้างล่ะ มันก็เหมือนกันแหละ แสดงว่ามันไม่เกี่ยวกับพระเจ้าเลย มันเกี่ยวกับการหลอกลวงของแกนั่นเอง”

เริ่มเห็นชัดแล้ว แต่ถ้าเราถูกมันหลอก เราแพ้ เราลงไปชกกับมัน บนเวทีที่ตามองเห็น จับต้องได้

“ไหนไม่เห็นหายเลย”

“จริง ปวดเหลือเกิน พระเยซูรักษาลูกให้หายป่วยด้วยเถิด”

ไปให้ใครวางมือ เที่ยวตะลอนไปหาอาจารย์เยอะแยะ ไปให้เขาวางมืออธิษฐาน เพื่อจะหายโรค พอมองอะไรออกไหม? ท่านก็จะทุกข์ต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันปกติ อันนี้เป็นวิสัยจริงตามนั้น เพราะว่ามนุษย์ถูกสาปแช่งมาตั้งแต่โน้นแล้ว แต่มันไม่บอกความจริงกับเรา ถ้าเผื่อไปวางมืออธิษฐาน มีโอกาสไหม? พระเจ้ารักษาโรคหาย มีไหมคำพยาน มี ถามว่ามีเยอะมีน้อย? มีเยอะ ก็เราไปมองดูมันเยอะ ลองเทียบกับคริสเตียนทั้งหมด มีเยอะหรือมีน้อย นิดเดียว คนไม่เป็นคริสเตียน ทำได้ไหม? ทำได้ ไปหาอาจารย์แดง อาจารย์ดำ ทำไสยศาสตร์อะไรต่างๆ มันก็หายบ้าง ไม่เห็นแตกต่างอะไรตรงไหนเลย  เห็นไหม? แต่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเรา คือวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดหมดจดแล้ว  มั่นใจแล้วว่าไปสวรรค์ 100% และตอนนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว  พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปนิรันดร์ เป็นความหวังของเรา เมื่อถึงวันที่ร่างกายเราต้องทิ้ง จากร่างกายนี้ไป นั่นคือชัยชนะของเรา ความหวังใจนี้เต็มเปี่ยม อย่างนี้ ถามว่าอาจารย์ดำ อาจารย์แดง อาจารย์เยอะแยะ ไสยศาสตร์เหล่านี้ สามารถให้เราได้ไหม? ให้ไม่ได้  เห็นหรือยังว่าเราสามารถถูกหลอกลงไปที่เวทีข้างล่าง แล้วเราก็ไปมัวคิดแต่ว่าอยากจะแข็งแรง อยากจะร่ำรวย อยากจะมีชื่อเสียง อยากจะได้พระพร อยากจะประสบผลสำเร็จ ซึ่งอยู่ในโลกที่วิปริตแบบนี้ เรายังอยากได้อย่างนั้นอยู่ เราก็ซวยสิ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ทุกข์ใจ มันก็ไม่มีวันเป็นสุขเลย มีวันนี้รวยมหาศาลล้นฟ้า อีก 30 ปีต่อมา จนไม่มีอะไรจะกิน เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แล้วถ้าเราฝากชีวิตไว้กับสิ่งเหล่านั้น เราจะเป็นอย่างไร? เราก็ทำลายชีวิตของเราเอง เพราะเราไปฝากความหวังไว้ในที่ที่มันไม่มีความหวัง ฝากความหวังไว้ในที่โลเล พระคัมภีร์ใช้คำว่าอนิจจัง มันกินลม กินแล้ง ไปฝากความหวังไว้ที่กินลมกินแล้ง แต่ถ้าเราฝากความหวังไว้ที่ความจริงของพระเจ้า ที่ความชัดเจนนี้  เรามั่นคงแข็งแกร่งอย่างนี้เป็นต้น  นี่คือสงคราม เห็นไหม?

ฉะนั้น ตอนนี้เรารู้แล้วว่ากลยุทธของมาร ก็คือพยายามทำทุกสิ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างไร? มันก็พยายามทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือมันพยายามที่จะมาขโมยความจริงในถ้อยคำพระเจ้าออกไปจากจิตใจเรา วิญญาณของเรา ถ้าเรามีความจริงอยู่ 50 มันก็พยายามจะขโมย 50 นั่นไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีอยู่ 100 ก็จะพยายามขโมย 100 และมันไม่มีสงสารเราว่ามันขโมยแล้วจะให้เราเหลือบ้าง ไม่ใช่นะ มันอยากจะขโมยให้หมดเลย

พระคัมภีร์บอกว่าสำหรับคนเหล่านั้น  ที่ยังไม่เชื่อฟัง หมายถึงสำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้เชื่อถ้อยคำพระเจ้า สำหรับคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อพระเยซู พูดง่ายๆ สำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระเยซู ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระผู้ไถ่บาป ในพระคัมภีร์บอก เขาเหล่านั้น ถูกมารปิดบังตา 100% เลย ไม่ได้เชื่อ เป็นศูนย์ แต่ปรากฏว่าคนนี้หลุดไปได้ เห็นแสงสว่างในสายตาฝ่ายวิญญาณของเขา ได้เชื่อพระเจ้า เหมือนกับเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ได้รับความรอดเข้ามาปุ๊บ มารมันหยุดงานไหม? หยุดทำสงครามไหม? ไม่หยุด มันก็ทำต่อไป คือให้เราได้รับความรอดที่มันยากที่สุด ได้รับพรน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อไม่ให้เราไปเป็นพยานต่อคนอื่นๆ อีกต่อไป นี่คือวิธีการ มันก็ปิดบังตาเรานั่นแหละ เพื่อว่าเราไม่สามารถบอกคนอื่นอีกต่อไปว่าการเชื่อพระเยซูคริสต์มันง่ายมากๆ แต่มันพยายามหลอกเรา อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้น เราต้องพยายามรู้ความจริง ตอนนี้ เรารู้แล้ว ความคิดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นสมรภูมิที่สู้กันในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นความสำคัญในการต่อสู้สงครามฝ่ายวิญญาณ หรือสงครามทางความคิดนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ ก็คือตรงนี้แหละ คือการต่อสู้ระหว่างความจริงของพระเจ้า ที่จะทำให้เราเป็นไท ตามที่พระเยซูบอกกับข้อมูลเท็จของมาร ที่จะทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจ อิทธิพลของมัน และไม่ได้รับอิสรภาพ ข้อมูลฝั่งไหนครอบครองพื้นที่ในความคิดของเราได้มาก ฝั่งนั้น ก็ชนะ ข้อมูลของฝั่งไหนอยู่มาก ฝั่งนั้นชนะ ถ้าข้อมูลคิดแต่เรื่องเบื้องบน สวรรค์ๆ พระเยซูชนะ แต่ถ้าคิดแต่ข้างล่างๆ บนโลกใบนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ มารชนะ

ในหนังสือ 2 โครินธ์ พระคัมภีร์ได้สอนวิธีการต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้เริ่มอ่านกันแล้ว ที่เน้นว่าเราไม่ได้สู้รบแบบที่โลกนี้เขาทำกัน แล้วอาวุธที่ใช้ทำสงคราม ก็ไม่เหมือนกับบนโลกนี้เขาใช้ทำสงคราม ใช้นิวเคลียร์ ใช้ระเบิด ใช้ปืน แต่ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ 2 โครินธ์ 10:3-5

2 โครินธ์ 10:3-5 “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้งและคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

อาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ที่สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ ที่มั่นต่างๆ อยู่ที่ความคิด ก็หมายถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้านั้น คมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้ว ที่ผมบอกว่าสมัยก่อนชาวยิวใช้มีดสั้น ที่มีความคมทั้งสองด้าน ในการฆ่าสัตว์ และสมัยนั้น มีดแบบนี้ถือว่าเป็นอาวุธที่มีความคมที่สุด พระคัมภีร์จึงเปรียบเทียบถ้อยคำพระเจ้าว่าคมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุทั้งด้านโน้นด้านนี้ ลึกเข้าไปเลย และเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้าง ประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ขัดขวางความรู้พระเจ้า  และเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

อาวุธที่เปี่ยมไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าตรงนี้ ก็คือพระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า คือความจริง พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า และคือความจริง นี่คืออาวุธของเราอย่างเดียวเท่านั้นที่มีฤทธิ์อำนาจมาก

นี่แหละ เราจะชนะด้วยวิธีนี้ เพราะว่าเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ สามารถทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง มารมันโต้แย้ง ส่งข้อมูล ผ่านทางความคิดของเรา โต้แย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ที่วิญญาณเราอาศัยอยู่ในร่างกายทุกวันนี้ มันจะต้องเจ็บ มันจะต้องป่วย และไปสู่ความตายในที่สุด เพราะเหตุจากบาป ตั้งแต่สมัยอาดัม มันต้องตาย นี่คือความจริง

มันก็โต้แย้งว่า … “ไม่ใช่ พระเยซูสามารถทำอัศจรรย์ได้ พระเยซูรักษาคนโรคเรื้อนยังหายได้เลย”

มันเคยบอกพระเยซูใช่ไหม?  ตอนพาพระเยซูไปทดลอง พระเยซูมาเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนเรา ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ มันหลอกพระเยซู ตอนที่พระเยซูอดอาหารในถิ่นทุรกันดาร แล้วพระเยซูหิว เหมือนมนุษย์เราทั่วไป มันบอกว่าถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง สั่งก้อนหินให้เป็นขนมปังเลย หิวๆ อยู่ พระเยซูไม่ทำ เพราะว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ไม่สามารถละเมิดกฎว่าเป็นมนุษย์มาทำอย่างนี้ได้ไง มารมันมีวิธี เล่ห์กลต่างๆ  เพื่อให้เรา ทำอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น อาวุธของเรา ก็คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าพวกมารจะใช้วิธีอะไร? ใช้ข้อมูลแบบไหนที่มาโกหกเราก็ตาม ถ้าเรามีพร้อม อาวุธของเรา ก็คือพระเยซู … ในนามพระเยซู (ไม่ใช่ไล่ผีออกไปนะ) ในนามพระเยซูออกไปเลย ข้อมูลต่างๆ ที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ไปให้พ้นเลย ถ้ามันหลอกเราให้เราโลภ

“มาเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ พระเจ้าจะอวยพรให้โลภแน่เลยอย่างนี้ ต้องได้ดีแน่เลย ไปลงทุนเลย กู้หนี้ยืมสินมา อัดเข้าไปเลย อย่างนี้ อธิษฐานเยอะแยะเลย อดอาหารมากๆ รับรองได้ รวย”

ถ้าเราเชื่อมัน เราก็ซวย แต่ถ้าเราไม่เชื่อมัน เราไล่เลย

“ไปให้พ้นไอ้ความโลภ” แค่นี้เอง

แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงว่า “จงพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้ง และไม่ละท่านเลย มนุษย์คนใดเล่าจะทำอะไรท่านได้ พระเจ้าอยู่กับท่านแล้ว”

มีอะไรหรือเปล่า? และไม่ถูกหลอกลงไปในการล่อลวงให้เป็นคนโลภ นี่แหละวิธีการ 2 โครินธ์ 10:6 ลองอ่านดู

2 โครินธ์ 10:6 “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

 

คราวนี้ ตรงนี้ต้องอธิบายละเอียดหน่อย เพราะว่าผู้คนพูดกันไปหลายทิศหลายทาง ตอนนี้ท่านพอจะมองเห็น ผมเกริ่นมาตั้งหลายตอน คำว่า “เชื่อฟัง” ฟังให้ดีๆ นะ บางคนเข้าใจว่าเป็นการเชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า ในเรื่องการประพฤติปฎิบัติตน ตามกฎดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยพระเยซูยังไม่ไถ่ และพอบอกว่าเราพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง ก็กลายเป็นว่าใครที่ไม่เชื่อฟัง หรือไม่ทำตาม ก็จะเจอการลงโทษ ซึ่งมันไม่ใช่เลย เดี๋ยวจะพาไปดู นี่สงครามฝ่ายวิญญาณ ที่เราอ่านมาตั้งแต่ต้น ที่บอกว่าอาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์

“และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนน เชื่อฟังพระคริสต์”

คำว่า “และเราสยบ” ภาษาเดิมแปลว่า “จับ” เหมือนจับอะไรบางอย่างที่มันดิ้น จับแบบออกแรง และบังคับมันด้วย ให้มันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ เชื่อฟังต่อพระเยซู พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูคือความจริง ให้มันเชื่อฟังต่อถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง

