คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2020 เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย” ตอน 1 “ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  เมษายน  2020

 เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย”

ตอน 1 “ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ  สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย  พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว  สิ่งสำคัญ ถ้าพระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เราจะดีใจ ไม่ดังมาก แต่จะบอกว่า … “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว  ฉันเป็นขึ้นด้วย”

“พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย”

“พระเยซูชนะแล้ว ฉันชนะด้วย” พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง

วันนี้เป็นวันที่เรามาร่วมกันฉลองวันประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่  ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ทำไมเราถึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าเป็นวันประกาศชัยชนะ ประกาศอิสรภาพ  ความยิ่งใหญ่ในชัยชนะของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งตัวท่าน บอกกับตัวเองว่ารวมทั้งฉันด้วย

ถ้าจะเล่าให้เห็นภาพ เราจะเปรียบเรื่องราวที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ให้เห็นชัดขึ้น  เป็นการต่อสู้ศึกมหากาฬในโลกวิญญาณ  ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่  ผมพยายามทำให้เป็นเหมือนหนัง เพื่อท่านจะได้จำได้ อันนี้ย่อข้อมูลต่างๆ จากพระคัมภีร์ ให้มันเหลือแค่นิดเดียว เพื่อท่านจะได้จำได้ว่าชัยชนะนี้มาจากไหน? และเป็นอย่างไร?  เป็นศึกมหากาฬในโลกวิญญาณ  ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่

ค่ายที่หนึ่ง ชื่อว่าค่ายมนุษยชาติ เจ้าของค่าย คือพระเจ้า ส่งตัวแทนมนุษยชาติลงมา ชื่อว่าพระเยซู พระบุตรของพระองค์

ส่วนค่ายที่สอง เรียกค่ายนี้ว่าค่ายมารซาตาน  เจ้าของค่าย ก็รู้จักกันอยู่แล้ว คือลูซีเฟอร์ หรือมารซาตาน  ส่งอะไรมา ส่งเอาความบาปและความตายลงมาแข่ง  โดยมีเป้าหมาย เพื่อจะทำลายล้าง มนุษยชาติให้สิ้นซาก

นี่คือมหากาฬของสงครามโลกฝ่ายวิญญาณ ระหว่างหัวหน้ามาร  ที่กำลังจะต่อสู้กับพระเจ้า ซึ่งมันก็พยายามต่อสู้มาตลอด  พยายามเป็นกบฏ ต่อต้านพระเจ้ามาตลอด  คราวนี้เราจะเห็นภาพ ถ้าพระเยซูชนะสงครามนี้ มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด ก็จะกลับคืนสู่สภาพดี  กลับคืนสู่พระเจ้า เป็นอิสรภาพจากการเป็นทาสมาร แต่ถ้าพระเยซูพ่ายแพ้ต่อความบาปและความตาย  พ่ายแพ้ต่อมารในสงครามนี้  มนุษย์ก็จะตกอยู่ใต้อำนาจของมารซาตาน เป็นทาสมัน ตลอดไป เหมือนเดิม

ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นของศึกสงครามครั้งนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เริ่มต้นตอนที่พระเจ้า สร้างโลก และสร้างมนุษย์ทั้งปวง ในสมัยโน้น ตอนเริ่มสร้างใหม่ๆ  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าสร้างสิ่งที่ดีทั้งหมด  สร้างโลกใบนี้ ดีหมดเลย ทุกอย่างดี ไม่ชั่วร้าย  ไม่วิปริตเหมือนปัจจุบันนี้  สร้างมนุษย์ ก็สร้างสิ่งที่ดีทั้งหมดเลย  มนุษย์ก็ดีหมด ไม่มีการทำชั่วเลย แล้วมารก็มาล่อลวงมนุษย์ตอนนั้น ที่บันทึกเอาไว้ ผ่านทางงู ล่อลวงให้มนุษย์กบฏต่อพระเจ้า  มอบโลกใบนี้ รวมทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ลูกหลานเหลนโหลนของตัวเองให้กลายเป็นทาสของมารซาตาน  เชิญมารเข้ามาครอบครองบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วินาทีนั้นมา  โลกก็เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง  เต็มไปด้วยความวิปริต เสียหาย เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อะไรที่แปลกๆ ที่ยุ่งวุ่นวายไปหมด เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความชั่วร้ายต่างๆ มาจากมารทั้งสิ้น แล้วก็มาผ่านทางมนุษย์ที่เป็นทาสของมันอยู่ อย่างโควิด-19 ก็มาจากมารแหละ โดยผ่านทางมนุษย์  ผ่านทางความบาป ที่มนุษย์ให้พระเจ้าออกไปจากชีวิตของตนเอง ออกไปจากโลกใบนี้ ซึ่งเป็นของเขา … “เขา” หมายถึงมนุษยชาติทั้งปวง  เห็นไหมครับ? แล้วพระเจ้าทำอะไร? พระเจ้าก็ตั้งหน้าตั้งตา รอวันเวลาที่จะช่วยมนุษย์กลับคืนมา  นี่คือสงคราม

แผนการของพระเจ้าคืออะไร? ปฐมกาล 3:15  ผมอยากให้ท่านอ่านนิดหนึ่ง ท่านจะได้เห็นภาพชัดเจนว่ามหากาฬของโลกฝ่ายวิญญาณ ในศึกครั้งนี้ มันเกิดขึ้นอย่างไร? และเป็นลักษณะอย่างไร?  ร้ายแรง รุนแรงขนาดไหน?  พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้านั้น  บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล 3:15 ถ้านับตั้งแต่วันที่เกิดขึ้นนี้ มาถึงปัจจุบัน นับปีไม่ถ้วน  เพราะสมัยนั้น  มนุษย์พึ่งตกลงไปในการบาป พึ่งจะเริ่มตาย  เริ่มนับหนึ่ง ก่อนหน้านี้เป็นชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์  ไม่มีวันตาย เพราะฉะนั้น จะบอกว่า 1 ปี หรือล้านปี ก็เป็นไปได้หมด ปฐมกาล 3:15 ทำให้มนุษย์นับหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่ 1, 2, 3, 4, วัน จนกระทั่ง 1 ปี 2 ปี กี่ปีก็ว่าไป  เราอ่านดูนะ

ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้ากับพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

 

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” คำว่า “เจ้า” ตรงนี้ ก็คือมารซาตาน  ที่ได้ล่อลวงอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา มนุษย์ทั้งปวงให้กบฏต่อพระเจ้า  พูดง่ายๆ ว่าเชิญพระเจ้าออกไปจากโลกใบนี้ ออกจากชีวิตของตนเอง และครอบครัวของเขา แล้วเชิญมารเข้ามาแทนที่ นั่นแหละ เขาเรียกว่าบาป กบฏ

พงศ์พันธุ์ของหญิงที่ตะกี้นี้อ่านในพระคัมภีร์จะทำให้หัวของเจ้าแหลก “เจ้า” ตะกี้ เล็งไปถึงมารซาตาน ผู้ที่เป็นหัวหน้าค่ายในสงครามครั้งนี้

คราวนี้มาถึงพงศ์พันธุ์ของหญิง จะทำให้หัวของเจ้าแหลก  เล็งถึงผู้ที่เป็นหัวหน้าค่าย  คือพระเจ้าจะส่งผู้ที่จะมาทำลายเจ้ามารนี้  ให้หัวแหลกเลย ก็คือได้รับชัยชนะเด็ดขาด ชนะเหนือความบาปและความตายให้หมดสิ้นเลย  พระเจ้าส่งตัวแทนมา ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระบุตรของพระองค์

“เจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” ก็หมายถึงมารก็ทำได้แค่ส้นเท้าของพระเยซูคริสต์ฟกช้ำ “ส้นเท้าฟกซ้ำกับหัวแหลก” ท่านลองคิดดูว่ามันต่างกันขนาดไหน?  นี่คือแผนการของพระเจ้าที่เตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง ที่จะไถ่มนุษยชาติ ทำศึกสงคราม เพื่อเอามนุษยชาติกลับคืนสู่พระองค์ให้ได้  และเมื่อถึงเวลา มันก็เกิดขึ้นตามแผนที่พระองค์ทรงวางไว้  ก็ประกาศตัวแทนของพระองค์ ตั้งแต่วันนั้นมา พระเจ้าก็เตรียมตัวแทนของมนุษยชาติ ให้มาลงกับศึกสำคัญครั้งนี้  เตรียมมาเป็นเวลาหลายพันปีกว่าจะสำเร็จ เตรียมผ่านผู้คนต่างๆ จนมาถึงคนสุดท้าย ก็คือครอบครัวของโยเซฟกับมารี หญิงพรหมจารีที่ให้กำเนิดพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ให้มาเกิดเป็นมนุษย์

พระเยซูก็มาเกิด และเป็นตัวแทนของมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  คราวนี้มาถึงความตื่นเต้นของหนังเรื่องนี้ ที่จะเล่าให้ฟัง เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้  … เริ่มต้น เวลาผ่านมา คู่ต่อสู้พร้อมทั้งสองฝั่ง มารมันพร้อมตั้งนานแล้ว เพราะว่ามันควบคุมมนุษย์ ซึ่งเป็นทาสของมันอยู่ ส่วนมนุษย์พร้อมแล้ว  มีตัวแทนที่คิดว่าสามารถที่จะต่อสู้กับมารได้แล้ว ก็เริ่มต้นศึกสงครามในครั้งนี้

ยกที่ 1  เริ่มต้นที่คืนวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ที่สวนเกทเสมเน ที่พระเยซูไปอธิษฐาน  จนเหงื่อเป็นเลือด เพราะว่ากลัวมาก กลัวจะต้องเข้าสู่สังเวียน ศึกมหากาฬนี้  เพราะมันหนักมาก  หนักถึงขนาดว่าเปลี่ยนใจได้ไหม? เปลี่ยนใจไม่ขึ้นชกได้ไหม?  เพราะคิดว่าอาจจะสู้ไม่ไหว  ท่านลองคิดดูสิ  ขนาดเตรียมมาตั้งหลายพันปีนะ  พระเยซูเองบอกหนักมาก ทำไม่ไหว  พระเยซูบอกไม่อยากขึ้นไปเลย เพราะว่ามันไม่ไหว  แต่ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ปรากฏว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าของค่าย บอกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  ไม่เป็นไร เราชนะแน่  เพราะฉะนั้น ก็เลยให้พระเยซูขึ้นชก

เริ่มยกแรก ตั้งแต่ถูกจับ  โดยเหล่าปุโรหิตของยิว มารก็เริ่มใส่ผ่านทางมนุษย์ ใส่อะไร? เริ่มชก เริ่มอัดพระเยซู จนกระทั่ง เลือดอาบทุกข์ทรมาน ในพระคัมภีร์บอกว่าหน้าพระองค์ ไม่เหมือนหน้ามนุษย์เลย เละไปหมดเลย แย่  ถูกซัด ถูกอัด ถูกเตะ ถูกเฆี่ยน ถูกตี สุดท้ายก็ถูกตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ ต่อเนื่องมาถึงเช้าวันศุกร์  9 โมงเช้า ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไม่ไหวแล้ว  พูดง่ายๆ ว่าบนสังเวียน เราจะเห็นภาพ คือปลายๆ ยกแรก พระเยซูถูกมารซัด ถูกมารใช้ความบาปอัด จนเละไปหมดเลย แพ้ ล้มแล้วล้มอีก กรรมการมานับแปดแล้ว 2-3 ครั้งแล้ว แต่พระเยซูก็ยังลุกขึ้นมายืน  โดยหัวหน้าค่ายบอกว่าลุกขึ้นสู้ๆ พระเยซูรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ หนักมาก จนกระทั่งไม่ไหวแล้ว  สุดท้ายปลายยกที่ 1 พวกมารซาตาน  สมุนของมันที่เชียร์อยู่ เฮกันใหญ่ พวกเราชนะแล้ว  บุตรพระเจ้าแพ้แล้ว  เป็นทาสของเราต่อไป นี่ไง เราชนะแล้ว อัดเลย ก็เชียร์ให้อัดพระเยซูจนถึงที่สุด  มารก็เพลิน อัดไปๆ

จนกระทั่งบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ยกแรกใกล้จะหมด พระเยซูไม่ไหวแล้ว  บ่าย 3 โมงของวันศุกร์พระเยซูปล่อยหมัดเด็ด หมัดเดียวอยู่เลย  ถามว่าหมัดนั้นคืออะไร?  ฝั่งพระเยซูกำลังพ่ายแพ้  แต่บ่าย 3 โมง อัดด้วยความรุนแรงสุดขีด ปรากฏว่าเกิดหมัดเด็ด คือพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ตายบนไม้กางเขน  นั่นแหละคือหมัดเด็ด ที่พระเจ้าเตรียมไว้ เป็นหมัดที่ผมตั้งชื่อให้  เมื่อเช้าวันนี้เองว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูในปลายยกที่ 1 นั่น  เป็นหมัดเด็ดที่เรียกว่า “ไพรีพิฆาต” หมัดเดียวอยู่เลย  บ่าย 3 โมง สิ้นพระชนม์  หมัดไพรีพิฆาตซัดลงไปที่มารซาตาน  เกิดอะไรขึ้น มารซาตานล้มลงไปเลย ล้มไป กรรมการก็ไปนับ 1, 2, 3 ถึง 8 กระดิ่งหมดยก ลุกขึ้นมางงๆ เกิดอะไรขึ้น  สติสตังค์ยังไม่กลับมาอยู่ที่ตัวเลย

ต่อมาเป็นยกที่ 2  เริ่มต้นยก มารก็ยังงงๆ อยู่เกิดอะไรขึ้น  ตะกี้เราชนะมาตลอด ทำไม มันเกิดอะไรขึ้น ยังงงๆ

ยกที่ 2  ผมให้ชื่อยกว่า “ยืนยันอยู่ในอุโมงค์” คือยืนยันว่าพระองค์ทรงตายจริงๆ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์ตายจริงๆ พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษย์จริงๆ  ร่างของพระองค์ เป็นแบบของมนุษย์จริงๆ ฝังอยู่ในอุโมงค์จริงๆ นั่นแหละครับ มารยังงงอยู่ พวกตัวเชียร์ทั้งหลายของมาร มันคุยกันใหญ่ มันเกิดอะไรขึ้น  งงอยู่

“แล้วพระบุตรของพระเจ้าตายได้อย่างไร?  ปกติต้องไม่ตายสิ พระเจ้าต้องอยู่นิรันดร์ ไม่ตาย แล้วนี่ตายได้อย่างไร?”

กำลังสับสน แต่ยกที่ 2 ของการแข่งขัน ก็ยังเป็นการแข่งขันอยู่ เพราะว่ามันยังไม่ได้ชนะ  กรรมการยังไม่ได้จับให้มือพระเยซูยกขึ้น เป็นผู้ชนะ เห็นไหม?  เพราะฉะนั้น พอกำลังงงอยู่ ก็ลุกขึ้น พระเยซูก็เดินเข้าไปอย่างสบายๆ  นอนมาแล้วสบายๆ เลย  พระเยซูก็ซัดหมัดที่ 2 ปลายยกที่ 2 ซัดเต็มที่เลย โครม  ลอย ล้มลงไป  กรรมการนับ หมัดที่ 2 ในยกที่ 2 ผมตั้งชื่อให้ว่า “หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์” ซาตาน เจ้าแห่งความบาปและความตาย  ถูกตัวแทนของมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ ซัดหมัดที่ 2 ไป ลอย ล้มลงไปกองอยู่บนเวที  กรรมการวิ่งมานับ ปกติต้องนับ 10 นับไปถึง 8 กระดิ่งช่วยอีก หมดยก

พอยกที่ 3 มารซาตานคราวนี้งงใหญ่เลย หัวปั่นไปหมดแล้ว  เริ่มต้นที่ยกที่ 3 ปุ๊บ พระเยซูเดินไปเฉยๆ ง่ายๆ แล้วก็ปล่อยหมัดเด็ดที่สุด สุดท้าย  เหยียบหัวมารแหลก เหมือนดั่งที่พระเจ้าได้เตรียมแผนการไว้ตั้งแต่สมัยปฐมกาล  ด้วยวิธีการให้พระเยซูใช้หมัดพิเศษ หมัดนี้ ยกที่ 3 เรียกว่า “เป็นขึ้นจากตาย” ผมให้ชื่อหมัดนี้ว่า “หมัดผู้พิชิตนิรันดร์”  อันนี้กรรมการยังไม่ทันนับ หลับไปเลย จบไปเลย ผู้พิชิตนิรันดร์  พูดง่ายๆ ว่าหมัดนี้เรียกว่าหมัดตอกฝาโลง เพราะไม่ต้องนับแล้ว  เพราะสลบไปเลย ไม่ลุก ลุกไม่ขึ้น แล้วกระดิ่ง ก็ช่วยไม่ได้ เพราะต้นยกเอง  จำไว้เลยนะ

ยกที่ 1 สิ้นพระชนม์ หมัดไพรีพิฆาต

ยกที่ 2 ยืนยันในอุโมงค์ หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์

ยกที่ 3 เป็นขึ้นจากตาย หมัดผู้พิชิตนิรันดร์

ตื่นเต้นยังไม่หายเลยนะ ตื่นเต้นขนาดไหน?  เพราะฉะนั้น มหากาพย์แห่ง สงครามฝ่ายวิญญาณ ซาตาน เจ้าแห่งความบาปและความตาย  VS คือสู้กับพระเยซูคริสต์ ตัวแทนของมนุษยชาติ ผลออกมาเรียบร้อยแล้วว่ามนุษยชาติได้รับชัยชนะแล้ว  กองเชียร์ของมนุษย์เฮกัน กระโดดขึ้นมาแบบโลดเต้นไปเลย  กองเชียร์มารหน้าเศร้า แตกฮือไปหมดเลย มนุษย์เฮกันใหญ่ ไชโย โห่ฮิ้ว มา 2,000 ปีแล้วมันเป็นอย่างนี้  ในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:55-57 ได้บันทึกเลยว่าเหตุการณ์นี้ ความเฮนี้ เขียนไว้ว่าอย่างไร? ลองอ่านดู ท่านคิดดูว่าถ้าท่านเป็นมนุษย์ แล้วรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านจะเฮไหมตั้งแต่ตรงนั้นมา  แล้วมันเฮมาตลอด เพราะเป็นการพิชิตนิรันดร์ คือชัยชนะนิรันดร์นั่นเอง

1 โครินธ์ 15:55-57 “55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กในของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

ภาษาเดิมตรงนี้ คำแรกเลย ใช้คำว่า “มัจจุราช” แปลตรงๆ เลยนะ แปลว่าความตาย  แต่เวอร์ชั่นที่ใช้คำว่า “มัจจุราช” ผมชอบ มันตรงกับเรื่องราวที่ตะกี้ผมเล่าให้ฟัง

“มัจจุราชเอ๋ยชัยชนะเจ้าอยู่ที่ไหน?” ไหนล่ะ มัจจุราช แกเคยเป็นเจ้านาย เป็นใหญ่เหนือมนุษยชาติใช่ไหม? บัดนี้ แกแพ้แล้ว  เพราะฉะนั้น ขอบคุณพระเจ้า  พระองค์ประทานชัยชนะให้แก่เราทั้งหลาย โดยผ่านทางตัวแทนของเรา  คือองค์พระเยซูคริสต์ของเรา  เฮๆ ตลอด 2,000 ปีแล้ว เราจะเฮตลอดไปถึงนิรันดร์ เพราะฉะนั้น บอกเลย ความตายเอ๋ย มัจจุราชเอ๋ย  เจ้าแห่งความบาปและความตาย แกอยู่ที่ไหน?  แกไม่มีฤทธิ์อำนาจเหนือฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันคือมนุษย์ผู้มีชัยชนะเหนือแก เจ้ากรรมนายเวรเอ๋ยอยู่ที่ไหน?  ไม่ต้องมาจ่ายอะไรให้แก ไม่เป็นทาสแกอีกต่อไปแล้ว แกพ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว  แกอย่ามาหลอก

จากการที่พระเยซูเอาชนะความบาป และความตาย  ชนะมาร อำนาจของมัน จนหมดสิ้น  ผลก็คือบรรดามวลมนุษยชาติทั้งปวง ย้ำอีกที ผลของมัน คือมวลมนุษยชาติทั้งปวง ได้รับชัยชนะไปด้วย เพราะพระองค์เป็นตัวแทนเราไง เหมือนสมัยก่อน  ตอนที่สร้างโลกใหม่ๆ  ตัวแทนเรา ก็คือบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ได้พ่ายแพ้ไป  เราทั้งหลาย ก็แพ้ไปด้วย  ไม่ได้ทำอะไรเลย ยังพ่ายแพ้เลย  ยังไม่ทันเกิดมา ก็พ่ายแพ้แล้ว  เป็นมนุษย์ก็พ่ายแพ้แล้ว เพราะมนุษยชาติพ่ายแพ้เขา  พ่ายแพ้มารซาตาน  แต่บัดนี้ 2,000 ปี ที่ผ่านมา พระเยซูได้ชนะมาร ชนะความบาปและความตายแล้ว เอาชัยชนะนั้นมาให้กับมนุษยชาติทั้งปวง  ยังไม่ทันเกิด ก็ชนะแล้ว เหมือนกัน  ทั้งหมดนี้บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น

พระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิตความตาย  ผู้พิชิตมาร เจ้าแห่งความตายและความบาป  โดยพระองค์ยอมเสียสละ  ยอมแบกรับเอาความทุกข์ทรมาน มาไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขน  ยอมเลือดอาบ ถูกอัดตั้งแต่ยกแรกเต็มๆ จนเกือบพ่ายแพ้  จนสุดเลย ถึงจะได้ชัยชนะมา แต่บรรดามนุษยชาติทั้งปวง  ได้รับชัยชนะนี้ด้วย  โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่าพระคุณ  พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่ามนุษยชาติทั้งปวงที่ได้รับพระคุณนี้  จึงถูกเรียกว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ท่านเป็นคนใช่ไหม? ท่านเป็นมนุษยชาติใช่ไหม? ท่านเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เพราะพระเยซูคริสต์เป็นผู้พิชิตความตาย  พิชิตมาร ท่านเป็นยิ่งกว่า ใหญ่กว่าผู้พิชิต ก็คือใหญ่กว่าพระเยซูอีก  เพราะว่าท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเยซูทนทุกข์ทรมาน ทำซะเหนื่อยสาหัสสากัน และเอาชัยชนะนั้นมาให้กับท่าน ผู้ไม่ต้องทำอะไรเลย บอกได้ เอาไปเลย เหมือนกับชนะ เอามงกุฎแห่งชัยชนะมาจากเวที เลือดอาบ  ขับรถกลับบ้าน เอาไปให้เราทั้งหลายที่อยู่ที่บ้าน เชียร์อย่างเดียว นี่แหละ เราทั้งหลายจึงเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าเป็นวันประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ และที่สำคัญที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ในโลกวิญญาณ มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายมหาศาล ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  อย่างที่ผมบอก ไม่ว่ามนุษย์ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  ความจริง คือโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ  และมนุษย์เป็นวิญญาณ สิ่งที่ตาเรามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน มือสัมผัสไม่ได้ คือโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่จริงๆ  และทุกคนก็พยายามแสวงหาความจริง ในโลกวิญญาณ และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้เป็นเจ้าแห่งโลกวิญญาณ ได้อธิบายความจริงให้กับเราฟัง และนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ผมเล่าให้ฟัง ศึกสงครามที่พระเยซูชนะมาร  พิชิตมารแล้วนั้น  มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสต์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้  และในโลกวิญญาณด้วย  เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มนุษยชาติได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่

มนุษยชาติทั้งปวง เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  มนุษย์ทั้งปวงได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่  ยุคพันธสัญญาใหม่  ยุคพระคุณ ยุคนิรโทษกรรม เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย  เป็นยุคที่มนุษยชาติสามารถอพยพกลับบ้านของเขา คือสวรรค์ สู่อ้อมกอดของพ่อของเขา  พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ เป็นยุคแห่งการพักผ่อน หายเหนื่อยและเป็นสุขของมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ต้องจ่ายหนี้ ไม่ต้องเป็นหนี้บาปเวรกรรมใคร คอยผ่อนให้อีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว เอาความจริงนี้เข้าไปใช้ในชีวิต นั่นแหละ เป็นยุคใหม่

อย่างที่ผมบอก สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งมนุษย์เกี่ยวข้องมากเลย เพราะเราเป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้นอยากบอกว่าให้มาใช้สิทธิของท่าน ในชัยชนะนี้ เพราะท่านมีส่วนในชัยชนะนี้  ทิ้งไป ก็ไม่มีใครเอาของท่านไปใช้ได้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีส่วนในชัยชนะนี้ทั้งหมด  รับชัยชนะนี้เข้าไปอยู่ในชีวิตของท่าน  หายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด  เข้ามาสู่ยุคใหม่ ยุคของพระคุณ ได้รับการไถ่บาป  เข้ามาสู่พระคุณของพระเจ้า  ให้พระเจ้านำพาชีวิตของท่าน และให้พระเจ้าสอนท่าน บอกท่านถึงเรื่องความจริงในโลกวิญญาณอย่างนี้ต่อไป

ท่านอาจจะเพียงเริ่มต้นรู้แค่นี้ วันนี้เอง  ตัดสินใจ ยอมรับว่ามันเป็นจริงตามนี้แหละ แล้วก็สืบสาว หาเรื่องราว เรื่องนี้ต่อไป โดยการคุยกับพระเจ้าเองเลยว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร?  เกี่ยวกับลูกอย่างไร? เกี่ยวกับฉันอย่างไร?  ช่วยนำฉัน สอนฉันที  ให้รู้จักเรื่องจริงเรื่องนี้ มากยิ่งขึ้น  แค่นั้นเอง ขอบคุณพระเจ้า

เราจะเข้าหัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” ตอน 1 วันนี้ผมจะเน้นให้ท่าน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเป็นขึ้นจากความตาย เราได้ฟังเรื่องราวที่ผมเล่าถ้อยคำ เป็นสตอร์รี่ เป็นการเล่าเรื่องแล้ว ให้เห็นภาพว่าหมัดเด็ดสำคัญสุดท้าย  ก็คือหมัดผู้พิชิตนิรันดร์ การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู เป็นหมัดเด็ด ที่ทำให้หัวมารเละ แหลกเลย เพราะฉะนั้นการเป็นขึ้นจากตาย จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องของข่าวดีของพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว สำคัญถึงขนาดไหน? ถึงขนาดมารมันรู้เรื่องนี้ มารจึงพยายามปกปิดเรื่องนี้  เล่นขี้โกง พูดง่ายๆ  มันพ่ายแพ้และหัวแหลก แล้วมันบอกยังไม่แหลก มันขี้โกง เผื่อว่าคนอาจจะไม่ได้ติดตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือข่าวที่หน้าทีวี  เรื่องเกี่ยวกับศึกมหากาฬครั้งนี้  อาจจะไม่รู้เรื่อง เลยส่งข่าวไปบอกยังไม่ได้แพ้หรอก  กรรมการยังไม่ได้นับเลย  มันพูดแค่ยก 2 เท่านั้นเอง  ที่มันมึนๆ ในยก 2 มันคงกระซิบให้ พรรคพวกที่เชียร์อยู่ว่าสงสัยฉันแพ้แน่ ยก 2 ที่มึนๆ  มันคงบอกพรรคพวกอย่างนี้ …

“พวกแกพยายามไปหลอกลวงชาวบ้านเขานะว่าฉันยังไม่แพ้”

พอยกที่ 3 มันถูกน็อค โดยพระเยซูเป็นขึ้นจากความปุ๊บ  มารที่มันหลอกลวงมนุษย์ว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นจากตายหรอก ยก 3 ไม่มีหมัดพิชิตนิรันดร์  เริ่มต้นหลอก ผ่านทางมนุษย์  ที่มันสามารถใช้ได้ อย่างเช่นพวกเหล่าหัวหน้าปุโรหิตที่จับพระเยซูไปตรึง ก็เริ่มจ้าง เรียกทหารที่คุมอยู่ที่อุโมงค์ เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย จ้าง ถ้าใครถาม ให้บอกว่าสาวกมาขโมยศพไป  ปิลาตก็ยอมด้วย ปิลาตคือผู้สำเร็จราชการโรมัน ก็เอากับเขาด้วย พยายามที่จะบิดเบือนว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาหรอก แต่สาวกมาขโมยร่างของพระเยซูไป  สิ่งเหล่านี้พูดแค่ผ่านมาให้เห็นว่ามารก็เริ่มต้นทำงาน

