คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2020 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มีนาคม  2020

 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ในฟีลิปปี 4:6-7  อ่านทบทวนด้วยกันอีกครั้งนะครับ

ฟิลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

 

ข้อก่อนหน้านี้บอกว่าจงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ เพราะพระเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว และเมื่อเราชื่นชมยินดีในทุกสถานการณ์ได้ มาข้อนี้ เลยบอกว่าอย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ คืออย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ แต่จงทูลขอทุกสิ่งจากพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณ

เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ หมายถึงว่าเพราะพระเจ้าอยู่ในท่านแล้ว ท่านไม่รู้เหรอว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ไม่ใช่อยู่กับท่าน

ในสมัยก่อนหน้านี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถอยู่กับพระเจ้า ให้พระเจ้าเข้ามาสถิตในร่างกายได้เลย เพราะว่าวิญญาณบาปอยู่สกปรก ได้แค่เพียงกลุ่มเดียว ก็คืออิสราเอลที่พระเจ้าเลือกเอาไว้ แต่ไม่ใช่หมายถึงว่าพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่ในตัวเขา ถ้าเขาเชื่อฟัง วางใจตามกฎของพระเจ้า พระเจ้าแค่อวยพรเขา บางครั้งแค่เลือกบางคน หรือบางกลุ่มเท่านั้น มาสถิตด้วยกันกับเขา คือเดินข้างเขา เดินข้างๆ ก็ดีใจแล้ว แต่พอเขาทำพลาด ทำผิดจากกฎระเบียบ พระเจ้าก็จะละห่างไป เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ต้องเดินตามกฎบัญญัติ ซึ่งมนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ เนื่องจากบาป  แต่พอพระเยซูไถ่บาปให้มนุษย์แล้ว ร่างกายของมนุษย์สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พระเจ้าสามารถเข้ามาอยู่ใน (ไม่ใช่กับนะ) อยู่ในได้แล้ว ร่างกายมนุษย์จึงกลายเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจึงเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของเขาได้เลย ที่ต้อนรับพระเยซู ที่เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าร่างกายนั้น เป็นวิหารของพระเจ้าทันที และพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับวิญญาณของเขา ซึ่งได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า

และคำว่า “พระเจ้าเข้ามาอาศัย เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่ในร่างกายของเรานี้” ไม่ใช่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราเท่านั้น แต่พระคัมภีร์บอกแต่เรา ซึ่งหมายถึงวิญญาณนะ  แต่วิญญาณของเราก็เข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ไม่ใช่เข้าไปสถิตอยู่เฉยๆ แต่แนบสนิท เป็นเนื้อเดียวกันเลย ในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น  ซึ่งเป็นพระพรมหาศาล มากกว่าคนสมัยก่อนที่เป็นยิว แล้วก็ดำเนินตามบัญญัติของพระเจ้า และพระเจ้าอวยพร พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา “อยู่กับเขา” ไม่ได้อยู่ในเขา เหมือนตอนนี้ที่อาดัมและเอวา ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วยังไม่ทันทำบาป พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเขานะ ไม่ใช่อยู่ในเขา แบบทุกวันนี้ พระเจ้าอยู่ในเรา เพราะเราเชื่อพระเยซูแล้ว พระเจ้าอยู่ในเรา ต่างกันเยอะ มากมายมหาศาล เมื่อพูดถึงพระคุณพระเจ้า ก็อดไม่ได้ที่จะพูดให้ฟังว่ามันลึกซึ้งอย่างไร? อยากให้ทุกท่านได้ศึกษาเรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับศาสนาเลย มันเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เหมือนเรื่องกำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ว่ามนุษย์มาอย่างไร? เป็นอย่างไร? มนุษย์มีส่วนประกอบอะไรบ้าง? มีวิญญาณ ความคิดจิตใจ มีร่างกาย และเป็นอย่างไรบ้าง? ในโลกวิญญาณ มนุษย์มองไม่เห็น มีอะไรอยู่บ้าง? มีโลกวิญญาณจริงๆ นะ อะไรประมาณนั้น ให้ศึกษาและยืนยันได้จากพระคัมภีร์ ยืนยันและเห็นได้จากสติปัญญาที่พระเจ้าให้ทุกวันนี้ และทุกวันมองไปยังโลกใบนี้ มันใช่จริงๆ ก็เลยอดไม่ได้ พอเฉี่ยวเรื่องนี้ ก็แถเรื่องนั้นที

โอเค กลับมาที่ข้อนี้ว่า “อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนและการขอบพระคุณ” ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า “ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน” ตรงนี้ ก็หมายถึงว่าเมื่อเรามีพระเจ้าอยู่ข้างใน อยู่ในวิญญาณเราแล้ว ก็ให้เราวางใจในพระเจ้า ไม่ต้องกระวนกระวายมากนัก เพราะความคิดบางทีมันเจอระบบของโลกนี้ เจอสถานการณ์โควิดอย่างนี้ ร่างกายข้างนอก ความคิดการอยู่บนโลกนี้ มันเกิดความกลัว ความวิตกกังวล รับข้อมูลตกใจมา มันก็ตกใจเป็นธรรมดา เหมือนกับเราเอามือไปโดนไฟ มันก็ร้อนเป็นธรรมดา เหมือนกับเราเอามือไปโดนน้ำแข็ง มันก็เย็น ชา มันเป็นเซ้นต์ หรือสัมผัสปกติของร่างกายมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ มันมีความคิด พอได้ข้อมูลนี้ หูมันได้ยิน ถ้าหูไม่ได้ยิน มันก็ไม่คิดหรอก แต่หูมันได้ยิน ตาก็ยังเห็นอยู่ มือก็สัมผัสได้ แล้วจะทำอย่างไร?

ท่านลองคิดดูสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่าที่เขาพูดมามันน่ากลัว มันก็รับความคิดเข้ามา ความคิดจะเป็นศูนย์ที่รับข้อมูลเหล่านี้มา พอข้อมูลร้ายๆ เข้ามา ความคิดก็เริ่มคิดไปตามข้อมูลนั้น ข้อมูลทำให้เราตกใจ เราก็ตกใจ อย่างที่ตะกี้ที่ผมบอก ถ้าเราจับของร้อน ข้อมูลก็บอกว่าร้อนมากเลย ความคิดก็ร้อนๆ เหมือนกัน ข้อมูลบอกตายแน่ๆ แล้ว ไม่มีจะกินแล้ว ลำบากแล้ว มันจะเป็นถึงเมื่อไร? อีกปีหนึ่งจะหมดไหม? สามปีจะหมดไหม? เราจะอดตายกันแล้ว มันก็เกิดความคิดเรื่องธรรมดาว่าต้องกลัว แต่ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของเรา ไม่ใช่ร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันอยู่แค่ชั่วคราว ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณที่อยู่ข้างใน ซึ่งเกิดใหม่นั้น เรามีพระเจ้าอยู่ข้างใน พระเจ้าจะช่วยเรา จะนำพาเราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี มันก็เกิดข้อมูลใหม่เข้ามาว่าพระเจ้าอยู่ในเรา ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพระเจ้าก็พาเราผ่านได้ เหมือนที่พาเราผ่านมาทุกๆ เรื่อง อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น การอธิษฐาน การวิงวอน ก็คือการบอก การเข้าไปคุยกับพระเจ้า คือการเบนเอาความคิดของเรา เกี่ยวกับสถานการณ์บนโลกใบนี้ ที่ทำให้เกิดความกลัว หันมาหาพระเจ้าซะ หันมาหาโลกวิญญาณซะ Set our mind คือจดจ่อ เบนความคิดของเรามาที่พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา พระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระองค์ใหญ่กว่าโควิดขนาดไหน? พระองค์ใหญ่กว่าปัญหาที่เราเผชิญอยู่มากมาย พระองค์สามารถช่วยเราได้อย่างแน่นอน และพระองค์ไม่เคยละทิ้งเรา พระองค์อยู่กับเรา พระองค์สถิตอยู่กับเรา ในเรา 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณกับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา อยู่ด้วยกันกับเราเสมอ และสามารถช่วยเราได้อย่างแน่นอน 100% เลย

ข้อมูลเหล่านี้ พอเข้ามามากๆ มันก็ผลักเอาข้อมูลทางโลกออกไป ทำให้เกิดความมั่นใจว่าพระเจ้าช่วยเรา อยู่กับเรา และทรงสถิตอยู่ในเรา นี่แหละคือความจริงที่ทำให้เราเป็นไท พระเจ้าก็อยากให้เรามีชีวิตอยู่ที่เป็นสันติสุขอย่างนี้เกิดขึ้น  ก็สอนเราให้เราทำตามนี้  ก็คือเจอปัญหา เจออะไรต่างๆ ชื่นชมยินดีได้ ในการเข้าไปหาพระเจ้า ที่เราอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นั่นแหละ แล้วอธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณ ก็คือเล่าให้ฟัง …

“พระเจ้ามันเกิดปัญหาเหล่านี้  ลูกก็มีปัญหา ลูกก็ต้องตกงาน รายได้ก็ไม่มี แต่ลูกก็ยังมั่นใจในพระองค์ พระองค์สามารถพาลูกผ่านได้”

พูดไปเรื่อยๆ พูดอะไรก็พูด “ลูกจะไม่กลัว  พรุ่งนี้ลูกจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนี้ เป็นค่าเล่าเรียนลูก เป็นค่าอาหาร เป็นค่าอะไรก็แล้วแต่ที่จำเป็นต้องใช้ ลูกจะทำอย่างไรดี ลูกกลัวเหลือเกิน นำพาลูกผ่านด้วยเถิด” อะไรอย่างนี้

การวิงวอนมันก็ควบคู่ไปกับอารมณ์ กลัวก็ร้องไห้ เสียใจ หวั่นวิตก แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อจะโปรดปลอบใจเรา อย่างที่เราคิดไม่ถึงว่าเป็นอย่างไร? เราไม่เข้าใจว่ามันจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร? เราเพียงแต่รู้อย่างเดียวว่าพระเจ้าของเราสามารถพาเราผ่านได้ ตรงนี้แหละคือเคล็ดลับ

และในข้อต่อไป ข้อสุดท้ายของฟิลิปปี 4:6-7 นี้ ข้อสุดท้ายบอกเมื่อเราทำตามที่พระเจ้าบอกแล้ว ในฟิลิปปี 4:8 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเมื่อท่านอธิษฐานวิงวอน ขอบพระคุณ รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ในท่านตลอดเวลา รักท่านตลอดเวลา เมื่อทำอย่างนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้น

ฟิลิปปี 4:8 “สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศหรือสิ่งที่ควรสรรเสริญคือ สิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”

 

ก็คือเมื่อทำได้อย่างนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว พี่น้องจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง หมายถึงพี่น้องก็รู้อย่างนี้แล้ว จากนี้ต่อไป ก็เอาความคิดของเราที่จะไปเกาะข่าวโน้นเกาะข่าวนี้ นินทาชาวบ้านเขา  เกาะอะไรที่ตื่นตระหนกตกใจ แทนที่จะไปเกาะตรงนั้น  ก็เบนความคิดมาใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ ก็คือถ้อยคำที่เกี่ยวกับพระเจ้าในสวรรค์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ อยู่กับพระเยซูคริสต์ หลังจากที่เราเชื่อในพระเยซูว่าเป็นพระบุตรพระเจ้า  ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ มาไถ่บาป ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม  เราเชื่อแค่นี้ ตอนนี้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เราเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้าที่มีความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับพระเยซูเลย  พระเจ้ารักเรามากเท่าพระเยซู แล้วพระเจ้า พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาสถิตอยู่ในเราเลย ในร่างกายนี้  วิญญาณเรากับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระเจ้าหวงแหนเรามาก ปกปักคุ้มครองดูแลเรา ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้เลย  พระเจ้าอยู่ข้างเราแล้ว ไม่ละเรา ไม่ทอดทิ้งเราเลย ใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลา สมองมันก็สั่งการ ไปที่ความชื่นชมยินดี ก็มีสันติสุขเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เห็นไหม? เปาโลกำลังจะบอกว่าให้เอาความคิดนี้ มาคิดถึงถ้อยคำพระเจ้าว่าเมื่อท่านเชื่อในพระเยซู แล้วท่านเป็นใครในพระเยซู เพราะโลกใบนี้จะพยายามโกหกท่าน บอกว่าท่านไม่ได้เป็นตามนั้น แต่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกเอาไว้ ตั้งสองพันปีแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่งต่างๆ เหล่านี้ หลุดพ้นจากความกลัวเหล่านี้ หลุดพ้นออกจากนรก หลุดพ้นออกจากการต้องชดใช้เวรกรรม โดยพระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แค่ท่านเชื่อ แค่นี้เอง ท่านก็ได้การชำระพ้นจากบาปเวรกรรมเหล่านั้น และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที

ระบบของโลกนี้ มันถูกควบคุมโดยมาร เหตุเนื่องจากโลกมันล่มสลายไปตั้งแต่อาดัมและเอวาได้กบฏกับพระเจ้า ไม่เชื่อพระเจ้า  มันเข้ามาแล้ว และความเสียหายนี้ ความชั่วร้ายนี้ ที่มาจากมาร ก็ยังคงอยู่ทุกวันนี้ ทำร้าย ทำลายมวลมนุษยชาติ ทำร้ายและทำลายบ้านหลังนี้  ก็คือโลกใบนี้ ที่พระเจ้าสร้าง และพยายามที่จะยัดเยียดว่าพระเจ้าเป็นคนทำ พี่น้องมันไม่ใช่เลย พระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความดีงาม ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากความดีและความรักจากพระเจ้า

เพราะฉะนั้น สิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้าย จะออกมาจากสิ่งที่ดีๆ ไม่ได้เลย สิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้ายจะออกมาจากผู้ที่เป็นความดีได้เหรอ สิ่งเลวร้าย สิ่งชั่วร้าย  สิ่งไม่ดีนั้น จะออกมาจากผู้ที่มีนามว่าพระเจ้าแห่งความดีงามได้หรือ? ไม่มี แต่มารซาตาน มีชื่อว่าเจ้าแห่งความชั่วร้าย  มาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลายอย่างเดียว ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับขโมย ฆ่าและทำลาย ก็มาจากมารเท่านั้น  ทุกสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าความชั่ว มาจากมารเท่านั้น  คิดแค่นี้ ต้องสรุปแค่นี้ เอาในใจเรา เอาสมองเราคิด วิเคราะห์อยู่แค่นี้ เราจะเห็นภาพทันทีเลยว่าพระเจ้าต้องการดูแลพวกเราทุกคนอย่างไร? คนที่เชื่อแล้ว ก็ดูแลง่ายหน่อย  เพราะว่าพระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้ว ถ้าพูดตามภาษาเล่นๆ ตามภาษาไทย ตอนเด็กๆ ผมก็ได้ยินบ่อยๆ ว่า …

“คนนี้มีองค์”

ตอนนี้ มาเชื่อพระเจ้า แค่รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้แก่มนุษย์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แค่นี้นะ เป็นรหัสที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าแค่เชื่อแค่นี้ ท่านสามารถกลายเป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้เลยทันที เดี๋ยวนี้เลย ก็แปลว่า ณ วินาทีนั้น นี่คือพาสเวิร์คที่ทำให้ท่านกลายเป็นผู้มีองค์ในตัวเลย ไม่ใช่องค์เดียวนะ มี 3 พระภาคเลย มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่ในวิญญาณท่าน ไม่ใช่อยู่กับท่านนะ อยู่ในร่างกายของท่าน และเข้าไปเป็นหนึ่งเดียว เป็นเนื้อเดียวกันกับวิญญาณของท่านเลย แก้กันไม่ออก ถอดกันไม่ออก ไม่มีวันพรากจากกันเลยนิรันดร์กาล มีองค์อยู่ตลอดเวลา และองค์นี้ ในพระคัมภีร์บอกไว้ และใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว องค์นี้มีนามรวมกันว่า “องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด” ไม่ว่าใครๆ บนโลกใบนี้ก็รู้จักดี แต่อาจจะเรียกตามภาษาของแต่ละประเทศ แต่รวมกันแล้ว ก็หมายถึงผู้นี้แหละ หมายถึงผู้ที่ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน แต่เรารู้ว่ามีชีวิตอยู่ และยิ่งใหญ่มหาศาลมากเลย  เราเรียกผู้นี้ว่า “พระเจ้า” หรือ “God” ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลางพูดว่า “เสิง”

ตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ครอบครองเหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงเป็นเจ้าเหนือทุกอย่าง ผู้นี้สถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน  เราเป็นลูกของพระองค์

คิดดูสิ สิ่งเหล่านี้ เราควรที่จะรับรู้ และเข้ามาอยู่ในความคิดที่ฟิลิปปี 4:8 ตรงนี้บอกไว้ จงใคร่ครวญสิ่งที่เลอเลิศ สิ่งที่น่าสรรเสริญ นี่แหละที่น่าสรรเสริญ น่าคิด คิดอยู่ตลอดเวลา  พูดอยู่ตลอดเวลา คุยกับลูก คุยกับสามีภรรยา คุยกับคนในครอบครัว คุยกับพี่น้อง คุยเรื่องเหล่านี้ เรื่องโควิดปัจจุบันนี้ คุยให้น้อยหน่อย เอาเฉพาะเนื้อๆ ว่าทางการเขาว่าอย่างไร? ข่าวคราวเขาว่าอย่างไร? มันจะไปถึงไหนอย่างไร? ไม่ต้องไปเจาะทะลุ ติดตามมันตลอดเวลา  กลายเป็นเครียด กลายเป็นตกใจ และทำให้เกิดความกลัว  ซึ่งวันนี้เลยตั้งใจจะมาพูดถึงมารพยายามจะยัดเยียด ใส่วิญญาณแห่งความกลัวมาให้เรา

ความกลัวตรงนี้  มันอันตรายมาก เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายในวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “อย่าไปกลัว อย่ากลัวเลย พระเจ้าบอกเราอย่ากลัวเลย” ในสถานการณ์รอบด้าน ที่ดูเหมือนน่ากลัว น่าวิตกอย่างนี้ มารมันอัดเต็มที่ส่งข้อมูลต่างๆ เข้ามา เพื่อให้เราเกิดความกลัว  อย่างเช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คนทั้งโลกหวาดกลัวอยู่ขณะนี้ จะสิ้นสุดลงเมื่อไร? จะทำอย่างไร? สิ่งสำคัญที่สุด คือเราต้องยึดมั่นให้ดี ด้วยถ้อยคำและข้อมูลจากพระเจ้า ผู้สถิตอยู่ในเราว่าพระเจ้าว่าอย่างไรในเรื่องนี้ ในหนังสือฮีบรู 13:5 ได้บอกไว้ว่า … “อย่ากลัวเลย เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้าเลย” นี่พระเจ้าคุยกับเรา

ฮีบรู 13:5 “ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย”

 

เห็นไหม?ข้อมูลจากข้างในวิญญาณพูดอย่างนี้ เรากำลังกลัวโควิดใช่ไหม? เราได้ยินข่าวคราว เราได้ยินไม่ธรรมดาใช่ไหม? ข้างในวิญญาณเรา พระเจ้าบอกเราว่า …

“อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้าแล้ว เราจะไม่ทอดทิ้ง เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

และทุกๆ ครั้งที่มีเหตุการณ์เลวร้าย หรือวิกฤตร้ายแรงต่างๆ ก็มักจะมีคนเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ โทษพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น พระเจ้าคงเอาเชื้อโควิด ในสมัยอดีตผมจำได้ พระเจ้าเอาเชื้อไวรัสเอดส์เข้ามา เพื่อลงโทษคนที่ทำบาป รักร่วมเพศ หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้  โควิดมาก็บอกว่าพระเจ้าลงโทษมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ห่างเหินพระเจ้า ทำบาปชั่วร้ายอะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่างที่ตะกี้ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่าพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี พระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าร้าย จะไม่มีสิ่งร้ายมาจากพระเจ้า แล้วถามว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ก็เกิดขึ้นจากผลของความบาป ที่มารเป็นผู้ก่อกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่แรก แล้วก็ตกกระป๋องจากสวรรค์ลงมา บาปคือการต่อต้านกับพระเจ้า ชั่วร้าย แล้วก็เอาวิญญาณบาป วิญญาณแห่งความชั่วร้าย มาล่อลวงมนุษย์คู่แรก คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา  ล่อลวงให้มนุษย์คู่แรกทำบาป   ทำสิ่งที่ชั่วร้าย  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และกบฏกับพระเจ้า แล้วมนุษย์ก็ตกลงไปในความบาป

ใน DNA ของมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ในอาดัมและเอวา ก็ติดเชื้อบาปนี้กันไปหมดทุกคน ก็ต้องรับโทษของความบาป  ความสาปแช่ง หรือผลของความบาป ความตายและคำสาปแช่งลงมาสู่บ้านของอาดัมและเอวา คือโลกใบนี้ ความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มาจากอาดัมถูกมารหลอก มารเกิดความชั่วร้ายในตัวของมันเอง  โดยธรรมชาติของตัวมันเอง พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ให้มันเป็นโรบอท ไม่ใช่สร้างมนุษย์ให้เป็นโรบอท เขาคิดจะเชื่อฟัง ก็เชื่อฟัง แต่ถ้าเขาคิดไม่เชื่อฟัง เขาก็จะได้รับโทษของมัน ซึ่งมันเป็นกฎกติกา ไม่ใช่เป็นความชั่วร้ายของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มาจากพระเจ้า มาจากมาร เราต้องรู้เขารู้เรา พออาดัมและเอวาทำบาป  พระเจ้าบอก …

“ดีแล้วเพราะแกทำบาป ฉันเอาสิ่งชั่วร้ายใส่แก แต่ไม่ใช่ แกทำบาป แกก็ต้องได้รับผลของมัน ตามกฎกติกา แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะช่วยเจ้าเอง”

นี่คือท่าทีของพระเจ้า ช่วยด้วยนำพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป คำสาปแช่ง ในวันข้างหน้า และพระองค์ก็ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเยซูก็เสด็จมาจริงๆ

อย่าไปบอกว่าพระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่ พระเจ้าเป็นผู้เข้ามาเคลียร์ เพื่อจะให้มันกลับคืน  และพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ รอวันที่พระเจ้านำโลกใหม่มาให้พวกเรา รอวันนั้นมาถึง ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้แล้ว เพราะฉะนั้น ก็อย่างที่บอก คิดในสมองสิ่งชั่วร้ายมาจากมาร  สิ่งดีมาจากพระเจ้า  ท่องไว้เลยตลอด ถ้ามีสิ่งชั่วร้าย ที่คิด มองแล้วชั่วร้าย มาจากมาร ถ้ามีสิ่งดีงามทั้งหมด มาจากพระเจ้า จบเลย

เมื่อมารทำร้าย ทำลายมวลมนุษยชาติ ทำให้พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์บาป พระเจ้าก็เตรียมไว้ ต้องการที่จะกลับมาช่วยมนุษย์ใหม่ให้มนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ให้พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ ในร่างกายได้ พระองค์ก็ทรงเตรียมไว้ อิสยาห์ 7:14 นี่คือคำเผยพระวจนะที่บันทึกไว้ล่วงหน้าเป็นพันๆ ปี ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว  คือการที่พระเจ้าเข้ามาสถิตในร่างกายมนุษย์ได้แล้ว แต่ที่เราจะอ่าน คือการพยากรณ์ล่วงหน้า เป็นการบอกล่วงหน้าของแผนการของพระเจ้าว่าในวันหนึ่งข้างหน้า  พระเจ้าจะทำอย่างไร?  จะแก้ไขสถานการณ์ที่มนุษย์ตกลงไปเป็นทาสมารได้อย่างไร? บอกไว้ในหนังสืออิสยาห์ 7:14 ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้น  คือประมาณสัก 700 ปีได้ คือ 700 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

อิสยาห์ 7:14 “ฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าเองจะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล

 

นี่เขาเรียกว่าคำเผยพระวจนะ ก็คือคำบอกล่วงหน้าถึงแผนการของพระเจ้า ที่พูดถึงการมาช่วยมนุษย์หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง และความบาปที่ได้กระทำไป โดยการหลอกลวงของมาร ซึ่งในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เป็นเงาของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าพระเยซูจะมาทำอะไร? บอกล่วงหน้า ในนี้บอกถึงเรื่องกำเนิดของพระเยซู ที่พระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เน้นคำนี้ว่า “และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล”

“อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

เห็นหรือยัง พูดง่ายๆ ก็คือพระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในมนุษย์ นี่พูดก่อนแล้ว 700 ปี ก่อนที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขน พระเจ้าจะอยู่กับมนุษย์ อยู่ในมนุษย์

มัทธิว 1:23 พูดถึงเรื่องนี้  นี่ช่วงพระเยซูมาเกิดจริงๆ แหละ คือ 700 ปีผ่านมาปุ๊บ มัทธิว 1:23 บันทึกไว้ว่า …

มัทธิว 1:23 “หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และเขาจะเรียกท่านว่า อิมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”

 

นี่จากมัทธิวนำข้อความนี้มาบอกว่าเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว พระเยซูคือผู้นี้แหละ ผู้ที่เรียกว่าอิมมานูเอล พระเยซูจะทำให้มนุษย์กับพระเจ้าคืนดี และพระเจ้าจะเสด็จเข้ามาอยู่ในมนุษย์ได้แล้ว พระเจ้าทรงอยู่กับเรา

ในอิสยาห์ 41:10  ได้บอกอย่างนี้ นี่ก็เป็นการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น สามารถเอามาใช้เดี๋ยวนี้ได้

อิสยาห์ 41:10 “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

นี่คือคำบอกล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน ก่อน 700 ปี พอพระเยซูมากระทำให้สำเร็จแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ผมจะบอกอย่างนี้นะ อิสยาห์ 41:10 ตั้งแต่วันที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว คือตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม จนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีมาแล้ว  มันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วว่าแผนการล่วงหน้านี้สำเร็จแล้ว  เพราะฉะนั้น ข้อความที่บอกล่วงหน้าตรงนี้ ก็ต้องแก้เป็นอย่างนี้ว่าอิสยาห์ 41:10 สำเร็จแล้ว

“ดังนั้น อย่ากลัวเลย ในขณะนี้ เพราะเราพระเจ้าอยู่ในเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพ่อของเจ้า ที่สถิตอยู่กับเจ้า เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเจ้า เราได้ทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น  และจะช่วยเจ้า และได้ชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา ก็คือได้ชูเจ้าไว้ด้วยพระบุตรของเรา คือพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเจ้า  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม”

พูดง่ายๆ คือ “เราได้อยู่กับเจ้า และทำให้เจ้าได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของเรา ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของเรา เจ้านั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเรา ร่วมกับพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานแล้วเดี๋ยวนี้” มันต้องเป็นอย่างนี้

พระเจ้ากำลังบอกอย่างนี้กับทุกคนว่า “อย่ากลัวเลย” เพราะความกลัวมันอันตรายมาก ความกลัวทำให้เกิดสิ่งชั่วร้ายมากมายมหาศาล ความกลัวทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความกลัวทำให้เกิดความโลภ ความกลัวทำให้เกิดการฆ่า ทำลาย ความกลัวเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทุกชนิด เพราะฉะนั้น  พระเจ้าไม่อยากให้เรากลัว พระเจ้าจึงบอก “อย่ากลัวเลย” ถามว่าเรากลัวอะไร? พระเยซูทราบดี พระเยซูก็เตือนเรา ในมัทธิว 6:25-34 พระเยซูพูดชัดเจนเลยว่าถ้าเรากลัว วิตกกังวลในเรื่องโน้นเรื่องนี้  ทำให้ชีวิตเราเสียไปเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พระเยซูบอกว่าพระเจ้าดูแลเราได้ทุกอย่าง ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะว่าพระเยซูพูดคำนี้ สามารถมาใช้ในเหตุการณ์ทุกอย่างได้ บางคนประสบวิกฤตตอนนี้ โควิดอย่างนี้ ไม่รู้จะพึ่งใคร? อย่างที่บอกไป ตกงาน ไม่มีงานทำ ก็ไม่รู้ว่าจะไม่มีงานทำไปถึงเมื่อไหร่?  คนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องทัวร์ คนที่ทำงานเกี่ยวกับที่ต้องใช้ชุมชนเยอะๆ แม้กระทั่งศูนย์การค้าก็ตาม แล้วจะอยู่ได้อย่างไร? หรือคนที่กำลังติดเชื้อโรคนี้อยู่จะหาย แล้วจะทำอย่างไร?  หรือคนที่ยังไม่ติด กลัวว่าจะติด แล้วจะออกไปอย่างไร? อะไรอย่างนี้ หรือคนที่บอกว่าไปซื้อของคนอื่นเขาตระหนกตกใจ ไปกว้านซื้อของจะหมดชั้นแล้ว ไม่มีน้ำกิน ไม่มีข้าวจะอยู่อย่างไร? อะไรอย่างนี้ ฟังพระเยซูปลอบใจเรา แล้วจะอธิบายให้เราฟังสั้นๆ ง่ายๆ ชัดเจนดี มัทธิว 6:25-34

มัทธิว 6:25-34 “25 “เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกินหรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ? 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ? 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเองให้ยืนยาวออกไปอีกสักชั่วโมงหนึ่งได้? 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม? จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยความโอ่อ่าตระการ ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่าเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 30 ในเมื่อพระเจ้าทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่งถึงเพียงนั้น ต้นหญ้าซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้และพรุ่งนี้ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ? 31 ฉะนั้นอย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม?’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้าขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงทราบว่าท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ 33 แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย 34 เพราะฉะนั้น อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีความเดือดร้อนของมันพออยู่แล้ว”

 

เอาข้อความเหล่านี้ไปอ่าน ไปท่อง ไปดูเยอะๆ ในช่วงนี้มากๆ แล้วเราจะเห็นพระคุณของพระเจ้า เห็นความจริงของพระเจ้าดูแลเราได้อย่างไร?  รักเรามากขนาดไหน?  ถ้าเรากังวลในความคิด ก็จะไม่มีความหวัง ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า เราต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งในความคิดของเรา  จะกลัวหรือวางใจ จะกังวลหรือไว้ใจในพระเจ้า ในหนังสือ 1 เปโตร 5:7 ได้บอกอย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 5:7 “จงละความกังวลทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน”

 

ในวันนี้จะทิ้งท้ายไว้แค่นี้ ในเหตุการณ์ต่างๆ เช่นนี้ จงละความกังวลของท่านไว้กับพระเจ้า มันแปลได้อีกอันหนึ่งว่าจงโยนเอาความกังวลนั้นไปไว้ที่พระเจ้า เพราะพระเจ้าบอกว่าจงโยนมันมาที่เรา เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน ห่วงใยมาก มากถึงมากที่สุด เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมาก รักมากขนาดที่ประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เพราะพระเจ้ารักเรามาก และต้องการช่วยเราทุกคน ย้ำอีกทีว่าต้องการช่วยเราทุกคน มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเยซูมาตายบนไม้กางเขน ชำระบาป และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามให้กับมนุษย์ทุกคน พูดอีกครั้งหนึ่ง ให้กับมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ใช่ให้กับผู้เชื่อเท่านั้น แต่ให้กับมนุษย์ทุกคน แต่ผู้เชื่อ คือผู้ไปรับสิทธิ์ของเขา ผู้ที่ไม่ไปรับสิทธิ์ของเขาก็ยังมี ถามว่าพระเยซูคริสต์ได้ตายเพื่อเขาไหม?  ชำระบาปให้กับเขาไหม? ชำระบาปให้กับเขา ถามว่าพระเจ้ารักเขาไหม? รักเขา ถามว่าพระเจ้าตามหาเขาไหม? ตามหา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าตามหาคนที่จะใช้สิทธิ์เหล่านี้ ให้ความสนใจกับเขามากกว่าคนที่เชื่อแล้วเสียอีก ถ้าคนที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้ายังรักมากขนาดนี้  เป็นห่วงเป็นใยมากขนาดนี้ มากกว่านั้นสักเท่าใด? มนุษย์คนที่ยังไม่มารับเชื่อ ยังไม่ใช้สิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะห่วงใยเขาคนนั้นมากสักเท่าใด พระเยซูได้ยกตัวอย่างว่าเหมือนกับคนๆ หนึ่งที่ยังไม่เชื่อ สมมติว่ามีมนุษย์ 100 คน มี 99 คนเชื่อแล้ว มีคนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อ พระเจ้าจะละ 99 คนที่เชื่อแล้วไว้ “ละ” หมายถึงเอาไว้ก่อน แล้วใจจดใจจ่อวิ่งไป พยายามหา แล้วก็กระวนกระวายที่จะหา ช่วยเหลือคนๆ เดียวที่หลงหายไป ยังไม่ได้เชื่อ

เพราะฉะนั้น พี่น้อง มนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน ในขณะที่เหตุการณ์เป็นอย่างนี้  เราไม่รู้มันจะอีกนานเท่าไร? สำหรับบางคนเหมือนโลกแตกนะ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร? มันดูทะมึน มันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนี้ มาเป็นเวลาหลายปี ในชีวิตผมก็ไม่เคยเห็นร้ายแรงขนาดนี้ และไม่รู้ว่ามันจะจบลงได้ด้วยวิธีใด แล้วถ้าเราไม่มีพระเจ้าอยู่ เราจะดูแลตัวเราเองไหวเหรอ ได้เหรอ แต่ถ้าเราใช้สิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ เราได้รับทันที เดี๋ยวนี้เลย  เราไม่ต้องเสียอะไรเลย  ไม่ต้องมีอะไรเลยสักอย่างหนึ่ง พระคัมภีร์บอกเป็นพระคุณ เป็นของฟรี เป็นของขวัญ ความรอดนี้ พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว

เพียงแต่ท่านเข้ามารับไว้เท่านั้นเอง อยากจะบอกท่านว่าให้ท่านถ่อมใจลง และยอมรับความจริงเรื่องนี้ และต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้า ผู้ไถ่บาปท่าน และพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองว่าพระเจ้าทำตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ เมื่อท่านเชื่อแค่นี้ เท่าเมล็ดมัสตาร์ดแค่นี้  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ท่านจะรู้เองว่าท่านมีองค์แล้วตอนนี้  เป็นองค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด 3 พระภาคมาอยู่ในวิญญาณของท่าน มาอยู่กับท่าน และวิญญาณของท่านกับพระเจ้า ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน  พระวิญญาณก็จะนำท่าน สอนท่านเรื่องพระเจ้าต่อไป ท่านก็จะเหมือนกับผมและคนในโลกนี้ ค่อนโลกนี้ที่รู้อยู่แล้ว เพราะเขารับสิทธิของเขาแล้ว และท่านจะไม่วิตกกังวลจนเกินกว่าเหตุอีกต่อไป ท่านจะไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  พระเจ้าจะนำพาท่านช่วยท่าน เหมือนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2020 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 2 “อย่ากระวนกระวายใจ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  มีนาคม  2020

 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ”

ตอน 2 “อย่ากระวนกระวายใจ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            โลกทุกวันนี้ พวกเรามนุษยชาติกำลังเผชิญกับสงครามวิกฤตต่อสู้กับไวรัส ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยที่มนุษย์จะเอาชนะเจ้าเชื้อโรคเหล่านี้ เพราะเรามนุษยชาติได้เอาชนะเชื้อร้ายนับไม่ถ้วนเลย ที่เจอมาสาหัสกว่านี้เยอะแยะผ่านมาแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือเรากำลังต่อสู้กับไวรัสมองไม่เห็น คือเรากำลังต่อสู้กับความกลัว ความหวาดระแวง ความสิ้นหวัง ความเห็นแก่ตัว ข่าวลือ การแตกแยก การกล่าวโทษ การแย่งชิง การฆ่าและทำลายกันเอง ในมนุษยชาตินี้ นี่คือสงครามหนักกว่าเยอะ แต่พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ทรงรักมนุษยชาติมากยิ่งนัก พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างพวกเราเสมอ และจะช่วยนำพาเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดีเช่นเคย ด้วยความรักเท่านั้น หมายถึงไม่ใช่พระองค์ทรงรักอย่างเดียว แต่พระองค์จะทรงกระทำ และมันชนะโดยผ่านทางมนุษย์ทั้งหลาย มีความรักแบบพระเจ้า รักกัน ช่วยกัน เห็นอกเห็นใจกันเท่านั้น ถึงจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ และทุกๆ ครั้งก็ผ่านไปได้ด้วยดี  ด้วยความรักเท่านั้น  เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก

สัปดาห์ที่แล้วเราได้ฟังเรื่อง “จงชื่นชมยินดีเถิด” ตามถ้อยคำในหนังสือฟีลิปปี บทที่ 4 ที่บอกว่า …

ฟีลิปปี 4:4-5 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว”

 

เราได้รับรู้แล้วว่าเราสามารถชื่นชมยินดีได้ในยามที่ต้องเผชิญทุกสถานการณ์ ย้ำอีกที สามารถชื่นชมยินดีได้ในยามเผชิญกับทุกสถานการณ์ เพราะพระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว สัปดาห์ที่แล้วเรารู้เรื่องนี้

“เรา” ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ทางวิญญาณเท่านั้น คือผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สั้นๆ เท่านั้น และเราในที่นี้ผู้ที่เชื่อแล้วนั้น ก็ได้รับของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดี เป็นของขวัญ เป็นของประทาน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมต้องชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ ก็เพราะความชื่นชมยินดีนั้น ได้อยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา เรามีอยู่ เราไม่ใช่ไม่มี  มีความชื่นชมยินดีอยู่ เพียงแต่เอามันออกมาใช้เท่านั้น

ความชื่นชมยินดีที่เป็นของประทานของตัวเรานี้ มันอยู่ที่ใจของเรา เพราะฉะนั้นให้มันผ่านทางใจ ออกมาที่ความคิด แล้วก็สั่งร่างกายทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย จงชื่นชมยินดีเถิด เหมือนกับที่เราฝึก ครั้งที่แล้ว

ลองดูอีกทีหนึ่งนะ หลับตาลง สมมติ หลับตาลงปุ๊บ ไปที่สวรรค์เลย ไปที่โลกวิญญาณ set your mind คือจดจ่อความคิดของเราไปที่โลกวิญญาณ  เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน อยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ในสวรรค์แล้ว ตรงนั้นมีความชื่นชมยินดีอยู่ เอาความชื่นชมยินดีนี้ ส่งข้อมูลไปที่ความคิดของเรา ความคิดในร่างกายนี้ โอเค ส่งไปแล้วนะ มีความชื่นชมยินดีอยู่ในพระเจ้า แล้วก็เอาความคิดนี้ สั่งสมองทั้งหมด เส้นประสาทในสมอง ที่ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย เอาสมองสั่งการตา หู จมูก ลิ้น กายว่า …

“จงชื่นชมยินดีเถิด”

นี่คือฝึก เราสามารถชื่นชมยินดีได้ แป๊บเดียวเลย สับสวิตช์ปุ๊บ ไปสวรรค์ปั๊บ เอาความชื่นชมยินดี สั่งเลย จงชื่นชมยินดีเถิด สั่งใคร? สั่งตัวเอง อย่าไปสั่งคนอื่นเขา เดี๋ยวโดนโวย

เธอไปทำซิ ฉันไม่เป็นเธอหรอก ฉันเป็นฉัน เพราะฉะนั้น ด้วยการควบคุม ความคิดจิตใจของเรา ให้เป็นไปตามตัวตนแท้จริงในวิญญาณของเรานั่นเอง จงชื่นชมยินดีเถิด เจอคนเขาข่มเหง เจอคนเขาเอาเปรียบ จงชื่นชมยินดีเถิด เจอคนเขากำลังทุกข์ยากลำบาก เจอคนที่เขาต้องการการช่วยเหลือ

“จงให้แสงสว่างออกจากตัวท่านไป ออกจากตา หู จมูก ลิ้น กาย”

ตาก็มองเขาด้วยความเมตตา ก็เป็นแสงสว่าง พอมองออกไหม? เพราะพระเยซูบอกว่าเราเป็นแสงสว่าง เราผู้ที่เชื่อพระเจ้า เป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เราต้องทำอะไร ต้องสับสวิตช์ความคิด ไปที่เบื้องบน … เบื้องบนคืออะไร? สัปดาห์ที่แล้วได้เรียนแล้ว ทบทวนนิดหนึ่ง เบื้องบน ก็คือที่สวรรค์ หรือในโลกวิญญาณ ที่ใช้ชื่อว่าในพระคริสต์ ทุกคำในพระคัมภีร์จะบอกตลอดเวลา เราเกิดใหม่ ทั้งหมด สิ่งที่เราได้มา จะลงท้ายด้วย “ในพระคริสต์” คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ ที่เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น สับสวิตช์ไปที่นั่น ไม่ใช่สับสวิตช์ไปที่สถานการณ์รอบข้าง สับสวิตช์ไปที่เบื้องบนซะ  ตามที่พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า “ให้เราจดจ่อความคิดของเรา ไปที่เบื้องบน” ฟิลิปปี โคโลสี พระคัมภีร์หลายแห่งเลยบอกอย่างนี้ ให้เราจดจ่อความคิดของเราไปที่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ ให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอะไรเกิดขึ้น ก็มองไปที่เบื้องบน จดจ่อไปที่การได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  (แล้ว) พอสับสวิตช์ปุ๊บ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว ไม่ใช่อยู่ธรรมดา อยู่แบบยอดเยี่ยม อยู่แบบเป็นลูกที่สำเร็จราชการ เพราะในนั้นเขียนไว้ว่าที่เบื้องขวาพระหัตถ์ ก็คือผู้สำเร็จราชการของพระเจ้านั่นเอง

