คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2015 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 2 “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วน ในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  พฤศจิกายน  2015

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 2 “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วน

ในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ยังจำกันได้ไหมครับว่าช่วงนี้เราอยู่ในซีรี่ส์ของการบรรยาย “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 2

สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เริ่มอธิบายความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Identity in Christ”  และได้เน้นย้ำเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ว่าในการดำเนินชีวิตของพวกเรา ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา และให้รู้ตัวตนของตัวเองอยู่เสมอว่าตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้ เมื่อเรามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้  หรือตามกระแสของโลกนี้ ตามสังคมหรือผู้คนรอบข้างที่พูด หรือบอกมา เข้าหูเรามา แต่ตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ได้ถูกกำหนด โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ ต้องจำตรงนี้ให้แม่นเลยนะ เราจะได้รู้ ถ้าเรากำหนดผิดไปปุ๊บ เหมือนกลัดกระดุมเสื้อผิด เม็ดแรกเท่านั้นเอง เสร็จสุดท้าย ผิดหมด เสียเวลาเปล่าๆ

เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นหัวใจ เราคือใคร? ตัวตนจริงๆ คือใคร? ต้องไปดูที่การทำงานของพระเยซูคริสต์เพื่อเรา? ทำอะไรเพื่อเราบ้าง? ตรงนี้สำคัญที่สุด อย่าไปฟังโลกใบนี้ ที่เขาบอก เราอาจจะถูกหลอกได้

จำได้ใช่ไหมครับว่าครั้งที่แล้ว ผมได้อธิบายความแตกต่างของข้อมูลของตัวตน 2 ประเภท คือ.-

  1. ข้อมูลตัวตนที่แท้จริง ที่เรียกว่า True identity
  2. ข้อมูลตัวตนที่เป็นเท็จ ข้อมูลตัวตนปลอมนั่นเอง ที่เรียกว่า Liedentity

Liedentity ก็คือการปลอมแปลงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อหลอกคนอื่นบ้าง? หรือบางทีเราได้รับข้อมูลมาหลอกตัวเองบ้าง? ตั้งใจให้เขาหลอกบ้าง? หรือยินดีให้เขาหลอก ก็มี เพราะอยากได้อย่างอื่นแทน ความโลภ ทำให้เราถูกหลอก ซึ่งหมายถึงการหลอกลวงต่างๆ ชนิดต่างๆ นั่นเอง

ซึ่งบนโลกนี้ เราถูกรายล้อมไปด้วยข้อมูล Liedentity การหลอกลวงอย่างนี้เยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบัน  ยุคของข่าวสารข้อมูลผ่านกันง่ายๆ ทางอินเตอร์เนต ไลน์ เฟสบุ๊ค โกหกหลอกลวงเต็มไปหมดเลย ถือโอกาสเตือนท่าน เวลาใช้สื่อเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นไลน์ก็ตาม  เป็นเฟสบุ๊คก็ตาม หรือเป็นอินเตอร์เนตอะไรก็ตาม เวลาจะโพสต์อะไร? คิดให้ดีๆ ก่อนจะโพสต์ บางครั้งเรานึกว่าโพสต์เล่นๆ โพสต์ง่ายๆ ก็ส่งต่อ ดีนะ เรารู้ไหมว่าข้อมูลนั้น มันจริงหรือไม่จริง เวลาเราส่งไป มันไปแล้ว … แล้วคนอื่นส่งไปเรื่อยๆ ก็นึกว่าจริง เราก็ต้องรับผิดชอบนะ บางครั้งรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย แต่บางครั้ง ถึงแม้ไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย เราควรจะรับผิดชอบในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่ควรจะทำให้สังคมมันเสื่อมทราม หรือสกปรก ด้วยข้อความหลอกลวงเหล่านี้ ถูกเขาหลอกต่อมา เราก็ใส่ลงไปเลย เห็นไหม? เพราะฉะนั้นต้องพยายามคิดก่อนนะ คิดก่อนที่จะโพสต์ คิดก่อนที่จะกด ไม่ว่าจะ like กดอะไรแล้วแต่ สิ่งเหล่านี้สำคัญมากๆ เพราะว่าจะได้ช่วยกันลดขยะ ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องสังคมโลกนี้  ให้มันน้อยๆ หน่อยอย่างนี้ มีค่ามากยิ่งกว่า ที่เราเดินบนถนน เราเห็นขยะ แล้วเราหยิบเศษขยะนั้น ใส่ถังขยะนั้น อันนั้นก็ดีนะครับ แต่ตรงนี้ ตอนนี้ต้องช่วยกันเก็บ วิธีเก็บก็คือง่ายนิดเดียว ถ้าใครส่งมา เราอ่าน แล้วข้ามไปเลย ถ้าเราไม่รู้ความเป็นจริง ว่ามันจริงไหม? มันสำคัญไหม? แล้วมันเป็นจริงตามนั้นหรือเปล่า? เป็นประโยชน์ต่อผู้คนไหม?

คือจริงๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้ บางครั้งที่มันมาบอกเรา หรือเข้ามาในตัวเราเอง จริงๆ เราไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เราฟังบ่อยๆ เราได้ยินบ่อยๆ เราก็นึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ และในที่สุด พอเรานึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็นึกว่าตัวตนเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็เลยไปทำมัน ก็เลยเสียหายใหญ่โต  ทั้งตัวเราเอง ทั้งสังคมด้วย เรียกกันว่าถูกหลอกด้วยข้อมูลรอบข้าง นึกออกใช่ไหม? ข้อมูลรอบข้างบอกเรา  สัปดาห์ที่แล้วเราเรียนกันเรื่องนี้ไปนะ พอหลงเชื่อ แล้วมันจะเกิดปัญหาขึ้น พอถูกหลอก แล้วก็ผิดตัวตน แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้น

ครั้งที่แล้ว ผมยกตัวอย่างหลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้  เพื่อให้ท่านได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น ตัวอย่างลูกเศรษฐี จำได้ใช่ไหมครับ? ที่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วก็ถูกเลี้ยงเป็นขอทานใช่ไหมครับ จนในที่สุด ตัวเอง ก็นึกว่าตัวเองเป็นขอทานจริงๆ แล้วก็เลยปฏิบัติตัวเองเป็นขอทาน จนกระทั่งพ่อซึ่งเป็นเศรษฐีมาพบทีหลัง นี่เรื่องจริงนะ

หรือในทางกลับกัน ครั้งที่แล้วก็ยกตัวอย่าง ในฐานะของบางคน ที่เคยรวย เคยร่ำรวย แล้ว เกิดเป็นคนยากจน ติดหนี้ ติดสินมากมาย ไม่กล้าบอกลูก พอไม่กล้าบอกลูก … ลูกก็นึกว่าตัวเองยังเป็นลูกเศรษฐีอยู่ ก็ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไป ทำตัวเป็นเศรษฐี มันก็ลำบาก อันนี้ก็เรื่องจริงนะ อันนี้เรื่องจริงในสังคม ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเขาเอง และต่อสังคม ต่อผู้คนรอบข้างมากมายไปหมด เกิดความเดือดร้อน นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งลูกเขาก็ไม่เข้าใจ เห็นไหมครับ? ถามว่าเขาไม่เข้าใจเพราะอะไร? เพราะพ่อแม่ปิดบังความจริงไว้ พ่อแม่หลอกเขา โดยที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันเป็นการหลอกลวงไปแล้ว

หรืออีกอันหนึ่งที่ยกตัวอย่างครั้งที่แล้ว ซึ่งเป็นกรณีที่สำคัญมาก ที่ผมย้ำครั้งที่แล้วว่าอันนี้เป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดเลย  คือกรณีที่ถูกหลอกด้วยข้อมูลต่างๆ หรือแม้กระทั่งตั้งใจให้เขาหลอก เพื่อต้องการผลประโยชน์ต่างๆ ก็คือกรณีของพวกที่อ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษกว่าคนอื่นเขา สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ สามารถติดต่อกับโลกฝ่ายวิญญาณได้ หรือหนักกว่านั้น บางคนถึงขั้นอุปโลกน์ตัวเองว่าตัวเองเป็นพระเจ้าก็มี นี่เราก็ได้ยินบ่อยๆ ตัวเองเป็นพระเจ้าก็มี เหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างข้อมูล Liedentity

หรือตัวปลอมเข้ามาสู่ชีวิตของคนเหล่านั้น ซึ่งบางคนไม่รู้ตัวจริงๆ ถูกหลอกจริงๆ แต่บางคนรู้ว่ามันหลอก แล้วเลยสวมรอยหลอกไปเลย เพราะว่ามันได้ผลประโยชน์ มันได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญเข้ามา อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งการดำเนินชีวิต ตามข้อมูลประเภทหลอกๆ เหล่านี้ จะทำให้เราเกิดพลาดพลั้งในชีวิต การดำเนินชีวิต เกิดการเสียหาย ตั้งแต่ตัวเอง ครอบครัว ผู้คนรอบข้าง ไปจนถึงสามารถที่จะเกิดความเสียหายให้ใหญ่โต สำหรับโลกนี้ได้เลยทั้งโลก รับข้อมูลหลอกๆ เหล่านี้ เห็นไหม? ท่านเห็นไหม? ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมยกขึ้นมา จนถึงเรื่องใหญ่ๆ ท่านเห็นไหมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ รู้ตัวตนจริงๆ ของเรา มันเป็นประโยชน์ต่อคนๆ นั้นอย่างมากมายมหาศาล