หลังจากการชก ศึกมหากาฬ ในโลกวิญญาณครั้งนี้แล้ว ซึ่งพระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะเด็ดขาด มารหัวแหลก เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ไม่กี่เดือนต่อมา  ข่าวสะพัดเยอะแยะไปหมดว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาหรอก  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปจริง บางรายที่ถูกหลอก แต่พระองค์ไม่ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็เริ่มมีหลักข้อเชื่อแบบนี้  แทรกเข้ามาอยู่ในคนที่ติดตามข่าวนี้ หรือเชื่อพระเยซู แบบไม่สะเด็ดน้ำ  คนที่ไม่เชื่อ ไม่ต้องพูดถึง ไม่เชื่ออยู่แล้ว คนที่เชื่อก็มีการสู้รบจริง  มีการแข่งขันจริง  พระเยซูยังไม่ชนะเด็ดขาด ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ

เปาโลซึ่งเป็นอัครสาวกในขณะนั้น เป็นผู้พิทักษ์ข่าวดีของพระเจ้าทราบอย่างนี้ รู้อย่างนี้ ไม่ได้เลยนะครับ ต้องจัดการกับเรื่องนี้ เด็ดขาดมาก  ก็เริ่มเขียนหลักข้อเชื่อ ที่สำคัญที่สุด ถูกต้องที่สุดของการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในชัยชนะของพระองค์ว่าคืออะไร?  หลักข้อเชื่อนี้ พูดถึงความจริงใน 3 ยกที่ผมได้เล่าให้ท่านฟังเป็นสตอร์รี่ไปเมื่อตอนต้นรายการว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  อันนี้เป็นหมัดเด็ดจริงๆ  และจำเป็นต้องมีตรงนี้ พระเยซูได้รับชัยชนะจริงๆ และชัยชนะนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราทุกคนด้วย ใน 1 โครินธ์ 15:1-8

1 โครินธ์ 15:1-8 “1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ 2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอด โดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นท่านก็เชื่อโดยเปล่าประโยชน์ 3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 ทรงถูกฝังไว้และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ 5 และทรงปรากฏแก่เปโตร  จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน 6 ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว 7 จากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบและแก่อัครทูตทั้งปวง 8 และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ”

 

สิ่งที่สำคัญที่สุด คืออะไร?  … “ข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้แก่ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน ใช่ไหมครับ เพราะไถ่บาปให้กับท่าน  ชำระท่านให้พ้นจากบาป  ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”

อันดับที่ 2 ยก 2 … “ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์”

แล้วเปาโลก็เน้นถึงข้อสุดท้าย พระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ โดยที่ยกตัวอย่างพยานว่ามีผู้ติดตาม ผู้เชื่อในพระองค์ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ขณะที่บันทึกตรงนี้  บางคนล่วงหลับไปแล้ว ก็มี  แต่บางคนยังมีชีวิตอยู่  เขาเหล่านี้ เห็น พบ สัมผัสพระองค์ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย  พระองค์ทรงปรากฏกับเหล่าสาวกมากกว่า 500 คน

การปรากฏครั้งหนึ่งมีคน 500 กว่าคนมาดู ผมนั่งคิดดู สมัยก่อน ผู้คนไม่ได้เยอะเท่ากับปัจจุบัน  ถ้า ณ ปัจจุบัน ก็คือพระองค์ปรากฏครั้งเดียว  500,000 คนได้ไหมเนี้ย  จาก 5,000 คนนั้น จาก 500 คน 5,000 คน  เป็น 50,000 คน 500,000 คนได้ไหม? เพราะปัจจุบัน คนเยอะมาก เทคโนโลยีอะไรต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งถ้าเผื่ออินเตอร์เนต ผมว่าพระองค์ปรากฏแก่คน 50 ล้านคน ไม่ยากเลย แล้วยังยืนยันบอกว่านอกจากปรากฏกับผู้คนเหล่านี้  ไปถามเขาได้เลย บางคนเขายังมีชีวิตอยู่เลยในขณะนี้ ไปกินกาแฟกับเขา ไปกินชากับเขา แล้วไปคุยกับเขาเลยว่าเขาเห็นพระเยซูตายที่ไม้กางเขนกับตา  ใส่อุโมงค์ไปกับตา  แล้วเขาก็เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  มานั่งคุยกับเขา ไปสัมภาษณ์เขาได้

เปาโลกำลังจะพูดถึงอย่างนี้ และนอกเหนือจากนั้น เปาโลยังบอกว่าแล้วยังปรากฏกับอัครสาวกคนอื่นๆ เปโตร ยอห์น ยากอบ และรวมถึงอาจารย์เปาโลเองด้วย จากการพบกับพระเยซูระหว่างที่เดินทางไปดามัสกัส จะไปจับชาวคริสเตียนมาใส่คุก ข่มเหงเขา เปาโลกำลังทำอะไร? กำลังยืนยันในหมัดเด็ดของพระเยซู หมัดผู้พิชิตนิรันดร์ คือการเป็นขึ้นจากความตาย  ซึ่งสำคัญมาก

และต่อๆ ไปในบทที่ 15 นี้  ซึ่งวันนี้ไม่ได้เอามาให้อ่าน  ท่านไปอ่าน ศึกษาต่อไป  เปาโลเน้นเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายอย่างมาก ว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ส่งผลอะไรในชีวิตของเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นการส่วนตัวเลย  หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือการเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เราทั้งหลายได้เกิดใหม่ในวิญญาณ  ได้ชีวิตที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา  เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป ก็คือวิญญาณที่เป็นบาปอยู่นั้น จบสิ้นไป  และได้เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซู ก็คือได้วิญญาณใหม่ โดยพระเจ้า วิญญาณนิรันดร์ เข้ามาแทนที่ มันหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ

อาจารย์เปาโลได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในโรม 5:8-10  เกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากความตาย  ดูสิว่ามันทำอะไรให้กับเรา ในชีวิตนี้บ้างว่าการเป็นขึ้นจากความตาย  ถ้ามันเป็นจริงตามนี้  แล้วได้รับผลอะไรเกี่ยวกับชีวิตของเราแต่ละคนบ้าง?

โรม 5:8-10 “8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน! 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน!”

 

โรม 5:8-10 ที่เราได้อ่าน ผมจะให้ท่านเน้นตรงนี้  …

เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ก็คือการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน  ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากการเป็นนักโทษ  พ้นจากการถูกกล่าวโทษ  พ้นจากการที่จะต้องติดคุก พูดง่ายๆ  ต้องอาญา  แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ข้อสุดท้าย ก็คือเราก็จะได้รับความรอด  โดยพระชนม์ชีพของพระองค์

นอกจากการตายที่ไม้กางเขนแล้ว เราได้รับการชำระให้หมดบาป  หมดเวรหมดกรรม ไม่ต้องติดคุกแล้ว  ไม่ต้องใช้หนี้เขาแล้ว  เป็นผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สะอาด เรียบร้อยแล้ว  เราก็จะได้รับความรอด  ตรงนี้หมายถึงว่าในวิญญาณ เราก็จะได้รับความรอด จากการเป็นทาสของความตาย   พูดง่ายๆ ไม่ใช่ทำบาป  วิญญาณที่ตายอยู่  วิญญาณที่เป็นบาป ก่อนที่พระเยซูจะมีชัยชนะ วิญญาณนั้น  ก็จะได้รับความรอดจากการเป็นทาส  รอดจากการเป็นคนบาป  เป็นวิญญาณบาป โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ ก็คือโดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู พูดง่ายๆ ว่าการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทำให้เราทั้งหลาย เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วย  แต่ก่อนนี้วิญญาณเราตายอยู่ มีสภาพวิญญาณเป็นบาปอยู่ มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือกลับคืนมาเป็นวิญญาณที่ไม่ตายอีกต่อไป  เป็นวิญญาณนิรันดร์  มีสภาพเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณแห่งชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้า  ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น  ในเอเฟซัส 2:5-6 ก็บันทึกไว้ลักษณะเดียวกัน  อันนี้ยิ่งชัดใหญ่เลย

เอเฟซัส 2:5-6 “5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

อันนี้อาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่ง   ผมจะขยายความให้ท่านจากภาษาเดิม  จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา  (ของผมและของท่าน ก็คือของมนุษยชาติทั้งปวง) กลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณของเราได้ตายไปแล้วในบาป การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ แม้ในขณะก่อนหน้านี้ วิญญาณของเราได้ตายอยู่ ไม่ใช่กับบาป แต่ตายอยู่ในบาป  ก็คือเป็นบาปนั่นเอง  วิญญาณท่านเป็นบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด รอดจากการลงโทษ  จากคำสาปแช่งต่างๆ ด้วยพระคุณ คือเราไม่ต้องทำ และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา ที่มันตายอยู่ ในบาปนั้น  พระเจ้าได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นจากตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่กับเฉยๆ ต้องพร้อมกับ ด้วยกันกับ คือพร้อมกันเลย  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว

ถึงบอกต้องช้านิดหนึ่ง  ต้องค่อยๆ ถึงจะเห็นภาพชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้น? เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย

เพราะฉะนั้น การเป็นขึ้นจากความตาย จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก  สำหรับข่าวดีที่มาถึงมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้  การตายของพระองค์บนไม้กางเขน เป็นพระคุณ เราซาบซึ้ง เราก็รู้ว่ามีสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้น ที่พระเจ้าต้องการให้เราไม่ลืม ก็คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูว่ามันเป็นจริงๆ  และมีผลต่อชีวิตของเรา อย่างมากมายมหาศาล อย่างนี้แหละ ในโรม 6:3-5 ยิ่งชัดใหญ่

โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์? 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์”

 

“ท่านไม่รู้หรือว่า?”

แสดงว่ามันเป็นไปแล้ว มันเป็นจริง ท่านไม่รู้หรือว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้  ท่านไม่รู้หรือว่าชีวิตท่านเป็นอย่างนี้  ตอนนี้ เมื่อท่านใช้สิทธิของท่าน  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำที่ไม้กางเขนให้กับท่าน คือได้ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต และอยู่ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ มีผลต่อมวลชีวิตของมนุษยชาติทั้งปวงทุกคน  เมื่อท่านเชื่อในเรื่องนี้ ท่านใช้สิทธิของท่าน พอท่านใช้สิทธิของท่านเรียบร้อยแล้ว โรมข้อนี้เป็นของท่าน  พระเจ้ากำลังถามท่าน พอท่านใช้สิทธิของท่าน จะบอกท่านว่าท่านรู้ไหม?  ท่านไม่รู้หรือ? มนุษย์ทั้งหลาย  ก็คือท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง ก็คือคนเชื่อทั้งปวง เกิดขึ้นกับมนุษย์ทั้งปวง แต่ถ้าไม่เชื่อ มันก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้น ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์

คำว่า “บัพติศมาในพระคริสต์” คืออะไร? “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลง มุดลง  เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา หมายถึงท่านทั้งหลาย “เรา” ตรงนี้หมายถึงมนุษยชาติ ที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ เรื่องที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วเชื่อ พอเขารับเชื่อ ใช้สิทธิของเขา  เขากำลังถูกจุ่มลง ถูกบัพติศมา ยอมรับปุ๊บ ก็ถูกจุ่มลงไป ถูกมุดเข้าไป ถูกใส่เข้าไปในพระเยซูคริสต์

เมื่อท่านได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้  เรื่องศึกสงคราม มหากาฬในโลกฝ่ายวิญญาณ ว่าพระเยซูทำอะไร เป็นตัวแทนมนุษย์ และได้รับชัยชนะไปเรียบร้อยแล้ว  โดยหมัดเด็ดของพระองค์ 3 หมัดเต็มๆ การตาย  การอยู่ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ทั้งหมดนี้ เมื่อท่านได้ยินได้ฟัง แล้วท่านเชื่อว่ามันจริง  มันเกี่ยวข้องกับชีวิตท่าน  เพราะท่านเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน  ท่านจะใช้สิทธิของท่านในฐานะมนุษย์ว่า …

“ฉันจะเอาชัยชนะนี้ด้วย ฉันจะขอเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูด้วย  เพราะพระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เท่ากับเป็นตัวแทนฉัน”

เมื่อท่านประกาศอย่างนี้ เชื่ออย่างนี้ปุ๊บ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ท่านรับเชื่อในข่าวดีนี้” ทันทีที่ท่านเชื่ออย่างนี้ ด้วยปากและด้วยใจ ท่านไม่ต้องไปทำพิธีที่ไหนเลย  ด้วยปากของท่านพูดว่า ..

“ฉันเชื่อข่าวดีนี้ ข่าวดีนี้เป็นอย่างนี้  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  เพื่อฉัน พระเยซูอยู่ในอุโมงค์ ยืนยันการตายจริงๆ ของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ฉันเชื่อในเรื่องนี้ ขอพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับฉัน ฉันเชื่อแล้วว่าพระองค์เป็นตัวแทนของฉัน”

ทันใดนั้นเอง เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมา คือพระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของท่าน เอาวิญญาณของท่านบัพติศมาเข้าไปในพระคริสต์ คือเอาท่านจุ่มลงไปในพระคริสต์ มุดลงไปในพระคริสต์

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง  ที่ได้รับเชื่อในข่าวดีนี้  ได้รับบัพติศมามุดเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ด้วย  ก็คือเข้าไปมุดอยู่ในการตายของพระองค์ ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมา โดยการจุ่มเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  เราก็ตายด้วย  เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายอยู่ที่ไม้กางเขนด้วยเช่นเดียวกัน  พระคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็อยู่ในอุโมงค์ด้วย  ในนี้บอกว่าเพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกันกับพระองค์ ที่ทรงให้พระคริสต์ เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา ก็คือเราทั้งหลายก็สามารถที่จะเป็นขึ้นจากความตายด้วย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตาย ก็คือเราจุ่มลงไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว  เมื่อพระองค์ตาย เราก็ตายด้วย เหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

ง่ายๆ นิดเดียว ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดู สมมติว่าไอโฟน  คือวิญญาณของเราทั้งหลาย  พระคัมภีร์นี้เป็นพระคริสต์ พระเยซูที่ตายที่ไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 เป็นขึ้นจากความตาย  บัพติศมาหมายถึงอะไร? พอท่านเชื่อในเรื่องนี้  ในข่าวดีนี้  ทันทีทันใดนั้น ด้วยความเชื่อของท่าน พระเจ้าก็ให้ท่านเข้าไปบัพติศมา คือเข้าไปอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ไอโฟนผมเข้าไปอยู่ในพระคัมภีร์แล้ว ตอนนี้ ไอโฟนผม คือวิญญาณของผมเข้าไปอยู่ในพระคัมภีร์ คือพระคริสต์ มันแปลว่าอย่างนี้  โรม 6:3-5 ที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เป็นแบบนี้

บัพติศมา แปลว่ามุด เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนนี้ไอโฟนเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคัมภีร์เล่มนี้แล้ว  พระคัมภีร์คือพระคริสต์ ไอโฟนคือวิญญาณของมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีนี้  พอเริ่มเชื่อปุ๊บ เป็นอย่างนี้ พอมันเป็นอย่างนี้ แล้วเกิดอะไร? พระคัมภีร์บอกว่าพระคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน  เห็นไหมครับตอนนี้ตายที่ไม้กางเขนแล้วนะ  เราที่อยู่ในพระคริสต์ ก็ตายด้วย  ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูตาย เราก็ตายด้วย  พระคัมภีร์อยู่ตรงนี้ ไอโฟนก็อยู่ตรงนี้ด้วย  เสร็จแล้วต่อมาพระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราทั้งหลายที่อยู่ในพระคริสต์ก็ถูกฝังในอุโมงค์ด้วยเช่นเดียวกัน  ไอโฟนอยู่ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์อยู่ในอุโมงค์ พระคัมภีร์ลงมาข้างล่าง ไอโฟนก็อยู่ในนั้นด้วย วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  พระเจ้ายกพระเยซูขึ้นสูงสุด ให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน นั่งอยู่กับพระเจ้านะ  ถามว่าไอโฟนตอนนี้อยู่ไหน?  ไอโฟนอยู่ที่สูงสุด  อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ถูกยกขึ้นสูงสุด  ไอโฟนที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ถูกยกขึ้นมาสูงสุด  ไอโฟนไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้ว วิญญาณของเราถูกยกขึ้นมาสูงสุด โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะวิญญาณของเราอยู่ใน หรือบัพติศมา มุดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เมื่อพระเจ้าให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  และยกพระองค์ขึ้นสูงสุด  เราทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์ ก็ถูกยกขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  คำว่าเบื้องขวาของพระเจ้า ก็คือสำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้รับฤทธิ์อำนาจทั้งหมด สิทธิทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี อยู่ในมือของพระเยซูคริสต์ ก็คืออยู่ในมือของเราด้วย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์ชนะ เราก็ชนะด้วย  เอเมน  เมื่อพระคริสต์ครอบครอง เราก็ครอบครองด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน เมื่อพระคริสต์ถูกยกขึ้นนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า สำเร็จราชการ  ในมหาจักรวาล เราก็ได้รับสิทธิอำนาจนั้น ด้วยเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  เรียกว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตนั่นเอง

สุดท้าย เมื่อมันสำคัญ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้าจึงอยากให้มนุษย์ทั้งหลาย  อย่าลืมๆ  อย่าลืมสิ่งนี้เด็ดขาดว่ามันเกิดอะไรกับเราบ้าง  อย่างที่บอกเริ่มต้นที่เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน โรม 6:3-5 บอก …

“ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวง ที่เชื่อในเรื่องนี้แล้ว ได้ถูกจุ่มลงไป มุดลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์”

จึงใช้คำว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า” คืออยากให้ท่านรู้จริงๆ

พระเจ้าจึงเตือนเราอย่างนี้ ว่าเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว  ให้เราทำอย่างไร? โคโลสี 3:1-4

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย  ที่เชื่อและใช้สิทธิของท่าน ในข่าวดีนี้  เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ถูกยกขึ้นสูงสุดอย่างนี้แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรานั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานอย่างนี้ นึกถึงภาพดีๆ ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์อยู่สูงสุด  เราอยู่ตรงนั้นแล้ว ที่วิญญาณของเรา จดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน  คือจดจ่อ หมายถึง Set mind ก็คือตั้งความคิด จดจ่อทั้งวันและทั้งคืน ให้เห็นภาพนี้ตลอดเวลา ในโลกวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น บอกตัวเองว่าจงมองให้เห็นเถิด ในโลกวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ  อย่าถูกหลอกอีก จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  จงให้ความคิดทั้งหมดของท่าน อยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน คือโลกวิญญาณ อย่างความจริงอย่างนี้  ไม่ใช่ลงมาดูอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้  ที่มารพยายามหลอกลวงว่ามันยังไม่แพ้นะ  ยังชนะนะ พวกแกยังต้องส่งส่วยให้ฉันนะ ต้องชำระหนี้บาป เวรกรรมอีกต่อไป  ยังไม่หมดเวรกรรมหรอก  ไม่มองในระบบโลกนี้ที่มองเห็นได้  แต่มองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราชนะแล้ว

ข้อ 3 บอกว่าเพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ตรงนี้ต้องเปลี่ยนนิดหนึ่ง “ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์”  แก้เป็น “ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า” ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์แล้วยังอยู่กับพระเจ้า พูดง่ายๆ มองไปโลกฝ่ายวิญญาณให้รู้ว่าตัวเก่าของท่านที่เป็นวิญญาณบาป เป็นทาสของมารซาตาน  เป็นวิญญาณแห่งความตายนั้น  วิญญาณสกปรกดำมืด บัดนี้มันจบไปแล้ว มันตายไปแล้ว  แล้วมันได้เกิดใหม่แล้ว ชีวิตของท่านเกิดใหม่ โดยถูกซ่อนอยู่ แอบอยู่ในพระคริสต์ เข้าไปบัพติศมา  อยู่ในพระคริสต์แล้ว และอยู่กับพระเจ้า อย่างที่ผมบอกว่าไม่ใช่พระเจ้าอย่างเดียว แล้วก็มีพี่เลี้ยง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น จงจำไว้ จงมองให้เห็นเถิดว่าท่านจะไปไหนก็ตาม  วิญญาณท่านมีอีก 3 วิญญาณที่อยู่กับท่าน  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู แล้วพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคนี้ ไปไหนไปด้วยกันกับท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่านเลยทีเดียว  และมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  มันหมายถึงอย่างนั้น ให้เราจำ ให้เรามองสิ่งต่างๆ เหล่านี้  มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้วว่ามันเป็นจริง

ข้อ 4 บอกว่าเมื่อพระคริสต์ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ ก็คือเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ปรากฏ ก็คือพระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลกใบนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา  เมื่อนั้นเราก็จะได้รับร่างกายใหม่  เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เราก็จะได้ปรากฏพร้อมกับพระองค์ในเกียรติสิริด้วย ก็คือเมื่อพระเยซูกลับมา เราทั้งหลายก็ปรากฏ ก็คือเราทั้งหลาย ก็ได้รับร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ออกจากหลุมฝังศพอย่างนี้ เราทั้งหลาย ก็กลับคืนสู่ชีวิตใหม่ โดยร่างกายของเรา เป็นร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ วิญญาณ ความคิดจิตใจ ที่ใหม่ ก็จะสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน  ไม่ต้องเป็นไข้ เป็นหวัด ไม่ต้องกลัวเป็นโควิดอีกต่อไป ไม่ต้องมีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป  ไม่ต้องมีน้ำตาอีกต่อไป เป็นร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซู ซึ่งเป็นของเรานั้น  เราก็จะได้รับในวันนั้น  และเราก็จะอยู่อย่างนั้น  เหมือนที่พระเยซูอยู่ ณ วันนี้  ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ ในสวรรค์ของพระเจ้า เอเมน

เพราะฉะนั้น อยากจะบอกว่านี่คือความจริง เพียงท่านใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย  เขาเรียกว่าพระคุณ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต พระเยซูเป็นผู้พิชิต ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราเพียงแต่ยกมือบอก …

“ฉันเอาด้วย ฉันรับด้วย ฉันต้องการ”

แค่นั้นเอง  ที่เหลือพระเจ้าพระบิดาจัดการเองทั้งหมด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

 

 

คำบรรยายคืนวันศุกร์ประเสริฐ เวลา 19.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายคืนวันศุกร์ประเสริฐ  เวลา 19.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้ว วันนี้เราเจอกันหลายครั้งเลยนะครับ ตั้งแต่เมื่อเช้านี้ 9 โมงเช้า เที่ยง และบ่าย 3 โมง และตอนนี้ 1 ทุ่ม เรามาร่วมกันเฉลิมฉลองวันประกาศชัยชนะของมวลมนุษยชาติทั้งปวงโดยแม่ทัพของเรา น่าจะเป็นพ่อทัพก็ได้ หัวหน้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้ามนุษย์จริงๆ เพราะว่าพระองค์ทรงเกิดมาเป็นมนุษย์

พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้มีส่วนร่วม เข้ามาอยู่ในเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของมนุษย์ ในการที่จะไถ่มนุษย์ หรือชดใช้บาป ให้กับพี่น้อง คือมนุษยั้งปวงนั่นเอง และพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อบ่าย 3 โมงที่ผ่านมา อัศจรรย์ใหญ่มากๆ สิ่งที่พระเจ้าได้วางแผนไว้ ตั้งแต่หลายพันปีก่อนโน้น ที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ตกลงไปในคำสาปแช่ง เป็นทาสของมาร พระเจ้าได้สัญญาไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ กลับคืนสู่พระองค์ และได้วางแผนการไว้ตลอด และในที่สุดวันนี้ พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง  พระเยซูคริสต์ก็ยอมเสียสละ จากสภาพของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เมื่อบ่าย 3 โมง หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาป ให้กับมนุษย์ทั้งปวง

อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วว่าเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และมีผลเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงมหาศาล ในโลกวิญญาณของประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติทั้งปวง เพราะฉะนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะรู้หรือไม่รู้ หรือจะเคยได้ยินหรือไม่เคยได้ยิน จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนี้ เมื่อได้ยินแล้วก็ตาม ความจริง ก็เป็นความจริงวันยังค่ำ  ถ้ามันเป็นความจริง และเรื่องนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาถึงวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้ว  คนมากมายมหาศาล หลั่งไหลเข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาอยู่ในสวรรค์ของพระองค์ เข้ามาได้รับอิสรภาพจากความบาป เข้ามาให้พระเยซูชำระบาป นับไม่ถ้วนจริงๆ

นี่เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ อย่างที่ผมบอกว่ามันไม่ยากเลย มันง่ายมาก  เมื่อตอนบ่าย 3 โมง ผมได้ยกตัวอย่างเรื่องของโจร  ที่เป็นฆาตกรอุกฉกรรจ์ ได้รับโทษประหารชีวิต ถูกตรึงที่ไม้กางเขนพร้อมพระเยซู ได้สารภาพบาป และยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาก็ได้ไปสวรรค์ทันที  เขาได้รับการยกโทษจากบาป  โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะฉะนั้น ถ้าโจรคนนั้น วินาทีสุดท้าย เขายังได้รับความรอด จากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ มากกว่านั้นสักเท่าไร? ท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ขณะนี้ ผมอยากจะบอกท่านเลยว่ามันไม่ยากเลย ไม่ได้เป็นเรื่องที่เราต้องทำอะไร เหมือนเพลงที่เราร้องเมื่อสักครู่นี้ เพลง “พระคุณพระเจ้า” ก็คือพระคุณอันประหลาด พระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  “พระคุณ” แปลว่าพระเจ้าให้เปล่าๆ ฟรีๆ  ถึงแม้ว่าเราไม่สมควรได้รับก็ตาม เหมือนอย่างโจรที่ไม้กางเขน  เป็นฆาตกร ไม่สมควรได้รับ แต่พระเจ้าให้เปล่าๆ  ฟรีๆ เช่นเดียวกัน เราทั้งหลายในยุคนี้ เมื่อได้ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดี ที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปแล้ว ก็น่าจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้บันทึกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่พระเยซูทำที่ไม้กางเขน เมื่อตอนบ่าย  คือพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับมนุษย์ทั้งปวงแล้ว ผมอยากให้ท่านลองดูในหนังสือฮีบรู 10:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 10:9-10 “9 จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก เพื่อตั้งระบบที่สอง 10 และโดยพระประสงค์นี้เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

คำว่า “ยกเลิกระบบแรก” ก็หมายถึงระบบที่มนุษย์อยู่ใต้ความบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมด้วยตัวเอง เหมือนที่บรรพบุรุษของเรา และพวกเราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่าเกิดเป็นคน ก็ต้องชดใช้บาปเวรกรรม เป็นเรื่องธรรมดา แล้วชดใช้กันถึงเมื่อไร? ไม่มีใครรู้ ชดใช้ไม่รู้กี่สิบชาติ กี่หมื่นชาติ ต้องสะสมความดี อยู่เรื่อยๆ  คือต้องช่วยเหลือตัวเองในการที่จะพ้นจากบาปเวรกรรม ทุกคนรู้นะ ไม่รู้ใครบอกมา  แต่จริงๆ แล้วมันอยู่ในใจลึกๆ ของมนุษย์ทุกคน ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องการที่จะหลุดจากความบาปนั้น  ถ้าไม่รู้ถึงระบบใหม่ของพระเยซูคริสต์ ไปตายที่ไม้กางเขน  ก็จะพยายามด้วยตัวเอง  วิธีการพยายามด้วยตัวเอง ก็คือพยายามทำสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด อยู่ในศีลธรรมที่ดีงาม พยายามที่สุด  แล้วท่านคิดดูสิ พยายามเท่าไร มันก็ไม่ได้ถึง 100%  ถูกไหมครับ? เราก็รู้อยู่  เราเลยคิดว่ามันต้องสะสมความดีงามไปเรื่อยๆ  แล้วสะสมไปถึงเมื่อไร?  ไม่มีคำตอบ นี่คือความว้าเหว่ ความกลัวในใจของมนุษย์ทุกคน