นี่คือความหมายที่บอกว่าเราสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ ท่ามกลางทุกสถานการณ์ ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปสัปดาห์ที่แล้ว จริงๆ การอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ หลายคนเข้าใจว่าพอมาเชื่อพระเยซูแล้ว พระเยซูสัญญาว่าเราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ก็รอให้ตายก่อน รอหมดลมหายใจ แล้วเราก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ มันก็ถูก แต่จริงๆ พระคัมภีร์ถูกมากกว่านั้นก็มี ก็ตรงที่การอยู่ในสวรรค์กับพระเยซู หรือกับพระเจ้า มันอยู่เดี๋ยวนี้เลยนะ มันต่อเนื่องไปเลย เดี๋ยวนี้ และหลังความตาย  และไปถึงนิรันดร์ นั่นหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าพอเรารับเชื่อพระเยซู เชื่อในข่าวดีแล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว รอให้ตายก่อน ค่อยไปถึงสวรรค์ ไม่ใช่ พอเราเชื่อปุ๊บ มันสับสวิตช์ เกิดขึ้นทันที พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ เดี๋ยวนี้ทันทีเลย  แล้วก็เริ่มขบวนการย้าย เราเข้ามาอยู่ในวิญญาณ แต่ร่างกายยังไม่ย้าย รอวันหนึ่งเมื่อร่างกายหมดอายุขัยค่อยมา ย้ายถาวร เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า และรอคอยวันที่จะได้รับร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซู ที่พระเยซูเดินทะลุกำแพงอีกครั้งหนึ่งในอนาคตข้างหน้า เอเมน

คราวนี้รู้แล้วนะ เพราะฉะนั้น เราสามารถชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ ก็เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่ในสวรรค์แล้ว

แล้วจะไปชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เปาโลบอกว่าท่านเชื่อแล้วนะ พอท่านเชื่อแล้ว พระเจ้าจะมาอยู่กับท่าน ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านแล้ว แล้วค่อยมาข้อนี้ที่บอกว่าเพราะฉะนั้น จงชื่นชมยินดีเถิดในทุกสถานการณ์ เพราะพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว พระเจ้าอยู่ในเธอแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว ฮีบรู 13:5-6 ลองอ่านดูนะ หนึ่งข้อ ในจำนวนหลายๆ ข้อที่มีบอกว่าพระเจ้าสัญญาว่าอย่างไร? เมื่อเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เมื่อเราเชื่อในพระเยซูแล้ว แม้เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม แม้เราจะมองไม่เห็นพระเจ้าก็ตาม แต่พระเจ้าบอกเราความจริงในโลกวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้น …

ฮีบรู 13:5-6 “5 จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง และจงพอใจในสิ่งที่ตนมี เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน” 6 ดังนั้นเราจึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัวมนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า”

 

พระเจ้าตรัสว่าเราจะไม่ทอดทิ้งท่าน และจะไม่ละท่านเลย ก็แสดงว่าอยู่กับเราตลอด ไม่ต้องกังวลในเรื่องใดๆ เลย เพราะการเขียนตรงนี้ ตอนนั้นผู้เชื่อ ที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเผชิญกับความทุกข์ นอกจากถูกข่มเหงแล้ว ยังเกิดการกันดารอาหาร ในนี้บอกไม่มีเงิน ไม่ต้องกลัวอะไร? เพราะว่ามีพระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ พระเจ้าสัญญาแล้วหนีเธอไป พอเศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิดปุ๊บ พระเจ้าไปแล้ว ไม่ใช่ ถึงโควิดจะทำอะไรเธอ ก็ไม่ต้องกลัว เพราะว่าพระเจ้าอยู่กับเธอ อยู่ในตัวเธอนั่นแหละ แล้วพระเจ้าสัญญาว่าจะไม่ละทิ้งท่าน จะไม่ทอดทิ้งท่าน สองกิริยา ไม่ทอดทิ้งกับไม่ละทิ้ง คือไม่ทิ้งก็คือไม่ทิ้งเลย ไม่ละเหมือนกัน แสดงว่าพระองค์กำลังสนใจมากเลยว่าเอาล่ะสิ ถึงตอนนี้จะจัดการกับลูก ช่วยลูกฉันได้อย่างไรบ้าง? ก็ว่ากันมา อะไรอย่างนี้ แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระองค์เท่านั้น มันก็ยังเป็นที่น่าเสียใจอยู่ ยังมีพี่น้องอีกหลายท่านที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายของเขา เหมือนกับเรา แต่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์คนใด ใครก็ตามที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่อยากเดินคนเดียวอีกแล้ว ไม่อยากช่วยเหลือตัวเองตามลำพังอีกแล้ว อยากมีพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่ แบบที่ตะกี้นี้ คุณนครพูด แบบที่ตะกี้นี้  พระคัมภีร์บอก อยากจะมีพระเจ้า อยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่ละทิ้ง อยากจะชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ อยากจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยนำพาชีวิตในแต่ละวัน แต่ละวินาที ตามที่พระคัมภีร์บอก ก็ทำได้ง่ายนิดเดียว ง่ายมากเลย ง่ายจนเราไม่อยากจะเชื่อกันหรอกว่ามันง่ายอย่างนี้ แต่มันง่ายจริงๆ

ซึ่งครั้งที่แล้ว ก็ได้แนะนำไปแล้วว่าแค่ตัดสินใจเชื่อในข่าวดีนี้ พอแล้ว ทุกอย่างพระเจ้าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เตรียมรอสับสวิตช์ เคาะที่ประตูหัวใจของทุกคน  พร้อมที่จะเข้าไป  แล้วก็ทำงาน ขบวนการทุกอย่าง เตรียมพร้อม ของขวัญเตรียมพร้อม ความรักทุกอย่างเตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว ชัยชนะ พระพร เตรียมพร้อมหมด รออย่างเดียว รอกุญแจสำคัญ ให้คนนั้นเปิด เคาะแล้วต้องเปิด พระองค์ไม่ได้มา เพื่อจะมานั่งพิพากษา เราทำอะไรมา เราแย่อย่างนี้ เราเป็นคนไม่ดี ทำอะไรมาก่อนนั้น ไม่สนใจเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนเลวเท่ากันหมดเลย ชั่วเท่ากันหมดเลย ในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีว่าท่านคนนี้เลวกว่าคนนี้ คนนี้เลวกว่าคนนั้น ไม่มี เท่ากันหมด พระเจ้าไม่สนใจเลย พระเจ้าคอยแต่ว่าจะช่วยเขาอย่างไร? เปิดสิๆ กดเลยๆ เปิดประตู ฉันจะได้เข้าไป  แค่เปิดประตูเท่านั้น  นอกนั้นพระองค์เป็นผู้กระทำทั้งสิ้นเลย ไม่ต้องทำอะไรแล้ว และรู้ไหมว่ากุญแจที่เปิดประตูนั้น มันใช้แค่นิดเดียวเอง ง่ายเท่ากับอะไรรู้ไหม? ความเชื่อนี้ ตามพระคัมภีร์เท่ากับเมล็ดมัสตาร์ด เล็กมาก แทบมองไม่เห็นเลย เป่าทีเดียว เมล็ดเป็นหมื่นออกไปเลย

พระเยซูยกตัวอย่างเมล็ดมัสตาร์ด ขอให้ท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ดแค่นั้นพอแล้ว ภูเขาทั้งลูก ลงไปทะเลได้เลย ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ สำหรับพระเจ้า ถ้าเผื่อท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ด เพราะว่าพระเจ้าจะเข้าไปทำเอง ไม่ใช่ท่านทำ เอเมน เพราะฉะนั้น มันง่ายนิดเดียว ท่านอย่าปล่อยให้ความทุกข์ยากลำบาก วิกฤตปัญหาในชีวิตระลอกแล้วระลอเหล่า ท่านก็ทนเอา สู้ด้วยตัวเองๆ ถามจริงๆ ไม่เหนื่อยเหรอ เหนื่อยแน่ เพราะผมก็ผ่านมาแล้วหลายๆ คนที่นี่ก็ผ่านมา พระเยซูบอกว่า ผู้ใดที่แบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอให้ตาย หายเหนื่อยและเป็นสุขเดี๋ยวนี้เลย พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน จะมาอยู่ในท่าน นำพาท่าน เดินตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เป็นต้นไป ตั้งแต่ท่านใช้เมล็ดมัสตาร์ดที่ผ่านทางปากของท่าน โรม 10:9-10 ได้บอกเคล็ดลับว่าเมล็ดมัสตาร์ด ท่านจะใช้อย่างไร? เริ่มต้นจากได้รับเมล็ดมัสตาร์ดนี้ ทำอย่างไร?

โรม 10:9-10  “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด   10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

นี่คือวิธีการใช้เมล็ดมัสตาร์ด ที่พระเยซูบอก ขอให้ท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ด เล็กนิดเดียว ไม่ต้องเชื่ออะไรมากเลย เชื่อแค่พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเป็นพระเจ้า  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  และพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย จบ ถูกไหม? อย่างนี้ เขียนแค่นี้  ท่านก็จะได้รับความรอด … รอดจากนรก รอดจากคำสาปแช่ง รอดจากการเป็นคนบาป  ซึ่งอยู่คนละขั้วกับพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตไม่ได้ แต่เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็รอดจากคนบาป กลายเป็นคนชอบธรรม ไม่บาปอีกต่อไป บริสุทธิ์สะอาด พระเจ้าก็เข้ามาสถิตได้ เพราะท่านสะอาด บริสุทธิ์แล้ว สะอาดเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย เหมือนพระเยซูเลย พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับท่านได้

เพราะฉะนั้นใช้เมล็ดมัสตาร์ด ความเชื่อแค่นิดเดียวของท่าน พูดตอนนี้เลย และที่เหลือ เป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระเยซูคริสต์ที่บอกว่า …

“เราเคาะประตูใจของท่าน ใครที่เปิด เราจะเข้าไป”

แค่นั้นเอง ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระองค์ ที่จะนำพาเรา เพราะเมล็ดมัสตาร์ดนี้ ทำให้ภูเขา ทำการอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างเทียบกันไม่ติดเลยระหว่างเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ กับอะไรที่จะเกิดขึ้น เพราะถ้าท่านใช้เมล็ดมัสตาร์ด ความเชื่อแค่นี้นิดเดียว แค่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาตายแทนบาปของท่านบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไถ่บาปๆ เคยได้ยินเขาบอกไถ่บาป เมล็ดมัสตาร์ดแค่นี้ พอท่านใส่เหมือนโค๊ด เหมือนกับคีย์รหัสคำนี้เข้าไปปุ๊บ พอใจท่านเปิดปุ๊บ พระวิญญาณเข้าไปปั๊บ อัศจรรย์เกิดขึ้น วิญญาณท่านเกิดใหม่ เรียกว่าบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เกิดขึ้น ณ วินาทีนั้น ทันที โดยที่พระเจ้าย้ายท่านทันทีเลย ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของมาร อาณาจักรของอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานทันที ท่านรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทันทีเลย แล้วพระเจ้าก็จะเลี้ยงท่าน ดูแลท่าน เหมือนลูกอ่อน ให้นมท่าน ท่านรู้เรื่องทันทีไหม?

ถามท่านเดี๋ยวนี้ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว หรือถามผมที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ผมเป็นลูกพระเจ้ามา 30 กว่าปีแล้ว แต่ถามจริงๆ ว่าตอนผมเกิดใหม่เป็นทารก ผมรู้ไหมว่าตอนไหน? ไม่รู้ แต่รู้ว่าแถวๆ นั้น ปี ค.ศ.1988 แต่ไม่รู้ว่าตอนไหน? เพราะเหมือนตอนผมเกิด ในทางเนื้อหนัง ผมก็ไม่รู้ ผมรู้ว่าแม่ผมเขียนไว้ในนั้นว่าผมเกิดเดือนตุลาคม 1951 แต่ผมรู้ไหม? 1951 ผมนอน อุแว๊ๆ ไม่รู้เรื่อง ถูกไหม? ในทำนองเดียวกัน เกิดในวิญญาณ ลักษณะเดียวกัน เขาเป็นเบบี้ทางวิญญาณ แต่พระเจ้าก็เลี้ยงดูไป ค่อยๆ โตขึ้น  ถามว่าเลี้ยงไปถึงไหน? นิรันดร์ การอยู่บนโลกใบนี้มันแค่ไม่กี่ปี เลี้ยงไปเท่านั้นแหละ แต่ที่เหลือจะเลี้ยงต่ออีก เพราะเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว ในบ้านของพระองค์แล้ว  จะไม่มีใครเอาเราออกจากบ้านของพระองค์ได้อีกต่อไป  เอเมน

เพราะฉะนั้น ท่านใช้ตรงนี้ได้เลย อย่างที่บอก อยากจะบอกเลยว่าอย่าทำเหมือนผมที่ยอมให้ความทุกข์ทรมาน มาเบียดบังความสุขไปตั้งนาน เดินด้วยตัวเอง พยายามด้วยตัวเอง เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก จนในที่สุด วันหนึ่งผมไม่ไหวแล้ว บอกพระเจ้าว่า …

“เห็นข่าวประเสริฐ มีคนเขาพูดถึงเรื่องพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ ลูกก็อยู่ที่นี่แล้ว อยากรู้จักจริงๆ เลย ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยแล้ว”

ในขณะที่พูด ก็พูดท่ามกลางรูปเคารพเยอะแยะไปหมดเลยนะ ในใจก็คิดว่าถ้าเผื่อเพิ่มพระเยซูมาอีกองค์หนึ่งก็ไม่น่าเกลียด เพราะว่าพระเจ้าไม่ถือตรงนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย มันเกี่ยวกับความจริงใจ ท่านจริงใจไหม?  ทุกคนในนี้ เหมือนกัน ที่บังเกิดใหม่ ไม่มีใครมาเชื่อ และจะรู้หมด ทุกอย่าง มันต้องค่อยๆ แล้วพระเจ้าจะค่อยๆ สอนทีละนิดทีละหน่อย แต่มันเกิดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้อันโน้นอันนี้เท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น อย่าเดินคนเดียวอีกต่อไป ให้พระเยซูคริสต์มาเดินเคียงข้าง เคียงคู่ท่านกับเราในที่นี้ ที่มีประสบการณ์ ได้รับการจูงมือเดิน มีความสุขจริงๆ มันหายเหนื่อยและเป็นสุขจริงๆ มันสามารถหายเหนื่อย เป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์จริงๆ นี่บอกจริงๆ เลย มันสามารถเผชิญได้ทุกอย่างจริงๆ มันรู้จริงๆ ว่าเราเผชิญอะไรอยู่ และใครอยู่กับเรา และมันสามารถเผชิญกับความตายในอนาคตได้จริงๆ และต่อให้วันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น โควิดมันจะระบาดไปทั่วโลกอย่างไรก็ตาม ถามว่าในทางร่างกายและการมองในระบบของโลกใบนี้ มันตกใจไหม? ตกใจ แต่พอสับสวิตช์ไปในโลกวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ มันหายเลย  อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น ท่านสามารถมีประสบการณ์นี้ได้ ง่ายนิดเดียว การจะมาเป็นลูกพระเจ้าง่ายนิดเดียว การจะหายเหนื่อยเป็นสุขง่ายนิดเดียว การชนะความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธ เกลียด การอาฆาต ความหมองใจ เรื่องเกี่ยวกับโควิด มันง่ายนิดเดียว เปิดใจท่าน เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เพราะไม่อย่างนั้น ชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านลำบากแน่

สิ่งที่ดีใจมาก คือประสบการณ์ของเราทั้งหลาย ที่เคยมีมาในอดีต เราได้เกิดใหม่แล้ว พี่น้องเราได้เกิดใหม่มาอีก ขอบคุณพระเจ้า จริงๆ ข่าวประเสริฐ มันง่ายนิดเดียว อย่างนี้จริงๆ แต่เราถูกหลอก ถูกปิดบังตา ถูกโกหก จนกระทั่ง มารมันทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง เรื่อยๆ กว่าใครจะเข้ามาหาพระเจ้า ทำไมมันลำบากลำบนขนาดนี้ ซึ่งพระเยซูบอกมันเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้นเอง เราทำแบบ ต้องทำโน้น ต้องทำนี้ ต้องมีข้อแม้เยอะแยะ แต่พระเยซูไม่มีข้อแม้ พระเจ้าไม่มีข้อแม้ มีแค่นั้นเอง

กลับมาที่สถานการณ์รอบข้างในขณะนี้ มันก็เหมือนกับทุกขณะ นอกจากโควิดแล้ว ต่อไปมันก็จะมีอันอื่นอีกเรื่อยๆ มันดูเหมือนน่ากลัว ทุกครั้งไม่ว่าซาร์ ไม่ว่าอะไรก็ตาม แต่จริงๆ ซาร์ไม่ยาก เพราะชื่อมันบอก มันไม่ไปไหนหรอก มันก็ซาร์ไป โควิดยังหาไม่ออกเลยนะว่ามันจะไปทางไหน?  มันก็น่าวิตกกังวล แต่อย่างที่บอกถ้าเรามัวแต่ไปเอาข้อมูลจากโลกใบนี้ จากระบบของโลกใบนี้ มีแต่น่ากลัวๆ ซึ่งเราไม่ได้ไม่ฟังนะ เราฟังแบบมีสติปัญญา มีความรู้ด้วย ไม่ใช่ไม่ฟัง ไม่ใช่ปิดหูปิดตา ฟังนะครับ แต่ฟังแบบมีสติ ไม่ใช่ไร้สติ เสียสติ หรือสติแตก เพราะฉะนั้น เราฟังข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ แต่ขณะเดียวกัน ฟังแล้วให้มันพอดี พอเหมาะ อย่าไปฟังเยอะเกินไป เอาเวลาส่วนใหญ่มาฟังข้อมูลจากพระเจ้าบ้างสิ พระเจ้าว่าอย่างไร? จากพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา อยู่ในร่างกายนี้ ผู้เป็นพ่อของเรา ที่บอกกับเราเมื่อตะกี้นี้ในฮีบรู 13:5  อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่ละทิ้งเจ้า ไม่ต้องกลัวมัน ไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้น ไม่มีใครทำอะไรเราได้ มนุษย์ทำอะไรเราไม่ได้ ก็หมายถึงว่ามารจะทำอะไร มันก็ผ่านมนุษย์ทั้งนั้น อยู่ดีๆ มาหักคอเรา มันหักไม่ได้หรอก มันต้องทำให้มนุษย์คนนั้น เพี้ยนไปแล้ว อาจจะติดยาบ้า  ติดยาเสพติด สติสตางค์เพี้ยนไป มันหมายถึงอย่างนั้น ใน 2 ทิโมธี 1:7 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

2 ทิโมธี 1:7 “เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงให้เรามีใจขลาดอาย แต่ประทานใจอันเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ ความรัก และการรู้จักบังคับตนเองแก่เรา”

 

จริงๆ ถ้อยคำตรงนี้บอกว่า … “เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานวิญญาณแห่งความขลาดกลัวกับเรา”

เพราะฉะนั้น ความกลัวไม่ได้มาจากพระเจ้า ย้ำในเรื่องของประทาน ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ประทานให้กับเราแล้ว ตรงนี้บอกว่าไม่ได้ให้วิญญาณแห่งความกลัวกับเรา แต่ทรงให้วิญญาณแห่งฤทธิ์เดช วิญญาณแห่งความรัก และความคิดจิตใจที่ดีกับเรา เราเอาข้อมูลตรงนี้ ใส่เข้าไป  เพราะฉะนั้น วิญญาณที่เกิดความกลัว แน่นอน มันไม่ได้มาจากวิญญาณพระเจ้า ก็แสดงว่ามันไม่ได้มาจากวิญญาณ ที่อยู่ข้างในตัวเรา  แต่มันมาจากข้อมูลที่อยู่ข้างนอก ก็คือวิญญาณที่อยู่ข้างนอก ก็คือวิญญาณชั่ว  ก็คือมาร ผ่านทางระบบของโลกใบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าเนื้อหนัง ก็ส่งผ่านเข้ามาอย่างที่ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้กัน ผ่านทางระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางกิเลสตัณหาของเนื้อหนังนี้ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้าไปสู่ความคิด แล้วพอคิดๆ แล้วมันก็สั่งการให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย กลัว พอความกลัวมา ความชั่วร้ายทุกอย่าง ก็มาเต็มไปหมด เพราะฉะนั้น ตรงนี้ จึงสำคัญมาก

และเมื่อเรามีความชื่นชมยินดีแล้ว เราสามารถชื่นชมยินดีได้ทุกสถานการณ์ เพราะไม่มีความกลัว ไม่มีอยู่ในตัวเรา แต่เมื่อเราไม่ฟังมัน เราก็จะไม่มีความกลัวเลย มีแต่ความชื่นชมยินดี เพราะว่าวิญญาณของเรา มีแต่สิ่งที่พระเจ้าให้มาผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือความชอบธรรม ความรัก ความชื่นชมยินดี และสันติสุข นี่ชัดเจน อีกข้อหนึ่งแล้วเราจะสรุปวันนี้ ฟิลิปปี 4:6-7 ครั้งที่แล้วเราเรียนฟิลิปปี 4:4-5

ฟิลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ ในพระเยซูคริสต์”

 

ตรงนี้ ถ้าให้ละเอียดกว่านี้นิดหนึ่ง แปลอย่างนี้ว่า … “อย่ากังวล อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย ในทุกเรื่อง แต่จงให้ความต้องการของท่าน ให้พระเจ้ารับรู้” … ตรงนี้มันหายไป มันไม่ชัด

“แต่ให้ความต้องการของท่าน ทูลต่อพระเจ้า ให้พระเจ้ารับรู้” ละเอียดขึ้นกว่าที่แปล “แต่จงทูลขอทุกสิ่ง”

“ทูลขอทุกสิ่ง” ก็คือบอกพระเจ้าเลยว่าท่านต้องการอะไร? ท่านอยากได้อะไร? เห็นไหม? ฟังให้ดีๆ นี่ยอดเยี่ยม “แต่ให้พระเจ้ารับรู้ในสิ่งที่ท่านอยากได้ ด้วยการอธิษฐาน วิงวอน หรืออ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ” ให้พระองค์รับรู้ นี่แหละคือขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าเข้าใจเราดีว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ เจอปัญหาต่างๆ รอบข้าง

ในข้อที่ 5 บอกว่า “จงให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวง” ต่อมนุษย์ทั้งปวง ยิ้มแย้มแจ่มใส

“ไม่เป็นไรครับ อภัยให้ได้ครับ โอเคครับ”

แต่ไปหาพระเจ้า “พระเจ้า ดูมันทำกับลูกสิ ทำไมมันแย่อย่างนี้ มันเอาเปรียบมากเลย ช่วยอย่าให้เขาเอาเปรียบลูกอย่างนี้”

เข้าใจใช่ไหมครับว่าพระเจ้าเข้าใจดี ไม่ใช่เราพูดไม่ได้ ไม่ใช่เป็นคริสเตียนบ่นอะไรไม่ได้เลย บ่นได้ แต่ไปบ่นกับพระเจ้า เข้าไปหาพระเจ้า นี่คือเคล็ดลับ พูดหมดเลย จะว่าเขา มันแย่ มันอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ดี ว่าไปเลย แต่จบด้วยขอบพระคุณ ขอบคุณ ออกมา เจอหน้าเขา ก็สวัสดีครับ นี่คริสเตียนเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่หน้าไหว้ หลังหลอกนะ แต่หน้ามันรับไม่ได้ ต้องยอมรับความจริง มันทนไม่ไหว แต่ลับหลัง ไปอยู่กับพระเยซู ไปอยู่กับพระเจ้า  เข้าไปในโลกวิญญาณ  สงบสติอารมณ์ ถ้าทำบ่อยๆ เข้า มันก็ด้านหน้า มันก็จะทำได้มากขึ้น รักษาความสงบ ให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวง รอบข้าง นี่ของแท้ คือเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าจริงๆ เขาเสียสละอย่างนี้แหละ แรกๆ เสียสละอย่างไร? อย่างนี้ไม่ได้ ตอนหลังได้ พอเข้าใจใช่ไหม ยกตัวอย่าง เต็มไปหมดเลย ในชีวิตประจำวัน

เพราะฉะนั้น เคล็ดลับคำอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณ ให้ทุกสิ่งที่ท่านอยากได้ ทูลขอต่อพระเจ้า แล้วพระองค์จะทำให้ไหม? ทำให้หรือเปล่า? ไม่ทำ ไม่ได้บอกว่าพระองค์จะทำให้สักหน่อยเลย ไม่ได้พูดเลย แล้วสันติสุขของพระเจ้า เอาไปเลยสันติสุข ส่วนจะเป็นผลออกมาอย่างไร? ขึ้นอยู่กับพระองค์  พระเจ้ารู้ว่าอะไรดีที่สุด สำหรับลูกของพระองค์เสมอ เอเมน ลูกของพระองค์อยากจะกินช๊อคโกแลตตลอดเวลา ป้อนเข้าไปๆ ฟันจะได้ผุซะ ท้องจะได้ผุซะ อย่างนั้นเหรอ พระองค์รู้ดี พอๆ เอากล้วยน้ำว้าบ้าง เห็นหรือยัง? อย่างนี้เป็นต้น

ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ใช่แบบท่านอยากได้อะไร? บอกมา แล้วให้ เราตายแน่เลย แต่นี่บอกว่าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน   ยิ่งการวิงวอน ยิ่งชัดใหญ่ คุณจะเห็นภาพชัดเลย คำว่าวิงวอน มันมาจากคำภาษาอังกฤษว่า “ซับพรีเคชั่น” มันแปลว่าอยากจะบ่น อยากจะพูดอะไร? พูดไปเรื่อยเปื่อย  เหมือนคนพูดเพ้อเจ้อ พูดง่ายๆ ตอนนี้กำลังจะบอกว่าอย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย อย่ากังวลเลย แต่จงบอกสิ่งที่ท่านต้องการกับพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การทูลขอ การวิงวอน คือการบ่น เอะอะโวยวาย ตัดพ้อต่อว่ากับพระเจ้าเลย แต่จบสุดท้ายด้วย ขอบพระคุณ เพราะมันเหนื่อยแล้ว หมดแรง ออกมา ก็เหนื่อย  และอะไรเกิดขึ้น สันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ เข้าไปหาพระเจ้า คิด เจอชื่อคนนี้ ฉันก็ตกใจกลัวแล้ว เจอชื่อคนนี้ ฉันก็เบื่อมาก เจอชื่อคนนี้ ฉันก็แย่แล้ว แต่พอเสร็จเรียบร้อย ออกมา เจอชื่อคนนี้ ยิ้ม สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า รับได้แล้ว เจอโควิดไป ทำกิจการงานเจ๊งเลย ตกงาน งานตกไป ยิ้มได้  เมื่อวานซืนนี้ เผอิญๆ ไปทำงาน คนที่ทำงานเป็นโควิด เพราะฉะนั้น เขาบอกให้เราไปตรวจ เสียเวลาไปตรวจ ต้องไปกักตัวอีก 14 วัน บ่นใหญ่เลย ตอนนี้หาพระเจ้า บ่นกับพระเจ้า

“ทำไมลูกต้องเป็นอย่างนี้ ลูกระวังตัวตลอดเวลา”

ออกมา กักตัวก็กักตัว ขอบคุณพระเจ้าดีแหละ พระเจ้าใช้ 14 วัน ให้เป็นประโยชน์ ฟังถ้อยคำพระเจ้าทุกวัน หมดเรื่องหมดราว มันรับได้ นี่แหละวิธีการของพระเจ้า คือการกระทำดังนี้ ในนี้บอกว่าแล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดมนุษย์ที่เข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระคริสต์ เห็นไหม? จะปกป้อง เมื่อท่านอธิษฐาน ไปอยู่ในโลกวิญญาณ ไปอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า สันติสุขนี้จะปกป้องความคิดของท่าน จากระบบของโลกนี้ จากความกลัว ที่ส่งมาจากมาร มันก็จะเป็นสิ่งที่ดีๆ ปกป้องความคิดจิตใจของท่าน ไว้ที่ในพระคริสต์ ความคิดจิตใจท่านอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา มองอะไรก็อยู่ในพระคริสต์ มันก็มีความสุข มันก็หู ตา จมูก ลิ้น กาย ดูอะไรก็ดีไปหมด ฝุ่นละออง 2.3 มา ดี (ดีแบบมีสติปัญญา) เข้าใจใช่ไหมว่ารับได้ เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2020 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  มีนาคม  2020

 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้คำบรรยายก็มีเรื่องเดียว มันจำเป็น ไม่พูดเรื่องนี้ ถือว่าเชยมาก เหตุการณ์ในช่วงนี้ คงไม่มีอะไรน่าสนใจ น่าตื่นเต้นเท่ากับเรื่องโควิด-19 ใช่ไหม? ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกันอยู่ และบรรดามนุษยชาติทั่วทั้งโลกกำลังอยู่ในอาการหวาดผวา วิตกกังวล กลัว ข่าวที่ออกมาแต่ละวัน ก็ยิ่งเพิ่มความเครียด เพิ่มความวิตกกังวล เพิ่มความกลัวเข้าไปเรื่อยๆ มากขึ้นทุกวันๆ ฉะนั้น ใครที่ชอบบริโภคข่าว ก็บันยะบันยังบ้าง

เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะคุยกันว่าแล้วเราที่เป็นคริสเตียน  เป็นผู้เชื่อแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อภาวะวิกฤตอย่างนี้ ถือเป็นโชคดีสำหรับเราทุกคนที่เกิดมาเป็นคริสเตียน แล้วมีโอกาสได้เจออะไรแบบนี้ เราจะได้รู้ว่าคริสเตียนเราควรจะทำอย่างไร? ตอบสนองอย่างไรต่อสถานการณ์ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ วันนี้เราจะมาเริ่มที่ฟิลิปปี 4:4-8

ฟิลิปปี 4:4-8 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ 8 สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์  สิ่งที่น่ารัก  สิ่งที่น่ายกย่อง”

 

ก่อนอื่นเรามาฟังเบื้องหลังก่อน อย่างที่บอกนะว่าเวลาเราจะเรียนพระคัมภีร์ เราควรที่จะรู้ว่าอันนี้เป็นจดหมายของใคร? เขียนไปให้ใคร? เรื่องราวพื้นฐานเป็นอย่างไร? ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เอาแต่อันนี้มา แล้วก็มาตีความ นี่แน่นอนเปาโลเป็นคนเขียน เปาโลเป็นผู้คงแก่เรียนในศาสนายิว เป็นคนที่มีความรู้มาก มีชื่อเสียง มีคนนับถือ มีชาติตระกูล มีอะไรเยอะแยะ ดีๆ หมดเลยในแบบโลก แต่พอมาเจอพระเยซูปุ๊บ ก็ทิ้งทุกอย่างเลย แถมยังยอมให้เขาตามฆ่า ตามล่า เพราะไปบอกด้วยว่าของเก่าที่เขารู้จักมานั้น  ที่เขาเชื่อมาว่าพระเยซูเป็นผู้หมิ่นประมาทพระเจ้า ที่บอกเป็นลูกพระเจ้า ที่เราบอกว่าเขาสมควรตาย ที่เราเอาเขาไปตรึงกางเขน  เราทั้งหลายนั่นแหละ เราหมายถึงชาวยิวที่ไม่เชื่อเหล่านั้น ซึ่งเปาโลก็เป็นหัวโจก คนหนึ่งในสมัยนั้น ไปบอกเขาว่าเราผิดไปแล้ว พระเยซูของจริงเลย ที่พระเยซูพูดเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ใครจะเข้าใจใช่ไหม?

แน่นอนตามสายตามนุษย์ ตามความคิดมนุษย์ ใครไปพูดอย่างนี้ แล้วใครจะเข้าใจ แล้วคนเหล่านั้น เพื่อนเราทั้งนั้น อาจารย์เราก็มี ศาสนา เคร่งจัด  ถ้าเราขืนพูดอย่างนี้ เราตายแน่ๆ แล้วก็ตายจริงๆ พระเจ้าต้องปกปักคุ้มครองดูแลเปาโลตลอดเลย เพราะเพื่อนเก่า ชาวยิวที่ไม่เข้าใจ ที่ยังคงเข้าใจเหมือนเปาโลในอดีตที่ยังไม่กลับใจใหม่ ยังไม่เจอพระเยซูเขาคิดกันว่าเปาโลก็หมิ่นประมาท เปาโลยิ่งสมควรตายใหญ่ เพราะเหมือนกับว่าเป็นไส้ศึก คราวนี้แย่ใหญ่เลย เปาโลก็เลยถูกตามล่า ตามฆ่า น่าหวาดเสียว เหมือนเราตอนนี้เลย ถามว่าตอนนี้เรากลัวไวรัสโควิด-19 ไหม? กลัว กังวล ตามประสามนุษย์ธรรมดา ต้องกังวล ท่านคิดว่าตอนนั้นเปาโลเขากลัวไหม? กลัวจนตัวสั่น ยกเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา ท่านจะรู้ว่าเปาโลกลัวขนาดไหน? ให้พระเจ้านำ ก็จริง แต่กลัว คือมนุษย์ต้องกลัวแหละ มีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง เปาโลต้องหนีคนเหล่านี้ ที่เขาตามล่า จะฆ่าเปาโล พวกยิวด้วยกัน หนีด้วยวิธีแอบย่องมาตอนกลางคืน แล้วลงตะกร้า ให้เขาหย่อนลงมา แล้วรีบหนีเลย อย่างนี้เรียกว่าความกล้าหาญ หรือความเชื่อไหม? อย่างนี้เรียกว่ากลัว แค่นี้พอแล้ว

มนุษย์เราจริงๆ มันก็มีความคิด มีสติปัญญา สมองแบบมนุษย์ กลัว เหมือนเราตอนนี้ ผมจึงยกตัวอย่างนี้ เอาข้อพระคัมภีร์นี้ขึ้นมา แล้วเล่าภูมิหลังให้ท่านฟัง มันเหมือนกับเราเดี๋ยวนี้ แต่เราน้อยกว่าเยอะ แล้วดูสิเปาโลที่มีความหวาดกลัวอย่างนี้เยอะเลย เขามีความเห็นว่าอย่างไร? เขาเขียนจดหมายฟิลิปปีมา เพื่อหนุนใจ เพราะคริสตจักรฟิลิปปีนี้ เปาโลเป็นคนก่อตั้งขึ้น พูดง่ายๆ มาหนุนใจลูกแกะ ที่เพิ่งเกิดใหม่ ไม่ได้สอน มาหนุนใจมากกว่าว่าควรจะทำอย่างไร?  คนเหล่านี้ก็รักเปาโลมาก แล้วรู้ไหมเปาโลเขียนจากที่ไหน? เปาโลเขียนจากกรุงโรม สมัยนั้นใหญ่มาก เจริญ อยู่ในคุก เขากำลังจะตัดสินคดี แล้วเปาโลก็รู้อยู่แล้ว โดยภายในว่าเที่ยวนี้ เขาไปไม่กลับอยู่แล้ว แล้วก็ไปพลีชีพที่นั่น เขารู้อยู่แล้ว รอว่าเมื่อไรจะถึงวันนั้นสักที วันที่จะละจากร่างกายนี้ แล้วไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที เอเมน

ท่านเห็นภาพแล้วนะ เห็นภูมิหลังแล้ว คนเขียนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาตลอด ตั้งแต่เจอพระเยซูทางที่จะไปดามัสกัส จนตัวเองทิ้งทุกอย่างในอดีตทั้งหมดเลย วิชาความรู้อะไรต่างๆ ที่คนนับถือ ทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งต่างๆ ทิ้งหมด มาเป็นเหมือนจำเลย ที่เขาล่า เพื่อจะฆ่าให้ตาย และตอนนี้ที่เขียนอยู่ อยู่ในที่คุมขัง ที่คุก ที่กรุงโรม และกำลังจะรอตัดสินคดี และในที่สุด ก็ถูกตัดสินคดีให้ตัดศีรษะ คราวนี้รู้ภูมิหลังแล้ว ท่านจะได้เห็น

ก็สถานการณ์เดียวกับเรา เราก็เหมือนติดคุกอยู่ตอนนี้ ไปต่างประเทศก็ไม่ได้ ต่างประเทศมาหาเราก็ไม่ได้ ญาติพี่น้องมาหาเรา ไม่ใช่ไม่ได้นะ ได้ แต่มันลำบาก ในที่สุด ไม่ไปดีกว่า จะไปกินอาหาร อันนี้ก็กลัว ไปร้านนั้น ก็กลัว แย่งซื้ออันนั้น แย่งซื้ออันนี้ อย่างวันนี้ทุกคนก็ใส่หน้ากากมาหมดเลย ทั้งๆ ที่อยากจะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใคร แต่ก็ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ตามคำแนะนำของรัฐบาล เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เอ๊ะ! ทำไมเปาโลเป็นอย่างนั้น แล้วยังเขียนมาหนุนใจเขาอีกนะว่าให้จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด แล้วคนเขียนก็ต้องชื่นชมยินดีสิ พวกเราที่เป็นผู้เชื่อ พื้นฐานแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณของเราคืออะไร? ไม่พูดถึงโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ ไม่นับว่าเราเป็นคริสเตียนมา 5 ปี 2 ปี 3 ปี เราอยู่โบสถ์นี้ เราอยู่โบสถ์นั้น เราเคยทำอันนั้น เคยทำอันนี้ ไม่เอา นี่ในโลกวิญญาณว่าพวกเรา ผู้ที่เป็นผู้เชื่อ หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว พื้นฐานของเรื่องความเชื่อนี้ในวิญญาณของเราเป็นอย่างไร? ลองคิดในใจตอนนี้ดู ตรงกันไหม?

ท่านเป็นลูกพระเจ้า … นี่คือโลกวิญญาณ มีพ่อแม่เป็นคนไทย คนจีน แล้วบอกว่าเป็นลูกพระเจ้า นี่คือโลกวิญญาณ นี่คือพื้นฐานความเชื่อ ท่านเป็นลูกพระเจ้า ที่ท่านกำลังเดินอยู่นี้  มองดูในกระจก เห็นหน้าตาอย่างนี้ ที่ใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตอนนี้ ร่างกายของท่านเป็นที่อาศัยของพระเจ้า พระเจ้า 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่ในท่าน นี่คือพื้นฐาน เห็นไหม? ท่านเชื่อเมื่อไร? ก็เป็นเหมือนกันหมด เกิดใหม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเชื่อ 1 ปี 1 วัน 1 นาที หรือเชื่อมา 100 ปีแล้วก็ตาม ท่านก็เป็นลูกพระเจ้า และเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน และท่านได้รับพระพรมากมายนานับประการ ในฐานะเป็นลูกพระเจ้า ได้รับเท่าๆ กับพระเยซูคริสต์เลย พยายามพูดนิดหน่อยพอ ไม่ต้องเยอะ ให้ท่านรู้ว่าในโลกวิญญาณ เราคริสเตียน เราควรจะรู้ว่าเราเป็นใคร? พื้นฐานเราควรจะมีตรงนี้ไว้ตลอดเวลา  ไม่ใช่พื้นฐานเรา คือในแบงค์ มีเหลืออยู่เท่าไร? ไม่ใช่พื้นฐาน คือเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ ไม่ใช่พื้นฐาน คือเราอธิษฐานน้อย ไม่ใช่ พื้นฐาน คือเหมือนกัน คือเราเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  รักเราเท่าๆ กับคนที่อธิษฐานเยอะๆ มากๆ ด้วย รักเราเท่าๆ กับรักคนที่ถวายเยอะๆ รักเราเท่าๆ กับคนที่เขาอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ไม่หงุดหงิดเลย เราขี้หงุดหงิดมากเลย ทุกคนพยักหน้าใหญ่ เพราะฉะนั้น ที่นี่หงุดหงิดเยอะเลย  อะไรประมาณนั้น

พระคัมภีร์บอกว่า “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง”

แสดงว่าสำคัญมาก ย้ำอีกครั้งว่า “จงชื่นชมยินดีเถิด” ฟังให้ดี “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า”

เปาโลอยู่ในคุกเขียนมาหาพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย  “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด”

หลับตาลง แล้วพูดอีกครั้ง ให้คำพูดนี้เหมือนกับว่าเปาโลพูดกับเรา “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า”

หลับตาไว้อยู่นะ คราวนี้ผมเป็นคนพูด “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้า ผมนครขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ ผมก็กำลังพูดกับท่านทั้งหลาย ปีค.ศ.นี้ เดี๋ยวนี้ว่าท่านเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ท่านมีพื้นฐานเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว”

เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอกในนี้ไม่มีผิด คือผมกำลังบอกท่านว่าจงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ขอย้ำอีกครั้งหลายๆ ครั้งว่าขอจงชื่นชมยินดีเถิด พูดย้ำขนาดนี้ ก็แปลว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ มันไม่น่าชื่นชมยินดี เข้าใจไหม? ถ้าอยู่ธรรมดา ผมคงพูดครั้งเดียวนะ

“จงชื่นชมยินดี”

แล้วก็ไม่เน้นอย่างนั้น  แต่วันนี้ต้องเน้นๆ เพราะรู้ว่าสิ่งทั้งหลายรอบตัวเราขณะนี้ มันไม่น่าชื่นชมเลย สังเกตให้ดีๆ นะ ในนี้ไม่ได้บอกว่าผมไม่ได้บอก เปาโลไม่ได้บอกว่าจงชื่นชมยินดีในชีวิตของเรา การดำเนินชีวิตของเรา ณ ปัจจุบัน แต่บอกว่าจงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือในพระคริสต์  ที่เราทั้งหลายอยู่ที่นั่นแล้วกับพระองค์   ก็คือในสวรรค์  จงชื่นชมยินดีอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ และท่านอยู่ที่นั่นในวิญญาณของท่านเป็นอย่างนั้น แต่โควิด-19 ไวรัสตัวนี้มันอยู่นอกพระคริสต์ มันอยู่บนโลกใบนี้ มันคนละเรื่องกัน ท่านเห็นภาพนะ

ความหมาย คือในพระคริสต์ เราได้รับความรอด เราเป็นลูกของพระเจ้า พอบอกว่าในพระคริสต์เมื่อไร? ท่านจำไว้นะ นี่ผมพูดให้ท่านฟังหลายๆ คำบรรยายแล้ว ให้จำง่ายๆ พอ “ในพระคริสต์”เมื่อไร? ท่านนึกถึงโลกวิญญาณ นึกถึงสวรรค์ นึกถึงว่าท่านอยู่ที่นั่นแล้วตอนนี้  และท่านจะอยู่ที่นั่นตลอดไป ในฐานะลูกของพระเจ้า ที่เป็นทายาท มีมรดกด้วย

“ในพระคริสต์” เราได้รับความรอด รอดจากนรก รอดจากความบาป คำสาปแช่ง เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ประทานให้กับเรา ของ

ประทานที่เรียกว่า gift เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เรามีแล้วตรงนี้ 3 อย่างชัดๆ เลย ที่เราชอบร้อง

“Ringhteousness, peace, joy in the Holy ghost

Ringhteousness, peace, and joy in the Holy ghost,    That the Kingdom of God!”