ให้ความคิดของเราเชื่อฟัง อย่าไปนึกถึงมาร ไม่ต้องไล่เลย มารมันอยู่ตรงนั้นแหละ มันไม่ไปไหนหรอก แต่มันจะส่งถ้อยคำ ไล่ข้อมูลผิดๆ ในความคิดของเราออกไป นี่คือการลงโทษ  เห็นไหม? แล้วมันก็มาหลอกเราว่าความคิด กลายเป็นการลงโทษ คนนี้ไม่เชื่อฟัง คนเชื่อตรงนี้ผิดในอดีต จับผู้เชื่อที่ไปทำอะไร ที่เขาไม่เชื่อฟัง ไปเผาทั้งเป็น แล้วกล่าวหาว่าเขาเป็นแม่มด ไม่ต้องอดีตมาก ถ้อยคำแบบนี้ เราจะต้องทำการแก้แค้น ลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อฟัง  กลายเป็นคนเลย อ้าว! ถูกหลอกไปอีก คริสเตียนที่ไม่รู้อีโหน่งอีเหน่

“และเราพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง”

“เรา” ตรงนี้หมายถึงตัวเราเองนั่นแหละ ความหมาย ก็คือเราพยายามที่จะใช้ถ้อยคำ คือความจริงของพระเจ้าในการต่อสู้กับข้อมูลของพวกมาร ข้อมูล ไม่ใช่ตัวมาร เราจะพยายามยืนยันความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปที่ความคิดของเรา ให้ถึงที่สุดเลยว่านี่คือของจริง นี่คือใช่ แล้วใช้ฤทธิ์อำนาจนี้จัดการกับความไม่เชื่อฟัง ที่มันโผล่เข้ามาในความคิดของเรา เอเมน จบ ขอบคุณพระเจ้า

และถ้าเรายังมีความคิดตรงไหนที่ยังเผลอไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้า ทำอย่างไร? ลงโทษมันด้วยการขับไล่มันออกไป วิธีขับไล่มันออกไป คือใส่ข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาๆ สมมุติว่าตอนนี้ บางคนยังติดนิสัยอยากจะเจออัศจรรย์ในเรื่องพระเจ้า อยากจะไปขับผี อยากไปวางมืออธิษฐาน รักษาโรค อยากไปอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไปหาถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าการอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร? อย่างที่ตะกี้บอก เอาหนังสือ 2 โครินธ์ 4:4-18 ไปท่องเยอะๆ ท่องมากๆ นั่นคือความจริง ใส่เข้าไปว่าพระเจ้าสอนเราแบบนี้ ให้เราหวังในสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ  ในสวรรค์สถาน ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่าหวังในสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ เพราะมันอยู่ชั่วคราว มันพลิกไปพลิกมา มันวิปริตไปแล้ว บนโลกใบนี้ ถ้าไปหวัง ถ้าไปอยากได้ในสิ่งของบนโลกใบนี้ ท่านจะเสียใจ ท่านจะเป็นทุกข์ ให้เราหวังในโลกฝ่ายวิญญาณ นั่นคือความหวังนิรันดร์ และไม่มีใครมาขยับได้ มันเข้มแข็ง แข็งแกร่งเรื่อยๆ ทุกวันๆ นั่นคือพรอันยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าบอกไว้ พรนานานัปการในสวรรค์สถาน  พระองค์ทรงประทานให้มนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  เอเมน

เพราะฉะนั้น ใครอยากได้พร? ไปแสวงหาในถ้อยคำพระเจ้าว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าเลย เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันชอบธรรมมากขึ้น เพราะพระเจ้าให้เราเกิดมาเป็น สมัยก่อนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราเกิดมาซวย เกิดมาบาป ไม่ได้ทำอะไรเลย เราอยู่ในอาดัม … อาดัมเป็นคนทำ เราเกิดมาบาป เราเกิดมาซวยเลย  เกิดมา นรกรอเราอยู่ ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน และเมื่อเราเชื่อ เราได้ตายพร้อมกับพระเยซู ไม่ต้องทำอะไรเลย  อดีตเกิดมาบาปเลย  เพราะอาดัมทำให้เรา ตอนนี้เราเกิดมาเป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ไร้มลทิน เรามีตำแหน่งเป็นลูกพระเจ้า สูงเท่าๆ กับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปโตร และอาจารย์อื่นๆ รวมทั้งคุณนครด้วย เราพึ่งมาเชื่อเมื่อวานนี้ เราก็มีสิทธิเท่าเขาด้วย

นี่คือความเป็นจริง นี่คือความหวังใจนิรันดร์ ที่เราได้รับ ในสิ่งที่มองเห็นชัดๆ มันเป็นอย่างนี้ และเอาข้อมูลเหล่านี้ ไปพูดให้ตัวเองฟังบ่อยๆ ใส่เข้าไปๆ นี่แหละเขาเรียกว่าจดจ่อความคิดท่านไปที่เบื้องบน ณ สถานที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และพระเจ้าก็นำท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตท่านซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์สถานกับพระเจ้า ท่านก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน

พระเยซูบอกว่าใครก็ตามที่เชื่อในการไถ่ของพระเยซูคริสต์ พอเชื่อปุ๊บ สมมติชีวิตท่าน คือกระดาษแผ่นนี้ พอท่านเชื่อ นี่คือพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าพอท่านเชื่อปุ๊บ พระเจ้าใส่วิญญาณท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นผู้เชื่อ ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเจ้าบอกว่าในพระคริสต์นี้ พระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์ตาย ชดใช้บาป ขณะที่พระเยซูคริสต์ตายอยู่ในนรก เพื่อใช้บาป เราก็ตายด้วย เราก็ตายต่อบาป บาปทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แล้ววันที่สาม พระเยซูคริสต์ก็เป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยกัน แค่นั้นไม่พอ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ตรัสเองเลย พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย ยกให้พระเยซูและประทานนามนามหนึ่ง และตั้งพระองค์ไว้ที่สูงสุด เหนือนามทั้งปวงเลย วางไว้บนที่สูงสุด แล้วเราก็อยู่ที่สูงสุด ร่วมกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระคริสต์

สิ่งเหล่านี้ต้องพูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละมารมันกลัวมากเลย กลัวกว่าไล่ผีเยอะเลย  นี่คือความจริงทั้งหมด นี่คือถ้อยคำพระเจ้า แล้วท่านมองดูสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ เยอะๆ ท่านก็อยู่บนโลกใบนี้ อย่างผู้มีชัยชนะนิรันดร์ เอเมน ท่านก็จะหลุดออกจากสิ่งที่หลอกลวงต่างๆ จะรวย จะมี จะจน อะไรก็แล้วแต่พระเจ้า แล้วอะไรก็ได้ ท่านก็จะไม่กังวล จะเจ็บป่วยอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไป จะมีทุกข์บ้าง มีอะไรบ้างต่างๆ บนโลกใบนี้ มันเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ มันเป็นจริง เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว ไม่เชื่อไปดูต้นไมยลาพก็ได้ ดูทีไร นึกถึงพระเจ้าทุกที

เพราะฉะนั้น มองเห็นสัจจธรรมอย่างนี้ มันหลอกเราไม่ได้อีกต่อไป  พระคัมภีร์จึงให้เราหนุนจิตชูใจ ซึ่งกันและกัน ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์หนุนจิตชูใจให้เรา ปลอบประโลมจิตใจของเราทั้งหลาย เพราะว่าอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระเยซูบอก แต่เราชนะโลกแล้ว ทนอีกนิดเดียว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  กันยายน  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาดูกันต่อเรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 2 หรือภาษาติดปากของชาวคริสเตียนทั่วๆ ไปเรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ เราจะมาคุยถึงเรื่องนี้ ที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ตลอดเวลา ตราบที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ เราจำเป็นต้องอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณนั่นแหละ หนีก็ไม่ได้ ไม่ร่วมก็ไม่ได้ เมื่อวันที่ท่านบังเกิดใหม่ในพระเยซู เมื่อวันที่ท่านรับเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู ท่านเข้าไปสู่สงครามฝ่ายวิญญาณนี้ เต็มรูปแบบแล้ว แต่ถามว่าตอนที่ยังไม่เชื่อ ท่านอยู่ในสงครามไหม? ว่ากันแล้ว ท่านก็อยู่ในสงคราม เพียงแต่ท่านเป็นเชลยอยู่ แต่ตอนนี้ท่านเป็นอิสระแล้ว เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ท่านรอดแล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่ในสงคราม แต่เป็นสงครามที่เราชนะแล้ว

ผมจะอธิบายให้ฟังว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ สงครามโลกวิญญาณ มันคืออะไร? แล้วมันเกิดขึ้นเมื่อไร? มารแน่นอนใช่ไหม? ที่เป็นศัตรูของพระเจ้า สงครามฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นตั้งแต่มารยังมีชื่อเดิม ซึ่งเป็นชื่อที่ดี ยังไม่เป็นมาร ยังไม่เป็นซาตาน ซึ่งแปลว่าความชั่วร้าย ชื่อเดิม ที่ดีๆ ของมารหรือซาตาน คือลูซีเฟอร์

ลูซีเฟอร์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ไม่ใช่มนุษย์นะ ลูซีเฟอร์เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ตนหนึ่ง  ที่โดดเด่นมากในเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการ ในพระคัมภีร์บอกว่าสวยงามมาก และดังมาก เก่งมาก คำชมเหล่านั้น จากเหล่าทูตสวรรค์ และแม้กระทั่งอาจจะพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ชมด้วย

ในพระคัมภีร์บอก แล้ววันหนึ่ง อยู่ๆ ลูซีเฟอร์ที่ถูกสร้างมาเป็นทูตสวรรค์ดีๆ มันก็เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมา อยากจะเป็นพระเจ้าเอง เป็นการเริ่มต้นของความชั่วร้าย ที่เรียกว่าความบาป ซึ่งเรียกว่า Miss the target  แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมาย ที่พระเจ้าได้สร้างไว้ เมื่อท่านได้ฟังตรงนี้บ่อย ก็จะเข้าใจถึงกฎระเบียบที่มนุษย์ต้องตกลงไปในความบาป มันเกิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ในพระคัมภีร์เขียนอย่างนั้นว่าความชั่วร้าย การเป็นกบฏ ผิดเป้าหมาย ตามที่พระเจ้าได้ประสงค์ สร้างไว้ว่าทูตสวรรค์ตนนี้ ทำหน้าที่อะไร? เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น แต่จู่ๆ สิ่งดีในตนที่เรียกว่าลูซีเฟอร์ มันเกิดความเย่อหยิ่งจองหอง อยากเป็นพระเจ้าเสียเอง อยากจะแข่งกับพระเยซู ในพระคัมภีร์พูดอย่างนั้น เพราะอะไร? ไม่รู้ ในพระคัมภีร์พูดอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนั้นว่ามันเกิดขึ้นมาเอง

เพราะฉะนั้น ถามว่าผู้สร้างความชั่วร้ายให้เกิดขึ้น ใช่พระเจ้าไหม? ไม่ใช่ ใครเป็นผู้สร้างความชั่วร้าย? ไม่รู้ แต่มันเกิดขึ้นมาเอง ที่ในตัวตนของทูตสวรรค์ตนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ท่านต้องจำตรงนี้ไว้ คือถ้าฐานของความรู้ท่าน ง่ายๆ ชัดๆ แข็งแรง ก็ไม่มีอะไรจะมาโกหกท่านต่อไปในอนาคต

ความชั่วร้ายมันเกิดขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้อย่าบอกว่าพระเจ้าอนุญาต หรือทำให้สิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้น ถามว่าตอนที่สิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้นมาเอง ในตัวตนของลูซีเฟอร์ พระเจ้าอนุญาตให้มันเกิดขึ้นไหม? ไม่ พระเจ้าไม่ต้องการ ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้ แต่มันเป็นขึ้นมาเอง แล้วมันก็เริ่มกบฏ

“กบฏ” ก็คือบาปนั่นแหละ บาป แปลว่า Miss the target แปลว่าผิดเป้าหมาย  ก็คือการทำอะไรก็ตามที่ผิดจากวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าต้องการ หรือที่พระเจ้าได้สร้างเอาไว้ พระเจ้าสร้างให้ตัวตนของลูซีเฟอร์ เป็นทูตสวรรค์ที่ดี แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ทำตรงกันข้ามกับความดี เรียกว่าความชั่วนั่นเอง เพราะฉะนั้น มันเริ่มทำบาป มันเริ่มกบฏต่อพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าบอกขาว มันก็บอกดำ พระเจ้าบอกไป มันก็ไม่ไป อะไรก็ตามที่มันตรงกันข้ามกับพระเจ้า มันทำหมด พระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น ลูซีเฟอร์เป็นต้นกำเนิดของความเกลียด พระเจ้าเป็นแสงสว่าง ลูซีเฟอร์ ก็เป็นความมืด ท่านพอรู้แล้ว แต่ก่อนนี้ ก่อนที่ลูซีเฟอร์จะตกลงไปในความบาป มีความมืดไหม? ไม่มี ทุกอย่างเป็นความสว่างหมด มีความเกลียดชังไหม? ไม่มี มีแต่ความรัก ท่านพอมองเห็นแล้วว่ามันเกิดมาจากตรงไหน? นี่คือต้นเหตุของทั้งหลาย ทั้งปวง ในความเป็นจริง ในโลกฝ่ายวิญญาณ