เมื่อสมัยตอนผมเด็กๆ ประมาณสัก 7-8 ขวบ ผมจะเล่าให้ฟัง คือตอนเด็กๆ ผมเป็นคนอ่อนแอมาก เป็นคนเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ  ไปเรียนหนังสือ โรงเรียนอยู่ไม่ไกลมาก สมัยก่อนยังเดินไปได้  พอผมเจ็บป่วย ผมเบื่อชีวิตมาก แล้วมันมีความรู้สึกข้างใน ขนาด 7-8 ขวบนะ ยังมีความรู้สึกว่าเราเกิดมาใช้กรรมเหรอ เลยต้องเจ็บป่วย ต้องใช้เวรกรรม เมื่อไรมันจะหมดสักที เด็กคนอื่นเขายังเล่นได้ เราทำไมมันป่วยอย่างนี้ แล้วทำอย่างไร? ตอนเช้าไปโรงเรียน แม่ก็ให้ตังค์ไปบาทหนึ่ง บางทีเป็นเศษสตางค์ สามสลึงบ้าง บาทหนึ่งบ้าง  พอเดินไปครึ่งทาง  มันไม่รู้เป็นอะไร มันมีความรู้สึกในใจว่ามันอยากสะเดาะเคราะห์ตัวเอง  อยากจะหลุดออกจากเคราะห์กรรม เวรกรรมตรงนี้  ก็ควักลงไปในกระเป๋า มีเศษสลึงอยู่ 3 สลึง ก็เอาสลึงมากำไว้ แล้วก็เหวี่ยงไปข้างทาง รู้สึกว่านี่สะเดาะเคราะห์ไปทีหนึ่ง เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรม จริงๆ น่าจะเหวี่ยงหมดก็ดี แต่เสียดาย เดี๋ยวตอนเที่ยงไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีขนมจะกิน

ยังจำได้ความรู้สึกในใจ มันไม่มีใครช่วยเราได้เหรอ ไปถามใคร เขาก็บอกว่ามันเป็นกรรมเก่า  ทำเมื่อไรไม่รู้ แต่ต้องชดใช้กัน ไม่รู้จักจบจักสิ้นเลย บางท่านก็บอกต้องไปทำทัณฑ์บน  หรือไปให้กับเจ้ากรรมนายเวร ก็ว่ากันไป  ทำเท่าไร มันก็ไม่ได้หลุดพ้นจากความรู้สึกยังเป็นคนบาปอยู่  ยังต้องชดใช้กรรมอยู่  ตายไปแล้ว ก็ยังต้องชดใช้กรรม ไม่รู้จะไปชดใช้อย่างไร?  เท่านั้นเอง  จนกระทั่งมาพบพระเยซูคริสต์ มาพบเรื่องราวนี้  ซึ่งมันเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าจะเชื่อเรื่องนี้เลยนะ แต่รู้สึกว่ามันไปไม่รอดแล้ว หนทางมันตีบตัน มันอึดอัดมากเลย แสวงหามาตั้งแต่เด็กแล้ว

ในที่สุด ก็ได้พบคำนี้แหละว่าพระเยซูสามารถชำระบาป แทนที่เราจะช่วยเหลือตัวเอง พึ่งพาตนเอง  เรามาพึ่งพาพระเยซู วางใจในพระเยซูว่าเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เราไม่สามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเอง แต่พระเยซูทำให้เราได้ 100% ต่อให้เราพยายามทำเท่าไร มันก็ไม่ครบร้อย และข้อแม้ ก็คือต่อให้เราไปทำเอง ก็ไม่สามารถไปลบบาปที่มาจาก DNA ที่มาจากบรรพบุรุษ มันติดเชื้อ ใครจะรักษาบาปตรงนั้นได้  โดยการกระทำ ประพฤติดีนั้นเหรอ จะรักษาโรคบาปได้  มันไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน เข้าใจใช่ไหมครับว่ามันเหมือนเชื้อเอดส์  เราทำความดี เพื่อรักษาเชื้อเอดส์ มันไม่ได้ ก็เช่นเดียวกัน  เราจะทำความดีมากมาย สะสมความดีมากมาย เพื่อรักษาโรคบาปที่มันเป็นเชื้อมาจากบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ตั้งแต่สมัยโน้นมา เผ่าพันธุ์มนุษย์ติดเชื้อบาปนี้ทุกคน  มันทำไม่ได้ แต่พระเยซู คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมาตั้งต้นเผ่าพันธุ์ใหม่  เผ่าพันธุ์ที่ไม่มีเชื้อบาปอีกต่อไป ไม่มี DNA  ที่เป็นบาปอีกต่อไป  พระองค์ตั้งสำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน  ที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ว่าพระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก ก็คือระบบบาปที่เราต้องทำด้วยตัวเอง  ต้องชดใช้ด้วยตัวเอง  เพื่อตั้งระบบที่สอง  คือระบบที่ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง ย้ายสำมะโนครัวจากอาดัมมาอยู่ที่พระเยซู มาเชื่อในพระเยซู และให้พระเยซูเป็นตัวแทนในการชำระบาปนั้น  โดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลาย จึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง พระเยซูทรงทำให้เรา  สะอาดบริสุทธิ์  โดยผ่านทางการถวายพระกายของพระองค์ พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น เป็นเครื่องบูชา เพียงครั้งเดียวเป็นพอ ครั้งเดียว ชำระหมดเรียบร้อย

นี่แหละคือสิ่งที่สั้นๆ แต่มีความหมายมาก สำหรับวันนี้ที่เรามาร่วมฉลองกัน อยากฝากท่านไว้ว่าเราระลึกถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว เราควรที่จะทำอย่างไร? ถึงจะได้ประโยชน์กับสิ่งเหล่านี้  ไม่ใช่ชิวๆ เฉยๆ ฟังแล้วมันได้ประโยชน์อะไรกับฉัน มันเกี่ยวอะไรกับฉัน มันเกี่ยวครับ เพราะพระเยซูทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อมวลมนุษยชาติทุกๆ คน ย้ำอีกที ไม่ว่าจะอยู่ชาติใด? ศาสนาใด?  ผิวสีอะไร? อยู่ตรงส่วนใดของโลกใบนี้  ถ้าเป็นมนุษย์แล้ว พระเยซูคริสต์เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ถูกทุกข์ทรมาน หลั่งพระโลหิต ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเป็นแพะรับบาปของท่านทั้งหลายที่เป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้น ไปรับสิทธิของท่านเถิด อย่าปล่อยให้มันเสียไปเปล่าๆ ฟรีๆ มันไม่มีประโยชน์ ถ้าท่านปล่อยไป แล้วไม่ไปเอาสิทธิของท่าน  ก็ไม่มีใครไปเอาสิทธิของท่านไป เพราะมันเป็นของท่าน แต่ละคนก็มีสิทธินี้เท่าๆ กันหมดเลย ไม่มีใครดีกว่ากัน  โจรที่ไม้กางเขน เป็นฆาตกร ก็มีสิทธินี้ เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับรางวัล ก็คือไปอยู่ในสวรรค์ในฐานะลูกของพระเจ้า เท่าๆ กับเปโตร เปาโล ที่รับใช้พระเจ้ามากมาย ไม่แตกต่างกันเลย เพราะฉะนั้น ที่ท่านฟังอยู่ในขณะนี้ ที่ยังไม่เคยใช้สิทธิของท่าน ใช้สิทธิของท่านวันนี้  แค่ยอมรับเท่านั้นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง  และขอพระเยซูเข้ามา เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปของฉัน ยอมรับว่าพระเยซูตาย ที่ไม้กางเขน เพื่อฉันจะพ้นจากบาปทั้งปวง แค่นี้เอง  และท่านก็จะได้รับความรอด  ได้รับพระพรนานานัปการ เท่ากับผมที่เชื่อมา 30 กว่าปี เท่ากับเปโตร เปาโล ซึ่งเป็นอัครสาวกเลยนะ แล้วผมจะบอกให้  ได้สิทธิ์นี้ เป็นลูกของพระเจ้า  ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้สิทธิ์เท่าๆ กันกับพระเยซูคริสต์เลย พระคัมภีร์บอก ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม?

“อะไร ฉันเหรอ จะได้สิทธิเท่ากับพระเยซู”

ใช่ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ท่านร่วมกับพระเยซู รับมรดกจากพระเจ้า  ในฐานะมนุษย์พันธุ์ใหม่  พันธุ์ที่อยู่ในพระคริสต์ ด้วยความเชื่อแค่นั้นเอง  ไม่เสียอะไรเลย ไม่เสียแม้แต่นิดเดียว  พูดด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ  ยอมรับว่าเรามีบาป และเราช่วยตัวเองไม่ได้ เราจำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือเรา ในการไถ่บาปเราตรงนี้ คือพระเยซูคริสต์ช่วยเรา ต้อนรับสิทธินี้  ทันทีนั้น เราก็จะได้บังเกิดใหม่

พอท่านเชื่ออย่างนี้ เสร็จปุ๊บ พระคัมภีร์บอกว่าท่านได้รับสิทธิ์นั้นทันที ทันทีเลยนะ พระเจ้าประทานฤทธิ์เดช เข้าไปในร่างกายของท่าน  ในวิญญาณของท่าน  ชุบหรือทำให้วิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป  ปราศจากตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น  และอยู่ในสวรรค์เลย ไม่ต้องรอตายแล้ว แต่อยู่ในสวรรค์เลย อยู่ในวิญญาณของท่าน  อยู่ในมิติหนึ่งในสวรรค์เลยกับพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกว่าได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเลยทันที  และจะนั่งอยู่ที่นี่ อยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดไป โดยที่อยู่ในร่างกายนี้ก่อนชั่วคราว  เพราะยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว  เราก็จะไปรับร่างกายใหม่  ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  และอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์อย่างนี้  ด้วยร่างกายใหม่ตลอดไป ซึ่งเรื่องร่างกายใหม่  การเป็นขึ้นจากความตายนี้ เอาไว้คุยต่อวันอาทิตย์ วันอีสเตอร์ วันฉลองอีก แต่คราวนี้ เป็นการฉลอง การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ใช่ไถ่บาปเรา  และตาย แล้วลงไปอยู่ในนรก  อยู่ในอุโมงค์ฝังศพ  แล้วก็ไม่ออกมาอีกเลย  ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3  เป็นตัวอย่างของการเป็นขึ้นจากความตาย  ให้กับเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ว่าเมื่อเราถึงวันเวลาที่ร่างกายนี้จะต้องลงหลุมไป  จะมีวันหนึ่งที่เราจะได้รับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูเช่นเดียวกัน และเราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ในโลกใหม่ ที่เรียกว่าสวรรค์ เป็นสถานที่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา อยู่ในสวรรค์นั้น มีความสุข อยู่ร่วมกันกับพระเจ้า และร่วมกันในครอบครัวของพระคริสต์ ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าของเรา ตลอดชั่วนิรันดร์

เห็นไหม? มีความสุขมากเลย  แค่มีพระเยซูเป็นผู้นำ เป็นผู้ช่วยเหลือ  เป็นผู้ไถ่บาปในชีวิตของเรา พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว และเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา สบายตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่รอให้ตาย แล้วจึงจะสบาย เพราะจากนี้ต่อไป พอเราเชื่อ  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในตัวเรา  ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า  และเราไปไหน พระเจ้าก็ไปด้วย  จะเป็นโควิด-19 เป็นอะไร? เป็นโรคภัยไข้เจ็บอื่น  หรือจะเป็นกระทั่งโลกมลายสูญสิ้นไป  เราก็ไม่กลัว  เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เพราะพระเจ้าผู้นี้  เป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองทุกสิ่งสารพัด ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ กลัวอะไร? พระเจ้าองค์นี้อยู่กับเรา และอยู่ในเรา และข้อสำคัญ คือพระองค์ทรงเป็นพ่อของเรา รักเรามากมายมหาศาล หวงแหนเราเหลือเกิน  และตอนนี้ ถ้าเราเชื่อ เราเกิดใหม่  เราอยู่ในบ้านกับพระองค์แล้ว พระองค์จะจูงมือเราเดิน โควิด-19 พระองค์จะพาเราผ่านไป  มันก็ต้องผ่านไป

เพราะฉะนั้น เราจึงมีสันติสุข  ความสงบสุขกับพระเจ้า เมื่อเราวางใจในพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า เหมือนบทเพลงเมื่อตะกี้นี้ ไม้กางเขนโบราณ ไม้กางเขนจึงกลายเป็นเป้าหมายในชีวิตเรา วางภาระลง ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล จนเกินกว่าเหตุ และรู้ว่าเราได้พักผ่อน ไม่ต้องกังวลว่าเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม เอาอะไรนุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีกิน  ไม่ต้องกังวลว่าจะอดอยาก ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับเรา เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเจ้าจะพาเราผ่าน  พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรเหมาะสมและดี สำหรับเรา และพระองค์ทรงสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  และพระองค์ทรงสามารถทำให้ทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา  ไม่ว่าเราจะคิดว่าสถานการณ์นี้มันดีหรือไม่ดีกับเราก็ตาม พระองค์สามารถทำมันรวมกันให้เกิดเป็นผลดี สำหรับชีวิตของเราได้ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเราอุตส่าห์มาร่วมฉลองในวันนี้ วันศุกร์ประเสริฐนี้  อย่าให้มันเลยไปเฉยๆ

ผมจะนำท่านอธิษฐาน หรือท่านฟังเฉยๆ แล้วท่านไปคิดใคร่ครวญว่าท่านเสียอะไรบ้าง ถ้าท่านจะต้อนรับข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้  เรื่องพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านไม่เสียอะไรเลย ท่านไปคิดดู คำนวณดู ถ้าสิ่งที่ผมพูดในพระคัมภีร์นี้ เป็นเรื่องจริงขึ้นมา ท่านจะไปพบกับชีวิตหน้า ด้วยลำพังด้วยตัวเองหรือ? ท่านจะแบกเอาบาปไปพบกับชีวิตหน้าได้อย่างไร? ท่านคิดว่าท่านสามารถชำระบาปของตนเอง  ไถ่ตัวเองจากบาปนั้น  ได้มากน้อยเพียงใด ท่านลองคิดดู หรือจะไม่พึ่งพาตนเองต่อไปแล้ว แต่ยกทั้งก้อน ทั้งหมด ให้พระเยซูคริสต์ เพราะว่าพระองค์ทรงไถ่บาปเราเพียงครั้งเดียว ด้วยพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชา เพียงครั้งเดียว เป็นพอ ในพระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น ครั้งเดียวเป็นพอ ก็ฝากตรงนี้ไว้ด้วย ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 15.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 15.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับมาตามนัด อีก 30 วินาทีถึงบ่าย 3 โมง ช่วงบ่าย 3 โมงของการอยู่บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงบ่าย 3 โมง 6 ชั่งโมง

เมื่อเช้าเราพูดถึงตอนที่พระเยซูถูกตรึงใหม่ๆ พระองค์ทรงพูดประโยคแรกว่า …

“พระเจ้าขอทรงอภัยให้กับเขาทั้งหลาย เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

“เขา” ก็คือผู้คนที่ตรึงพระองค์นั่นแหละ รวมทั้งพวกฟาริสีที่ไม่เข้าใจ ชาวยิวที่ไม่เข้าใจ  ปลุกปั่นยุแหย่จากมารด้วย รวมถึงความเมามันของทหารโรมัน รวมกลุ่มเป็นม๊อบ ทำร้ายร่างกาย  ทรมานพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ถูกตรึง ก็บอกว่า …

“ขอพระองค์ทรงอภัยให้เขาทั้งหลายเหล่านี้ เขาไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรลงไปอยู่ อภัยให้เขาด้วยเถิด”

นั่นคือประโยคแรก แล้วต่อมา ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน อยู่ตรงกลาง 2 ข้าง ก็จะมีฆาตกร ที่มีโทษอุกฉกรรจ์ ที่ต้องโทษประหารชีวิต 2 คน อยู่ข้างขวาข้างซ้าย  สองคนนี้เขาคุยกัน มีคนหนึ่งเขาไม่เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาป  แต่อีกคนหนึ่งเชื่อว่าต้องเป็นพระเจ้าแน่ๆ  มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาป เพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย  เป็นผู้ชอบธรรม แต่ได้รับโทษประหาร เขาเชื่อ เขาก็เลยเหมือนกับอธิษฐานกับพระเยซูว่าเขาเชื่อในความเป็นพระเจ้า และเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระมาซีฮา พระผู้ไถ่บาปของพระเยซู และขอฝากจิตวิญญาณของเขา ชีวิตของเขาไว้กับพระองค์ บนไม้กางเขน เขาฝาก บอกว่าถ้าไปถึงสวรรค์ อาณาจักรของพระองค์เมื่อไรแล้ว  อย่าลืมเขาด้วยนะ พาเขาไปด้วย แล้วพระเยซูก็ตอบเขา นั่นแหละคือประโยคที่พระเยซูพูดเป็นครั้งที่ 2 บนไม้กางเขน  พระเยซูตอบว่า …

“วันนี้ เราจะได้พบท่าน ท่านจะได้พบเราที่เมืองบรมสุขเกษม”

หรือที่เรียกว่าพาราไดร์ ก็คือสวรรค์นั่นเอง คือได้ไปสวรรค์

อันนี้นำมาเล่าสู่กันฟัง น่าคิด เพราะฆาตกร นักโทษคนนี้ ที่จะถูกประหารชีวิต เขารู้ตัวเองว่าทำบาป รุนแรง ทำสิ่งชั่วร้าย เขาพูดเองว่าเขาสมควรที่จะได้รับโทษในการถูกประหารแล้ว เขารู้ตัวว่าเขาบาป นึกให้ดีๆ เขาเพียงแค่สารภาพบาปกับพระเยซูคริสต์ว่าเขาเป็นคนบาป เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วตายที่ไม้กางเขน  เพื่อหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเขา สามารถช่วยเขาได้  เขาเชื่อในนามพระเยซู ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด หรือพระมาซีฮาห์ เขาเชื่อตรงนี้ แค่นี้เอง ความเชื่อของเขาเล็กน้อย นิดเดียว  เหมือนที่พระเยซูยกตัวอย่าง เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ เอง เขาก็ได้ไปสวรรค์แล้ว

ถามว่าเราคิดถึงอะไร? เขาไม่มีเวลา ที่จะกลับไปทำความดีเลย  เขาอยู่บนไม้กางเขน สารภาพบาป  ยอมรับว่าพระเยซูเป็นใคร?  และขอความช่วยเหลือจากพระเยซู ยอมรับว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในการไปสวรรค์ พอยอมรับปุ๊บ เขาก็ได้ไปสวรรค์ อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขาก็ตายแล้ว บนไม้กางเขนนั้น  เพราะฉะนั้น ขณะที่เขายอมรับในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูนำเขาไปสู่สวรรค์ได้  โดยที่เขาไม่ได้ไปแก้ตัวอีกเลย ไม่มีโอกาสลงมาทำความดี สะสมความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์เลย ว่ากันตามจริงแล้ว ชีวิตเขาตลอดมา มีแต่ความชั่วตลอดเลย เขาก็รู้ตัวเอง ทำตัวชั่วมาตลอด

แค่ยอมรับแค่นี้ นี่คือพระคุณอันยิ่งใหญ่  พระองค์ไม่ถือโทษในการกระทำผิดของมนุษย์คนใดคนหนึ่งเลย  ในพระคัมภีร์บอกในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอภัยบาปทั้งหมดเลย ที่มีอยู่ บาปทั้งหมดของโจรผู้นี้  ได้ถูกอภัยแล้ว เหตุจากความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น  ไม่ใช่เหตุจากเขาทำดีได้เยอะ เพราะฉะนั้น จึงอภัยให้มาก ไม่ใช่ จากความเชื่อเท่านั้น  เขาได้รับการอภัยบาปทั้งหมดเลย  บาปทั้งในอดีต บาปทั้งในปัจจุบัน  และบาปตั้งแต่บรรพบุรุษที่เป็นเชื้อบาปติด ตั้งแต่ DNA ของอาดัมโน้น เขาได้รับการอภัยเรียบร้อยไปแล้ว

นี่คือสิ่งหนึ่งที่จะให้เราเห็นว่าบางท่านไม่กล้า ได้ยินข่าวดีนี้  ได้ยินเรื่องพระเยซู มีความรู้สึกกลัวว่ามาต้อนรับพระเยซู มาเชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จำเป็นต้องไปปฏิบัติอย่างโน้นไหม?  ต้องเลิกจากความเชื่อเดิมๆ ที่เคยเชื่อไหม? ต้องไปทำอย่างโน้นไหม? ทำอย่างนี้ไหม?  ต้องทำอะไรบ้าง? ต้องแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดอย่างไรบ้าง ถึงจะได้ไปสวรรค์ตามที่พระเยซู ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  เห็นไหมครับ ไม่จำเป็นเลย ไม่ต้องเลย ถูกไหมครับ ไม่จำเป็นว่าเราเชื่อพระเยซูแล้ว เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เชื่อพระเยซู พอเชื่อเสร็จแล้ว เราต้องกลับไปอีก รีบไปทำอะไรต่างๆ แก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดี ถึงได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่เป็นอย่างนั้นเลย  เราไม่จำเป็นต้องกลับไป แล้วบอกว่าแก้ไข เคยอยู่ในความเชื่อเดิมๆ เคยอยู่ในความหลงผิดเดิมๆ เพราะฉะนั้น ต้องแก้อะไรบ้าง? ต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพราะฉะนั้น มันไม่เกี่ยวกันเลย คนละเรื่องกัน

พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว เราได้รับการชำระให้พ้นจากบาป วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ อย่างที่เมื่อเช้าเราบอก พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ให้เราสมารถเป็นวิหาร ร่างกายเราจะเป็นวิหารของพระเจ้า ทรงสถิตอยู่ในเรา  และเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว พระองค์ก็จะทรงนำพาเราไป ในแต่ละวันๆ ค่อยๆ แก้ไขเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีอะไรต่างๆ  ค่อยๆ แก้ไขไปเรื่อยๆ  มันคนละเรื่องกับวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว

นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ น่าคิด เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ถามท่านว่า …

“มาเชื่อพระเยซูแล้ว ฉันต้องกลับไปทำอะไรบ้าง?”

ตอบเขาได้เลยตอนนี้ว่า … “ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องทำอะไรเลย”

ขนาดโจรบนไม้กางเขน เขาไม่ได้ทำอะไร เขายังได้ไปสวรรค์เลย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพียงแต่เชื่อและวางใจ ในการทรงนำของพระเจ้า ซึ่งเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่านแล้ว แล้วจะนำท่านไปทีละก้าวๆ  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ในหนังสือฟิลิปปี 1:6 บอกว่า …

“ข้าพเจ้ามั่นใจ แน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ในท่านแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ  เป็นไปตามแผนการของพระองค์ จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่นั่นเอง”

มั่นใจเลย พระเจ้าเริ่มต้นการงานดีเมื่อไร? เมื่อท่านรับเชื่อในพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง พระเจ้าเริ่มต้นการงานดี คือเมื่อพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายท่าน นั่นแหละเริ่มต้นแล้ว  เดี๋ยวพระองค์จัดการเอง ท่านไม่ต้องยุ่งอะไรเลย ท่านสบายๆ แล้ว พระเยซูจึงบอกว่า …

“ใครที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

นี่คือประโยคที่ 2 ที่พระเยซูพูด หลังจากนั้นแล้ว มีประโยคอะไรอีก ที่พระเยซูพูดบนไม้กางเขน ต่อจากนั้นมา ก็ใกล้จะถึงบ่าย 3 โมง พระเยซูก็ได้พูดประโยคหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากเช่นเดียวกัน คือได้บอกว่า …

“เทสเทเรสไตน์” เป็นภาษากรีกแปลว่า “ฟินิช” แปลว่า “สำเร็จแล้ว”

ก่อนจะถึงบ่าย 3 โมง สิ้นพระชนม์ พระเยซูได้บอกว่า …

“สำเร็จแล้ว”

อะไรสำเร็จ? แผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวาได้ทำบาป แล้วนำเอามวลมนุษยชาติทั้งหมด ครอบครัวของเขา ตกลงไปในคำสาปแช่ง ในความบาปนั้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าเตรียมแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษย์ โดยการส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาไถ่บาป มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากการเป็นทาสบาป ด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วก็บอกมาตลอด เป็นระยะเวลา หลายพันปี  แผนการของพระองค์มาสำเร็จวันนี้แหละ เมื่อ 2,000 ปี ในอดีตที่ผ่านมา ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูตะโกนว่า …

“สำเร็จแล้ว”

สำเร็จ คืออะไร? คือปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสรภาพจากบาปเวรกรรมต่างๆ แล้ว จากหนี้เวร หนี้กรรม ไม่ต้องชดใช้หนี้เวร หนี้กรรมอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวเจ้ากรรมนายเวรอีกต่อไป ไม่มีใครมาทวงหนี้เราอีกต่อไปแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติแล้ว เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน จงมารับเอาอิสรภาพนี้ไปเถิด ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูประกาศเป็นผู้แรก บนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว การไถ่บาป สำเร็จแล้ว  มนุษย์เป็นอิสระแล้ว เหมือนประกาศกฤษฎีกาการอภัยโทษให้กับมนุษยชาติทั้งหมดในวันนั้น ว่ามนุษย์ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ถูกอภัยจากความบาปผิดทั้งสิ้นแล้ว พระองค์ตรัสว่าสำเร็จแล้ว

พอพูดว่า “สำเร็จ” แล้วพูดอะไรอีก? ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์  พระเยซูไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระเยซูยอมตาย  ไม่มีใครมาฆ่าพระเจ้าได้  ไม่มีใครมาทำลายพระเจ้าได้  พระองค์ยกเลิกวิญญาณ  ก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ก่อนการยกเลิกวิญญาณ พระองค์ทรงพูดคำๆ หนึ่ง ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน   …

“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”

แปลเป็นภาษาไทยว่า …  “พระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

สมมติว่าเมื่อสักครู่นี้ ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน บอกว่าสำเร็จแล้ว แล้วก็บอกว่าพระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย ไปไหนแล้วล่ะ ทุกทีเคยอยู่ด้วยกันมาตลอดเลย  เป็นหนึ่งเดียวกันมาตลอด ไปไหนไปด้วยกัน  ได้ยินเสียงพระองค์ตลอดเลย  แล้วตอนนี้พระองค์ไปไหนแล้ว พระเจ้าพระบิดาละพระบุตร ละพระเยซูไปแล้ว ถามว่าทำไมไม่สามารถสถิตอยู่กับพระเยซูได้แล้ว ก็เพราะว่าขณะนี้ วิญญาณและร่างกายของพระเยซูนั้น รับเอาความบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงสุดท้าย ตั้งแต่สมัยอาดัมจน กระทั่งถึงอนาคตนิรันดร์  บาปของมนุษย์ทั้งหมด ที่ได้กระทำไป ที่มีโทษต่างๆ นั้น พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้แบกรับบาปเหล่านั้นไว้ที่ตัวของพระองค์เองบนไม้กางเขน นั่นแหละ การรับโทษบาปนั้น การรับแบกบาปนั้นไว้ ทำให้พระองค์ผู้ไม่มีบาป กลายเป็นบาป พระเยซูผู้บริสุทธิ์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่ยอมรับเอาความบาปของมวลมนุษย์เข้ามาสู่ตัวเอง  ทำให้ตัวเองเป็นบาป กลับกัน เพื่อว่าคนบาปทั้งหมดบนโลกใบนี้ มนุษยชาติทั้งหลาย เป็นคนบาป จะได้สามารถ กลับกลายเป็นผู้ชอบธรรม ผู้บริสุทธิ์ได้ กลับที่กัน พอเข้าใจใช่ไหม? พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้จริงๆ พระเยซูผู้ไม่ได้เป็นบาป  แต่พระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นบาปซะ เป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาปซะ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พออยู่บนไม้กางเขน  ในวินาทีที่จะสิ้นพระชนม์  สำเร็จแล้ว ก็คือมาเพื่อแบกบาปของมนุษยชาติ ตั้งแต่เมื่อคืนวันพฤหัสแล้ว จนกระทั่งถึงเช้าวันศุกร์ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  แบกรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบาปสุดท้ายของมนุษย์ เป็นบาปอะไรก็ไม่รู้ เข้ามาที่ตัวของพระองค์ จบแล้ว พระองค์บอกนี่แหละคือทั้งหมดที่หนักอึ้งของมวลมนุษยชาติ พระองค์ผู้เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ สามารถแบกบาปเหล่านี้ไว้ที่ตัวพระองค์ได้ นี่คือความหนักอึ้งที่พระองค์กลัวมาตลอด ที่สวนเกทเสมเน ที่เมื่อคืนอธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง เป็นไปได้ไหมที่ไม่เข้ามาในภารกิจนี้ ไม่ทำได้ไหม?  เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม?  เปลี่ยนเป็นไม่ต้องรับแบกบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ได้ไหม? รับแค่ไม่กี่คนพอได้ไหม?  รับแต่เฉพาะบาปของคนดีที่เขาเผอิญไปทำชั่วนิดหน่อยได้ไหม? ไม่เอาบาปของทุกคนบนโลกใบนี้ มาไว้ที่ตัวของพระองค์ได้ไหม?  ซึ่งพระเจ้าบอกไม่ได้ ต้องเป็นไปตามแผนการนี้  คือพระองค์มาเพื่อแบกรับเอาบาปทั้งหมดของมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์ มันหนักอึ้งขนาดไหน?