แปลว่าอะไร? Ringhteousness แปลว่าความชอบธรรม

Peace  แปลว่าสันติสุข

สุดท้าย Joy แปลว่าความชื่นชมยินดี

ถ้าพระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน 3 สิ่งนี้มันเป็นเหมือนของแถมติดมากับพระวิญญาณแล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไร มันอยู่กับท่าน ติดอยู่ในวิญญาณของท่าน ถ้าท่านร้องเพลงนี้เป็นภาษาไทยได้

“ความชอบธรรม  สุข  ยินดีในพระวิญญาณ

ความชอบธรรม  สุข  ยินดีในพระวิญญาณ

คือแผ่นดินของพระเจ้า”

มันอยู่ในตัวเราแล้ว เหมือนพระเจ้าให้ทองมา ทองอยู่ในตัวท่านแล้ว ท่านไม่ต้องไปหา ชัดไหม? มันเป็นของประทาน ความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดี ซึ่งเราได้รับมาเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่เราเกิดใหม่ รับเชื่อปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ทำให้เราเกิดใหม่ พระวิญญาณสถิตอยู่กับเราปุ๊บ 3 สิ่งนี้เป็นของเราผู้เชื่อ หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว หรือลูกพระเจ้าแล้ว อยู่ในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน

เพราะฉะนั้น ในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนมีของประทานเหล่านี้อยู่แน่นอน 100% เพียงแต่เขาจะเอามาใช้ไหม? เขารู้ไหม?  เหมือนที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

ท่านไม่รู้เหรอ? ก็ไม่รู้จริงๆ พระเจ้าต้องมาย้ำยืนยันให้เรารู้ว่าพระองค์ทำอะไรไว้บ้างกับชีวิตของเรา ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พระเยซูบอกเมื่อท่านเชื่อพระเยซูแล้ว ท่านเป็นแสงสว่าง ไม่ใช่ท่านมีนะ ท่านเป็นแสงสว่าง เมื่อท่านเชื่อปุ๊บ ท่านเป็นแสงสว่าง เหมือนพระเยซู ถูกไหม? แล้วบอกอย่างไรต่อไป …

“จงให้แสงสว่างในตัวท่าน ฉายแสงออกไป”

ไม่ใช่ท่านต้องมาทำแสงสว่างเอง ไม่ใช่ต้องมาเชื่อพระเยซู แล้วก็ต้องมาทำความดีอะไรต่างๆ ปั้มแสงสว่างๆ ปั้มๆ ไม่ใช่ จงรู้เถิด พูดง่ายๆ เหมือนกับที่บอกว่าท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหาร ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นแสงสว่าง จงให้ร่างกายท่าน ปลดปล่อยแสงสว่างในวิญญาณท่านออกมา มันแปลว่าอย่างนั้น มันออกมาเป็นการทำดี เป็นความรัก เป็นความเมตตา เป็นความกรุณา เป็นสิ่งดีงามทั้งหมด เป็นความบริสุทธิ์ โดยไม่ใช่ข้างนอกเข้ามา แต่จากข้างในออกไป ความชื่นชมยินดีตรงนี้ ก็เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร สิ่งรอบข้างจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 เป็นอะไรก็แล้วแต่ เราสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ ถูกเขาเอาเปรียบอย่างไร? เราสามารถให้แสงสว่าง จากวิญญาณพุ่งออกไปได้ ไม่ว่าเราจะหงุดหงิดแค่ไหน?  เราด่าเขาไปเมื่อสักครู่นี้ เราจะโลภ เราก็สามารถเอาวิญญาณเราที่มีแสงสว่างนั้น ปลดปล่อยออกไปได้ เอเมน ไม่ว่าเราจะกลัวโควิดขนาดไหน? ไม่ว่าเราจะวิตกกังวลในข่าวที่ลือขนาดไหน? ไม่ว่าจะมองเห็นคนเขากักตุนขนาดไหน?  เราสามารถปลดปล่อย ความชื่นชมยินดี ออกจากวิญญาณไปได้ เอเมน พอจะเห็นภาพไหม? ไม่ต้องพยายามเลย มันอยู่ข้างในตัวของเรา

สถานการณ์ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าเราชื่นชมยินดีได้หรือไม่? เพียงแต่เรารู้หรือไม่ว่าความชื่นชมยินดีนั้นอยู่ในตัวเราแล้ว เราไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง เราเพียงแต่ถ่ายทอด เอามาใช้ เอาพลังของความชื่นชมยินดี ที่อยู่ข้างใน มาใช้ แล้วมันต้องหัดใช้ ฝึกใช้ ใหม่ๆ ก็ใช้ไม่เป็น มีทองอยู่ ก็ใช้ไม่เป็นเหมือนกัน เราสร้างความชื่นชมยินดีขึ้นมาเองไม่ได้ มนุษย์ทำไม่ได้ เพราะโลกใบนี้มันถูกสาปแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ระบบโลกใบนี้มันเสียหาย จะชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้หรอก ถูกเขาเหยียบขา ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ เหมือนที่พระเยซูบอก มันทำไม่ได้  จึงต้องพึ่งพระเจ้าไง เหมือนที่บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง เราสร้างแสงสว่างเองก็ไม่ได้ พระเจ้าต้องทำให้เราเป็นแสงสว่างเลย โดยความเชื่อเล็กน้อยของเราในการเชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น

เพราะฉะนั้น จงชื่นชมยินดีในวิญญาณ เรามีความชื่นชมยินดีอยู่ แต่ประเด็น คือเราจะเอาออกมาใช้ด้วยวิธีใด แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าความชื่นชมยินดี ในตัวเราเต็มเลย เราไม่เคยใช้เลย เรามีทองเต็มเลย ทำเป็นคนยากจนไปได้ เรามีความชื่นชมยินดีเต็มเลย ทำเป็นคนกลัวผีไปได้ ทำเป็นคนหงุดหงิดไปได้ ท่านพอมองเห็นภาพไหม? เรามีเงินเยอะแยะเลย มีอาหารเยอะแยะเลยในบ้านเรา แต่ไม่รู้เรื่องเลย ทำเหมือนคนอดอยาก ตอนนี้รู้แล้ว แล้วเราจะเอามาใช้อย่างไร?

พระคัมภีร์มีสอนหลายอย่าง เช่น ให้เราควบคุมความคิดของเรา เพราะโดยธรรมชาติของความคิด ถ้าเราไม่ควบคุมมัน เราก็จะรับข่าวสารจากทางโลก ระบบของโลก ที่ระดมใส่เข้ามาว่าตรงนั้นอันตราย ตรงนั้นไม่ดี ตรงนั้นแย่แล้ว โรคร้ายรักษาไม่หาย การระบาดของมันจะเยอะขึ้น เศรษฐกิจจะแย่ๆ ทุกอย่างจะแย่ๆ แล้วเธอก็จะแย่ ฉันก็จะแย่ๆ นี่พูดแบบย่อๆ สั้นๆ นี่แหละระบบของโลก คือแปลว่าอย่างนี้ แล้วถ้าเรารับระบบ ข้อมูลจากนี้อย่างเดียว แล้วจะไปชื่นชมยินดีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ พอรับข้อมูลแบบนี้เข้ามาเยอะๆ แล้วไม่มีการควบคุมเลย ปล่อยให้มันเข้ามาเฉยเลย เช้าขึ้นมา แทนที่จะอธิษฐาน ก็เปิดข่าวสด ข่าวแห้ง ข่าวร้าย เฟสบุ๊ค ส่งไลน์อีก ส่งเรื่องสรรเสริญพระเจ้า เปล่าส่งว่ามันเป็นแบบไหน? มันมาอย่างไร? มันจะตายแล้ว ระบาดข่าวร้ายทั้งสิ้น แล้วจะไปเอาอะไรที่มาเชื่อล่ะ พระคัมภีร์เตือนเราอย่างนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ระมัดระวัง รับข้อมูลข่าวร้ายเข้ามา เราก็จะเกิดความกลัว ความกระวนกระวาย ความวิตกกังวล แล้วพอความคิดของเราจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ที่เป็นทางลบมากๆ พอมันเข้ามาในความคิดของเราเยอะๆ ในความคิดของเรา มันเหมือนคอมพิวเตอร์ มันมีเส้นประสาทนับไม่ถ้วน เยอะแยะเลย  และมีสารเคมีเยอะแยะเลย ที่จะปรับ ที่จะปรุงแต่งอะไรก็ได้ ที่มันคิดมา  ทำให้ร่างกายทำตามความคิดนั้น

ค่อยๆ ฟังให้ดีๆ ตรงนี้เป็นเคล็ดลับมากๆ ถ้าเราอยู่กับข้อมูลติดลบตรงนี้เยอะๆ ในความคิดของเรา สมองเราก็จะสั่งการให้เราตอบสนองออกไปเป็นความกลัว ความกลัวทำให้เกิดความหงุดหงิด ความกลัวทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ความกลัวทำให้เกิดการทำร้ายผู้อื่น ความกลัวทำให้เกิดการกักตุน แล้วความกลัวมาจากไหน? ก็มาจากข่าวนั่นนิด เพื่อนไลน์หน่อยหนึ่ง หนังสือพิมพ์นี้นิดหนึ่ง โทรทัศน์นิดหนึ่ง แล้วมันก็ปรุงแต่งในความคิดของเรา แล้วตัวสื่อประสาท มันก็ทำงาน ตามธรรมชาติของมัน ที่พระเจ้าสร้างมา พอข้อมูลเข้ามาปุ๊บ กดออกมาเป็นกลัว วิตกกังวล  แล้วมันก็ไปตามร่างกายต่างๆ ทำให้เกิดท้องอึด ท้องเฟ้อ ปวดหัว คอเคล็ด อะไรก็ตามที่ความเครียดมันทำให้เราเป็นอย่างนั้นแหละ

นี่คือวิทยาศาสตร์แล้วนะ ที่บอกให้ช้าๆ เพราะว่าผมพยายามดึงมันมา ให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์ ทางแพทย์เลย มันจึงมีข่าวออกมาเยอะแยะในช่วงนี้ มีทั้งการกักตุนอาหาร แย่งซื้อหน้ากากอนามัย ไปจนถึงกระหน่ำด้วยคำด่าอย่างรุนแรง เพราะปัจจุบันเป็นยุคโซเซียวมีเดีย ทุกคนมีสิทธิ์พูดกันหมดเลย อยู่ปลายนิ้วเท่านั้นเอง สมัยก่อนเราพูด บางคนด่าอยู่ในบ้านคนเดียว ไม่มีใครได้ยิน เดี๋ยวนี้จิ้ม ได้ยินทั้งโลกเลย เราก็จะกัดกันเอง เหมือนจิ้งหรีดที่เขาปั้นหัวให้มันกัดกัน มนุษย์ต่อมนุษย์ก็กัดกันเอง เราจะเห็นภาพเลย เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้อย่าไปเสพ ถ้าเห็นอะไรที่เป็นการคอมเม้นท์ หรือแสดงความคิดเห็นทางลบ ข้ามไปเลย ไม่ต้องไปดูมัน ไม่ว่ามันจะสนุกขนาดไหน? ไม่ว่ามันจะดูดีขนาดไหน? อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเป็นการคอมเม้นท์ เป็นการติเพื่อก่อ มีสติปัญญา เป็นความรัก อย่างนั้น ไลน์ส่งต่อได้ มันเป็นประโยชน์ แต่อันที่ว่ากันรุนแรงๆ ต่อให้มันมีเหตุผล ก็ไม่เอา เพราะมันอยู่ภายใต้ระบบของโลกนี้ มันไม่ใช่พระวิญญาณ มันเป็นวิญญาณอะไรก็ไม่รู้ นอกจากพระวิญญาณแล้ว นอกนั้น ก็เป็นผีทั้งนั้นแหละ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ต้องระมัดระวัง เรากำลังเรียนโลกวิญญาณอยู่ใช่ไหม? มองไปที่โลกวิญญาณ มองสิว่าใครได้ใครเสีย  ถ้าเรายอมอย่างนั้น ยอมเป็นเครื่องมือของมาร มารได้ มารหัวเราะเลย

“นี่ไง มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา  แล้วพระองค์ทรงรักมาก เขากำลังกัดกันเห็นหรือเปล่า?  เขากำลังเห็นแก่ตัว เขาไม่เห็นเหมือนพระองค์เลย นี่ลูกไม่จริงหรอก เป็นลูกฉันมากกว่า”

มารบอก “ฉันเจ้าแห่งการทะเลาะวิวาท เจ้าแห่งการยุยง ยุแยงตะแคงรั่ว ฉันเจ้าแห่งการเกลียดชัง เจ้าแห่งการขโมย ฆ่า และทำลาย ไม่สร้างสรรค์ เห็นไหม? มองมาเห็นทั้งโลกเลย”

เราต้องระมัดระวังตรงนี้อย่างมาก  ฟังดูแล้ว เหมือนเล็กน้อยนะ แต่เล็กน้อยมันคือกำเนิดของเรื่องใหญ่ มันมาจากตรงนี้แหละ แรกๆ มันเข้ามาในความคิดของเรา มันเป็นไข่เล็กๆ แล้วไข่นี้ค่อยๆ โตขึ้น แล้วมันก็จะฟักเป็นตัวออกมา แล้วจากนั้นมันก็จะเริ่มตัวใหญ่ขึ้นๆ และมันยิ่งใหญ่เท่าไร มันยิ่งทำความเสียหายให้กับมนุษยชาติ และโลกใบนี้มากเท่านั้น และนี่แหละ คือหัวใจของพระเจ้าที่อยากจะบอกมนุษย์อย่างนี้ แล้วมันก็พยายามเสี้ยมสอนมนุษย์ว่าพระเจ้าเป็นคนอนุญาตให้เกิดขึ้น พระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่ฉันทำนะ  ตัวมันแหละ โดยการล่อลวงมนุษย์ให้เป็นผู้ทำเอง ท่านจะเห็นภาพนะ อยากให้ท่านเห็นภาพชัดๆ อาจจะไม่บรรยายเหมือนระบบของโลกนี้ที่เขาบรรยาย แต่มันไม่ยาก มันเป็นเรื่องจริงๆ ถ้าท่านเข้าใจเรื่องพระเจ้า เรื่องวิญญาณ ท่านจะรู้ว่ามันใช่จริงๆ

แต่พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งที่เราควรทำ คือเอาข้อมูลจากวิญญาณมาสู้กับมัน เอาข้อมูลจากโลกวิญญาณ ที่เรารู้เรื่องพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในสติปัญญาที่พระเจ้าคุยกับเราทางวิญญาณ ที่เราเป็นลูกพระเจ้า ที่เราเกิดใหม่แล้วนั้นแหละ มาสู้กับมัน

ข้อมูล คือถ้อยคำพระเจ้า ความรู้เรื่องพระเจ้า  เราเรียกว่าข้อมูล แต่ต้องเป็นข้อมูลความรู้เรื่องพระเจ้าที่ถูกต้องด้วยเช่นเดียวกัน นี่แหละคือเล่ห์กลของมาร ถ้าเราไปหาถ้อยคำพระเจ้า มันก็ไปบิดถ้อยคำพระเจ้า ผิดอีก มันต้องค่อยๆ แล้วอธิษฐาน แล้วคิด มีสติปัญญา

ถามว่าข้อมูลเหล่านี้ ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ สู้กับมันที่ไหน? สู้กับมันที่สมรภูมิ ก็คือที่ความคิดของเราเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย อย่าไปยุ่งกับคนอื่นเขา พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เขาเรียกว่ายุทธศาสตร์การรบ รู้เขารู้เรา รบ 7 ครั้ง ชนะ 8 ครั้ง แถมให้ 1 ครั้ง เอาข้อมูลถ้อยคำพระเจ้าใส่ลงไปในความคิดของเรา สู้กับมันที่โลกวิญญาณ ที่ในพระคริสต์ หรือในพระคัมภีร์ชอบพูดว่าที่เบื้องบน บางคนบอกว่าเบื้องบนรอตายก่อน ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้เลย เบื้องบน หมายถึงสิ่งที่มัน above สิ่งที่มันดูดีกว่า สิ่งที่มันยอดเยี่ยมกว่า มีฤทธิ์เดชอำนาจมากกว่า งดงามมากว่า ก็คือพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ก็คือในพระคริสต์ที่เราอยู่แล้ว ตรงนั้นแหละ กลับไปบ้านของเรา ในโลกวิญญาณ วิธีกลับไปง่ายนิดเดียว ไม่ต้องนั่งรถ ไม่ต้องนั่งเครื่องบิน สับความคิดปุ๊บ ไปทันทีเลย

เดี๋ยวเราทดลองดู ตอนนี้ท่านนั่งอยู่ที่โบสถ์โฮลี่ ที่กรุงเทพกรีฑา ซอย 8 ถูกไหม? ผมบอกว่าสับไปนั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานของพระเจ้าเดี๋ยวนี้ทันที เพราะในพระคัมภีร์บอกว่า เมื่อท่านเชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านได้นั่งอยู่กับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

สับกลับมา นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ กรุงเทพกรีฑา ซอย 8  แต่ในขณะเดียวกัน สามารถสับไปที่วิญญาณ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วพื้นที่การทำสงครามมันอยู่ที่ความคิด ต้องสับความคิดไปอยู่ที่เบื้องบน ไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์ แล้วก็เอาฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความชื่นชมยินดี ที่เราได้เรียนรู้ไปเมื่อตะกี้นี้ว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา เรามีคลังทรัพย์ ความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดีอยู่ในนั้น ตอนนี้เราต้องการความชื่นชมยินดี เอาความชื่นชมยินดี เข้ามาในความคิดของเรา พอเข้ามาในความคิดของเราปุ๊บ พระวิญญาณให้ของประทานเราเป็นความชื่นชมยินดี สับไปที่ความคิดของเรา เราก็บอกความคิดของเรา …

“ความคิด มันเป็นอย่างนี้นะ ชื่นชมยินดีนะ”

สั่งสมองเลย  “สมองจงชื่นชมยินดี”

สมองก็เปลี่ยนเลย สื่อประสาทสมองก็ทำงานของมัน สับขั้วใหม่ ตามที่ความคิดมันสั่ง ตามธรรมชาติ สั่งปุ๊บ ตา หู จมูก ลิ้น กายทั้งหลายที่สัมผัสมาถึงสมอง มันก็จะถูกสั่งการให้อวัยวะในร่างกาย ถวายเกียรติแด่พระเจ้า คำว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันดีสำหรับคุณ พระเจ้าได้รับเกียรติ คือให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้ารักเรามาก เป็นพ่อเรา อยากให้เรามีความสุข มันก็สั่งร่างกาย

ยกตัวอย่างเช่น ถูกเขาขโมยของ เสียดาย โมโห สมองสั่ง อย่างนี้มันเอาเปรียบ วิญญาณขึ้นไปข้างบน สั่ง …

“อภัยให้เขาเถอะ ขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่นะ เรายังมีเหลือให้เขาขโมยนะ เขาไม่มีจะกิน จนต้องมาขโมยเรา น่าสงสารเขา น่าโมโหเขาไหม?”

ยกตัวอย่าง ขึ้นรถเมล์ อันนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย คราวนี้กาย ขึ้นรถเมล์ วันนี้รถแอร์เสีย มันร้อน สัมผัสที่กาย กายมันบอกร้อน แย่แล้ว กายมันส่งข้อมูลไปที่สมอง มันร้อน หงุดหงิด (มันเริ่มมาแล้ว) ทำไม คนขับรถไม่เช็คก่อน ทำไมคนนั่งข้างๆ มันเบียดอย่างนี้  ทำไมมันเหม็นอย่างนี้”

ทำไมใหญ่เลย เริ่ม แต่เราสับสวิทส์ไปที่วิญญาณ ในวิญญาณบอกชื่นชมยินดีอยู่ เอามาใช้สิ สับสวิทส์ เอาความชื่นชมยินดีเข้ามาในชีวิต ให้ความคิดสั่งสมองว่าจงชื่นชมยินดี ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นะ เอาความชื่นชมยินดีที่มีอยู่ เอามาใช้ ไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง เอามาใช้เท่านั้นเอง มันก็สั่งเลย เอาความชื่นชมยินดีจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มาใช้ สมองก็สั่ง มันเย็นขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ นี่แหละ พระเจ้าสร้างมา พระองค์ทรงทราบดีว่าระบบของร่างกายนี้เราเป็นอย่างไร? สมองและความคิดของเรา เมื่อถูกป้อนข้อมูลเข้าไปว่าจงชื่นชมยินดีเถิด สมองก็จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ให้เห็นนะ ที่จะสั่งร่างกาย ให้ทำตาม ก็คือจงชื่นชมยินดี มันจึงต้องย้ำให้สมองฟังบ่อยๆ ให้สมองซึ่งเลอะเทอะกับความคิดแบบระบบของโลกมาเยอะมากแล้ว ให้มันได้รับรู้ ทุกวันๆ และสั่งการให้ไปในทิศทางเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเราอยู่เสมอๆ คือตลอดเวลา ตามที่เปาโลบอก “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” มันแปลว่าอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ ที่อยู่ดีๆ เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วบอกจงชื่นชมยินดีเสมอ มีแต่เรื่องวุ่นวายตลอด ยิ่งปัจจุบัน ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านพอเห็นภาพใช่ไหม? นี่แหละ คือการรบ

จับอะไรก็ชื่นชมยินดี  เห็นอะไรก็ชื่นชมยินดี ฟังอะไรก็ชื่นชมยินดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอะไร? ทางไหน? ต่อไปนี้บอกมันว่าจงชื่นชมยินดี แต่ท่านอาจจะเพิ่งรู้ หรืออาจจะรู้แล้ว ทำแล้วก็ตาม ท่านลองถามตัวเองเลยว่าตอนนี้ ในความคิดของท่านอะไรมากกว่า ข้อมูลบวกหรือข้อมูลลบ ข้อมูลจากพระเจ้าหรือข้อมูลจากมาร อะไรมากกว่า? อะไรมากกว่าท่านก็จะสั่งสมองให้ไปทางนั้นแหละ บางคนไม่ค่อยหงุดหงิด เพราะว่าสมองเขามีข้อมูลความคิดเกี่ยวกับพระเจ้ามากกว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวคุณเลยว่าคุณจะเป็นอะไร? มันมาจากสงครามเท่านั้นเอง ตัวเราเป็นคนดีเลิศ ประเสริฐศรี เป็นคนชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า เป็นคนมีสันติสุข มีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา เป็นคนบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เท่าพระเยซูเลย นี่คือตัวเราจริงๆ แต่ความคิดมันไม่ใช่ตัวเรา ความคิดเป็นความคิด ความประพฤติก็ไม่ใช่ตัวเรา ความประพฤติก็มาจากความคิด และสั่งสมองให้ทำ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราก็เป็นตัวเราอยู่ดี ไม่หนีไปไหน? พอเข้าใจนะ

ทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 10 บอกไว้ว่านี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือสงครามทางความคิด จะแพ้ชนะ ก็อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อ ตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน ก็คือที่พระคริสต์สถิตอยู่ ก็คือที่ในพระคริสต์ ก็คือที่ในสวรรค์ ที่เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ที่เราได้รับพระพรนานัปการ ที่นับไม่ถ้วน เยอะแยะมากมาย บนโลกใบนี้ อย่างดีเยี่ยม โดยพระเจ้าประทานให้เราแล้ว ไม่ใช่จะประทาน แต่ประทานให้แล้ว

ตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน … เบื้องบน ก็คือที่มันเหนือกว่าระบบของโลกใบนี้เต็มไปหมด ชนะขาดลอย เพราะพระเยซูทำให้เราชนะ เหมือนครั้งที่แล้วบอกว่าทำให้เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ไม่ได้เสียเลือดสักหยดหนึ่งเลย ไม่ต้องทุกข์ทรมานเลย พระเยซูทำให้เสร็จ เอาชัยชนะมาให้กับเรา ตอนนี้เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

ให้เอาความจริงตรงนี้ เอาข้อมูลตรงนี้ บังคับให้ความคิดของเรามันเชื่อฟังต่อข้อมูลของพระเจ้า จับความคิด ให้มันเป็นทาส มันแปลตรงๆ อย่างนี้ จับมันให้เป็นทาส แล้วบังคับให้มันเชื่อฟังพระคริสต์ มันบอกว่า …

“เมื่อวานนี้ยังหยาบคายอยู่เลย ยังโลภอยู่เลย แกก็เป็นคนบาป”

“ไม่จริง ในพระคริสต์บอกว่าเมื่อฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นคนที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

“ชอบธรรมได้อย่างไร เมื่อวานไปขโมยของเขา”

“ไม่รู้ ขโมยส่วนขโมย แต่ตอนนี้ในวิญญาณฉันเป็นลูกพระเจ้า”

เข้าใจไหมครับ? … “การขโมยมันเป็นการกระทำ ไม่ใช่ตัวฉัน ฉันเกิดใหม่ในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่ฉันชอบธรรม เพราะฉันไปกระทำดี  แต่ชอบธรรม เพราะฉันเกิดใหม่ เกิดเป็นลูกพระเจ้า เกิดเป็นผู้ชอบธรรม

เหมือนลูกผม โต๋เต๋ เกิดมาเป็นลูกแล้ว เขาก็เป็นลูกผมตลอดไป บางครั้งเขาอาจทำไม่ถูกใจผม เขายังเป็นลูกหรือเปล่า? เป็น หรือเขาไปทำอะไรที่ผมบอกว่าอย่าทำ แล้วเขาไปทำ แล้วเขายังเป็นลูกหรือเปล่า? เป็น  นี่มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปฟังมัน มันก็พยายามหาเหตุผลอะไรต่างๆ นานา

“เป็นไปไม่ได้หรอก”

พระเจ้าบอกว่าให้เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับคนที่รักพระองค์ แล้วความรักก็ไม่ใช่เราทำเอง พระเจ้าประทานความสามารถให้เรารัก เราหลงได้ คิดดูสิอย่างนี้เรียกว่าพระคุณไหมล่ะ ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง

เราชื่นชมยินดีได้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว มีของประทานจากพระวิญญาณที่เรียกว่าชื่นชมยินดีอยู่ในตัวเรา เอามาใช้ เราไม่ต้องกลัวอะไรอีกเลย พอเราไม่กลัวแล้ว ฟังให้ดีนะ ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้เราอ่านกัน พอไม่กลัวแล้ว สมองมันก็จะสั่งการให้แสดงออกมาเป็น สั่งให้ร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นความอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพประจักษ์แก่ผู้คนทั้งหลายรอบข้าง พอสมองมันสั่งการเป็นความชื่นชมยินดี สายตาก็มองอ่อนโยน จากตะกี้จะฆ่าตาย อิจฉาริษยา สายตามันบอก แต่ตอนนี้ ยิ้มไปหมด ก็คือเราก็จะไม่เห็นแก่ตัว เพราะไม่กลัว ถ้าเทียบกับสภาวะปัจจุบัน โควิด-19 เราก็จะไม่กักตุน กำลังซื้อๆ อยู่ กักตุนอยู่ พอดีถ้อยคำพระเจ้าโผล่มาเมื่อเช้านี้ เข้ามาในสมอง สมองสั่งการ กำลังซื้อของอยู่ …

“ฉันจะเอาอันนี้ คุณมาสาย”

พวกหน้ากาก ที่ล้างมือ สมมติมันมีแค่ 10 ชิ้น เราจองไว้ 10 ชิ้น คนมาทีหลังไม่มีซื้อเลย เราเอาไปแล้ว 10 ชิ้น จำได้ ถ้อยคำพระเจ้าเมื่อเช้า เพิ่งท่องมา ความชื่นชมยินดีเป็นของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเรา ให้เราได้ชื่นชมยินดีเถิด ไม่ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไหน มือที่หยิบเห็นแก่ตัว ก็เริ่มอ่อนลง แล้วก็เริ่ม …

“แบ่งให้เธอแล้วกัน”

มาอีก 4, 5 ราย แบ่งไปคนละ 2 อันแล้วกัน แทนที่เราจะเอาไป 10 อันคนเดียว อ้าว! แบ่งคนละ 2 อัน ท่านพอมองเห็นภาพไหม? แล้วถ้าเผื่อท่านอย่างนี้เยอะๆ มันอาจจะมีวันหนึ่ง 10 อัน ท่านให้เขาไปหมดเลย ท่านขอบคุณพระเจ้าอีก สรรเสริญพระเจ้า อะไรก็ได้ อันนี้ผมไม่ได้พูดเว่อร์ ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นว่ามันเป็นไปได้ทุกอย่าง  นี่แหละที่เรียกว่าไม่มีสิ่งใด เป็นไปไม่ได้ สำหรับพระเจ้า มันแปลว่าอย่างนี้ ทำผ่านเรานั่นแหละ เขาเรียกว่าสำแดงพระเจ้าให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็น ตะกี้เราอ่านพระคัมภีร์ใช้คำว่า …

“จงให้ความอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพของท่านประจักษ์แก่มนุษย์ทั้งปวง เพราะพระเจ้าอยู่กับท่าน อยู่ในท่านแล้ว”

นึกออกใช่ไหม? ท่านก็จะอ่อนน้อม ถ่อมสุภาพ ก็จะไม่เห็นแก่ตัว ไม่กักตุน ไม่ด่าคนอื่นเขา เข้าใจเขาว่าทุกคนก็หวาดกลัว และตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด ท่านก็จะไม่ไปทับถมเขา เมื่อเขาทำผิด ใช่ไหม? ไม่เอะอะโวยวาย ไม่กลัว ถึงขนาดที่จะเห็นแก่ตัว พูดง่ายๆ

ท่านคิดสิ มนุษย์ไม่มีใครพร้อมหรอก ที่จะยอมตาย เพื่อคนอื่นเขา แต่ถ้าเผื่อท่านเข้าไปในโลกวิญญาณเมื่อไร? เป็นไปได้ทันที

เอาใหม่อีกที … ไม่มีมนุษย์คนไหนพร้อมหรอก ทำอย่างไรก็ทำไม่สุด ทำได้ดีประมาณหนึ่ง แต่ถ้าเข้าไปหาพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ท่านสามารถทำเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ โดยเฉพาะความคิดของท่านเอง ท่านจะสามารถทำได้ เมื่อถึงเวลานั้น เพราะฉะนั้น ไม่รู้วันไหน? คือติดอาวุธทุกวัน ติดอาวุธด้วยอะไร? ด้วยถ้อยคำพระเจ้า ด้วยข้อมูลของพระเจ้า ใส่เข้าไปในความคิด พระเจ้าจะใช้เมื่อไรไม่รู้ ใช้ในสถานการณ์อะไรก็ไม่รู้ แต่วันหนึ่งพระเจ้าจะใช้เหมือนที่เปาโลได้รับจากพระเจ้า และใช้อยู่ทุกวันนี้  ไปเยี่ยมเยือนประกาศครั้งสุดท้ายที่กรุงโรม แล้วถูกจับติดคุก ยังอุตส่าห์เขียนจดหมายหนุนใจว่า …

“จงชื่นชมยินดีเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าจงชื่นชมยินดี จงให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพของพระเจ้า ประจักษ์แก่คนทั้งปวง เพราะพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ อยู่ในท่านแล้ว”

ตรงกันข้ามกับการแสดงออกมา ที่มีความเมตตาอ่อนโยน เห็นใจคนที่กำลังเดือดร้อน มีอะไรช่วยได้ ก็ช่วยเขา พยายามช่วยที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ มันจะออกมาเป็นอย่างนี้ ไม่ทำตัวเหมือนคนอื่น บนโลกใบนี้ เขาเห็นแก่ตัวกัน ไม่เหมือนคนอื่น เพราะเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเชื่อแล้ว เรามีพระเจ้าอยู่ในตัวเรา จะทำเหมือนคนอื่นได้อย่างไร? ที่ทำเหมือนคนอื่น เพราะเราไม่ยอมไปที่โลกวิญญาณ เราก็เหมือนกับเขานั่นแหละ ถามว่ารอดไหม? ในวิญญาณรอด แต่พระคัมภีร์บอกรอด เหมือนรอดจากไฟ กลัวไป รอดไปอย่างนี้  เรามีทางเลือกอย่างอื่นตั้งเยอะ แล้วได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย ถ้าเราพร้อม เราก็ไม่สติแตก เมื่อถึงวันนั้น จนกลายเป็นคนทำอะไรเหมือนที่เขาเรียกว่าพวกไร้สติ

เวลาเกิดเหตุอย่างนี้ มันจะเป็นการพิสูจน์ เหมือนข้อสอบ ชัดเจน มีคนเยอะแยะทำอะไรต่างๆ เหมือนไร้สติ คนที่มีวิชาความรู้ดีๆ เรียนสูงๆ ทำไมพูดอย่างนี้ ไม่ให้กำลังใจกันเลยเหรอ ทุกคนก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ปัญหาเดียวกัน มันน่าจะเห็นอกเห็นใจ เขากลัว ก็ต้องเข้าใจเขา ไม่ใช่จะเอาถูกต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้ทั้งหมดมันรวมกันหมดแล้ว ไม่มีใครถูกต้องหรอก มองไปที่ไม่ถูกต้องมีผู้เดียว คือมาร ที่พยายามปั่นให้เราฆ่ากันเอง และที่เราแสดงออกมาทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ตัวเราเอง เมื่อเรามีความปิติยินดี เมื่อเรามีความชื่นชมยินดี ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ก็โผล่มา เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกว่า …

“ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า  ในความอ่อนแอของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถชื่นชมยินดีได้ เพราะข้าพเจ้าอ่อนแอ แต่มีความอ่อนแอที่ไหน ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดที่นั่น เพราะฉะนั้น เท่าที่จะทำได้ เพราะว่าข้าพเจ้าได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้า ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์นั่นเอง”

ไม่ใช่ตัวเราเอง ก็จะถ่อมใจ เพราะมันเป็นของประทานจากพระเจ้าด้วย เพราะพระวิญญาณอยู่ข้างในตัวเรา และประทานของประทานพิเศษให้กับเรา คือความชื่นชมยินดี ซึ่งความชื่นชมยินดีนี้ คือความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง คือความรัก คือสันติสุข

ในที่สุด เมื่อเรารู้เรื่องจริงอย่างนี้แล้ว เราก็ให้ความชื่นชมยินดีที่อยู่ในวิญญาณของเราออกมาใช้ทุกวัน ทุกวินาที อยู่บ้านก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเจอมนุษย์ก็ทำได้ ความคิดมันส่งได้ ยกตัวอย่างเช่นความคิดไปถึงคนๆ นี้ เกลียดมัน หมั่นไส้มัน ไม่อภัยให้มัน ทำได้ไหม? ต้องนั่งรถไปหาเขาไหม? ไม่ต้อง เปลี่ยนแปลงความคิดเป็นชื่นชมยินดี หลับตา …

“น่ารักอย่างนี้ พระเจ้าลูกรักคนนี้ ลูกชื่นชมยินดี”

เห็นไหม? ฝึกได้ตลอดเวลาเลย ไม่จำเป็นต้องออกมาข้างนอก เจอคนโน้นคนนี้ แต่ถ้าเจอกัน จะดีกว่านะ ให้ความชื่นชมยินดีที่อยู่ในวิญญาณของเรา มันออกมา บังคับความคิดให้เชื่อฟัง และทำในสิ่งที่แสดงออกมา เป็นความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวงรอบข้างเราว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่จริงๆ คนเหล่านี้ถึงสามารถทำอย่างนี้ได้ เอเมน

“ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำ สิ่งเหล่านี้เอง สรรเสริญพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้กระทำเอง”

และบอกเขาว่าอยากได้อย่างนี้ไหม? ทุกคนอยากได้ วันนี้ผมจะบอกวิธีให้ แต่ที่นี่เราทุกคนได้ไปหมดแล้ว เป็นผู้เชื่อไปแล้ว ทำอย่างไรพระเจ้าถึงจะมาสถิตอยู่กับเราอย่างนี้ อยากได้มากเลย โรม 10:9-13 ง่ายมากเลย เนื่องจากมารทำให้มันยุ่งยากวุ่นวาย ท่านเลยไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมจะมาบอกท่าน ท่านเอาไปคิดดูง่ายๆ เอง ท่านก็จะสามารถเหมือนกับเราได้ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ท่านก็ไม่ต้องกลัวโควิดอีกต่อไป ท่านจะไม่ต้องกลัวสถานการณ์อะไรอีกต่อไป ท่านจะเป็นเหมือนที่ได้บรรยายมาตั้งแต่ต้นว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน อยู่กับท่าน

โรม 10:9-13 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด   10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด 11 ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอายเลย  12 เพราะไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติก็ไม่ต่างกันเลย พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงอวยพรอย่างอุดมแก่คนทั้งปวงที่ร้องเรียกพระองค์ 13 เพราะว่า “ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับการช่วยให้รอด”

 

เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นลูกพระเจ้า ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ใครที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ในร่างกายของเขา ก็ได้เปรียบตรงนี้ นอกจากจะคุ้มครองดูแล และให้ความรอดทางโลกวิญญาณ คือไม่เป็นคนบาป ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน เมื่อจากโลกนี้ เพราะตอนนี้ก็อยู่แล้ว ก็ยังปกปักคุ้มครองดูแลความคิดของเราในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวสำคัญได้ด้วย ให้พลังกับเรา ให้กำลัง ให้ความสามารถกับเราได้ด้วย ให้เราสามารถเผชิญกับความกลัวด้วย ให้เราสามารถเผชิญกับความกังวลด้วย ให้เรามีความหวังอยู่เสมอ ท่านอยากได้ใช่ไหม? ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นตัวช่วย ลองคิดดูนะ ถ้าท่านไม่มีเลย ท่านหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆ  ถ้าใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังตรงนี้แล้ว มีความรู้สึกกลัว และอยากได้ตัวช่วยอย่างที่เราคริสเตียน ผู้ที่เชื่อพระเจ้าได้ เหมือนที่ผมอธิบายมา เหมือนกับผู้ที่มีพระเจ้าอยู่ในตัวแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่ยากเลย ตามถ้อยคำพระเจ้าที่อ่านเมื่อตะกี้นี้ พระเจ้าบอกว่าเคาะอยู่ที่ประตูใจทุกคน ทุกวันนี้ พระเยซูเคาะต้องการจะช่วย แล้วท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเราเลย  ก็เป็นลูกเท่านั้นเอง เพียงแต่ยังไม่เคยได้ยินข่าวดีนี้ ข่าวดีจริงๆ

พระคัมภีร์ที่ตะกี้เราอ่าน สรุปง่ายๆ ก็คือถ้าท่านยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ท่านรู้ไหมตรงนี้คืออะไร? แค่ท่านเชื่อด้วยใจ รับด้วยปาก แค่นี้เอง ไม่มีข้อแม้นะ ในนี้ไม่ได้บอกว่าถ้าท่านยอมรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ แต่ต้องไม่มีศาสนาอื่น  เชื่อด้วยปากและรับด้วยใจ ต้องทิ้งตัวตน ไม่มี พระเยซูบอกว่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ ขอให้ท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด มันเล็กมาก นิดเดียว ลมพัดก็ปลิวแล้ว เป็นพันๆ ล้านๆ เม็ด มันก็คือมนุษย์ และพระเจ้าบอกว่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ มันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ เวลาท่านพูดว่า …