และตัวอย่างที่ผมคิดว่าเห็นภาพชัดเจนที่สุด  เพราะทุกคนรู้จักกันดี ครั้งที่แล้วจำได้ไหมว่าผมยกเรื่องอะไร? ทุกคนรู้จักกันหมดเลย นี่ยกมาตั้งหลายเรื่อง จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่เรื่องนี้น่าจะจำได้ คือเรื่องของใคร? เรื่องของทาร์ซานไง จำไม่ได้เลยเหรอ ครั้งที่แล้วยกเรื่องทาร์ซาน

ทาร์ซานเป็นมนุษย์ที่ถูกเลี้ยงโดยฝูงลิงตั้งแต่เกิด ก็เลยคิดว่าตัวเป็นลิงไปด้วย เป็นสัตว์ไปแล้ว จนพ่อแม่ไปหาจนเจอ ได้กลับมาอยู่ในเมือง มาอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของตนเอง มารู้จักครอบครัวของตัวเองจริงๆ ก็ยังไม่วายที่จะทำอะไร? ความเคยชิน ทำตัวเป็นลิงเหมือนเดิม ตามที่ตัวเองคุ้นเคย เห็นไหม? ถูกหลอกจนกระทั่งมันฝังเข้าไปในหัว นี่คือครั้งที่แล้วที่ได้เรียนรู้กันไปนะครับ

เพราะฉะนั้น ชื่อตอนของการบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 จึงมีชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน” ดีไหม? เพราะว่ามีคนเอาไปล้อกัน หลังจากที่บรรยายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีคนเอาไปล้อกัน

ล้อกันอย่างไร? “เธออย่าทำอะไรน่าเกลียดนะ ทำเป็นทาร์ซานไปได้”

ทาร์ซานทำอย่างไร? ทาร์ซานแก้ผ้าลงมากินข้าวเช้า ทาร์ซานปีนหน้าต่างลงมาตอนเช้า สำหรับคนที่ไม่ได้มาสัปดาห์ที่แล้ว ปีนหน้าต่างลงมา เพื่อจะมากินอาหารเช้ากับพ่อแม่ในห้องอาหารเช้าของบ้านเศรษฐี แทนที่จะลงบันไดมาดีๆ ไม่  ปีนลงมาไม่พอ ยังแถมแก้ผ้าลงมาอีกต่างหาก ลืมตัวไป นึกว่าตัวเองเป็นลิง

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายในที่นี่ เราเป็นลูกของพระเจ้า หลายครั้ง เราก็ทำเหมือนลูกของ … ไม่บอก เราก็ทำตัวแปลกๆ เพราะฉะนั้น เมื่อไรเราเห็นใคร ข้างๆ ทำตัวแปลกๆ เราก็บอกอย่าทำตัวเป็นเหมือนทาร์ซาน

บอกคนข้างๆ สิ ทดลอง ฝึกดูๆ “อย่าทำตัวเป็นทาร์ซาน”

เวลาทำอะไรน่าเกลียดๆ หันกลับไปเลย บอกจะเป็นทาร์ซานหรือไง? สมมติว่าสามีขับรถอยู่ แล้วเกิดหงุดหงิดอยู่ข้างๆ บอกเลย

“จะเป็นทาร์ซานหรือไง บินไปเลยไหม?”

กล้าพูดไหม? กล้าพูดหรือเปล่า? ถามจริง กลับไปเมียหงุดหงิด จ้ำจี้จ้ำไซ ไม่มีเหตุผล หันกลับไปเลย ผู้ชายหันกลับไปเลย บอก

“จะเป็นทาร์ซานเหรอ”

เอ๊ะ! ทาร์ซานผู้หญิงไม่มีหรอก เอ๊า! เป็นทาร์ซานก็ได้ หยวนกันไป

และครั้งที่แล้ว เราก็ได้สรุปทิ้งท้ายกันว่าถ้อยคำในพระคัมภีร์ ที่บอกเราว่าเรามีตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์เป็นอย่างไร?  “Identity in Christ” ว่าเราเป็นใคร? มีลักษณะอย่างไร?  และมีสิทธิอะไรบ้างในพระคริสต์? ถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าตัวตนเราเป็นอย่างไร? จำนวนหนึ่งที่ผมเอาออกมา ที่เราได้อ่านกัน พูดกัน พร้อมๆ กันตอนท้ายๆ เยอะแยะ วันนี้เรามาทวนนิดหนึ่ง อย่างเร็วๆ นะครับ

ยกตัวอย่าง ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใคร? ซึ่งทั้งหมด ที่ย้ำกันไปนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกเราทั้งสิ้นนะ ไม่ใช่ผมมาบอกนะครับ เพราะมันอยู่ในพระคริสต์ทั้งสิ้น  ซึ่งผมยก ก่อนจะพูด ผมก็บอกอยู่ตรงไหน? หนังสืออะไร? ข้อที่เท่าไร? บทอะไร? จำได้ใช่ไหมครับ? วันนี้จะไม่เอาบทนั้นนะ เอาแค่พูดเฉยๆ ว่าในพระเยซูคริสต์ ตัวตนของเราในพระเยซูคริสต์ จำนวนหนึ่งที่พระเจ้าบอกเรา จดบันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

“ตัวตนเราเป็นอย่างนี้นะลูกเอ่ย”

บอกไว้อย่างนี้ว่า.-

–  เราเป็นลูกของพระเจ้า

–  เป็นผู้ชอบธรรม

–  เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

–  เราได้คืนดีกับพระเจ้า

–  เป็นผู้บริสุทธิ์

–  ปราศจากตำหนิ

–  มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

–  เราเป็นพลเมืองสวรรค์

–  เราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว

–  เราเป็นผลงานของพระเจ้า

–  เราเป็นวิหารของพระเจ้า

และยังมีอื่นๆ อีกมากมายในพระคัมภีร์อีกเยอะแยะมากมายไปหมดเลย กลับไปท่องหรือเปล่า?

“ท่องหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ?”

“ฟังหรือเปล่า?”

“ก็กลับไปฟังบ้างนิดๆ หน่อย”

ก็กลับไปฟังเรื่อยๆ แล้วกัน ผมรู้ เรื่องนี้ไม่สำคัญ หมายความว่าไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไซ แต่ถึงวันหนึ่งท่านจะเข้าใจว่าตรงนี้ มันสำคัญอย่างไร? ที่เราจะต้องรู้ตัวตน แล้วจะรู้ได้อย่างไร? มันต้องฟังเยอะๆ ฟังว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร? ไม่ใช่ฟังวิทยุบอก ไม่ใช่ฟังทีวีบอก หนังสือพิมพ์บอก เพื่อนเราบอก คนข้างๆ บอก  ไม่ใช่ ไม่ใช่ฟังจากไลน์ ที่ส่งมา บอกว่าเราเป็นใคร? ไม่ใช่ แต่ฟังจากฟังพระคัมภีร์ พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร?  บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราต้องไปอ่าน พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร?  นั่นแหละคือความจริงของตัวตนของเราจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ เราจะได้รู้ เราจะได้ดำเนินชีวิตถูกต้อง ให้เป็นไปตามตัวจริงของเรา  มันจะเกิดประโยชน์อย่างมากมาย

แล้วอย่างที่ผมได้เกริ่นไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนนะครับว่าจากนี้ไป ซีรี่ส์การบรรยายชุดนี้  ผมก็จะค่อยๆ อธิบายเพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้น ในความหมายของคำว่าตัวตนในพระคริสต์ หรือ “Identity in Christ” ในทุกๆ หัวข้อเรื่องที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมดว่าพระคัมภีร์ บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เอาตรงนั้นแหละมาเจาะทีละอันๆ ที่มีเยอะแยะมากมาย เพื่อเราจะได้ทำอะไรรู้ไหม? จะได้ฟัง จะได้ข้อมูล จะได้อธิบายกัน ไซซอนกันอย่างลึกซึ้งถึงว่าพระเจ้าบอกเราว่าตัวตนเราในพระคริสต์เป็นอย่างนี้ๆ แล้วมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ยังไงๆ เพื่อเราฟังให้เยอะ ฟังคำอธิบายให้เยอะ เราก็จะมั่นใจในตัวตนของเราจริงๆ ในพระคริสต์ แล้วจะเกิดประโยชน์ต่อเรา ชีวิตของเราอย่างมากมาย และไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของเราคนเดียว แต่ผู้คนรอบข้างด้วย งานของพระเจ้าด้วย

วันนี้ เรามาเริ่มต้น “ตัวตนในพระคริสต์” ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ใน 2 เปโตร 1:4 ซึ่งเราคุ้นกันดีว่าในพระเยซูคริสต์ เราได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า วันนี้เราจะมาไซซอนอธิบายตรงนี้ ให้มันลึกซึ้ง จบวันนี้นะ ท่านจะลอยเลย  ถ้าท่านมั่นคงในนี้นะ ชีวิตท่านจะเต็มไปด้วยสันติสุข สงบสุข ความพอเพียง พักเหนื่อย แล้วหายเหนื่อยจริงๆ นะครับ 2 เปโตร 1:4 พระเจ้าตรัสกับพวกเราอย่างนี้ว่า.-