นี่แหละเผยให้ท่านได้รู้แล้วว่าทำไมพระเยซูต้องกลัวจนกระทั่งเหงื่อเป็นเลือด กลัวจนต้องปฏิเสธถึง 3 ครั้ง ว่าจะไม่เข้าไปในงานรับใช้พระเจ้าอย่างนี้ได้ไหม?  ทำอย่างอื่นได้หรือเปล่า หวาดหวั่นมาก แต่ในที่สุด พระองค์ก็ทรงเสียสละ และทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อพระองค์เป็นบาปแล้ว พระเจ้าก็ไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ที่เป็นบาปได้  เหมือนกับก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประสูติ พระเจ้าไม่สามารถติดต่อกับมนุษย์ได้เลย เพราะมนุษย์เป็นบาปอยู่

บาปคืออะไร? บาป คือตรงกันข้ามกับความบริสุทธิ์ บาปคือศัตรูกับพระเจ้า  บาปคืออยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า บาปคือดำ พระเจ้าคือขาว  มันเข้ากันไม่ได้

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูแบกรับบาป  จากผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ กลายเป็นบาปแล้ว  พระเจ้าจึงจำเป็นต้องละพระเยซู ออกจากพระเยซู ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้อีกต่อไป  พระเยซูจึงร้องออกมาว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

ไม่เคยทอดทิ้งเลย ไม่เคยจากกันเลย  แต่ขณะนี้ พระองค์อยู่โดดเดี่ยว เดียวดาย พระเจ้าได้ไปเสียแล้ว นี่คือประโยคที่น่าประทับใจมาก

และนั่นคือประโยคสุดท้ายของพระเยซูบนไม้กางเขน ที่ตรัสใน 6 ชั่วโมงบนไม้กางเขนนั้น  พอหลังจากที่ตรัสว่า …

“ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าแล้วพระองค์ก็ทรงยกเลิกวิญญาณ คือถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้พระเจ้า ทำไมไม่ใช้คำว่า “สิ้นพระชนม์” “ตาย” เพราะไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้  แต่พระองค์ยอมตายเอง พูดง่ายๆ คือถึงเวลา ยอมตาย ลงไปอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ  ตอนนี้พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เรียบร้อยแล้ว ร่างบนไม้กางเขน ก็เป็นร่างไร้วิญญาณ  ไร้ชีวิต ทหารตรวจดูเอาหอกแทง

ปกติทหารเขาจะจัดการกับนักโทษที่ไม้กางเขน โดยการเอาไม้ เอาค้อน ไปทุบหัวเข่า เพื่อให้น้ำหนักถ่วงลงมา รีบเร่งให้หายใจไม่ออก แล้วเสียชีวิตเร็วขึ้น  แต่พอถึงพระเยซูปุ๊บ เห็นว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ก็เลยไม่ทุบที่หัวเข่า แต่เช็คให้แน่ๆ อีกที ก็เอาหอกแทงไปที่ตรงซี่โครง ก็มีเลือดกับน้ำไหลออกมา เป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์จริงๆ

เราจะระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขนในวันนี้ เอาเพียงเท่านี้  เดี๋ยวเย็นนี้เราต้องระลึกถึงการไถ่บาป เรียกว่าการนมัสการ-บรรยายในวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ดีๆ ศุกร์ที่ดีที่สุดของมนุษยชาติทั้งปวง ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว  ได้สำแดงแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น เป็นของขวัญ เป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคน แค่เข้ามารับสิทธิของท่านเท่านั้น ท่านก็จะได้สิทธิ์นี้ไปทันทีเลย ก็คือสามารถมาใช้สิทธิ์ว่า …

“ฉันก็เป็นคนๆ หนึ่งที่พระเยซูได้ไถ่บาปฉัน ฉันไม่ต้องพึ่งตัวเองในการไถ่บาปตัวเองอีกต่อไป  ไม่ต้องชดใช้หนี้สินบาปเวรกรรมอะไรต่างๆ  หนี้สินนี้ หมายถึงหนี้สินบาปเวรกรรมทางวิญญาณนะ ไม่ใช่หนี้สินที่เราไปยืมเงินเขา อันนี้คนละเรื่องกัน คนละกฎ นี่กฎหมายบ้านเมือง แต่หนี้ที่ผมพูดมาทั้งหมด เป็นกฎทางวิญญาณ อย่าลืมนะครับว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ ไม่ใช่มีวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจ  และอาศัยในร่างกายนี้  นี่คือส่วนประกอบของมนุษย์

เพราะฉะนั้น มนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ  มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ ร่างกายเราเหมือนเสื้อผ้า ชั่วคราวเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงเป็นวิญญาณ  ตัวจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณ  แม้จะมองไม่เห็น แต่สำคัญ และมีนัยยะที่สำคัญกว่ามากนัก กว่าร่างกายที่เรามองเห็นอยู่ ดังนั้น เราต้องศึกษาเรื่อง โลกวิญญาณมากกว่า แล้วโลกวิญญาณเราจะศึกษาที่ไหน? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้เขียนเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร?

ถามว่าทำไมในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงเขียนไว้เยอะขนาดนั้น เพราะผู้เขียน ผู้บอก ผู้แสดงให้เห็น ถึงความจริงเหล่านี้ ก็คือผู้สร้างเรานั่นเอง ผู้สร้างมนุษย์ทั้งหลาย  ผู้ให้กำเนิดมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือพระเจ้าเป็นผู้เขียน จะไม่ละเอียดได้อย่างไร? จะไม่ลึกซึ้งได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่สามารถใช้ความคิด ปัญญาของเราเอง  พยายามวิเคราะห์เรื่องนี้ ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลย  มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  ต้องให้พระเจ้าบอกเราว่าในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างไร?  เป็นเช่นไร? เราเป็นใคร? เรามีส่วนประกอบอย่างไร? เราควรจะทำตัวอย่างไร?  วิญญาณเราไปถึงไหน?  ซึ่งต้องใช้ความเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

แล้วเมื่อเริ่มต้นเชื่อแล้ว ท่านก็จะเริ่มต้นสัมผัสได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กายที่เป็นทางวิญญาณ  ทางวิญญาณก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายนะ ไม่ใช่ตา หู จมูก ลิ้น กายมีทางเนื้อหนังร่างกายอย่างเดียว  ในทางวิญญาณของเราที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา พระคัมภีร์ก็บันทึกเอาไว้ว่ามีสัมผัสทางวิญญาณของเราเป็นตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ จมูกฝ่ายวิญญาณ ลิ้นฝ่ายวิญญาณ และกายฝ่ายวิญญาณ  สัมผัสได้ทางวิญญาณเหมือนกับเราสัมผัสทางด้านวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เหมือนกัน แต่เป็นคนละอาณาจักร คนละมิติ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 12.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 12.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับมาตามนัด ตอนนี้อีกประมาณ 4-5 นาทีจะถึงเที่ยง ตอนเที่ยงมีปรากฏการณ์ ซึ่งสำคัญมากที่ผมไลฟ์ เพื่อให้ท่านรู้ว่าเมื่อตอนเที่ยง เกิดอะไรขึ้น  ตอนที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขนแล้ว เมื่อเช้าได้ร่วมกันย้อนประวัติศาสตร์ไป  จำได้ใช่ไหมครับ 9 โมงเช้า พระเยซูได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไม้กางเขนได้เริ่มถูกยกขึ้นมาปักอยู่ที่พื้นดิน ที่เป็นก้อนหิน ที่เนินโกละโกธา เพื่อสิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง  เพื่อมนุษย์จะได้เป็นอิสระจากความบาป เราได้ติดตามแล้ว ตอนนี้ ถูกตรึงอยู่ที่นั่น 3 ชั่วโมงแล้วนะ คงร้อนมาก 3 ชั่วโมง  เจ็บปวด ทรมาน  พอเดี๋ยวตอนเที่ยง ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าเกิดปรากฏการณ์อันสำคัญมาก  ซึ่งผมจะมาเล่าสู่กันฟัง ถึงปรากฏการณ์ที่สำคัญที่สุด อันเดียวก่อน

ในพระคัมภีร์เขียนบอกว่าพอถึงตอนเที่ยง เกิดมืดฟ้ามัวดินทั่วไปหมดเลย  ในแถบนั้น ในกรุงเยรูซาเล็มมืด ไม่ใช่สุริยุปราคา แต่มืด เป็นปรากฏการณ์พิเศษ  แล้วก็มีแผ่นดินไหว สิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือพวกทหารโรมันที่เฝ้าอยู่ ตกใจกลัวว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน เผื่อเราเล่าให้ลูกหลานเราฟัง วันนี้วันศุกร์ประเสริฐ วันศุกร์ที่ดีเลิศ ลูกหลานก็จะถามว่า วันศุกร์ประเสริฐ ดีเลิศสำหรับใครล่ะพ่อ แม่? สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้นเหรอ เราจะได้ตอบเขาได้ถูกว่า สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง ทุกคนเลย  มีสิทธิ์ได้ของดีๆ  ที่เกิดขึ้น ณ วันนั้น  ซึ่งเรากำลังระลึกถึงวันนั้นด้วยกัน ณ วันนี้ วันเดียวกัน วันศุกร์ ครบรอบ 2,000 กว่าปี

เพราะฉะนั้น ก็อย่างที่บอกว่าปรากฏการณ์อันหนึ่งที่สำคัญมาก ที่เกี่ยวข้องกันกับมนุษย์ ทุกคนบนโลกใบนี้  ซึ่งไม่พูดไม่ได้เลย  นั่นก็คือขณะที่มืดฟ้ามัวดิน  ไปทั่วทุกแห่ง เหมือนเกิดอะไรขึ้นบางอย่าง เหมือนเกิดอาเพศ โลกจะยุติลง เสร็จแล้วแผ่นดินไหว หลุมฝังศพแตกออก แยกออก สมัยก่อนเขาใช้หลุมฝังศพ แล้วใช้ก้อนหินปิด เปิดออกเอง  แล้วคนที่เป็นศพ ตายนานแล้วเดินออกมา ได้มีบันทึกอย่างนั้น

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่าม่านในวิหารขาดออก 2 ท่อน แล้วมันสำคัญอย่างไร?  เราลองคิดดู อาจจะเป็นประโยคสั้นๆ เท่านั้นเอง เหตุการณ์สั้นๆ  แผ่นดินไหว  คนตายในหลุมฝังศพเดินออกมา อันนั้นน่าจะมาเล่ามากกว่า อันนี้สำคัญกว่า  แต่ทำไมมาบอกว่าม่านในวิหารได้ขาดเป็น 2 ท่อน โดยขาดจากข้างบนลงมาข้างล่าง

คำว่า “วิหาร” ก็คือที่พระเจ้าได้สั่งโมเสสให้ทำวิหารจำลองจากสวรรค์ ซึ่งสมัยตอนโมเสสทำ เป็นเต็นท์ เรียกว่าเต็นท์นัดพบ เป็นเต็นท์ผ้า แต่รูปแบบสัดส่วนภายใน เป็นตามที่พระเจ้าบอก แล้วคงรักษาอย่างนั้น มาจนกระทั่งถึง  4 – 5 พันปีจนกระทั่งถึงยุคของพระเยซู ซึ่งวิหารก็ได้เปลี่ยนแปลงจากสร้างด้วยมือ มาเป็นวัตถุต่างๆ  เขาเรียกว่าเป็นอาคาร ตั้งแต่สมัยกษัตริย์ดาวิด กำลังจะเริ่มสร้าง และให้ลูกชายเป็นคนรับมรดกสร้างต่อ ก็คือซาโลมอน ในวิหาร พระเจ้าบอกว่าให้ทำอย่างนี้ จำลองแบบในสวรรค์ คือวิหารนี้มี 3 ส่วน  คือ …

ชั้นที่ 1 ข้างนอกเลย เรียกว่าลานพระวิหาร เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา เตรียมตัว จะไปฆ่าแพะ ฆ่าแกะ แล้วเอาเลือดไปไถ่บาปให้กับตัวเองข้างใน  ก็ฆ่าตรงข้างนอกนี้  แล้วให้ปุโรหิตเอาเลือดเข้าไปข้างใน

ชั้นที่ 2 เขาเรียกกันว่าสถานที่บริสุทธิ์ อันแรกกึ่งๆ ไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไร?  ข้างนอก ลานวิหาร  ชั้นนี้เขาเรียกว่า Holy place สถานที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นที่ที่คณะปุโรหิต คือคณะที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ ทำพิธีอะไรต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับวิญญาณทำงานอยู่ในนั้น

ชั้นที่ 3 เสร็จแล้วหลังจาก หรือต่อจากHHHdd

ชั้นที่ 2 นี้ มีชั้นที่ 3 อยู่ข้างใน เรียกว่า The most Holy place หรือเรียกว่าอภิสุทธิสถาน แปลว่าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งมีหีบพันธสัญญาเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า  พระเจ้าอยู่ที่นี่

แล้วสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด กับสถานที่บริสุทธิ์เฉยๆ  ชั้นที่ 2 กับชั้นที่ 3 กั้นกันไว้ด้วยม่านอันนี้แหละ ที่กำลังจะกล่าวถึงในเหตุการณ์เมื่อตะกี้นี้  ที่เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ที่ในวิหาร เมื่อพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนถึงเที่ยงวัน  เกี่ยวข้องอย่างไร?

ม่านตัวนี้ เป็นตัวกั้น ระหว่างความบริสุทธิ์ธรรมดาเฉยๆ ชั้นที่ 2 กับความบริสุทธิ์ที่สุด  สะอาดที่สุด  สถานที่อยู่ของพระเจ้า  ในม่านกั้น ชั้นที่ 2 บรรดาเหล่าปุโรหิต เข้าไปปฏิบัติภารกิจได้ทุกวัน  ไปจุดตะเกียงบ้าง ไปเผาเครื่องบูชาบ้าง  แต่ชั้นในสุด  “อภิสุทธิสถาน”  ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่เป็นที่สถิตของพระเจ้า  ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้  ยกเว้นมหาปุโรหิต ก็คือปุโรหิตหัวหน้าใหญ่ที่สุด เข้าไปได้ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น แล้วเข้าไปต้องระวังมาก ต้องทำตามกฎระเบียบอะไรต่างๆ  ที่พระเจ้าวางไว้เยอะแยะมากมาย  และเข้าไป นำเอาเลือดของสัตว์ เพื่อไปทำการไถ่บาป  เพื่อเป็นการขออภัยบาป  ปีต่อปี อะไรประมาณนั้น

กลับมาที่วิหาร วิหารเป็นอย่างนี้ เราเห็นภาพ ชั้น 2 ชั้น  3 กั้นไว้ด้วยม่าน  ม่านนี้ทำด้วยผ้า  ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อตอนที่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน ตอนเที่ยง  เกิดมืดครึ้มไปทั้งแถบ แถบนั้น  เกิดแผ่นดินไหว ม่านในวิหารขาดออก 2 ท่อน ตั้งแต่บนจรดล่าง

ท่านรู้ไหมม่านในวิหาร ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ และเป็นเรื่องจริงๆ เป็นผ้าหนา 2 นิ้วครึ่ง น่าจะเป็นพรมมากกว่านะ  สูงประมาณ 28 เมตร ใครที่เคยไปโรงแรมที่มีห้องโถง ล็อบบี้ สูงๆ มองไป แบบเพดานสูง  อย่างบ้านเราทั่วไป ก็ประมาณ 4, 5, 6, 7, 8, 9 เมตร  อันนี้ 28 เมตร  คือประมาณ 90 ฟุต กว้าง 30 ฟุต ประมาณ 10 เมตรได้  ท่านนึกภาพออกใช่ไหม?  ม่านใหญ่มากเลย  แผ่นดินไหวขนาดนั้นเหรอ ถึงทำให้ม่านตรงนี้ขาดได้  และข้อสำคัญ  หมายสำคัญ  ที่ต้องเล่ากันวันนี้  ก็คือขาดจากบนมาล่าง ไม่ใช่จากล่างไปบน มีคนมาตัดอะไรแบบนี้ จากบนมาล่าง นั่นเล็งให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ฉีกม่านนี้เอง นึกภาพตามไปด้วย พระเจ้าฉีกม่าน

ถามว่าฉีกม่าน เพื่ออะไร? หลังม่าน คือการทรงสถิตของพระเจ้า  มนุษย์เข้าไปไม่ได้ มนุษย์สกปรก มีแต่บาป นอกจากมหาปุโรหิต เพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าไปได้ ปีละ 1 ครั้ง แล้วเข้าไป แป๊บเดียว ระวังมาก  เพื่อเอาเลือดสัตว์เข้าไป  เพื่อขออภัยบาป ปีต่อปี ทำมันทุกปี ไม่มีวันจบ เหมือนผ่อนส่ง  แต่ตอนนี้ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซู เป็นแกะปัสกา ก็คือเป็นแพะรับบาปไง  นึกภาพนะ เมื่อแพะรับบาปตาย โลหิตของพระองค์ก็สามารถชำระบาปทั้งหมดทั้งปวงเลย  ชำระนะ ไม่ใช่ไปขอผ่อนส่งปีต่อปี แต่พระโลหิตพระเยซูไปลบบาปของมวลมนุษย์ให้หมดไปเลย พระเจ้าจึงให้ม่านนี้ฉีก ไม่ต้องใช้ม่านอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าบัดนี้ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้ชำระล้างมนุษย์ ให้สะอาดหมดจด  สามารถเข้าไปหาพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ได้แล้ว ไม่ต้องมีม่านกั้นแล้ว พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าฉีกม่าน แล้วเสด็จออกมาจากหลังม่านนั้น อึดอัดมานานแล้ว  อยากจะอยู่กับลูก พระเจ้าเก็บข้าวของ แล้วก็เสด็จออกจากวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์ ก็คือวิหารของเฮโรดในสมัยนั้น  วิหารที่พัฒนามาตั้งแต่สมัยโมเสส  พระเจ้าเก็บข้าวของออกมา เตรียมตัวมาอยู่ในวิหารใหม่  ไม่อยู่ในวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์  สร้างด้วยมือมนุษย์ ซึ่งเป็นอาคารอย่างนี้อีกแล้ว พอกันสักที แต่พระองค์เตรียมตัว เพื่อจะมาอยู่กับลูกของพระองค์  คือในร่างกายของมนุษย์ทุกๆ คน ซึ่งเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ก็ได้  มาอยู่ด้วยก็ได้  ในร่างกายของมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ร่างกายของมนุษย์จะสามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ตั้งแต่ปรากฎการณ์นั้นเป็นต้นมา  พระเจ้าไปเตรียมตัวเลย เดี๋ยวอีกไม่กี่วัน เราจะไปอยู่กับลูกของเรา ไปดูแลเขา ไปปกป้องเขา  จะเดินกับเขา จูงมือเขาเดิน  ในยามมีโควิด-19 เราจะอยู่กับเขา

พี่น้องลองคิดตาม มันเป็นโอกาสดีที่เราได้คิด ได้คุยกันถึงเรื่องราวเหล่านี้ ในวันที่ตรงกับวันระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น  2,000 กว่าปีแล้ว  ถ้าไม่มีการระลึกถึง ถ้าไม่มีพระเจ้าจริงๆ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ เป็นเรื่องเล่า นิทาน มันมาไม่ถึง 2,000 ปีนี้หรอกครับ มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งนับวัน ยิ่งมีคนรู้จักเรื่องนี้มากขึ้น พระเจ้านับวันก็ไปสถิตอยู่ ไปอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์มากขึ้นทุกวันๆ แล้วจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่ยอม พระเจ้าไม่ได้เป็นแบบมารซาตานที่บังคับมนุษย์ พระเจ้าให้อิสระมนุษย์ด้วยความรัก  ดูแลมนุษย์ด้วยความรัก เหมือนเรามีลูก เราดูแลลูกเราด้วยความรัก ไม่ใช่เป็นนักโทษ ต้องบังคับ

“ถ้าแกไม่รักฉัน  ฉันจะจับแกไปติดคุก”

อะไรแบบนี้เหรอ ไม่ใช่ ไม่ใช่พ่อเรา ไม่ใช่แม่เรา

“ถ้าแกดื้อมาก  ฉันจะเอาโรคภัยไข้เจ็บใส่มาให้แกเลย อย่างนี้เหรอ”

ไม่ใช่พ่อแล้วอย่างนี้ เราเอง เราเป็นมนุษย์ธรรมดา เรายังคิดออกว่าเป็นอย่างไร?  พระเจ้าเป็นมากกว่านั้นอีก  เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก  เป็นพ่อที่ยอมเราทุกอย่าง  รักเรามาก  ถามว่ารักมากเท่าไร?  เขาบอกพระเยซูรักเรามากทุกคน  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเยซูรักมาก จึงยอมทำสิ่งนี้  มีบางคนถาม พระเยซูรักมนุษย์มากเท่าไร? บางคนบอกพระองค์กางแขน ถูกตรึงที่กางเขนเท่านี้  แต่อยากรู้ไหมว่าพระองค์รักเรามากเท่าไร? นี่เป็นคำพูดของพระองค์เอง  คือรักมนุษย์ทุกคนมาก  ไม่ว่าท่านจะเชื่อเรื่องนี้ หรือไม่เชื่อ  ตราบใดที่ท่านเป็นมนุษย์ทุกคน พระเจ้ารักท่านมาก ถึงขนาดถ้าเผื่อโลกใบนี้ทั้งใบ มีเพียงท่านคนเดียว ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เนื่องจากความบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้กันไม่หมด  ไม่รู้กี่ชาติๆ ถ้ามีเพียงคนเดียว  ที่ตกลงไปในความบาปอย่างนี้  พระองค์ก็ยังยินยอม  ที่จะมาทนทุกข์ทรมานหนักขนาดนี้  ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จนกระทั่งวันนี้ อย่างแสนสาหัส  และยอมสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน  เพื่อช่วยท่านให้หลุดออกมา  เพียงคนเดียว ก็โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ?

ในหนังสือลูกา บทที่ 15  ได้บันทึกอย่างนี้ พระเยซูยกตัวอย่างความห่วงใยของพระเจ้าว่ารักเราขนาดไหน?  มีแกะอยู่ร้อยตัว เก้าสิบเก้าตัวอยู่ในคอกหมดแล้ว  มีตัวหนึ่งหายไป หลงไป  อาจจะถูกหมาป่าทำร้ายไปแล้ว  หมีเอาไปกินแล้วมั้ง  ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นห่วงขนาดไหน? เอาเก้าสิบเก้าตัว เก็บไว้ในคอกอย่างดีเลย  แล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้นก่อน แล้วตัวเองก็ออกไปเที่ยวตระเวณหา  เพื่อจะช่วยแกะตัวนั้น ตัวเดียว  ที่มันหลงหายไป มันน่าสงสาร มันจะตายหรือยังไม่รู้ มันเป็นอยู่หรือเปล่าไม่รู้ มันถูกรังแกหรือเปล่าไม่รู้ มันถูกกินไปหรือยังไม่รู้ นี่คือความรู้สึกของพระเจ้า ที่มีต่อท่าน และต่อทุกคนบนโลกใบนี้

พูดตรงนี้แล้วมันซีเรียลนะ ว่ากันตามจริงๆ ตั้งใจจะเล่าสู่กันฟังธรรมดา มาฉลอง ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันมีผลมาถึงพวกเรามนุษย์ทุกคนอย่างไรบ้าง?  เพื่อเราจะได้ใช้สิทธิให้เป็นประโยชน์ อย่างที่บอก มันเป็นของเราทุกคนอยู่แล้ว พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเตรียมเรามนุษย์ทั้งหลายทุกคน ให้เป็นวิหารของพระเจ้า  ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้น มันเป็นสิทธิของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย  ที่จะใช้สิทธิของเขา  ในการที่จะมาเป็นลูกของพระเจ้า  ให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายเขา  เพื่อจะจูงมือเขา ไปไหน ไปด้วยกันเลยครับ โควิดมา ไปด้วยกัน โควิดมาเราสู้เขาไม่ได้หรอก แต่โควิดมา  พระเจ้าที่อยู่ในเราสู้ได้  พระเจ้าจะพาเราเดินผ่านไปเลย จะผ่านแบบโควิดสยบไป หรือจะผ่านแบบโควิดยังอยู่ แต่เราเดินผ่านไป ก็ได้  ทำได้ทุกอย่าง  เพราะพระเจ้าบอกไว้แล้วว่าพระองค์สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  ให้มันเป็นผลดี สำหรับเราเสมอ ที่วางใจในพระองค์ และมีพระองค์สถิตอยู่ด้วย ในร่างกายนี้ เป็นลูกของพระองค์แล้ว  ใช้สิทธิของเขาแล้ว  สิทธิที่พระเยซูทำให้บนไม้กางเขน ขณะนี้ยังถูกตรึงอยู่ นี่ย้อนกลับไป 2,000 กว่าปี

และในพระคัมภีร์ยังบันทึกไว้อย่างนี้นะ  ในหนังสือยอห์น 1:12 บอกว่าคนทั้งหมดเลย  บันทึกไว้ตั้งแต่ตอนโน้นแล้วนะ ตั้งแต่หลังจากเหตุการณ์สิ้นพระชนม์แล้ว  และเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ผ่านไปไม่นาน ยอห์นได้เขียนคำนี้  จากการมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นว่าคนแห่มาใช้สิทธิกันใหญ่ จากพระเยซูที่ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ที่หลายคนพยายาม เนื่องจากถูกหลอกโดยมาร พยายามโกหก  หลอกลวงว่าไม่จริงหรอก เป็นเรื่องเล่า เรื่องกุขึ้น  แต่ความจริงคือความจริง  ผลมันคือความจริงไง  ถ้าไม่จริง มันก็สิ้นสุดไปแล้ว  มันหมดไปแล้ว มันมาถึงขนาดนี้  ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า  พอเลยไปจากวันนั้น ไม่กี่สิบปี ยอห์นยังมีชีวิตอยู่ ยอห์นเขียนเท่าที่เห็น  นึกภาพนะ สิทธินี้เกิดขึ้นแล้ว ในยอห์น 1:12 บอกว่าผู้คนมากมาย ทั้งหมด ที่ยอมรับเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อทรงชำระบาป และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และยังมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องจริง คนทั้งหมดที่เขาเชื่อในตรงนี้ เขาได้รับ Power  พลังอำนาจ สิทธิอำนาจ ให้กลายเป็นลูกของพระเจ้า  เขียนคำนี้ชัดเจนเลยนะ ใช้ Power เลยนะ เหมือนท่านเสียบปลั๊กไฟ ปลั๊กไฟมี Power เสียบปุ๊บ มีไฟสว่างจ้า  นี่เขาเรียกว่า Power มาทำให้หลอดไฟสว่างได้ ใช้อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น จะใช้แบบฤทธิ์อำนาจ โดยพระเจ้า คือสิทธิที่ท่านใช้ ก็ได้ จะแปลตรงไหนก็ได้  มากเท่ามากเลย ก็คือเยอะแยะไปหมดในช่วงนั้น  ที่ใครก็ตามที่ยอมรับในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง  เขาใช้สิทธิของเขา  ทันทีทันใดนั้น  เมื่อเขายอมรับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง  ฤทธิ์อำนาจ น่าจะใช้คำนี้ ดีกว่านะ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะเข้าไปในร่างกายของเขา และชุบวิญญาณเขาให้เกิดใหม่ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  ต้องย้ำ ไม่อย่างนั้นมันไม่น่าเชื่อ  เป็นไปได้อย่างไร? อย่างที่ผมบอก  ถ้าเป็นไปไม่ได้ คงไม่มาถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้วนะ อย่างที่เห็นชัดๆ อย่างน้อย ในชีวิตผม ก็ 30 กว่าปีแล้ว ก็เห็นเยอะขึ้นทุกวัน  คนที่มาใช้สิทธิ์นี้ เขาได้ตามนี้ทุกคน ได้เป็นลูกของพระเจ้า และจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล นี่คือตอนหนึ่งที่เรามาคุยกันในวันนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 09.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 09.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง ก็มาตามนัด วันนี้เป็นวันที่เราจะมาร่วมกันระลึกถึงและร่วมกันฉลองความสำเร็จ  ที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนการไว้ล่วงหน้า ไว้ตั้งนาน เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งมันเกี่ยวข้องกันกับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือมนุษย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนี้ทั้งสิ้น