วิธีการของมัน ก็เริ่มต้น ก็คือความบาป การทำตรงข้ามกับพระเจ้า อยู่ในตัวมัน มันก็มีบาปเกิดขึ้นในตัวลูซีเฟอร์เพียงหนึ่งเดียว แล้วมันก็เริ่มต้น ไปหาพรรคพวก ด้วยวิธีเดียวที่มันทำ แล้วพระเยซูก็บอกด้วย คือวิธีขโมย เพื่อฆ่าและทำลาย มันขโมยความจริง พระเจ้าเป็นความจริง มันเป็นความโกหก มันก็เริ่มไปหลอกชาวบ้านเขา ชาวบ้านสมัยนั้น ก็คือทูตสวรรค์ มันคงไม่ไปหลอกพระเยซูนะ เพราะมันก็คงรู้แหละว่าพระเยซูเป็นความจริง มันหลอกไม่ได้ มันก็ไปหลอกทูตสวรรค์ทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างประชากรในสวรรค์ตอนนั้น มีแต่ทูตสวรรค์ ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ทูตสวรรค์ก็ถูกมารเข้าไปหลอก มันอาจจะไปหลอกมีคาเอลก็ได้ มันอาจจะไปหลอกกาเบรียลก็ได้ 2 ตนนี้ก็เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ … หัวหน้าทูตสวรรค์มี 3 ตน ลูซีเฟอร์ตกไปหนึ่ง มันอาจจะเริ่มไปหลอก หัวหน้าทูตสวรรค์ 2 ตนนั้น แต่มีคาเอลกับกาเบรียลไม่สนใจ มันก็หลอกทูตสวรรค์ชั้นรองลงมา อาจจะเป็นชั้นนายพัน นายเอก นายร้อย นายสิบ จนกระทั่งเป็นพลทูตสวรรค์เยอะแยะ

ฟังให้ดีนะ เนื่องจากความสามารถของมัน ความเก่งของมัน ความอ่อนหวาน ปากเป็นเอก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้พระเจ้าสร้างมันขึ้นมา ให้เอาความเก่งเหล่านี้ไปในทางที่ดี แต่มันเอาความเก่งเหล่านี้มาทำในทางที่ไม่ดี มันก็สามารถไปโกหก หลอกลวงทูตสวรรค์ได้ถึง 1 ใน 3  ก็คือ 33.3% ของทูตสวรรค์ทั้งหมด  ถ้าสมมติว่าตอนนั้นทูตสวรรค์มี 1 ล้านตน มันก็สามารถหลอกทูตสวรรค์ไปได้ 333,333 ตนอะไรประมาณนั้น ที่เหลือก็ไม่ไป ยังอยู่ในกองทัพของพระเจ้าอยู่ ยังเชื่อฟังพระเจ้า ปรากฏว่าทูตสวรรค์เหล่านั้น 1 ใน 3 ที่เชื่อมัน ก็เลยกลายเป็นไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า บาปก็เริ่มเพิ่มจำนวนมาแล้ว เริ่มจากลูซีเฟอร์

ผมพยายามแยกให้ชัดเจนว่าพระเจ้าคือใคร?  ลูซีเฟอร์คือใคร?  บาปคืออะไร? ความชั่วร้ายคืออะไร? อย่าเอาพระเจ้าเข้ามาอยู่กับความชั่วร้ายเด็ดขาด เพราะฉะนั้น  มาร ลูซีเฟอร์ก็เลยสามารถไปโกหกหลอกลวงทูตสวรรค์เหล่านี้ ตั้ง 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด มาเป็นพรรคพวก เรียกว่าทูตสวรรค์ตกกระป๋อง ก็คือตกลงไปในความบาป  เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ในโลกความมืด มีสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา คือลูซีเฟอร์ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นซาตาน  ลูซีเฟอร์ แปลว่าดาวแห่งรุ่งอรุณ ดาวสวยงามมาก เจิดจรัส กลายเป็นชื่อซาตาน แปลว่าความชั่วร้าย ทูตสวรรค์ตนนี้ เรียกว่าตัวชั่วร้าย  เวลาเราเรียกใคร ไอ้ชั่วร้าย คือนั่นแหละ กำลังเล็งถึงซาตาน และความชั่วร้ายนี้ ถูกส่งต่อไปยังทูตสวรรค์ตนอื่นๆ อีก 1 ใน 3 เป็นกลุ่มทูตสวรรค์ที่ชั่วร้าย ท่านเห็นภาพแล้วนะ

ปรากฏว่าแพ้สงคราม พระเจ้าก็ตัดสินคดี ในพระคัมภีร์เขียนว่าให้ทูตสวรรค์ 1 ใน 3 ซึ่งมีหัวหน้าตกกระป๋อง ถูกเหวี่ยงลงมาอยู่ในโลกนี้ เราไม่รู้ อย่าไปสนใจว่ามันคืออะไร? พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนี้ ถ้าในพระคัมภีร์ไม่ได้บอก เราก็ไม่ต้องไปรู้ ยังมีอีกเยอะแยะมากมายหลายอย่างที่เราอยากรู้ แต่เราไม่รู้ เอาเท่าที่รู้แค่นี้ เราก็หัวโตแล้ว

ตอนนี้ความชั่วร้ายอยู่ที่สิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เรียกว่าทูตสวรรค์เท่านั้น สิ่งเหล่านี้มีชีวิต จากนั้นพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย แล้วก็บอกว่าให้เชื่อฟัง

มารก็ทำหน้าที่มัน ก็คือเอาการโกหกหลอกลวง มาหลอกอาดัมและเอวา ซึ่งตอนนั้นบริสุทธิ์ ไร้เดียงสากับบาปใดๆ ทั้งปวง เพราะเป็นฝ่ายพระเจ้า 100% โดยวิธีการโกหก หลอกลวง เอาความจริงของพระเจ้ามาบิดพลิ้ว ให้มันฟังแล้วดูเหมือนใช่ แต่มันไม่ใช่ ก็ไปบอกเอวาว่า …

“ก็กินผลไม้ต้นนี้สิ”

เอวาบอก “ไม่ได้ พระเจ้าสั่งห้าม ต้องเชื่อฟัง เราเป็นลูกที่เชื่อฟัง”

มารบอกว่า “ไม่จริงหรอก พระเจ้าโกหก”

นี่คือสิ่งที่ท่านต้องจำไว้เลย แล้วมันจะใช้วิธีนี้  วิธีเดียว ไม่มีวิธีอื่น ไม่ต้องกลัวว่ามันมาหักคอ ไม่ต้องกลัวมันมาอยู่ในที่มืดๆ ไม่ต้องกลัวมันมากระโดดหยองๆ ผมก็แปลกใจ ทำไมคนกลัวผีก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องใช้พระเยซู มันก็ไปนะ เอาไฟนิออน สปอร์ตไลท์ฉายไป ผีหายหมดเลย แปลกดี ผีต้องไปอยู่ที่มืดๆ ไกลๆ ให้ไปอยู่ในป่าช้า ผีดุมาก เอาสปอร์ตไลท์ทั้งหมดฉายเข้าไปเลย สว่างทั้งกลางวันกลางคืน เหมือนกันหมด ไม่เจอแน่นอน ให้เราไปนอนกลางคืน ตีหนึ่ง เรากล้าไปไหม? กล้าไป เพราะไม่มีแล้ว  มันโดนสปอร์ตไลท์ไล่ไปแล้ว อันนี้เรื่องจริง ไม่ต้องไปอยู่ในที่แอบๆ ที่ลับๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง มันไม่ใช่อย่างนั้น

เอวาบอกว่า … “พระเจ้าบอกว่า “วันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย”

มันบอก “พระเจ้าพูดไม่จริง ถ้าวันใดเจ้ากิน เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า”

ครึ่งหนึ่งถูก พระเจ้าสั่งว่า “อย่ากิน ถ้าวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะตาย”

มันก็บอกว่า “เออ! ใช่ พระเจ้าสั่งอย่ากิน”

มันไม่ได้แย้งว่าไม่ใช่ พระเจ้าไม่ได้สั่ง มันบอกเลยว่า “ใช่ พระเจ้าสั่งไม่ให้กิน”

คนก็ อันนี้มันก็พูดตรงกับถ้อยคำพระเจ้าครึ่งหนึ่ง แต่พระเจ้าสั่งว่า “ไม่ให้กิน ถ้าวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย มันเป็นพิษ” พูดง่ายๆ “กินแล้วเจ้าจะเป็นพิษ”

มันแทนที่จะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สั่ง คนก็จะรู้ว่าอย่ามาโกหก พระเจ้าสั่ง ฉันได้ยินกับหู จดไว้ด้วย แต่มันบอกว่า “พระเจ้าสั่งใช่แล้ว แต่ …” ตอนท้ายบิดไป ไม่ให้กิน เพราะว่า “ถ้าเจ้ากิน เจ้าจะไม่เป็นพิษ แต่จะมีอายุวัฒนะ” อันนี้สมมติให้ฟัง เป็นอายุวัฒนะ เสริมสร้างพลังกาย สุขภาพแข็งแรงด้วยซ้ำ มันหลอก

พ่อบอก “อย่ากินนะ มันเป็นพิษ”

มันบอก “กิน สุขภาพแข็งแรง ยอดเยี่ยมเลย”

มันบอกเอวาว่า “วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะรู้ทันพระเจ้า จะเป็นเหมือนพระเจ้า”

ทั้งๆ ที่พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวามา ตามพระฉายของพระองค์ เหมือนแล้ว เขาเรียกว่าความเล่ห์เหลี่ยม เพราะว่ามันไม่ใช่ทูตสวรรค์ธรรมดา แต่มันเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ที่มีชื่อเสียง มีฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา พอมันกลายเป็นชั่วร้าย มันชั่วร้ายระดับโปรเลย หาที่จับไม่ได้เลย จับผิดยากมากเลย มันหลอกลวงมากเลย

ในที่สุด เราก็รู้อยู่ดีว่าอาดัมและเอวา ทั้งสองตกลงไปในการกระทำอันเดียวกัน ต้นเหตุ คืออยากเป็นเหมือนพระเจ้า จึงทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากบฏ ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าบาป ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า Miss the target ทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ทำสิ่งหนึ่ง คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เข้าไปเป็นพวกเดียวกันกับมารและสมุนของมัน พวกกบฏ พวกบาป เห็นไหม? แค่นี้เอง ท่านจะมองภาพ เห็นชัดๆ เลยว่าไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย พอบาปเข้ามาปุ๊บ มันย้ายข้างเข้ามา ความมืด ก็ปกคลุมอยู่เหนือ

อย่างตะกี้เห็น อาดัม เอวาอยู่ในแสงสว่าง พอความมืดเข้ามา แสงสว่างก็หายไป เป็นความมืด ความสาปแช่ง คือสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เข้ามาแทนที่พระพร คือสิ่งดีๆ ที่มาจากพระเจ้า ที่อยู่ในแสงสว่าง อาณาจักรทั้งโลกใบนี้ สลาย มืด โลกใบนี้เหมือนบ้านของอาดัมและเอวา ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ระบบของโลกนี้ทั้งหมด ตกอยู่ในคำสาปแช่ง

คำสาปแช่ง ก็คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ คำสาปแช่ง ก็คือพ่อบอกอย่าแยงมือลงไปในรูปลั๊กนี้นะ ลูกอย่าแยง และวันหนึ่ง ลูกก็ไม่เชื่อฟัง มีคนบอกมาว่าไม่เป็นไร แยงเข้าไปเถอะ ลูกก็เอานิ้วแยงเข้าไป แล้วมันก็ช๊อต ผมร่วงหมดเลย สมมติ ชัก เป็นพิการไปเลย ให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่พิการ ท่านเห็นไหม? ถามว่าเราผู้เป็นพ่อทำให้เขาพิการไหม? ไม่ใช่ กฎทางธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ที่พระเจ้าต้องการ คือความดีงามให้กับลูกของตัวเอง รัก สร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขา แล้วก็บอกเขาอย่าทำอะไรที่ไม่ดี แล้วถ้าเขาทำ กฎระเบียบมันก็ออกไป เขาย้ายไปเป็นพวกมาร และไม่ใช่แต่โลกใบนี้ที่ปกคลุมด้วยความมืดและด้วยความบาปเท่านั้น แต่รวมถึงอาดัมและเอวาซึ่งเป็นต้นพันธุ์ของมนุษยชาติทั้งหมด เพราะว่าพระเจ้าสร้างอาดัมและเอวาเป็นแม่พิมพ์ที่ดี เพื่อจะให้เขากำเนิด มนุษยชาติให้กับมนุษย์ทั่วโลก เท่าไรไม่รู้ แต่รู้ว่าพระเจ้าสร้าง ให้เต็มโลกเลย