2 เปโตร 1:4 “พระองค์ได้ประทานพระสัญญา อันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์ แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

 

มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไร? จำได้ไหม?  ที่เราได้ฝึกกันไปครั้งที่แล้ว 2 ครั้ง เราพูดอย่างนี้กัน จนกระทั่งบอกจำได้แล้วไง ธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ภาษาอังกฤษบอกว่า Divine Nature

เอ้า! พูดตามสิ “Divine Nature”

พูดไปเถอะ ให้พอจำได้ มันจะเข้าสู่ยุค AEC แล้วนะ

การได้มีส่วนใน Divine Nature การได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ธรรมชาติ พระลักษณะของพระเจ้า  คือมีส่วนใน Divine Nature มีความเป็นไปมาอย่างไร? ความหมายว่าอย่างไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? คือสิ่งที่เราจะมาคุยอย่างละเอียดในวันนี้ ให้ท่านเห็นชัดเจนว่าเราเข้าไปมีส่วนใน Divine Nature อย่างไร? เดี่ยวนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ได้อย่างไร?  ตอนนี้ท่านฟัง ท่านเชื่อเอา แต่วันนี้เขามาเจาะเข้าไปลึกๆ เพื่อจะใส่ข้อมูลเล่านี้ลงไปในจิตวิญญาณของเรา เพื่อเราจะได้มั่นคงในความเชื่อตรงนี้ เยอะขึ้นนะครับ ตัวตนของเราจริงๆ ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างนี้ และหนึ่งในนั้น คือเราเข้าไปมีส่วนใน Divine Nature

ซึ่งถ้าจะอธิบายความหมายของคำว่า Divine Nature หรือธรรมชาติ พระลักษณะของพระเจ้าในบริบทนี้ เราต้องย้อนกลับไปดู การทรงสร้างของพระเจ้า ตั้งแต่เมื่อสมัยปฐมกาล พระคัมภีร์ปฐมกาล บทที่ 1 ได้บรรยายเหตุการณ์ การทรงสร้างของพระเจ้าไว้ตั้งแต่วันแรก จนถึงวันที่ 6 เริ่มต้นความจริงของพระเจ้า บันทึกตรงนี้ไว้เลย  เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกของพระองค์ทุกคนได้รู้ถึง เขาเรียกว่าอะไร? รากวงศ์ตระกูลของเจ้าว่ามาจากใคร? เป็นปู่ย่าตาทวดของเจ้าเป็นใคร? เจ้ามาจากไหน? สำคัญมาก ใส่ในบทแรก หน้าแรก บรรทัดแรก ไล่มาเลยนะครับ

ใน 6 วันนี้ โดยพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสร้างตั้งแต่ความสว่าง ท้องฟ้า ผืนน้ำ แผ่นดิน ต้นไม้และพืชนานาชนิด ดวงดาวต่างๆ สัตว์ต่างๆ จนถึงทรงสร้างมนุษย์ ในวันสุดท้าย คือวันที่ 6 แล้วในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า ที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้า คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่อยู่ในพื้นน้ำและบนพื้นดิน สามารถแยกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ อย่างนี้ ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้าง แยกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  1. แร่ธาตุต่างๆ ที่รวมกันเป็นดิน หิน กรวด ทราย มองไปก็เห็นเลย
  2. ต้นไม้และพืชต่างๆ พืชนานาชนิด มองไปก็เห็น ถูกไหม? นี่คือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
  3. สัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มองไปก็เห็น บางตัวเล็กๆ มองไม่เห็น แต่มันก็มีอยู่จริงๆ ต้องใช้กล้องไปส่องให้มันใหญ่ๆ ก็จะเห็น

ทรงสร้างทั้งหมด 3 ประเภทแล้ว ประเภทที่ 4 ที่พระเจ้าทรงสร้างคือใคร?

  1. มนุษย์ คือฉันเอง คือมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้

ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนี้ จะมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เริ่มจากกลุ่มแรก คือดิน หิน กรวด ทราย ซึ่งมีแร่ธาตุและมีพลังงาน แต่ไม่มีชีวิตในลักษณะของการหายใจ ทำไมพูดอย่างนี้ เพราะในพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ก็สรรเสริญพระเจ้า แต่เรารู้ว่าไม่ได้หายใจ แต่มีพลังงานอยู่ในนั้น นี่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบมาทีหลังนี่เอง ตอนที่พระคัมภีร์บันทึก ไม่มีใครรู้หรอกว่ามีพลังงานอยู่ในนั้นอยู่แล้ว มีแร่ธาตุอยู่ในนั้น รู้แต่ว่ามันเป็นก้อนเฉยๆ อยู่นิ่งๆ ไม่หายใจ ถูกไหมครับ?

กลุ่มที่ 2 คืออะไร? ต้นไม้ และพืชต่างๆ มีชีวิตไหม? ต้นไม้ มี พืชมีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ ไหมครับ ถามจริง คิดให้ดีๆ พืชมีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ ไหม? มีหรือไม่มี? มี พืชหายใจไหม?  เห็นไหม? แตกต่างแล้วนะ พืชหายใจด้วย และพืชเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์หรือมนุษย์อย่างไร?  เรามาดูกันต่อว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? มาดูกลุ่มที่ 3 นะครับ

กลุ่มที่ 3 คือสัตว์ต่างๆ ทุกชนิดที่ตะกี้เราพูดมา ซึ่งแน่นอน สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต เรารู้ ที่มีร่างกาย มีอวัยวะและมีลมหายใจ เหมือนกับพืชเลย แล้วมันแตกต่างกันตรงไหน? เหมือนกับ ไม่ใช่พืชอย่างเดียว แถมเหมือนกับคนด้วย คนก็มี 3 อย่างนี้เหมือนกัน แต่สัตว์ มีสิ่งที่พืชไม่มี คืออะไร? คือสัตว์ทุกชนิดมีความคิด จิตใจ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Soul” หมายถึงมันสามารถคิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีการตัดสินใจ สัตว์ทุกชนิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีการตัดสินใจ เช่นเดียวกับมนุษย์เหมือนกัน แม้จะไม่สูงเหมือนมนุษย์ แต่มีเหมือนกัน ถูกหรือไม่ถูก?

เตะสุนัข มันก็ทำไม? ไม่ว่าจะหมาหรือสุนัข มันก็ร้อง เอ๋งๆ เหมือนกัน  ถ้าไม่ชอบมาพากล เรารู้สึกว่าเราไม่รักมัน … มันก็จะทำไม? มันจะยืนอยู่ตรงนั้นไหม?  มันทำอย่างไร? มันก็เดินหนีเราไป

แต่ต้นไม้ มันไม่ชอบเรา มันทำอย่างไร? มันก็ต้องยืนอยู่ตรงนั้น

“เกลียดแก มาฉี่รดฉัน”

แล้วมันทำได้อะไร? มันทำไม่ได้ เราไปฉี่รดหมา … หมามันเดินหนีไปเลย อย่างนี้เป็นต้น มันมีความรู้สึกเหมือนกับอย่างนี้ ตรงนี้ เขาเรียกว่าความคิดจิตใจ … ความคิดจิตใจนี้เป็น ภาษาอังกฤษเรียกว่า Soul สัตว์ต่างๆ ก็มีสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับมนุษย์เหมือนกัน มีอารมณ์โกรธ รู้สึกดีใจ เสียใจ เจ็บปวด ถามว่าถ้าเช่นนั้น สัตว์มีอะไรแตกต่างจากมนุษย์เล่า ตอนนี้เราเห็นแล้วนะ ตั้งแต่ต้นมา หิน แตกต่างจากพืช … พืชแตกต่างกับสัตว์ ตอนนี้มาถึงสัตว์กับมนุษย์แล้ว

กลุ่มที่ 4 คือมนุษย์ … มนุษย์มีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ มีลมหายใจ อันนี้ไม่ต้องถามล่ะนะ มีหรือไม่มี?  แล้วก็มีอะไร?  มีความคิดจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์มี แต่พืชและสัตว์ไม่มี ก็คือวิญญาณ … ถูกต้องแล้วครับ มารับรางวัลเลย ทุกคนตอบถูกหมดเลย เพราะมนุษย์มีวิญญาณที่พิเศษกว่าเขา พืชเป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีร่างกาย มี Body สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและมีความคิดจิตใจด้วย  มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทั้งร่างกาย  ความคิดจิตใจ  และวิญญาณ … วิญญาณหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Spirit คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ทั้งปวง ทั้งสิ้น ที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง เพราะเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่มีหรือเป็นวิญญาณ เป็นสิ่งเดียวเท่านั้น สิ่งนี้พิสูจน์ได้นิดเดียวเลยว่าจริง ถามว่าท่านเคยเห็นก้อนหิน … ก้อนหินยกตัวอย่างไปแล้ว ท่านเชื่อแล้วว่าไม่ใช่ ท่านเคยเห็นต้นไม้ หรือสัตว์ที่ไหน?  รวมตัวกัน จุดธูปหาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไหม? ท่านเคยเห็นสัตว์มารวมตัวกัน เพื่อแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักแห่งหนึ่งไหม? ไม่เคย ท่านเคยเห็นสัตว์มารวมตัวกันอธิษฐาน หรือสวดมนต์มีไหม?  ไม่มี   สิ่งเหล่านี้ที่ตะกี้ผมพูดมา เป็นอาการของการแสวงหาทางฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เรารู้ดีว่ามันเป็นอย่างนั้น ถูกไหม? นี่แหละ เห็นอย่างชัดเจน