ช่วงเวลา 3 โมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากตอนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ของโลกเลย ซึ่งมีผลกระทบไปถึงโลกวิญญาณ ใหญ่หลวงมาก จนกระทั่งมีผลมาถึงทุกวันนี้ และจะมีผลไปถึงนิรันดร์ ก็คือตอน 3 โมงเช้า  …. 3 โมงเช้าสำคัญอย่างไร? บอกว่าเหตุการณ์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ก็คือเหตุการณ์ที่พระเยซูถูกยกขึ้น คำว่า “ยกขึ้น” ไม่ได้ยกย่องนะ  พระเยซูถูกยกขึ้นทั้งร่างกายและวิญญาณ โดยถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พอยกขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น  ปรากฏการณ์ทำให้เกิดปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ และเกี่ยวข้องอะไรกับทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้ ทำไมเขาถึงเรียกวันนี้ว่า “Good Friday” … Friday คือวันศุกร์ Good คือประเสริฐ … ศุกร์ประเสริฐ Good ก็คือดี จริงๆ ต้อง “Very Good Friday” ดีมาก และมากที่สุดเลย  สำหรับคริสเตียน ไม่ใช่แค่นั้น ดีมากสำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย  เพราะฉะนั้น กดแชร์ไปยังคนที่ท่านรัก กดแบ่งปันไปยังญาติพี่น้องมาฟังสิ่งต่างๆ เหล่านี้  สิ่งที่น่าฟัง เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาทุกคน แล้วเราฟังแบบสบายๆ ไม่ต้องถึงขนาดมาเรียนพระคัมภีร์กันในวันนี้  มาเล่าสู่กันฟัง แบบประวัติศาสตร์เหมือนสมัยก่อน

สมัยก่อนเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่มานั่งอ่านพระคัมภีร์ ไม่มีพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือให้อ่าน มีแต่จดไว้ในใบลาน  และมีคนอ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ 70, 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรตอนนั้น อ่านหนังสือไม่ออกนะ เพราะฉะนั้น ถามว่าข่าวประเสริฐ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ตั้ง 2,000 ปีแล้ว  ก็มาโดยวิธีนี้ วิธีเล่าสู่กันฟังว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แล้วพระเยซูก็มาเตือนเรา เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตของเราแล้ว เป็นผลดีกับชีวิตของเราแล้ว เตือนเราว่าอย่าลืมข่าวดีนี้ เพราะว่ามันลืมง่าย เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม ก็คือสิ่งที่ดีๆ เพราะพระเจ้า คือพ่อของเรา ผู้ให้กำเนิดเราทั้งหลายนั่นเอง จะรู้หรือไม่รู้ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น เรามาฟังเรื่องราวในวันนี้ และสิ่งหนึ่งที่สามารถใช้มีเดียตรงนี้ ในการที่จะฟังและสนุกได้ด้วย  ก็คือสามารถโต้ตอบได้ด้วย  เขียนเข้ามา โพสต์เข้ามา สิ่งที่อยากรู้ หรือโพสต์เข้ามาในสิ่งที่ตัวเองมีความรู้สึกเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เห็นด้วยใช่ไหม หรือมีอะไรเพิ่มเติมว่าผมยังไม่ได้เล่าสู่กันฟังถึงเรื่องนี้เลย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเล่าสู่กันฟัง ระลึกถึงวันที่ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลก มนุษยชาติต้องบันทึกเอาไว้ คือมนุษย์ได้รับอิสรภาพจากเคราะห์กรรม เวรกรรมเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ไม่จำเป็นจะต้องชดใช้เวรกรรมด้วยตนเองอีกต่อไปแล้ว เพราะพระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน อีกประมาณไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว  เรามาย้อนเวลาไปด้วยกัน

สมมติว่าวันนี้วันศุกร์ ปี ค.ศ.30  อายุของพระเยซูตอนนั้น คือ 33 ปี เพราะว่าค.ศ.นี้เริ่มต้นเมื่อพระเยซูอายุ 3 ปี เพราะฉะนั้น ค.ศ.30 พระองค์อายุ 33 ในปีนั้น วันศุกร์ ตรงกับวันนี้  เรียกว่าศุกร์ประเสริฐ ย้อนไปประมาณ 2,000 ปี เมื่อ ค.ศ.30 เวลา 3 โมงเช้า  ไม้กางเขนอันนั้นเพิ่งจะถูกยกขึ้นมา คือพระเยซูถูกตรึง เมื่อสักครู่นี้ ตอกตะปูเข้าไปที่มือทั้งสองข้าง  แล้วก็หลายๆ คนช่วยกันยกต้นไม้ต้นนี้ ไม้กางเขน เรียกว่าต้นไม้ เพราะว่าเป็นลำต้นต่อกันยาวเลย ยกขึ้นมา โดยมีร่างของพระเยซูถูกตรึงตรงนั้น  แล้วก็ปักลงไปบนดินที่เป็นหิน บนเนินเขา  เรียกว่าโกละโกธา หรือแปลเป็นไทยเรียกว่ากะโหลกศีรษะ คือหุบเขาหรือเนินเขาของความตายนั่นเอง  ที่ที่ซึ่งเอาไว้ประหารชีวิตนักโทษ สองข้างก็เป็นนักโทษอุฉกรรก์ที่ถูกตัดสินให้ตาย โดยการประหารชีวิตบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นการประหารที่ทรมานที่สุด ในยุคนั้น ในสมัยนั้น ซึ่งโรมันใช้ในการปราบประเทศที่เป็นเมืองขึ้น  แล้วก็ปราบปรามให้ประชาชนหรือว่าผู้คนหวาดกลัวต่ออำนาจอิทธิพลของโรมัน  คือวิธีการตายอย่างทรมาน  และประจานที่ไม้กางเขนว่าอย่าทำอย่างนี้นะ อะไรประมาณนั้น

เราจะมาย้อนกันว่าตอนนี้พระเยซูเริ่มถูกตรึง พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกว่าพระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตอนนี้ ไปจนกระทั่งถึงบ่ายสามโมง 6 ชั่วโมงเต็มๆ บนไม้กางเขน ก่อนหน้านี้ เมื่อคืนวันพฤหัส ที่เมื่อคืนเราระลึกถึงพระเยซูอธิษฐานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ที่สวนเกทเสมเนว่าวันนี้พระองค์จะทรงเจออะไร?  เมื่อคืนนี้ ก็เจอแล้ว  ความทุกข์ทรมาน เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ที่สวนเกทเสมเน กลัวจนกระทั่งอธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง พระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงอยู่กับพระบิดาเป็นประจำ คุยกันตลอดเวลากระหนุงกระหนิง ไม่เคยกลัวอะไรเลย จนกระทั่งถึงอายุ 33 ปี ณ เมื่อคืนนี้ รู้แล้วว่าถึงเวลาแล้วที่ภารกิจนี้ จะสำเร็จได้จะต้องถึงขั้นแตกหักตรงนี้  พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่เดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็มให้เขาจับ เพราะฉะนั้น  กลัว อธิษฐาน 3 ครั้ง ครั้งหนึ่งก็แปลกแล้วนะ พระบุตรพระเจ้า พระองค์ไม่เคยกลัวใครเลย  ตลอด 33 ปีที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 ปีหลัง ที่ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสวรรค์ … สวรรค์มาถึงแล้ว ให้กลับใจใหม่เถิด  พระองค์นำสวรรค์มาถึงแล้ว พระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้านะ ตอนนั้นไม่มีกลัวอะไรเลย แต่เมื่อคืนนี้พระองค์ทรงกลัวสุด  เพราะถึงขั้นสุดท้าย ประจัญบาน พระคัมภีร์บอกเมื่อคืนนี้  ที่สวนเกทเสมเน พระองค์ทรงอธิษฐาน  จนเหงื่อออกมาเป็นเม็ดเลือด ก็คือเครียดจัด อาจเป็นได้ว่าเส้นโลหิตฝอยของผิวหนังแตก อะไรแบบนี้  ถามว่าทำไมต้องกลัวขนาดนั้น  พระเยซูกลัวอะไร

ท่านว่ากลัวอะไร?  โจร 2 คนยังกลัวไม่ถึงขนาดเหงื่อเป็นเลือดเลย  ผมเชื่อว่าอย่างนั้น  แต่ทำไมพระเยซูต้องกลัวถึงขนาดนั้น  ทั้งๆ ที่ไม่เคยกลัวมาก่อนเลย แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนคืนวันพฤหัสฯ ตั้งแต่ตอนดึก ก็ถูกจับตัวไปขึ้นศาลเตี้ย คือศาลตัวฉันนั่นเอง  ฉันเป็นใหญ่ ฉันจะเอาอย่างนี้  คนที่มีอิทธิพล คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ แล้วยัดเยียดข้อหาให้กับพระเยซูมากมาย ยัดเยียดว่าเป็นอันโน้นอันนี้ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้  แต่พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไม่มีใครสามารถบอกได้จริงๆ พระองค์เป็นผู้ร้ายหรือเป็นคนชั่ว หรือเป็นฆาตกร หรือขโมยของ ไม่เคยมีเลย ไม่เคยทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งปิลาตเอง ซึ่งเป็นผู้บังคับการของโรมัน ซึ่งให้มาปกครองประเทศอิสราเอล ชาวยิวขณะนั้น ก็ยังยอมรับว่าไม่ได้ผิดอะไรเลย จะไปฆ่าเขาทำไม บอกกับชาวยิวหัวหน้าศาสนา ที่พยายามจะฆ่าพระเยซู เป็นเอกฉันท์เลยว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สิ่งเดียวเท่านั้น ที่คนเหล่านี้ พยายามยัดเยียดข้อหาให้พระเยซู ก็คือบอกว่าเขาอ้างตัวเองว่าเป็นพระบุตรพระเจ้า แค่นั้นเอง ผิดใหญ่หลวงใหญ่โต จะนำเขาไปฆ่าให้ได้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเราก็เรียนรู้แล้วนะว่าเขาทำไปโดยไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่

ประโยคแรกที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์บอกว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า ลูกเจ็บมากเลย ทรมานมากเลย  ช่วยลูกด้วย”

ใช่ไหม? ไม่ใช่ พระองค์พูดว่า …

“โอ้้ พระบิดาแก้แค้นให้ลูกด้วยเถิด”

อย่างนั้นเหรอ ก็ไม่ใช่อีก ประโยคแรกหลังจากเริ่มทนทุกข์ทรมาน ถูกเฆี่ยน ถูกทุบ ถูกหยามน้ำหน้า ถูกบ้วนน้ำลาย ถูกยัดเยียดข้อหาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จนถึงเช้าวันนี้  9 โมงเช้า ถูกทำร้ายตลอดเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อนไม่พอ ถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกทุบ  ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดถึงขนาดว่าจำหน้าไม่ได้ เพราะถูกเฆี่ยนมาก ด้วยแส้ที่พิเศษ ที่โรมันใช้เวลาทรมานนักโทษ ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือจำหน้าไม่ได้ เพราะว่าบวม ถูกไม้ตี เพราะเขาใช้ศาลเตี้ยกัน เขาทำไปโดยไม่รู้ เขาโกรธแค้นไง  โมโห พอโมโห เป็นเหมือนม๊อบ รวมกันคนนั้นถีบ คนนี้ต่อย นึกภาพสิ สนุกสนานกันใหญ่เลย  เพราะเกิดความมัน พออยู่ร่วมกัน เขาบอกเหมือนเอามัน คือรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเสร็จปุ๊บ มารก็สามารถที่จะเข้าไปโน้มน้าวจิตใจ เข้าไปคุมพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่อยู่รวมกันให้เกิดความรุนแรง ในการกระทำ อาจจะโกรธนิดหนึ่ง หรือรู้สึกขัดแย้งนิดหนึ่ง แต่พออยู่รวมกันมากๆ มันก็ถูกใส่ไฟ โดยมารต่างๆ  ทำให้เกิดความรุนแรงมากยิ่งขึ้น  เขาเรียกว่าม๊อบเลวร้ายอะไรต่างๆ

กลับมาพูดถึงเมื่อสักครู่นี้ 9 โมงเช้า  ถูกตรึงแล้วตอนนี้ ผ่านมาเกือบ 10 นาที ตอนถูกตรึงอยู่ พระองค์ทรงพูดประโยคแรก สะเทือนใจมาก ยิ่งตะกี้เราวิเคราะห์ตั้งแต่เมื่อคืนที่พระองค์ทรงถูกจับและขึ้นศาลเตี้ย หลังจากขึ้นศาลเตี้ย  ถูกทุบ ถูกตี ด้วยความไม่ยุติธรรม ด้วยความมันในอารมณ์ของบรรดาผู้คนที่รวมกัน เป็นม๊อบทั้งหลาย  อัดพระเยซู ทุบตี แม้กระทั่งทหารโรมัน ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็มันกับเขาด้วย เมื่อปีลาตสั่งให้ไปลงโทษ ถามว่าปีลาตสั่งให้ไปลงโทษ เพื่ออะไร? ลงโทษให้หนักๆ  เพื่อจะมาบอกกับชาวยิวว่าลงโทษเขาแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องไปฆ่าเขาหรอก เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แค่ลงโทษพอใจหรือยัง? พอแล้วนะ จบ พวกอิสราเอลไม่ยอม โดยเฉพาะพวกหัวหน้าทางศาสนา ไม่ยอม  บอกให้เอาไปตรึงซะ ปีลาตผู้สำเร็จราชการของโรมันตอนนั้นบอกว่าแล้วจะไปตรึงเขาด้วยสาเหตุอะไรเล่า เขาไม่ได้ผิดอะไร  ถึงขนาดต้องเอาไปตรึง  เขาบอกเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ท่านบอกไม่ใช่ ก็ไม่ใช่สิ  เขาบอกเป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านบอกไม่ใช่   ก็ไม่ใช่ แล้วจะไปฆ่าเขาทำไม?   เขาไม่ได้ไปฆ่าคนตาย ไม่ได้ก่อ ม๊อบ ไม่ได้เป็นกบฏสักหน่อย  ไม่เหมือนบารับบัสที่ถูกจับ โดยเป็นผู้ก่อกบฏ ต่อต้านโรมันขณะนั้น ไปฆ่าพระเยซูทำไม?

ปีลาตจึงวางแผนให้ทหารลงโทษ เฆี่ยนหนักๆ เพื่อจะได้ไปบอกว่าโดนลงโทษไปแล้วนะ  เพื่อจะรักษาชีวิตของพระเยซูเอาไว้  ไม่อยากจะประหาร แต่อย่างที่บอก ทนการเรียกร้องของชาวยิว โดยการนำของผู้นำทางศาสนา ในขณะนั้น ชาวยิว เขาปกครองในสมัยนั้น เขาเรียกว่าศาสนานำการเมือง เพราะฉะนั้น ไคยาฟาส หัวหน้าทางศาสนา ก็ก่อม๊อบอีก ก็เหมือนเดิม เอาไปตรึงเลย ซึ่งมันตรงกับพระคัมภีร์ที่บอกไว้ล่วงหน้าแล้วนะว่าพระเยซูจะตาย ไม่ใช่เพราะน้ำมือของคนต่างชาติ ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าตายด้วยคนกันเอง ชาวยิวด้วยกันเอง จะมอบพระองค์ให้ไปตาย  พูดง่ายๆ เป็นคนสั่งประหารพระองค์นั่นเอง สำหรับทหารโรมันที่ไปตรึงที่ไม้กางเขน เป็นเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง ถามว่าใครสั่ง ก็หัวหน้าทางศาสนาของยิวเป็นผู้สั่ง ถามว่าเขามีสิทธิ์อะไรตอนนั้น  ตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาล ในเทศกาลนี้ เป็นประเพณีของการปกครองของชาวยิวในขณะนั้น  โดยโรมันเข้าครอบครอง โรมันก็เลยบอกว่ามีเทศกาลนี้อันหนึ่งที่ชาวยิวสามารถขออภัยโทษให้กับฆาตกร ที่โรมันจะเอาไปฆ่าให้ตายได้ 1 คน เลือกมา โรมันจะปล่อยให้ เขาเรียกว่าเป็นประเพณี เป็นเทศกาลนี้พอดี ปีลาตจึงเอาบารับบัส ซึ่งเป็นฆาตกรจากคดีก่อกบฏต่ออาณาจักรโรมัน การปกครองของโรมัน  ซึ่งต้องโทษประหารชีวิต แล้วเอาพระเยซูขึ้นมา พระเยซูผู้บริสุทธิ์ ย้ำอีกทีหนึ่งปีลาตบอกว่า …

“เขาบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถึงเทศกาลนี้ พวกท่านจัดการเองแล้วกัน ฉันไม่ยุ่งด้วย ฉันขอล้างมือ ฉันไม่สนใจ  ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้  อยู่ที่ท่านเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่ฉันเป็นคนตัดสิน ฉันไม่รับผิดชอบแล้ว เพราะฉันบอกแล้วว่าชายคนนี้เขาบริสุทธิ์ เขาไม่ผิดอะไรเลย จะไปทำเขาทำไม? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน เพราะมีประเพณีนี้อยู่ตอนนี้พอดี  เทศกาลนี้อยู่พอดี”

หัวหน้าทางศาสนา  ก็รวมกันก่อม๊อบ ตะโกนว่า …

“เพราะฉะนั้น เราขอเลือกฆาตกร คือบารับบัส เอาพระเยซูไปตรึงซะ”

นี่คือที่มา เราจึงเห็นความไม่ยุติธรรม และความทุกข์ทรมาน  ตามที่พระเยซูได้รับเยอะแยะมากมายทั้งนั้น  พระองค์จึงกลัว  กลัวจะทนไม่ไหว  เกิดพระองค์สู้ขึ้นมา  พระองค์สามารถเรียกทูตสวรรค์เข้ามาช่วยได้ เป็นหมื่น เป็นแสน แค่ภายในไม่กี่วินาที แต่พระองค์ไม่ทำ เพราะพระองค์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คือมาเพื่อทนทุกข์ทรมาน รับแบกบาปของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งท่านทั้งหลายทุกคนที่เป็นมนุษย์ เอาไว้ที่ตัวพระองค์เอง พระองค์มารับโทษบาปแทนเรา เราจะไม่ต้องมาชดใช้เวรกรรมต่างๆ  ไม่รู้จะมาจากชาติไหน  พระองค์จะมาช่วยเราอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น  พระองค์จึงไม่สู้ พระคัมภีร์จึงใช้แกะเป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่าให้ตาย เพราะแกะเขาจะเชื่อง จะสงบ ตามแต่ผู้เลี้ยงจะพาไปฆ่า เขาก็จะไม่ดิ้น  ไม่อะไรเลย สงบ รออย่างเดียว พระเยซูทำหน้าที่ของตนเอง มาเพื่อตายที่ไม้กางเขน

และการตายที่ไม้กางเขนนั้น จะเล่าสู่กันฟังต่อไปว่ามันหนักกว่านี้อีก ตะกี้แค่การทุกข์ทรมานทางร่างกาย พระองค์ถูกทุบตี ถูกเฆี่ยนตี พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ  มีร่างกาย มีความคิดจิตใจ  มีความกลัวเหมือนเรา  ถูกไฟลวกก็ร้อน ไม่ใช่พระองค์เป็นพระเจ้า แล้วไม่เจ็บ พระองค์เป็นพระเจ้าจริง แต่ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพียงแต่เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาป สะอาดบริสุทธิ์ แต่คงสภาพของมนุษย์ เพื่อมาเข้าส่วนร่วมในครอบครัวของมนุษย์ เหมือนกับเราทั้งหลาย เพื่อจะได้สามารถเป็นตัวแทนของเรา เหล่ามนุษยชาติบนโลกใบนี้  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ มนุษย์หนึ่งคน เป็นพี่น้องของเรา จากพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพี่น้องร่วมมนุษยชาติกับเราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ก็จะเหมือนเราไม่มีผิดเลย เพียงแต่ไม่เหมือนตรงที่พระองค์เกิดจากหญิงพรหมจารี เกิดด้วยความบริสุทธิ์ไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย  แต่ความเจ็บปวด ความรู้สึกกลัวอะไรต่างๆ เหมือนกับเราไม่มีผิดเลย แม้แต่นิดหนึ่ง  เพราะฉะนั้น พระองค์กลัวมาก แล้วยิ่งกลัวกว่านั้น ก็คือตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน

กลับมาตะกี้ ตอนที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกยกขึ้นมา พระองค์ทรงตรัสประโยคแรกว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า  ขอทรงอภัยให้พวกเขาทั้งหลายเหล่านั้น ม๊อบทั้งหลายเหล่านั้น  รวมทั้งทหารที่มาตรึงข้าพระองค์  เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

นี่แหละ คือความรักชนิดที่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร?  เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  เหงื่อเป็นเลือด ถูกหยามศักดิ์ศรี ทั้งๆ ที่มีอำนาจ  มีฤทธิ์เดช  มีพลัง มีอาวุธที่สามารถจะต่อสู้ได้ เพียงนิดเดียวเท่านั้น พวกที่เป็นม๊อบไม่เหลือเลย  เป็นเรา หลายครั้งเราอาจจะยอมคนที่ข่มเหงเรา ทุบตีเรา เพราะเราสู้เขาไม่ได้ เราถูกบังคับให้ต้องยอม ลองคิดดูสิคนที่ข่มเหงเรา  แล้วด้อยกว่าเรา เรามีอำนาจกว่าเขา  เรามีกำลังมากกว่าเขา มีอาวุธมากกว่าเขา คิดว่าเรายอมไหม?  นี่พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์ก็บอกแล้วว่าถ้าเราต้องการจะสู้กับเขาเหล่านี้ เราเรียกทูตสวรรค์มา เขาเหล่านี้แย่เลย แต่พระองค์ทรงทราบทั้งหมดแล้ว  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป  เขาถูกครอบงำ  โดยอิทธิพลของระบบของโลกนี้  ผ่านทางมารซาตาน ซึ่งควบคุมโลกใบนี้อยู่ ซึ่งได้สิทธิอำนาจในการควบคุมโลกใบนี้ผ่านทางบรรพบุรุษของเรา ผ่านทางอาดัมและเอวา  ต้นพันธุ์ของมนุษยชาติของเรานั่นเอง มอบโลกใบนี้ให้กับมาร เป็นคนดูแล ทั้งที่พระเจ้ามอบให้กับเรา มนุษยชาติเป็นคนดูแลโลกใบนี้ เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้  บ้านหลังนี้เป็นของเรา แต่บรรพบุรุษของเรา ได้มอบสิทธินี้ บ้านหลังนี้ โลกใบนี้ให้กับต้นกำเนิดของความชั่วร้าย  เจ้าตัวชั่วร้าย ซึ่งมีชื่อว่าซาตาน ซาตานไม่มีอะไรดีสักนิดหนึ่งเลย  มีแต่ความชั่ว ความเลว อย่างเดียวเท่านั้นเอง

พระคัมภีร์บอกว่ามารมา เพื่อ 3 สิ่งเท่านั้นเอง  ไม่ทำอะไรมากกว่านี้เลย  3 สิ่งที่ทำให้กับมนุษยชาติและโลกใบนี้ ซึ่งเป็นบ้านของเรา (1) ขโมย (2) ฆ่า (3) ทำลาย

เพราะฉะนั้น อะไรที่เกี่ยวข้องกับขโมย ฆ่า ทำลาย  สรุปได้เลย ไม่ต้องไปคิดมาก อันโน้นอันนี้มาจากพระเจ้าไหม? มาจากมารทั้งสิ้น  ยกตัวอย่างในขณะนี้ที่เรากำลังเผชิญกับเชื้อไวรัสโควิด-19 บางคนก็บอกว่าพระเจ้าพิพากษาแล้ว สงสัยพระเจ้าลงโทษมนุษย์  มนุษย์ทำบาปมาก ไม่เกี่ยวเลย  มนุษย์ทำบาป ก็ได้รับโทษของการบาป เหมือนกฎหมายลงโทษ แต่ความชั่วร้ายที่เข้ามาบนโลกใบนี้  มาจากมารลูกเดียว  มันอยู่ในเครือข่ายนี้ ขโมย  ฆ่า ทำลาย  แต่พระคัมภีร์ก็บันทึกตลอด พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความดีงาม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความยุติธรรม ท่านเห็นไหม?