พระเจ้าบอกจงมีเผ่าพันธุ์ขยายเต็มโลก อวยพรให้อาดัมและเอวามีเผ่าพันธุ์ ถ้าเทียบกับปัจจุบัน เหมือนโรงงานที่สร้างต้นแบบรถยนต์ขึ้นมา กว่าจะสร้างนานมากเลย จนสวยงามเรียบร้อยดีแล้ว มองดู โอเค ดี เข้าโรงงาน มี order 1,000 กดปุ่ม 1,000 แล้วจากนี้มันก็ผลิตไปเรื่อยๆ 1,000 ที่ออกมา จะเหมือนต้นฉบับไม่มีผิด พระเจ้าก็สร้างมนุษย์อย่างนั้นแหละ จริงๆ มันห่างกันเยอะวัตถุสิ่งของกับสิ่งที่มีชีวิตเหมือนพระเจ้า มีลมปรานของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา จึงพามนุษยชาติทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันสามารถพูดตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่ามนุษย์ทั้งหมดอยู่ในดีเอ็นเอของอาดัมกับเอวา

ดีเอ็นเอเข้าใจใช่ไหม? ผมก็ไม่เข้าใจนะ แต่รู้ว่าดีเอ็นเอ มันหมายถึงรหัสต้นพันธุ์ของมนุษย์ว่าคนนี้เป็นลูกใคร? มาจากใคร? แล้วเขาไล่ไปไกลมาก เป็นหมื่นปี พิสูจน์แล้วว่ามันมาจากนั้นจริงๆ เราไม่ต้องไปสนใจวิทยาศาสตร์มากนัก เอาแค่ว่าในพระคัมภีร์ว่าอย่างนั้น วิทยาศาสตร์หาเจอก็ดี เขาเรียกว่าเอามาฟังเป็นชิวๆ ฟังแบบสนุกๆ แต่อย่าไปหวังมันมาก เพราะถ้าขืนเราไปฝากความหวัง หรือไปมองที่วัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ มารมันจะบิดพลิ้วอีก เดี๋ยวเราจะเละตุ้มเป๊ะ เรากลับมาที่ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ เราก็ว่าอย่างนี้ เพียงแต่เอามาคุยเล่น

สรุปแล้วก็คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในตัวอาดัมและเอวา พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อเอวา อาดัมทำผิด หลักการที่สมควรที่จะเป็น ที่พระเจ้าสร้างมา คือทำบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงพาเหล่ามวลมนุษยชาติทั้งหมดที่อยู่ในอาดัมตกลงไปในความบาปด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งหมดเลย รวมทั้งโลกใบนี้ด้วย ระบบของโลกใบนี้ด้วย ทั้งหมดเลย

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้ามองลงมาจากสวรรค์ไม่มีใครดีเลย ทุกคนเป็นคนชั่วทั้งสิ้น แล้วพระเจ้าเป็นพ่อควรจะทำอย่างไร? เจ็บปวดรวดร้าวมากๆ เลย ถูกไหม? โกรธลูกไหม? ถ้าเป็นท่าน ท่านจะโกรธลูกไหม? ลูกเรานะ เราสอน อย่าแยง เข้าไป แล้วก็มีพี่เลี้ยงอยู่คนหนึ่งบอกว่าแยงก็ไม่เป็นไรหรอก พูดทุกวัน จนลูกเราเผลอ แทนที่จะจำสิ่งที่เราสอน เชื่อเรา เผลอไปแยง อาจจะลองแยงดู แล้วมันเกิดเป็นอัมพาตขึ้นมา แล้วเราจะไปเตะลูกเราไหม?

“สมน้ำหน้า แทนที่จะเชื่อฉัน ทำอย่างนี้อีกแล้ว ตบให้มันจำ”

ไปที่โรงพยาบาล กำลังนอนให้น้ำเกลือ หายใจไม่ออก ตบมันอีก

“ไอ้ลูกไม่รักดี ทำไมดื้ออย่างนี้ บอกแล้วอย่าทำ ดูสิ เป็นอย่างนี้”

ท่านว่าท่านทำหรือเปล่า? พระเยซูบอกว่าเราที่เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีๆ กับลูกเรา แล้วนับประสาอะไรกับพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์จะให้สิ่งที่ดีสำหรับเราเสมอ มีเหรอ ลูกขอปลา พ่อจะเอางูให้ พอเขาขอขนมปัง เอาก้อนหินให้ มีพ่อคนไหนเป็นอย่างนี้บ้าง ถ้าไม่เคยเห็นท่านคิดไม่ออก รับรองพระเจ้าก็จะไม่เป็นอย่างนั้นเด็ดขาด พระองค์เอาความชั่วร้ายมาสู่มนุษย์ได้อย่างไร?  เป็นไปไม่ได้ พระเยซูมาเพื่อบอกความจริง กระชากเอามนุษย์ออกมา เราถูกมารหลอก เป็นอัมพาตไม่พอ แถมบอกว่า …

“พ่อทำฉัน”

ทารุณไหม? พ่อเศร้าใจมากเลย เศร้าใจหนึ่ง คือลูกฉันไม่เหมือนเดิม ลูกฉันเป็นอัมพาต สองลูกฉันยังกล่าวหาว่าฉันเป็นคนทำอีก  ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนช่วยเขา ฉันดูแลเขาอย่างดี เจ็บมากเลย ท่านลองคิดดูสิ นี่คือหัวใจของพระเจ้า  เราจะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพื่อพื้นฐานที่ถูกต้อง พอพื้นฐานถูกต้อง ท่านจะเข้าใจ เห็นชัดเจนว่าใครอยู่ข้างใคร? ใครเป็นขาว ใครเป็นดำ อย่ามามั่วเด็ดขาด พอเห็นสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ พระเจ้าอนุญาตให้ทำ อันนี้พระเจ้าควบคุม พายุฝนอย่างนี้ พระเจ้าปล่อยให้คนจมน้ำตายได้อย่างไร? ทำไมพระเจ้าควบคุมทุกสิ่งได้ พระเจ้าไม่ควบคุมตรงนี้ด้วย อะไรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้พระเจ้าเสียชื่อ แต่พระเจ้าไม่มีวันเสียชื่อ พระองค์เป็นความจริง อย่างไรก็เป็นจริง แต่ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีโอกาสได้รับความรอด ไม่มีโอกาสได้รับพระพร สมอย่างที่เขาควรจะได้รับ แค่นั้นเอง ผมไม่ห่วงพระเจ้าหรอก ผมห่วงมนุษย์ที่เป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา แล้วยังถูกหลอกเท่านั้นเอง ยอมเสียเวลาตรงนี้ มารมา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย ขโมยความจริง มันทำอย่างอื่นไม่ได้หรอก จำไว้เลย มันไม่มีฤทธิ์อำนาจ ทำอะไรได้สักนิดหนึ่ง มันถูกถอดออกไปแล้ว ต้องจำใส่ใจ จำใส่สมองเรา ถ้ามันไม่เอาความจริงออกไปจากเรา มันจะทำอะไรเราไม่ได้เลย มันต้องขโมยความจริงออกไปก่อน  แล้วจากนั้น มันก็มาฆ่าและทำลายเรา ด้วยฤทธิ์อำนาจและความสามารถของตัวเราเองนั่นแหละ พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่ท่านตกลงไปในความบาป  ทำสิ่งที่ชั่วร้าย หรือเข้าไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อย่าพูดนะว่าพระเจ้าทดลองท่าน พระเจ้าไม่เคยทดลองใคร พระเจ้ามีแต่ความรัก ความเมตตา ความช่วยเหลือ แต่ที่ท่านตกลงไปในความบาป ทุกข์ยากลำบาก ถูกทดลอง เพราะกิเลสตัณหาของท่าน รับเอาแรงกระตุ้น ความโกหกหลอกลวงของมาร ที่อยู่บนโลกใบนี้ ส่งให้ท่าน แล้วท่านรับด้วย กิเลสตัณหานี้ ท่านก็ตกลงไปในการล่อลวงของมัน ความทุกข์ยากลำบาก ก็เข้ามา

นี่คือการปูพื้นฐานสำหรับวันนี้ ถามว่ามารทำอย่างนี้เพื่ออะไร? เพราะว่าธรรมชาติของมาร คือความชั่วร้าย  เป็นศัตรูกับพระเจ้า โดยตรง เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ตาม ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้ารักลูกของพระองค์ทั้งหลาย มันก็มีหน้าที่พามนุษย์ทั้งหลายมาเป็นพวกของมัน เยาะเย้ยพระเจ้า

“ไหน ลูกของพระองค์เป็นอย่างนี้ ไหน ลูกของพระองค์ ไม่เห็นสักคนหนึ่งเลย  มันก็หัวเราะเยาะ ไหนโลกสร้างมาอย่างสวยงาม ทำไมมันวิปริตอย่างนี้ล่ะ อากาศก็เป็นพิษ อาหารที่ควรจะเกิดขึ้นมาดีๆ อย่างง่ายดาย แทบจะไม่ต้องปลูก มันก็เกิดขึ้นเอง ปลูกมา 3 ปี ไม่ขึ้น ที่กินไม่ได้ ที่เป็นพิษ มันก็ขึ้นดี ต้นอะไรต่างๆ บางต้นที่กินไม่ได้ เป็นพิษ ขึ้นเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย จะไปปลูกผักสักต้นหนึ่ง ปลูกต้นไม้ที่กินได้ต้นหนึ่ง ลำบากลำบน แมลงมากัดมาแทะ”

ใช่หรือไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้เรามองไม่เห็น ผืนดินลำบากลำบน แม้กระทั่งมนุษย์ยังถูกสาปแช่ง ต้องทำมาหากินบนโลกใบนี้ อาบเหงื่อต่างน้ำ ก็คืออยากอยู่ห้องแอร์ เป็นไปตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เย็นๆ สบายๆ แต่เนื่องจากถูกสาปแช่งไปแล้ว เพราะฉะนั้น อยู่ห้องแอร์ก็ป่วย อยู่ในห้องแอร์ เสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก ให้เหงื่อออก แล้วจะรู้สึกดี ก็กฎมันเป็นอย่างนี้ หนีไม่พ้น โลกมันวิปริตไปหมดแล้ว แต่พระเจ้าสัญญาแล้ว ความหวังใจในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าสัญญาแล้ว โลกใบนี้ พระองค์ชนะแล้ว แต่รอการสร้างใหม่เท่านั้นเอง  วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อไรเราไม่รู้ แต่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราข้างในถูกสร้างใหม่แล้ว เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  กันยายน  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเริ่มหัวข้อเรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ยังจำได้ไหมครับ ที่ผมเคยตั้งคำถามครั้งที่แล้วว่าชีวิตคนเรา ที่มีความทุกข์ เพราะอะไร? ต้นเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวงของมนุษยชาติ ไม่ได้อยู่ที่ปัญหานั้น ไม่ได้อยู่ที่ความเจ็บป่วย ไม่ได้อยู่ที่ความยากจน แต่อยู่ที่ความคิด ความท้อใจ ความกังวล ความกลัว เหล่านี้มาจากความคิดทั้งนั้น ไม่มีเงิน ก็ทุกข์ เพราะว่าคิด กลัวจะไม่มีกิน  มีเงินเยอะ ก็ทุกข์ เพราะกลัวเงินหมด แล้วไม่พอใช้  เจ็บป่วยก็ทุกข์แน่นอน เพราะกลัวว่าตาย หรือไม่ก็เจ็บทนไม่ไหว นี่คิดทั้งนั้นนะ  แข็งแรงก็ทุกข์ เพราะกลัวจะไม่แข็งแรงในอนาคต คือจะป่วย แม้แต่เด็ก ก็ยังทุกข์ เพราะอยากจะเป็นผู้ใหญ่  ผู้ใหญ่ก็ทุกข์ เพราะอยากจะเป็นเด็ก ดูหน้าทุกวัน ไปซื้ออาหารเสริม เพื่อให้ดูเป็นเด็ก เด็กก็กลุ้มใจ  เมื่อไรจะโตสักที อยากเป็นผู้ใหญ่สักที คิดทั้งนั้น คิดให้มันทุกข์

สรุป ก็คือความคิดแบบโลกนี้ ทำให้เราทุกข์ ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นผลของการที่เราไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นของโลก  คือเป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ เราเรียกกันว่าโลกวัตถุ เราไปจดจ่อ จับจ้อง เอาจริงเอาจังกับมันเยอะมากในชีวิต  คือสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องได้ ซึ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์แน่นอน เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าใครไปจับ ยิ่งจับมันเยอะเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น     ถ้อยคำพระเจ้าจึงบอกให้เราจดจ่อ เอาจริงเอาจัง มองไปที่เบื้องบน มองไปที่มิติทางวิญญาณ ซึ่งมันเหนือกว่า มันสูงกว่า