มาดูว่าพระคัมภีร์มีบันทึกไว้อย่างไร? ยืนยันว่าพระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมบอก ว่าเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงสร้างบรรดาสัตว์ทั้งหลาย เป็นอย่างนี้ พระคัมภีร์บันทึกไว้ ไม่ใช่ผมพูดนะ ปฐมกาล 2:19 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

ปฐมกาล 2:19 “พระเจ้าได้ทรงปั้นสัตว์ และนกทุกชนิด ขึ้นจากดิน พระองค์ทรงนำมายังชายผู้นั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกมันว่าอย่างไร สัตว์เหล่านั้น ก็ได้ชื่อตามที่เขาเรียก”

 

นี่ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์นะ คราวนี้มาดูเหตุการณ์ตอนที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ ลองดูนะครับว่ามีอะไรที่แตกต่างกับเมื่อตะกี้นี้ สร้างสัตว์บ้าง อยู่ในปฐมกาล 1:26 เลย

ปฐมกาล 1:26 “พระเจ้าตรัสว่า ‘ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบเรา ตามอย่างเรา’”

 

“สร้างมนุษย์ ตามอย่างเรา” คือตามอย่างใคร? ตามอย่าง ก็คือเหมือนใคร? เหมือนพระเจ้า นี่ผมไม่ได้พูดเลย นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาล บทที่ 1 เลย เริ่มต้น มาดูข้อ 27 อีก ปฐมกาล 1:27 มาดูสิว่าพระเจ้าบันทึกว่าต้นตระกูลของเรา … เราเกิดอย่างไร? ใคร? อย่าไปฟังคนอื่น ฟังพระเจ้าพูดดีกว่าว่าบันทึกเราเป็นใคร? ปฐมกาล 1:27

ปฐมกาล 1:27 “ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ตามพระฉายของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้น พระองค์ทรงสร้างทั้งผู้ชายและผู้หญิง”

 

“ตามพระฉายของพระองค์” ก็คือตามพระฉายของพระเจ้า รู้ไหมว่าพระฉาย คืออะไร? พระฉาย คือรูปเหมือน ตามความเหมือน ใช้ภาษาอังกฤษว่า Image ใช่ไหม? Image ก็แปลว่าเป็นภาพ ความลักษณะเหมือนพระเจ้า ปฐมกาล 2:27 อีกอันหนึ่ง

ปฐมกาล 2:27 ““แล้วพระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ จากธุลีดิน และทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิต เข้าไปทางจมูกของเขา มนุษย์จึงมีชีวิต”

 

“และทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปทางจมูกของเขา มนุษย์จึงมีชีวิต” นี่คือสิ่งที่แตกต่างกับการทรงสร้างทั้งหมดก่อนหน้านี้ ทุกชนิดของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง

ในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ตามแบบความเหมือนอย่างพระองค์ หรือเรียกว่าพระฉายาหรือตามพระฉายของพระองค์ และทรงให้มี หรือให้เป็นวิญญาณด้วย

ในบทที่ 2 ข้อ 27 ที่บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ว่า “ทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิต” ลมหายใจแห่งชีวิตตรงนี้ ก็คือ Spirit of life. ซึ้งหมายถึงวิญญาณนั่นเอง วิญญาณที่อยู่ในตัวของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณมีชีวิต วิญญาณชีวิตๆ ซึ่งมีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่เป็นสิ่งนี้ ไม่อยากจะบอกว่ามีเลย  เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้เป็นวิญญาณ … เป็นวิญญาณที่เรียกว่าชีวิต วิญญาณที่มีชีวิต พูดง่ายๆ คือถ้าอ่านตรงนี้  ก็คือพระเจ้าระบายลมหายใจ ก็คือพระเจ้าแบ่งส่วนชีวิตของตนเอง  คือของพระองค์เอง เปรียบเหมือนผู้เป็นพ่อ แบ่งชีวิตให้กำเนิดลูก นึกออกหรือยัง? เห็นภาพไหม? แบ่งชีวิตของตัวเองออกมา เหมือน คือเหมือนอย่างนี้ คือมาจากเรานั่นเอง สายเลือด เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ แบ่งชีวิตของเขา มาเป็นลูกของเขา … เขาเรียกว่าลูกในสายเลือด เรามนุษย์ทุกคนเป็นสายเลือดของพระเจ้า โดยทางวิญญาณ เพราะพระเจ้าเป็นวิญญาณ พระเจ้าแบ่งมา ให้กำเนิดมนุษย์ เป็นลูกของพระองค์ เป็นวิญญาณ

และตรงนี้ ก็คือสิ่งที่อธิบายถ้อยคำใน 2 เปโตร 1:4 ที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ตอนต้น ที่บอกว่า

“พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า”

ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ท่านได้เข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า จริงๆ แล้วพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ให้มีส่วนในพระลักษณะของพระองค์ ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว มนุษย์ได้รับลมหายใจแห่งชีวิต จากพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มนุษย์ถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มนุษย์ได้สวมใส่พระสิริของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาลแล้ว แต่หลังจากนั้น เมื่ออาดัมและเอวา ก็คือมนุษย์เริ่มต้นคู่แรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ได้ล้มไปในความบาป คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องได้รับผล คือคำสาปแช่ง ซึ่งโทษนั้น ก็คือการหลุดออกจากพระสิริของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า … พระสิริของพระเจ้าหายไปในมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา การเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือจากที่ถูกสร้างตั้งแต่เริ่มแรก ให้มีพระฉายเหมือนพระเจ้า ก็กลายเป็นไม่เหมือนแล้ว ลมหายใจแห่งชีวิต หรือวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า ที่ได้มาจากพระเจ้า ก็ไม่เหมือนอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างถูกเปลี่ยนไปหมด พระสิริหายไป ความตาย ความมืดเข้ามาปกคลุมแทนที่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

สรุปง่ายๆ ก็คือคุณลักษณะของมนุษย์ ที่บอกว่ามี 3 สิ่ง คือมีร่างกาย มีความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ ตามแบบเหมือนของพระองค์ทั้งหมดเลยนั้น และพระองค์ทรงตรัสไว้ในนั้นว่า “พระองค์ทรงเห็นว่าดี”

ให้พูดพร้อมกันว่า  “พระองค์ทรงเห็นว่าดี”

ตอนสร้างมานั้น เห็นว่าดีทั้งหมด แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่าดีทั้งหมดนั้น หลังจากที่มนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็กลายเป็นตรงกันข้าม ไม่ดีอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามหมดเลย ร่างกายต้องตาย จากที่ต้องอยู่ ไม่ต้องตายเลย ก็ต้องตาย จากที่ไม่ต้องเจ็บป่วยเลย ก็ต้องเจ็บป่วย ความคิดจิตใจ ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  จากความคิดเหมือนพระเจ้า ดีงามบริสุทธิ์ กลายเป็นมีแต่ชั่วร้าย วิญญาณก็ต้องตาย

จำได้ไหมตะกี้นี้ผมบอกว่าวิญญาณพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณที่มีชีวิต วิญญาณที่เป็นแบบชีวิต กลายเป็นวิญญาณที่เป็นแบบตาย  เห็นไหม? ตายนี้หมายถึงไม่ใช่สูญสิ้นไป ไม่ใช่นะ ชนิดลักษณะตายอยู่  กับลักษณะเป็นชีวิตแบบพระเจ้า มันต่างกันมาก

และสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็คือถูกตัดขาดจากพระเจ้า ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ เพราะจากที่เคยสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นสายเลือดพระเจ้า กลายเป็นสกปรก ไม่ใช่สายเลือดพระเจ้าอีกต่อไป ถูกตัดไป กลายเป็นไปอยู่กับมารแทน เพราะฉะนั้น  เลยเข้าหาพระเจ้าไม่ได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อย่าเพิ่งเศร้าสิ นั่งเครียดกันหมดเลย  นั่นมันคืออดีตครับ แต่ว่าเลยมาเร็วๆ เลยนะ เดี๋ยวไม่จบ กดฟอร์เวิร์ดอย่างเร็วเลย กาลเวลาล่วงเลยมานานเหลือเกิน จนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมตัวตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปนั้น วันที่มนุษย์ถูกตัดขาดออกจากพระสิริของพระเจ้า … พระเจ้าเตรียมตัวแล้วว่า.-

“วันหนึ่งฉันวางแผนไว้ว่าจะส่งพระบุตรองค์เดียวของฉัน ซึ่งอยู่กับฉันมาตั้งนาน ก่อนฉันจะสร้างมนุษย์อีก ลงมาเกิดบนโลกใบนี้ เขาจะมีชื่อว่าเยซู ซึ่งแปลว่าผู้ช่วยให้รอด เขาจะมาช่วยมนุษย์เหล่านี้แหละ ลูกของฉันกลับมา”

กาลเวลาล่วงเลยมา จนถึงวันที่พระเยซูได้มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ และมาไถ่มนุษย์ ด้วยการเสียสละพระชนม์ชีพของพระองค์เอง  หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน

ถามว่าที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์นั้น มนุษย์มาไถ่ทางไหน? ร่างกาย ความคิดจิตใจหรือวิญญาณ พระองค์มาไถ่บาปทางไหน? ทางวิญญาณ แน่ใจ? แน่ใจ พูดดังๆ เท่านั้น ทางไหน? 1, 2, 3 ทางไหน?  พูดดังๆ  ทางวิญญาณ พระองค์มาไถ่บาป ทางวิญญาณ ความหมาย คือในทางวิญญาณ เราได้กลับสู่สภาพเดิม คือสภาพเริ่มต้น  ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างเรา  ตามพระฉายของพระองค์ และทรงระบายลมหายใจเข้ามาในตัวเรา ในปฐมกาลที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ กลับมาเหมือนเดิม

เพราะฉะนั้น หลังจากที่พระเยซูได้มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คืออะไรครับ? คือสิ่งที่หายไปทั้งหมด ทางวิญญาณ เกลี้ยงเลยที่หายไปแล้ว ตั้งแต่ที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  ได้กลับมาสู่ที่เดิม ยืนยันด้วยพระองค์อธิบายให้เราฟังเอง ไม่ใช่ผมอธิบาย พระเยซูอธิบายให้เราฟังเอง พระเจ้าอธิบายให้เราฟังเอง ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ในโรม 5:8-11 ฟังและอ่านให้ชัดๆ จำใส่

โรม 5:8-11 “8 พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เอง แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้ เราได้ถูกนับ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เรา คืนดีกับพระเจ้าแล้ว

 

เอเมน … ชัด ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? ชัด  ขอแถมนิดหนึ่งได้ไหม? พูดตามผมดังๆ ขอนิดหนึ่งสุดท้ายแล้วกัน

พูดตามผมนะครับ “แต่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า  โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) คืนดีกับพระเจ้าแล้ว เอเมน”

การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ โดยการหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน  ทำให้เราได้กลับเข้าไปสู่ที่เดิม ได้รับกลับไปคืนดีกับพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว เอเมน

ก็คือทางวิญญาณเราได้กลับมาเหมือนเดิม เหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ เลย ผมเลยทำตารางเปรียบเทียบให้ท่านดู … ท่านดูไปด้วย แล้วก็ผมจะอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะเห็นภาพ นี่คือจำนวนหนึ่งที่ผมพยายามคิดว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไรบ้าง?  มันเหมือนวางเป็นตาราง แต่ก่อนนี้ ตอนเดิมที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ฐานะเราเป็นอย่างไร?  พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป มันเกิดอะไรขึ้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? แล้วพอพระเยซูมาไถ่บาป มันกลับมาคืนดีเหมือนเดิมอย่างไร?

คือตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ชอบธรรม พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป  เกิดอะไรขึ้น สกปรก มีมลทิน ตรงกันข้ามทั้งหมด พอพระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ … มนุษย์กลับมาคืนดีสู่สภาพเดิม คือสะอาดบริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนเดิม เห็นหรือยัง? ตอนเดิม พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในปฐมกาลนั้น มนุษย์ปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระสิริหายไป พอพระเยซูมาไถ่บาป ให้กับมนุษย์ … มนุษย์ก็กลับมาเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าเหมือนเดิม ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์ติดต่อกับพระเจ้าได้ คุยกับพระเจ้าได้ พอมนุษย์ล้มลงในความบาป  มนุษย์เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดกับพระเจ้า ด่าว่าพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า แต่พอพระเยซูมาไถ่บาป ให้กับมนุษย์ … มนุษย์กลับคืนมาใหม่ กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ไม่ได้เป็นศัตรูกันแล้ว ตอนที่มนุษย์ถูกสร้างใหม่ๆ พระเจ้าสร้างให้มีชีวิตนิรันดร์ แต่มนุษย์ล้มลงในความบาป  ต้องตายนิรันดร์

 

เดิม มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเยซูมาไถ่บาป
สะอาด บริสุทธิ์

ปกคลุมด้วยพระสิริ

ติดต่อพระเจ้าได้

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

ตาและหู เปิด

วิญญาณครบบริบูรณ์

พระพรจากพระเจ้า

สกปรก มีมลทิน

พระสิริหายไป

เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ตายนิรันดร์

อยู่ในอาณาจักรความมืด

อยู่ในความพินาศ (นรก)

ตาบอด  หูหนวก

ป่วยทางวิญญาณ

ถูกสาปแช่ง

สะอาด บริสุทธิ์

เต็มไปด้วยพระสิริ

คืนดีกับพระเจ้า

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

มองเห็น  ได้ยิน

วิญญาณหายป่วย

หลุดพ้นจากคำสาป

 

          พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมามีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์อยู่ในความสว่าง แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ตกลงไปในอาณาจักรของความมืด พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา มนุษย์ถูกย้ายกลับไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างเหมือนเดิม  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์ใหม่ๆ อยู่ในสวนเอเดนเรียบร้อย เรียกว่าสวรรค์กับพระเจ้า แต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  โดนลงโทษ  มนุษย์ต้องถูกอัปเปหิออกไปอยู่ข้างนอกสวรรค์ เรียกกันว่าที่พินาศ หรือเรียกกันว่านรก แต่พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน แล้วทำให้มนุษย์สามารถทางพระเยซู ในความเชื่อของพระองค์นั้น สามารถกลับมาอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม

 

          ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตาและหูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เปิดออก ได้ยินเสียง ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย  พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป ตาวิญญาณของมนุษย์ หูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เสียหายไปทั้งสองอย่างเลย ทั้งไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงพระเจ้าเลย พระเจ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้มัวไปหมด แสวงหาอะไรก็ไม่รู้ อันนั้นก็พระเจ้า อันนี้ก็พระเจ้า อันนี้ก็ใช่ มันเป็นไปหมดเลย มันใช่ ไปแล้ว ทางวิญญาณ แต่พอพระเยซูมาไถ่บาปให้มนุษย์ และถ้ามนุษย์เชื่อในข่าวประเสริฐนั้น มนุษย์ก็กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิมทางฝ่ายวิญญาณเห็นแล้ว รู้แล้วว่านี่คือเสียงของพระเจ้า  รู้แล้วนี่คือใคร?  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์มีวิญญาณที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ป่วยเลย แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป เรียกกันว่าป่วยทางวิญญาณ พิการทางวิญญาณ พระเยซูมาไถ่มนุษย์

 

          พระคัมภีร์บันทึกว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายป่วยทางวิญญาณแล้ว”

          หายพิการแล้ว อีกต่อไปแล้ว ในทางวิญญาณ สุดท้าย คือตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่กับพระเจ้า มีแต่พระพร จากพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งเลวร้ายเลยสักนิดเดียว แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป มนุษย์ถูกสาปแช่ง แต่พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเยซูมาช่วยให้เราหลุดพ้นจากคำแช่งสาป … คำสาปแช่งทั้งหลายแล้ว ทุกอย่างที่พูดมานี้ เป็นมาแล้วทั้งหมดเลยนะ เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ผมพูดนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าเริ่มต้นที่วิญญาณก่อน  เริ่มต้นแล้วที่วิญญาณก่อน อะไรที่เคยเสียหายทางด้านวิญญาณ ณ วินาทีที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้ว ณ ขณะนั้น ณ วินาทีนั้น วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด ทันทีเลย ณ นาทีนั้นเลย ท่านเชื่อในข่าวดีนี้ เมื่อไหร่? เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรพระเจ้า  มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต มาไถ่บาปให้กับท่านเมื่อไร? ทันทีทันใด มาเชื่อปั๊บ เกิดอันนี้ขึ้นทันทีในวิญญาณของท่าน 100% ทันที

 

2 โครินธ์ 5:17-18 “17 ดังนั้น ใครก็ตามที่มีส่วนในพระคริสต์ ก็เข้าสู่โลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้ว สิ่งเก่าๆ หายไปหมดแล้ว ดูสิ สิ่งใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น 18 ทั้งหมดนี้ ก็เกิดมาจากพระเจ้า พระเจ้าทำให้เรากลับมาคืนดีกับพระองค์ใหม่ โดยผ่านทางพระคริสต์ และพระเจ้าได้มอบหมายงาน ให้กับเราทำ คือไปนำคนอื่นๆ กลับมาคืนดีกับพระองค์ด้วย”

 

เอเมน … ตัวตนของเรา คือใคร?  “ดังนั้น นครที่มีส่วนในพระคริสต์ ก็เข้าสู่โลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้ว สิ่งเก่าๆ หายไปหมดแล้ว ดูสิ สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ เกิดจากพระเจ้า”

ตัวท่านก็เป็นอย่างนี้ ตอนนี้เลย ไม่ต้องรอไปตายแล้ว เกิดใหม่ ตอนนี้วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย

ใหม่เอี่ยม 100% ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

ส่วนความคิดจิตใจ หรือ Soul ของเรานั้น ก็เริ่มต้นเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทันทีเหมือนกัน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลง แบบเป็นกระบวนการ เริ่มเปลี่ยนๆ ไปเรื่อยๆ อาทิตย์ที่แล้ว วันนี้ก็เปลี่ยนมากขึ้น เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา ค่อยๆ สอนเรา ให้รู้จักพระเจ้าอย่างไร? เดินกับพระเจ้าอย่างไร?  คิดอย่างไร? ให้เหมือนพระเจ้าคิด รู้สึกอย่างไร? มีความต้องการอย่างไร? ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เริ่มต้น ตั้งแต่วินาทีแรกในการรับเชื่อ ในข่าวประเสริฐเหมือนกันเลย แต่จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