นี่มันตรงกันข้ามกับมารเลย เพราะฉะนั้น  นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เราจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าไม่ว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  คิดง่ายๆ เท่านั้นเอง ฝั่งดีหรือฝั่งชั่ว ผู้เป็นเจ้าของ คนดีก็ทำชั่วไม่เป็น  คนชั่วก็ทำดีไม่เป็น  แล้วจะสลับกันได้อย่างไร?  ถูกไหมครับ?  ต้นมะม่วงก็ออกผลมาเป็นมะม่วง ต้นไมยราบก็ออกดอกมาเป็นไมยราบ  อะไรประมาณนี้  พระเยซูจึงทราบเรื่องเหล่านี้ดี ตอนถูกตรึงที่ไม้กางเขน  จึงตรัสประโยคแรกว่า …

“อภัยให้เขาเหล่านี้เถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

เป็นบทเรียนให้เราด้วย  ตอนนี้ 3 โมงเช้ากว่า ยังอยู่ที่ไม้กางเขนอยู่ แล้วอีกครู่หนึ่ง เราจะมาติดตามตอนต่อไป  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายพิเศษ คืนวันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์ คืนก่อนพระเยซูคริสต์จะถูกจับ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษ

คืนวันพฤหัสบดีที่  9  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์ คืนก่อนพระเยซูคริสต์จะถูกจับ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับวันนี้เป็นไลฟ์พิเศษ  เป็นเซอร์ไพร์ส อย่างที่บอกไว้ว่าช่วงสัปดาห์นี้จะมีเซอร์ไพร์สให้พี่น้องที่ไม่ได้มีโอกาสมานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์ อย่างน้อยก็มีไลฟ์อย่างนี้เข้ามาแทน โดยเฉพาะวันนี้  เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ปกติทุกปีเราจะไม่มีการระลึกอย่างนี้ในการนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์หรือที่คริสตจักร จะมีเฉพาะเย็นวันศุกร์ แต่เที่ยวนี้ เนื่องจากเทคโนโลยีสบายๆ ง่ายๆ ใช้อันนั้นอันนี้ได้  อย่างเมื่อวานเราก็มีการอธิษฐานกันในกลุ่มของไลน์ วันนี้ก็ไลฟ์ระลึกถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่ง

วันนี้เป็นวันพฤหัส สำคัญอย่างไร?  เป็นวันที่พระเยซูเริ่มต้น ทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ เพื่อเตรียมตัว หรือเพื่อเริ่มต้นกระทำการงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระองค์ได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกเลย  คือมาทุกข์ทรมาน สละพระชนม์พลีของพระองค์อย่างทุกข์ทรมาน  เพื่อความรักอันยิ่งใหญ่ ที่มีต่อมนุษยชาติ คือเพื่อไถ่บาป  ช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากโทษของความบาป คือความตาย  คือความทุกข์ทรมาน ในนรกนั่นเอง

เดี๋ยวให้เราเตรียมตัวทำพิธีมหาสนิท  … พิธีมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ แต่ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ความหมายในการทำมหาสนิทนี้ว่าทำเพื่ออะไร?  เป็นเพราะอะไร? อย่างไร? ตรงนี้สำคัญกว่าการปฏิบัติ หรือกิจกรรมที่ทำ อย่างเช่น กินขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น  เพียงจะรู้ว่าพระเยซูทำอย่างนี้ เพื่อให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในวันรุ่งขึ้น  คือถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน  จะได้รู้ว่าศักดิ์สิทธิ์ในแง่มุมของความเป็นจริง ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ เราจะมาร่วมร้องเพลงนี้ด้วยกัน เพลง “โปรดนำไปถึงกางเขน”

ในคืนวันนี้ เมื่อประมาณ 2,000 กว่าปีที่แล้ว พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูอยู่ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย หรือ the last supper ซึ่งเราเคยได้ยินบ่อยๆ มีรูป The last supper พระเยซูอยู่กับเหล่าสาวกกำลังรับประทานอาหารค่ำ ระหว่างอาหารมื้อนั้น  พระคัมภีร์บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิว บอกว่า …

“พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา แล้วเมื่อถวายสาธุการแล้ว ทรงหัก ส่งให้เหล่าสาวก ตรัสว่า …”

เรานึกภาพนะ พระเยซูมาบังเกิดตั้งแต่วันคริสตมาส จนกระทั่งอายุ 30 ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐเลย จนกระทั่ง 3 ปีสุดท้าย คือตั้งแต่อายุ 30 ถึงอายุ 33 … 3 ปีสุดท้าย จึงเริ่มประกาศแผ่นดินสวรรค์ว่าพระองค์คือใคร? และมาทำไมบนโลกใบนี้ เพื่อช่วยมนุษย์อย่างไร? และจนถึงวันนี้ เป็นปลายของปีที่ 3 คืนนี้ คืนวันพฤหัสบดี เป็นคืนสำคัญมาก พระเยซูได้หักขนมปัง ท่านนึกถึงอาหารของชาวยิวในขณะนั้น ที่เยรูซาเล็มเป็นอย่างไร? ก็คือขนมปังกับน้ำองุ่น  หรือเหล้าองุ่นบางๆ เป็นอาหารหลัก พระเยซูทรงหยิบขนมปังขึ้นมา พี่น้องที่มีขนมปังเตรียมไว้แล้วก็ได้ จะเป็นข้าวก็ได้ ที่เล็งถึงการรับประทานอาหาร  แต่พระเยซูใช้ขนมปัง แล้วทรงหักส่งให้กับเหล่าสาวกที่บนโต๊ะ ท่านที่อยู่ทางบ้าน อยู่กับครอบครัวหรืออยู่กับเพื่อนฝูง ก็ส่งให้ได้ สมมติว่าเราร่วมโต๊ะกับพระเยซูในคืนนั้นด้วย เราย้อนกลับไปนะ พระเยซูตรัส …

“จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา”

นี่เล็งถึงร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่จะถูกตรึงในวันพรุ่งนี้        หยิบขนมปังรับประทานพร้อมกันก่อนนะ ขนมปังนี้เล็งถึงร่างกายของพระเยซู แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยน้ำองุ่น โมทนา และขอบพระคุณ แล้วส่งให้เขา พี่น้องก็ส่งไปนะ ตรัสว่า …

“จงรับไปดื่มทุกคนเถิด”

เราก็ดื่มน้ำองุ่นพร้อมกัน นึกถึงภาพวันนั้น ดื่มเสร็จสาวกที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็งงว่าทำไม? พระองค์ก็ตรัสต่อไปว่า …

“ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา”

คือน้ำองุ่นที่ดื่มเมื่อสักครู่นี้ เป็นเลือดของพระเยซูที่จะหลั่งในวันพรุ่งนี้ ว่ากันตามตรง ก็คือตั้งแต่เช้าตรู่วันพรุ่งนี้

“ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา  อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออก เพื่อยกโทษบาป คนเป็นอันมาก เราบอกท่านทั้งหลายว่าเราจะไม่ดื่มน้ำผลไม้จากเถาองุ่นต่อไปอีก จนกว่าวันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราจะดื่มกันใหม่กับพวกท่าน ในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา”

ก็คือเป็นอาหารมื้อสุดท้ายบนโลกใบนี้  ในร่างกายเดิมนี้ ในวันที่จะต้องตาย ในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง

พระองค์ทรงกระทำอย่างนี้ แล้วก็บอกให้พวกเรากระทำอย่างนี้ เพื่อระลึกถึงพระองค์ เพื่อต้องการให้การรับประทานอาหารของยิว ของใครก็ตาม ให้กระทำอย่างนี้  ให้ทุกวันที่เราจะต้องทานอาหาร กินขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น  ก็ทำพิธีมหาสนิท ก็คือระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้กระทำ พอพระเยซูกระทำสิ่งนี้เสร็จแล้ว  พระองค์ก็ทรงเดินทางไป ชวนสาวกไปที่สวนเกทเสมเน

สวนเกทเสมเน คือเหมือนสวนเดินเล่น พักผ่อน เพื่อไปเตรียมตัวอธิษฐาน และพระองค์ทรงทราบดีว่าจะถูกจับในคืนนั้น  สมมติว่าเราไปที่สวน พอไปที่สวน ก็ถูกทหารมาจับกุมพระองค์ ท่านลองคิดดูว่าน่าตกใจและน่าซีเรียสขนาดไหน? ซีเรียสถึงขนาด ทุกคนตกใจ แม้กระทั่งสาวกที่สนิทๆ อยู่ใกล้ๆ พระองค์ อย่างเช่นเปโตร ชักดาบออกมาฟัน จะต่อสู้กับทหาร เพื่อจะแย่งพระเยซู จะช่วยพระเยซู ไม่ให้พระเยซูถูกจับ พระเยซูบอก …

“ไม่ต้องๆ  เรามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เรามาเพื่อให้เขาจับ เรารู้อยู่แล้ว ถ้าเราจะสู้นะ  คนเหล่านี้สู้เราไม่ได้หรอก คือเราเป็นพระเจ้านั่นเอง”

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น น่ากลัวขนาดไหน?  ขนาดมีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีผู้ติดตามพระเยซูมาตั้งแต่ต้น  คือไม่ใช่เป็นสาวก แต่เป็นผู้ติดตามพระองค์มาอยู่เรื่อยๆ คือเชื่อฟัง และคอยฟัง เป็นผู้ติดตามคนหนึ่ง เขาอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน อยู่ในสวนเกทเสมเนด้วย  ถูกจับ ปรากฏว่าเขาดิ้นหนีทหาร จนกระทั่ง ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเขาวิ่งหนีทหาร ทหารดึงเสื้อคลุมเขา เขาดิ้นหลุด เขาเปลือยกาย วิ่งหนีไปเลย เอาตัวรอด แสดงถึงความเครียดและความน่ากลัวมากว่าถ้าถูกจับได้ครั้งนี้ มันต้องตายและทุกข์ทรมานแน่ๆ แม้เป็นเพียงผู้ติดตามเท่านั้น  แล้วนับภาษาอะไรกับพระเยซูเป็นหัวหน้าเลย เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงทราบดีแล้วว่าพระองค์จะถูกเขาจับไปทำอะไรบ้าง? ทุกข์ทรมานขนาดไหน? แต่พระองค์ก็ทรงกระทำ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง

ในคืนวันนี้ พระองค์ก็อธิษฐานกับพระเจ้า สุดท้ายก่อนที่เราจะจบในคืนวันนี้ด้วยคำอธิษฐาน ระลึกถึงในส่วนตัว ในครอบครัวของเราว่าพระเจ้าทำอะไรในชีวิตของเรามากมาย อย่างไร? รักเรามากขนาดไหน? ที่สละพระชนม์ชีพ เพื่อเรา  ก่อนที่เขาจะมาจับพระเยซูที่สวนเกทเสมเน พระองค์ทรงทราบแล้ว พระองค์ทรงไปอธิษฐาน  ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้ว่า …

“แล้วพระเยซูทรงพาสาวกมายังที่แห่งหนึ่ง ที่เรียกว่าเกทเสมเน แล้วตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ‘จงนั่งอยู่ที่นี่ แล้วเราจะไปอธิษฐานที่โน่น’ พระองค์ก็พาเปโตรและบุตรทั้งสองของเศบดีไปด้วย พระองค์ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยมาก”

พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ มีความเจ็บปวด มีความทุกข์ใจ มีความกลัว เพราะต้องแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย  ไปไว้ที่ร่างกายของพระองค์ มันหนักมากจริงๆ มันหนักขนาดไหน เราฟังต่อไป

“พระองค์ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก จึงตรัสกับเขาว่า ‘ใจของเราเป็นทุกข์แทบตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด’ แล้วเสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน  อธิษฐานว่า ‘โอ้ พระบิดาของข้าพระองค์  ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้เลยพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”

ก็คือขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไป ถ้วยนี้หมายถึงภาระนี้ มิชชั่นนี้  ไม่ทำได้ไหม? ไม่ไหว น่ากลัวมาก

“เสร็จแล้ว จึงเสด็จกลับมายังสาวกเหล่านั้น เห็นเขานอนอยู่ และตรัสกับเปโตรว่า ‘เป็นอย่างไรนะ ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ?  ท่านทั้งหลายควรเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องถูกทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง’ พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐาน เป็นครั้งที่สอง”

ตะกี้นี้พระเจ้าเงียบ ไม่ตอบ  อธิษฐานครั้งที่สอง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้  และข้าพระองค์จำต้องดื่ม ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าถ้วยนี้ ภารกิจนี้ มันต้องเข้าไปแบบนี้  จะไถ่บาปมนุษย์ต้องทำแบบนี้  ต้องตายบนความทุกข์ทรมานอย่างนี้อย่างเดียว  ไม่มีทางอื่น ข้าพระองค์ก็ยอม ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดาก็แล้วกัน ครั้นเสร็จกลับมา ก็ทรงเห็นสาวกนอนหลับอยู่ เพราะเขาลืมตาไม่ขึ้น  จึงทรงละเขาไว้ เสด็จไปอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม เหมือนครั้งก่อนๆ อีก”

ก็คือทุกข์ใจ แล้วก็อธิษฐานเหมือนเดิม “เป็นไปได้ไหมพ่อ ภารกิจนี้ ทุกข์ทรมานอย่างนี้ มันน่ากลัวมาก ไม่เข้าไปได้ไหม?”

“แล้วเสด็จไปยังพวกสาวกตรัสว่า ‘ท่านจะนอนต่อไปให้หายเหนื่อยอีกหรือ? เวลาใกล้แล้ว บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ ในมือคนบาป  ลุกขึ้นไปกันเถิด ผู้ที่จะอายัดเรามาใกล้แล้ว”

พระองค์ทรงทราบทุกอย่าง แต่เดินเข้าไปด้วยความเต็มใจ  ถึงแม้จะกลัว รู้ว่าเจ็บปวด ทุกข์ทรมานสาหัส สากันขนาดไหน แต่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อมวลมนุษยชาติทั้งปวงจะได้รับการยกโทษบาป ยกหนี้เวรกรรมอะไรต่างๆ ที่เราเคยรู้กันอยู่แล้วว่าต้องชดใช้หนี้เวรกรรม อย่างไรก็ไม่มีวันหมด พระเยซูมาไถ่บาปให้เราเรียบร้อยแล้วเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์จึงย้ำยืนยันกับเราอยู่เรื่อยๆ ให้ …

“จำสิ่งนี้ไว้นะ  พวกเธอจำสิ่งนี้ไว้นะ”

แล้วก็เล่ากันต่อๆ ไป  บอกมนุษย์รุ่นต่อๆ ไป ให้รู้ความจริงนี้ว่าพระเยซูไถ่บาปให้แล้ว ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมแล้ว มาเชื่อพระองค์เท่านั้นเอง ชีวิตก็จะพ้นจากโทษของบาป เวรกรรมต่างๆ

นี่คือสิ่งที่เราทำในคืนวันนี้ เพื่อระลึกถึงสิ่งเหล่านี้แหละ สวนเกทเสมเน ก็คือสวนแห่งความรักอันอ่อนหวานของพระเจ้าที่ประทานความรอดจากบาปให้กับมนุษย์ โดยไม่คิดอะไรเลย โดยยอมเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ให้กับเราทั้งหลายนั่นเอง เราระลึกถึงความรักอันอ่อนหวานของพระองค์ในคืนวันนี้ด้วยกัน นี่แหละคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในการทำมหาสนิท หรือเรียกว่าทำการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ การกินขนมปัง น้ำองุ่น  เล็งถึงร่างกายและโลหิตของพระองค์ เมื่อเชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ เราได้รับชีวิตใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราเรียกกันว่ามหาสนิท เรียกกันว่าเข้ากันสนิท เป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงตรงนี้

พรุ่งนี้ 1 ทุ่มตรงเรามีการฉลองระลึกถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึง และตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย  ความรักอันยิ่งใหญ่มากๆ เราจะมาเรียนรู้กันต่อในความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ของความจริงของวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ที่ดีเลิศของมนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่ดีเลิศเฉพาะคริสเตียน แต่เป็นวันศุกร์ที่ดีเลิศประเสริฐศรีที่สุด สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วทุกวันนี้ยังทรงฤทธิ์ มีปฏิกิริยาอยู่ต่อบรรดามนุษยชาติทั้งปวง ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ตาม พรุ่งนี้เราจะมาระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ร่วมกัน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2020 เรื่อง “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  เมษายน  2020

 เรื่อง “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สัปดาห์ที่แล้วเราได้เรียนรู้กันไป ตามภาษาไทยๆ ว่าเรา  มีองค์สถิตอยู่ภายในเราแล้ว  เมื่อเราเชื่อในพระเยซู คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง พระเจ้าองค์นี้แหละสถิตอยู่ในเราผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซู และพระเจ้าองค์นี้ คือพ่อของเรา ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13 “12 คนทั้งปวงที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

พอเชื่อในนามพระเยซูก็ได้รับสิทธิให้เกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า ทางวิญญาณ ถ้อยคำพระเจ้าทางพระคัมภีร์ก็ยืนยันกับเราว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา  รักเรามากมาย คอยปกป้องคุ้มครองเรา และพูดกับเราด้วยความรัก และความห่วงใย ไม่บีบบังคับ คอยปลอบโยนจิตใจเราให้กำลังใจเรา และเสริมความกล้าหาญ ให้กับเราตลอดชั่วชีวิตของเรา ไปจนถึงนิรันดร์ พูดง่ายๆ ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้  และเราจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ไปถึงนิรันดร์กาลเลยทีเดียว

อย่างที่เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าไม่ใช่พระเจ้าพระบิดาเท่านั้น  ที่สถิตอยู่กับเราแล้วตอนนี้ แต่เป็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 องค์ คือ 3 พระภาคสถิตอยู่กับเราในวิญญาณเรา ในร่างกายเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเราเลยทีเดียว พูดอย่างนี้ชัดเจนเลยนะ

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว และในขณะนี้ ทั่วโลก ดูในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในข่าวต่างๆ ได้เลย ทุกแห่งเงียบสนิท หมดสนุกเลย  ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกกับเรื่องโรคระบาดโควิด-19  หลายคนต้องตกอยู่ภายในความหวาดกลัว กลัวจะติดเชื้อ กลัวไม่มีรายได้  แล้วจะกินอย่างไร? จะอยู่อย่างไร? ฟังข่าวทุกวัน ก็กลัวว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปถึงไหน? สิ้นเมษาฯ นี้จะอยู่ถึงไหม?  หรืออีก 6 เดือนข้างหน้าจะสิ้นสุดหรือยัง? ถ้าโควิดไม่สิ้นสุด ชีวิตฉันอาจจะสิ้นสุดก็ได้  เพราะฉันเหนื่อยล้าและกลัวมากเหลือเกิน  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  ซึ่งขณะที่เรากำลังกลัวอยู่นี้ มองไปทางโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ก็กำลังบอกเราอยู่ตลอดเวลา ในวิญญาณของเรา บอกมนุษย์ที่เป็นลูกของพระองค์ว่า …

“อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้า เราอยู่ข้างในเจ้านี่แหละ อย่ากลัวเลย เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหน เราจะไม่ละเจ้าไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว”

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพูดกับเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ที่พระองค์มาสถิตอยู่ในร่างกายเราแล้ว พระเจ้ากำลังพูดกับเรา ไม่ว่าเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม  แต่ผมเอามาเน้นให้ท่านอีกครั้งหนึ่งว่าความจริงในโลกวิญญาณ  ก็คือพระเจ้ากำลังพูดกับท่านว่า …

“อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่ในเจ้า เราจะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนหรอก เราเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า เรากับเจ้าอยู่ในสวรรค์ด้วยกันแล้วตอนนี้ เรากับเจ้าจะไปด้วยกันอย่างนี้ชั่วนิรันดร์”

เพราะฉะนั้น เราทุกคนที่มีฐานะเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้วยความเชื่อ  และมีพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว เราจึงไม่กลัวไง บางคนบอกเป็นได้อย่างไรไม่กลัว  คริสเตียนไม่กลัวเหรอ กลัว แต่ไม่กลัวจนสติแตก ไม่กลัวจนเกินกว่าเหตุ กลัวเป็นเรื่องธรรมดา  อยู่บนโลกใบนี้ก็ต้องกลัวแล้ว พระเยซูบอกว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านก็พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเหมือนกับคนอื่นเขาแหละ แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกนี้แล้ว ในวิญญาณเราชนะแล้ว แต่เรายังคงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราก็ต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา สิ่งที่เผชิญทุกข์ยากลำบากต่างๆ หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือความกลัว แต่เราชนะความกลัวแล้ว  เราจึงไม่ให้มันมามีอิทธิพลเหนือชีวิตของเรา  แต่ให้ที่มันนิดๆ หน่อยๆ อยู่ในความคิดของเราได้นิดเดียว ไม่เยอะ เพราะมันต้องอยู่ เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องได้ยินได้ฟังได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เป็นข้อมูลของความกลัว ที่ส่งมาจากมารและระบบของโลกใบนี้อยู่ เพราะฉะนั้น เราก็เกิดความกลัวเป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้เราจดจ่อวิญญาณของเราที่มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย จะให้กำลังกับเรา มีความกล้าหาญ มีความเชื่อ มีความไว้วางใจในพระองค์ และไม่เป็นทาสของความกลัวนั้น  สยบเอาความกลัวนั้นอยู่ใต้เท้าเรา  ใต้เท้าเราอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในตัวเรานั่นแหละ อยู่ในความคิดเรา แต่เล็กๆ มันมามีอิทธิพลเหนือเราไม่ได้นั่นเอง และวันหนึ่งมันก็จะไม่มีอยู่ในตัวเราเลย เมื่อวันที่เราทิ้งร่างนี้แล้ว  คือตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว  จบกันเสียที นั่นแหละ No อีกต่อไปเลย

พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลายอย่างมากมาย ไม่มีอาวุธใดที่จะถูกสร้างขึ้นมา  ไม่มีอาวุธใดที่จะถูกประกอบขึ้นมา  ไม่มีเชื้อโรคใดที่จะประกอบขึ้นมา ทำลายล้างเราจะสามารถทำสำเร็จได้  ไม่มีทาง ตรงนี้หมายถึงวิญญาณของเรา พระเจ้าดูแลเราอยู่ โควิดจะทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเผื่อพระเจ้าไม่อนุญาต ถ้าเผื่อโควิดจะทำอะไรเราได้ ในวิญญาณเราเกิดใหม่ เป็นผู้พิชิตแล้ว  เข้าใจแล้วนะ

ฟังตรงนี้แล้ว บางท่านก็อาจจะแย้งในใจ เกิดคำถามในใจว่าถ้าพระเจ้ารักเรา  พระองค์อยู่ในเราถึง 3 พระภาค พระองค์บอกว่าพระองค์คอยปกปักคุ้มครองดูแลเรา ห่วงใยเรา  ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านน่าจะคิด หรือบางทีเพื่อนท่านอาจจะถามท่าน …

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมยังมีผู้ที่เชื่อพระเจ้า ผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา ยังคงติดเชื้อโควิดเยอะแยะเต็มไปหมดเลย แถมยังมีข่าวอีกด้วยว่าในบางประเทศ มีการแพร่กระจายของเชื้อจากการร้องเพลงนมัสการในโบสถ์ด้วยซ้ำไป”

น่าคิดไหม? เอาล่ะ เรามาดูกันว่าพระคัมภีร์อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างไร? ก็เลยถือโอกาสเข้าสู่หัวข้อการบรรยายในวันนี้ เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่กำลังบอกพวกเราทุกคน … “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน” … บันทึกไว้ในหนังสือโรม 8:28 ดังนี้ว่า …

โรม 8:28 “เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”

 

เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง ไม่ใช่ทุกสถานการณ์อย่างเดียว  แต่ทุกสิ่ง สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างหมด ไม่ว่ามด แมลง ต้นไม้ ดวงดาวอะไรต่างๆ พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

ในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงให้มันทำงานร่วมกัน เพื่อเกิดเป็นผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์

ถ้าเรารู้ตัวว่าเราคือผู้ที่พระเจ้ารัก และรู้ตัวว่าเมื่อพระเจ้ารักเรา  ความรักนั้น ทำให้เราเกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะเราเชื่อ เราต้อนรับความรักของพระเจ้า  เราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เมื่อเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราจะเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด ก็คือพระเจ้าทรงรักเราก่อน เราจึงรักพระองค์ได้ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้ …

“เพราะพระองค์ทรงรักข้าก่อน ข้าพระองค์จึงรักพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่รักข้าพระองค์ก่อน พระองค์ไม่เอาความรักมาให้ข้าพระองค์ ไม่ให้ข้าพระองค์เกิดใหม่ ข้าพระองค์ไม่มีความสามารถที่จะรักพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์เป็นคนบาป รักพระองค์ไม่ได้หรอก เข้ากับพระองค์ไม่ได้ด้วย  แต่เพราะพระเยซูไถ่บาปให้ข้าพระองค์จนสะอาดหมดจดแล้ว ทำให้ข้าพระองค์กลับคืนดีกับพระองค์ได้”

กลับคืนดี ก็คือเป็นวิญญาณที่เปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณจากบาป กลายเป็นผู้ชอบธรรม เป็นวิญญาณจากที่เคยเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เปลี่ยนใหม่ จากวิญญาณที่เคยเกลียดพระเจ้า กลายเป็นวิญญาณที่เป็นมิตรกับพระเจ้า  เป็นวิญญาณที่รักพระเจ้า เห็นไหม?

คำว่า “รัก” จากวิญญาณข้างใน เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว ทันทีทันใดนั้น เราได้บังเกิดใหม่ รักพระเจ้าแล้ว  พอรักพระเจ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นทันที พระเจ้าจะกระทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างทำงานร่วมกัน ให้เกิดผลดีแก่เราทั้งหลาย  ผู้ที่รักพระองค์ได้ สามารถรักพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเรามั่นใจว่าเรารักพระเจ้า ก็จงเชื่อและวางใจเถิดว่าพระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ให้เป็นผลดีกับเราเสมอ  เราที่เป็นลูกของพระองค์ ที่มีความสามารถที่รักพระองค์ เป็นมิตรกับพระองค์ เข้ากันกับพระองค์ได้แล้ว

ถึงแม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นนั้น  ด้วยสายตาของมนุษย์ ของเราเอง เราอาจบอกว่ามันไม่ดี ไม่ชอบ มนุษย์ก็คิดอย่างนี้  แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น … “ทุกสิ่งทุกอย่าง” หมายถึงที่เราคิดว่าดี และคิดว่าไม่ดีนั้น ทั้งหมด ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี  หรือเป็นสิ่งดีต่อชีวิตของเรา

ตัวอย่างที่ผมเคยใช้บ่อยๆ คือเวลาเราทำอาหารหรือทำขนม สมมติว่าทำขนมเค้ก มันก็จะมีส่วนผสมหลายอย่าง เช่น แป้ง น้ำตาล ไข่ เนย ลูกเกด ผงฟู ช็อคโกแลต ผลไม้ หรืออะไรแล้วแต่ ซึ่งแต่ละอย่างประกอบกันเป็นเค้ก  แต่ถ้าเราแยกส่วนออกมาแต่ละอย่างๆ  บางอย่างก็ไม่ค่อยจะปลื้ม กินเดี่ยวๆ ไม่ได้ เช่นผงฟูมาใส่ปาก ก็ไม่ไหว เอาช็อคโกแลตมาใส่ปากก็พอได้  เอาน้ำตาลมาใส่ปากนิดๆ หน่อยๆ  พอได้ แต่หลายสิ่งหลายอย่างอยู่โดดเดี่ยว ไม่น่าอภิรมย์เลย ถูกไหมครับ? นี่ก็เหมือนกัน แต่พอเอาทุกอย่างมารวมกัน  ตามสัดส่วนที่ดีๆ  เอาแป้ง น้ำตาล ผงฟู ช็อคโกแลต ผลไม้มารวมกัน  ตามสัดส่วนที่เหมาะสม รวมเสร็จ ใส่เข้าไปในภาชนะ เข้าตู้อบ เอาออกมา ชอบหมดเลย ผงฟูก็ชอบ อะไรที่ขมๆ ก็กินได้แล้ว เพราะว่ามันผสมผสานกันแล้ว นี่แหละคือมันร่วมกัน เกิดเป็นผลดีสำหรับเรา ที่ทำเค้ก แป้ง น้ำตาล ที่มันกินไม่ได้เดี่ยวๆ  มันรวมกันจนกระทั่งเป็นผลดี สำหรับเราที่ทำเค้ก

ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราแยกสถานการณ์ แยกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แยกเป็นเรื่องๆ ไป  บางเรื่องเราอาจจะรู้สึกว่ามันดี  น่าชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าได้ แต่บางเรื่องความรู้สึกเราไม่เอา ไม่ดี มันขมเหลือเกิน พระเจ้าไม่ชอบเลย  แต่พระคัมภีร์บอกว่าในทุกสิ่ง ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  ที่เราเผชิญนั้น  พระเจ้าสามารถทำให้ ทุกสิ่งเหล่านั้น ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี แก่ชีวิตของเรา  ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว

ตัวอย่างที่ผมชอบยกบ่อยๆ ในเรื่องนี้ มนุษย์ก็คิดแบบนี้นะไอ้นี่ดี ไอ้นั่นไม่ดี ไม่ค่อยคิดถึงว่ามันรวมกันแล้ว เป็นผลดีหรือผลเลว สำหรับชีวิตเราที่ได้เกิดขึ้น พออะไรไม่ดีมา เราก็ …

“ทำไมมันซวยอย่างนี้”

พอเกิดโชคดีขึ้นมา

“โอ้โห เฮงๆ” … นี่ความคิดของมนุษย์

เคยได้ยินเรื่องนี้ใช่ไหม ที่ผมเล่าอยู่บ่อยๆ … มีชาวนา ชาวไร่อยู่ครอบครัวหนึ่ง เป็นคนยากคนจน ทำไร่ไถนา มีม้าอยู่ตัวหนึ่งก็ดีใจแล้ว เพราะม้าตัวหนึ่งก็ช่วยลดแรงได้เยอะ คนทำไร่มีสองคน คือพ่อกับลูก ม้าก็ช่วยไถ ช่วยยกของ ช่วยลากของหนักๆ ได้ เช้าวันหนึ่ง ลูกตื่นขึ้นมา ไปทำไร่ไถนา ตามปกติ ปรากฏว่าไปดูที่โรงม้า ม้ามันหนีไป ม้าหายไป ตกใจ มาบอกพ่อ พ่อบอก …

“ตายแล้ว ซวยจริงๆ”

คือโชคไม่ดีเลย ม้ามันหายไป  เพราะไม่มีใครมาช่วยงานอีกต่อไป ทำไมซวยอย่างนี้ บ่นซวยไป 2 วัน วันที่สามตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงม้า วิ่งไปดู ปรากฏว่าม้าที่มันวิ่งหนีเข้าป่าไป  มันไปพาตัวเมียกลับมาอีกตัวหนึ่ง เป็น 2 ตัว มีคู่ คราวนี้ไปบอกพ่อ พ่อบอก …

“ทำไมเฮงอย่างนี้  ทำไมโชคดีอย่างนี้  ม้าหายไปตัวหนึ่ง  ตอนนี้มี 2 ตัวเลย  ดีกว่าเก่าอีก”

ดีใจมากเลย ชื่นชมยินดีใหญ่ ก็เลยบอกลูกให้ไปฝึกม้าป่าอีกตัวหนึ่ง ที่ได้มาฟรีๆ นั้น  ไปฝึกให้มันทำงาน เอามาใช้งานได้อีก ดีๆ

ลูกชายก็ไปฝึกม้าป่าตัวนี้ เนื่องจากมันเป็นม้าป่า เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ค่อยเชื่อง ไปฝึกมัน ปรากฏว่าพบอุบัติเหตุ ม้ามันดีดเอาลูกชายตกจากหลังม้า ขาหักเลย  พ่อมาเห็น พ่อบอกว่า …