“พระเยซูลูกเชื่อแล้ว ลูกรับ”

ในใจหรือความคิดของท่าน หรืออะไรต่างๆ ของท่านอาจจะบอกว่าไม่จริง พระเยซูจะเป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายได้อย่างไร? มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมจะบอกท่าน ผมเอง หรือท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่เป็นคริสเตียน ก็คิดอย่างนั้นแหละ มีใครที่ไม่เคยคิดอย่างนี้ว่าท่านเชื่อเหรอ พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เชื่อ 100% จริงๆ เชื่อไหม? ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ ในใจของท่านไม่เชื่อ แต่ความคิดของพระเจ้าเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ พระเจ้าไม่สนใจตรงนั้นหรอก ขอแค่ท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ พูดเท่านั้นเองว่า …

“พระเยซูลูกต้องการพระองค์” จบ

เดี๋ยวพระองค์ก็เข้าไป แล้วจากนี้เราก็เริ่มต้นนับหนึ่ง เกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็เข้าไปอยู่กับท่าน และจะจูงมือท่านเดินทีละวันๆ เอเมนไหม? ไม่ยากเลย เราไปทำให้มันยาก จนคนกลัว ต้องทิ้งประเพณีนั้น ประเพณีนี้ ต้องไม่มีนั้น ต้องไม่มีนี้ ในนี้ไม่มีบอกเลยแม้แต่นิดหนึ่งว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ขอให้ท่านมีแค่เมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ ว่า …

“ฉันเชื่อข่าวดีที่วันนี้คุณนครเขาประกาศมา ฉันเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และช่วยฉันได้ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย”

จบ ตามพระคัมภีร์ มนุษย์ไม่ต้องไปใส่อันนั้นอันนี้ ไม่มีข้อแม้ เอาแค่นี้ ทุกวันนี้พระเจ้าก็คอยอยู่ เคาะประตูอยู่ เมื่อไรจะเปิดสักที ไม่มีข้อแม้อะไรเลย ไม่ได้บอกว่าท่านต้องทิ้งศาสนาอื่นนะ ไม่ได้บอก หรือว่าต้องหยุดไหว้รูปเคารพ ไม่ได้พูด หรือท่านต้องหยุดทำพิธีทางศาสนาใดๆ ไม่ได้บอก ไม่มีเลย มันง่ายนิดเดียวเอง แม้ทุกวันนี้เราเชื่อแล้วก็ตาม ท่านก็มีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่ทำไปเหมือนไปกับคนที่เขายังไม่เชื่อ แล้วจะต่างอะไรกันล่ะ หรือแม้แต่ตัวผมเอง ก็ทำหลายๆ อย่าง ที่เหมือนคนไม่เชื่อ บางครั้งผมก็โมโห บางครั้งผมก็โลภ แล้วถามว่าโลภกับโมโหมันต่างอะไรกับคนนับถือศาสนาอื่น มันต่างอะไรกัน ไม่ใช่รูปเคารพเหรอ แล้วบางคนมาเชื่อพระเจ้า เห็นแก่ตัวมีไหม? มี ถามว่าเห็นแก่ตัวเป็นรูปเคารพไหม? เป็น แล้วมันต่างอะไรกัน บางคนมาเชื่อพระเจ้าแล้ว  นับถือศิษยาภิบาลเป็นรูปเคารพ มีไหม? มี แล้วมันต่างกันอย่างไร? อย่างนั้นใครจะไปรอด

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ครั้งเดียวเป็นพอ ใครเชื่อก็ได้เลย ไม่มีการต้องไปทำอะไร เพราะโดยพระคุณ มันเป็นการเกิดมาได้รับ ทางวิญญาณ พอเชื่อตรงนี้ มันก็เกิดใหม่ในวิญญาณ พอเกิดใหม่มา จบ อย่างนี้จึงเรียกว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ถ้ามาเหมือนเดิมอย่างนั้น พระเยซูยังไม่สำเร็จแล้ว ไม่มีใครได้ไปสวรรค์สักคน ถ้าอย่างนี้ มันจะไปสวรรค์กันเยอะมากทีเดียว และขออวยพรให้ท่านได้ตัดสินใจง่ายๆ พูด …

“ลูกต้องการพระเยซู ลูกต้องการอยากได้อย่างนี้”

พูดให้ชัดเจน จำอะไรไม่ได้หมด ก็ไม่เป็นไร พูด “พระเยซูลูกต้องการพระองค์ ลูกต้องการพระองค์ ลูกเชื่อแล้ว”

แค่นี้ แล้วพระองค์จะนำไปตลอด เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2020 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอน 5 “เราต้องหมั่นสารภาพบาปกับพระเจ้าอยู่เสมอ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  กุมภาพันธ์  2020

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่ทำให้เป็นไท”

ตอน 5 “เราต้องหมั่นสารภาพบาปกับพระเจ้าอยู่เสมอ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอนที่ 5 สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้แล้วว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ จากความเชื่อ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องชำระล้างจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว  เพราะพระเจ้าได้ทำให้เราแล้ว รวมทั้งวิญญาณของเราด้วย แต่สิ่งที่เราสมควรทำในฐานะที่เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว คือจงเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงความคิดในร่างกายนี้เสียใหม่  ให้เข้ากันกับความคิดของพระคริสต์ ในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา ที่เหมือนพระเจ้าอยู่นั่นแหละ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าปรับปรุงความคิดของเรา Mind ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ที่อยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้ ให้เป็นเหมือน Mind of Christ คือเป็นความคิดที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราได้รับจากพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ คิดเหมือนพระเยซูเลย

ฉะนั้น ปรับความคิดที่เนื้อหนังร่างกายนี้ ให้มันเข้ากัน จูนให้มันเข้ากันกับพระเยซู หรือพระเจ้า ที่สถิตอยู่กับเรา อย่าไปตามระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกควบคุมโดยมาร นั่นเอง ในหนังสือโรม 12:2 ลองทบทวนกันนิดหนึ่ง

โรม 12:2 “อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้” หมายถึงเวลาเรามาเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกควบคุมและดำเนินการโดยมาร ผ่านทางบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ ทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อ มันส่งกระแสมายุแยงตลอดเวลา มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก นอกจากจะให้เราเชื่อมันและทำเองนั่นแหละ ผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ไม่ได้บังเกิดใหม่ ก็หนักหน่อย  แต่ผู้ที่เชื่อ ก็มีโอกาสเหมือนกัน ที่จะฟังมัน แล้วไม่ฟังพระคริสต์ที่อยู่ข้างในเรา อย่างนี้ เขาเรียกว่าระบบของโลกนี้

ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้แล้วว่าพระเจ้าได้  เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ  ผ่าตัดวิญญาณของเรา เมื่อตอนที่เรา รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์จริงๆ ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อตอนที่เราเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์เรื่องนี้ พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ที่เราเชื่อจริงๆ เชื่อในใจ รับด้วยปาก พระเจ้าได้ทำการเข้าไปที่วิญญาณของเรา แล้วก็ย้ายวิญญาณของเราออกจากที่อยู่เดิม คืออาณาจักรของความมืด ในพระคัมภีร์โรมบอกอยู่ในอาดัม DNA ของเราอยู่ในนั้น แต่นี่ลึกไปถึงวิญญาณ พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา โดยการย้ายวิญญาณของเราออกจากอาดัม หรือในอาณาจักรของความมืดเข้ามาอยู่ในพระคริสต์

พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ได้ทำให้วิญญาณของเราตาย และชดใช้บาปร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  แล้วได้ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ ร่วมกับพระคริสต์ และพระเจ้าก็ได้ชุบให้เรา เป็นขึ้นจากตาย พร้อมหรือร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ และได้ประทานจิตใจใหม่เอี่ยมให้กับเรา เป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นชีวิตนิรันดร์ สะอาด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย สามารถเข้ากันได้กับความบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจึงสามารถเข้ามาอยู่ในร่างกาย มาอยู่กับวิญญาณของเรา เอเมน

ผมจะอธิบายให้ท่านฟังนิดหนึ่ง ให้ชัดๆ ขึ้น ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ที่ไหนที่หนึ่งในโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ พูดง่ายๆ ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ถ้าเขายังเป็นมนุษย์อยู่ นอกจากไม่มีประเทศ ก็อยู่ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้ อยู่ตรงตำแหน่งไหน? จะขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ ตะวันออก ตะวันตก ต้องอยู่ที่ไหนที่หนึ่ง ถ้าเขาเป็นมนุษย์ ในโลกวิญญาณก็มีอยู่ 2 แห่งเหมือนกัน คือโลกวิญญาณที่เรียกว่าความมืด อยู่ในอาดัมและโลกวิญญาณที่อยู่ในความสว่าง คือในพระคริสต์ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ต้องอยู่ในนี้

เพราะฉะนั้น การที่พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา ก็คือย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด พระคัมภีร์ใหม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ทั้งนั้นเลย นี่คือหัวใจของข่าวดีว่าพระเจ้าผ่าตัดเรา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ในวิญญาณเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของมาร อยู่ในอาดัม ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของความบาป คำสาปแช่ง อยู่ใต้อำนาจของกฎ ย้ายเราเข้ามาสู่พระเยซู พอย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูแล้ว ก็เป็นเหมือนพระเยซู พอเชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูปุ๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเราผ่าตัด จัดการปุ๊บ เอาวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เสร็จแล้ว เราก็ตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระคริสต์ แล้วเราก็ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ 3 วัน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ชัดเจนเลย แล้ววันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เลยเป็นด้วย นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และได้รับวิญญาณใหม่ ที่เรียกว่าวิญญาณเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณสะอาด ใหม่ หมดจด เรียบร้อยเลย ไม่มีที่ติใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือครั้งที่แล้ว

แล้วมาหัวข้อบรรยายในวันนี้คือ “ความเชื่อเก่าแก่กับความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 5 เขามีการสอนไว้อย่างนี้นะ คือ “เราต้องหมั่นสารภาพบาปกับพระเจ้าอยู่เสมอ” คิดในใจ นี่เราได้รับการสอนอย่างนี้มาตลอด ที่แล้วมา เราเชื่ออย่างเดียว ใครไม่รู้สอนไว้ เราก็ไม่ได้คิด ตอนนี้ เรามาคิดดูว่ามันถูกไหมว่าเป็นความเชื่อ ตามตำนาน ที่สอนกันมานานมาก แล้วว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องหมั่นสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้าอยู่เสมอๆ เพื่อที่เราจะได้รักษาชีวิตให้สะอาด บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้าไว้ได้ คิดให้ดีๆ อันนี้ช้านิดหนึ่ง ใครไม่รู้ สอนมานานแล้ว แต่ไม่ใช่ในพระคัมภีร์แน่ เป็นตำนานเก่าแก่ สอนเราว่าเมื่อท่านได้มาเชื่อพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าท่านจะพลั้งเผลอไปทำผิดอะไร? ทำบาปอะไร? ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม  ก็จงอธิษฐานขอรับการอภัยจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าเปี่ยมล้นด้วยความรัก ความเมตตา พระองค์จะทรงอภัยบาปให้กับท่าน ไม่ว่าท่านจะทำกี่ครั้งก็ตาม ไม่ว่าความผิดนั้นจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ให้ท่านหมั่นที่จะสารภาพต่อพระเจ้า คุ้นไหม?  ฟังดูดีมาก มันถึงเชื่อง่าย

หลายคนก็เคยได้รับการสอนมาว่าทุกครั้งที่เข้าไปหาพระเจ้า เราควรเริ่มต้นการอธิษฐาน ด้วยการสารภาพบาปก่อน แล้วถึงจะคุยกับพระเจ้า จะอธิษฐานอะไรก็ว่ากันไป ในขณะนมัสการ ใช่เลย ร้องเพลงนมัสการพระเจ้า ถ้าให้ดี ก็คือต้องสารภาพบาปก่อน มันกลายเป็นอะไรที่คริสเตียน ผู้มาเชื่อต้องทำ ทุกวันนี้ ก็ยังมีหลายแห่ง ที่นมัสการวันอาทิตย์ และมีการประกาศว่าใครที่รู้ตัวว่าทำผิด หรือเผลอไปทำอะไรมา ระหว่างสัปดาห์ที่แล้ว ก็ให้ออกมาข้างหน้า ให้ที่ประชุมร่วมกันอธิษฐานให้ เพื่อขอรับการอภัยโทษ จากพระเจ้า อาทิตย์นี้มาโบสถ์ ก็ออกมา เพื่อขอรับการอภัยโทษจากพระเจ้า พออาทิตย์หน้ามาอีก รู้สึกไม่สบายใจ ก็ออกไปอีก ให้อธิษฐานอีก พออาทิตย์ต่อไป ก็ออกไปอีก ไม่สบายใจ มันยังไม่ชนะ เพราะฉะนั้น ไปหาศิษยาภิบาลที่โบสถ์วันธรรมดาเลย ให้อธิษฐานให้อีก อันนี้เกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น บางคนจึงออกมาทุกอาทิตย์เลย ไปรับการเจิม ไปรับการชำระล้างทุกอาทิตย์ บางคนหนักกว่านั้น ไปรับการไล่ผีออก ไล่แล้วไล่อีก ไม่รู้พระเจ้าที่อยู่ในตัวไปไหน ทำไมผีมันเยอะอย่างนี้ เพราะอะไร? แล้วมันมาจากไหน? ในเมื่อพระคัมภีร์ไม่มีบันทึกอย่างนั้น ใช่ไหม? เพราะแน่นอน เมื่อเรียกแล้ว ถ้าไม่มั่นใจ ทุกคนเดินออกไปหมดแหละ เพราะว่าอาทิตย์นี้ ผมบอกท่าน พูดตรงนี้เสร็จปุ๊บ ท่านเดินออกไปปุ๊บ ถามว่าบางคนไม่ถึง 1 นาที ทำบาปไหม?

“ตอนนี้มั่นใจ ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจด”

พอออกไป เดี๋ยวอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา รู้สึกตัวไหมว่าเราบาปอีกแล้ว แล้วมันก็สะสมไปเรื่อยๆ จนถึงวันอาทิตย์ 7 วัน มาโบสถ์ มีการเรียกอย่างนี้ รับรองก็ต้องมีคนออกมา เพราะเขาไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์สะอาดของตัวเขาเอง วิญญาณของเขา ท่านพอจะเห็นภาพชัดขึ้นแล้วนะ ซึ่งถ้าความเชื่อหรือคำสอนอย่างนี้ สมมติก่อนว่ามันถูก ว่าเราต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าบ่อยๆ  เสมอๆ กันลืม อะไรแบบนี้ ถามตามเหตุผลเลยนะ  ถ้าเกิดมีบาปที่เรานึกไม่ถึง หรือลืมสารภาพไป หรือสารภาพไม่ทัน ตายก่อน  แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น สารภาพไม่ทันตายก่อนมีเยอะเลยนะ ไม่ต้องรอพระเยซูมา ไปหาพระเยซูเองเลย ออกจากโบสถ์นี้ไป ไปติดเชื้อโควิต 19 ตาย ยังไม่ได้สารภาพบาป แล้วทำอย่างไร? แล้วบางอันลืมไป กะว่าเดี๋ยวกลับบ้านจะอธิษฐาน อ้าว! ลืมแล้ว แล้วต้องคอยจำ ต้องทำอะไรบ้าง? พระเยซูบอกแค่ความคิด ก็ผิดแล้ว ตอนนี้บางคนนั่งอยู่ข้างๆ

“ใส่น้ำหอมมาฉุนมากเลย รำคาญจริงๆ เลย”

บาปหรือยัง? บาปแล้ว คิดแค่นี้ก็บาปแล้ว กลับไป ต้องอธิษฐานสารภาพบาป ลืมไป ตายก่อน จะอยู่ในนรกหรือในสวรรค์ดี ท่านพอนึกภาพออกไหม? ผมพยายามให้ท่านมาชัดๆ

แต่ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ คืออะไร? โคโลสี 2:13

โคโลสี 2:13 “เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่าน และในวิสัยบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต  พระเจ้าได้ทรงให้ท่านมีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ พระองค์ทรงอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของเรา”

 

“เมื่อท่านตายแล้วในบาปของท่าน และในวิสัยบาปของท่าน คือเนเจอร์ ธรรมชาติบาปของท่าน ซึ่งไม่ได้เข้าสุหนัต” หมายความว่าก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้า ทุกคนมีสภาพเป็นคนบาป ไม่ใช่เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นประชากรของมาร และอยู่ในธรรมชาติ หรือวิสัย หรือเนเจอร์ของความบาป ซึ่งไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา ไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้า ที่เรียนกันในครั้งที่แล้วว่าที่เข้าสุหนัต คือการทำในยุคพันธสัญญาเดิม เล็งให้เห็นถึงพันธสัญญากับพระเจ้าว่าเป็นประชากรของพระเจ้า เล็งให้เห็นถึงในยุคปัจจุบัน ในยุคโลกวิญญาณ พวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต สมัยนั้น ถือว่าเป็นพวกนอกรีต ไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า การอยู่ในวิสัยบาป หรือเนเจอร์บาป ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ก็คือการไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์นั่นเอง ก็คือยังไม่เชื่อในพระคริสต์ ยังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะฉะนั้น ไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์ ก็คือยังคงเป็นคนบาปอยู่นั่นเอง

โคโลสี 2:11 ที่เราได้อ่านครั้งที่แล้ว บอกไว้อย่างนี้ว่าในพระองค์ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือเมื่อพระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ท่านได้เข้าสุหนัต ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ แต่ด้วยพระวิญญาณ ก็คือพระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทำพันธสัญญากับพระองค์ เป็นประชากรของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ ในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือได้สลัดวิสัยบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ แต่ทำโดยพระคริสต์ นี่ครั้งที่แล้ว ในโคโลสี 2:11 สลัดวิสัยบาป คือเอาเนเจอร์บาป เอาธรรมชาติบาปตัวเก่าออกไปเลย วิญญาณเราใหม่เอี่ยมเลย เรียกว่าบังเกิดใหม่

สรุปรวมความ ก็คือก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้านั้น ท่านยังมีสภาพ เป็นคนบาป พอผมบอกท่านมีสภาพเป็นคนบาป จงมองให้เห็นถึงความเป็นจริง ซึ่งผมพยายามเน้นตรงนี้บ่อยๆ พอบอกว่า “ท่านๆ” “คนๆ” หมายถึงตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณที่อยู่นิรันดร์ ที่เรามองไม่เห็น ผมก็มองท่านไม่เห็น  ตัวท่านเอง ก็มองตัวท่านเองไม่เห็น นี่แหละ คือปัญหา ที่ถูกหลอกได้ง่าย แต่พระคัมภีร์บอกเรา สอนเรา ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้านั้น ท่านยังมีสภาพเป็นคนบาป  และยังไม่มีส่วนร่วมในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น วิญญาณท่านจึงตาย คือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า อยู่ในโลกแห่งความมืด อยู่กับมาร อยู่ในอาดัม ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์สะอาดในสายพระเนตรของพระเจ้า

ตอนก่อนที่ผมจะเชื่อในพระเจ้า เป็นอย่างนั้น เป็นที่ตรงวิญญาณของเรา ทุกครั้งต่อไปนี้ พอบอก “ฉันๆ” นึกไปเลยว่า “ฉัน” หมายถึงวิญญาณ ซึ่งจะอยู่นิรันดร์

เพราะฉะนั้น นี่คือก่อนที่จะเชื่อ และหลังจากที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มี 2 สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน ฟังให้ดีๆ ในวิญญาณของฉัน ตัวเป็นๆ ตัวจริงๆ ของฉัน ก็คือ …

(1) คือพระเจ้าได้ทรงให้ท่านมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ ให้ท่านเกิดใหม่ และอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ย้ายท่านออกจากอาดัมไปอยู่กับพระคริสต์

(2) คือพระองค์ทรงอภัยบาปทั้งสิ้นของเรา แปลว่า อภัยทุกๆ ครั้ง “ทุกๆ ครั้ง” แปลว่าไม่มียกเว้นบางครั้ง ถ้าบางคนบอกว่า …

“ไม่ได้ บาปนี้พระเจ้าไม่อภัยให้”

“ทำไม”

“เพราะมันเป็นบาปที่ตั้งใจทำ”

“อ้าว! ในนี้บอกว่าทุกๆ ครั้ง”

แปลว่าทุกๆ ครั้ง ยกเว้นตั้งใจ อย่างนั้นหรือเปล่า?  ในนี้บอกทุกครั้ง  ทั้งหมดเลย ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ว่ากันตามจริงแล้วพระเยซูไม่เคยว่าไม่ตั้งใจ เพราะมันทำมาจากข้างในทั้งสิ้น  มันตั้งใจทั้งนั้นแหละ ไม่มีคำว่าไม่ตั้งใจหรอก อันที่บอกว่าไม่ตั้งใจ คือมนุษย์พยายามหาความชอบธรรมให้ตัวเอง

ใครที่ยังสงสัย หรือยังไม่มั่นใจในเรื่องการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ว่าท่านได้รับการอภัยบาปทั้งสิ้นแล้วจริงๆ การไถ่บาปนิรันดร์ การได้รับความรอดนิรันดร์จากพระเยซูคริสต์ จากพระเจ้าแล้ว ถ้าท่านยังไม่มั่นใจในเรื่องนี้ ผมอยากแนะนำให้ท่านไปอ่านหนังสือ ศึกษาเพิ่มเติม อันนี้เป็นหนังสือที่ชัดเจนมากเลยในพระคัมภีร์ หนังสือจดหมายฝากฮีบรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทที่ 9 และบทที่ 10 จริงๆ เขาว่ามาตั้งแต่บทที่ 1 นั่นแหละ แต่ว่าเน้นชัดๆ ชัวร์ๆ บทที่ 9 บทที่ 10 อ่านเฉพาะ 2 บทนี้ ก็เข้าใจแล้ว ซึ่งเป็นถ้อยคำพระเจ้า ที่ย้ำยืนยันกับเราว่าบาปทั้งหลาย ทั้งปวงของเราได้ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์ ใช้คำนี้เลย “ได้รับการไถ่บาปนิรันดร์” เรามาดูฮีบรู 9:12

ฮีบรู 9:12 “พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง  พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ  และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”

 

พูดตามนะ “พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”

พระองค์ได้ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าสถิตอยู่ โดยพระโลหิตของพระองค์เอง สมัยอดีต พระเจ้าสร้างเงาว่าอนาคตจะทำอย่างนี้ ปุโรหิตที่เป็นมนุษย์บาปเข้าไป เอาเลือดแพะเลือดแกะ เลือดสัตว์เข้าไป แต่พอมาถึงพระเยซูที่เล็งไว้ ของจริงมา จะเป็นอย่างนี้แหละ พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยตัวพระองค์เอง และพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้  ก็คือไถ่บาป เพียงครั้งเดียวเป็นพอ ได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์

ในสมัยพระคัมภีร์เดิมที่เป็นเงานั้น มนุษย์ที่เป็นปุโรหิตเอาเลือดสัตว์เข้าไป ต้องไปทุกปี ไปต่ออายุ ไม่มีการเอาออกไป มีแต่ปกปิดไว้ชั่วคราว คำว่า “ไถ่บาปนิรันดร์” ครอบคลุมตั้งแต่บาปที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด เกิดมาไม่ต้องอะไรเลย ก็บาปแล้ว เพราะเป็นบาปที่ส่งทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา คือในอาดัม  ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีตรงนี้อยู่ใน DNA บาปที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด บาปที่เราเคยทำในอดีต ไม่ว่าจะจำได้หรือไม่ได้ ก็ตาม รวมทั้งบาปที่เรากำลังทำกันอยู่ในขณะนี้ คิดในใจว่า …

“คนนี้เหม็นจริงๆ น้ำก็ไม่อาบ”

คิดอยู่ตอนนี้  … “เราอุตส่าห์ทักเขานะ ไม่ยอมยิ้มกับเราเลย หมั่นไส้จริงๆ คนนี้”

บาปไหม? กำลังคิดอยู่ใช่ไหม? ต้องสารภาพบาปไหม? บาปที่เรากระทำกันอยู่ในขณะนี้ จนถึงบาปที่เราจะทำพรุ่งนี้ด้วย ไม่ต้องถึงพรุ่งนี้ เดี๋ยวออกจากนี้ไป ไปกินข้าว อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ อารมณ์ไม่ดี มีโอกาสไหม? ก็คือบาปในอนาคตนั่นเอง       เพราะฉะนั้น บาปที่พระเยซูไถ่นิรันดร์ มันรวมตั้งแต่บาปในอดีตจนถึงบาปในอนาคต ตลอดไปเลย  เอเมน

พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนี้ ในพระคัมภีร์เดิม เป็นแผนการของพระเจ้าบอกล่วงหน้าว่า … ตราบเท่าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก มันไม่มีวันได้เจอกันเลย บาปทั้งหลายทั้งปวงของเราได้ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว พระเจ้าได้เอาออกไปไม่มีอีกเลย ที่จะมีบาปอีกต่อไป เมื่อถึงวันนั้น คือวันที่พระเยซูมาไถ่บาปเรา เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องมีการสารภาพบาปไหม? ในเมื่อบาปมันไม่มี มันไม่ได้เป็นหนี้ ต้องไปขอร้องเขาให้อภัยให้ฉันด้วยนะ ฉันไม่มีเงินจ่าย มันไม่ได้เป็นหนี้เขาแล้ว เอเมนไหม? ชัดเจนเลย

และการสารภาพบาปในพระคัมภีร์บอก มีพูดถึงในหนังสือ 1 ยอห์น 1:9 คนเอาไปใช้ผิดเยอะแยะ ในนี้มีพูดถึง แต่พูดถึงตรงนี้ คือการสารภาพบาปของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขอเพียงครั้งเดียว เป็นพอแล้ว ก็คือสารภาพว่า …

“ฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป และต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเป็นผู้ไถ่บาป มาตายบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฉันเชื่อตรงนี้ ฉันสารภาพบาปฉัน”

ทันใดนั้น เขาได้บังเกิดใหม่ แล้วจากนั้น ก็ไม่สารภาพอีกแล้ว สารภาพครั้งเดียวนั่นแหละ ในหนังสือ 1 ยอห์น 9 บอกว่า …

“ใครก็ตามที่สำนึกอย่างนี้ว่าฉันเป็นคนบาป และต้องการรับการช่วยเหลือ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”

ให้ทำอย่างไร? ให้เข้าไปหาพระเจ้า แล้วก็ยอมรับว่า … “ฉันเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เชื่อในพระเยซู พระเยซูช่วยได้”

นี่คือข่าวประเสริฐ ครั้งเดียว ไม่ต้องสารภาพบาปอีกต่อไป เกิดใหม่ในพระเจ้า นี่คือความหมายของคำว่า … “เพียงครั้งเดียวเป็นพอ” และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา ตามพระคัมภีร์ที่ตะกี้เราได้อ่านกัน

ในหนังสือสดุดี กษัตริย์ดาวิดก็เคยเผยพระวจนะไว้อย่างนี้ นี่ก็เป็นเงา เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิม ชัดเจนเลย สดุดี 32:2

สดุดี 32:2  “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ทรงถือโทษบาปของเขา”

 

ภาพของพระเจ้าที่กษัตริย์ดาวิดได้รับการเปิดเผยให้เห็นทางวิญญาณ ก็คือทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่ทรงจดจำความผิด ไม่ทรงถือโทษในบาปของมนุษย์ แต่วิธีการเข้าหาพระเจ้า ที่คริสเตียนหลายคนได้รับการสอนมา ตามตำนานเก่าแก่เป็นอย่างไรครับ? เคยได้ยินไหมครับ หลักการอธิษฐานกับพระเจ้ามี 4 ข้อ ผมตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ช่วงแรกมีความสุขมาก ไม่รู้เรื่องอะไร พอเริ่มเข้ามาเรียนพระคัมภีร์ปุ๊บ มาเลย ภาระเต็มเลย  ก่อนนี้มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เข้ามาถึง อยู่ที่ไหนก็ …

“โอ้! พระเจ้า ลูกรักพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงไถ่บาปลูก ขอบคุณพระเจ้า”

ขอนั่นขอนี่ กระหนุงกระหนิง ไปเรียนพระคัมภีร์ ไม่นานเลยนะ เริ่มกลับเข้ามา อธิษฐานกับพระเจ้า เดี๋ยวเปิดดูก่อนว่าเขาสอนเอาไว้ว่าอย่างไร? เริ่มต้นให้สรรเสริญพระเจ้าก่อน แล้วก็ขอพระเจ้ายกโทษบาปที่เราอาจจะเคยทำ หรือทำ คิดใหญ่เลย คิดไปทำบาปอะไรบ้าง หมดเวลาพอดี ไม่ได้อธิษฐานเลย หมดเวลาแล้ว จำไม่ได้ว่าต้องอธิษฐานอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น …

(1) ต้องเริ่มต้นการอธิษฐานด้วยการสรรเสริญพระเจ้า

(2) ให้ทบทวนว่าวันนี้เราไปทำบาป หรือทำอะไรไม่ดีมา ก็ให้สารภาพบาปนั้นกับพระเจ้า แล้วก็ขอพระเมตตาของพระเจ้าอภัยในความผิดบาปเหล่านั้นให้เราด้วย

(3) จากนั้น ก็ให้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรของพระองค์ ที่ให้กับเราในแต่ละวัน

(4) จบการอธิษฐานด้วยการทูลขอสิ่งที่เราอยากได้ ให้พระองค์ทรงช่วย

มีใครเข้าไปหาพ่อเราแบบนี้บ้าง? มีใครที่ตอนเล็กๆ แล้วบอกอย่างนี้ …

“พ่อ วันนี้ลูกจะไปคุยด้วยนะ พ่อเป็นคนดีเหลือเกิน พ่อเป็นคนดีของลูกมากเลย”

ยอพ่อใหญ่เลย เสร็จแล้วก็คิด จดเอาไว้ … “พ่อ เมื่อวานนี้ลูกไม่เชื่อฟังพ่อ พ่อบอกลูกว่าอย่าไปเที่ยว ลูกก็ไปเที่ยว ยกโทษให้ลูกด้วยนะ”

แล้วก็คิดๆ แล้วก็ยกโทษเยอะแยะเลย “เมื่อวานนี้คิดว่าพ่อเป็นคนใจร้าย ยกโทษให้ลูกด้วยนะ”

เสร็จแล้ว จากนั้น ก็ให้ขอบคุณพระเจ้า “ขอบคุณพ่อ สำหรับเมื่อวานซืนนี้ ที่ให้ข้าวลูกกิน”

จบการอธิษฐานด้วยว่า … “พ่อ ลูกขอเงินสัก 10 บาท ขอเงินสักร้อยหนึ่ง”

พ่อคงคิดว่า … “ทำไม คิดว่าฉันโง่หรือไง ปะเหลาะให้ฉันเชื่อใจ ในที่สุดก็มาขอเงิน” อะไรอย่างนี้

นี่เป็นการสอน แล้วเราเคยคิดว่าความสัมพันธ์กับพ่อลูกต้องเป็นอย่างนี้เหรอ ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนผ่านการสอนแบบนี้มาเกือบหมด เพราะหลังๆ มาที่นี่ไม่ได้สอนแบบนี้แล้ว จากที่เราได้เรียนรู้อย่างชัดเจนขนาดนี้แล้วว่าจากนี้ไป เราไม่จำเป็นต้องสารภาพบาปอะไรอีกแล้ว เราเป็นลูกอย่างแท้จริง และสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเราเรียบร้อยแล้ว เรากำลังไปคุยกับพ่อที่รักเรามาก และไม่จดจำความบาปผิดของเราเลย พระเจ้าที่เป็นพ่อ ที่ได้ชำระล้างเราจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์แล้ว เพราะเป็นลูกของพระองค์แล้ว สะอาดหมดจดเลย พระเจ้าที่ไม่เคยจดจำความผิดของเราแม้แต่นิดเดียวเลย พระองค์บอก

แต่มิได้หมายความว่าผมบอกว่าแต่นี้ต่อไป เราขอโทษพระเจ้าไม่ได้ ยังขอโทษได้อยู่ ถ้ารู้สึกอยากจะขอโทษว่าเราไปทำอะไรผิดมา กี่ครั้งแล้ว สู้ไม่ได้สักที ไม่เป็นไร ในใจรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องขอโทษก็ได้ แต่จะขอโทษก็ไม่เป็นไร แต่ให้ในใจรู้ว่าเป็นอย่างนี้ สะอาดหมดจดแล้ว หรือเราอาจจะติดปากไปแล้ว เพราะถูกสอนผิดๆ มา ขอโทษพระเจ้า แต่ในใจรู้แล้วว่าถึงไม่ขอโทษ พระเจ้าก็อภัยให้แล้ว ไม่ได้จดจำความผิดของเราแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้สำคัญอะไรเลย หรือถ้าเราพอจะจำได้ เราก็บอกว่า …

“โอ! พระเจ้า ลูกเสียใจ ลูกขอโทษ” ก็ได้

มันอยู่ที่ความจริงใจข้างในมากกว่า ที่เรารู้ความจริงหรือไม่? แล้วทำไม ผมถึงต้องมาเน้นตรงนี้เยอะๆ เพราะนี่คือหลักการของมาร ที่จะพยายามดิสเครดิต ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง โดยการผ่านทางพวกเรานั่นแหละ ผู้เชื่อทั้งหลาย เราได้ไปสวรรค์จริง แต่ทำให้คนข้างๆ ไม่ได้ไปสวรรค์ ข่าวประเสริฐไม่ได้ไปถึงเขา เพราะข่าวประเสริฐได้ถูกตัดทอนไปเรื่อยๆ ว่าตกลงเราต้องพึ่งตัวเองอยู่ เราต้องทำดีอยู่นะ ถึงจะได้รับความรอด พระคัมภีร์บอกเรารอด ไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา ไม่ใช่เพราะเราทำดี แล้วเรารอด แต่เรารอดแล้ว เราจึงทำดี เพราะพระเจ้าช่วยเรา แล้วยังทำชั่วอยู่ไหม? ยังทำชั่วอยู่บ้าง? แต่เราไม่ได้รอด เพราะเราทำดี ถ้าเรารอดเพราะทำดี เดี๋ยวเราชั่ว ก็ไม่ได้รอด เขาเรียกว่ารอด โดยพระคุณ การเชื่อในพระเยซูคริสต์ ความรอดจากบาป

เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราจะสำแดงให้คนข้างๆ เขาเห็นความจริงว่าคริสเตียนเป็นอย่างนี้ ข่าวดี คือท่านเชื่อพระเจ้าแล้ว รอดเลย แล้วผมก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ผมก็อธิษฐานอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็เห็นชีวิตของเราว่านี่คือดำเนินชีวิตในข่าวดีของพระเจ้า ดำเนินชีวิตในวิญญาณจริงๆ ถ้าว่าเราทำผิดบาป แล้วเรายังมาอธิษฐานกับพระเจ้าน้ำตาไหล

“ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกแย่ ลูกต้องตกนรกแน่ๆ”

แล้วคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาบอก … “แล้วฉันจะมาเชื่อพระเจ้าทำไม? ก็พอกันแหละ เหมือนกันแหละ ฉันก็กลัวนรกนั่นแหละ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร?”