คราวนี้สุดท้าย ฝ่ายร่างกาย เป็นอย่างไร? ส่วนทางฝ่ายร่างกาย อยากรู้ใช่ไหม? ทางฝ่ายร่างกายเป็นอย่างไร? ส่วนทางฝ่ายร่างกาย ซึ่งเรายังคง แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ฝ่ายร่างกายเรา ก็ยังคงต้องซี่แหงแก๋ ต้องตาย จากโลกนี้ไป เหมือนกันนะครับ ร่างกายนี้ยังต้องเน่าเปื่อยอยู่เหมือนกัน พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น  แต่พระเจ้าก็ทรงได้เตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้กับเราแล้วในสวรรค์สถาน แต่เราจำเป็นต้องอยู่ในร่างกายนี้ก่อน อย่าเพิ่งรีบไปไหนนะ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะเป็นกฎของพระเจ้า วางไว้ว่าไม่มีมนุษย์คนใดอยู่บนโลกใบนี้ แล้วอยู่ตลอดไป ไม่ตาย เพราะมันเป็นกฎวางไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องอยู่ในร่างกายเก่านี้แหละ เป็นกฎวางไว้แล้ว  ตัวพระเจ้าเอง  พระองค์เองก็ไม่ละเมิดกฎของพระองค์เอง เพราะฉะนั้น  พระองค์วางกฎไว้แล้วว่ายังอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังอยู่ในร่างกายนี้แหละ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้  เราก็จำเป็นต้องอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งพระองค์จะทรงใช้เรา ในขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์บนโลกใบนี้แหละ ผมพูดอยู่เสมอๆ ถ้าพระองค์ไม่ใช้ท่าน จบแล้วนะครับ พาท่านกลับบ้านแล้ว สบายแล้ว คิดถึง (แย่) อยู่แล้ว อยากพาท่านไป รู้ว่าท่านทุกข์ทรมาน รู้ว่าท่านไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว

“แต่มันต้องอยู่ต่อลูกเอ่ย เพราะงานยังไม่เสร็จ ในชีวิตลูก พ่อเตรียมไว้ให้งานเจ้า”

คำว่าออกไปประกาศข่าวดี นำพาผู้คน กลับมาคืนดีกับพระเจ้า มิได้หมายถึงท่านต้องออกไปเคาะตามบ้าน แล้วก็เอาใบปลิวไปแจก เพียงแค่นั้นอย่างเดียว มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันอาจจะหลายๆ อย่าง ติดต่ออะไรต่างๆ เอาว่าถ้าพระเจ้ายังใช้ท่านอยู่ ตราบใดที่ท่านอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ?  พระเจ้าจะใช้เราได้ ก็คือเรายอมอยู่บนโลกใบนี้ต่อ

เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ แม้เราจะทุกข์ทรมานเท่าไร? เราอยากจะไปเท่าไร? จงรับรู้ว่าพระเจ้ายังจะใช้เราอยู่นะ เราจะได้มีกำลัง อดทนต่อไป เปาโลก็ไม่อยากอยู่นะ เขาทรมานเหมือนกัน เขาก็ทุกข์เหมือนกันนะ แต่เขามีสันติสุข มีความสงบ เพราะเขายังรู้ว่าพระเจ้าทรงใช้เขาอยู่ วันหนึ่งที่พระเจ้าบอกเขา

“หมดหน้าที่แล้ว ไปเที่ยวนี้ประกาศครั้งสุดท้ายแล้ว เจ้าจะถูกตัดคอ ถูกประหารชีวิต กลับไปอยู่กับเรา”

ดีใจเลย

เราจำเป็นต้องรู้ตัวตนของเราที่แท้จริง เราจึงจะเป็นอิสระ สิ่งเหล่านี้ไง เราจะได้ไม่มีความรู้สึกกลับกัน จะตาย ก็กลายเป็นกลัว อยากอยู่ต่อ ก็เป็นอย่างนี้อีก มันควรจะอยากจะไปมากกว่านะ แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้ายังใช้งานท่านอยู่ ท่านต้องอดทน พระเจ้าจะยังใช้งานท่านอยู่ ไม่ใช่อยู่โลกนี้ ท่านจะสบายๆ ไม่ใช่อย่างนั้น มันอาจจะมีความทุกข์ แต่ในความทุกข์นั้น พระองค์จะทรงใช้เรา เอเมน

 

          เมื่อเราทิ้งร่างนี้ วิญญาณเราก็ออกจากร่างไปใช่ไหม? ตะกี้นี้เห็นภาพแล้วใช่ไหม? วิญญาณเราได้ไถ่กลับมาที่เดิมใช่ไหม? วิญญาณก็ออกจากร่างไป แล้วก็ไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว ในสวรรค์สถาน เป็นร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เหมือนกับตอนที่พระเจ้าทรงเริ่มต้นสร้างมนุษย์ ในปฐมกาลเลยทีเดียวเชียวล่ะ ฝันสิ  นึกสิ นี่คือความจริงเหล่านี้ทั้งหมด เห็นภาพสิ นี่คือความจริง นี่คือความหวังใจทั้งหมดของเรา ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์  สิ่งที่สำคัญที่สุด  คือเราต้องรู้ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์  เหมือนชื่อเรื่อง  ตอนซีรี่ส์นี้แหละ เราต้องรู้ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์ว่าเป็นใคร? เป็นอย่างไร?  นี่คือสำคัญที่สุด  เมื่อเรามาเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้เข้าไปสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ เรียบร้อยไปแล้ว เราได้อยู่ในพระคริสต์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า  กลับมาเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม  เหมือนจริงๆ เลย  เหมือนทันทีเลย เมื่อเรารับเชื่อในพระองค์ วิญญาณเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ทุกวันก็นั่งอยู่ที่นี่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับเรา ณ ขณะนี้ จริงๆ ในวิญญาณเรา ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ วิญญาณก็อยู่กับเราตรงนี้แหละ อยู่ในวิญญาณของเรานั่นแหละ

 

นี่คือความเป็นจริง ในตัวตนของเราในพระคริสต์ ที่พระคัมภีร์บอกเราแล้วว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราต้องย้ำกับตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าตัวตนจริงๆ ของเราเป็นอย่างนี้  เหมือนทาร์ซานที่ต้องบอกตัวเองอยู่เรื่อยๆ

“ฉันอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ ฉันไม่ได้เป็นลูกลิงๆ ฉันอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ ฉันอยู่ที่นี่ ฉันต้องใส่กางเกง ใส่อะไรลงไปกินข้าว ฉันต้องใส่กางเกงๆ อย่าเผลอถอดกางเกงลงไป”

เราก็ต้องย้ำยืนยัน “ฉันเป็นลูกของพระเจ้านะ ฉันเป็นอย่างที่พูดมาเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด มันหนีไม่พ้นเลย”

นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ที่เราเอามาพูดกันในวันนี้ ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น เราก็ได้อยู่กับพระเจ้า ในขณะที่เรากำลังเดิน ไม่ใช่บนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ พร้อมๆ กันเลย  เรากำลังอยู่กับพระเจ้า อยู่ในครอบครัวพระเจ้า ที่เรียกว่าในพระคริสต์นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพาเราเดินบนโลกใบนี้ ตลอดเวลา หลับพระองค์ก็ไม่หลับ เคยได้ยินไหม? เมื่อเราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ พระองค์ไม่เคยหลับใหล พรองค์อยู่กับเราตรงนั้น ดูแลเราตรงนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพาเราเดินตลอดเวลา พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาเป็น … พระคัมภีร์บอกมาเป็นอะไรรู้ไหม? เป็นพี่เลี้ยง น่ารักขนาดไหน? เป็นพี่เลี้ยงเรา  เพื่ออะไร? เคยช่วยดูแลเรา  เพราะเราเพิ่งเกิดใหม่ เหมือนลูกของพระองค์ที่เกิดใหม่ๆ ซึ่งพระองค์ทรงรักและทะนุถนอมมาก เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์คลอดลูกออกมา แล้วตัวเองก็ดูด้วย แล้วก็มีพี่เลี้ยงมาช่วยดูตลอดเวลาเลย ทะนุถนอมตลอดเวลาเลย เราก็เป็นเช่นนั้นในพระคริสต์ เช่นเดียวกันแหละ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

และวิญญาณของเราก็จะค่อยๆ ต๊อกแตะๆ เจริญเติบโตขึ้น ควบคุมไปกันกับความคิดจิตใจ หรือว่า Soul ของเรา  เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์สถานนิรันดร์นั่นเอง ส่วนในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เรารู้ รับรู้ ตระหนักอยู่ตลอดเวลา  ถึงความจริงตรงนี้แหละว่ามันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ มันเป็นลักษณะอย่างนี้ อย่าให้ไปหลอกเรา อย่าให้ทีวีมาหลอกเรา อย่าให้หนังสืออื่นมาหลอกเรา  อย่าให้หนังสือพิมพ์มาหลอกเรา  อย่าให้วิทยุมาหลอกเรา อย่าให้แม้กระทั่งพระคัมภีร์ที่ใครมาแปล มันผิดไปกว่านี้ มาหลอกเรา … เราไม่เชื่อ นี่คือความเป็นจริงในถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้าบอกเรา มันเป็นอย่างนี้  เราก็เป็นอย่างนี้ มันจบแล้ว ชีวิตเรา จบในทางดีนะ มันจบในทางดีแล้ว พระเยซูจึงบอกเลย บนไม้กางเขน It is finish. มันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว  มันครบแล้วไง เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตนเองอีกต่อไปแล้ว เข้าใจไหม?  ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู มันจบแล้ว