“เบื้องบน” หมายถึงมองทะลุเข้าไปในมิติที่เป็นวิญญาณ หรือเราเรียกกันว่าโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าอาณาจักรวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Spirit world เป็นมิติอะไรบางอย่าง ซึ่งมีอยู่จริงๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่แท้จริงของเรา ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์นั่นเอง

สวรรค์อยู่ในอาณาจักรทางวิญญาณ เพราะฉะนั้น มองอาณาจักรโลกวัตถุนี้ มองไม่เห็นสวรรค์หรอก การไปจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบนตามพระคัมภีร์บอก คือไปจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกวัตถุบนโลกใบนี้  จะทำให้เราเห็นชัด ในความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั้น มันเป็นอย่างไร? เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นผู้บอกเราว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง? และก็อธิบายให้ฟังเลย เรียบร้อยเลยว่าถ้าเป็นโลกวัตถุนะ มันไม่เที่ยง มันหลอกเรา แต่ถ้าเป็นอาณาจักรวิญญาณ มันเรื่องจริง เป็นอย่างนี้ๆ ให้เราเชื่อฟัง พระเจ้าสอนเรา  เพื่อเราจะได้ไปในทางที่ดีๆ พูดง่ายๆ

เพราะฉะนั้น การตั้งความคิด จดจ่อไปที่เบื้องบน ก็คือจดจ่อไปที่ความจริงในโลกวิญญาณ หรืออาณาจักรวิญญาณ ที่พระเจ้ากำลังบอก สอนเรานั่นเอง เพราะว่าความจริงในโลกวิญญาณ เราไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร? เพราะมองไม่เห็น เราก็จะรู้เฉพาะสิ่งที่พระเจ้าอธิบายให้เราฟัง บอกเรา สอนเราว่าโลกวิญญาณมันคืออะไร? มันเป็นอย่างไร? ถ้าไม่บอกเรา ไม่สอนเรา เราไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าไม่รู้ คือเราไม่เชื่อด้วยว่ามีโลกวิญญาณ หรืออาจจะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง มั่วไปหมดเลย ก็คือตาวิญญาณเราตาบอด มองไม่เห็นทางโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น ก็มาสอนเราให้เรารับรู้ และที่พระเจ้ามาบอกเราอยู่ที่ถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และผู้ที่จะสอนเราจริงๆ ไม่ใช่ศิษยาภิบาล แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สอนเรา ตัวจริงๆ ค่อยๆ สอนเรา จากข้างในออกมาข้างนอก ศิษยาภิบาลมีหน้าที่สอน จากข้างนอกไปข้างใน คือพูดให้ท่านฟัง เป็นเหมือนเครื่องมืออันหนึ่ง แต่ผู้ที่จะยืนยันกับท่านว่ามันเป็นจริงอย่างไรในโลกวิญญาณ ท่านจะรู้ ท่านจะร้องอ๋อเมื่อไร นั่นเป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งสถิตในท่าน และกระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ 2,000 ปีมาแล้ว

เพราะฉะนั้น  การจดจ่อไปยังโลกวิญญาณ ที่อยู่เบื้องบน อาณาจักรทางวิญญาณ ที่เรียกว่าเบื้องบนนั้น ก็คือจดจ่อในถ้อยคำพระเจ้า ผมเคยบอกอยู่เสมอๆ สิ่งที่เราเรียนรู้กัน สิ่งที่เป็นอาวุธประจำตัวเรา คือพระคัมภีร์เล่มนี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวัตถุ … วัตถุต้องไปหาอย่างอื่นเรียนเอา เอ็นไซโคบีเดีย ไปดู Google เยอะแยะไปหมดเลย วิชาความรู้ของโลกใบนี้ แต่หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา จงนึกถึงเลยว่าเรากำลังเรียนรู้สิ่งที่พระเจ้ากำลังสอนเรา เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น การจดจ่อที่ถ้อยคำพระเจ้า ที่พระองค์เปิดเผย สอนเราเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันจึงเป็นสิ่งสำคัญว่าในโลกวิญญาณมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีลักษณะเป็นอย่างไร? มันสีขาว สีดำ สีเหลือง สีแดง เดินซ้าย เดินขวา หน้าหลังเป็นอย่างไร? เดินอย่างนี้ไม่ดี เดินอย่างนั้น ดีอย่างไร? พระเจ้าเป็นผู้สอนเราทางโลกวิญญาณทั้งสิ้น อยู่ในพระคัมภีร์ เราจึงต้องจดจ่อ ให้ความสนใจกับถ้อยคำของพระเจ้า

พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ก็คือลายแทงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระองค์ทรงสอนเราว่าระบบของโลกทางฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? มันทำงานอย่างไร? พระเจ้าสอน ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์  และผ่านทางการอ่านพระคัมภีร์เอง ผ่านทางการฟังศิษยาภิบาลพูด ฟังครูอื่นๆ สอน ฟังคำพยานของพี่น้องที่รู้เรื่องนี้ มีชีวิตอยู่ในเรื่องนี้ แล้วเขาเล่าให้ฟัง แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะคอนเฟิร์ม ก็คือเป็นพยานยืนยันว่าถูกต้อง ค่อยๆ สอนเราในตัวของเราเองนั่นแหละ

นี่คือวิธีการเรียนรู้ในการจดจ่อในถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะบ้านของเราอยู่ที่นั่น ถ้าไม่ใช่บ้านของเรา  เราก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน บ้านเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าเราจะมีบ้านอยู่บนโลกใบนี้ แต่มันเป็นบ้านสมมติ มันอยู่แค่เพียงชั่วคราว อีกไม่นาน ก็ไปแล้ว แต่บ้านจริงๆ ของเราอยู่ที่สวรรค์ … สวรรค์ อยู่ที่อาณาจักรโลกฝ่ายวิญญาณ

แล้วทำไมเราต้องจดจ่ออยู่ตลอดเวลาด้วย ก็เพราะว่ามันเป็นโลกวิญญาณ ซึ่งตาฝ่ายเนื้อหนังเรามองไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน จับต้องก็ไม่ได้ ซึ่งว่ากันในอดีต ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตอนที่วิญญาณเรายังไม่ตกลงไปในความบาป ยังไม่ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ยังไม่เป็นวิญญาณที่ตาย เรายังมีความสามารถมองไปในมิติทางวิญญาณสบายๆ มองเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า แต่เนื่องจากมนุษย์คู่แรก ตกลงไปในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งสิ้น มนุษยชาติทั้งหมดจึงถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ ตาบอด ความสามารถลดลงมากเลย ขนาดเราเป็นมนุษย์ เรายังรู้เลยนะ พอเราอายุแก่ขึ้นมากๆ ความสามารถในสายตาเรายังด้อยลง บางทีอยู่ไกลๆ เรามองไม่เห็นแล้ว เห็นไม่ค่อยชัด อ่านไม่ได้เลย ยังด้อยลง แต่เรื่องความบาปของมนุษย์นั้น ร้ายแรงมาก จากตาที่มองเห็น ทางโลกวิญญาณ มองไม่เห็นแล้ว ไม่มีพระเจ้าแล้ว สำหรับเขา เพราะว่าเขามองไม่เห็น ที่บอกว่าไม่มี อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น การให้ความสำคัญในเรื่องของการมารู้จักพระเจ้าผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า ที่อธิบายและสอนเราเรื่องโลกวิญญาณนี้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียนหรือไม่ก็ตาม ที่จะเรียนรู้เลย เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าตาวิญญาณจะไม่ถูกเปิดออก ตาฝ่ายวิญญาณจะถูกเปิดออก เมื่อรับเชื่อ ก็คือใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้เขาที่ไม้กางเขน  ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จากความบาป เมื่อเขาเป็นอิสระจากความบาปแล้ว เมื่อบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ การบังเกิดใหม่นั้น วิญญาณเขาอุแว้ขึ้นมา เขาก็เริ่มต้นมอง และสัมผัสในโลกฝ่ายวิญญาณได้บ้าง จะ เหมือนสมัยก่อนโน้นที่ไม่ได้ทำบาปเลย ยังไม่ได้  เพราะยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ แต่วิญญาณข้างในเริ่มต้นรับรู้แล้ว มนุษย์ทำบาป มนุษย์ก็ต้องตกลงไปในความเสียหาย ตาบอดทางฝ่ายวิญญาณ มองไม่เห็น เลยจับต้องมองไม่ได้ ในสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ    เพราะฉะนั้น พอไม่มีพระเจ้า ไม่รู้เรื่องราวของพระเจ้า พระเจ้าจึงต้องเตรียมให้กับมนุษย์ ที่ตาบอดฝ่ายวิญญาณ

วิธีการเตรียม ก็คือเตรียมลายแทง แผนที่ทางโลกวิญญาณไว้ให้ คือในพระคัมภีร์นี้นั่นเอง จึงต้องมีแผนที่ทางฝ่ายวิญญาณให้ เราที่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในร่างกายนี้อยู่ จึงจำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าบอกไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะเรามองไม่เห็น เราจึงต้องพึ่งในแผนที่ คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่เราสามารถเชื่อถือได้ เพราะว่าเป็นถ้อยคำของพระเจ้า ที่พระองค์บอกว่าเป็นความจริง และเรารู้ได้อย่างไร? เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ข้างในเรา และพระเจ้าผู้นี้เป็นผู้ให้กำเนิดเรา เป็นพ่อเรา รักเรามาก สัตย์ซื่อ เที่ยงตรง เที่ยงธรรม เราจึงไว้ใจได้ว่าแผนที่นี้ดีสำหรับเราแน่นอน เราจึงเดินตามพ่อเราไปตามถ้อยคำ เราที่อยู่บนโลกใบนี้ หมายถึงโลกวัตถุ ตอนนี้อยู่ เราทุกคนต้องมีพ่อแม่อยู่แล้ว ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็บอกแล้วว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกเรา

ให้เราเอาความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ มาจดจ่อ วิธีการจดจ่อ ก็คือใส่ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เข้าไปอยู่ในความคิด ให้มันจดจำได้ แล้วก็ใคร่ครวญ ให้หลับตา แล้วนึกถึงภาพ ไม่เหมือนสิงโตกินเนื้อ แต่มันเหมือนวัวกินหญ้า ค่อยๆ เคี้ยวเอื้องไปเรื่อยๆ เอาถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้มาใคร่ครวญ ให้มันชัดเข้าไปเรื่อยๆ เอาสารอาหารเข้าไปเรื่อยๆ ให้มันย่อยเข้าไปเรื่อยๆ ย่อยถ้อยคำ ย่อยความจริงเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เข้าไปเลี้ยงดูตัวตนฝ่ายวิญญาณของเราข้างในนั้น จนกระทั่งสิ่งที่มองไม่เห็น มันเริ่มต้องมองเห็น ตาทางฝ่ายวิญญาณ เริ่มโตขึ้น เพราะวิญญาณข้างในโตขึ้น เริ่มมองเห็นรางๆ แล้ว สิ่งที่ตะกี้บอก จับต้องมองไม่ได้ เริ่มจับต้องมองเห็นได้ขึ้นมาทันที ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ก่อนมาเชื่อพระเจ้า ไม่เคยกล้า หรือบอกว่า

“ฉันบริสุทธิ์สะอาด สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า”

แต่ก่อนนี้ ไม่กล้าพูดเลย  แต่เดี๋ยวนี้บางคนอธิษฐาน น่าอิจฉามากเลย บางคนที่เขาไม่รู้จักพระเจ้า แล้วมาแอบฟังเรา อยู่ในห้องส่วนตัว

“พระบิดาเจ้าข้า ลูกรักพระองค์เหลือเกิน”

เป็นจริงเป็นจังมากเลย ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ห้องส่วนตัวด้วย บางคนส่วนรวมเลย อยู่โต๊ะอาหารใหญ่ ร้านอาหารใหญ่โตมาก

“ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์ สำหรับอาหารมื้อนี้”

ใครจ่าย เราก็จ่าย แล้วทำไมเขาขอบคุณพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นพระเจ้าแล้วไง ถึงแม้จะไม่เห็นชัดๆ หน้าต่อหน้า แต่เขาเห็นรางๆ  เห็นไหม? ตรงนั้นเขาเรียกความเชื่อ … เชื่อว่าวิญญาณที่มองไม่เห็นนั้น เป็นจริง ความเชื่อไม่ได้หมายถึงเชื่อว่าอธิษฐานแล้ว คนตายจะเป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ความเชื่อ คือการรู้ว่าโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น มันมีอยู่จริงๆ

ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 อธิบายไว้ว่าพระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ ที่มองไม่เห็น แล้วเราก็มองไม่เห็นเหมือนกัน แต่ด้วยความเชื่อ สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น จะเกิดร่องรอยหลักฐาน จับต้องมองเห็นได้ทันที ใส่ความเชื่อปุ๊บ มองเห็นทันที และความเชื่อนั้น เกิดขึ้นได้จากตาดู หูฟัง ปากพูด ใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า มันกลับไป กลับมาอยู่นั่นแหละ นี่คือวิธีการ หลักการที่พระเจ้าจะนำพาเราให้อยู่ในเส้นทางของพระองค์ ที่ไปดี พูดง่ายๆ ก็คือเอาข้อมูลความจริงที่พระเจ้าบอกในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณใส่เข้าไปในสมองนี้ ไปล้างสมอง เอาของไม่ดีออกไป เอาของดีเข้ามา ล้างสมอง โดยการใส่ความจริงเข้ามา ซ้ำๆ กัน จนกระทั่งสิ่งที่เรามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มันกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ มีอยู่จริงๆ เพราะความเชื่อมันเกิดขึ้นในความคิดของเรานั่นเอง นี่คือวิธีการและความหมายที่บอกว่าให้เราจดจ่อ ตั้งความคิด ใคร่ครวญไปที่สิ่งที่อยู่เบื้องบน คือโลกฝ่ายวิญญาณ ก็คือสวรรค์ ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่อธิบายให้เราฟัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญมาก

แต่ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ ร่างกายที่เป็นวัตถุ ที่เราเห็นอยู่นี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่เราจะบังคับความคิด ให้จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย  เพราะมันแย้งกัน มันเห็นอยู่ สิ่งที่มองไม่เห็น มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มองเห็นมันชัดมากกว่า อะไรอย่างนี้ มันก็ไขว้เขวได้ง่ายๆ มันเกิดความแย้งกัน เห็นเป็นอย่างนี้ แต่ไม่เห็นมันเป็นจริง  มันทารุณนะ มันยากนะ แต่มันไม่ยากตรงที่พระเจ้าเริ่มสอนเราบอกว่าให้เราเริ่มทำทีละนิด เพราะในขณะที่เราพยายามที่จะเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ว่าแผนที่ทางโลกฝ่ายวิญญาณพระเจ้าเป็นอย่างไร? พยายามที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้า พยายามที่จะรับรู้ความจริงที่พระเจ้าบอก ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างไร? ในขณะเดียวกัน พวกมารที่ทำงานอยู่บนโลกใบนี้ มันก็พยายามทำหน้าที่ของมันอยู่เหมือนกัน คือทำทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง เอาความจริงออกไปจากเราให้หมดเลย ทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าสอนเรา มารก็จะมาเอาความจริงออกไป แล้วเอาความโกหกมาใส่ ถ้ามันสามารถเอาความจริงออกไปหมด 100% ได้ มันเอาไปเลย ถ้ามันเอาออกไปไม่ได้  สมมติว่ามันเอาออกไปได้ 10% มันก็จะเอาออกไป 10% ถ้ามันเอาออกไปได้ 50 มันก็จะเอาออก 50 แล้วก็ผสมอันอื่นเข้าไป เพื่อให้ความจริงนั้น จริงไม่ค่อย 100% เหมือนอย่างบางคนมาเชื่อพระเจ้า เชื่อว่าความรอด โดยพระเยซูคริสต์

“ฉันรอดแล้ว”

แต่ในพระคัมภีร์ รอดในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงรอดทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า การรักษาของพระองค์ รักษาความบาปของเรา โรคภัยร้ายแรง ที่แย่ที่สุดของมนุษย์ทุกคน ก็คือความบาป พระเยซูรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเราหายแล้ว คือบาปนั้นหายแล้ว บาปนั้นหลุดไปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า พ้นจากบาปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น มันก็หลอก แล้วก็ยัดเหยียดใส่ไป รวมถึงโรคภัยไข้เจ็บของเธอต้องหายด้วยนะ คนนั้น ก็งงสิ

“อ้าว! วิญญาณฉันไปอยู่กับพระเจ้า ฉันเป็นมะเร็งอยู่ ฉันก็ต้องหายด้วยสิ”

ก็พยายามจะเอามะเร็งให้หาย มันหายได้อย่างไร? ก็ไม่ได้เป็นพันธสัญญาของพระเจ้า  มันไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ พอไม่หาย เริ่มไม่แน่ใจว่า …

“ตกลงที่ฉันรอดแล้ว ทางวิญญาณที่บอกว่าฉันเป็นลูกพระเจ้า ที่เกิดจริงๆ แล้ว ตามพระคัมภีร์ มันเป็นจริงไหม”

ท่านพอมองเห็นภาพไหม? มันก็เลยไม่มั่นใจสักอย่าง ที่ควรจะได้ ก็ไม่ได้ ที่ไม่ควรจะได้ ก็อยากจะได้ มันก็เลยเละ นี่แหละ คือการขโมยไป 50% นี่สมมติ แต่ถ้ามันขโมยไปได้หมดเลย ก็คือใครมาพูดถึงเรื่องพระเยซูไถ่บาป ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว แล้วจะเป็นลูกพระเจ้า ตายไปแล้วจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ต้องตกนรก ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่ามันขโมยไปหมดเลย แต่ถ้าขโมยไปครึ่งเดียว คือตอนแรกๆ ที่บอก เชื่อ แต่ทำไมทำอย่างนี้ หวังอะไรแปลกๆ เพราะความจริงได้ถูกขโมยไป

เพราะฉะนั้น นี่คือการต่อสู้ที่เรียกว่าสงครามทางวิญญาณ หรือสงครามฝ่ายวิญญาณ หรือสงครามทางความคิดนั่นเอง เห็นไหม? แล้วก็ถูกหลอกอีก พระเจ้าก็บอกว่าสงครามมันเกิดขึ้นทางความคิด ที่โลกวิญญาณ พอได้ยินอย่างนี้ มารก็มาหลอกเราอีก พระเจ้าสอนอย่างไร? สงครามฝ่ายวิญญาณ ต้องไล่ผี ไปที่ไหนต้องไล่ผี ต้องผูกมัด ต้องอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เลย วิญญาณเราเกิดใหม่ พระเจ้าบอกเราเกิดจากพระเจ้า พอเราเกิดจากพระเจ้า เราอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้แล้ว นี่เราไปที่ไหน ก็ต้องไปไล่ผี ไปกลัวผี บางคนไล่ 30 ครั้ง 40 ครั้ง ผีที่ไหนจะมาอยู่ ในเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว เชื่อแล้ว บางคนไล่วันนี้ อาทิตย์หน้าอาจารย์คนนี้มา ต้องไปไล่ที่โน่น อาจารย์บอกไล่ไป ยังเหลืออีก 30 ตัว อาทิตย์หน้ามาไล่ต่อ นี่เรื่องจริงนะ ไม่ใช่พูดเล่นๆ สรุปแล้ว ก็ทำเหมือนกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ต่างอะไรกันเลย ใช่ไหม? ยกตัวอย่างให้ฟัง วันนี้ไม่ได้มาสอนเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันทำได้หมด มันก็เอาหมด

และนี่คือหัวข้อของการบรรยายในวันนี้ การต่อสู้ทางโลกฝ่ายวิญญาณ ทางความคิด สงครามฝ่ายวิญญาณ คือสงครามทางความคิด พระคัมภีร์บอกว่าสงครามโลกวิญญาณ ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราไม่ได้สู้รบแบบที่โลกนี้เขาทำกัน อาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม ก็ไม่เหมือนกัน 2 โครินธ์ 10:3-5 บอกว่า …

2 โครินธ์ 10:3-5 “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

แม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบปรบมืออย่างที่โลกทำ อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ ท่านคิดว่ามันหมายถึงอะไร? มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ เขาเรียกว่าเนื้อหนังที่มองเห็น จับต้องได้  เขาไม่ทำแบบใช้ความคิดแบบมนุษย์ แต่ต้องทำแบบโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งตรงนี้หมายถึงพื้นเพ ชาวโครินธ์ในขณะนั้น เขาต่อสู้สงครามนี้ แบบมนุษย์ ก็คือคิดว่าบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ มันพิเศษกว่าคนอื่นเขา อาจารย์เปาโลเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อจะเตือนชาวโครินธ์ว่าท่านไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้า เพราะเป็นคนยิว แล้วคุณดีกว่าเขา ไม่ใช่ แล้วคนที่มาเชื่อพระเจ้า แล้วไม่ใช่ยิว ก็กลัว ไม่มั่นใจว่าเราเป็นลูกพระเจ้า หรือเป็นลูกเมียน้อย ไม่แน่ใจว่าเราสะอาด หมดจดแล้ว หรือเรายังประพฤติไม่ได้ เหมือนกับคนที่เป็นยิวเลย  เราเป็นคนต่างชาติ เราถือศีลกินเจ ยังสู้ฟาริสี สู้คนยิวไม่ได้เลย คนยิวก็อยู่ในบัญญัติของพระเจ้า มาตั้งนานแล้ว แต่เราทำอะไรไม่ได้เหมือนเขาเลย ไม่ได้ถวายสิบลดเลย เพราะฉะนั้น เราเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าครึ่งเดียว สู้พวกชาวยิวไม่ได้หรอก ชาวโครินธ์ที่ไม่ใช่ยิว ก็คิดอย่างนี้ ชาวยิวเองก็คิดอย่างนี้

“ฉันเป็นคนยิว ฉันเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ ติดสนิทกับพระเจ้า มีอภิสิทธิ์มากกว่า เป็นคนที่รักษาบัญญัติของพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ปฏิบัติพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว อยู่ใกล้พระเจ้าด้วย ทำมากกว่าคนอื่นๆ พระเจ้ารักมากกว่าคนอื่นเขา”

และชอบคิดว่า “พระเจ้าเตรียมความรอดในพระเยซูคริสต์ไว้ให้กับชนชาติอิสราเอลเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนต่างชาติ”

คนเหล่านี้ เชื่อแล้วนะ เป็นคริสเตียนนะ อาจารย์เปาโลเขียนไป พวกนายยังเป็นอย่างนี้เหรอ อาจารย์เปาโลชี้ให้เห็นอย่างนี้ คือสงคราม ถ้าเปรียบกับผู้เชื่อหรือคริสเตียนในยุคนี้ ก็คงคล้ายๆ กับว่าคนที่คิดว่าตัวเองติดสนิทกับพระเจ้า อธิษฐานเยอะกว่าคนอื่น รับใช้เยอะกว่าคนอื่นๆ ถวายก็เยอะกว่าคนอื่นๆ แล้วก็คิดว่าพระเจ้ารัก มากกว่าคนอื่น ต้องได้พระพรมากกว่าคนอื่น คือยกระดับตัวเองว่าเป็นผู้เชื่อที่มีมาตรฐานสูงกว่าคนอื่น มีไหม? มี เยอะไหม? เยอะ

แล้วด้วยระบบของโลกนี้ ก็ส่งเสริมให้ผู้เชื่อมีความคิดแบบนี้ด้วย ซึ่งอย่างที่บอก เป็นผลของมารนั่นแหละ เป็นการงานของมาร ลองยกตัวอย่าง สังคมคริสเตียน เจอกัน ไม่ว่าจะไปงานไว้อาลัย งานฉลอง งานขึ้นโบสถ์ใหม่ เขาจะถามอะไร? เขาจะคุยอะไร?

“อ๋อ! เป็นคริสเตียนเหรอ? เชื่อมากี่ปีแล้ว?” ถามทำไม?

“รับใช้บ้างหรือเปล่า?”

“ออกไปประกาศบ้างไหม?”

“อธิษฐานเป็นประจำหรือเปล่า?” ถ้าเราบอกว่าอธิษฐานเป็นประจำ “นานเท่าไร?”

“อดอาหารหรือเปล่า?”

“ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ไหม?” ไม่ไป หรือไม่ตอบ

ผมไป แล้วผมรำคาญตรงนี้มาก ตั้งแต่ไหน? แต่ไร? คือคำถามอะไรรู้ไหม?

ตอนนี้โบสถ์มีกี่คนแล้ว?