ท่านพอจะมองเห็นไหม? มารจะทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง แต่ถ้าท่านบอกว่า …

“พระเจ้าลูกขอบคุณพระองค์ ที่อภัยให้ลูกตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ตาม สิ่งที่ลูกคิดไม่ดีไป สิ่งที่ลูกโลภไป ที่ลูกไปขโมยของเขา โกรธเขา ลูกเสียใจ ลูกรู้ว่าพระองค์ยกโทษให้ลูกเรียบร้อยแล้ว และลูกเป็นคนบริสุทธิ์สะอาด เหมาะสมกับการอยู่สวรรค์กับพระองค์ เพราะลูกได้รับการชำระโดยพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อ  เป็นลูกที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน”

เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เราได้ยิน อยากได้จังเลย อย่างนี้ … “อยากได้จัง เพราะฉันก็ช่วยตัวเองไม่ได้ หลายครั้งที่ฉันโกรธ อารมณ์ไม่ได้ ก็ว่าเขาไป เสียใจ ไม่รู้จะไปหาใครดี จะพึ่งตัวเอง เดี๋ยวก็ทำอีกแล้ว เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็กิเลสขึ้น นี่เหรอ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ใช่จริงๆ ฉันชักสนใจแล้วสิ”

เขาก็จะมาถามเรา นี่แหละคือการประกาศข่าวดี ที่เป็นของแท้ๆ เพราะฉะนั้น เราจะบอกเสียใจ หรือจะบอกขอโทษพระเจ้าติดปากก็ตาม แต่ให้ข้างในความคิดของเราลึกๆ เขาเรียกว่า … ตะกี้นี้ บอกว่าจงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ แม้ปากจะบอกว่า … “พระเจ้าขอโทษ” … แต่ให้เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ว่า …

“ตัวจริงๆ ของฉันสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พระเจ้าชำระโทษให้ ชำระล้างเรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ นี่ไม่ใช่ตัวฉัน นี่คือความเคยชินของร่างกายนี้ที่ยังอยู่ใต้อิทธิพลของระบบของโลกใบนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ซึ่งพยายามส่งเป็นกระแสเข้ามา กระตุ้น เรียกว่าเนื้อหนัง กระตุ้นๆ ให้ความคิดของฉันทำตามมัน ซึ่งฉันกำลังฝึกฝนความคิด จับมัน และเอาถ้อยคำพระเจ้าใส่เข้าไปแทนที่ ค่อยๆ ฝึกมันไปทีละนิดทีละหน่อย แต่ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของฉัน วันหนึ่งความคิดนี้มันจะต้องไปอยู่กับร่างกายนี้ และไปอยู่ในดิน เพราะว่าร่างกายนี้ถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ วันหนึ่งโลกใบนี้ถูกทำลาย สิ้นสุด ร่างกายนี้ก็จะสิ้นสุดด้วย หรือร่างกายนี้ไม่ถึงวันที่โลกสิ้นสุด ร่างกายฉันอาจจะสิ้นสุดเองก่อนก็ได้ จากความเจ็บป่วย หรืออะไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ตัวจริงของฉัน ตัวจริงของฉันคือวิญญาณของฉัน และวิญญาณของฉันถูกชำระล้างจนสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซู และมีใจใหม่ที่พระเจ้าทรงประทานให้ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์และตรงนี้ ฉันจะไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ และรอรับร่างกายใหม่จากพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ฉัน เพื่อสวมร่างกายนั้น ในวันหนึ่งข้างหน้า เอเมน”

นี่มันคือความหวังใจของคริสเตียน มันจะเป็นอย่างนี้ การรู้สึกผิด รู้สึกเสียใจ เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เราควรจะระลึกถึง เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราจงเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ เราทำอะไรไม่ถูกต้อง ความคิดของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณของเราจะส่งข้อมูลมา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เราก็ได้ยิน …

“ขอโทษๆ เสียใจๆ”

เป็นสิ่งที่ดี เพื่อเป็นสิ่งที่เตือนใจ ไม่ให้เราทำสิ่งที่ผิดๆ ซ้ำๆ เยอะๆ บ่อยๆ ซึ่งถึงแม้จะทำซ้ำ ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ทำให้เราไม่รอด แต่ทำให้เราลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะว่ามันไม่เป็นพระพร สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ การไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเลย แม้แต่นิดเดียว เอเมน

เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริง เราจะไม่กลัว ทำผิดก็ผิดไป คนเราเกิดมาก็ทำผิดทั้งนั้นแหละ เพราะมันยังอยู่ในระบบของโลกนี้อยู่ แต่วิญญาณไม่มีการกระทำผิดอีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นวิญญาณที่สะอาดหมดจด อยู่กับพระเจ้า และใจใหม่ที่พระเจ้าทำให้เป็นเหมือนพระเยซู ไม่มีวันทำอะไรผิดอีกต่อไป เต็มไปด้วยความรัก เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย

“ในวิญญาณและในใจใหม่ของฉันบอกว่าอภัยให้ มาตบอีกข้างหนึ่งก็ได้  แต่ความคิดของฉันได้รับการกระตุ้นจากระบบของโลกนี้บอก อัดมันต่อเลย  อัดมัน สู้มันสิ”

พอเข้าใจไหม? ทนไม่ไหวแล้ว โต้ตอบออกไป ไม่เป็นไร คนละเรื่องกัน มันไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าเผื่อฝึกฝนบ่อยๆ เอาถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นถ้อยคำของพระคริสต์ เป็นความคิดของพระคริสต์มาใส่เข้าไปในความคิด ในร่างกายของเราบ่อยๆ เติมข้อมูลใหม่นี้เข้าไป มันก็จะสามารถต้านระบบของโลกนี้ ซึ่งถูกล่อลวง โดยมารส่งเข้ามาได้มากขึ้น เราจึงเรียกตรงนี้ว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ใน 2 โครินธ์ 10 บอกไว้ นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ชนะมันตรงความคิด ในร่างกายของเรา ระหว่างระบบของโลก ควบคุมโดยมาร และพระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในร่างกายของเรา ในวิญญาณของเรา และใจใหม่ของเรา นี่คือชนะ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตไปแล้ว เราชนะ อย่างไรเราก็ชนะ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไปให้ชีวิตของเรา มีความมั่นใจ มีความเชื่อที่มั่นอกมั่นใจว่าเราได้รับการไถ่บาปชั่วนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องสารภาพบาป เพื่อขอการอภัยโทษบาปอีกต่อไป เราเป็นลูกพระเจ้าแบบถาวรนิรันดร์ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า แบบถาวรนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้เกิดใหม่อยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่มันติดอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง เวลาร่างกายนี้ตาย หรือเรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง เราไม่ได้ไปไหน เราก็อยู่ที่เดิม คืออยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน อยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์ … สวรรค์คือที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่

ให้เราเข้าใจในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ท่านเห็นไหม? พอเข้าใจเรื่องแรกถูก มันถูกหมดเลย พอผิดมันเยอะแยะ ตีกันยุ่งวุ่นวายเลย เหมือนที่ผมเคยบอก กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ท้ายๆ มันเอียงไปเอียงมา แก้ไม่ได้เลย ต้องเริ่มต้นเม็ดแรกใหม่ เหมือนกัน พอเข้าใจตรงนี้ถูกปุ๊บ ต่อไปท่านจะเข้าใจหมดเลย อะไรที่เคยงง ต่อไปนี้ท่านจะรู้แล้ว ทำไมพระเจ้าถึงบอกอภัยให้เราหมดเรียบร้อย มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำของเรา มันเกี่ยวกับเราเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรนี้แล้ว ไม่ใช่ตัวเราอีกต่อไปเป็นผู้กระทำ แต่เป็นระบบเก่าที่มันกระตุ้นผ่านทางร่างกาย ความคิดนี้ ซึ่งวันหนึ่งมันจะสิ้นสุดไป มันชัดเจนนะ

“เพราะฉันรอดโดยการมาบังเกิดใหม่ อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้อยู่ในอาดัมอีกต่อไป”

นี่คือหัวใจ ผมถึงชอบร้องเพลงนี้ …

“อยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงฤทธิ์         ฉันรอดความผิด ไม่กลัวความตาย

เกิดในพระองค์ จวบจนวันตาย                  พระคริสต์นำหน้า หนทางชีวี”

ตอนนี้พวกเราที่เชื่อแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา วิญญาณเราสะอาด หมดจดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด แล้วมีจิตใจ ที่เรียกว่า Mind of Christ เหมือนพระคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นความรัก เป็นความสว่าง เป็นความศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ อินโนเซ็นต์กับบาปเลย ไม่รู้บาปคืออะไร? ทำชั่วไม่เป็นเลย แต่เผอิญยังอาศัยอยู่ในร่างกายเก่านี้ ซึ่งมันยังเป็นเชื้อของระบบของโลกนี้ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร มารไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย นอกจากส่งข้อมูลกระตุ้นเนื้อหนังร่างกายนี้ ให้ทำตามมัน ให้คิดหรือกระทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า

พระเจ้าบอกว่าเราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นความรัก สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า

มารก็ส่งมาบอกว่า … “อย่างนี้ไม่ไหวนะ เธอให้อภัยเขามากี่ครั้งแล้ว จัดการเลย อัดมันเลย สู้มัน” อย่างนี้

พระเจ้าบอกว่า  … “อย่าโลภนะ โลภทำให้เธอลำบาก ไม่ต้องโลภหรอก พระเจ้ารู้ว่าเธอต้องการอะไร? จะกินอะไร? ดื่มอะไร? อะไรต่างๆ พระเจ้าดูแล ขนาดนกในอากาศยังดูแลเลย แล้วจะไม่ดูแลเธอได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วงหรอก”

มารบอก … “อย่างนี้แย่แล้ว จะต้องสะสมไว้ เศรษฐกิจจะไม่ดี โลภเข้าไป เก็บเข้าไป สะสมเข้าไปเยอะๆ มันดี มันจะได้ปลอดภัย”

เห็นไหม?  แล้วก็สู้กันอย่างนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2020 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอน 4 “ต้องชำระจิตใจให้สะอาด” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  กุมภาพันธ์  2020

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอน 4 “ต้องชำระจิตใจให้สะอาด”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรากลับมาที่หัวข้อการบรรยาย ที่เราได้เรียนกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หัวข้อเรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้เป็นไท” ที่เป็นความเชื่อ หรือคำสอนที่มาแต่โบราณ  ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมา จนกลายเป็นความเชื่อที่เรียกว่าเก่าแก่ มันเก่าแก่จริง แต่มันไม่ตรงกับพระคัมภีร์ แล้วทำไมคนเชื่ออย่างนี้มาตลอด ก็ไม่รู้สิ มันเป็นประเพณีไปแล้ว เป็นความเคยชิน เขาว่ามาอย่างนี้ ก็เลยว่าไป

ท่านเคยคิดไหมว่าท่านมาเชื่อพระเจ้า อะไรบ้างที่ท่านมีความเชื่อ แล้วท่านยืนยันในใจของท่าน จากพระคัมภีร์ ลองคิดให้ดีสิ ไม่มี มีแต่ว่า Ps.นคร พูดไว้ Ps.นครไม่ใช่ผู้ที่จะมาบอกว่าอะไรถูกหรือไม่ถูกในพระคัมภีร์ นี่คือความเชื่อเก่าแก่ เพราะ Ps.นครเทศน์มาแล้ว ประมาณ 30 กว่าปี สมมติว่าจะอยู่ต่ออีก 10 ปี อายุ 80 โอ้โห! คนยิ่งเชื่อใหญ่ Ps.นครเทศน์มา 40 ปีแล้ว อายุตอนนี้ 80 แล้ว ต้องถูกแน่นอน เห็นไหม? เราชอบยืนยันอย่างนี้ อนาคตก็เลยกลายเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่ Ps.นครเคยเทศน์เอาไว้ น่าเชื่อถือ เพราะนิสัยเขาดี ไม่ได้ชมตัวเองนะ เพราะอะไรแล้วแต่ ทำให้ท่านชอบ เทศน์สนุกดี เพราะฉะนั้น ใช่ ไม่อยากจะยกคนอื่น เพราะจะได้เห็นชัด เขาพูดมันน่าเชื่อถือ

นี่แหละ มันก็เลยกลายเป็นเก่าแก่ เสร็จแล้ว ถามว่าตรงกับพระคัมภีร์ไหม? ตรงไหนบ้างเขียนไว้อย่างนี้ ไม่รู้ นี่แหละคือความเก่าแก่ของความผิดๆ ที่มาเป็นประเพณีนิยม มันจะประมาณอย่างนี้  และความเก่าแก่ของความผิดจากพระคัมภีร์ มันเกิดอะไรขึ้น ในพระคัมภีร์บอกว่ามันเหมือนเอาหินถ่วงผู้คนไว้ ให้ไม่ได้รับความรอด คือขวางสวรรค์ เหมือนที่ฟาริสีในอดีต สมัยยุคพระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ คือทำให้คนเข้าสวรรค์ยากขึ้น ในปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ซึ่งในหัวข้อเรื่อง ที่เราเรียนกันไป 3 ตอนที่แล้ว ตอนที่ 1 เกริ่นเรื่องความเชื่อเก่าแก่กับความจริงทำให้เราเป็นไท ตอนที่ 2 ก็คือเป็นเรื่องของความเชื่อในการยึดถือตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งเราก็ได้สรุปว่าสิ่งที่ยึดถือ ปฏิบัติกันมาแต่โบราณเก่าแก่ ยาวนาน ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ไม่ว่าคนนั้นเป็นใครที่พูดไป ก็ตาม ถ้าไม่ตรงพระคัมภีร์ ก็คือไม่ตรง ไม่ว่าจะเป็นด็อกเตอร์ ซุปเปอร์ด็อกเตอร์ จะเป็นผู้กำเนิดนิกายอะไรดังๆ ใหญ่ๆ โตๆ ถ้าไม่ตรงกับพระคัมภีร์ ก็คือไม่ใช่

“เขาเกิดผลเยอะแยะมากมาย มีสาขาโบสถ์เยอะแยะ เต็มไปหมดเลย ทั้งโลกเลย อยู่กันมาตั้ง 200 ปีแล้ว”

ถ้ามันไม่ตรง ก็คือไม่ตรง คิดในใจสิ มีโอกาสไม่ตรงไหม? เขาอยู่มาตั้งเป็น 1,000 ปีแล้ว นิกายนี้ เพราะฉะนั้น จะต้องถูกหมด มีโอกาสผิดไหม? ก็เดินต๊อกๆ ตามกันไป ลูกหลานเหลนโหลน ก็เดินตามต๊อกๆ ไป ไม่รู้ นี่แหละคือสิ่งที่ต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้

ตอนที่ 3 ก็เป็นเรื่องความเชื่อเก่าแก่ที่ถูกสอนกันเยอะว่าคริสเตียนต้องหมั่นฝึกฝน ให้ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น ฟังดูมันเหมือนถูกนะ  แต่ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเรื่องความเชื่อและความรอด ท่านไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่ต้องฝึกฝนอีกเลย ไม่ต้องพยายามทำอะไรทั้งสิ้นอีกเลย เพราะทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ท่านรับเชื่อ เชื่อครั้งเดียว ก็พอแล้ว

“เชื่อครั้งเดียว ก็พอแล้ว เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

เพราะฉะนั้น ถามว่าตอนนี้ท่านเกิดมาแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านต้องเพิ่มความเชื่อ เป็นลูกพระเจ้าอีกไหม? นึกออกใช่ไหม? ต้องพัฒนาความเชื่อขึ้นไหม? ไม่ต้อง แต่ต้องพัฒนาความไว้วางใจว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่กับฉันตอนนี้ เดินไปด้วยกัน” นี่เขาเรียกว่าไว้วางใจ ไม่ใช่ความเชื่อ

และวันนี้มาตอนที่ 4 เราจะมาดูความเชื่อเก่าแก่ ที่มีผู้อาวุโสหลายท่าน อาวุโสมากๆ ก็มี เป็นพันๆ ปี ก็มี พยายามบอกเราว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว ต้องชำระล้างจิตใจใหม่ ให้สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปด้วย ฟังดูมันก็ใช่นะ คิดให้ดีๆ ตอน 3 วันนี้คือต้องชำระล้างจิตใจใหม่ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความบาปด้วย

หลายคนเคยได้รับคำสอนมาว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว นึกให้ดีๆ นะ นั่นหมายความว่าวิญญาณเราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ เรายังจำเป็นต้องชำระล้างจิตใจเราให้สะอาดด้วย คุ้นแล้วนะ แล้วสมมติว่าถ้าเงื่อนไขในข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เป็นแบบที่ตะกี้นี้ ที่เราบอกกันว่าแค่นั้นยังไม่พอ เราต้องพยายามชำระจิตใจให้สะอาดด้วย ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ พระเยซูจะกลับมาใหม่ ครั้งที่ 2 วันที่พระเยซูกลับมา คงไม่มีใครถูกรับไปเลย สักคนเดียว เพราะว่ามีใครทำได้บ้าง มันทำไม่ได้

จำไว้เลยนะครับ เมื่อไรก็ตามที่คนสร้างเงื่อนไขของความเชื่อ เพื่อนำมาถึงความรอด ในพระเยซูคริสต์ หรือการบังเกิดใหม่ก็ตาม ถ้ามีการสร้างเงื่อนไข ฟันธงเลยว่ามันผิดแน่นอน เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าเรารอด โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องเหล่านี้ด้วยกัน เราเคยคุยกันไปแล้ว ณ วันที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้ามาในชีวิตของเรา พระเจ้าได้ชำระทั้งร่างกาย  และจิตใจของเรา จนสะอาดบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว จนสามารถเป็นวิหาร ที่ทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ตอนที่เราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ผ่าตัดหัวใจเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเสเคียล 36:26-27 พระเจ้าได้ประกาศอย่างนี้ ล่วงหน้า เป็นการเผยพระวจนะ บอกว่าพระองค์จะทรงกระทำอะไร ตอนที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิด พระองค์ทำอะไรอยู่? กำลังวางแผนทำสิ่งนี้แล้ว ดูว่าแผนการของพระองค์ส่งพระเยซูมา เพื่ออะไร?

เอเสเคียล 36:26-27 “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า ….”

 

พระเจ้าตรัสว่า … วางแผนการว่า … “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า และจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า” เอเมน

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เราก็ได้รับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพระเจ้าได้เอาจิตใจเก่าเราไปแล้ว แล้วเอาจิตใจใหม่เข้ามาแทนที่ พระเจ้าได้เทความรักของพระองค์เข้ามาในจิตใจนี้เรียบร้อยแล้ว ให้จิตใจเราเหมือนพระเยซู นี่คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ เผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด บอกว่าจะให้จิตใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่ ให้ชีวิตใหม่ และให้การดำเนินชีวิต แบบใหม่ แบบพระคุณในวิญญาณ

ทั้งหมดนี้ จะให้เมื่อใด ให้เมื่อจงรอคอย ผู้นั้นจะมา นี่สมัยพระคัมภีร์เดิม ผู้ที่จะมีนามว่าอิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  จงรอคอยพระมาซีฮา แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  และเราก็รู้ว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูก็คือผู้นั้นแหละ คือพระมาซีฮา ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ลงมาอยู่ในหลุมฝังศพ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ได้กระทำสิ่งเหล่านี้  เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน เราไม่ต้องทำอะไรเลย โคโลสี 2:11 คราวนี้มาถึงยุค พระเยซูเข้ามาทำสำเร็จแล้ว มาผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดวิญญาณเราเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน ดูสิว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไร?

โคโลสี 2:11 “ในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ แต่ทำโดยพระคริสต์”

 

ผมจะแปลจากกรีก ภาษาเดิม ให้มันชัดขึ้น เพื่อท่านจะได้เห็นชัดๆ ว่าข้อนี้ว่าอย่างไร?

“ในพระองค์” คือในพระเยซูคริสต์ ท่านได้เข้าสุหนัต คือในพระคัมภีร์เดิมเป็นพันธสัญญาของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ คือผู้ชายทุกคนในสมัยนั้น ต้องเข้าสุหนัต เพื่อแสดงตนว่าเป็นชนชาติของพระเจ้า นี่คือบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้ แล้วเล็งให้เห็นถึงที่พระเยซูคริสต์จะมา พันธสัญญาที่จะมากระทำสิ่งเหล่านี้ในวิญญาณ

ตรงนี้แปลว่าในพระองค์ท่านได้เข้าสุหนัต คือท่านได้เข้าทำพันธสัญญาอะไรบางอย่าง คือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง คือการผ่าตัด สลัดคือเอาออกไป การเข้าสุหนัต คือพันธสัญญา คือการเอาหัวใจสกปรกของท่านออกไป เอาใจหินของท่านออกไป สลัดวิสัยบาปทิ้ง … “วิสัย” ก็คือเนเจอร์ คือธรรมชาติ เอาธรรมชาติที่เป็นคนบาป ในตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณบาปนั้นออกไป  เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ เพราะว่าตอนสมัยเดิม สมัยโมเสส ทำโดยมือมนุษย์ ขลิบองคชาติ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ทำโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อเอาใจหินออกไป  นี่คือตอบที่ตะกี้นี้ที่พระเจ้าได้ผ่านทางเอเสเคียลแล้วบอกมาว่าพระองค์วางแผนอย่างนี้  พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พอรับเชื่อปุ๊บ เกิดการผ่าตัดขึ้นในโลกวิญญาณทันที ในปฐมกาล 17:10, 14 ได้บันทึกถึงเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาในการเข้าสุหนัตไว้อย่างนี้ เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้นว่าพระองค์ทรงเตรียมแผนการไว้ตั้งนานแล้ว แล้วก็บอกแผนการเหล่านี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงๆ สมัยพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนหน้านั้น ก็บอกเป็นเงา บอกเป็นแผนการล่วงหน้าไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ปฐมกาล 17:10, 14 “10 นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า และกับลูกหลานที่จะมาภายหลังเจ้า  เป็นพันธสัญญาที่เจ้าต้องรักษา  คือชายทุกคนในพวกเจ้า จะต้องเข้าสุหนัต … 14 ชายใดที่ไม่เข้าสุหนัต คือผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายกาย จะถูกตัดออกจากชนชาติของตน เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”

 

ในสมัยนั้น เป็นเงา การเข้าสุหนัต เป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าพระเจ้ายอมรับผู้นั้นเป็นประชากรของพระองค์ เป็นชนชาติของพระองค์ แต่พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ในโคโลสี 2:11 ที่เราอ่านไป บอกว่าในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือการสลัดธรรมชาติบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ ไม่ใช่เงาแล้ว ของจริง แต่ทำโดยพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นพระมาซีฮา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว วิสัยบาปทั้งหลายในตัวเรา ก็คือเนเจอร์ หรือคือธรรมชาติบาปในตัวเรา พอผมพูดว่าในตัวเรา จงมองให้เห็นเถิดว่ามัน คือวิญญาณของเรา วิสัยบาปทั้งหลายในวิญญาณของเรา ถูกเอาออกไปหมดแล้ว ด้วยวิธีการผ่าตัด ไม่ใช่เปลี่ยนนะ ผ่าตัดเอาออกไปเลย เอาใจใหม่เข้ามาเลย โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือที่บอกว่าพระเจ้าได้ผ่าตัด เปลี่ยนหัวใจเราเรียบร้อยไปแล้ว เราได้รับหัวใจใหม่ ในหัวใจใหม่นี้ ไม่มีวิสัยบาปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีธรรมชาติบาป หลงเหลืออยู่เลย แม้แต่นิดเดียว หัวใจ หรือจิตใจของเราที่ได้รับมาตั้งแต่วันที่เราได้รับเชื่อพระเยซู ครั้งเดียวนั้น เป็นจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ เป็นจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นจิตใจที่ไม่จำเป็นต้องมีการชำระล้างใดๆ อีกต่อไปแล้ว มันสำเร็จแล้ว ตามที่พระเยซูได้ประกาศ เมื่อวันศุกร์ตอนบ่าย 3 โมง บอกว่าสำเร็จแล้ว

พระองค์บอกว่าสิ่งที่เขาเผยพระวจนะมา พูดถึงเรื่องราว ไม่ว่าสมัยอิสยาห์ สมัยโมเสส เงาต่างๆ ที่พูดถึงพระเยซู มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น แล้วมันเกิดขึ้นแล้ว และมันสำเร็จแล้ว พอผมพูดอย่างนี้ปุ๊บ บางคนก็อาจจะมีคำถามว่าแล้วทำไม? ไหนบอกชำระสะอาดแล้ว แล้วทำไมถึงคิดไม่ดีอยู่ ยังคิดดื้อกับพระเจ้าอยู่ ยังคิดสกปรกอยู่ ยังคิดโลภอยู่ โกรธอยู่ อิจฉาอยู่ ยังขี้เต็มไปหมดเลย ขี้อิจฉา ขี้งอน ขี้โกรธ ไหนบอกสะอาดหมดจดแล้ว  ผมจะพาท่านไปดูนิดหนึ่ง อันนี้จะเห็นชัดเลย  อันนี้เป็นข้อพระคัมภีร์ที่หลายคนยกมาด้วย แล้วแต่เขาจะยกไปทางไหน? ถูกหรือไม่ถูก? วันนี้จะให้ท่านเห็นเอง แล้วท่านเอาไปเรียนรู้เองต่อว่าที่ผมพูด มันตรงพระคัมภีร์ไหม?  แล้วมันใช่ไหม? แล้วมันชัดไหม? แล้วมันจะไม่แย้ง โรม 12:2 นิดเดียวท่านก็รู้แล้ว ผมแค่เขี่ยให้ท่านดูนิดเดียวว่ามันมาได้อย่างไร? ไหนบอกชำระเราสะอาดหมดจดแล้วไง เนเจอร์ของเรา วิญญาณของเราไม่มีความสกปรกอยู่เลย ไม่มีบาปอยู่เลย จิตใจของเรา พระเจ้าก็ประทานให้ใหม่ แล้วทำไมมันคิดสกปรกอยู่ล่ะ แล้วมันเป็นไปได้อย่างไร?

โรม 12:2 “อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่” ก็คือสอนให้ว่าจงทำสิ่งนี้ คือเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่

ไหนบอกได้จิตใจใหม่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรไง โรม 12:2 อธิบายถึงความรอดในพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำให้เราทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่น ความชอบธรรมที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทำให้ และโรม 12:1  ผมทำให้ง่ายๆ นะ บทที่ 12 ข้อ 1 บอกว่าสรุปแล้ว ที่พูดมาทั้งหมด ตั้งแต่โรม บทที่ 1 จนถึงบทที่ 11 ข้อสุดท้ายนั้น พูดถึงพระคุณของพระเจ้าได้กระทำอะไรบ้าง? ในชีวิตของเราเยอะแยะไปหมด โรม 12:1 บอกว่า … เพราะฉะนั้น เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ให้ท่านรอดแล้ว โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย เห็นแก่พระคุณ ไม่ใช่เห็นแก่ตัวเรานะ เห็นแก่ความดีงามของพระเจ้า พ่อเราดีขนาดนี้ ให้เราฟรีๆ ทุกอย่างเลย และมาถึงข้อ 2 เมื่อตะกี้ แล้วไงต่อ นึกถึงพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้เราฟรีๆ ทุกอย่างเลย เรารอดแล้ว ด้วยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำของเราเอง แล้วเกิดครั้งเดียว ก็เกิดเลย เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้วตอนนี้ สะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้ว ทั้งวิญญาณและจิตใจได้ใหม่จากพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลยนะ

ทั้งหมดมา 11 บทของโรม แล้วมาสรุปได้ว่าเห็นแก่สิ่งเหล่านี้ เมื่อเป็นพระคุณพระเจ้า ที่ทำให้ท่านเกิดใหม่  มีวิญญาณใหม่ มีจิตใจใหม่ เหมือนพระเยซูเลย  เพราะฉะนั้น อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างของคนโลกนี้ ก็คืออย่าดำเนินชีวิตแบบคนที่ไม่เชื่อ ก็คือเราในอดีต แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ จิตใจตรงนี้ มันคือความคิด มันคือมาย mind มันไม่ใช่ soul พูดง่ายๆ ว่าภาษาเดิม มันคือความคิด มันคนละแห่งกับที่ตะกี้นี้ที่บอกว่าพระเจ้าทรงผ่าตัดวิญญาณเราใหม่แล้ว ให้จิตใจใหม่เราเรียบร้อยแล้ว นี่คือตัวตนของเราจริงๆ

เวลาเราไปอยู่สวรรค์ วิญญาณและจิตใจใหม่นี้ ไปอยู่ในสวรรค์ แต่ร่างกายต้องทิ้งไป ภาษาเดิมจริงๆ ตรงนี้ มันคนละคำกันกับที่พระเจ้าได้เปลี่ยนหัวใจเรา นั่นคือจิตใจจริงๆ ที่ติดอยู่กับวิญญาณของเรา ซึ่งสะอาดหมดจดแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือตัวตนจริงๆ ของเรา หลังจากที่เราเชื่อพระเยซูแล้ว ครั้งเดียว เป็นพอ เราได้วิญญาณใหม่ และจิตใจใหม่ เป็นจิตใจที่มีความคิดเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีผิด สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย แต่ว่าเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ซึ่งเป็นร่างกายที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว ให้เป็นวิหารของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะได้มาสถิตอยู่ได้ แต่ว่าความเคยชินในร่างกายนี้ มันยังคงอยู่ใต้อิทธิพลของบาป ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกอิทธิพลของความบาปตรงนี้ว่าเฟรช หรือเนื้อหนัง มันยังคงอยู่ใต้นี้อยู่ มันเป็นแค่อิทธิพล มันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ มันเหมือนกับว่าเราปวดหัว แต่การปวดหัวของเรา เพราะมีพยาธิอยู่ในหัว ไชอยู่ สมมตินะ หรือมีแมลงอยู่ ถามว่าการปวดหัวนั้น เกิดจากตัวเราไหม? ไม่ใช่ มันเกิดจากบางอย่างที่มันแอบเข้ามาอยู่ในนั้น แต่ถ้าเผื่อเราปวดหัว เพราะว่าเราเป็นเนื้องอกในสมอง อันนี้เป็นเพราะตัวเรา เพราะฉะนั้น อิทธิพลของบาปมันแฝงอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งตัวอิทธิพลบาป มันรับแรงกระตุ้นจากระบบรอบข้างของโลกนี้  ซึ่งถูกควบคุมโดยมาร ฟังอีกทีหนึ่ง มารยังคงควบคุมระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางความบาป ตั้งแต่โน้น โลกใบนี้จึงเสียหายไปแล้ว ยับยู่ยี่ไปแล้ว มันเน่าไปแล้ว ซึ่งพระเจ้ารอวันเปลี่ยนแปลงมันเสียใหม่ เมื่อวันที่มนุษย์คนสุดท้ายบนโลกใบนี้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูประกาศไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก ไปถึงคนสุดท้ายเมื่อไร? จบเมื่อนั้น พระเจ้าก็จัดการกับโลกใบนี้ด้วย คือเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ เสียใหม่เลย แล้วก็จัดการกับมาร ให้มันลงไปอยู่ในบึงไฟนรกนิรันดร์กาล ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ยังไม่เกิด พอมองเห็นภาพแล้วนะ

เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงบอกว่าให้เรารับการเปลี่ยนแปลงความคิด ซึ่งมันเคยเป็นทาสของระบบบาป เป็นทาสของมาร ผ่านทางอิทธิพล คือเนื้อหนัง ซึ่งในขณะนั้น เราไม่มีทางสู้มันเลย เพราะว่าวิญญาณเราก็สกปรกเหมือนมันไม่มีผิด จิตใจก็สกปรกเหมือนมันไม่มีผิด ความคิดก็สกปรก ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย  แต่ตอนนี้ Noๆๆๆ เรามีทางออกแล้ว วิญญาณจริงๆ เราเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีธรรมชาติเหมือนพระเจ้า จิตใจเหมือนพระเยซู สะอาดหมดจด แต่เรายังคงอยู่ในร่างกายเดิม ยังมีความคิดแบบเดิมอยู่ ยังชินกับอิทธิพลของบาป ที่มันเขี่ย ซึ่งมันผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ใจตรงนี้

ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4 ที่บอกว่าให้เราจับความคิดทั้งหมด นำมันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ แปลว่าให้เราจับเอาความคิดที่อยู่ในเนื้อหนังของเรา ที่มันดื้อ เป็นนิสัย ที่มันคอยรับอิทธิพลมาจากระบบของโลกนี้ ที่เรียกว่าความบาป จะต่อต้านพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ ให้จับความคิดเหล่านี้ นำมันให้เชื่อฟังต่อพระคริสต์ คือนำมันให้เชื่อฟังต่อความคิด ในจิตใจของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่เหมือนพระคริสต์ ภาษาเดิมเขาเรียกว่า The mind of  Christ คือความคิดแบบพระคริสต์ เพราะฉะนั้นในร่างกายของเราผู้ที่เชื่อแล้ว ตอนนี้ เห็นชัดๆ ก็คือมีวิญญาณ มีจิตใจใหม่ ซึ่งมีความคิดในจิตใจนี้ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งมีความคิดของมันอยู่เหมือนกัน เรียกว่าความคิดแบบเนื้อหนัง ซึ่งเรามีกำลังอำนาจแล้วตอนนี้ มีถ้อยคำพระเจ้า ที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ ที่มันเคยชินกับระบบของโลกนี้ แต่เก่าก่อน

ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่าถ้ามันตบแก้มขวาเรามา ให้เราเอาแก้มซ้ายให้เขาตบด้วย ทำได้ไหม? ไม่ได้ พระเยซูกำลังเล่าให้เราฟังว่าเราไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้หรอกในอดีต เป็นทาสมันอยู่ ใครจะไปทำได้  ทำได้อย่างนั้น ถึงจะไปสวรรค์ ทำไม่ได้ พระเยซูทำให้ พระเจ้าทำให้ ก็คือการตายของพระเยซู การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซู ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นความรักเลย พูดง่ายๆ ตอนนี้ ฟังให้ดีๆ มีใครตบเรา วิญญาณและจิตใจของเราที่ได้เกิดใหม่ เอาไปอีกข้างหนึ่งเลย เต็มไปด้วยความรัก ไม่โต้ตอบอะไรเลย พระเยซูบอกว่าถ้าท่านมองดูด้วยความกำหนัด ท่านได้ร่วมประเวณีแล้ว ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครไปสวรรค์สักคน แต่ตอนนี้ ผู้หญิงเดินมา สวย แต่ในวิญญาณไม่มี สะอาดบริสุทธิ์เลย พอเข้าใจไหม? ผมกำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่ามันแยกกันระหว่างความคิด จิตใจที่เป็นเหมือนพระคริสต์ ตอนนี้เราเปลี่ยนไปแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์ แต่เนื่องจากความคิดเดิมๆ มันยังเป็นทาสบาป ไม่ใช่ทาสมารนะ ต้องบอกว่าเป็นทาสของอิทธิพลที่แฝงไว้ ในร่างกายนี้ ที่เรียกว่าเนื้อหนัง มันยังอยู่ เพราะฉะนั้น นี่สงครามเดียวที่ผู้เชื่อต้องทำ ไม่ใช่ต้องทำกับมาร ทำกับตัวเราเองที่ตรงความคิด เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือตรงความคิดตรงนี้ ถ้าจับความคิดทั้งหมด นำมันเชื่อฟังต่อความคิดของพระคริสต์ได้ ชีวิตก็โลด เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าตามที่อ่านในนั้น ท่านจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรยอดเยี่ยม สำหรับท่านในชีวิตของท่านที่พระเจ้าประสงค์ที่จะวางไว้ เพราะว่าท่านมีความคิด มีที่เอนเอียงไปในความเชื่อฟังต่อความคิดของพระคริสต์ ที่ได้ประทานกับท่าน ตอนที่ท่านบังเกิดใหม่ไปแล้ว โคโลสี 2:12

โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”

 

“ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงได้ให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”

“ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระองค์” คือพระเยซู ในพิธีบัพติศมา และทรงได้ให้ท่านเป็นขึ้นจากความตายกับพระองค์ ก็คือกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อของท่านในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ผู้ทรงได้ให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย

เรื่องการรับบัพติศมา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีการสอนแบบเข้าใจผิดๆ เยอะแยะมากมาย จนทุกวันนี้ ก็ยังมีคนเข้าใจผิดในความหมายนี้ว่าผู้เชื่อที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ ต้องผ่านการรับบัพติศมาในน้ำ โบสถ์เราคงไม่มีใครเชื่อแบบนี้นะ แต่ยังมีคนเชื่อแบบนี้ ซึ่งผมก็ได้พูดบ่อยๆ แล้วว่ามันไม่ได้เกี่ยวกันเลย ความเชื่อและความรอดที่ท่านได้รับมาแล้วนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลงน้ำ บัพติศมาเลย ถ้าไม่เกี่ยว แล้วมันเกี่ยวกับอะไร? ที่บอกให้ผู้เชื่อรับบัพติศมา เช่น พระคัมภีร์ พระเยซูบอกจงไปสร้างสาวก แล้วให้เขาทั้งหมดรับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูสั่งอย่างนั้น แล้วทำไมไม่ลงน้ำ ทุกคนก็คิดอย่างนี้ บัพติศมาคืออะไร? มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการรับบัพติศมาในน้ำหรือไม่?

บัพติศมา พอแปลเป็นไทยง่ายๆ มันก็ไม่เข้าทางศาสนาแล้ว ท่านก็จะเข้าใจง่ายขึ้น พอบัพติศมา ทุกคนกลัว ภาษามันแบบโห้ บัพติศมา เข้าสุหนัต มันออกทางละคร มันต้องน่าเชื่อถือ แล้วบัพติศมาแปลว่าอะไร? ผมแปลตรงนี้เป็นง่ายๆ คือท่านถูกฝังไว้กับพระเยซู ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ อันนี้ท่านเริ่มเข้าใจแล้ว ง่ายขึ้นแล้ว การบัพติศมา คือการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน บัพติศมา คือการมุดเข้าไป จุ่มเข้าไป  เป็นหนึ่งเดียวกันกับอะไรก็ตามที่บัพติศมา อย่างนี้ ผมกำลังเอากระดาษแผ่นนี้ บัพติศมาเข้าไปในหนังสือพระคัมภีร์ เป็นศาสนาไหม? ชัดนะ ถ้าบอกว่าผมกำลังทำตัวเอง ให้บัพติศมาเข้าไปในน้ำ ทำอย่างไร? ผมก็โดดลงไปในน้ำ ถ้าบอกว่าผมโดดลงไปในน้ำ ทุกคนก็เข้าใจ แต่ถ้าผมบอกว่าผมบัพติศมาในน้ำ ทุกคนศาสนามาแล้ว ต้องเคารพหน่อย ท่านพอเข้าใจไหมว่าบัพติศมาแปลว่าการมุดเข้าไป การทำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

ถ้าท่านต้องการทำกระเทียมดอง วิธีทำ ก็คือไปเอากระเทียมสดมา แล้วเอาน้ำส้มสายชูมา ใส่น้ำตาลไปนิดหนึ่ง แล้วก็เอากระเทียมนั้น บัพติศมาลงไป ทุกคนชอบเลย อย่างนี้ยิ่งเข้าใจใหญ่ พอมองเห็นไหม? ท่านก็รู้สึกว่ากระเทียมนั้น เป็นกระเทียมศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ใช้บัพติศมา แต่ถ้าผมบอกว่าเพียงแต่ท่านเอากระเทียมใส่ลงไปในน้ำส้มสายชูให้มันเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วดองไว้ในนั้น ท่านก็รู้สึกเป็นแม่บ้านแล้ว ถ้าผมบอกว่าบัพติศมาปุ๊บ ท่านก็รู้สึกพูดไม่ใช่เรื่องครัวแล้ว ต้องไปพูดในห้องศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้ถึงเกิดความเข้าใจผิดในข้อพระคัมภีร์ต่างๆ

ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่เราเชื่อครั้งเดียวและได้เกิดใหม่ ได้รับความรอด ได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ ก็คือตามที่อ่านเมื่อตะกี้ในโคโลสี 2:12 ก็คือพอท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อด้วยใจและพูดด้วยปากว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ในโรม 10:9-10 บอกไว้ว่าความรอดเกิดขึ้น เมื่อท่านพูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่านบัพติศมาเข้าไปในพระเยซู มุดเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และได้ตายพร้อมกับพระเยซู เมื่อ 2,000 ปีก่อน แปลอย่างนี้ตรงๆ เลย และลงไปอยู่ในนรก อยู่ในหลุมฝังศพกับพระเยซู พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่านเข้าไปในพระเยซู แล้วก็ถูกตรึงกางเขนพร้อมพระเยซู ที่เรียกว่าซัฟเฟอร์ริ่ง วิธ ไคร์ซ ที่บอกว่าทนทุกข์กับพระคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ ไม่ใช่ทนทุกข์กับพระคริสต์ คือการไปแบกกางเขน หรือเจอความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ ทนทุกข์กับพระคริสต์ คือท่านอยู่ในพระเยซู ตอนที่ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เสร็จแล้ว ตรงนี้ เรียกว่าบัพติศมา เข้าเป็นหนึ่ง ดองกับพระเยซู นึกถึงดองไว้ให้ดีๆ พระเจ้าได้ดองท่านเข้าไปกับพระเยซู เสร็จปุ๊บพระเยซูถูกตรึง ท่านก็ถูกตรึงไปด้วย พระเยซูถูกเฆี่ยน ท่านก็ถูกเฆี่ยนไปด้วย นึกออกไหม?

ตอนนี้เอากระปุกของกระเทียมดอง เอาไปต้ม ท่านก็ถูกต้มพร้อมกับน้ำนั้นด้วย ตอนนี้เอาวิญญาณของท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซู พระเยซูถูกทรมาน ตรึงตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทุกข์ทรมาน ท่านก็ทุกข์ทรมานด้วย พระองค์ตายลงไปนรก 3 วัน ท่านก็อยู่ในนรกด้วย ในนี้บอกท่านถูกฝังไว้ด้วย แต่มันไม่ได้อยู่แค่นั้น ลงไปอยู่ในนรกด้วย เพื่อชดใช้บาป พระเยซูชดใช้บาป โดยการหลั่งพระโลหิต หลั่งแล้ว ตายแล้ว การตาย เป็นการชดใช้บาป ท่านก็ชดใช้กับพระเยซูด้วย พอวันที่ 3 พระคัมภีร์บอกพระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และประทานนามหนึ่งที่สูงที่สุด วางพระเยซูไว้อยู่สูงสุดเลย ที่เบื้องขวาของพระเจ้า แปลว่าผู้สำเร็จราชการ บนมหาจักรวาลนี้และในโลก ทุกอย่าง ทั้งในนรก ทั้งสวรรค์ อยู่ที่พระเยซู แล้วเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ ก็อยู่ในนี้ (ในพระเยซู)

พระเยซูบอกว่าสิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ได้ถูกมอบให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว มอบให้กับพระเยซู … พระเยซูอยู่บนหิ้งสูงมากเลย สูงเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เหนือสิทธิอำนาจ เหนือทุกอย่างในโลก พระคัมภีร์บอก แล้วเราก็อยู่ในนั้นแหละ นี่คือความหมายของบัพติศมา เห็นไหม? ต้องใช้วิธีอธิบายลึกซึ้งอย่างนี้ มันต้องคิด จะทำอย่างไรดี มันมีวิธีอธิบายเยอะแยะเลยนะ ผมก็ไม่รู้พระวิญญาณให้เข้าใจอย่างนี้ ตอนนี้ อธิบายได้แค่นี้ ก็หวังว่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น  เรากลับมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง โคโลสี 2:12 แล้วท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว

โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”

 

อ่านพร้อมทั้งนึกว่าฉันเป็นใคร? มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของฉัน เมื่อฉันมาเชื่อพระเจ้าวันแรก จนถึงเดี๋ยวนี้ มันต้องมันๆ ปีหน้าต้องมันกว่านี้ บัพติศมาเขารู้แล้วว่าแปลว่าอะไร?

อย่างที่ผมบอก ถ้าท่านเอาไปวิเคราะห์ เอาไปใคร่ครวญ ภาวนาถ้อยคำเหล่านี้ วันหนึ่งท่านจะลุกขึ้นมาอยู่ในห้องของท่าน ที่บ้านของท่านแล้วก็ตะโกนขึ้นมา

“ฉันเข้าใจแล้ว อ๋อ! มันอย่างนี้นี่เอง”

ในพระคัมภีร์ เวลาพูดถึงความเชื่อและความรอดในพระเยซูคริสต์ จะไม่กล่าวถึงเรื่องบัพติศมาในน้ำเลย ยกตัวอย่างเช่น ….

“เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” ในเอเฟซัสบอก

“ถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซู ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้ได้เป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รับความรอด” ในโรม

ไม่ได้บอกเลยว่าลงน้ำ รู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ ความเชื่อเท่านั้น ที่ทำให้เราได้รับความรอด การลงน้ำ ไม่สามารถทำให้ใครรอดได้เลย นอกจากเปียกเท่านั้น ถ้าให้คนที่ไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในการเป็นขึ้นจากความตาย ไม่เชื่อในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ให้คนนี้ไปรับบัพติศมาในน้ำ ให้ตาย ผลออกมา เขาก็เป็นคนบาป ที่ไม่เหมือนเดิม เขาจะเป็นคนบาป ที่เปียก เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นคนบาปที่ไม่เปียก วิญญาณยังเหมือนเดิม มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปเท่านั้น คือมันเปียก

แต่ตรงกันข้าม ถ้าอยากให้วิญญาณรอด ไม่ลงน้ำเลยก็ได้ แต่วิญญาณรอด ปากก็ต้องพูดว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้าที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็ต้องเชื่อตรงนี้ และพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ เขาก็ไปสู่ความรอด เอเมน

เพราะฉะนั้น การลงน้ำบัพติศมา  ก็เป็นแค่เงาของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นเงาสุดท้ายเลย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ที่พระเจ้าให้ยอห์นบัพติศโตทำบัพติศมา เพื่อประกาศว่ากลับใจใหม่เท่านั้นเอง เป็นสัญลักษณ์ของการกระทำในวิญญาณที่พระเยซูจะมาทำในอีกไม่กี่เวลาข้างหน้า หลังจากนี้ เท่านั้นเอง

ในพันธสัญญาเดิม มนุษย์แสวงหาพระเจ้า ขอให้พระเจ้าชำระบาปให้ ให้พระเจ้าล้างใจให้สะอาด ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เหล่านี้คือสิ่งที่มนุษย์ในยุคพันธสัญญาเดิมอธิษฐานขอจากพระเจ้า ต่อมาในยุคพันธสัญญาใหม่ ทุกสิ่งที่มนุษย์เคยอธิษฐานขอ มันได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องอีกแล้ว จงรับรู้และขอบคุณ ดังนั้น เราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ ก็ควรอธิษฐานตามอย่างที่พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้ว มิฉะนั้น ก็เท่ากับว่าเรากำลังบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระเยซู เรากำลังกล่าวหาว่าพระเยซูพูดไม่จริง ที่บอกว่าทุกอย่างสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เรียบร้อยไปแล้วนั้น มันไม่จริง เรากำลังบอกอย่างนั้น เพราะเรากระทำอย่างนั้น เราทำ โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป

พระเจ้าได้ประทานใจที่สะอาด และประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับเราแล้ว โดยให้เราบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ร่างกายของเราเป็นวิหาร เป็นที่อาศัยของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

คำอธิษฐานง่ายๆ ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย สมมติอย่างนี้ ดูไม่รุนแรง แต่เป็นการบอกว่าพระเจ้าไม่จริง พระเยซูบอก โดยผ่านทางเรา พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเราแล้ว เราบอกขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ อันนี้ง่ายๆ ดูไม่เสียหาย แต่กำลังบอกว่าพระเยซูไม่จริง ถูกไหม?  ท่านพอเข้าใจไหม?  ยกตัวอย่างให้ฟัง ยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะ เรารู้ความจริง เราอธิษฐานอย่างนี้ดีกว่าไหม?