มันจบแล้ว มันบริบูรณ์ เขาเรียกว่า Happy ending แล้ว เมื่อวันที่ท่านเชื่อในพระเยซู เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่าน มันจบแล้ว Happy ending แล้ว

พระเจ้าจึงไว้ใจเราไง ว่าพระองค์มาสถิตอยู่กับเรา แค่นั้นพอแล้ว เดี๋ยวพระองค์จัดการทั้งหมดเอง

พักผ่อนได้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองอีก แล้วเมื่อวันที่เราเข้ามาเชื่อในพระเจ้า ก่อนเชื่อในพระเจ้า ทำไปเถอะ ถึงบอกไม่ให้ทำ ท่านก็ทำ เพราะท่านไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใคร? พึ่งคนนั้น ก็ไม่ได้ พึ่งคนนี้ ก็ไม่ได้ ตรงนั้นก็หลอก ตรงนี้ก็หลอก ก็ไม่ใช่ แล้วก็ไม่อิ่มใจสักที จนมาเจอพระเยซู มันหยุดตรงนั้น มันถูกแล้ว มันหยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ควรจะพึ่งพระองค์ไปตลอดเลย เราสามารถพึ่งพระเจ้า และวางทุกอย่างไว้ที่พระองค์ได้ทั้งสิ้น

“ทุกอย่าง ทุกเรื่อง”

ไม่ใช่เรื่องฝ่ายวิญญาณอย่างเดียว ทุกอย่าง ทุกเรื่องบนโลกใบนี้  ที่ท่านเดินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับท่าน ให้ท่านรับรู้ว่าตัวตนของเราเป็นใครอยู่ในพระคริสต์ เป็นอย่างไร?  และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉันด้วย อยู่กับเราด้วย พระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างอยู่ … อยู่ในทุกสถานการณ์ ไม่เคยมีการทอดทิ้งเราเลยแม้แต่หนึ่งวินาที พอใจหรือยัง? มันต้องย้ำยืนยัน มันต้องอย่างนี้  มันต้องย้ำอย่างนี้  พระองค์สามารถที่จะนำพาเรา ผ่านพ้นทุกปัญหาไปได้ ในทุกสถานการณ์ ด้วยวิธีการและแผนการของพระองค์ที่ทรงวางไว้ ในชีวิตของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ที่พระองค์เรียกเรามาทำงานพระองค์ เมื่ออยู่บนโลกใบนี้ต่อไป นี่มันหมายถึงอย่างนี้

พระคัมภีร์จึงบันทึกว่าเมื่อเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือเชื่อในพระเยซูแล้ว เราได้บังเกิดในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวผมจะยกข้อพระคัมภีร์ขึ้นมา ท่านจะได้เห็น และไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องกลัวใครอีกเลย ไม่ต้องกลัวทุกข์ยาก ไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เพราะมันจบไปแล้ว เราชนะเรียบร้อยไปแล้ว อ่านดูเองแล้วกัน ท่านจะได้สบายใจ ท่านจะได้รู้สึกพักผ่อนสักทีหนึ่ง ท่านจะได้ไม่ต้องกลัว  เอาถ้อยคำเหล่านี้ไปอ่าน

“ไม่ว่าสถานการณ์ใดเกิดขึ้นกับฉัน ไม่ว่าฉันจะหวาดกลัวขนาดไหนก็ตาม พระเจ้าอยู่กับฉันเสมอ และฉันชนะแน่นอน เพราะมันชนะไปแล้ว”

โรม 8:37-39 “37 แต่ในทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เราก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ ผู้ได้แสดงความรักกับเรา 38 เพราะผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตาย หรือชีวิต ทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ฤทธิ์อำนาจต่างๆ ของวิญญาณ 39  สิ่งที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตาม ที่ถูกสร้างขึ้นมาพวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า ที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

พูดตามผมดังๆ เลยนะครับ “แต่ในทุกสิ่งทุกอย่างนี้ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ ผู้ได้แสดงความรักกับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ฤทธิ์อำนาจต่างๆ ของวิญญาณ สิ่งที่อยู่เหนือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่านคร … (ใส่ชื่อท่าน) หรืออะไรก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกนคร … (ใส่ชื่อท่าน)  ออกจากความรักของพระเจ้า ที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้ เอเมน”

จำไว้เลย พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เดินไปกับเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราเกิดในพระองค์แล้ว จวบจนวันตาย บนโลกใบนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์นำหน้าเรา  พระคริสต์นำหน้าเรา  พระหัตถ์ของพระองค์นำหน้าเรา  ในทุกพื้นที่ชีวิต ในทุกวินาที เราไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่มีสถานการณ์ใด หรืออะไร ทำอะไรเราได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น จงพักผ่อน หายเหนื่อย และเป็นสุข ปล่อยให้พระองค์ทำการงานของพระองค์ นำพาเราไป จนถึงวันสุดท้ายของเราแต่ละคน ที่พระองค์วางไว้ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์เถิด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2015 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 1 “อย่าเป็นทาร์ซาน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  ตุลาคม  2015

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 1 “อย่าเป็นทาร์ซาน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ก่อนฟังคำบรรยายในหัวข้อวันนี้ ก็เหมือนเดิม เราต้องมาทบทวนกันนิดหน่อย จากสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 12 เมื่อครั้งที่แล้ว ผมได้เกริ่นประเด็นใหม่ คือเรื่อง … ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Identity in Christ. หรือแปลเป็นไทยว่าตัวตนที่แท้จริงในพระคริสต์ ซึ่งจากนี้ไป อีกหลายสัปดาห์ เราจะมาเรียนรู้กันอย่างละเอียดในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ครั้งที่แล้วผมได้เริ่มต้นอธิบายความหมายของคำว่าตัวตนในพระคริสต์ หรือภาษาอังกฤษบอกว่า Identity in Christ. ที่บอกว่าพวกเราทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมและได้รับการประทับตราจากพระเจ้า  แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเราทุกคนในพระคริสต์ เปรียบเหมือนได้รับอะไร? จำได้ไหม?  เปรียบเหมือนวิญญาณนั้น เราได้รับบัตรประชาชนในพระคริสต์ แสดงหลักฐานว่าในบัตรนั้นบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์

เรามาทบทวนถ้อยคำพระเจ้าที่ยืนยันกับเรา ในเรื่องนี้ดู ซึ่งอยู่ใน 2 โครินธ์ 1:21-22 เพื่อจะได้รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์

2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์  พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

การรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ความสงบสุข และหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะจะทำให้เกิด 2 สิ่ง ครั้งที่แล้วเราสรุปกัน เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ รู้ชัดๆ เลยว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ดูบัตรประชาชนของเราในวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ มั่นใจในนั้น จะเกิด 2 สิ่งนี้ขึ้นมาในชีวิตของเราแน่นอน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราอย่างมาก คือ.-

  1. เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราก็รับรู้ถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? รักเรามากขนาดไหน? เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ทำให้พระองค์เสียพระทัย ทำให้พระองค์พอใจมากที่สุด ซึ่งเราทำสิ่งเหล่านี้ เพราะเราตั้งใจจะทำไม? ทดแทนความรัก ความเมตตาของพระองค์ ไม่ได้ทำเพราะเป็นบัญญัติสั่งให้เราทำ

อันที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นคืออะไร?

  1. แม้เราจะตั้งใจจริง จะดำเนินชีวิตให้เป็นที่ถวายแด่พระเจ้าอย่างจริงจังเลย แต่เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายที่มีเชื้อบาปอยู่ ก็มีโอกาสที่จะไปทำผิดพลาด ทำบาปบ้าง แต่เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่วิตก เพราะเรายังมั่นใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา บัตรประชาชนเรา บอกเราว่าตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์นั้น คือใคร? ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เป็นลูกพระเจ้า เราก็ยังเป็นเหมือนเดิม เป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป เราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนเดิมไม่มีผิด แล้วจะมีตัวตนแบบนี้ ในพระคริสต์อย่างนี้ เช่นนี้ ถึงเมื่อไร? ถึงตอนไหน? ชั่วนิรันดร์ ไปถึงตลอดกาลเลย

สรุปครั้งที่แล้ว เราก็ได้คุยเน้นกันเรื่องบัตรประชาชนในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 12 ครั้งที่แล้ว จึงมีชื่อตอนว่า “บัตรประชาชนในพระคริสต์”

อย่างที่บอกว่าจากนี้ต่อไป ผมจะค่อยๆ เจาะลึกในเรื่องของ Identity in Christ. หรือตัวตนในพระคริสต์ เราจะคุยเรื่องนี้กันอย่างละเอียด อย่างน้อยก็อีกหลายสัปดาห์ ไม่รู้จะมากกว่า 12 ตอนหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ  เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป เราจะเริ่มเปลี่ยนซีรี่ส์แล้วนะครับ  จากซีรี่ส์เราเป็นใครในพระคริสต์ มาเป็นซีรี่ส์ “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1