ถามทำไม?  ผมไม่ได้หมายถึงตอนนี้ ตั้งแต่สมัยโฮลี่เป็นแชมป์เรื่องเพิ่มพูนคริสตจักรนะ ไม่กี่เดือนมีสมาชิก 4-5 ร้อยคนในสมัยนั้นนะ ทุกคนแวะมาดู ผมไม่เคยไปไหน แล้วถามใครเลยว่าคริสตจักรมีกี่คนแล้ว? ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่ามีกี่คน? หมายถึงคริสตจักรเราเอง เรายังไม่รู้ว่ามีกี่คน? ชอบถามกันอย่างนี้ ไม่รู้อะไรอยู่ในใจ คุ้นๆ ไหม? นี่ยกตัวอย่างแค่นี้ แล้วท่านไปคิดเอา ถามอะไรแปลกๆ ซึ่งคำถามพวกนี้ พวกเราเองก็เคยถูกเขาตั้งคำถาม แล้วก็เคยถามเขาไหม? แต่คิดว่าน้อย  เพราะว่าด้วยระบบของโลกนี้ ระบบแบบมนุษย์คิด แทนที่จะใช้อาวุธ ที่เป็นศาตราวุธ ที่เป็นของพระเจ้าในโลกวิญญาณ มาใช้อาวุธ ที่คิดแบบสติปัญญาแบบเนื้อหนัง รักพระเจ้ามากๆ ก็ต้องอดอาหาร ต้องอธิษฐานเยอะๆ ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี ผมกำลังพูดคนละมุมกันนะ  มักจะใช้ระบบของโลก หรือมาตรฐานของโลก เป็นตัวคิด เป็นตัววัด ซึ่งก็คือวัดการกระทำของเราและของเขา แล้วก็เอามาคำนวณ แบบมนุษย์ว่าใครทำมาก ก็ได้มาก

ซึ่งในทางพระเจ้า มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่าในทางพระเจ้า มีเพียงขาวกับดำ ไม่มีเทา ไม่มีสีเนื้อ เชื่อก็คือเชื่อ ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อ ไม่มีเชื่อเยอะกว่า หรือเชื่อน้อยกว่า ลูกพระเจ้าทุกคน พระเจ้าก็รักเท่ากันหมด ไม่มีรักใครมากกว่า ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าใคร? รอดจากบาป ก็คือรอด ไม่ใช่รอด 80% ไม่มี เป็นผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยความเชื่อ ก็เป็นผู้ชอบธรรม 100% ชอบธรรมก็คือชอบธรรม ไม่ใช่ชอบธรรมแค่ 90 ไม่มี ถ้าไม่ชอบธรรม ก็คือยังคงเป็นคนบาปอยู่ ก็คือบาป 100% ต่อให้เข้ามาโบสถ์ แล้วบอกเชื่อพระเจ้า ก็ยังเป็นคนบาป 100% เป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็เป็นผู้เชื่อพระเจ้า 100% แม้ว่าเพิ่งมาเชื่อพระเจ้า  3-4 วัน เมื่อวานนี้ยังทะเลาะกับเขาอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังโลภอยู่เลย เมื่อวานนี้ยังด่าเขาอยู่เลย เขาเชื่อวันนี้แล้ว เขาเป็นผู้ชอบธรรม 100% แล้วเขากลับไปที่บ้าน เขายังกินเหล้าเมายา เหมือนกับเมื่อวานที่เขายังไม่เชื่อ เพื่อนมาชวนไปกินเหล้า ก็ยังไปอยู่ หรือเพื่อนมาที่บ้าน เขาก็ยังกินอยู่ สมมติ แล้วตอนที่เขากินอยู่นั้น ถามว่าเขาเป็นคริสเตียนเชื่อใหม่ 1 วัน เขาเป็นผู้ชอบธรรมกี่เปอร์เซ็นต์? 100% แน่นอน

ทีอย่างนี้ทำไมท่านเห็นชัด แต่พอผ่านไปนานๆ เป็นผู้เชื่อมา 10 ปีแล้ว ไม่เห็นท่านคิดอย่างนี้ ท่านคำนวณใหญ่เลยว่าอันนี้ 10 ปีทำอันนี้ สมควรจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น รอดแค่ 20% ท่านคำนวณใหญ่เลย เพราะมันยาวใช่ไหม? แต่พอบอกแค่วันเดียว ท่านเริ่มเห็นชัด วันเดียวไม่ต้องคำนวณแล้ว 100 เหมือนกัน ไม่อย่างนั้น พระเจ้าจะมีคำพยานเหรอ? โจรบนไม้กางเขน หันมาหาพระเยซู แล้วเชื่อพระเยซู บอกฝากชีวิตเขาไว้กับพระเยซูด้วย เอาผมไปสวรรค์ด้วย ท่านเป็นพระเมสิยาห์แน่นอน พระเยซูบอกว่าเดี๋ยวเจอกันที่สวรรค์ นั่นโจรจริงๆ นะ ทำชั่วมาจนกระทั่งถูกประหารชีวิต  ไม่ถึง 1 วันเลย แต่เขาได้ไปสวรรค์ แล้วอย่างนี้ ความคิดแบบมนุษย์รับได้ไหม? รับไม่ได้ ความคิดนั้น ไม่มีทางรับได้เลย ถ้าตราบใดยังใช้อาวุธแบบมนุษย์ ไม่มีทางที่จะชนะเลย แพ้มันเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะชนะ มันต้องใช้ถ้อยคำพระเจ้า ที่ชนะสงครามนี้

“ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? ฉันเชื่อตามนั้น ฉันไม่รู้ล่ะ ถ้าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ด้วยการกระทำ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า ใครมาเชื่อพระเยซู เขาได้รับความรอด เอเมน” จบ

เหมือนนักเลงสมัยนี้ถาม “จบไหม?”

“ครับ จบครับจบ”

ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น จบก็คือจบ ใครจะรับใช้แค่ไหน? อธิษฐานมากขนาดไหน? ถวายแค่ไหน? หรือแม้กระทั่งมีตำแหน่งหน้าที่ในการงาน เป็นศิษยาภิบาล เป็นอาจารย์สอน เป็นผู้นำ โดยตามนุษย์เกิดผลเยอะแยะในทางพระเจ้า  แต่ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ ความเป็นจริงที่พระเจ้าสอน ไม่มีการเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับโลกวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่บอกเครดิตทั้งหมดยกให้พระเจ้า พระวิญญาณ เราไม่มีส่วนเลย แล้วจริงๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ

ซึ่งการทำสงคราม เอาชนะความคิดเหล่านี้ได้ ต้องใช้ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงเท่านั้น ไม่ใช่พยายามเอาตำแหน่งหน้าที่การงาน เอาการกระทำของตนเองไปเปรียบเทียบหาคุณค่าของเราในพระเยซูคริสต์ คุณค่าของเราในพระเยซูคริสต์อยู่ที่ถ้อยคำ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อแล้ว ท่านทำอะไรบ้าง? เคยทำอะไรบ้างไหม? ฟ้องผิดตลอด มานั่งตรงนี้ ถามว่าตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามา คุณทำอะไรบ้าง? แค่นี้ก็ตายแล้ว เป็นประโยคที่ทับถม ไม่ใช่ พระวิญญาณมาอยู่กับมนุษย์ พระคัมภีร์บอกเหรอ พระวิญญาณไม่ได้มาเพื่อทับถม แต่มาเพื่อนำพา เพื่อเป็นผู้นำ เป็นพี่เลี้ยง ค่อยๆ สอนว่าเราเป็นใคร?

ถ้อยคำพระเจ้า ก็คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้บอกว่าเมื่อท่านเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ท่านได้เกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์  … ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลาย หรือเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อนั้น ได้รับการชำระ จนสะอาด หมดจด ครบถ้วน บริบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว ได้เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้าที่เป็นทายาท รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ใช่โดยการกระทำของท่านเลย ไม่ใช่โดยชาติตระกูลด้วย ไม่ใช่โดยเชื้อสาย เผ่าพันธุ์ด้วย แต่ด้วยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น นี่คือพระคัมภีร์ นี่แหละคืออาวุธ ไม่ใช่การโต้เถียงกับความโกหกหลอกลวง ที่อยู่ในความคิดของเรา ไม่ต้องไปบอกใครเลย ภาวนาอยู่คนเดียวนั้นแหละ ทำสงครามอยู่คนเดียวนั่นแหละ ในความคิด

เพราะฉะนั้น นี่คือความจริง … ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เราจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาความชอบธรรมด้วยตัวของเราเอง แสวงหาความสมบูรณ์ครบถ้วนในการเป็นลูกของพระเจ้า ด้วยตัวเราเอง  เราไม่จำเป็นต้องแสวงหาความชอบธรรม ด้วยการกระทำใดๆ เพิ่มเติมอีก นอกจากที่พระเยซูทำให้เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูบอกสมบูรณ์ ก็สมบูรณ์แล้ว เราไม่ต้องทำ เอเมน

ทั้งหมดนี้ คือความจริง และเป็นความจริงที่ถาวรนิรันดร์ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างได้ คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกมนุษยชาติทั้งปวงว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณบ้าง และท่านเชื่อพระเยซูคริสต์ เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาช่วยมนุษยชาติ ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะได้รับสิทธินี้ทันทีในโลกฝ่ายวิญญาณ  แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือความจริงเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มารมันทนไม่ได้ มันเหลืออยู่สิ่งเดียวที่มันทำได้ คือโกหก หลอกลวง เพราะหน้าที่ของมาร ก็คือโกหก ทำลายความจริงเหล่านี้ เพราะฉะนั้น มันก็พยายามที่จะส่งข้อมูลความคิดที่ตรงกันข้ามกับความจริงเหล่านี้ ให้กับเรา เช่นให้เรามีความภาคภูมิใจกับบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำบางสิ่งบางอย่างที่ดีๆ เราก็ภูมิใจ มันก็เชียร์ใหญ่เลย ภูมิใจสิๆ อย่างนี้ พระเจ้าชอบ พระเจ้าพอพระทัย ใช่ไหม? มันก็จะให้เรามีความภาคภูมิใจกับบางสิ่งบางอย่างที่เราทำ เช่น …

เราถวายสิบลดเป็นประจำ มันก็จะบอก ภูมิใจสิๆ เดี๋ยวเราก็อดไม่ได้

เราอธิษฐานอยู่เสมอ มันก็บอกภูมิใจสิๆ อธิษฐานเสมอ

เราออกไปประกาศบ่อยๆ มันก็บอกภูมิใจๆ

เราพาคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ มันก็บอกตัวเธอเป็นพระพรๆ

ซึ่งแน่นอนสิ่งเหล่านี้ เป็นการกระทำที่ดี ไม่ได้ต่อต้านนะ แต่มันเชียร์ให้เรารู้สึก ฉันทำอะไรบางอย่าง พอมากๆ ไป มันก็เกิดการพึ่งในการกระทำของตนเอง ดีไหม? ดีทั้งนั้นแหละ อธิษฐานอยู่เสมอดีไหม? ดี … ถวายสิบลดเสมอดีไหม? ดี … ประกาศดีไหม? ดี … พาคนมารับเชื่อดีไหม? ดี แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ดีพอ ที่จะทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้า ในมาตรฐานของพระเจ้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูมา แต่พวกมารก็จะคอยส่งข้อมูลให้เราเกิดความภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้ และอาวุธที่อันตรายที่สุดของพวกมัน ก็คือข้อมูลส่งเสริมให้เราเปรียบเทียบกับคนอื่น พอเราภูมิใจมากๆ เราก็จะเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเราทำได้มากกว่า เช่น ถวายมากกว่าคนอื่น อธิษฐานมากกว่าคนอื่น รับใช้มากกว่าคนอื่น ช่วยเหลือพี่น้องมากกว่าคนอื่น ทำดีกับพี่น้องมากกว่าคนอื่นอีก เพราะฉะนั้น พระเจ้ารักเรามากกว่าคนอื่น เราสมควรจะได้รับฐานะเป็นลูกของพระเจ้ามากกว่าคนอื่น ไปแหละ ไปโลดแล้ว รางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเราจะต้องมีมากกว่าคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน ไปไกลเกิน มารก็จะทำหน้าที่อย่างนี้

นี่คือ Spiritual warfare สงครามฝ่ายวิญญาณ ซึ่งถ้าเราไม่ระวัง และติดกับดักแห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้ เมื่อถึงวันที่เราผิดพลาดอะไรขึ้นมาในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโน่นนิดนี่หน่อย ซึ่งมันผิดพลาดแน่นอน คนๆ นั้น หรือเราก็จะไม่มีความมั่นใจในความรอดในพระเยซูคริสต์อีกต่อไป แม้เราเชื่อในพระเจ้าแล้วก็ตาม เรายังคงพึ่งความสำคัญในการกระทำของตนเอง เพื่อที่จะได้รับความรอด แทนที่จะพึ่งในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ท่านพอมองเห็นไหม?