“อย่าลืมนะ พระเจ้าสถิตอยู่กับเธอแล้ว”

อย่างนี้ตรงตามพระคัมภีร์ ต้องจดจำเสมอเลยว่าคำสัญญาของพระเจ้า ที่ได้สัญญาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้ว มันจบแล้ว มันได้แล้ว ต้องนึกอย่างนี้ จะอธิษฐานอะไร ก็ต้องคิดพื้นฐานตรงนี้ก่อน แล้วค่อยอธิษฐาน ท่านจะเริ่มเปลี่ยนคำอธิษฐานของท่านแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น .. “พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าโกรธเขาด้วย ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าโลภเลย ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าทำอย่างโน้นอย่างนี้เลย”

ถูกไหม? พระเยซูบอกว่าพระองค์ตายเพียงครั้งเดียว และลบเอาความผิดบาปทั้งหมดทั้งหลายของเราไปหมดแล้ว ตั้งแต่อดีต จนปัจจุบัน จนอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว เราบอก …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

เรากำลังบอกพระเยซูพูดไม่จริง ถูกไหม? แล้วเราควรจะพูดอย่างไร? เกิดเราทำอะไรพลาดไป เกิดเราทนไม่ไหว เราไปด่าเขา เราเกิดรู้สึกเสียใจ แทนที่เราจะบอกว่า …

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

เราก็บอกว่า … “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกพลาดไปอีกแล้ว ลูกเสียใจ”

หรือแม้แต่ติดปากคำว่า ขอโทษ ขอให้ในใจเราไม่ได้คิดตรงนั้น เราคิดเพียงแต่ว่าเรายังเป็นลูกอยู่เหมือนเดิม เราเสียใจ แต่ถ้าเปลี่ยนให้เป็นคำพูดที่ถูกต้องเลย มันจะดีกว่าทำให้คนข้างๆ เคียงๆ เขาได้เห็นข่าวประเสริฐจริงๆ ว่าข่าวประเสริฐมันคืออย่างนี้ ไม่อย่างนั้น ข่าวประเสริฐก็เพี้ยนไปทุกวันๆ

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เหมือนสิบลด … สิบลดก็อยู่ในกฎ พระเยซูมาปลดปล่อยเราออกจากกฎแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว เราไม่ต้องถวายสิบลดแล้ว แต่เราสามารถเอาสิบลดมาใช้กับปัจจุบันได้ มันมีประโยชน์  แล้วเราทำอย่างไร? เราก็ไม่ได้ทำตามสิบลด เพราะมันเป็นกฎ แต่เราเห็นว่ามันดี ตรงที่เตรียมแผนการไว้เลย พระคัมภีร์สอนเราในยุคพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าให้เรากะเกณฑ์แผนการ วางแผนการตั้งหมายไว้ในใจเลยว่าจะให้ออกไปด้วยใจชื่นชมยินดี เราตั้งใจแล้ว วิธีง่ายๆ ก็คือเรามีสติปัญญาจากพระเจ้า เดือนหนึ่งเราแบ่งเป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่าเที่ยว แล้วก็มีค่าอันหนึ่งที่เราเรียกว่าเราจะเอาไว้ใช้ให้ออกไป เพื่อที่จะลดความโลภ พระเยซูบอกโลภไม่ดี เราเชื่อฟัง เราจะให้ เราก็ตั้งเป็นค่าใช้จ่ายไว้ เหมือนค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าอะไรต่างๆ  ค่าที่เราจะให้ออกไป เราก็สามารถเอาลักษณะการถวายสิบลดมาใช้ เป็น 10% ดีไหม? แต่ไม่ใช่ถวายสิบลด เพราะกลัวถูกสาปแช่ง เพราะในพระเยซูคริสต์ เราไม่มีวันถูกสาปแช่งอีกต่อไปแล้ว เราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว หมดเลย เกลี้ยงเลย ไม่ให้เลยก็ได้  หรือจะให้ก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวเราเอง พอเราลดความโลภลง ชีวิตเราก็ดีขึ้น เห็นชัด มีชีวิตที่พอเพียง เรารวยกว่าใครเพื่อนเลย  คนยิ่งมีมาก ถ้าไม่มีตรงนี้ มีความโลภ และมีความไม่พอเพียงอยู่ ยิ่งมี ยิ่งจน มีมาก ก็กลัวหมด ก็ทำเพิ่มขึ้น พอมีน้อย ก็รู้สึกน้อยไป ก็ทำให้เพิ่มขึ้น ก็ไม่มีวันได้หยุด เห็นไหม? เราก็เอามาใช้ได้

ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็คือไม่ใช่การแสวงหา หรือทูลขอในสิ่งที่ได้มาแล้วจากพระเจ้า แต่ควรเป็นการขอบพระคุณในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว  โดยพระเยซูคริสต์ พระคุณของพระองค์ได้ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยตอนนี้ พระคุณก็อยู่ การทรงสถิตก็อยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือเป็นการประกาศข่าวดีในชีวิตของเรานั้นเอง ถ้าเราทำแค่นี้ เราไม่ต้องพูดอะไรเลย ชีวิตเราประกาศข่าวดี ถ้าเราทำถูกต้องตามพระคัมภีร์จริงๆ คริสเตียนที่เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้รับใจใหม่เพียงครั้งเดียวพอ

สรุปนะครับ คริสเตียนที่เกิดใหม่ ได้รับใจใหม่เพียงครั้งเดียวพอ ที่เหลือเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดเก่าๆ เสียใหม่ ตลอดชีวิตบนโลกใบนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้เท่าไร เอาเท่านั้น พระวิญญาณจะนำเรา จะสอนเรา พลาดไป ก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ให้มันเหมือนความคิดของพระเยซูคริสต์ ให้ความคิดของร่างกาย เป็นไปในทางเดียวกันกับความคิดของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณของเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย … พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กุมภาพันธ์  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย … พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีตอนเช้าครับ ตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถามว่าตอนนี้ตื่นเต้นอะไรมากที่สุด?  กลบข่าวก่อสร้างคริสตจักรอภิสุทธิสถานไปเลย เรื่องไวรัสโคโรน่า อยากรู้ไหมว่าในทางพระเจ้าพูดว่าอย่างไร ในเรื่องโคโรน่า วันนี้เตรียมมาให้เราได้ยินได้ฟังกัน เพราะว่าไม่พูดไม่ได้เลย  เราจะได้รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า แล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร? หรือมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องไวรัสตัวใหม่อย่างไรบ้าง?

ก่อนอื่น เราเกริ่นนิดหนึ่งก่อน เผื่อใครไม่รู้ ไวรัสตัวใหม่ สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดที่ประเทศจีน ที่อู่ฮั่น ซึ่งเขาว่ามันมาจากการกลายพันธุ์ของไวรัสทั่วๆ ไป กลายพันธุ์เนื่องจากคนไปกินสัตว์ที่ไม่สะอาดมากๆ ไม่สะอาดเยอะๆ คือสัตว์ป่า เขาว่ากันว่ามาจากค้างคาวกับงูเห่า พูดแล้วไม่น่ากินเลยนะ แต่มีคนสรรหาไปกินกัน ซึ่งกลุ่มเล็กมาก แต่เนื่องจากเกิดเหตุแล้ว ทุกคนก็ต้องป้องกัน เพื่อให้ปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้มากที่สุด แล้วก็ช่วยกัน

ถามว่าเป็นเรื่องแปลกไหม? สำหรับคริสเตียนไม่ใช่เรื่องแปลก จริงๆ เรา มองในแง่ที่ดี สิ่งที่เกิดขึ้น  ทำให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เป็นการยืนยันอีกทางหนึ่ง ในทางพระคัมภีร์ แต่เนื่องจากเป็นการยืนยันทางติดลบนั่นเอง ก็คือมันไม่ดี มันยืนยันว่าโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว มันยืนยันว่าพระคัมภีร์พูดไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่หน้าแรกแล้วว่าโลกใบนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว มันมีแต่ความเสื่อมทราม เสียหาย เน่าเฟ๊ะ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันอยู่ไม่ได้อีกเลย และพระเจ้าก็ต้องสร้างโลกใหม่มาให้มนุษย์ได้อยู่ มันเห็นชัดเลย ไม่ต้องรอหรอกว่าวันหนึ่งที่เราจะไม่มีไวรัสตัวแปลกๆ หรือแม้กระทั่งเจ็บไข้ได้ป่วยตัวแปลกๆ แม้กระทั่งภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบแปลกๆ ให้มันน้อยลง ไม่มี มันมีแต่มากขึ้นทุกวัน เพราะมันเป็นจริงตามพระคัมภีร์บอก โลกได้ถูกสาปแช่งไปแล้ว และสิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือเราในฐานะคริสเตียน ผู้เชื่อ เราต้องรู้ว่ามันเกิดจากอะไร? และชี้เป้าให้ถูกว่าใครเป็นคนทำ ตรงนี้สำคัญที่สุดเลย ไม่ใช่ เอะอะอะไรก็บอกว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น คนไม่เข้าใจ ก็จะนึกว่าพระเจ้าเป็นคนเอาไวรัสนี้มาให้มนุษย์ เห็นไหม? เรามีหน้าที่ที่จะแก้ข่าวเหล่านี้ ซึ่งบางทีแม้กระทั่งผู้เชื่อ คริสเตียนเอง เขาก็ไม่เข้าใจ

บางคนก็บอกว่าพระเจ้าส่งไวรัสมาเพื่อเตือนมนุษย์ ให้มนุษย์กลับใจใหม่ มาหาพระเยซู เคยคิดอย่างนี้ไหม? พระเจ้าส่งไวรัสตัวนี้ มาให้มนุษย์ เพื่อจะขู่มนุษย์ว่าให้มาหาพระเยซู เพื่อจะช่วยให้รอด มีคนคิดไหม? จะต้องมีอยู่แล้ว

บางคนก็บอกว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เพื่อล้างเอาสิ่งที่ไม่ดี ออกจากโลกนี้ไป เอาคนชั่วออกไป อันนี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้หมายถึงไวรัสอย่างเดียวนะ หมายถึงอย่างอื่นด้วย การสงคราม หรือแม้กระทั่งจับโจรผู้ร้ายอะไรต่างๆ เราชอบพูดกันอย่างนี้เสมอ เราเอาสถานะของพระเจ้ามาเป็นผู้รับผิดชอบเสมอ แล้วก็มักจะติดคำนี้

“ก็เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง” บอกไว้อย่างนั้น

หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า God in control แปลว่าพระเจ้าควบคุมอยู่เหนือทุกอย่าง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง และทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงควบคุมทุกสิ่ง ถูก แต่มันมีระบบระเบียบตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ ซึ่งเราต้องเรียนรู้และผู้ที่มาเป็นผู้แก้ต่างให้กับพระเจ้าของเรา  อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยความรัก พระเจ้าสร้างแม้กระทั่งทูตสวรรค์ ด้วยความรัก พระเจ้าสร้างมนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ด้วยความรัก

ความรักที่เป็นของพระเจ้าแท้ๆ บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเจือปนเลย ความรักนี้เป็นการให้อิสรภาพด้วย ไม่ใช่เรารัก แล้วเราก็หวงไว้ แล้วเราก็สั่งทำอะไร? มันก็ไม่ใช่ ถ้าเป็นลูกเรา เราไม่รักเขาจริง สร้างเขามาเป็นหุ่นยนต์ สั่งอันนี้ขวาสิ ซ้ายสิ ไม่ใช่ขวาไปซ้าย ซ้ายไปขวา ไม่ใช่ พระเจ้าสร้างทูตสวรรค์ ยังสร้างให้เขามีอิสรภาพเลย  เพราะว่าตัวพระเจ้าเอง  เป็นพระเจ้าแห่งความรัก บริสุทธิ์ ยุติธรรม จึงไม่มีเห็นแก่ตัว เมื่อไม่มีเห็นแก่ตัว จะทำอะไรก็ตาม จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามอิสระของเขา เขาจะคิดอะไร ก็เชิญ ตัวนี้เป็นตัวหัวใจสำคัญที่เราจะต้องเรียนรู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างนี้  ถ้าเรามองไม่เห็น เราจะเห็นตัวอย่างในพระคัมภีร์บอกว่าทูตสวรรค์ ชื่อลูซีเฟอร์ พระเจ้าสร้างให้มีอิสรภาพ ถูกไหม? ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งที่มันเกิดอยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง จะกบฏต่อพระเจ้า มันก็เลย ทำได้ เพราะมันมีอิสรภาพในการเลือก นี่แหละเรียกว่าความรัก บางคนบอกว่ารู้อยู่ล่วงหน้า วันหนึ่งมันต้องคิดอย่างนี้แน่ๆ แล้วถ้ารู้อย่างนี้ แล้วสั่ง กั้นไว้เลย ให้เป็นหุ่นยนต์ไปเลย  อย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่ สร้างให้เขามีธรรมชาติ ถ้าเขาจะคิด ก็เป็นเรื่องของเขา  เหมือนเรามีลูก แล้วเรารักลูกเราจริงๆ เราแต่สอนว่าอย่างนี้ควร อย่างนี้ไม่ควร เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาโซ่ไปคล้องคอเขา บอก อย่าไปนี้นะ อย่าไปนั้นนะ เหมือนกัน อย่างนี้เรียกว่าความรัก เพราะฉะนั้น วันหนึ่งลูซีเฟอร์ก็มีความคิดกบฎขึ้นมา แล้วพระเจ้าทำอย่างไร? พระเจ้าก็ต้องมาคอยเช็ดสิ่งสกปรกเหล่านั้นที่มันเกิดขึ้น จัดการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ

มาถึงมนุษย์ สร้างอาดัม เอวา และพวกเราทุกๆ คน ที่อยู่ใน DNA ของอาดัมและเอวา มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้  ถูกสร้างโดยความรักอันบริสุทธิ์ เป็นอิสระ  จะคิดอะไร? จะทำอะไร? เชิญ ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ ไม่ใช่พระเจ้าควบคุมทุกอย่าง คือควบคุมชีวิตเราด้วย บังคับเราด้วย เราจะตัดสินใจอะไร ต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่เลย อย่างนี้เห็นชัด พิสูจน์ได้อย่างไร? อาดัมและเอวา พระเจ้าบอกอย่ากินผลไม้นี้นะ วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตาย แสดงว่ามีอิสระ จะกินก็ได้ ไม่กินก็ได้ จะเชื่อฟังพ่อสอน แนะนำ ตักเตือนให้ระวังก็ได้ หรือจะไม่เชื่อฟังพ่อ ไปเชื่อฟังมารก็ได้ อย่างนี้เขาเรียกอิสรภาพ แล้วเราก็รู้กันอยู่ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาก็ถูกล่อลวง ไม่ใช่ตัวเขาเอง ไม่เหมือนลูซีเฟอร์ ทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋อง เป็นซาตาน พระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดความบาป เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมาด้วยตัวของมัน แต่สำหรับมนุษย์ บรรพบุรุษของเรา รวมเราอยู่ในนั้นด้วย อยู่ใน DNA นั้นด้วย  ไม่รู้กี่หมื่นพันล้านคน เราอยู่ในอาดัมและเอวา มันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวเขา แต่มันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่นอกตัวเขา ที่เข้ามาล่อลวง หลอกลวง โกหก  ตอแหลกเขา ให้หลงไปกับคำเพลินๆ อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเราไม่เข้าใจ ในพระคัมภีร์เขียนไว้นิดเดียว มารมาล่อลวง แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่ล่อลวงแค่นั้นหรอก มันมากกว่านั้น มันอาจจะเป็นหลายวันแล้ว พูดไปพูดมา จนกระทั่ง เหรอๆ เคลิ้บไปกับความคารมคมคายของเจ้าซาตาน บางทีเราอ่านพระคัมภีร์ เราเห็นแค่ว่ามันล่อลวง แล้วก็หลงไป แค่นั้น ผมว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องนานเลย ในที่สุด คารมคมคาย ก็ชักจูงโยงใยให้บรรพบุรุษของเรา คู่แรกเริ่มที่จะปฏิเสธพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ท่านพอมองเห็นไหม? โดยที่ตัวเขาเอง เพลินไป หลงไป เขาไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธพระเจ้า  มันถูกล่อลวงค่อยๆ ทีละนิดๆ

ในยุคปัจจุบันเหมือนกัน ที่บางคนถูกล่อลวงออกจากบ้าน  ถูกล่อลวงอะไรต่างๆ ก็อย่างนี้แหละ ไม่ใช่ตัดสินว่าฉันจะไป มันค่อยๆ แต่ในที่สุด เขาก็ทนคารมนั้นไม่ไหว แล้วก็เผลอ หรือจะบอกว่าหลงไป ทำในสิ่งที่เรียกว่า “กบฏ” ตอนเขาทำ เขาไม่รู้อะไรหรอกว่านี่คือกบฏ ตอนที่เขาทำเคลิ้มๆ มันหลงไป ในที่สุดเขาก็ปฏิเสธพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า รุนแรงถึงขนาดถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกไล่ออกจากครอบครัวของพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ต้องไปอยู่กับมาร เลือกข้างนั้นเอง ถ้ามารมาบอกว่ามาอยู่ด้วยตั้งแต่แรก เขาไม่เชื่อหรอก พระคัมภีร์ถึงใช้คำว่าล่อลวง

เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็ตกลงไปอยู่ในความบาป มนุษย์ต้องตายทั้งร่างกายและวิญญาณ ร่างกายที่ไม่เคยต้องตาย ต้องติดเชื้อโรค อะไรต่างๆ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง คือมีวันที่จะเสื่อมสลายตายไป เพราะไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในนั้นแล้ว วิญญาณที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ก็ต้องตาย แปลว่าถูกตัดขาด คำว่า “ตาย” ในที่นี้ คือถูกตัดขาดออกจากสวรรค์ ไปอยู่ในที่ที่เรียกว่าความมืด ไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น คิดให้ดีๆ พระเจ้าเป็นคนทำหรือเปล่า? ไม่ใช่เลย พระเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ พอมองเห็นไหม? สิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวา ที่ตายทั้งร่างกายและวิญญาณนั้น พระเจ้าไม่ได้ทำ แต่มนุษย์ทำเอง แล้วผลเสียมันก็เข้ามาเอง จากกฎระเบียบของโลกใบนี้ ที่มันบอกไว้แล้ว เหมือนกับซาตานที่ทำ แล้วมันก็ได้รับผลของมัน แล้วพระเจ้าทำอะไร? พระเจ้าคอยช่วยเหลือ

ตรงนี้ คือสิ่งที่ต้องจำ แล้วก็พยายามฝังหัวไว้ตลอดเลยว่าอะไรเกิดขึ้น ในยุคปัจจุบัน มันจะร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม จงรู้ว่าไม่ใช่พระเจ้าเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามาหาเรา แต่พระเจ้าอยู่ตรงข้ามต่างหาก คอยเข้ามาช่วย เมื่ออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป พระเจ้ารีบกุลีกุจอเข้ามาช่วย ช่วยทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกหาย เหมือนที่ผมเคยบอกว่าลูกเอามือแยงเข้าไปในปลั๊กไฟ บอกหลายครั้งแล้ว อย่าๆ มันดูด แยงเข้าไป ชักเลย พ่อไม่ได้ยืนด่าเลย นี่พระเจ้าแห่งความรัก รีบโอบกอด เป็นอย่างไร? ไปหาหมอไหม? ภาพมันเป็นอย่างนี้ ไม่มีผิดเลย เจ็บปวดจิตใจมาก ลูกเป็นอย่างนี้ พยายามหาทางทุกทาง ที่จะช่วยลูกให้ได้ นั่นแหละ คือพ่อของเรา คือพระเจ้าเป็นความรัก แล้วคิดดู มารก็คอยกระซิบ พ่อแก ใจร้าย พ่อแกลงโทษแก ตัวมันเองแอบอยู่ นี่คือภาพใหญ่ๆ จากพระคัมภีร์เป๊ะเลย เพื่อให้เรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโคโรน่า แต่ก่อนหน้านี้มันมีไวรัสซาร์นี่คล้ายๆ ซาร์จำได้ไหม? ที่ทุกคนกลัว อันนี้มันใหญ่กว่า ซาร์ก็เหมือนออติก ตอนนี้มันเป็นโคโรน่า มันใหญ่ขึ้น อนาคตมันก็จะมีคัมรี่ แล้วจากคัมรี่ ก็เป็นเล็กซัส มันพัฒนาไปเรื่อยๆ ช่างมันเถอะ อย่าไปยุ่งกับมันเลย เพราะมันเป็นไปตามพระคัมภีร์แล้ว มันเสื่อมทราม มันแย่ลงไปทุกวันๆ บนโลกใบนี้ จงดีใจเถิด ไม่ใช่ดีใจที่คนตายนะ แต่จงดีใจในแง่มุมหนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง ความยุ่งยากลำบากบนโลกนี้ ยิ่งทวีคูณมากเท่าไร? จงดีใจในแง่หนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง บอกแล้วไง บางคนก็บอกมันจะพัฒนา เทคโนโลยีอะไรต่างๆ เราจะอยู่กันดีขึ้น ไม่เลย มันมีแต่แย่ลง แม้กระทั่งอาหารการกินก็เหมือนกัน แล้วถามว่ามันแย่ลงเพราะอะไร? พระเจ้าให้มันแย่ลงเหรอ ก็บอกแล้วว่าเมื่อมารครอบครอง เมื่อปรปักษ์เข้ามาครอบครอง บ้านนี้ไม่ใช่ของมาร แต่เราไปเชิญมารเข้ามาครอบครอง เพราะฉะนั้น มันทำเละตุ้มเป๊ะเลย เพื่อจะเยาะเย้ยพระเจ้า นี่ไง แล้วมันก็คุมบ้านหลังนี้เอง ด้วยความชั่วร้าย ซึ่งมันมีวันสิ้นสุด ขอบคุณพระเจ้า มันมีวันสิ้นสุด วันที่จะสิ้นโลกใบนี้ และมีโลกใหม่ และมารก็ถูกจับโยนลงไปในบึงไฟนรก มันมีวันนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้น การมองดูอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้มันเกิดขึ้น มองได้หลายแง่ ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยววันนี้จะมีข้อพระคัมภีร์มาให้ท่านดู ท่านจะได้ไม่ต้องตกใจเลย เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเราตลอด คอยช่วยเราตลอด เอเมน อย่างที่บอกเมื่อรู้อีกมุมหนึ่ง น่าจะดีใจด้วยว่ามันก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่ก็ต้องมีสติปัญญาจากพระเจ้า เขาบอก เขาเตือนให้ทำตัวอย่างไร? เราก็ต้องทำตามระดับหนึ่ง แต่ไม่ต้องหวาดกลัว เขาบอกว่าอย่าไปในสถานที่ที่มีคนเยอะๆ ช่วงนี้ ก็ไป ฉันมีพระเจ้าอยู่ ฉันไม่กลัว คุ้นๆ ไหม? เขาบอกอย่าไป ก็อย่าไป ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ สถานที่ที่มีคนติดเชื้อ เราก็พยายามเลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ ก็ระวังตัวที่สุด แล้วอธิษฐานไปด้วย  อย่างนี้โอเค ไม่ใช่ อะไร ไม่มีสติปัญญาเลย  พระเจ้าเป็นสติปัญญาด้วย ทำอะไรให้มันสอดคล้องกับสติปัญญาของพระเจ้าบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความเชื่อๆ เชื่ออะไรก็ไม่รู้ ถามว่าเชื่ออะไร? ไม่รู้เหมือนกัน มันต้องมีสติปัญญา เขาแนะนำอะไร เราก็ทำตาม แล้วเราก็ต้องระมัดระวังตาม

อย่างเช่น ข่าว ฟังบ้าง ให้รู้ว่าเขาเตือนว่าอย่างไรบ้าง มันไปถึงไหนแล้ว อะไรอย่างนี้ แล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลก ก่อนหน้านี้ เท่าที่จำได้ เมื่อประมาณหลายร้อยปีก่อน เอาเป็นพันปีเลยดีกว่า สนุกดี โรคเรื้อน ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์ โรคเรื้อน รักษาไม่หาย ใครเป็นโรคเรื้อนตายแน่ ทรมาน พระเจ้าไม่ได้เอาโรคเรื้อนมาให้เรา แต่พระเจ้าให้สติปัญญากับมนุษย์สร้างยารักษา จนชนะโรคเรื้อนได้แล้ว แล้วมีโรคอะไรอีกที่มันลำบาก ฝีดาษ อหิวาตกโรค ใครเป็นคนเอาฝีดาษเข้ามา ใครเป็นคนเอาอหิวาตกโรคเข้ามา ตอบสิ มาร ถูกไหม? ผ่านทางคน ไม่มีใครแล้ว ไม่ได้ผ่านทางพระเจ้า ผ่านทางมนุษย์ ล่อลวงมนุษย์เหมือนเดิมนั่นแหละ ล่อลวงอะไรต่างๆ ที่มันเกิดผลร้ายขึ้นมา เห็นไหม? ถามว่าล่อลวงอย่างไร? สลับซับซ้อน ถ้าพูดวันนี้ เอาแผนการของมารมาวาง สามวันสามคืนพูดไม่จบ ยกตัวอย่าง ปัจจุบัน โรคเมอร์ ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นการกลายพันธุ์ของเซลในร่างกายของเรา ถามว่ามาจากอะไร? มาจากสิ่งแปลกปลอมที่มนุษย์ต้องใช้ ยกตัวอย่างเช่น อาหารการกิน อากาศ อารมณ์ แล้วถามว่าจะมาได้อย่างไร? ไม่ยากเลย มันสร้างระบบต่างๆ สมมติว่าเราบอกมาจากอากาศ อากาศเสีย อากาศเสียมาจากอะไร? มลพิษรถยนต์ สมมติ รถยนต์เกิดจากอะไร? ความโลภ พอมองออกไหม? เห็นไหม?

สมมติว่าตอนนี้ เขามีการรณรงค์เรื่องสารพิษที่ใส่ลงไปในอาหารการกิน และพืชผักผลไม้ที่คนทำ ถามว่าคนทำ รู้ไหมว่าอันนี้ มันอันตรายต่อคน ทุกคนตอบพร้อมกัน? รู้ ถามว่าทำเพราะอะไร? เพราะอยากได้เงิน คือความโลภ … ความโลภมาจากใคร? มาจากมนุษย์ ฟังให้ดีๆ  ถูกล่อลวงโดยมาร ปิดบังตา ทำให้เกิดความโลภ แล้วตัวเอง ก็สูญเสียชีวิตไปด้วย แล้วก็ทำคนอื่นแย่ไปด้วย นี่คือหนึ่งในจำนวน ยกตัวอย่างให้ฟัง ทุกเรื่องมันมาจากมารทั้งนั้น มนุษย์ไม่เกี่ยวข้องเลย แต่มันถูกหลอกไง ผ่านทางความโลภ ความโกรธ ความหลง การทะเยอทะยาน ความเห็นแก่ตัว ก็คือความอะไรก็ตามที่มาจากเชื้อบาป ที่ถูกสาปแช่งไป ตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวา ระบบของโลกมันเป็นอย่างนี้หมดแล้ว มันก็มีแต่เสียหาย เพราะเราถูกล่อลวง ถูกปิดบังตา พระคัมภีร์บอกว่าเจ้าแห่งโลกนี้ คือผู้ครอบครองของโลกนี้ ก็คือมาร มันบังตา ให้เราไม่รู้จักพระเจ้า ถ้าเรารู้จักพระเจ้าแล้ว มันพยายามบังตาให้เรา ไม่ให้เอาข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไปให้กับคนข้างๆ มันทำทุกวิถีทาง แต่ถ้ามันมาบังตาให้เราไม่รู้จักพระเจ้าได้เลย มันยิ่งชอบใจใหญ่ แล้วไม่ใช่ไม่รู้จักพระเจ้าอย่างเดียว เมื่อไม่รู้จักพระเจ้า มันไม่หยุดแค่นั้น มันจะบังตาและหลอกลวงเราต่อไป ให้เราเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า และทำชั่วด้วย แล้วก็บังตาต่อไป ไม่ให้ทำชั่วอย่างเดียว แต่ทำชั่วกับคนเยอะๆ เลย ผ่านทางกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง ผ่านทางความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอะไรก็ตามที่มันบาปทั้งหลาย ท่านพอมองภาพเห็นไหม? แล้วมนุษย์น่าสงสารไหม?

“นี่เธอก็ผิด นั่นเธอก็ผิด”

ตัวจริงๆ มันนั่งแอบอยู่ แล้วก็หัวเราะ แล้วก็บอกพระเจ้านี่ลูกๆ พระองค์ทั้งนั้นแหละ นี่บ้านของพระองค์ สวนเอเดน แหะ แหะ เป็นไง”

แต่พระเจ้านิ่งๆ และหัวเราะดังกว่าครับ เอเมน หัวเราะเมื่อไร? วันแรก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าหัวเราะดังกว่า ตอนพระเยซูถูกตรึงและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง แล้วพระองค์ประกาศว่า …

“จบ พอแล้ว สำเร็จแล้ว”

คือการไถ่บาป การช่วยเหลือมนุษย์ที่พระเจ้าวางแผนเอาไว้ มันสำเร็จแล้ว …

“จากนี้ ต่อไป ฉันจะลงมาแล้วนะ”

เอาล่ะสิ พระเจ้าจะลงมาแล้วล่ะ “แกทำอะไรฟรีๆ แบบเปล่าๆ ไม่ได้อีกแล้ว ฉันจะลงมาแล้ว ลงมาอยู่กับมนุษย์ แกได้ถูกพิพากษาแล้ว วันหนึ่งแกต้องลงไปอยู่ในบึงไฟนรกนิรันดร์ ฉันกำลังเอาความสำเร็จนี้ การช่วยเหลือมนุษย์นี้แผ่กระจายออกไปเป็นข่าวดี ไปให้ทั่วเลย ซึ่งยังมีคนต้องเกิดขึ้นมาอีก ไม่รู้เท่าไร? จาก DNA ที่อยู่ในอาดัม อีกไม่รู้กี่พัน กี่หมื่นล้านคน ฉันไม่รู้ หมายถึงเราไม่รู้นะ พระเจ้ารู้ แต่ไม่ได้บอก แต่จบแล้ว” นี่ วันที่หัวเราะ

ตั้งแต่วันที่ประกาศที่ไม้กางเขนเป็นต้นมา พระเจ้าก็ลงมาอยู่กับมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้คนที่รู้ความจริง สมัยแรกๆ นั้นก็คืออัครสาวกทั้งหลาย ก็ออกไปประกาศข่าวดีนี้ และสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือพระเจ้าไม่อยากให้มนุษย์ถูกล่อลวงอีกแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” สรุปสั้นๆ พระเจ้าลงมาแล้ว ลงมาอยู่กับเรา อยู่กับมนุษย์เลย อยู่ในเราเลย อยู่ข้างในตัวเรา ในหนังสือ 1 โครินธ์ 3:16 บันทึกไว้ว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน”

ผมจะเปิดความหมายลึกๆ จากภาษาเดิม ซึ่งเป็นภาษากรีกว่าตรงนี้หมายความว่าอะไร? 1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่า? แล้วท่านไม่เข้าใจเลยหรือว่า?”

ฟังนะ นี่กำลังพูดกับคนที่เป็นคริสเตียน  กำลังพูดกับคนที่เกิดใหม่แล้ว กำลังพูดกับคนที่เป็นของพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มีวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัวแล้ว บอกว่าอย่างไร? …

“ท่านไม่รู้หรือ? แล้วท่านไม่เข้าใจหรือว่าท่านเป็นคริสตจักร”

“คริสตจักร” แปลว่าสถานที่ที่พระเจ้าสถิต

“ท่านเป็นคริสตจักร เป็นวิหารของพระเจ้า และเป็นที่ที่ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าอาศัยอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ ไม่ไปไหนอีกแล้วในท่านนั่นแหละ  แต่ละคนเลยทีเดียว”

มันแปลว่าอย่างนี้ “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหาร” บางทีรู้สึกรวมๆ นี่พูดถึงแต่ละคน แต่ละผู้เชื่อ แต่ละคริสเตียน พระคัมภีร์ได้บอก พระเจ้าได้บอกกับเราว่าเราแต่ละคน เป็นที่อยู่อาศัยของพระวิญญาณของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่จะนะ แล้ว เดี๋ยวนี้แล้ว ท่านเข้าใจไหม? ท่านรู้ไหม? แสดงว่าพูดด้วยความอยากให้คนฟังรู้ อยากให้เข้าใจ มันถึงต้องเน้นอย่างนี้

“ท่านไม่รู้หรือ” ไม่พอ ท่านไม่รู้หรือ? ท่านไม่เข้าใจหรือว่าร่างกายของท่าน พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่แล้ว เข้าไปอยู่อย่างถาวร เข้าไปอยู่แต่ละคนเลย ไม่ใช่ไปอยู่รวมกัน ไม่อยู่รวมกัน ท่านอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่นั่นด้วย  และอยู่แบบถาวรนิรันดร์เลย คือไม่ว่าท่านไปไหน ก็อยู่ที่นั่น ไม่ว่าท่านตื่นนอน จะอยู่ในห้องน้ำ จะไปตลาด ไปเดิน ไม่ว่าท่านจะมาโบสถ์หรือไม่มา ก็อยู่กับท่านตลอดนั่นแหละ อยู่ตลอดในร่างกายของท่าน

นี่คือความสำเร็จของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่กับเรา พระเจ้าก็จะนำทางเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา คอยดูแลเรา พอเรารู้จักพระเจ้า พระองค์มีพระลักษณะเป็นอย่างไร? เป็นฝ่ายเรา เป็นข้างเรา อย่างเดียวเลย ไม่โกรธ ไม่เคยแตะ ไม่เคยตีเราเลย คอยนำเราตลอด เราจะทำอะไรผิด อะไรพลาด ถูกล่อลวง พระเจ้าก็คอยช่วยเหลือ พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งการปลอบโยนตลอด ท่านจะเห็นภาพแล้วตอนนี้ ก็คือพาเราเดินบนโลกใบนี้ที่มันเสียหาย ยับยู่ยี่ มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ มีแต่ความเสียหายต่างๆ เดินด้วยความระมัดระวัง ไปกับพระเจ้า บาดเจ็บขึ้นมาปุ๊บ พระเจ้าก็พันแผล ค่อยๆ ช่วย

“ลูก วันหลังต้องเดินอย่างนี้นะ ไม่เป็นไรๆ พ่ออยู่ด้วย”

ต้องคิดอย่างนี้ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ความเสียหาย ย้อนกลับมาถึงไวรัสโคโรน่า ท่านต้องกลัวไหม? ไม่ต้องกลัว แต่ทำตามสติปัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ ผ่านทางคนที่พระเจ้าให้สติปัญญาแล้วว่าเขากำลังคิด เรื่องยารักษาโรคตรงนี้อยู่ แล้วเขาก็บอกว่าต้องระมัดระวังตัวอย่างไร? ตามสาธารณะสุข เราก็ทำตาม ด้วยสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า แต่ถามว่ากลัวไหม? ไม่กลัว เพราะพระคัมภีร์ก็บอกเลย ถ้าตาย ก็ได้กำไร หมายถึงว่าจากร่างนี้ไป ก็ไปอยู่กับพระเจ้า ทันทีเลย จริงๆ วันนี้ก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ตอนจากไป หมายถึงจากร่างนี้ปุ๊บ ก็อยู่ในโลกวิญญาณ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันนี้ก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ไม่เห็น เพราะอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอนี้ เพราะฉะนั้น ใครที่อยากเห็นพระเจ้าบ่อยๆ ก็เตรียมตัวไว้นะ อยากเห็นไหม? บางทีก็อยากๆ กลัวๆ บางทีก็คิดถึงข้าวขาหมูอยู่  ไม่รู้ว่าไปอีกมิติหนึ่ง จะมีข้าวขาหมูหรือเปล่า? ตามภาษามนุษย์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ชัดเจน ดังนั้น เราไม่ต้องกลัว ไปไหน พระเจ้าไปด้วย

“จะไปไหน? พระเจ้าไปด้วย”

พระเจ้าผู้นี้ที่มีมาตั้งแต่อดีต เป็นคำเผยพระวจนะว่าพระเยซูจะมาทำอย่างนี้ แล้วมีในพระคัมภีร์ หนังสืออิสยาห์บอกว่าพระเจ้าองค์นี้ ใช้ชื่อว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ก็คือพระเจ้าที่พวกท่านรอกันอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม วันหนึ่งพระมาซีฮาจะมา แล้วพระองค์มีนามว่า “พระเจ้าอยู่กับเธอด้วย” ก็คืออิมมานูเอล

แล้วถามว่าอยู่กับเรา เรากลัวอะไรไหม? เราอาจจะกลัวโน่นกลัวนี่ ตามประสาของการอยู่บนโลกใบนี้ มันตกใจ แต่พระเจ้าก็คอยปลอบโยนเรา ให้เราค่อยๆ กล้วน้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วในพระคัมภีร์ก็มีบันทึกเอาไว้ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 1:13 บอกว่า …

“พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ สัตย์ธรรม” นี่พูดถึงคนที่เชื่อในพระองค์แล้ว เป็นลูกพระองค์แล้ว ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์บอกว่า …

“ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวดใดๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกเด็ดขาด ที่มันแปลกกว่าชาวบ้านเขา” มันแปลว่าอย่างนี้นะ

มันคือความเจ็บปวด ความชั่วร้ายที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้กับทุกคนแล้ว คือพูดง่ายๆ มาเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้หนีรอดจากตรงนี้หรอก มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว เหมือนแสงแดดที่ส่องมาให้ทั้งกับคนดีและคนชั่ว คนเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็โดนแดด โดนฝน ก็เปียกเหมือนกัน ไม่ใช่คนเชื่อ เดินมามีฝน แดดส่องมา ไม่ใช่ มันเหมือนกันหมด แต่ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่าท่านจะไม่ได้รับการลำบาก ลำบนกับความชั่วร้ายของโลกใบนี้ เกินกว่าที่ท่านจะสามารถรับได้ แต่ในขณะที่ท่านอยู่ในความทุกข์ยากลำบากอยู่นั้น พระองค์กำลังเตรียมทางออกช่วยท่านอยู่ เอเมน ไม่ว่าท่านจะอธิษฐานไม่ได้ ไม่ไหวแล้ว พระวิญญาณก็จะทำการอธิษฐานให้ท่านเอง ช่วยท่านเอง มันแปลว่าอย่างนี้

ท่านเจอระบบของโลกนี้ แล้วก็พลาดไป ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ท่านพลาดไป ถูกล่อลวงโดนมาร ผ่านทางคนโน้นคนนี้ ล่อลวงให้ท่านลงทุนในโน้นในนี้ แล้วมันได้ แรกๆ ได้ๆ มันล่อลวงเราทั้งนั้นแหละ แล้วท่านเกิดโลภ พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ท่านก็ไปโลภมัน  เพราะพระเยซูรู้แล้ว ถ้าโลภ เดี๋ยวมันก็เจ็บ ก็ไม่ไหว ลงทุนนี้ก็ได้ ลงทุนนั้นก็ได้อีก ลงทุนใหญ่ ในที่สุด มารก็มาแล้ว ในที่สุดก็เจ๊ง ท่านก็รับไม่ได้ เห็นไหม? มันก็เป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าก็เข้าไปปลอบโยน เข้าไปช่วยท่าน จะเป็นอย่างนี้ เพราะพระเจ้าสัตย์ธรรม ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ พระองค์จะไม่ปล่อยให้ท่านอยู่ในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เกินกว่าที่ท่านจะรับได้ แสดงว่าทุกวันนี้ ท่านเจ็บปวด เรื่องอะไรก็ตาม มีทุกข์ พระเจ้ากำลังบอกท่านว่าท่านรับได้ จึงให้เกิดขึ้น แล้วพระเจ้าก็ใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดเป็นผลดี สำหรับท่าน และแผนการของพระองค์ด้วย

ใช้สิ่งที่มันเสียหาย สิ่งที่เราจำเป็นต้องเจอ เนื่องจากมาร พระองค์ทรงใช้สถานการณ์นั้น ให้เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตเรา และเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตคนรอบข้าง โดยตรง เป็นไปตามแผนการของพระองค์ อย่างนี้มันถึงถูก ไม่ใช่พระองค์ใส่เรา พาเราเข้าไปในความทุกข์ยากลำบาก แล้วใช้ความทุกข์ยากลำบากนั้น มาเป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  ไม่ใช่ มันต้องเข้าไปอยู่แล้ว มันเป็นอยู่แล้ว แต่พระองค์ทรงช่วยเราออกมา ขณะที่ช่วย ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย  พอเข้าใจไหมตรงนี้  ลึกซึ้งนิดหนึ่ง เข้าใจหรือเปล่า? ไม่ใช่พระองค์พาเราเข้าไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก แล้วก็ใช้ความทุกข์ยากลำบากนั้น เสริมสร้างให้เราเติบโตเข้มแข็ง เป็นผู้ใหญ่ ทางฝ่ายวิญญาณ เหมือนในหนังสือโรม บทที่ 5 บอกไว้ …

“ข้าพเจ้าปิติยินดีด้วย และปลาบปลื้มในความทุกข์ยากลำบาก ในความเจ็บปวด เพราะความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวดจะทำให้เกิดความอดทน ทรหด และความอดทน ทรหด ทำให้เกิดอุปนิสัยใหม่ เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าจะใช้ได้ เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

เห็นหรือยัง? คนก็เหมา แสดงว่าพระเจ้าเอาความทุกข์เข้ามา ไม่ใช่ หมายถึงเราเป็นอยู่แล้ว เราโดนอยู่แล้ว แต่พระเจ้าเอาที่เราโดนอยู่แล้ว มาให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา เราจึงเกิดความอดทน แต่ให้เรามีความอดทนมากขึ้น  และในข้อต่อมาบอกว่า …

“และความอดทนและบุคลิกใหม่ ที่พระเจ้าสามารถใช้ได้นี้ จะทำให้ความหวังใจในการมีส่วนในพระพร เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้วตอนนี้ แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่นะ มันชัดเจนยิ่งขึ้น มันมั่นคงแข็งแกร่ง แล้วมันไม่เสียหายไปเลย มันไม่มีล้มเหลวเลย  เหตุเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตในเรา ความรักของพระเจ้าท่วมท้นเข้ามาในจิตใจเรา เราสัมผัสได้ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นแหละ แต่พระองค์ไม่ได้เป็นคนเอาเราเข้าไปในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น แต่คอยช่วยเราตลอดเวลา”

พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ เพราะมันง่ายเหลือเกินที่จะบอกว่ามันเป็นผลดี เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงพาเราเข้าไป ไม่ใช่ๆ ที่เราพูดอยู่นี้อยู่ในหนังสือโรม 8:28 ก่อน ยิ่งกว่าผู้พิชิต

“และเรารู้ว่า (เรา คือผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่เป็นลูกของพระองค์ พระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว) ทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดี แก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์”

“ทำให้เกิดผลดี” ผู้ที่รักพระองค์ หมายถึงผู้ที่เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ถ้าไม่เกิดใหม่ ไม่เป็นลูกพระเจ้า รักพระองค์ไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ มันอยู่คนละข้างแล้ว มันอยู่กับมาร มันไม่รู้จักรักพระเจ้าหรอก แต่นี่หมายถึงคนที่บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าบอกว่าจากนี้ต่อไป เราเกิดใหม่แล้ว  บนโลกใบนี้ เกิดความทุกข์ยากลำบากอะไรก็ตาม ทั้งหมดเลย เราคือพระเจ้า พ่อจะทำให้มันเป็นผลดี สำหรับลูกนะ ทุกคนตอบกันว่าเอเมน แต่พอมันเกิดจริงๆ มันเอเมนไม่ค่อยไหว แต่ไม่เป็นไร ไม่เอเมน ก็ไม่เป็นไร พระองค์ยังคงทำเหมือนเดิม  เพราะถึงแม้ลูกไม่รู้ แต่พ่อจะพาลูกไปที่ดีๆ

ดูว่าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างไร? ข้อ 37 พ่อจะทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ที่มันทำให้ลูกเจ็บปวด อะไรต่างๆ พ่อจะเดินไปกับลูก จูงมือลูกเดินไปตลอดทุกหนทางทุกแห่งเลย มารมันซัดเข้ามาอย่างไร? พ่อจะพาลูกผ่านไปให้ได้ และต้องได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้นบนโลกใบนี้เลย เพราะว่าพ่ออยู่กับเจ้าด้วย เหมือนที่เผยพระวจนะมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ให้กษัตริย์ดาวิดเผยพระวจนะ ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 บอกว่า …

“แม้ว่าผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพเจ้าก็ไม่กลัวสิ่งใดๆ เลย เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย คทาและธารพระกร ไม้เท้าของพระองค์ทรงปลอบโยนลูก ทำให้ลูกสบายใจ พระองค์ทรงเตรียมสำหรับ คือโต๊ะอาหารให้กับลูก ต่อหน้าต่อตาศัตรูของลูกเลย ไม่ต้องกลัว”

เพราะฉะนั้น ในโรม 8:37 จึงบอกว่า “ดังนั้น (หมายถึงว่าความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่พูดถึงตะกี้นี้) ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิติ โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย” เห็นไหม?