“ทำไมมันซวยอย่างนี้ ลูกขาหัก ก็ไม่มีใครช่วยแล้วตอนนี้”

ม้าก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะไม่มีใครควบคุมมัน เพราะลูกก็ไม่สบาย  ทำไมมันซวยอย่างนี้  ลูกขาหัก ก็ไปหาหมอ รักษาอยู่เรื่อยๆ อาทิตย์ต่อมา ทางราชการส่งเจ้าหน้าที่มาเกณฑ์ทหาร เด็กหนุ่มทั้งหมู่บ้าน ไปเป็นทหารหมดเลย เพราะมีสงครามด่วน สงครามของประเทศชาติ ต้องการชายหนุ่มทุกคนให้ไปเป็นทหาร ไปตามบ้าน ก็มาเจอบ้านของชายคนนี้ ปรากฏว่าก็ไม่เกณฑ์ไป เพราะว่าขาหัก เดินไม่ได้ จะไปเป็นทหารได้อย่างไร? ก็เลยมองข้ามไป  ไม่เกณฑ์ ปรากฏว่าทหารที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นกองหนุนของหมู่บ้านนี้ เสียชีวิตในสงครามหมดเลย เพราะฉะนั้น พ่อก็บอกว่า …

“เราโชคดีจริงๆ นะ ถ้าแกไม่ขาหัก ป่านนี้ แกตายไปแล้ว  ทำไมแกเฮงจริงๆ เราเฮงจริงๆ แกไม่ตาย เพราะขาหักไป”

มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้  แต่พระเจ้าสามารถทำให้มันเป็นสิ่งที่ดีได้ สมมติว่าลุงคนนี้  เป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ  แล้วลูกก็เป็นผู้เชื่อ ขอบคุณพระเจ้าตลอด ไม่ว่าม้าหายไป ก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าม้ากลับมาเพิ่มอีกตัวหนึ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่ว่าม้าจะดีดขาหัก ก็ขอบคุณพระเจ้า  ไม่ต้องไปสงคราม แล้วต้องตาย  ยังอยู่ทำงานได้ ก็ขอบคุณพระเจ้า  สมมติถ้าเป็นอย่างนั้น  พระเจ้าอาจจะนำให้เป็นประโยชน์ เป็นผลดี สำหรับครอบครัวนี้ ไม่ใช่แค่นั้น ขณะที่ถูกม้าดีด ขาหัก  ต้องไปหาหมอทุกวัน   ขณะรักษาไป ก็ไม่ได้บ่นเลยว่าซวยๆ  แต่พูดตลอดเวลาว่าขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าทั้งๆ ที่ขาหัก หมอได้ยินได้ฟัง เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ  ทั้งลุงผู้เป็นพ่อ และเด็กหนุ่มคนนี้ ขอบคุณพระเจ้าเรื่อยๆ นะ ขาหักก็ยังขอบคุณพระเจ้าอยู่ จึงถามเด็กหนุ่มและพ่อว่าทำไมมีทัศนคติที่ดีอย่างนี้ แม้ขาหัก ไม่รู้รักษาหายหรือไม่หาย ก็ยังมีกำลังใจ ขอบคุณพระเจ้าอยู่  มีความชื่นชมยินดีอยู่ แม้จะมีสถานการณ์ที่ทุกข์ยากลำบาก ตามสายตามนุษย์ก็ตาม หมอก็อาจจะถามด้วยความสงสัย ด้วยการสังเกต แล้วพ่อกับลูกชายก็จะตอบว่า …

“เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูเป็นกำลังของเรา”

เขาประกาศข่าวดีให้กับหมอ แล้วในที่สุด หมอก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับความรอดมาถึงซึ่งการเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกับลุงและลูกชายคนนี้ ที่ขาหัก เห็นไหมความรอดไปถึงอีกทางหนึ่ง โดยที่พระเจ้ากำลังนำผ่านทางชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอะไรก็ตาม

นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ชีวิตของเราก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ เพราะฉะนั้น  ไม่ว่าเราจะอยู่ในอาการเช่นไร เราก็สามารถชื่นชมยินดีได้ เสมอ ตลอดเวลา  ในชีวิตของเรา เพราะว่าเราสามารถขอบคุณพระเจ้าว่าพระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในชีวิตของเรา ที่มนุษย์เห็นว่ามันเฮง หรือมันซวยก็ตาม แต่สำหรับเราที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทำให้สถานการณ์ ทั้งเฮง ทั้งซวย เหล่านั้น ให้เกิดเป็นผลเฮงลูกเดียว สำหรับเราทั้งหลาย ผู้ที่วางใจและเชื่อในพระองค์ และเป็นลูกของพระองค์แล้ว

เพราะฉะนั้น  ความคิดของเรามนุษย์ ไม่เหมือนความคิดของพระเจ้า  ผลดีคืออะไร? บางทีเรามองไม่เห็นหรอก ตามสายตามนุษย์ ตามตาเนื้อ และความรู้สึกที่เห็น มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ส่วนผลดีคืออะไร? จะเกิดขึ้นเมื่อไร เราไม่มีทางที่จะทราบได้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าความคิดของเรา ไม่เหมือนความคิดของพระเจ้า และข้อสำคัญคือเวลาของเรา ก็ไม่ใช่เป็นเวลาของพระเจ้า  เราบอกมันนานแล้ว รอมาตั้ง 10 ปี พระเจ้าบอกแป๊บเดียว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลดีแก่ชีวิตของเรา พูดแค่นี้ ตามทางของพระองค์ และตามเวลาของพระองค์ ไม่ใช่ให้เกิดผลดีตามใจเรา ต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดผลดี ตามใจเรา และตามเวลาที่เราต้องการ  อย่างนั้นไม่ใช่แล้ว  ถ้าเราบอกว่าตามน้ำพระทัย ตามใจพระเจ้า ก็ต้องวางใจในพระเจ้า รับรองได้ ออกมาเป็นผลดีอย่างแน่นอน

พี่น้องไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวประเสริฐหรือยัง? เป็นลูกพระเจ้าแล้วหรือยัง? ที่ฟังอยู่ขณะนี้  อยากจะบอกว่าขณะที่เราต้องเผชิญกับวิกฤตปัญหา หรือสถานการณ์ที่ โดยเฉพาะวิกฤตในขณะนี้ โควิดนี้ ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ถือว่าวิกฤตหนักนะ พระเจ้าจะทำ 2 อย่าง คือขจัดวิกฤตปัญหาเหล่านั้นให้กับเรา ซึ่งแน่นอน ทางเลือกนี้ เป็นสิ่งที่เราทั้งหลาย ปรารถนาเป็นอันดับแรก มนุษย์ต้องการอย่างนี้ ต้องการอัศจรรย์เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เป็นไปได้ ให้โควิดหยุด  มะรืนนี้เป็นไปได้ ให้มีการสร้างวัคซีนได้ทันทีเลย  ให้จบเหตุการณ์นี้ พระเจ้าช่วยด้วยเถิด ขอให้จบสักที นี่คือความต้องการของมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่พระเจ้าจะทำ 2 อย่าง ตามหลักพระคัมภีร์ คือ …

(1) ขจัดปัญหาไป พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้  หรือ …

(2) พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ที่วางใจในพระองค์ ให้มีเพียงพอที่จะอยู่กับปัญหานั้น  และสามารถเผชิญกับวิกฤตปัญหานั้นได้  ด้วยสันติสุข และความสงบสุขในพระคริสต์ พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเรา  ให้กับใครก็ได้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ฝากความหวังไว้ที่พระองค์ ฝากความหวังในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างนี้  พระเจ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นกำลังเพียงพอ สำหรับคนนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาพอเพียง ทั้งกำลังใจ กำลังกาย อะไรก็ตามในชีวิตนี้  ที่จะอยู่กับโควิดนี้  อยู่กับวิกฤตปัจจุบันได้ เผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ได้ โดยมีสันติสุขและความสงบในใจของเขา ซึ่งตามที่ยกตัวอย่าง แล้วผลดีจะเป็นอะไร ก็ไม่รู้ แต่รอไปเถอะ  อย่างไรก็จะเป็นผลดีในชีวิตเราแน่ ผลดีอันหนึ่งตอนนี้ที่เราเห็น คือเรามีสันติสุข มีความสงบสุข เราไม่กลัวจนเกินกว่าเหตุ เราอยู่ได้  แล้วที่เหลือก็ปล่อยเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า

มีตัวอย่างในพระคัมภีร์เหมือนกัน

แบบที่หนึ่ง ได้รับอัศจรรย์ อย่างเช่นตัวอย่างเปาโล … เปาโลที่รับใช้พระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ที่เคยได้รับการอัศจรรย์ ได้รับการรักษาจากพระเจ้าอัศจรรย์มาก ตอนที่เดินทางไปดามัสกัส  ตอนที่เขายังไม่เชื่อ พระเยซูได้ปรากฏให้เขาเห็นกลางทาง และได้พูดคุยกับเขา และหลังจากนั้นเขาตาบอด แล้วพระเจ้าก็รักษาเขาอย่างอัศจรรย์มาก ถือว่ามากที่สุด  ตาบอด แล้วเดินทางไปที่ดามัสกัส ไปคอยอยู่ที่ห้อง แล้วก็เริ่มอธิษฐานว่า …

“โอ้ พระเจ้า ลูกขอพระองค์ทรงรักษาลูกด้วยเถิด”

กลัวด้วยนะ เพราะตามองไม่เห็นเลย  พระเจ้าทรงรักษาเขาอย่างอัศจรรย์  ตาหายบอดอย่างอัศจรรย์ พอตาหายบอดอย่างอัศจรรย์ เขาก็เริ่มต้นกลับใจใหม่ เริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระเยซู  ออกไปพูดถึงข่าวดีของพระเยซู ให้คนมาเชื่อเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์

และต่อมา ในคนๆ เดียวกัน คือเปาโลก็ได้แบบที่สอง ที่พระเจ้าตอบเขา คือเปาโลมีความทุกข์ทรมาน ในสุขภาพของเขา อันหนึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่รู้ว่าหนักมาก สาหัสมาก เปาโลใช้คำว่าทรมานมาก เปาโลอธิษฐานขอพระเจ้าให้ช่วยในเรื่องนี้ ถึงสามครั้ง แล้วพระเจ้าตอบว่า …

“พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า และฤทธิ์เดชอำนาจของเรา จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความอ่อนแอของเจ้า”

แปลว่าอาการเจ็บป่วยที่ทุกข์ทรมานของเปาโลนั้น ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังคงเป็นต่อไป  แต่พระเจ้าประทานพระคุณ ประทานกำลังให้อาจารย์เปาโลสามารถที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วยนั้นได้อย่างมีความสงบสุข มีความสุข มีสันติสุข คืออยู่ได้  ถึงขนาดไหน? ถึงขนาดอาจารย์เปาโลพูดในข้อพระคัมภีร์ ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้อ่าน ดูสิว่าอาจารย์เปาโลมีสันติสุขขนาดไหน?  พูดว่าอย่างไร?

จากตัวอย่างของอาจารย์เปาโลจะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงกระทำ 2 สิ่งที่แตกต่างกันในคนเดียวนี่แหละ แต่ทั้งสองสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดเป็นผลดีสำหรับอาจารย์เปาโลเสมอ  ทั้งสองอย่างเลย  คือเปาโลสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสันติสุข มีความสงบ  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? ไม่ว่าได้รับการอัศจรรย์อย่างชัดเจน หรือว่าได้รับกำลัง ได้รับพระคุณให้มีสันติสุขก็ตาม นี่คือที่บอกว่าพระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นผลดี สำหรับชีวิตเราได้ ลองมาดูสิว่าอาจารย์เปาโลมีความรู้สึกอย่างไร?  2 โครินธ์ 12:8-10 ได้บันทึกอย่างนี้

2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละเพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

เห็นไหมครับ? อาจารย์เปาโลบอก เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดว่าเราเก่งเหรอ อวดว่าเราแข็งแรง อวดว่าได้รับอัศจรรย์จากพระเจ้า  ไม่ใช่เลย … ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ทรมาน  ถามว่าเพื่ออะไร? เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า  จะได้สำแดงออกมาให้คนเห็น

ข้อ 10 บอกว่าด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ กลับกลายเป็นปิติยินดีในความเจ็บป่วยอีก  แต่อยู่ในใจปิติยินดี  ถ้าพระเจ้าไม่รักษาให้หาย ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ก็จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความเจ็บป่วย ในความอ่อนแอของเรา พระคุณของพระองค์ยังอยู่ตรงนี้แหละ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

แล้วข้าพเจ้ายังชื่นชมยินดีในความอ่อนแอ ชื่นชมยินดีในการถูกสบประมาท ชื่นชมยินดีในความยากลำบาก ชื่นชมยินดีในการถูกกดขี่ข่มเหง เขาเอาหินขว้างเปาโล ก็เคยโดนมาแล้ว ชื่นชมยินดีในความยุ่งยาก ถามว่าเพราะอะไร? ทำไมอาจารย์เปาโลจึงชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้  ฟังให้ดี เพราะเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าเข้มแข็ง ก็คือเมื่อนั้น ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเข้ามา เข้มแข็งได้

ถ้าเป็นตอนนี้เราอาจจะพูดกันว่าข้าพเจ้าชื่นชมในวิกฤตโควิด-19 ตอนนี้ ชื่นชมภายใน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเหลือเกิน ทุกวันตื่นขึ้นมา ก็มีแต่ความหวาดกลัว กลัวเชื้อโรคติด กลัวลูกจะติด กลัวครอบครัวจะติด ตื่นขึ้นมากลัวเงินที่เก็บไว้จะหมด เงินที่ไม่ได้เก็บไว้ก็จะหมดไปแล้ว กลัวต่างๆ นานาเยอะแยะตามข่าวสาร ต้องรีบวิ่งเข้าไปซุกศีรษะไว้ในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ อธิษฐานด้วยความอ่อนแอ อ่อนกำลัง ให้พระเจ้าเล้าโลมจิตใจทุกวันๆ จนเกิดความกล้าหาญขึ้นมา เดินออกจากห้อง อยู่ได้ไปอีก 1 วัน  ทั้งๆ ที่ตื่นเช้าขึ้นมาความกลัวรอบข้างตลอดเวลา แต่พระเจ้าปลอบโยน ให้สามารถอยู่ได้  เห็นไหม? จับความกลัวให้มัน กลายเป็นทาสเรา อย่างนี้เป็นต้น

เปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีเลย ตัวอย่างแบบอาจารย์เปาโลก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนเลยนะ ไม่มียกเว้น บางครั้งอธิษฐานขออะไรบางอย่าง  พระเจ้าก็ประทานให้กับเราตามที่เราขอ แต่บางครั้งก็อธิษฐานไปตั้งนานแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ตอบ แล้วจริงๆ พระเจ้าตอบไหม? ถามว่าดูเหมือนเงียบเลย พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย ขอพระเจ้าทรงรักษาให้หายจากโรคนี้ ทรมานมาตั้งนานแล้ว  ไม่หายเลย 10 ปี 20 ปี มันก็ยัง เอ๊ะ หันหลังกลับไป

“20 ปีผ่านมา อยู่ได้อย่างไรหนอ ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้กิจการงานเจริญรุ่งเรืองเถิด ลูกก็ทำดีทุกอย่าง ทำทุกอย่างตามที่พระองค์บอกแล้ว  มันไม่เห็นรวยเหมือนเขาเลย คนอื่นเขาไม่เชื่อพระเจ้า เขายังทำงานร่ำรวยได้เลย แล้วทำไมลูกไม่ได้ร่ำรวยสักที”

เหมือนไม่ตอบเราแล้ว เงียบ แต่หันหลังกลับไป  พระเจ้าถามว่า …

“แล้ว 20 ปี 30 ปีที่ผ่านมา แกขาดอะไรบ้าง?”  ยังมีชีวิตอยู่ ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ได้ บางทีก็เป็นอย่างนั้นนะ

ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าตอบแล้ว  แต่เราแกล้งไม่ได้ยิน หรือเราไม่อยากจะได้ยิน  ก็คือตอบแบบที่ตอบเปาโลไง ตอบว่าอย่างไร?

“พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า พระคุณเพียงพอ สำหรับความทุกข์ยากลำบากของเจ้า  พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับความเจ็บป่วย เจ็บปวด ปัญหาต่างๆ ที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ พระคุณความรักของเราเพียงพอ และฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะสำแดงทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า”

นี่แหละ ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า มีกิน ไม่มีกินบ้าง เจ็บป่วยบ้าง แข็งแรงบ้าง  หรือเจ็บป่วยแล้วไม่ค่อยแข็งแรงด้วย อยู่ได้  ในใจเข้มแข็งได้  อะไรอย่างนี้ เวลามันดีๆ ใครๆ ก็ทำได้ ให้มีความชื่นชมยินดี แต่อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป และมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย และเสมอไป แน่นอน คืออยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เป็นเรื่องจริงเลย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้า โลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว มันตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง ซึ่งมาจากบรรพบุรุษแล้ว  มันไม่มีทางที่จะแก้ไข มันต้องเป็นอย่างนี้แหละ  มันต้องทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ใต้ฟ้านี้ มันมีความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัสอยู่บนโลกในนี้แล้ว  แต่พระเจ้าสามารถพาท่านเดินผ่านทะลุความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี

เพราะฉะนั้น  นี่คือสิ่งที่เราควรจะน้อมคิดในใจของเราว่าพระเจ้าตอบเราแล้ว แต่เราไม่ค่อยอยากได้รับคำตอบอย่างนี้  เพราะใจเราอยากจะตอบว่าพระเจ้าให้เรารวยเลย แล้วรวยเท่าไรถึงพอ ท่านลองคิดดูสิ ถ้าท่านขอพระเจ้าสักหมื่นหนึ่ง ท่านคิดว่าท่านได้หมื่นหนึ่ง ท่านพอไหม?  ครั้งต่อไปท่านจะอธิษฐานขอพระเจ้าห้าพันไหม? ผมว่าไม่หรอก เพราะระบบของโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น เนื้อหนังมันไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันก็จี้ท่าน พอท่านได้หมื่น ท่านก็จะขอพระเจ้าเป็นแสน แล้วพระเจ้าก็ให้อีก ให้แสนหนึ่ง แล้วท่านจะพอไหม?  พอแล้วแสนหนึ่ง มันก็เหมือนเดิม แต่หนักขึ้น ก็คือก้อนมันใหญ่ขึ้น ภาระมากขึ้น  วิตกกังวลมากขึ้น  ท่านก็ขอพระเจ้าล้านหนึ่ง พอได้ล้านหนึ่ง ระบบของโลกก็จี้ท่านอีก ส่งสัญญาณที่ความคิดของท่าน ให้โลภต่อ ท่านจะขอพระเจ้าไหม พระเจ้าตอนนี้มีล้านหนึ่ง ขอลดลงเหลือแค่ห้าแสนก็พอแล้ว  ไม่มีหรอก เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้

นี่คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ นี่แค่เห็นชัดๆ เรื่องเดียว เรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ท่านก็ขอไปสิบล้าน  แล้วก็ไปร้อยล้าน  แล้วก็เป็นพันล้าน  แล้วก็เป็นหมื่นล้าน ขณะที่ดำเนินการไปเรื่อยๆ ในกิเลสความโลภนี้  สิ่งหนึ่งที่ท่านจะสูญเสียไป ก็คือความรักของพระเจ้า ท่านก็เริ่มเอาเปรียบคนอื่น  ท่านจะเริ่มเห็นแก่ตัว ท่านจะเริ่มเบียดเบียนผู้อื่น  แล้วในที่สุด ท่านจะเริ่มโกงบ้าง โกงอย่างบริสุทธิ์ โกงอย่างแอบๆ โกง ท่านเริ่มทำบาป ที่เรียกในใจว่าบาปบริสุทธิ์

พระเจ้าพอใจให้ท่านมีชีวิตอย่างนั้นเหรอ แล้วมันมีสันติสุขไหม? ไม่มีเลย  พระเยซูบอกการให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ อย่างนี้ ท่านจะให้ได้อย่างไร ในเมื่อท่านจะกอบโกยตลอดเวลา  บางคนบอกเขาให้ไปตั้งล้านหนึ่ง  ขณะที่ท่านมีเป็นพันล้าน ให้ล้านหนึ่งเหรอ แต่สำหรับคนที่เขาให้ เขามีแค่พันเดียว แต่เขาสามารถให้เป็นร้อย ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่ามันต่างกัน มันไม่ได้อยู่ที่ความคิดของมนุษย์เป็นอย่างนั้น

หรือว่าเปรียบเทียบกับสุขภาพก็เหมือนกัน  ที่เราขอพระเจ้า รักษาให้หาย เท่าไรถึงพอ ถามตัวเองสิ  สมมติว่าท่านเป็นภูมิแพ้ ท่านขอพระเจ้าหายจากภูมิแพ้ พระเจ้าทำอัศจรรย์ หายจากภูมิแพ้เลย  แล้วท่านหยุดอยู่แค่นั้นไหม? ต่อไปท่านจะไม่เป็นโรคอะไรอีกเลย ใช่ไหม?  ถ้าไม่เป็นอะไรอีกเลย แล้วท่านจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร? ท่านจะดูแลตัวเองไหม? สุขภาพเป็นอย่างไร? ท่านจะไม่เย่อหยิ่งหรือ? ท่านแน่ใจใช่ไหม?  ในที่สุด ท่านก็จะต้องพลาดในความเย่อหยิ่ง ในความแข็งแรง เอาความแข็งแรงนั้นไปทำอะไรต่างๆ  ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มเติมขึ้นไปในร่างกายของท่าน แล้วท่านต้องการอะไรอีก นี่ก็คืออย่างที่บอก

ถ้าเราจะเอาทั้งหมดนี้ มอบให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินให้เราไม่ดีกว่าหรือ? เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์บอก จงวางใจในพระเจ้า พระองค์ฉลาดกว่าเราเยอะ พระองค์รู้หมดแล้วอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้ ข้างหน้า ในอนาคต ในชีวิตของเรา  จงวางใจในพระเจ้า แล้วมอบภาระให้กับพระองค์ทั้งหมดเลย  ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินว่าสถานการณ์หรือวิกฤต ปัญหาต่างๆ  เราควรจะจัดการอย่างไร?  หรือพระองค์จะจัดการอย่างไรให้มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราบ้าง  เราควรจะเผชิญอย่างไร ที่เหมาะสมที่สุด สำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน  และให้มันเกิดผลดีที่สุด ในชีวิตของเรา ซึ่งรวมๆ ระยะยาวๆ  และไม่ใช่เกิดผลดีในชีวิตของเราอย่างเดียว  แต่เกิดผลดีในชีวิตของเรา และไปถึงผลดีสำหรับผู้คนอื่นๆ รอบข้าง อย่างนี้เขาเรียกว่าความรัก ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเห็นแก่ตัว เพื่อตัวเอง แต่อยู่เพื่อคนอื่นเขาด้วย บางทีเรายอมทุกข์บ้าง  เพื่อให้คนอื่นเขาได้สิ่งที่ดีๆ ไป ก็ต้องยอม อย่างนี้เป็นต้น พระเจ้าจะนำพาชีวิตเราอย่างนั้น  เมื่อวันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์ เราจะดีใจมาก …

“พระเจ้า ขอบคุณมากเลย ที่นำพาลูกอย่างนี้ ดีแล้วที่ลูกไม่เดินด้วยตัวเอง  คงจะเห็นแก่ตัวกว่านี้เยอะเลย”

เพราะฉะนั้น ในชีวิตของเรา  และในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น  พระเจ้าทรงทราบหมดทุกอย่าง แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น  และอย่างไร? รู้ลึกซึ้งกว่าเราเยอะ เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ เกินกว่าที่จะอธิบายให้เราฟังว่า …

“ทำไมพ่อถึงนำพาลูกเป็นอย่างนี้ ทำไมพ่อไม่รักษาลูกให้หายปล่อยให้ลูกเจ็บปวดทรมาน  ขอตั้งสามครั้ง”

ผมเคยขอพระเจ้าไม่ใช่ 3 นะ 300 ครั้ง ไม่เข้าใจ แล้วถามว่าทุกวันนี้ เข้าใจใช่ไหมว่า 300 ครั้ง ความทุกข์ทรมาน พระเจ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น  มาเป็นเวลา 10 ปี 20 ปีแล้ว ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือ? ไม่เข้าใจหรอกครับ แต่วางใจมากขึ้น เพราะว่าประสบการณ์ผ่านมา 20 กว่าปี มันทุกข์ทรมานจริงๆ   ไม่ต่างอะไรจากเปาโลเลย เพราะแต่ละคนก็มีภาชนะในตัวเองที่เรารับไว้ไม่เหมือนกัน แต่ละคนจะไปวัดไม่ได้ คนนี้แค่นี้ทำไมทุกข์แล้ว ก็ได้แค่นั้น พระเจ้าให้เขาแค่นั้น  คนนี้ได้เยอะ คนนี้ได้น้อย ไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกมันทุกข์เท่ากันหมดทุกคนแหละครับ

เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่าไม่ว่าสถานการณ์ต่อหน้าท่าน ต่อหน้าเรา  จะเป็นเช่นไรก็ตาม ต่อหน้าเราจะเป็นวิกฤตโควิด-19 รอบข้างมีแต่คนเจ็บป่วย ล้มตาย ทรมาน อดอยาก มืดมน ไม่มีที่จะไป จงจำไว้ว่าพระเยซูคริสต์ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เมื่อเราวางใจในพระองค์ต้อนรับพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเยซูคริสต์และพระเจ้าเจ้า 3 พระภาคจะทรงนำหน้าเราอยู่เสมอ จูงมือเราเดินอยู่เสมอ ตลอดเวลา ผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้ อย่างแน่นอน และทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ท่ามกลางการเดินไปกับพระองค์นั้น ให้เกิดเป็นผลดีแก่เราทั้งหลายผู้ที่เป็นลูกพระองค์ และเกิดเป็นผลดีสำหรับผู้อื่น รอบข้างชีวิตของเราด้วย ซึ่งเราก็อยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเขาจะรู้จักเราหรือไม่รู้จักเราก็ตาม เขาเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราอยากให้สิ่งที่ดีที่สุด เกิดขึ้นกับเขา

นี่แหละ เขาถึงเรียกว่าชีวิตแห่งการรับใช้ ชีวิตที่มอบให้พระองค์ทำ เพราะฉะนั้น บางครั้งมันเจ็บปวดบ้าง  แต่มันไม่เกินไป เพราะพระเจ้าประทานกำลังให้กับเรา  ประทานพระคุณให้กับเราเพียงพอเสมอ สำหรับทุกอย่างที่พระองค์ทรงใช้เรา เพราะฉะนั้น ให้พระเจ้าจูงมือเราเดิน ย่อมดีกว่าที่จะเดินโดยลำพังโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีพระเจ้า กับพระเจ้าสถิตอยู่กับเราถึง 3 พระภาค พระเจ้า พระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้งสากลโลกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด บัดนี้ พระองค์สถิตอยู่ด้วยกันในร่างกายของเรา พระเจ้ากับวิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน และพระองค์จะทรงนำเราไปตลอด ชั่วชีวิต ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะมืดมนขนาดไหน?  ไม่ว่าจะดีหรือเลวขนาดไหน ตามสายตามนุษย์ พระเจ้าอยู่กับฉันเสมอ และจูงมือฉันเดินอยู่ตลอดเวลา  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2020 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มีนาคม  2020

 เรื่อง “อย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ครั้งที่แล้ว ผมได้ยกข้อพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ว่ามันเป็นแผนการของพระเจ้าที่พระองค์ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ที่จะมาสถิตอยู่ในมนุษย์ พระเจ้าได้พูดล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ในพระคัมภีร์เดิมเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราเรียกกันว่าการเผยพระวจนะ การบอกล่วงหน้า หนึ่งในจำนวนนั้น อยู่ในอิสยาห์ 41:10 ที่เราอ่านกันไปครั้งที่แล้ว

อิสยาห์ 41:10 “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นและจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

ตอนนี้ สำหรับผม ผมอยากจะอ่านอย่างนี้ว่า … “พาสเตอร์อย่ากลัวเลย เพราะพวกเราฟังอยู่ อย่าท้อแท้พูดต่อไป เพราะพวกเราเป็นสมาชิก จงเข้มแข็งเถิด มีคนฟังอยู่จริงๆ” อะไรอย่างนี้