และวิธีที่เราจะสามารถระวัง ไม่ให้ติดกับดักการล่อลวงของมารอย่างนี้ได้ ก็คือต้องใช้อาวุธป้องกันตัว ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว ซึ่งก็คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง ก็คือความจริงของพระเจ้าที่บอกเรา สอนเรา พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้าเปรียบเหมือนดาบสองคม ดูสิว่ามันแรงขนาดไหน? ฮีบรู 4:12 บอกไว้

ฮีบรู 4:12 “เพราะว่าพระดำรัสของพระเจ้านั้น มีชีวิตและทรงอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก วินิจฉัยความคิดและท่าทีในใจ”

 

ในสมัยนั้น ดาบสองคมถือว่าร้ายแรงที่สุด 2,000 ปีโน้น แต่คำว่า “ดาบสองคม” ในข้อนี้ หมายถึงมีดสั้นนะ ที่มีความคมทั้งสองด้าน ชาวยิวรู้จักดี เพราะชาวยิวโบราณจะใช้มีดสั้น 2 คมนี้ไว้เชือดคอแกะหรือแพะให้มันตายเร็วๆ จะได้ไม่ทรมาน และง่าย

ประเด็นสำคัญของคำว่า “ดาบสองคม” ความหมายก็คือเป็นมีดที่คมที่สุด ที่มนุษย์สามารถจะทำได้ในสมัยนั้น และพระวจนะหรือถ้อยคำพระเจ้า ก็จะมีพลังอำนาจคมที่สุด สามารถแทงทะลุทุกส่วนในชีวิตของมนุษย์ สามารถอ่านวิถีทางความคิดของมนุษย์ได้นั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น คือเอามาเป็นสงคราม สู้กับข้อมูลคำพูดของมาร ที่ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเรา ทำอย่างนี้เป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร? ทำอย่างนี้ เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? ไม่ใช่เป็นยิวสักหน่อยเลย แล้วจะมาบอกว่าเป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร? เป็นคนต่างชาตินะ เมื่อมารส่งผ่านข้อมูล วิถีทางของโลกวัตถุนี้เข้ามาในความคิดของเราว่าพฤติกรรมนิสัยของเราในโลกนี้ ยังเทียบคนอื่นเขาไม่ได้เลย ยังไม่สมควร คนเขาไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ข้างบ้าน เขายังมีศีลธรรมดีกว่าท่านเลย เขายังไม่หงุดหงิดเลย เขาดูดีไปหมดเลย เพียงแต่เขาไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้นเอง ท่านเชื่อพระเยซู แค่นี้เอง แล้วยังสู้เขาไม่ได้ แล้วยังจะไปบอกว่าได้รับความรอด ไปอยู่ในสวรรค์ คนข้างบ้านเขายังไม่บอกว่าเขาอยู่ในสวรรค์เลย เขายังสั่งสมบารมีต่อไป ถูกไหม? แล้วท่านจะว่าอย่างไร? ท่านจะสู้เขาอย่างไร? นี่แหละคือสงคราม เราก็ต้องสู้ด้วย สงครามโลกฝ่ายวิญญาณ เอาถ้อยคำพระเจ้าสู้ เราก็ต้องส่งดาบสองคมเข้าไป ที่ป้อมปราการที่มันยึดเอาไว้ ป้อมปราการ ก็คือความคิดของเรา ในสมองของเรา ใส่เข้าไปเลย ถ้อยคำพระเจ้าที่บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ถ้อยคำพระเจ้าที่เราเรียนอยู่เรื่อยๆ ที่มันอยู่ที่สมองเรา

มันบอกเราเมื่อตะกี้นี้ว่า “เราไม่สมควรที่จะเป็นผู้ชอบธรรม ลองเปรียบเทียบดูสิ คนข้างบ้าน หรือเพื่อนคนนี้เขายังดีกว่านายเลย”

เราก็บอกว่า “ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ และสามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า ที่กระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ที่ตายที่ไม้กางเขน และชำระบาปให้กับฉัน ฉันไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม ด้วยการกระทำของฉันเอง ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น”

พูดกับตัวเอง ไม่ใช่ไปพูดกับคนอื่นนะ 2 โครินธ์ 10:4-6 บอกไว้อย่างนี้ ให้ทำสงคราม โดยเอาถ้อยคำพระเจ้า เอาข้อมูลของพระเจ้าเข้าไปจัดการ แล้วก็นำเอาความไม่เชื่อฟังพระเจ้า สิ่งที่มารใส่เข้าไป ปัดมันทิ้งไป ทำให้มันเป็นศูนย์ไป คือฆ่ามันตาย พูดง่ายๆ เอาให้มันราบพนาสูญไปเลย แล้วเอาถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปแทนที่

ความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้านี้ บวกกับการจดจ่อในถ้อยคำพระเจ้า โดยการใส่ถ้อยคำพระเจ้า ใส่ความจริงของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนี้ เข้าไปในความคิดจิตใจของเรา มันคือการตั้งความคิดไว้ที่เบื้องบน โลกฝ่ายวิญญาณนั้นเอง ที่เราเรียกกันว่าใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า ภาวนาถ้อยคำพระเจ้า

การภาวนาถ้อยคำพระเจ้า การใคร่ครวญ ใส่ความจริงของพระเจ้าเข้าไปในโลกวิญญาณ ในความคิดจิตใจของเรา คือการเตรียมพร้อม การอยู่บนโลกใบนี้ อย่างผู้มีชัยชนะมากที่สุด ภาวนาถ้อยคำพระเจ้า หมายถึงพูดสิ่งที่เป็นความจริง ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณซ้ำๆ กัน มากๆ ในความคิดจิตใจของเรา ให้มันจดจำให้ได้ เราต้องเอาความจริงใส่เข้าไปบ่อยๆ ให้มันเป็นป้อมปราการที่ฝ่ายเรายึดครองอยู่ ถ้อยคำของพระองค์ยึดครองอยู่ ฤทธิ์อำนาจของถ้อยคำพระเจ้าเต็มอยู่ในความคิดจิตใจ ในสมองเราเลย

เพราะฉะนั้น การต่อต้านของมาร ที่มาจากข้างนอกส่งเข้ามา มันเข้ามาไม่ได้ นั่นแหละ คือชัยชนะ เมื่อมารพยายามส่งข้อความที่เป็นความไม่ถูกต้อง เป็นข้อมูลเท็จ ส่งข้อมูลที่ผิดเข้ามา ผ่านทางโลกนี้ ผ่านทางวัตถุสิ่งของ ตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องได้ เข้ามาทางเนื้อหนัง ฝ่ายร่างกาย เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา เราก็จะเอาถ้อยคำเหล่านี้ที่เราเตรียมไว้เรียบร้อย ในการสู้รบต่อต้านทันที เราก็จะไม่กลัว เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข

นี่คือสิ่งเดียวที่เป็นวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา ในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ คือภาวนาถ้อยคำพระเจ้า เคยบ่นพึมพำอะไรไหม? เขาเรียกว่าบ่นพึมพำแบบดีนะ เขาเรียกว่าใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ตรึกตรองข้อความอะไรบางอย่าง แบบพึมพำอย่างดี

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเป็นตัวเลขแล้วกัน 7+5+4 ได้เท่าไร? เราก็คิด พึมพำๆ โอเคๆ คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ คือใส่ใจตรึกตรองสิ่งเหล่านั้น

“เชื่อพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าฉันเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์พระเจ้าบอกว่าฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันมาเชื่อพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่า … เมื่อฉันมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าให้ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว ฉันเป็นวิญญาณ ชีวิตฉันเป็นวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าชีวิตของฉันเป็นวิญญาณ ที่ฉันเห็นในร่างกายนี้ มันไม่ได้อยู่ตลอดไป มันอยู่ชั่วคราว อีก 70 ปี 80 ปี มันก็ต้องตายไป แต่วิญญาณของฉันถาวรนิรันดร์ ทุกวันนี้ มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ”

พูดมันทุกวันๆ มันจะอ๋อไปเรื่อยๆ มันจะอย่างที่ตะกี้บอก …

“อ๋อ! เข้าใจแล้ว”

มาที่โบสถ์ได้ยินศิษยาภิบาล หรือใครสอน เรื่องเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า มันก็จะเสริมเข้าไป

“อ๋อ! ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เพราะความเชื่อ พระเยซูตายที่ไม้กางเขนเพื่อฉัน”

มันก็จะเสริมเข้าไปเรื่อยๆ ป้อมปราการก็จะใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครมาทำร้ายท่านได้เลย มันจะทำร้ายท่านได้แค่อันเดียว คือเอาความจริงออกไปจากความคิดของท่าน และมันเอาเข้าไม่ได้เลย ถ้าท่านเอาความจริงใส่เข้าไปเรื่อยๆ และไม่ยอมใส่ของปลอมเข้ามา คือง่ายๆ สมองเราไม่มีวันว่าง เหมือนขวดน้ำเปล่า สมองก็เป็นอย่างนั้น ขวดน้ำเปล่า ที่ท่านเห็นอยู่ มันไม่เคยว่างนะ มันไม่เคยเป็นสูญญากาศ  มันมีอากาศหรือมีน้ำ ถ้าท่านอยากเอาอากาศออกไป ต้องเอาน้ำใส่เข้าไป อากาศมันก็หายไป

ในทำนองเดียวกัน สมมติว่าน้ำคือถ้อยคำพระเจ้า ถ้ามันมีของโกหกอยู่ครึ่งสมอง ท่านบอกอยากเอามันออกไป ต้องใส่ถ้อยคำพระเจ้าลงไป จนครบ อันนั้นมันไปเอง มันพูดถึงเรื่องอะไร เราเอาเรื่องเหล่านั้นในพระคัมภีร์พูดกับมัน มันพูดถึงความชอบธรรม เราเอาความชอบธรรมพูดกับมัน มันพูดถึงความเจ็บป่วย เราเอาความเจ็บป่วยพูดกับมัน

ครั้งที่แล้วเราก็ได้เรียนรู้กัน มันพูดถึงความเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไหนบอกเชื่อพระเจ้า ไม่ทุกข์ทรมานไง บอกมันเลย 2 โครินธ์ 4:16 พูดกับตัวเอง  แต่ก็พูดกับมารนั่นแหละ ไม่ต้องเอาตรงๆ เอาแค่ข้อมูลเรื่องราวก็ได้

2 โครินธ์ 4:16 “เหตุฉะนั้น ฉันจะไม่ย่อท้อ ฉันจะไม่ท้อแท้ ฉันจะไม่กลัว ฉันจะไม่วิตกกังวล แม้ว่าร่างกายภายนอกจะทรุดโทรมลงไปทุกวัน จะแก่ลงไปทุกวัน จะเจ็บปวด และจะต้องตายในวันหนึ่งในที่สุด เพราะว่ามันเป็นร่างกายบาป แต่วิญญาณข้างในฉันเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เข้าไปสู่ความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้ฉันเรียบร้อยแล้ว วันนหนึ่ง ฉันจะทิ้งร่างกายนี้ ไปรับร่างกายใหม่ และร่างกายใหม่นั้น เป็นร่างกายที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ 100%”

พูดบ่อยๆ ก็จะชิน ถามว่าชินกับใคร? ชินกับตัวเอง คล้ายๆ อย่างนี้ แล้วทำไมตะกี้นี้ผมต้องหลับตา เพราะหลับตา มันจะเห็นชัดไง

นี่แหละเขาเรียกว่าสงคราม  และสงครามนี้ทำให้เราชนะอยู่ตลอดเวลา

วันนี้เราลองฝึกเลย ฝึกตามผม ผมจะเอาพื้นฐานจาก 2 โครินธ์ 5:17 พื้นฐานมันต้องมาจากความรู้ของจริงที่พระเจ้าสอนเราเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เอาตรงนั้นมาภาวนา มาจดจำ พูดไปเรื่อยๆ ยิ่งสำคัญมากๆ เกี่ยวกับความรอด พูดมันไป ไตร่ตรองมันไปตลอดชีวิต ก็ได้ 2 โครินธ์ 5:17 เดี๋ยวท่านพูดตามผม แล้วท่านจะได้ไปฝึกด้วย แล้วต่อไปนี้ ทำเมื่อไรก็ได้ ทำในรถ อยู่ในห้องน้ำ ก่อนนอน ตื่นนอน อยู่ห้องประชุม ถ้าเขายังไม่ประชุม อยู่ว่างๆ เราก็หลับตาคิด หรือพูดไป ในหัวเราคิดเองก็ได้ ฝึกไปมากๆ แล้วเราคิดเอง ไม่ต้องพูด ยังสามารถทำได้อยู่

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!”

 

พูดตามผมนะ “ฉันเป็นวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ วิญญาณฉันเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าชุบฉันให้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู และประทานใจใหม่ให้กับฉันด้วย ที่บริสุทธิ์ ไร้ที่ติ ปราศจากบาป เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ตัวเก่า วิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาปได้ตายไปแล้ว และมองให้เห็นเถิด

ตอนนี้วิญญาณฉันที่เกิดใหม่แล้ว สะอาดหมดจด ไร้ที่ติ บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นวิญญาณแห่งความรัก วิญญาณแห่งความสว่าง เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความชอบธรรม ไร้เดียงสาต่อบาปทุกชนิด ฉันเป็นวิญญาณที่เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้า ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู และฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป

ขอบคุณพระเจ้า ตัวใหม่ฉัน วิญญาณฉันบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า โดยความเชื่อ ไม่ใช่การกระทำของฉัน แต่เป็นการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งฉันด้วย ฉันจึงเป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจดพ้นจากบาป ด้วยความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์นี้ ขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ให้ความจริงนี้ กระจ่างอยู่ในใจตลอดเวลา เอเมน”

นี่ประมาณสัก 2 นาที ทำอย่างนี้ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ใน 2 โครินธ์ 5:17 ท่านก็เอาข้ออื่น ยังมีอีกเยอะแยะ แล้วท่านก็พูดให้ตัวเองฟังทุกวันๆ ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************