“ในสถานการณ์ทั้งปวงเหล่านี้” ก็คือในความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นซาร์ โคโรน่า เล็กซัส ไม่ว่าจะเป็นฝีดาษ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรทั้งนั้น ในอนาคตจะมีมาอีก ไม่ว่าจะเป็นการกันดารอาหาร ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น P.M. 2.5 ไม่ว่าจะเป็นฟลูโรชั่นอะไร ไม่ว่าจะเป็นไอเสีย ไม่ว่าจะเป็นอะไรอีกล่ะ ตอนนี้ที่ขู่เรา ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในผัก ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง รู้หรือไม่รู้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเยอะแยะไปหมด ไม่ต้องกลัวเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ในสถานการณ์ของโคโรน่า ตอนนี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้นะ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต คืออะไร? คือไม่ต้องทำอะไร มีคนทำให้ เคยได้ยินไหม ผู้พิชิตคืออะไร? ใครรู้จักนักมวยที่ดังๆ เขาทราย รู้จักหมดใช่ไหม? เก่าแก่ เอาสมัยใหม่หน่อยสิ บัวขาว สมมติ บัวขาวยิ่งกว่าผู้พิชิต บัวขาวขึ้นชก ชนะ เขายกให้บัวขาวเป็นผู้พิชิต ถูกไหม? เรียกบัวขาวขึ้นเวที บัวขาวผู้พิชิตขึ้นมาบนเวที ปุ๊บ ก็มีคนเอาเข็มขัดทอง เข็มขัดประจำตำแหน่งให้ ชก เหงื่อแตก เลือดไหล แต่ว่าชนะแล้ว ตัวเองน่วมไปหมด กลับไปบ้านปุ๊บ เอาเข็มขัดทองไปให้กับเมีย เมียไม่ได้ขึ้นชกเลยสักนิดหนึ่ง เมียนั้นเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เอเมน

แล้วของเราคือใคร? ใครชกจนเหงื่อออก หัวร้างข้างแตกเลย ใคร? พระเยซูคริสต์ทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทรมาน แล้ววันที่ 3 เป็นขึ้นจากความตาย ในพระคัมภีร์บอก โดยพระคุณของพระเจ้า เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย เพียงแต่เชื่ออย่างเดียวว่าพระเยซูทำให้เรา เราก็เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เห็นภาพหรือยัง? เราก็เป็นภรรยาของเจ้าบ่าวของเรา คือพระเยซูคริสต์ เอเมนไหม?

ผมไปเล่นดนตรีมาแทบตายเลย เหนื่อยตายเลย คนเก็บเงินคือใคร? ผู้ชายในนี้มีอีกหลายท่าน ทำงานแทบตาย เหนื่อยกลับมาถึงใครรับตังค์ ไม่ต้องทำเลย อยู่บ้าน แบมืออย่างเดียว แล้วเราก็ต้องให้ด้วย เห็นไหม? ไม่เรียกว่ายิ่งกว่าผู้พิชิต แล้วให้เรียกว่าอะไร?

พอเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตในข้อ 38 บอกว่า … “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าเป็นปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถจะพรากเรา เอาเราออกไปจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย พรากจากมือพระเจ้าออกไปได้เลย ไม่สามารถเอาเราไปได้แล้ว เราเป็นลูกแล้ว อยู่กับพระองค์แล้วตอนนี้ อยู่ตลอดเวลา เราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ แล้วกลัวอะไร? สวรรค์อยู่แน่นอนแล้ว แล้วอะไรที่อยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวพระองค์ก็นำพาเรา จูงมือเราไปทีละนิดทีละหน่อย

โรม 8:38 “ดังนั้น ในความทุกข์ทั้งปวงเหล่านี้ เราทั้งหลายเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ได้รับชัยชนะอย่างเหลือล้น โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ผ่านทางพระเยซู เป็นผู้กระทำ พระเยซูผู้ซึ่งรักเรามาก ถึงขนาดตายแทนเราได้”

พูดถึงตรงนี้แล้วนึกถึง ตะกี้เราพูดถึงบัวขาว … บัวขาวยอมให้เขาศอก เลือดอาบ เพื่อเมียอยู่ที่บ้านได้รับ อย่างนี้ คล้ายๆ

“เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลาว่าไม่มีการสงสัยในความเชื่อของข้าพเจ้าเลยว่าไม่ว่าจะเป็นความตาย หรือเป็นชีวิต หรือเป็นทูตสวรรค์ หรือเป็นเหล่าวิญญาณชั่ว หรือกำลังอำนาจใดๆ ก็ตาม หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันนี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ภูเขาไฟ น้ำท่วม กันดาร ฝนไม่ตก 2.5 อะไรต่างๆ เหล่านี้ ไม่สามารถมาข่มขู่ ใช้คำนี้เลย สิ่งที่มันข่มขู่เราทุกวันนี้ กินอะไรก็เป็นพิษ อันนั้นก็แย่ อันนี้ก็แย่ ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวเลย และสิ่งที่ข่มขู่ และน่ากลัว ที่จะมีขึ้นมาอีกในอนาคต จะมีอีกนะ หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ไม่ว่าจะมาจากคน มาจากประเทศ หรือมาจากวิญญาณก็ตาม หรือของสูง หรือของลึก ก็คือสติปัญญา หรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นก็ตาม ไม่สามารถแยกเราขาดออกจากการเป็นหนึ่งเดียวกันกับความรักอันไม่มีลิมิต ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า ในพระคริสต์ได้เลย” เอเมน

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเชื่อแล้ว อยู่ในพระเยซูแล้ว เกิดใหม่แล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระองค์จะเป็นผู้พาท่านไป สงบๆ นิ่งๆ อดทนไว้เท่านั้นเอง รอคอยด้วยความหวัง พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าพระหัตถ์ของพระองค์จูงมือเราแล้ว สำหรับบรรดาผู้คนที่ยังไม่มีพระเยซู ไม่มีพระเจ้ามาจูงมือ ก็ไม่ยาก พระคัมภีร์บอกว่าเปิดใจท่าน ต้อนรับสิทธิของท่านที่พระเยซูทำให้ แค่เปิดใจ เชื่อว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้กับท่านจริงๆ  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้วจริงๆ เชื่อด้วยใจ แล้วก็พูดด้วยปาก อธิษฐานที่ไหนก็ได้ คนเดียวก็ได้ ไม่ต้องพูดก็ได้ ใช้นึกในใจก็ได้ แค่นั้นเอง เป็นการเปิดประตูโลกวิญญาณ พระเจ้าก็จะเข้าไปสถิตกับท่าน และท่านก็จะได้รับทั้งหมดเหล่านี้ ที่วันนี้ ผมพยายามอธิบายให้ท่านฟังอย่างชัดเจน พระเจ้าก็มาอยู่ข้างๆ ท่าน เดินไปด้วยกัน ความหวังเราคือชีวิตนิรันดร์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล บนโลกใบนี้ไม่ต้องห่วง  แม้มีความทุกข์ยากลำบากบ้าง แต่เดี๋ยวพระเจ้าพาผ่านไปเอง แล้วพาผ่านไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เราจากโลกนี้ไปอยู่กับพระเจ้าถาวรนิรันดร์ มีสุขนิรันดร์ ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2019 เรื่อง “ไม่ท้อใจ เมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก (ความจริงเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบาก)” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ธันวาคม  2019

เรื่อง “ไม่ท้อใจ เมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก

(ความจริงเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบาก)”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีวันอาทิตย์สุดท้ายของปีนี้  ปี 2019 แล้วเมื่อไรมันจะถึงวันสุดท้ายของโลกใบนี้ เราไม่รู้ รอวันนั้นอยู่ รอพระเยซูกลับมา ถือโอกาสสวัสดีส่งท้ายปีเก่า และเตรียมต้อนรับปีใหม่ เวลาจะมาบรรยายวันสุดท้ายของปี มันต้องเข้ากับบรรยากาศนิดหนึ่ง จึงตั้งใจชื่อเข้ากับบรรยากาศมากเลย ถ้าท่านฟัง ท่านจะใช่ เข้าจริงๆ เพราะว่าช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ควรจะพูดอะไรที่ดีๆ เป็นสิริมงคลนะ ทุกคนรู้เลย ชื่อเรื่องมา ถ้าไม่รักจริงจากพระเจ้า ก็จะไม่สวัสดีปีใหม่ด้วยข้อความที่จะบรรยายในวันนี้ “ไม่ท้อใจ เมื่อเผชิญความทุกข์ยากลำบาก (ความจริงเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบาก)”

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ได้นำพาชีวิตของพวกเราทุกคน มาอีก 1 ปี ผ่านทั้งช่วงเวลาแห่งความสุขและความทุกข์ อันไหนมากกว่า หลายคนก็ต้องผ่านปัญหา ผ่านความทุกข์ยากลำบาก ก็มากบ้าง น้อยบ้าง ก็แล้วแต่สายตาของคนๆ นั้นว่าเขาจะมองอะไรมากกว่า ลองนึกย้อนกลับไป ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาว่าแต่ละปีต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาครอบครัว ปัญหาความวุ่นวายในประเทศ ปัญหาความวุ่นวายในโลกตอนนี้ สมัยก่อนคิดแต่เรื่องประเทศไทยว่ามีเรื่องยุ่งตรงนั้นตรงนี้ เดี๋ยวนี้โซเซียลมีเดีย อยู่ที่ไหนก็ได้ยินหมด รู้หมดเลยว่าเป็นข่าวของความทุกข์ยากลำบากทั้งนั้น มันวุ่นวายขึ้นทุกวัน

แล้วทุกปี พอปีเก่าจะผ่านไป แบบวันนี้ เตรียมตัวเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนก็มักจะตั้งความหวังกันว่าปีใหม่นี้ ทุกอย่างน่าจะเลวลง ไม่มีใครตั้งอย่างนี้แน่นอน ไม่เป็นสิริมงคล ก็จะตั้งกันว่าทุกอย่างต้องดีขึ้นปีนี้ เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ฟื้นตัวใหญ่ ปัญหาหลายอย่างน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น หลายคนก็อธิษฐานขอพระเจ้าอย่างนี้แน่นอน เอเมนไหม? คงไม่มีใครอธิษฐาน …         “พระเจ้าขอให้ปีนี้ไม่ค่อยดีนะ สำหรับลูก”

ไม่มีแน่นอน ถามว่าอธิษฐานขออย่างนี้ทุกปี แล้วนึกย้อนกลับไปว่าแล้วที่ผ่านมาทุกปี  ทุกอย่างดีขึ้น อย่างที่ขอหรือเปล่า? ลองคิดดูสิ ปีที่แล้วเราก็อธิษฐาน แล้วปีนี้มันดีขึ้นไหม? อย่างน้อยปีที่แล้ว เราต้องมีอธิษฐานเรื่องนี้แน่นอน …

“พระเจ้าอวยพรสุขภาพของลูกให้ดีขึ้น”

แล้วปีนี้ มันดีขึ้นไหม? ถามจริง

“ดีไม่ดีขึ้นไม่รู้ แต่ฉันเข้มแข็งขึ้น” เข้มแข็งขึ้นข้างในนะ  ในวิญญาณ

บ่อยครั้งที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเราเอง หรือกับคนที่เรารัก กับคนใกล้ชิด อาจจะเป็นเจ็บป่วยอย่างมาก อาจจะเป็นความขาดแคลนอย่างหนักสาหัส อาจจะเป็นการทะเลาะวิวาทกับคนใกล้ชิด หรือความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง แบบต่อกันไม่ติดแล้ว  หรืออาจจะเกิดความรู้สึกทางอารมณ์ที่ควบคุมไม่อยู่ เช่น ความกังวล  ความกลัว ความโกรธ ความซึมเศร้า และเราก็หวังจากพระเจ้าว่าพระเจ้าช่วยได้ แน่นอนทุกคนก็คิดอย่างนี้แหละ ซึ่งสมควรจะคิดอย่างนี้ด้วย อันนี้ ไม่ว่าใครนะ ก็เลยอธิษฐานอย่างหนัก เพราะอยากจะได้ตรงนั้น อยากจะได้สุขภาพแข็งแรง อยากให้การงานเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง อยากให้ที่มีปัญหาต่างๆ มันเคลียร์ไปสักทีหนึ่ง ไม่มีปัญหาเลย ไม่ได้เหรอ ก็อธิษฐานอย่างหนักๆ แล้วไปขอให้คนอื่นช่วยอธิษฐาน ขอให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานให้ ก็ทำแล้ว พยายามทำทุกอย่าง ที่จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และยิ่งทำมากเท่าไร? ตะเกียกตะกายมากเท่าไร? เราก็จะรู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้มากขึ้นเท่านั้น เพราะมันไม่สำเร็จ เป็นไปตามที่เราอยากได้ นี่เรื่องจริงเลยนะ

เมื่อพบว่าสถานการณ์ มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามที่เราคาดหวังเลย บางครั้งแม้แต่นิดเดียวเลย ไม่เปลี่ยนเลย แถมแย่ลงด้วย มันก็เลยทำให้อาจเกิดความสับสน ความกังวล กลัวมากขึ้น แล้วก็เกิดการตั้งคำถามขึ้น คริสเตียนหลายคน พอชีวิตประสบปัญหา หรือความทุกข์ยากลำบาก อธิษฐานขอพระเจ้าเท่าไร? ปัญหาก็ไม่หมดไปจากชีวิตสักที ก็จะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเจ้าไม่ช่วย ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน อันนี้อยู่ในใจเราทุกคน อยู่แล้ว แน่นอน ถ้าเผื่อเราไม่มีคำตอบ มันก็จะอยู่คาใจเราไปตลอด แต่วันนี้ มีคำตอบมา เพื่อจะได้ไม่คาใจ

–  ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน

–  ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นอย่างนี้ได้ ไหนบอกว่ารักเราไง?

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และพระเจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่ตอนนี้ ไหนบอกสถิตอยู่ด้วย แล้วทำไมปล่อยให้ลูกๆ ของพระองค์ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ อย่างนี้นะ

พอพยายามจะหาคำตอบ หลายคนก็ไปได้คำตอบมาถึงตัวเองจริงๆ ซึ่งเป็นคำตอบที่ท๊อปฮิตมาก สำหรับคริสเตียน ลองนึกในใจทำไมปัญหา ไม่หมดสักที ปัญหาโน้นปัญหานี้ ทำไมสุขภาพไม่เห็นดีสักที รับรองพอผมบอกเขาตอบมาอย่างนี้ ใช่ ได้ยิน ทุกคนจะคุ้นๆ เลยว่าคำตอบแบบนี้ได้เจอกันมาทุกคน เปิดไปยูทูปได้เจอแน่ …

“ทำไมเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังต้องเผชิญกับปัญหาและความทุกข์ยากลำบาก”

… คำตอบที่เราคุ้นๆ กันจะมี 2 แบบดังต่อไปนี้แน่นอน …

(1) พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ให้ลูกๆ ของพระองค์ต้องเจอกับปัญหา หรือความทุกข์ลำบากใดๆ เลยนะ เพียงแต่ว่าเรา หรือคุณต้องเชื่อให้เต็มที่ ต้องเพิ่มความเชื่อให้มาก และต้องไม่ทำอะไรที่ขัดต่อน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือต้องไม่ทำบาป เท่านั้นเอง แก้ปัญหาได้

เพราะฉะนั้น ถ้าปัญหาของเราที่ตะกี้นี้ที่บอกไป มันยังอยู่ มันยังไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าตามนี้นะ ตามที่เขาตอบว่ามันเป็นอย่างนี้ แสดงว่าความเชื่อเรายังไม่มากพอ ต้องพยายามมากว่านี้ เราต้องทำให้ความเชื่อเราเพิ่มพูนมากขึ้น จนถึงที่สุด จะทำให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตามเราได้ ยกตัวอย่างในพระคัมภีร์เยอะแยะ มาใส่ใหญ่ ยกตัวอย่างว่าเราต้องอัดมากยิ่งขึ้น เคาะ เอาให้พระเจ้ารำคาญ จะได้ตอบเรา อะไรประมาณนั้น คุ้นๆ นะ เช่น เขาก็จะแนะนำเราว่า …

“คุณต้องอธิษฐานด้วยความเชื่อเยอะๆ  ยังไม่ได้ใช่ไหม? ต้องอดอาหาร อธิษฐาน ต้องท่องถ้อยคำด้วย ให้เกิดความเชื่อเยอะๆ ขึ้นในใจของท่าน เฝ้าเดี๋ยวน้อยไปหรือเปล่า? วันหนึ่งถึง 3 ชั่วโมงไหม? เขาปัญหาน้อยยังตั้ง 3 ชั่วโมง อันนี้ปัญหาเยอะ ต้อง 6 ชั่วโมงแล้ว”

เราก็แบกจนลิ้นห้อยเรื่อยๆ ต้องแสวงหาพระเจ้าและการช่วยกู้ของพระองค์ คุ้นๆ ใช่ไหม?  อะไรประมาณนี้ เขาก็จะแนะนำเราอย่างนี้ หรือไม่อีกที อาจเป็นเพราะตัวเรา หรือคนในครอบครัวของเรา ไปทำอะไรผิดบาปหรือเปล่า ที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ไปหาสำรวจสิ ในบ้านมีอะไรไหม? มีรูปเคารพอยู่หรือเปล่า? เยอะแยะไปหมด นี่คือคำตอบฮิตอันหนึ่ง

(2) มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำไมยังเผชิญปัญหาแบบนี้ ทุกข์ยากลำบากอย่างนี้ คำตอบที่สอง ก็คือติดอันดับท๊อปฮิต ตรวจสอบ สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบาก ที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น มาจากพระเจ้าทำให้มันเกิดขึ้น  พูดง่ายๆ พระเจ้าโยนปัญหาเหล่านั้นมาใส่คุณ มาใส่ในชีวิตของคุณ เป็นแผนการของพระเจ้าที่จะให้ปัญหาและความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ เพื่อให้คุณได้เรียนรู้ อันนี้คุ้นๆ ใหญ่เลย มันมีบ่อย เพื่อที่พระองค์จะได้ฝึกฝน ให้เราแข็งแกร่ง อดทน เราจะต้องผ่านความเจ็บปวด ความทุกข์แทบตาย สำหรับบางรายนะ ทรมาน เพื่อพระองค์จะได้ดัดนิสัยเรา และในยามที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด พระเจ้าก็จะตีสอนเรา และบางครั้งพระเจ้าก็จะนำเราไปยังสถานที่ที่ทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะทดสอบความเชื่อของเรา ฟังดูคุ้นๆ แล้วมัน ใช่นะ

คุ้นๆ ไหมครับสำหรับ 2 คำตอบนี้ เจอแน่ แล้วหลังจากที่เราได้เรียนรู้ จากถ้อยคำพระเจ้า จากคำบรรยายเมื่อครู่นี้ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่ตลอดทั้งปีก็ได้ ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ  ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เรียนกันมาเยอะขนาดนี้แล้ว ท่านที่นั่งอยู่ในขณะนี้ ที่ได้ยินได้ฟังเมื่อตะกี้นี้ว่าคำตอบทั้งสองข้อนี้ เป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่? ท่านคิดในใจ เป็นตัวยืนยันว่าท่านได้เรียนรู้คำบรรยายเมื่อปีที่ผ่านมาชัดเจนไหม? เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะรู้ทันทีว่า 2 คำตอบเมื่อตะกี้นี้ มันถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ไหม?

ทั้งสองคำตอบเป็นความเชื่อและคำสอนที่ถูกหรือผิด? ผิดแน่นอน ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากใครก็ไม่รู้ มาจากตำนาน มาจากคนก่อนเรา ไม่รู้ใคร? คำกล่าวที่ว่าพระเจ้าทดสอบความเชื่อเรา  ด้วยการใช้ความทุกข์ยากลำบาก  เพื่อที่จะฝึกฝนเราให้เข้มแข็งนั้น คือเท็จทั้งสิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วการทดสอบความเชื่อ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ มาจากระบบของโลกนี้ ที่มันเสียหายไปแล้ว ผมย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ ชัดๆ ความคิด ข้อมูลผิดๆ เหล่านี้ ถูกส่งเข้ามาล่อลวงเรา โดยมารใช้ระบบของโลกนี้ ล่อลวง หลอกลวง และใส่ร้ายพระเจ้า ใส่ร้ายพระเยซูว่าพระเจ้าเป็นผู้เอาความชั่วร้าย เอาความลำบากเข้ามา เพื่อทดสอบเรา ในขณะที่เราเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเราภายใน ท่านไม่รู้เหรอ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า  เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์บอก ท่านไม่รู้เหรอ แสดงว่ามันเป็นจริงตามนั้นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระองค์จะเป็นผู้คอยช่วยนำพาเรา เป็นผู้ปลอบโยน และให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้ต่างหาก เห็นไหมนี่คนละเรื่องเลย นี่คือข้อมูลความจริง และเป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่แท้จริง มีพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดี  พระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความเมตตา แต่มารเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย

“พระเจ้าดี มารชั่วร้าย”

ไม่ต้องมีต่อเติมอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มีแต่ ไม่มีแม้ พระเจ้าดี ไม่ว่าท่านจะเห็นอะไรต่างๆ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ คือสรุปแล้ว พระเจ้าดี เป็นความรัก เป็นความเมตตา เป็นแสงสว่าง ทำชั่วไม่เป็น โหดร้ายไม่เป็น ตรงกันข้ามกัน มาร ไม่มีความรัก ไม่มีความเมตตา ไม่มีความซื่อตรง ไม่มีความดีงาม อะไรทั้งสิ้น เป็นความชั่วร้ายเพียวๆ 100% เช่นเดียวกัน ต้องฝังความจริงนี้ใส่ตัวไว้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้น มันหลอกเรา แล้วเราก็เลย มีศัตรูที่เป็นมิตร แต่มีมิตรเหมือนมีศัตรู มันยุ่งไปหมด มันก็ยิ่งทุกข์หนัก

พระเจ้าที่เป็นพระเจ้าที่ดี เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา เป็นพระเจ้าผู้ปลอบโยน พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ตลอดเลย จะไม่ติดต่อกับลูกๆ ของพระองค์ พูดกับลูกๆ ของพระองค์ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก  หรือผ่านทางโศกนาฎกรรมเด็ดขาด ลูกเรา ขนาดเราเป็นคนบาป  เราไม่ใช่พระเจ้า  เรายังรักลูกของเราขนาดไหน? นี่พระเจ้า พระคัมภีร์บอกมากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้า จะรักเรามากยิ่งกว่านั้นอีก

ข้อมูลความจริงที่เราต้องใส่เข้าไปในสมองเรา  เพื่อไปทำลายล้างข้อมูลเท็จ ข้อมูลโกหกที่เคยรับมาในอดีต …

“พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ทำให้เกิดโศกนาฎกรรม หรือเป็นผู้ต้องการให้ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นในชีวิตเรา มนุษย์ทุกคน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าดี”

พระองค์ดี พระองค์ร้ายไม่เป็นเลย และถ้าอย่างนั้น คำตอบที่ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์ คืออะไร?

–  ทำไมเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังคงต้องเผชิญปัญหา ความทุกข์ยากลำบากนั้น

กลับมาที่เดิม ความทุกข์ยากลำบาก ตอบสิ ถ้าไม่ใช่มาจากพระเจ้า แล้วทำไมมันยังต้องมีอยู่ ในเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็คือข้อมูลที่ตั้งใจมาบรรยายให้ท่าน แล้วมันก็จะเป็นพรให้ท่านไป ไม่ใช่พรสำหรับปีหน้าอย่างเดียว ตลอดไปเลย แต่พรนี้มันต้องมาโดยรับรู้ความจริง พระเยซูพูดตลอดว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงทำให้เราเป็นอิสระ ไม่เป็นทาส

ความจริง ก็คือตอนที่พระเจ้าสร้างโลก ธรรมชาติของชีวิตบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย สวยและดี แต่เนื่องจากความบาป คำสาปแช่งที่เกิดขึ้น  จากการที่มนุษย์ คืออาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา ถูกล่อลวงโดยมาร  ได้ทำให้โลกใบนี้ มันชั่วร้าย เอาความชั่วร้ายเข้ามา เอาความดีออกไป พูดง่ายๆ ก็คือเอามารเข้ามา เอาพระเจ้าออกไป พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะออกไป แต่มนุษย์ไม่เอาพระองค์ โดยถูกล่อลวง และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โลกใบนี้ ก็มีแต่ความชั่วร้าย ไม่สวยงาม ไม่ราบรื่นอีกต่อไป

ตอนที่พระเจ้าสร้างสวนเอเดน สร้างมนุษย์ใหม่ๆ ดีงามหมดเลย พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วพระเจ้า สั่งอาดัมและเอวาว่า …

“อย่ากินผลไม้นี้ ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะฆ่าเจ้า” ถูกหรือเปล่า? ไม่ใช่

“ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะลงโทษเจ้า” ใช่หรือเปล่า?  ไม่ใช่

“ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เราจะตีสอนเจ้า” ใช่หรือเปล่า?  ไม่ใช่

แต่บันทึกไว้อย่างนี้ “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”

ใครทำให้ตาย พระเจ้าทำให้ตายเหรอ ไม่ใช่ พระเจ้าว่า “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะได้รับผลของมัน” คือความบาป ทำให้เกิดความตาย

อย่างที่ผมพยายามยกตัวอย่าง บ่อยๆ เด็กๆ ลูกเรา อย่าเอามือแหย่ลงไปในปลั๊กไฟนะลูก ถ้าวันใดเจ้าแหย่เข้าไป ฉันจะฆ่าแก อย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ ไปแหย่ไฟมันจะช๊อตเอา มันตายนะ ลูกเอ๋ย อันนี้จะเห็นชัด เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว เริ่มโลกใหม่ๆ ว่าใครคือดี  ใครคือเลว   ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้มีบุคลิกอย่างนั้น  นี่คือความจริง ที่จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ซึ่งเราจะต้องยอมรับความจริงนี้ เพื่อจะได้เป็นอิสระ เพื่อเราจะดำเนินชีวิตอยู่ในความจริงนี้ และมีทุกข์ให้มันน้อยที่สุด นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และมีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความสงบสุขกับพระเจ้ามากที่สุด นั่นคือสิ่งที่พระองค์ต้องการ

ความหวังที่คิดว่าพระเจ้าจะให้ฉันมีชีวิตที่สุขสบาย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฟังให้ดีนะ ฉันหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรฉันให้มีชีวิตที่สุขสบาย

“สุขสบาย”

ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นความหวังที่เป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ ในเมื่อเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โลกเดิมอยู่เลย มันจะเป็นไปได้ได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ความบาป ความสาปแช่งมันเข้ามาอยู่ในโลกนี้แล้ว สุขสบายกาย มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ตรงกับความเป็นจริงกับโลกที่เสียหายไป เพราะความจริงโลกใบนี้มันกำลังไปสู่ความเสื่อมโทรม เสียหายอย่างหนัก และจะสิ้นสุดในวันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งไม่มีใครรู้นอกจากพระบิดาเท่านั้น เห็นไหม?  เมื่อมันยังไม่สิ้นสุด มันก็ยังอยู่ในความชั่วร้าย ท่านอยู่ในแตงโมเน่า ท่านก็จะได้รับความเน่าของแตงโมด้วย ท่านอยู่ในแตงโมเน่า ท่านอย่าหวังว่า …

“ฉันจะหาตรงที่มันดีๆ”

มันไม่มีดีหรอก เราต้องยอมรับความจริงอย่างนี้ ถ้าเราไม่ยอมรับ เราก็ฝืนกับความจริง มันไม่ได้  เราก็จะมีทุกข์มากขึ้น กังวลมากขึ้น แทนที่จะมีสุข และรอดไปสวรรค์ แบบมีสันติสุข กลายเป็นรอดไปสวรรค์ แบบรอดในไฟ กังวลอยู่ตลอด  แล้ววันที่สิ้นสุดของความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่

พระเยซูถูกรับลอยขึ้นไปต่อหน้าต่อตา เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ประมาณ 2,000 กว่าปี ตอนนี้พระเยซูอยู่ตรงนี้ รูปร่างแบบมนุษย์นะ รอวันนั้น วันที่พระเยซูกลับมาใหม่ เมื่อพระเยซูยังไม่กลับในเวลานี้ ก็อย่าหวังว่า …

“แม้ฉันจะเชื่อในพระเยซูแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์จะช่วยให้ฉันมีความสุขสบาย บนโลกใบนี้ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีความทุกข์เลย สบาย”

วิธีเดียวที่จะทำให้เราได้พบกับสันติสุข ความสงบ คือมองและยอมรับ ไปที่ความจริงที่มันเกิดขึ้นว่าโลกมันเสียหายไปแล้ว แต่เรารับเชื่อพระเจ้า เราเชื่อในพระเยซู เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าตอนนี้สถิตอยู่ในเรา เราเป็นวิหารของพระเจ้า นี่คือความจริง อะไรที่มันไม่จริง มันไม่ได้ อย่าพยายามไปฝืน ไปหวังมัน  แต่อะไรที่มันเป็นจริง พระเจ้าจะพาเราเข้ามาสู่ความเป็นจริงและสงบ เพื่อมีความสุขบ้าง มากกว่าที่เราถูกหลอก

วิธีการ คือให้เราจดจ่อเหมือนเดิมที่บอกไว้เสมอ จดจ่อตาฝ่ายวิญญาณของเรา และโฟกัส หมายถึงพุ่งไปที่โลกวิญญาณ ที่เบื้องบนว่าตอนนี้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้านะ พระเจ้าอยู่กับเรานะ ทุกวันนี้ จะรู้หรือไม่รู้ ทุกเสี้ยววินาที ทุกลมหายใจเข้าออกของท่าน  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แสงสว่างของพระเยซูคริสต์ฉายออกจากตัวเราตลอดเวลา ไม่ต้องถึงกระดูก แค่ผิวหนัง ก็มีแสงสว่างกระจายออกมาตลอดเวลาในกายของเรา แต่เรามองไม่เห็น ในพระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าพระองค์จูงมือเราตลอดเวลา ขณะที่เราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ทุกเสี้ยววินาที ทุกลมหายใจเข้าออก อยู่กับเราตลอดเวลา  และข้อสำคัญ สิ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก โดยมาร และอยู่บนโลกใบนี้ และมีสันติสุขได้ ก็คือต้องแก้ข้อกล่าวหาที่สอนกันมาผิดๆ  กล่าวหาพระเจ้า

สิ่งที่สอนกันมาผิดๆ เช่น สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นต่างๆ นั้น  เกิดจากความเชื่อของเรามันน้อยนิด มารมันใส่ร้ายตัวเรา  ให้เรารู้สึกฟ้องผิดว่าที่มันเป็นคนใส่ความชั่วร้ายเข้ามาในชีวิตเรา เอาความทุกข์ยากเข้ามา มันบอกเราว่าเป็นคนทำเอง เพราะเรามีความเชื่อน้อย หรือเกิดจากการที่เราไปทำผิดบาป หรือเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะเราไปทำผิด ทำบาป นี่มันเยอะมากเป็นอย่างนี้ ต้องแก้ไขตรงนี้ก่อนว่าความคิดนี้มันไม่ถูกต้อง เพราะถ้าท่านไปคิดอย่างนี้อีก มันก็เลอะอีก มันไม่ได้เป็นความจริง เพราะความจริง ความทุกข์ลำบาก เกิดจากโลกใบนี้ ที่มันเสียหาย มันถูกสาปแช่ง เหมือนแตงโมเน่า ความจริงต้องดึงตรงนี้มาให้ได้ ไม่อย่างนั้น มันผลักให้เรารับผิดชอบ เราก็รับ เราเองแหละเป็นคนทำ ไม่ใช่ แกต่างหากมาร ชัดเจนเลย นี่คือความจริง ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นก็ตาม คนทำดี ก็เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอปัญหาวิกฤต เจอปัญหาในชีวิต เจอโศกนาฎกรรม เช่นเดียวกันกับคนที่ชั่ว เหมือนกัน นี่แสดงว่าเรามีความเชื่อน้อย  ไม่ใช่เลย เหมือนกันหมด ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็เป็นอย่างนี้หมด เพราะโลกใบนี้มันเน่าไปแล้ว มันวิปริตไปแล้ว ต้องรับตรงนี้ให้ได้ คิดตรงนี้ให้ได้ นี่คือส่วนหนึ่งของข่าวดี ข่าวประเสริฐ ให้ชัดๆ เลยว่าอย่าไปหวังเอาอะไรแน่นอนกับโลกใบนี้ และระบบของโลกใบนี้ ถ้าขืนไปฟิค ติดสนิทอยู่กับมัน หวังในมัน คุณก็จะเสียใจ เพราะมันหลอกลวงคุณไปเรื่อยๆ พระคัมภีร์ใช้คำว่ามันกินลม กินแล้ง มันไร้สาระ มันไม่มีประโยชน์ มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ในระหว่างที่เรากำลังเผชิญปัญหา พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา คอยนำทางเรา และพาเราก้าวผ่านความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ และแน่นอนพระเจ้าไม่ใช่เป็น ผู้ที่เอาความชั่วร้ายมายัดเหยียดใส่เรา แต่กำลังพาเรา จูงมือเรา ดำเนินชีวิตให้มันทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เมื่อคืนนี้ผมได้คิด เหมือนโลกใบนี้มันเสียหายหมดแล้ว นึกถึงภาพสงคราม ทำไมสงครามกลางเมืองในประเทศต่างๆ อยู่ใกล้ๆ เรา ที่ในยุคเราก็เห็นชัด ก็คือสงครามที่อยู่ในเวียดนาม หรือเขมรก็ตาม ปรากฏว่ามีการสู้รบกัน แล้วเขาก็เอาระเบิดไปฝังไว้ในดิน ประชาชนไม่รู้เรื่อง เดินไปเหยียบระเบิด ขาขาด แขนขาด เสียชีวิต พิการเยอะแยะไปหมดเลย ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนบ้าง มันอยู่ใต้ดิน ฝังไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แถบๆ ชายแดน ผมเห็นภาพเหมือนกันอย่างนั้นแหละว่าบนโลกใบนี้ มันมีหลุมระเบิดเต็มไปหมดเลย แล้วเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจะไม่โดนระเบิดเหรอ มันโดนแน่ๆ แหละ แต่ถ้าเรามีผู้นำทางดีๆ เราก็อาจจะโดน เพราะมันเยอะ เพราะบางครั้งเราไม่เชื่อเขา เราขอเดินอย่างนี้อีกทีหนึ่ง เขาบอกให้มาทางซ้าย เราก็บอก เราอยากจะไปทางขวา เพราะเพื่อนชวน แล้วเราเหยียบทางขวาไป เราก็นิ้วขาดไปนิ้วหนึ่ง แต่ไม่ถึงตาย เขาก็บอกต่อไปให้เชื่อเขา เดินตาม เราก็เจ็บน้อยหน่อย ไม่ใช่ไม่เจ็บ

สมมติ โลกใบนี้หลุมระเบิดเต็มไปหมดเลย แล้วพระเจ้าพาเราเดิน ขวา เราเดินไปขวา เดินชนกำแพง พยายามให้มา เขาดื้อ จะไปทางนั้น เสร็จแล้วก็จำได้แล้วว่าถ้าเดินไปอย่างนั้น จะไปไม่ได้ เห็นไหม? ครั้งที่แล้ว ฉันจำได้ ฉันเจ็บแล้ว เพราะฉะนั้น ครั้งนี้ พระเจ้าพามาทางนี้ เราก็เดินตามไป ดีแล้ว รอด เดินไปถึงตรงนี้พระเจ้าบอก ลงไปเป็นเหว อย่าลงๆ ไม่ลง แต่บางครั้ง อาจจะลงไปก่อน แล้วก็จำได้ ไม่ใช่ๆ

เพราะฉะนั้น เราก็เหมือนกัน พระเจ้าพาเรา เราก็เดิน ขวานิดหนึ่ง ขวา 45 องศา แล้วเราคุ้นๆ ใครๆ ก็บอกสติปัญญาของมนุษย์แบบนี้ แก้ไขอย่างนี้ดี เจ็บ เขาบอกแล้วอย่าโลภๆ โอเคๆ วันหลังเจอเรื่องนี้อีก ฉันจำได้แล้ว ครั้งที่แล้วหลอกลวงให้ฉันโลภ ฉันเสร็จเลย ฉันเชื่อพระเจ้าดีกว่า ทั้งชีวิตมันเป็นอย่างนี้ และถ้าเราไม่เชื่อในพระเจ้า เราเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกเหมือนคนตาบอด ไม่รู้เรื่องเลย ท่านลองคิดดู ถ้าเผื่อคริสเตียนมีพระเจ้าสถิตอยู่นำพาชีวิต ไปสวรรค์ยังพิการเยอะแยะเลย นิ้วขาดบ้าง ขาขาดบ้าง ไปเหยียบกับระเบิด แล้วถ้าไม่ได้เป็นคริสเตียน คงไม่เหลืออะไรเลย เพราะเหยียบทั้งวัน  โดนอันนั้น โดนอันนี้ตลอด