เมื่อตะกี้ที่เราอ่านอิสยาห์ 41:10 นี่แผนการของพระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าจะมาอยู่กับมนุษย์ ก็คือพระองค์จะประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติทั้งปวง และพระองค์เอง และพระเยซูคริสต์ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ทั้งหลาย เป็นหนึ่งเดียวกัน ครั้งที่แล้วเรียนรู้ไปตอนต้น และแผนการของพระเจ้าก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว หลังจากที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน ที่ได้เตรียมไว้เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ในฮีบรู 13:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 13:5 “อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้าแล้ว เราจะไม่ทอดทิ้ง เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

 

หมายถึงพระเยซูบังเกิดแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมวลมนุษยชาติแล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามแล้ว  และใครก็ตามที่เชื่อตรงนี้  เปิดใจต้อนรับพระเยซู เขาก็จะได้รับการผ่าตัดวิญญาณ  ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้า  ได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณ สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปสถิตอยู่กับเขา ร่วมกับวิญญาณเขา อยู่ในร่างกายของเขาทันที ฮีบรู 13:5 ที่เมื่อกี้ได้อ่าน … “อย่ากลัวเลย เราคือพระเจ้า 3 พระภาคอยู่กับเจ้าแล้ว และจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหนอีกแล้ว  แล้วจะไม่ละเจ้าไปไหนอีกเลย เพราะอยู่กับเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน

เพราะฉะนั้น เราจะมาดูว่าที่บอกว่า … “อย่ากลัวเลย เราสถิตอยู่กับเจ้าแล้ว” ตอนนี้ ตอนที่ 2 จะเน้นเรื่องอะไร? เราจะเน้นเพราะว่าตอนนี้ทุกคนกลัว พระเจ้าจึงบอกว่าอย่ากลัวเลย  เพราะเรากลัว ติดเชื้อไวรัส กลัวมาตรการที่ต้องกักตัวอยู่ในบ้าน เห็นแห่ตุนของหมดชั้น หมดตู้ อันนั้นแพงขึ้น จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เริ่มต้นกลัว จะไม่มีอะไรกิน จะไม่มีเสบียง ต้องแย่งกันซื้อ ต้องกักตุนหรือเปล่า ตามเขาหรือเปล่า? หรือธุรกิจที่เราเกี่ยวข้องอยู่ เขาต้องปิดตัวชั่วคราว กลัวว่าจะขาดรายได้ไป  ไม่มีเงินจะทำอย่างไร? เพียงพอค่าใช้จ่ายหรือไม่?  คนที่มีครอบครัว มีลูกก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น จะมีเงินมาเลี้ยงครอบครัวไหม?  ลูกจะไปเรียนหนังสืออย่างไร? จะติดเชื้อโรคตัวนี้ไหม? ยังเด็กอยู่ กลัวเยอะแยะไปหมดตอนนี้  มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องตกใจ  ไม่มีใครไม่กลัว  เพราะฉะนั้น พี่น้องเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะบรรยายในวันนี้ว่าอย่ากลัวเลย เราอยู่ในเจ้า ตอน 2 ย้ำอีกที เพราะจริงๆ แล้วความกลัวเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษยชาติ ฟังให้ดีๆ ปฏิกิริยาของความกลัว มันอยู่ในมนุษยชาติทุกคนอยู่แล้ว ตราบใดที่โลกใบนี้ยังถูกควบคุม และดำเนินการโดยมาร ผ่านทางความกลัว การบีบบังคับ ผ่านทางการข่มเหง จากนั้น มนุษย์ทุกคนอยู่ท่ามกลางโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เราอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราอยู่ในระบบโลกนี้  แม้ว่าเราจะเป็นลูกพระเจ้าแล้วในวิญญาณ แต่อย่างที่บอก พระเยซูบอกว่าท่ามกลางบนโลกนี้  เราจะทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราชนะโลกแล้ว  ก็คือพระเยซูชนะโลกแล้ว ได้รับชัยชนะแล้ว แต่เรายังอยู่ในโลก กระแสของโลก ทำให้เราเกิดความกลัวได้ เป็นเรื่องธรรมดา

เบอร์หนึ่งเราต้องยอมรับก่อนว่าความกลัวเป็นเรื่องธรรมดา จะได้ไม่ตกใจ พอเรากลัวปุ๊บ เราก็เริ่ม …

“เพราะฉันไม่มีความเชื่อ ฉันถึงกลัว เพราะฉันไม่ได้ ประกาศข่าวประเสริฐเลย ฉันจึงกลัว”

ไม่จริง กลัวทุกคนแหละครับ ถ้าไม่กลัว พระเจ้าคงไม่บอกว่าอย่ากลัวเลยๆ  เพราะพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ทั้งใหม่และเก่าก็บอกอย่ากลัวเลย  พระคัมภีร์ก็บอกแล้วว่ามารซาตาน มาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ยอห์น 10:10 บอกไว้

ยอห์น 10:10 “ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”

 

ที่พระเยซูบอกว่าขโมยมา เพื่อลัก ฆ่าและทำลาย  มารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย ด้วยวิธีทำให้มนุษย์เกิดความกลัว แต่เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดได้เข้ามาสถิตอยู่ในเราถึง 3 พระภาคแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว  เราก็จะมีฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในร่างกายของเรา เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา ให้เรามีพลังฤทธิ์อำนาจนี้ สามารถอยู่เหนือความกลัวได้ ไม่ได้ขจัดความกลัวออกไป แต่เอาฤทธิ์อำนาจนี้ทับความกลัวไว้อีกที ให้มันสยบลง มันจะอยู่ ก็อยู่ไป พระองค์บอกว่าเหมือนสุนัขที่ดุมากๆ ซึ่งไม่มีกรง มันกัดเราเมื่อไรก็ได้  แต่ตอนนี้สุนัขดุๆ นั้น พระเจ้าเอากรงใส่ สุนัขยังอยู่ไหม? อยู่  แต่มันกัดเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะมีกรงกั้นไว้แล้ว แค่มากก็ข่มขู่  เราก็หัวเราะไป กัดเราไม่ได้แล้ว แกกัดฉันไม่ได้แล้ว จบ มันเป็นอย่างนั้น ยอห์น 14:26-27 ได้บอกเลยว่าทำไมเราไม่ต้องกลัวมัน เพราะพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว กลัวอะไรล่ะ

ยอห์น 14:26-27 “26 แต่องค์ที่ปรึกษาคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเราจะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อนและอย่ากลัวเลย”

 

อย่ากลัวเลย  เรามีองค์แล้ว  3 พระภาคอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าอยู่กับเราแล้ว ตอนนี้ เราเลือกได้แล้ว เลือกที่จะกลัวก็ได้ เลือกที่จะไม่กลัวก็ได้ สมัยก่อนเราเลือกไม่ได้ เรามีแต่กลัวลูกเดียว เพราะว่าวิญญาณเราเป็นทาสมาร วิญญาณเราเป็นทาสระบบของมาร เมื่อมันข่มขู่เรา ข้างในเราก็จะตายอยู่แล้ว  ก็เลยกลัวเข้าไปใหญ่ พอกลัวก็เกิดความโลภ นี่คือการงานของมารเท่านั้น พอกลัวปุ๊บ เกิดความโลภ … โลภ เพราะเกิดความเห็นแก่ตัว อันนี้เป็นหลักใหญ่เลย สำคัญ จำไว้เลยว่าถ้าท่านต้องการลดความเห็นแก่ตัวลง ดำเนินด้วยความรัก เพราะความกลัว พยายามไปปั้นความรักขึ้นมา มันไม่ได้ ตราบใดที่มีความกลัวอยู่ ความรักจะไม่เกิด ถ้าความกลัวมันเยอะ ความรักมีน้อย ถ้าความกลัวมีเยอะ ความเห็นแก่ตัวมีมาก พยายามลดความเห็นแก่ตัว ต้องกลัวน้อยลง นี่เป็นหลักการ เพราะฉะนั้น ความกลัวจึงทำให้เกิดความชั่วร้ายต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมด ทั้งความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งผยอง ความทะเยอทะยาน การลัก ฆ่า ขโมยและทำลาย  ก็คือมารซาตานนั่นเอง ความชั่วร้ายทุกประการ มาจากความกลัวที่มันส่งเข้ามาก่อน กลัวว่าเขาจะมาแย่งตำแหน่งเรา เพราะฉะนั้น เลื่อยขาซะเลย วางแผนใส่ร้ายเขา อะไรอย่างนี้ นี่คือความกลัวทั้งนั้น กลัวว่าจะไม่มีกิน กลัวว่าจะเจ๊ง เพราะฉะนั้น โลภไว้ก่อน เอาเท่าไร ก็หยิบมาเอาไว้ก่อน โลกนี้มันพินาศก็อย่างนี้ จะเห็นภาพเลยว่าระบบของโลกใบนี้ อย่างเช่นเอาง่ายๆ โพลูชั่น มลภาวะเกิดจากโลกร้อน  มันก็เกิดจากความเห็นแก่ตัว ถามว่าเห็นแก่ตัวเพราะอะไร?  เพราะว่ากลัวไง เริ่มจากจุดเล็กๆ กลัวจะไม่มี กลัวจะไม่พอ  ก็เลยกอบโกย เป็นความโลภ การเกินพอดี เขาเรียกว่าโลภ คือการหามาใส่ตัวเอง พอดีๆ ก็ไม่ได้โลภ โลภ มันคือเกินพอ โลภ คือการเห็นแก่ตัว พอโลภมากๆ มันก็เกิดการเห็นแก่ตัว ทำลาย ทำร้ายโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นทำโรงงาน แล้วปล่อยน้ำเสียออกมา ปล่อยสารพิษออกมา เพื่อจะขายอะไรต่างๆ ที่ตัวเองทำมา เพื่อจะได้ความร่ำรวย อะไรอย่างนี้ แล้วมันก็จะเป็นระบบซับซ้อนไปเรื่อยๆ ว่าทุกคนก็มีความกลัว ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว แล้วก็ทำเพื่อตัวเอง และทำร้ายคนอื่น ทำลายโลกใบนี้  โดยไม่รู้ตัว เยอะแยะไปหมด ท่านก็สามารถเอาตรงนี้ไปวิเคราะห์ ทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้ได้ มันเกิดจากความกลัวทั้งสิ้น เมื่อขจัดความกลัวได้ สิ่งเหล่านี้ ก็จะลดน้อยลง

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าบอกเราว่าอย่ากลัว ก็แสดงว่าพระองค์สามารถทำให้เราไม่กลัวได้  แล้วเมื่อพระองค์บอกว่าอย่ากลัวเลย บางคนไม่เข้าใจ พอพระเจ้าบอกว่าอย่ากลัว บางคนก็บอกว่าพระเจ้ากำลังตำหนิเราว่า …

“เจ้ากลัว ทำไมไม่เชื่อ นี่พ่อนะ ทำไมไม่เชื่อพ่อ  เจ้าทำบาปนะ เจ้ากลัว แทนที่จะเชื่อ เจ้ามีความเชื่อน้อยจริงๆ เลย ทำไมกลัวล่ะ”

ไม่ใช่ท่าทีของพระเจ้า  อย่าลืมว่าพระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นความรัก เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความดีงาม ในพระองค์ไม่มีความมืดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง  ไม่มีความชั่วร้ายเลย  ตรงกันข้ามกับมาร ในมารมีแต่ความชั่วร้ายอย่างเดียวโดดๆ 100% คือชั่ว ดำมืด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีขาวเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะฉะนั้น พระเจ้าเป็นความดีงาม

ดังนั้น เวลาพระเจ้าบอกเราว่าอย่ากลัวเลย พระเจ้าพูดในท่าทีที่ไม่ใช่ตำหนิเรา ไม่ใช่ท่าทีที่ว่าจะกล่าวตักเตือนเรา  ไม่ได้ตั้งใจจะตักเตือนเรา  หรือกำลังบอกเราว่าเจ้าไม่ดี  ไม่เชื่อพ่อ พ่อบอกอย่ากลัวเลย  ไม่ใช่ ไม่ใช่ท่าทีนั้น ฟังให้ดีๆ นะ ถ้าท่าทีอะไรล่ะ ตรงกันข้ามกับที่เราคิด หรือมารพยายามใส่ภาพพระเจ้าให้เราเห็นว่าพระเจ้าโกรธมาก เราไม่เชื่อ ไม่ใช่เลย  แต่พระเจ้าเวลาพูดกับเราว่าอย่ากลัวเลย  เป็นท่าทีของความรัก ความห่วงใย เป็นการแสดงการปกป้องคุ้มครอง ดูแล เป็นการแสดงถึงความรัก ความหวงแหน ความห่วงใย การป้องกันภัยให้กับลูกเล็กๆ  ที่กำลังกลัว ตกใจ

ถ้ายังไม่เห็นชัด ผมจะยกตัวอย่างให้เหมือนเรามีลูกเล็กๆ เวลาเขาหกล้ม ถูกแมลงกัด ถูกน้ำร้อนลวก หรือถูกรังแก ตกใจกลัว วิ่งมาหาพ่อแม่ เราคิดดู แล้วเราบอกว่า …

“ทำไมไม่เชื่อฉัน”

ไม่ใช่เลย เราทั้งหลายก็เป็นลูกเล็กๆ ของพระเจ้า แล้วพระเจ้าทำอะไรกับเรา แล้วเราทำอะไรกับลูกของเรา เหมือนกัน ลูกวิ่งเข้ามาหาเรา ถูกรังแก หรือถูกแมลงกัดต่อย ถูกไฟช๊อต ถูกน้ำร้อนลวก อะไรต่างๆ วิ่งมา ตกใจกลัว พอเจ็บปุ๊บ ลูกจะร้องหาพ่อแม่ก่อนเลย ร้องว่าอย่างไร?

“พ่ออยู่ไหน? แม่อยู่ไหน?”

แล้วเราก็จะตอบว่า “แม่อยู่นี่ … พ่ออยู่นี่แล้ว อย่ากลัวเลย ไม่เป็นไรหรอกนะ แม่จะทายาให้ ไม่ต้องกลัวๆ” แล้วคนไทยเราชอบทำอะไร? “โอมเพี้ยง หายแล้วๆ”

นี่คือท่าทีที่พระเจ้าบอกเราว่าอย่ากลัวเลย  พระเจ้าทำกับเราอย่างนี้เหมือนกัน หลังจากที่บอกเราว่าอย่ากลัวๆ เลย เพราะเราอยู่กับเจ้า ไม่เป็นไร เราอยู่ที่นี่แล้ว พ่อแม่อยู่ที่นั่นแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้ว อย่างนี้ เหมือนกัน ตอนนี้ เรากลัวหมด รายได้ไม่มี รายได้ขาด มองไปมืดไปหมดเลย โรคภัยไข้เจ็บก็เยอะ ออกจากบ้านก็ไม่ได้ แล้วมันจะถึงเมื่อไร? อีกกี่ปี? กี่เดือน?  ถึงจะกลับมาคืนปกติได้  เรากลัว เป็นเรื่องธรรมดา ถูกน้ำร้อนลวก เซ้นต์มันก็บอกกลัว  ถูกยุงกัด ถูกแมลงกัดต่อย ตกใจ ถูกคนเขาข่มเหงรังแก ถูกคนเขาขู่ ตกใจ วิ่งไปหาพ่อแม่ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ตอนนี้ท่านถูกขู่ จากระบบของโลกใบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา ติดเชื้อไวรัส ไวรัสมีตัวใหม่มาอีก 30 ตัว 50 ตัว ทำมาหากินไม่ได้แล้ว จะอยู่อย่างไร? เกิดความกลัวทั้งนั้น เป็นเรื่องธรรมดา วิ่งไปหาพ่อเราเลย ไปหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะกอดเรา แล้วบอกเราว่าเราอยู่กับเจ้าแล้ว เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหนเลย  เราจะไม่ละเจ้าเลย เราอยู่กับเจ้าตลอดเวลา แม้ขณะที่เจ้านอน เราก็อยู่ด้วย เรามองอยู่ตลอด ไม่ต้องกลัว เรารักเจ้า ไม่มีอะไรจะทำร้ายเจ้าได้เลย โอ๋ๆๆๆ เพี้ยงๆ ไม่ต้องกลัวนะ

เพราะฉะนั้น พระเจ้าบอกว่าอย่ากลัว เราคือพ่อของเจ้า เราจะชูเจ้าขึ้น ด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา แล้วบอกว่าจงนิ่งเสีย และรับรู้ว่าพ่อที่สถิตอยู่ในเจ้า เป็นพระเจ้านะ พ่อที่อยู่ในเจ้า เป็นพระเจ้า เอาอีกครั้งหนึ่ง พ่อเป็นพระเจ้านะ จงนิ่งเสีย และรับรู้เถิดลูกเอ่ย พ่อมีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้  ไม่มีใครมาทำอะไรเจ้าได้เลย แม้แต่นิดเดียว พระเจ้าผู้นี้แหละ ที่เป็นพ่อของเจ้า  และเจ้าเป็นลูกของเรา  ซึ่งเรารักอย่างมากมาย  เพราะฉะนั้น โอ๋ ไม่ต้องกลัวนะ พ่ออยู่กับเจ้าแล้ว นี่คือท่าทีของพ่อเรา คือพระเจ้า ที่สถิตอยู่กับเราแล้ว ตอนนี้  ใน 1 เปโตร 5:7 บอกไว้อย่างนี้ ความรู้สึกของพ่อกระวนกระวายใจมากเลย เมื่อเห็นลูกวิตกกังวล อย่ากลัว

1 เปโตร 5:7 “จงละความกังวลทั้งสิ้นของท่านไว้กับพระองค์  เพราะพระองค์ทรงห่วงใยท่าน”

 

“จงโยนเอาความวิตกกังวล ความกลัวต่างๆ มาให้เราเลย มาให้พ่อ พ่อดูแลเองได้ เพราะว่าพ่อห่วงใย พ่อรักและดูแลเจ้าได้ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว” นี่คือท่าทีของพ่อ

เรามาสรุปง่ายๆ เป็นหัวข้อชัดๆ ว่าเพราะอะไรเราจึงไม่ต้องกลัวเกินกว่าเหตุ เราจึงสามารถชนะความกลัว และอยู่ตรงนั้นได้ความกลัว ไม่สามารถทำร้ายเราได้อีกต่อไปแล้ว ก็เพราะว่า …

(1) พระจ้าสถิตอยู่ในเรา 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา

(2) พระเจ้าทรงรักเรา และอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย แม้แต่นิดหนึ่ง  ไม่เคยห่างแม้แต่นิดหนึ่ง อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ไม่มีใครมาทำร้ายเรา ทำอันตรายเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว  มั่นใจตรงนี้ไว้ บอกกับตัวเองไว้

(3) พระเจ้าทรงหวงแหนเรา ยิ่งกว่าแม่ไก่ดูแลลูกไก่ ปกป้องคุ้มครองเรา จากสิ่งชั่วร้าย สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายได้

(4) พระเจ้าผู้นี้ที่สถิตอยู่ในเรา สามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ให้มันเป็นผลดี เอื้ออำนวยให้เป็นผลดี สำหรับเรา ลูกของพระองค์ได้อย่างแน่นอน เพราะว่าพระองค์ทรงรักเรามาก พระองค์มีกำลังที่จะทำได้  ไม่ว่าสถานการณ์เกิดขึ้นกับเราจะเป็นเช่นไรในความคิดของเรา  มันอาจจะไม่ดี  มันอาจจะรู้สึกไม่ชอบใจ มันอาจจะทุกข์ อาจจะอะไรต่างๆ  แต่พระเจ้าสามารถทำให้สิ่งเหล่านั้น มันกลายมาเป็นผลดีสำหรับเราได้ พระคุณของพระองค์เพียงพอเสมอ สำหรับเราที่เป็นลูกของพระองค์ และฤทธิ์อำนาจของพระองค์จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความอ่อนแอของเรา  ที่เป็นลูกของพระองค์

ฉะนั้น สรุปสุดท้าย ก็คือวิธีที่จะเอาชนะความกลัวนั้น กดความกลัวลง ไม่ให้มันมีอิทธิพลในชีวิตของเราได้  ให้มันเป็นแค่ความรู้สึกเป็นแค่ระบบของโลกใบนี้ ที่เป็นร่างกายของเรา  ที่สัมผัสได้ วิธีที่จะเอาชนะความกลัวเหล่านี้  สรุปแล้ว วิธีแก้ไข ก็มี 2 ทาง ในทางวิญญาณกับทางร่างกาย  สรุปง่ายๆ สั้นๆ นะ

วิธีชนะความกลัวในทางวิญญาณ ก็คือ …

(1) ให้ใส่ข้อมูลของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงว่าเราเป็นใคร? ที่เราเชื่อแล้วว่าเป็นใคร? ใส่ข้อมูลของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้าเข้าไปในสมอง ความคิดของเราเยอะๆ  นี่ในทางวิญญาณ

(2) อธิษฐานวิงวอนขอบพระคุณ

(3) จดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อไปที่สวรรค์ ที่พระเจ้าสถิตอยู่ จดจ่อไปที่พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในร่างกายของเรา จดจ่อไปที่นั่น ให้รู้ตัวตลอดเวลา

(4) ให้ใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า  เหมือนที่เราได้ฝึกกันมา นั่งนิ่งๆ แล้วทบทวนถ้อยคำพระเจ้า ภาวนาถ้อยคำพระเจ้า …     นี่คือทางวิญญาณ

วิธีชนะความกลัว ในทางร่างกาย เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายก็มีระบบของร่างกาย มีกฎเกณฑ์ของเขาอยู่ เพราะฉะนั้น เราต้องเชื่อฟัง เคารพกฎเกณฑ์นี้ด้วยเช่นเดียวกัน  ก็คือ …

(1) ทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ไม่มีเวลาจะอธิบายให้ละเอียดทั้งหมด พอจะหาข้อมูลได้  เพราะอาหารสำคัญมาก สามารถทำให้เราเกิดความกลัวได้ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะกลัว ให้เราลดความกลัวได้ ก็เพราะอาหารสำคัญด้วย

ยกตัวอย่างที่เคยคุยกันเมื่อหลายปีก่อน อย่างเช่นลดน้ำตาลลง แป้งขัดขาว น้ำมันที่ไม่ดี น้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี ก็ค่อยๆ หาเวลามาทบทวนกัน เพราะฉะนั้น ต้องดูแลสุขลักษณะของเรื่องอาหารการกิน

(2) ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ต้องบังคับตัวเอง ไม่ใช่กลางคืนเล่นเกม เล่นอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่นอนอะไรต่างๆ เขาให้กักตัวเองอยู่บ้าน มีเวลาก็พักผ่อนเยอะๆ การพักผ่อนนอนหลับ ทำให้สู้กับโควิดได้ดีด้วย และสู้กับทุกอย่างได้ รวมทั้งสู้กับความกลัวได้ด้วย  ยังไม่มีเวลาอธิบายอย่างละเอียดในเรื่องนี้

(3) ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ อันนี้ก็ใช่  เวลาเรากลัวมากๆ  พอออกกำลังกายปุ๊บ ความกลัวหายไปเลย  อันนี้เรื่องจริงนะ  ส่วนจะหายไปมากน้อยเพียงใด ค่อยมาศึกษากัน ออกกำลังกายบ้างตามสมควร

วิธีเอาชนะความกลัว … ลดความเครียดลง อันนี้ก็ใช่ เมื่อเวลาเรายิ่งเครียด ระบบในร่างกายมันลวนหมด ความกลัวก็จะเพิ่มพูนขึ้น ไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ อย่างเช่น …

(1) ไม่เสพข่าวที่เป็นทางลบจนเกินไป  พอประมาณ พอเป็นข่าวสาร เป็นความรู้ พอจะปฏิบัติตัวอย่างไร? พอแล้ว ไม่ต้องให้มันเยอะ ให้มันสมดุล

(2) มีเวลาก็ภาวนาถ้อยคำพระเจ้าบ้าง  อ่านถ้อยคำพระเจ้า ภาวนา ท่องถ้อยคำพระเจ้า  สงบๆ  อยู่กับบ้านตอนนี้ มีเวลาเยอะหน่อย  แล้วก็พยายามที่จะทำสิ่งเหล่านี้

(3) แล้วถ้าทำไม่ได้จริงๆ ทำอย่างไร? บางครั้งก็ต้องปรึกษาแพทย์ บางครั้งไม่ได้เกี่ยวกับโลกวิญญาณแล้ว อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความเชื่อน้อย ไม่ใช่ มันเกี่ยวกับความเจ็บไข้ การป่วยทางด้านความคิด ธรรมดา ก็ปรึกษาแพทย์ได้ว่าเราควรทำอย่างไร? นอนไม่หลับ เครียดทำอย่างไร?  อย่าปล่อยให้มันสะสมมากจนกระทั่งแก้ไม่ได้ อธิษฐานกับพระเจ้า ปรึกษากับผู้รู้ที่เป็นคริสเตียน เป็นพี่น้อง คริสเตียน อธิษฐานร่วมกัน ปรึกษาหารือกัน พระเจ้าก็จะชี้ทางออกให้กับเรา

นี่คือขอบเขตคร่าวๆ ที่จะเอาชนะความกลัวในช่วงนี้  ซึ่งถ้าท่านปฏิบัติตัวตามนี้ ตามวิธีต่างๆ ที่บอกมาแล้ว ผลที่จะได้รับ คืออะไร? ฟิลิปปี 4:7 จะไปถึงท่านแล้ว

ฟิลิปปี 4:7 “แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

 

“แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจของมนุษย์ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่าน ไม่ให้มีความกลัวเกิดขึ้น จนเกินกว่าเหตุไว้ในพระเยซูคริสต์”

ในนี้ไม่ได้บอกว่าแล้วความร่ำรวยของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ ไม่ได้บอกอย่างนั้น

ในนี้ไม่ได้บอกว่าแล้วความสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ ก็ไม่ได้บอก ความสุขนะ เกี่ยวกับร่างกาย

แล้วก็ไม่ได้บอกว่าแล้วสุขภาพที่แข็งแรงอย่างมากมาย ที่พระเจ้าจะให้กับท่าน ซึ่งเกินความเข้าใจ ก็ไม่ได้บอกไว้อย่างนั้น

แล้วมีอะไรอีก แล้วท่านจะไม่มีปัญหาทั้งปวงเลย  ก็ไม่ได้บอกอย่างนั้น แต่ในนี้บอกว่า แม้อยู่ท่ามกลางปัญหา ความลำบากลำบน ความทุกข์ยากร่วมกับพี่น้องมวลมนุษยชาติบนโลก ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาประสบกับความทุกข์ยากลำบากอะไรต่างๆ นานาอย่างไร? เราก็ไม่ต่างอะไรกับเขา เราก็เป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้  แต่ถ้าเราเชื่อในพระเจ้า และวางใจในพระองค์ กระทำตามนี้ได้ สันติสุข คือความสงบของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ เราไม่เข้าใจ เราไม่นึกว่าเราจะทำได้ขนาดนี้  จะปกป้องความคิดจิตใจของเรา ไว้ในพระคริสต์ เราจะไม่กลัวจนเกินไป

เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่าไม่ว่าสถานการณ์ต่อหน้าเราจะเป็นเช่นใด  พระเยซูคริสต์จะทรงนำหน้าเราอยู่เสมอ พระองค์จะจูงมือเราผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้ และได้ด้วยดีทุกครั้งเสมอ เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่าไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้  ที่ท่านเห็น ที่ท่านได้ยิน ที่ท่านได้ฟัง ที่ท่านประสบอยู่เป็นส่วนตัวของท่าน เป็นส่วนตัวของกลุ่มของท่าน  ส่วนครอบครัวของท่าน  ส่วนของประเทศ ทำให้เกิดความหวาดกลัว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร?  จะเลวร้ายอย่างไร? หรือจะดีขึ้น หรือจะเลวร้ายที่สุดอย่างไร? จงจำไว้ว่าพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในท่าน ในผู้เชื่อ และพระองค์จะจูงมือผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้  ไม่ว่าสถานการณ์เหล่านั้น จะเลวร้ายขนาดไหน? ตามที่เราคิดก็ตาม พระเจ้าสามารถพาเราผ่านได้ พระคริสต์จะทรงนำหน้าเราทุกฝีก้าวในชีวิต จนกระทั่งถึงนิรันดร์ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************