สรุป ก็คือต้องแก้ไขความคิด และความเข้าใจของเรา ใน 2 ประเด็นนี้ คือ …

(1) ความทุกข์ลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากพระเจ้านำเข้ามา ต้องพยายามใส่เข้าไปให้ได้ 100%

(2) ปัญหาความทุกข์ยากลำบากที่เราต้องเผชิญ ในระหว่างการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกิดจากความบาป ความสาปแช่ง หรือเกิดจากการกระทำต่อพระเจ้าแต่อย่างใดเลย แม้แต่นิดเดียว คือเราไม่ต้องรับผิดชอบ มันไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระคัมภีร์บอกแล้วว่าเพราะบาปของเรา ถูกยกออกไปหมดแล้ว ถูกชำระจนขาวสะอาดหมดจดแล้ว  โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พระองค์อยู่ที่ไม้กางเขน บอกว่าสำเร็จแล้ว เท็จเทเรสสไตด์ จ่ายหมดแล้ว จ่ายหนี้บาป  ไม่เกี่ยวแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราไม่เป็นหนี้ใคร ไม่ต้องชดใช้หนี้ให้ใครอีกต่อไป

เพราะฉะนั้น จำไว้เลย มันไม่ใช่ตัวเราแน่นอน เราไม่ต้องชดใช้อะไรทั้งสิ้น นี่คือความจริงที่จะทำให้เราเป็นอิสระ

(1) ไม่ใช่มาจากพระเจ้า

(2) ไม่ใช่มาจากตัวเรา

เราไม่ต้องรับผิดชอบ นี่คือการเป็นอิสระ

เอเฟซัส 1:3-6 ยืนยันให้กับเราว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการไถ่บาป ชั่วนิรันดร์ ทันทีทันใดนั้น เราได้รับพระพรทางโลกฝ่ายวิญญาณนานัปการเต็มที่ ไม่ขาดตกบกพร่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่จะเป็นคนดี และได้ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และในสวรรคสถานตลอดไปเป็นนิตย์ นี่ตัวยืนยันว่าเราไม่ต้องไปรับผิดชอบสิ่งที่เขาบอก แต่เหตุมาจากโลกใบนี้ที่เน่ามากกว่า

เอเฟซัส 1:3-6 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ด้วยความรัก 5 พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ 6 เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า”

 

ชัดเจนมาก  พระเจ้าได้ประทานพระพรนานัปการ แปลว่าหมดทุกอย่าง ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ คือในโลกวิญญาณ ก็คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ เราได้รับมาหมดเรียบร้อยแล้ว แต่พระพรทางฝ่ายเนื้อหนังที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ยังเป็นไปตาม ระเบียบกฎเกณฑ์ และเป็นไปตามคำสาปแช่งเดิมอยู่ พระเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มันเป็นไปตามคำสาปแช่งที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะชำระให้ จะจัดการให้เรียบร้อย สัญญาไว้

เพราะฉะนั้น  แทนที่จะใส่ร้ายพระเจ้าว่าพระเจ้านำความชั่วร้ายมาให้ พระเจ้าทรมานลูกของตัวเอง เพื่อฝึกฝนอะไรต่างๆ เหล่านั้น ก็ควรเข้าใจให้ถูกต้องใหม่ว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นผู้นำเราผ่านความทุกข์ยากลำบาก ที่ถูกล่อลวง โดยระบบของโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ที่กำลังถูกควบคุมโดยมารต่างหาก ไม่ใช่เป็นคนทำ แถมเป็นคนช่วยเราออกมาด้วยซ้ำไป

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ  god of this world  ก็คือมาร ได้ปิดบังตาผู้คนเหล่านั้น ที่ยังไม่เชื่อ ให้ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เพื่อที่จะได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นพวกของมันต่อไป เพื่อทำสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ให้มันเกิดความยุ่งเหยิง วุ่นวาย  ทำให้คนที่เชื่อพระเจ้า หรือคริสเตียนสับสนมากขึ้น  ท่านจะเห็นภาพว่าอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้อยู่ที่พระเจ้าควบคุมอย่างเดียว คำว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างอยู่ อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า มิได้หมายถึงพระเจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่ มันมีกฎ มีระเบียบ พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อ ยุติธรรม ทำตามระบบระเบียบของพระองค์ พระองค์ไม่ละเมิดสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งไว้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นชัดเจนว่ามารพยายามที่จะให้เราเข้าใจพระเจ้าผิด พยายามยัดเยียดความชั่วร้ายไปที่พระเจ้า ซึ่งอย่างที่ตะกี้บอก ถ้าเราฝังอยู่ในหัวตลอดเวลา พระเจ้าเป็นพระเจ้าดี ไม่มีความชั่วร้าย  ไม่ว่าเราจะคิดได้หรือไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเหตุการณ์นั้นอย่างไรก็ตาม? แต่เราสรุปเลยว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าดี

“อันนี้ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่เข้าใจ ลึกซึ้งมาก”

สรุปแล้วว่าถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี มาจากมารแน่นอน แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ดี มาจากพระเจ้าแน่นอน สิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อเรา ท่ามกลางความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มีบันทึกไว้ในหนังสือสดุดี ท่านลองดูนะ สดุดีบอกว่าพระองค์ทรงนำเรา เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ผมยกสดุดีมาให้ท่านเห็นชัดเจนแจ่มใส ได้ว่าทุกวันนี้ บนโลกใบนี้ เกิดอะไรขึ้น แล้วคริสเตียนอยู่ตรงไหน? ดำเนินชีวิตกันอย่างไรในโลกวิญญาณ  นี่คือสดุดี บทที่ 23 พระองค์ทรงเตรียมสำรับ คือเตรียมโต๊ะอาหารให้กับเราต่อหน้าต่อตาศัตรู พระองค์ทรงเจิมศีรษะเราด้วยน้ำมัน ลองอ่านดู สดุดี 23:1-6

ก่อนอ่าน ผมจะอธิบายให้ฟังในสดุดี บทที่ 22 และบทที่ 23 เขาเรียกว่าเป็นการบอกล่วงหน้าของพระเจ้า เวลาพระเจ้าบอกล่วงหน้า พระเจ้าบอก 2 อย่าง คือไม่ด้วยภาพ ก็ด้วยถ้อยคำ ถ้าด้วยถ้อยคำ เขาเรียกว่าเผยพระวจนะ แต่ถ้าด้วยภาพ เขาเรียกว่าด้วยนิมิต แต่นิมิตนี้ก็กำลังจะบอกว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น โดยให้นิมิตกับกษัตริย์ดาวิดบันทึกเอาไว้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่กษัตริย์ดาวิดได้นิมิตนี้อีก 1,000 ปี เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  และไปยอมตาย ด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน หลั่งโลหิต เพื่อชำระบาป  ไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน  เพื่อให้มนุษย์ทุกคนกลับมาสู่ครอบครัวพระเจ้าเหมือนเดิมได้ เพื่อพระเจ้ากับมนุษย์จะได้คืนดีกันได้

เพราะฉะนั้น เรามาอยู่ในยุคนี้ เราหันกลับไปดูสิว่าในการบอกล่วงหน้าของพระเจ้า ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไม้กางเขน มันเป็นอย่างไร? ก็คืออยู่ในสดุดี บทที่ 22 ท่านไปอ่านเอง สดุดี บทที่ 22 คือเหตุการณ์ทั้งหมด ที่อยู่ที่ไม้กางเขน ที่พระเยซูคริสต์กำลังไถ่บาปให้เรา จนกระทั่งจบ สำเร็จแล้ว  พอสำเร็จแล้วปุ๊บ นิมิตต่อมา ก็คือสดุดี 23 คือ เฮ้ๆ เป็นขึ้นจากความตายแล้ว  ต่อไปนี้มนุษย์กับพระเจ้ากลับคืนดีกันแล้ว มนุษย์สามารถเข้าไปอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรคสถานได้แล้ว  แล้วพระเจ้าก็เข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ และดำเนินไปด้วยกัน แล้วมันเป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างที่เขียน สดุดีนี้ เป็นนิมิตที่กษัตริย์ดาวิดบันทึกเอาไว้

สดุดี 23 ก็คือความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในขณะนี้ ที่พวกเราทั้งหลาย เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่แล้ว ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว ขณะที่ทุกวันนี้ ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ มันเกิดสดุดี บทที่ 23 ในชีวิตของพวกเราทุกคน อ่านไป ท่านจะได้เข้าใจ

สดุดี 23:1-6 “1 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดั่งเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน  2 พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนลงในทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังริมน้ำอันสงบ  3 พระองค์ทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4 แม้ข้าพระองค์เดินผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย ข้าพระองค์จะไม่หวาดกลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องและนำทางข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์สบายใจ 5 พระองค์ทรงจัดเตรียมอาหารสำหรับข้าพระองค์ ต่อหน้าศัตรูทั้งหลายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน จอกของข้าพระองค์เปี่ยมล้นอยู่ 6 แน่ทีเดียว ความดีและความรักอันยั่งยืนจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”

 

นี่คือท่านกำลังอยู่ตรงนี้ ที่เราอ่าน คือคำเผยพระวจนะบอกล่วงหน้าสิ่งที่เกิดขึ้น ในอีก 1,000 ปีข้างหน้า เมื่อพระเยซูมา และตอนนี้พระเยซูมาทำสำเร็จแล้วตามนี้  เลยมา 2,000 ปีแล้ว และเราทั้งหลายเชื่อในพระเยซู เรากำลังอยู่ตรงนี้เลย ทั้งหมด “บัดนี้ พระเจ้ากับมนุษย์สามารถเข้ากันได้แล้ว” ก็คือเราทั้งหลายเป็นคริสเตียน กำลังเป็นอย่างนี้ ตามที่บรรยายไว้ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 ชัดเจน และเมื่อเราหมดหน้าที่บนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าก็จะมารับเรากลับบ้าน

ผมจะบอกให้ท่านฟัง พอเราได้เชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว พอรับเชื่อปั๊บ เราได้บังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ มาเป็นวิญญาณ พระเจ้ามาสถิต และนำพาเราเดิน ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยตั้งใจที่จะใช้เรา  คือใช้เราที่เป็นมนุษย์ คือเรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้  ร่างกายเดิมที่ยังไปไหนมาไหนได้บนโลกใบนี้ เพื่อประกาศพระสิริ เพื่อให้แสงสว่างของพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา และเราก็เป็นลูกของพระองค์ เป็นแสงสว่างเดียวกันนั่นแหละ ฉายแสงออกไปยังโลกใบนี้ ที่มันมืด เพื่อข่าวดีของพระเจ้า เพื่อผู้คนอีกมากหลาย เพื่อแผนการของพระองค์จะได้สำเร็จ เราไม่รู้แผนการคืออะไร? แต่พระองค์ทรงใช้อย่างนี้แหละ และถ้าเผื่อสมมติว่ามันไม่ได้ต้องการเราแล้ว ภาระนี้ไม่ต้องการเราแล้ว ก็มีคนอื่นทำ พระองค์ก็จะรับเรากลับบ้านไง อยู่ทำไม เหนื่อยเปล่าๆ มันไม่ได้ดีอยู่แล้ว มันทุกข์ ก็รับกลับไป เหมือนเกิดขึ้นกับเปาโล … เปาโลทั้งติดคุก ทั้งถูกเฆี่ยน เรือแตก จิปาถะ ไม่ตาย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา มันยังไม่หมดภาระ ที่พระเจ้าให้เปาโลในการประกาศข่าว เปาโลก็พูดเอง ถ้าเราอยู่ ก็เป็นประโยชน์ สำหรับพวกท่าน  แต่ถ้าเราไป มันดีกว่าเยอะ ให้ไปดีกว่า ตายก็ได้กำไร และเปาโลมีทุกข์มาก เปาโลมีความเชื่อ มีความทุกข์ได้อย่างไร? เปาโล ในกิจการบอกว่าคนเอาผ้าเช็ดหน้าไปให้เปาโลวางมือ เอาผ้าเช็ดหน้าไปวางคนป่วย คนป่วยหายโรค เปาโลมีความเชื่อเยอะมากนะ ไม่กลัวอะไรเลย แต่เปาโลมีทุกข์ทรมานมาก มีหนามในเนื้อ ไปขอพระเจ้า  3 ครั้ง พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ถ้าเปาโลอธิษฐานถึง 3 ครั้งในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น แสดงว่ามันทุกข์ยากลำบากจริงๆ และพระเจ้าบอกว่า …

“พระคุณของเรา ในพระเยซูคริสต์ มันมากเพียงพอสำหรับเจ้าในการทำงานอยู่บนโลกใบนี้ และฤทธิ์เดชอำนาจเราจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ทำงานอย่างเต็มที่ในชีวิตของเจ้า เมื่อเจ้าอ่อนแอ ลำบาก”

พระเจ้ากำลังจะบอกว่าอย่างนั้นแหละดีแล้ว เพราะโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น เราก็เหมือนกัน  ถ้าพระเจ้าเสร็จงานกับเรา พระเจ้าก็เอาเรากลับแล้ว เพราะฉะนั้น  เราอยู่ทุกวันนี้  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นำพาเราเดินแต่ละวัน ก็เพื่อใช้เรา ใช้ร่างกายเราให้เป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ ในแผนการของพระองค์ ที่เราไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไร? แต่ใช้เราแน่นอน ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ พระเจ้าใช้เรา  และถ้าเสร็จการงานเมื่อไร พระเจ้าก็รับกลับไป ในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้  ในพระคัมภีร์บอกท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่เป็นสวรรค์ระดับหนึ่งที่เรียกว่าพาราไดซ์ ภาษาไทยแปลว่าเมืองบรมสุขเกษม ตอนนี้ท่านอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม อยู่ในสวรรค์แล้ว ในวิญญาณท่าน พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ท่านรู้ไหม? รู้ แต่บางครั้งลืม  ตอนมีความทุกข์มากๆ มันลืม มันเรื่องธรรมดา แต่ต้องรับรู้บ่อยๆ จดจ่อบ่อยๆ ท่านอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน อยู่เดี๋ยวนี้ ได้รับพระพรนานัปการเรียบร้อยไปแล้ว ที่ตะกี้เราอ่านกัน  ท่านอยู่ที่นี่แล้ว เพียงแต่มันถูกฟิค ถูกบังคับ  โดยการยังอยู่ในร่างกายของมนุษย์อยู่นี้  มันก็เลย ถูกเบียดบัง มองอะไรไม่เห็นชัด แต่พระเจ้ากำลังใช้ร่างกายนี้เป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ และเมื่อวันข้างหน้า

อย่างที่บอก เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา เมื่อหมดยุคของโลกใบนี้ ที่มันเสียหายนี้ เมื่อพระเจ้าล้างโลกใบนี้  มันก็จะมีสวรรค์ใหม่ลงมา อันนี้เรียกว่าสวรรค์จริงๆ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “นครเยรูซาเล็มใหม่” ก็คือโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ เพราะโลกเก่า ฟ้าเก่าได้ล่วงไป ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว  และพระเจ้าก็ให้เราเห็นลางๆ ว่าโลกใหม่หน้าตาเป็นอย่างไร? นิดหนึ่ง  เพื่อเป็นยาหอมให้กับท่าน ในการดำเนินชีวิตปีใหม่นี้ต่อไป จนกระทั่งถึงสุดท้าย ชีวิตเรา เราจะได้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากได้อย่างมั่นคงขึ้น  มีสันติสุข (ไม่เอาแล้วสุขสบายกาย ไม่หวังตรงนั้นแล้ว ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่มีสันติสุข) ถ้าอย่างนี้มันเป็นไปได้แน่นอน เพราะว่าเป็นไปตามธรรมชาติความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น  ไม่ฝืน อย่างนี้ได้แน่นอน คือหวังให้มีสันติสุขมากที่สุด

พระคัมภีร์เวลาเขาอธิษฐานกัน เขาให้พรกัน เขาจึงบอกว่าสันตุสุขจงมีแด่ท่าน ไม่ได้บอกความสุขจงมีแด่ท่าน สันติสุข เวลาบอกพระพร คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่พระพรทางฝ่ายร่างกาย เจริญรุ่งเรืองแข็งแรง  ร่ำรวย อะไรไม่ใช่เลย อันนั้นเป็นส่วนประกอบ มีไม่มีไม่เป็นไร เอเมน

วิวรณ์ 2:1-4 คือความหวังใจของเรา

วิวรณ์ 21:1-4  “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา  เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าว อีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

ระบบเก่า ก็คือโลกใบนี้ คำสาปแช่ง มันจบแล้ว  สวนเอเดนใหม่ สวรรค์ใหม่ที่พระเจ้าสร้างให้ มันดีกว่าเก่ามากสักไม่รู้เท่าไร? มากกว่าตอนโลกนี้ไม่เสียหายด้วยซ้ำ ดีกว่าสมัยที่อาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับอาดัมและเอวา พระเจ้าเดินอยู่ข้างๆ จูงมือเขาเดิน แค่นี้เขาก็มีความสุขเหลือหลายแล้ว แต่ในโลกใหม่นี้ บอกว่า …

“พระเจ้าทรงอยู่ในเขาเลย ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ยืนข้างๆ ให้ถูกมารหลอกลูกฉันอีกแล้ว ฉันจะไปเดินอยู่ในตัวเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ไม่มีใครมาหลอกเขาได้อีกแล้ว ไม่มีใครมาเอาเขาออกไปจากมือฉันได้อีกแล้ว ไม่มีใครเอาแกะออกจากคอกของฉันได้อีกแล้ว ฉันไม่ยอมอีกแล้ว และจะอยู่ที่นั่นนิรันดร์กาล”

ผมอยากให้ท่านมองสดุดี บทที่ 23 ให้ท่านค่อยๆ อ่านไป แล้วให้พระวิญญาณเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้ท่านเห็นว่าในขณะนี้ ในปัจจุบันนี้ ในเดี๋ยวนี้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านอยู่อย่างนี้แล้ว ท่านเป็นอย่างนี้แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ให้ท่านใส่ชื่อท่านไปเลยว่าพระเจ้าเลี้ยงนครดุจเลี้ยงแกะ ใส่ชื่อท่านเข้าไปเลย มันเป็นเดี๋ยวนี้ มันอยู่เดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้อยู่ แล้วท่านจะไปกลัวความทุกข์ยากลำบากอะไรล่ะ ที่ท่านกลัวมาตลอด ที่ท่านวิตกกังวลมาตลอด เรื่องสุขภาพเอย การเงิน การงาน เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องปัญหาต่างๆ ของโลกใบนี้ เรื่องความวุ่นวายต่างๆ ของโลกใบนี้ ท่านกลัวอะไรตอนนี้  พระเจ้าอยู่กับท่านตอนนี้แล้ว

ท่านหลับตาลงก็ได้ เดี๋ยวผมอ่านให้ฟัง จะได้มีสมาธิ

“พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงฉันเหมือนกับเลี้ยงแกะ ฉันไม่มีวันที่ขัดสนในพระพรต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงให้ฉันนอนที่ทุ่งหญ้าเขียวสด และนำฉันไปยังริมน้ำแดนสงบ เต็มไปด้วยสันติสุข พระองค์ให้ฉันบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเยซู และพระองค์ทรงทำให้ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นผู้ชอบธรรม โดยพระเยซูคริสต์ แม้ว่าฉันยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ต้องเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช เงาแห่งความตาย ความชั่ว ฉันก็จะไม่กลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายฉันขณะนี้ พระองค์จะทรงปกป้องฉันและนำทางฉัน ฉันสามารถวางใจและสบายใจได้ในพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมทุกสิ่งไว้ให้ ในการดำเนินชีวิตอยู่ ต่อหน้าต่อตาศัตรูรอบข้างบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงเจิมศีรษะของฉันด้วยน้ำมัน ด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดู ด้วยความเมตตา ด้วยความปลอบโยนจิตใจฉันตลอดเวลา ขันน้ำก็ล้นอยู่ ความปลื้มปิติยินดีในความรักของพระเจ้า ก็ล้นอยู่ในใจของฉันตลอดเวลา ตลอดวันคืน ซึ่งแน่นอนทีเดียว ที่ความดี ความรัก อันมั่นคงของพระเจ้านี้ จะอยู่กับฉัน ในชีวิตของฉันนี้ตลอดไป ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดชีวิตของฉัน และฉันจะอยู่อาศัยในพระนิเวศน์ของพระเจ้าอย่างนี้ตลอดไป จนกระทั่งไปถึงสวรรค์ใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ จะไม่มีความทุกข์ยากลำบากที่นั่นอีกต่อไป จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความขาดแคลน ไม่มีการทะเลาะวิวาท ไม่มีปัญหาใดๆ ในสวรรค์ที่นั่นอีกต่อไป”

แล้วให้ท่านใช้เวลานี้อธิษฐานกับพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

 

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2019 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “วันคริสต์มาส … คนบาปได้คืนดีกับพระเจ้า”  ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้ขาวบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลย  พระเจ้าคุยด้วย ก็คุยได้ ติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะว่าพระเจ้าก็ขาวบริสุทธิ์ มนุษย์ก็บริสุทธิ์ วิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยกัน เป็นอย่างนี้เลย และมันเกี่ยวอะไรกับวันคริสตมาส เกี่ยวเพราะว่าถ้าเผื่อเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีวันคริสตมาส พระเยซูไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเยซูจำเป็นต้องมา เพราะว่าไม่ว่าเราจะเดินไปไหน ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอด มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ อาศัยในร่างกาย บางทีเรามอง เราก็นึกว่ามนุษย์เป็นร่างกายแค่นี้ ไม่ใช่ นั่นตัวปลอม ไม่ได้ตัวจริงเลย วันหนึ่งตัวท่านก็ต้องลงไปในดิน ต้องตายไป ตัวเราจริงๆ เป็นวิญญาณ

“มนุษย์เป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ อาศัยในร่างกายชั่วคราว” เป็นแบบนี้ขาวบริสุทธิ์

ในพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เริ่มต้นไปทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าบาป … “บาป” แปลว่าไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าสร้าง พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ขาวสะอาด อยู่กับพระเจ้าได้ มนุษย์ไปทำบาป ไปทำผิด ผิดความประสงค์ของผู้สร้าง ความประสงค์ของพ่อว่าสร้างเขามาให้เขาอยู่กับพ่อของเขา สะอาดหมดจด เขาไปเชื่อมาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความชั่วร้ายทั้งหมดเลย ความชั่วร้ายนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นความดี เป็นความงาม แต่มารกำเนิดความชั่วร้ายด้วยตัวของมันเอง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเขียนไว้อย่างนั้น มารก็มาหลอกลวงมนุษย์ บอกว่า …

“ดื้อกับพระเจ้า กบฏกับพระเจ้าดีกว่า แล้วตัวเราเอง แทนที่จะเป็นลูกพระเจ้า เป็นพระเจ้าเสียเองเลย ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกพอเขาไปเชื่อมารปั๊บ เขาตกลงไปในความบาป คือเขาไม่เชื่อฟัง เขาเป็นกบฏต่อพระเจ้า เขากำลังไล่พระเจ้าออกไป พูดง่ายๆ เขากำลังบอกพระเจ้าว่า …

“ฉันไม่เอาเธอแล้ว เธอออกไป”

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ามนุษย์จึงตกลงไปในความบาป และความบาปนี้ ที่เขาทำลงไป มันเป็นผลให้เกิดความตาย ตายในฝ่ายวิญญาณ คือวิญญาณที่ขาวๆ อยู่กลายเป็นมืด ร่างกายก็มืด และไปเป็นทาส เหมือนไปเป็นลูกมาร เขากำลังไล่พระเจ้าออกไป พระเจ้าก็ไม่สามารถคุยกับเขาได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เขาก็ห่าง ตาเริ่มบอด เริ่มไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน? เขารู้อย่างเดียวว่า …

“ฉันมันดำ สกปรก ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะว่าฉันไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นอย่างนี้ แต่ว่าฉันทำอยู่ ฉันทนไม่ได้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? วิญญาณก็มืด ร่างกายก็มืด แล้วเขาทำอย่างไร? พระเจ้าออกไปแล้ว ติดต่อกันไม่ได้ ยิ่งนับวันเป็นสิบปี เป็นร้อยปี เป็นพันปี ยิ่งไม่เห็นใหญ่เลย มองไม่เห็นพระเจ้า แต่วิญญาณเขารู้อะไรบางอย่างว่า …

“มันไม่ใช่ที่ของฉัน สีดำๆ นี้ ฉันไม่อยากจะอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่ธรรมชาติของฉัน ที่ฉันเป็น วิญญาณฉันมาจากพระเจ้า ฉันไม่ได้ดำอย่างนี้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? ดิ้นก็ไม่หลุด เพราะว่ามันอยู่ที่วิญญาณ”

เพราะฉะนั้น เขาจึงทำได้แค่ร่างกายภายนอกนี้ ก็เริ่มทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “ความดี” ตลอดชีวิตของเขา ไม่ว่าจะกี่พันปีก็ตาม มนุษย์ก็จะทำอย่างนี้ ข้างในวิญญาณทำอะไรไม่ได้ ร่างกายรู้ว่า …

“ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากสิ่งที่ดีงาม ตามธรรมชาติที่ฉันเกิดมาเป็น  ฉันควรจะทำดี ฉันควรจะให้ ร่างกายฉันทำอยู่ และฉันพยายามที่จะดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะฉันเกิดมาเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จะเป็นอย่างนี้หมด จากสีดำ เห็นไหม? ข้างนอก ชีวิตเขาเป็นสีดำ เขาพยายามทำอะไรก็ได้ ให้มันเป็นสีขาวที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้  เพราะเขารู้ว่าสีขาวจะช่วยลดภาระเขาลง ลดคำสาปแช่งลง จากอะไรบางอย่างที่มันผิดพลาดไป เรียกว่ากรรมก็ได้  กรรมเก่า หรืออะไรต่าง เขาไม่รู้ แต่เขารู้ว่ามันต้องมีอะไรบางอย่าง  ที่มันผิดปกติในชีวิตฉัน ฉันต้องใช้หนี้มัน เขาก็จะพยายามสู้กับมันด้วยตัวเอง ทำความดีต่างๆ เหล่านี้ เพื่อให้มันขาวขึ้น แจกจ่าย ทำบุญทำทานก็ว่าไป นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง นี่คือความคิดของมนุษย์ทุกคน พยายามทำอย่างนี้ พยายามฝึกที่จะสู้กับมัน สู้กับความดำ ความมืด ความบาปในตัวของเขา

วิธีที่จะทำอย่างนี้ มนุษย์ทำอย่างไร? ก็บอกให้ครอบครัว ลูกหลานเหลนโหลน เผ่าพันธุ์ กลุ่มของตน ชนเผ่าของตน ทำความดี แล้วก็จดไว้ว่าอย่างนี้เรียกว่าดี คือ …

“การให้ คือความดีนะ จำไว้นะ ลูกๆ หลานๆ พวกเราทุกคนต้องรู้จักการให้ ต้องรู้จักแจกจ่ายคนยากจน คนตกทุกข์ได้ยาก น้ำท่วมต้องให้นะ”

เขาเรียกกันว่าเป็นกฎ … กฎของชุมชน เป็นกฎต่างๆ แล้วแต่กฎของกลุ่มไหนๆ ก็ช่วยกันคิดกฎดีๆ แล้วก็เขียนกฎนั้นออกมา เราเรียกกันว่ากฎศีลธรรม ก็แล้วแต่กลุ่มคน ชนชาติไหนก็ตาม ที่รู้ว่าอะไรที่ดีงาม ที่เรียกว่าลักษณะประเพณี วัฒนธรรม และเป็นศีลธรรมประจำกลุ่มต่างๆ ชนชาติต่างๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นพันๆ ปี

อ้าว! มีเมตตา เห็นไหม?  นี่คือสิ่งที่มนุษย์พยายามจะทำให้ตัวเองขาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเขา แต่เห็นอะไรบางอย่างไหม? วิญญาณเขาไม่ได้กระทบเลย วิญญาณเขายังคงดำอยู่ แม้ข้างนอกจะดูเหมือนขาว ต่อให้ทำมากกว่านี้อีก มันก็ไม่มีวันที่จะขาวหมดได้ มันก็ยังมีดำๆ อยู่ เพราะข้างในตัวจริงๆ ของมนุษย์เป็นวิญญาณ มันดำอยู่ มันทำกันไม่ได้ ทำข้างนอกอย่างไร มันก็ไม่ถึงข้างใน

ที่ตะกี้บอกพระเจ้าถูกไล่ออกไปแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์กัน ติดต่อกันไม่ได้ พระเจ้าทำอย่างไร? รักลูกของตนเอง อยากจะช่วยเขา แต่เขาไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว  เขาไม่รู้จักกับเราแล้ว แต่เราก็ยังช่วยเขาอยู่ เพราะว่าเขาเป็นลูกเรา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราจะไปช่วยเขาให้ได้

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงเขียนไว้ว่ามนุษย์หลงไป พระเจ้าไม่ได้ว่ามนุษย์เลวทราม ไม่ดี เพียงแต่บอกมนุษย์หลงไป เขาหลงออกจากบ้านไป จะเรียกเขากลับบ้าน วิธีเรียก ก็คือส่งพระเยซูมา นี่แหละ วันคริสตมาส ส่งมาอย่างไร?  เพราะมนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะวิญญาณเขาดำอยู่ ร่างกายเขาอาจจะพยายามทำได้ แต่เขาจะทำอย่างไร? ไม่มีทางจะเปลี่ยนวิญญาณได้  พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูคริสต์มาในวันคริสตมาส พระเยซูมาประสูติ เพื่อที่จะเปลี่ยนข้างใน   ข้างนอกไม่สนใจเลย เพราะตัวข้างในนี้ คือตัวจริงๆ ของมนุษย์ ส่วนร่างกาย เดี๋ยวมันก็ต้องลงดิน ตายไป แต่วิญญาณต่างหากที่จะอยู่ตลอดไป จะอยู่ในนรก หรือสวรรค์ ต้องอยู่ตลอดไป เพราะเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ มีอยู่นิรันดร์ เพียงแต่จะอยู่ที่ไหนนิรันดร์เท่านั้นแหละ พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขนไถ่บาปให้ มนุษย์คนไหนที่ได้ยินได้ฟังว่า …

“พระเยซูเหรอ ช่วยฉันได้เหรอ ฉันช่วยตัวเองไม่ได้”

ก็มาหาพระเยซูบอก “พระเยซูช่วยฉันด้วยเถิด เพราะว่าฉันช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว เหนื่อยมากๆ เลย ไม่ไหวๆ ฉันรู้ว่าทำอย่างไรก็ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เดี๋ยวก็ผิด เดี๋ยวก็พลาด ทำๆ ไป เดี๋ยวก็คิดชั่ว เดี๋ยวก็คิดไม่ดี ทำอย่างไรก็ไม่สะอาด ฉันช่วยตัวเองไม่ได้ พระเยซูช่วยฉันได้จริงๆ เหรอ ฉันขอพระเยซูมาช่วยฉันดีกว่า พระเยซูบอกผู้ใดแบกภาระและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา”

ทันทีที่เขาบอกว่าเขาขอพระเยซูมาช่วย เขายอมรับแล้วว่าเขาเป็นบาป เป็นมืดๆ อยู่ เขาช่วยตัวเองไม่ได้ ให้หลุดพ้นจากความมืดนี้ เขาต้องให้วิญญาณที่เป็นสว่าง คือพระเจ้ามาช่วยเขา เขาจึงจะทำได้ เพราะฉะนั้น เขาบอกว่าเขาไม่ไหวแล้ว ขอพระเยซูมาช่วยเถิด พระเยซูก็มาช่วยเขา  ไถ่บาปให้เขา ทันทีที่เขาเชื่อ และขอพระเยซูมาช่วย อย่างที่บอก พระเยซูมาเรียกร้องขอเขาตลอด

“เปิดใจเถิดๆ เราจะเข้าไปช่วยในใจเขา”

เขาไม่ได้รู้ เขาไม่ได้ยิน เพราะเขาชินกับสิ่งที่เขาทำมาตลอด เขานึกว่าสิ่งนี้ยังช่วยได้อยู่ ปะเข้าไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่งปะ จนหมดแรง เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ขอพระเยซูช่วยดีกว่า อย่างนั้นแหละ พระเยซูต้องการวันนั้น วันที่เขาหมดแรง พอเขาบอกขอพระเยซูมาช่วยปั๊บ วิญญาณเขาขอ ผ่านทางตัวของเขาถูกไหม? เขาจะทำอะไร ต้องผ่านทางวิญญาณ  วิญญาณเขาก็ได้รับการบังเกิดใหม่  พระเยซูเป็นแสงสว่าง เป็นฤทธิ์อำนาจ วิญญาณพระเยซูจะผ่านเข้าไปในวิญญาณ จากปากที่เขาพูด จะเข้าไปอยู่ในนี้ เปลี่ยนแปลงวิญญาณที่มืดๆ เมื่อกี้ กลายเป็นมาสว่าง สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีบาป ไร้ที่ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม เหมือนไม่เคยทำผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ความมืดความดำ พระเยซูเอาออกไปหมดแล้ว แล้วก็กลับคืนสู่พระเจ้า   เขาก็จะมองเห็นพระเจ้า ในวิญญาณ พระเจ้าก็สามารถเข้าไปกอดเขาได้ เหมือนเดิม และจากนี้เป็นต้นไป พระเจ้าก็จะจูงมือเขาเดินไปไหน? ก็ไปด้วยกันตลอด

ขณะเดียวกัน ที่ข้างนอก ทำอะไรอยู่ ตัวมืดๆ นี้ มันก็เริ่มเป็นสีเทา ดีขึ้น แต่มันก็ยังเหมือนเดิม มันไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าวันหนึ่งมันต้องลงไปสู่ดิน มันถูกสาปไปแล้ว อย่างไร มันไม่ได้ดีกว่านี้แล้ว พระเจ้าจะสนใจตรงวิญญาณมากกว่า จะได้ไปอยู่สวรรค์นิรันดร์ และพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้ เมื่อร่างกายนี้ วันหนึ่ง 80  … 90 … 100 ปี หรือกี่ปีก็ตาม จากไป พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสำหรับสวรรค์ ที่กลับมาเหมือนสมัยตอนถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีมะเร็ง ไม่มีทะเลาะกัน ไม่มีทุกข์ทรมาน ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตาและความโศกเศร้า โดยที่ให้ร่างกายนี้ ได้เข้าไปสวมแทนร่างกายที่เข้าไปสู่ดินนี้ และพระเจ้าจะให้เขาครอบครองในสวรรค์ ซึ่งเรียกว่าบ้านของพระเจ้า ซึ่งในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ สวยสดงดงาม ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเหมือนพี่ชายร่วมกัน เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทร่วมกัน ครอบครองมรดก และทรัพย์สมบัติทุกอย่างในสวรรคสถานนั้นทั้งหมดเลย เป็นของเขา เท่ากันหมด ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร? มีค่าเท่ากัน ได้เท่ากัน มีศักดิ์ศรีสูงเท่ากันกับพระเยซูเลย นี่แหละ ทำไมพระเยซูจึงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้น เวลาคนมาเชื่อพระเยซู เขาไปสวรรค์แน่นอน ถามว่าทำไมไป เพราะว่าคนมาเชื่อพระเยซูแล้ว ข้างในขาว ต่อให้ไปโกหกเขาบ้าง ไปทำไม่ดีบ้าง ไปตีเขาบ้าง มันไม่ได้เกี่ยวกับข้างในแล้ว ข้างในพระเจ้าก็จะเริ่มสอนเขา วิญญาณเขาสะอาดหมดจด ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร เขาอภัยให้ใครก็ได้ทั้งหมดแล้ว จริงๆ ในใจฉัน ไม่เกลียดเลย แต่ข้างนอกมันเคยชิน มันก็เลย หมั่นไส้บ้าง? ไม่ได้สนใจตรงนี้หรอก เพราะวันหนึ่งมันจะจากไป ทิ้งไป ตัวจริงๆ มันสำคัญกว่า เหมือนกัน แต่คนละด้านกับครั้งแรก ตอนนี้ข้างในดำ ข้างนอกพยายามปะให้ขาว มันก็ไม่เข้าข้างใน พระเยซูบอก เหมือนหลุมศพฉาบปูนขาว ตอนแรกคือดำๆ ข้างใน ข้างนอกพยายามฉาบปูนขาว มันก็ไม่ถึงข้างใน ในทางกลับกัน เมื่อต้อนรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว ไม่พึ่งตนเองอีกแล้ว ไม่พึ่งความดีของตัวเอง ไม่พึ่งการกระทำของตัวเองอีกแล้ว พึ่งในการกระทำของพระเยซู ทันทีทันใดนั้น ข้างในสะอาด ข้างนอกอาจจะสกปรกบ้าง ช่างมัน เดี๋ยวพระเจ้านำไปทีละนิด มอบให้พระเจ้าไป ท่านลองคิดดู เมื่อตอนเริ่มต้น ตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป และเป็นดำๆ นั้น มนุษย์ก็ไม่ได้ทำเอง ถูกไหม? เราเกิดมา เราดำขึ้นมาทันทีเลย เพราะมาจากบรรพบุรุษเรา คืออาดัมที่ดำอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ พระเยซูมา เราย้ายข้างมาอยู่กับพระเยซู พระเยซูทำให้เราขาว เราไม่ต้องทำอะไร เราก็อยู่เฉยๆ นั่นแหละ เราก็ขาวได้ โดยการเลือกข้างเอา เพราะตอนที่เราตกนรก หรือเราเป็นวิญญาณที่ดำอยู่ ตัดขาดจากพระเจ้า เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะอาดัมส่งทอดมาอีกที เพียงแต่เราย้ายจากอาดัมมาอยู่ที่พระเยซู ซึ่งเป็นมนุษย์อีกคนหนึ่ง พอย้ายข้าง เราก็มีชัยชนะ เป็นสีขาว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกัน นี่เขาเรียกว่าข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในลักษณะของวันคริสตมาส ก็คือพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงทุกคน ให้พ้นจากโทษของความบาป กลับมาคืนดีกับพระเจ้า มาสู่แสงสว่าง ความสะอาด ความขาวบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ โดยเพียงแค่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ยอมรับในเรื่องนี้ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณจริงๆ และมันเป็นอย่างนี้จริงๆ แค่นี้เอง และยอมรับว่าพระเยซูมา เพื่อช่วยฉัน และฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ก็คือ ….

–  ยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป มืดๆ

–  ฉันต้องการความช่วยเหลือ

–  และพระเยซูช่วยฉันได้ ฉันขอพระเยซูมาช่วย จบ

แค่นั้น การพูดแค่นี้ การเชื่อแค่นี้ เป็นการย้ายข้าง จากบรรพบุรุษอาดัมมาสู่พระเยซูคริสต์ จากนั้นไป ไม่ต้องทำอะไร? บางคนถามว่าย้ายข้างต้องทำอะไรไหม? ต้องทำอันนั้นไหม? ต้องทำอันนี้ไหม? ต้องมีประเพณีเก่า ประเพณีใหม่ ประเพณีของศาสนาเดิม ของศาสนาเก่า ศาสนาใหม่ ศาสนาคริสต์ ต้องทำไหม? ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับอะไรทั้งสิ้นเลย เชื่อแค่นี้อย่างเดียว นอกนั้นคิดว่าอยากจะทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์ ก็ทำไป อะไรที่คิดว่าไม่อยากทำ ก็ไม่ต้องทำ เพราะว่าตรงที่สำคัญที่สุดในวิญญาณเรา เราทำแล้ว คือเราย้ายข้างวิญญาณมาสู่ฝั่งพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่เชื่อ ท่านลองดูก็ได้ ท่านจะเห็นชัดเจนว่ามันเป็นจริง เอากลับไปนั่งคิดดูก็ได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น จากการที่พระเยซูคริสต์มาเกิด และเราฉลองวันคริสตมาส ชาวโลกยินดี ก็เพราะอย่างนี้ เพราะมีทางไปแล้ว เรามีทางออกแล้ว และการที่จะไปอยู่กับพระเจ้า มันจะอยู่นิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อพระเยซู เราจะเห็นอย่างนี้ เขาอาจจะเจอความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเสียหายไปเยอะแยะมากมาย ความวิปริตของโลกใบนี้ ซึ่งเสียหายไป เนื่องจากบรรพบุรุษเรา  เอาความชั่วร้ายเข้ามาในโลกใบนี้ ผ่านทางมารซาตาน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ถูกสะสางคดี วันหนึ่งมันจะถูกสะสางคดี มันก็จะมีความทุกข์ลำบากบ้าง แต่มันเพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป วิญญาณก็ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์เท่านั้นเอง แล้วพระเจ้าจะสร้างโลกใหม่ ร่างกายใหม่ให้กับลูกๆ ของพระองค์อยู่ร่วมกัน นี่คือคำสัญญาที่ให้ไว้ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************