ซีรี่ส์นี้ชื่ออะไร? “ตัวตนในพระคริสต์”  วันนี้เราจะมาเรียนตัวตนในพระคริสต์

สรุป คือซีรี่ส์ชุดที่แล้ว เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” มีทั้งหมดเท่าไร? 12 ตอน ใครที่ฟังคำบรรยายนี้อยู่ในซีดี ในเว๊บไซด์ก็ตาม มี 12 ตอนนะครับ  ไปฟังดูเป็นจุดเริ่มต้นที่ท่านจะได้เรียนรู้เรื่องว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ตอนนี้เราอยู่ในซีรี่ส์ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนนี้ ตอนที่ 1 ตัวตนในพระคริสต์ หรือใช้ภาษาอังกฤษว่า Identity in Christ. เหมือนเดิมนะครับ ตอนที่ 1 ชื่อตอนว่าไม่รู้ เพราะยังไม่ฟัง จะรู้ได้อย่างไร? ตอนที่ 1 เดี๋ยวฟังจบแล้ว เดี๋ยวไปตั้งกันเอง เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเราค่อยมาตั้งด้วยกัน

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมเราถึงมาเรียนรู้เรื่องอย่างนี้ หมายถึงเรื่องนี้ เรื่องตัวตนในพระคริสต์นี้กันอย่างละเอียด ทำไมผมถึงบอกว่าการรู้จักตัวตนที่แท้จริง เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นเลย พระคัมภีร์อยากให้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ คือใครเป็นอย่างไร? ตัวตนที่แท้จริงของเรา

พระคัมภีร์ทั้งเล่มคืออะไรรู้ไหมครับ? คือหนังสือที่บ่งบอกถึงตัวตนมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะมนุษย์ที่ถูกเลือกเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้ายนี้  ยุคที่พระเยซูคริสต์มา เกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราเรียกกันว่ายุคสุดท้าย จะเน้นเรื่องนี้ จะสอนเรื่องนี้ จะบอกเรื่องนี้ทั้งหมด ในนั้นจะบอกถึงเรื่องว่าท่านเป็นใคร เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกอยู่เสมอว่าในพระคัมภีร์ เวลาท่านอ่านจงระลึกถึงว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณ โดยเฉพาะ 100% ทุกเรื่องเล็งไปที่วิญญาณ เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ ตัวตนจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณ และพระเจ้าต้องการจะบอกเราว่าเราเป็นใคร? เราเป็นวิญญาณนั่นแหละ เราเป็นใคร?  นอกจากเราเป็นวิญญาณแล้ว เราเป็นใคร? ไม่ใช่ผมบอกเองว่าสำคัญ แต่พระคัมภีร์บอกว่าสำคัญ

ที่บอกว่าการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะว่าการดำเนินชีวิตของเรา ทุกวันนี้ บนโลกใบนี้นะ เราต้องอยู่ท่ามกลางระบบของโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยภาพลวงตา จริงๆ สมัยก่อนก็มีภาพลวงตา แต่เดี๋ยวนี้มันมากขึ้น เป็นภาพลวงตาที่คอยจะ เบี่ยงเบนตัวตนที่แท้จริงของเรา คือระบบของโลกนี้จะคอยชี้นำให้เรามองตัวตนของเรา ตามทิศทางและกระแสของโลกใบนี้ ตามเชื้อบาปที่มันคลุมอยู่บนโลก มันจะโกหกเราอยู่เรื่อยๆ ไม่อยากให้เรารู้ความจริงว่าเราเป็นใครนั่นเอง

โลกนี้เขามักกำหนด Identity in Christ. หรือเรียกว่าตัวตนที่แท้จริงของคน ถามว่าจากอะไร? ในโลกนี้  เขากำหนดตัวตนของแต่ละคนจากอะไร? จากตำแหน่ง หน้าที่ หรือความสำเร็จในการงาน จากความมั่งคั่ง ทางเศรษฐกิจ จากรูปลักษณะภายนอก จากชื่อเสียงเกียรติยศ และจากการกระทำอะไรต่างๆ ถูกต้องไหม? ในโลกนี้เขาจะบอกว่าตัวตนเราเป็นใคร? บอกด้วยวิธีอย่างนี้

ตัวอย่างนะครับ กำหนดตัวตนตามตำแหน่งหน้าที่การงาน อย่างเช่น เป็นผู้บริหาร เป็นนักธุรกิจ เป็นนักวิชาการ หรือตัวอย่างการกำหนดตัวตนตามความมั่งคั่ง ชัดเจนเลยนะครับ ตั้งแต่อภิมหาเศรษฐี … เศรษฐี … เศรษฐีธรรมดา ไปจนถึงระดับพอกิน พอใช้ หาเช้ากินค่ำ แล้วก็ยากจนแร้นแค้น เห็นไหมครับ นี่คือตัวตนที่โลกวัตถุ โลกนี้กำหนดให้คนเป็นอย่างนี้

กำหนดตัวตนจากรูปลักษณะภายนอก ก็คือพวกหน้าตาดี อย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าตาดี หน้าตาพอใช้ได้ อย่างนี้เรียกว่าหน้าตาพอใช้ได้  หน้าตาขี้เหล่ เป็นต้น ใครเป็นคนบอกว่าคนนี้ขี้เหล่? เพราะว่าเขาว่ากันใช่ไหม?  เขานี่คือใคร? ไม่รู้ เขาว่ากันในสังคมนี้ ว่าแบบนี้เรียกว่าหล่อ แบบนี้เรียกว่าสวย

หรือกำหนดตัวตนจากชื่อเสียง ที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เช่นพวกไฮโซ พวกเซเลบ … เซเลบแปลว่าอะไรก็ไม่รู้นะ เขาพูดกัน รู้หรือเปล่าว่าเป็นอะไร?  ผมก็ไม่รู้ ไม่ต้องอธิบายให้ละเอียดก็แล้วกัน ไปถามกันเองแล้วกัน

หรือกำหนดตัวตนจากการกระทำ ในโลกนี้เขากำหนดอย่างนี้  เช่นเป็นคนใจบุญสุนทาน เป็นคนมีเมตตา หรือเป็นคนมีบาปหนา  อะไรอย่างนี้? ผู้ที่กำหนด คือใคร?  เขากำหนดกัน? เขาคือใคร? ไม่รู้ แต่สังคมพูดอย่างนี้

ใครเอาเศษข้าวไปให้สุนัขจรจัดกินข้างถนน เป็นคน รู้สึกมีเมตตากรุณา เห็นวันนี้ในหนังสือพิมพ์ลงนะครับ อย่าไปทำอย่างนั้นนะ เพราะว่ามันเป็นการส่งเสริมเชื้อโรคหมาบ้าขึ้น มันต้องจัดระเบียบของมัน ไม่พูดละเอียดนะ เอาเป็นว่ากำลังจะเน้นเรื่องนี้ว่าใครเป็นคนกำหนดเหล่านี้ ก็คือไม่รู้ … รู้แต่ว่าสังคมโลกนี้เขาว่ากันอย่างนั้น ตัวตนเราเป็นอย่างนั้น ตัวตนนี้เป็นอย่างนั้น  เขากำหนดกันเอง ถูกไหม?

สิ่งเหล่านี้ คืออะไรครับ? คือภาพลวงตา ที่คอยหลอกล่อเราให้เบี่ยงเบนจากการรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นอย่างไร? ซึ่งเมื่อไรเราต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ พอนานๆ เข้า เราก็จะเริ่มคุ้นเคย และคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันคุ้นเคย เรานึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ  มันนึกว่าการที่ตะกี้นี้ยกตัวอย่างง่ายๆ คุ้นเคยว่าดูรู้สึกว่าเป็นคนมีเมตตากรุณาต่อสัตว์เหลือเกิน สุนัขข้างถนน เราเห็น ก็สงสารมัน แทนที่จะพามันกลับบ้าน ไปเลี้ยงดูที่บ้านอย่างนี้ เราก็เอาเศษอาหารไปให้มันข้างทาง

คนก็บอก “คนนี้ ดูสิมาทุกวันเลย เป็นคนดีมีเมตตา”

เราก็รู้สึกภูมิใจว่าเรากลายเป็นคนมีเมตตากรุณา แต่ปรากฏว่าเราไม่เคยช่วยใครสักคนหนึ่งเลย  พอเข้าใจไหม? เราไม่เคยช่วยใคร? ไม่เคยแบ่งปันให้ใครเลยสักคนหนึ่ง อาหารที่กินอยู่ แบ่งเหลือให้สุนัขได้ แต่อาหารที่กินอยู่ ที่ยังดีๆ อยู่ เราไม่เคยให้ใคร? ให้เด็กคนไหนกินเลย แม้แต่คนหนึ่ง นี่สมมติให้ฟัง ยกตัวอย่างให้ฟัง เพื่อท่านจะได้เห็นความแตกต่างว่าพอคุ้นๆ ไป เราเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นภาพลวงตา อย่างนี้เรียกว่ามีเมตตาจริงๆ ไหม? ไม่ใช่แล้ว ผิดปกติอะไรบางอย่าง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนเรื่องนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาย้ำกันบ่อยๆ ในเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นใคร?  เพื่อให้เราจะได้ไม่ถูกหลอกโดยสังคม โดยโลกใบนี้ ไม่ให้เราหลงเชื่อไปกับข้อมูลหลอกลวงที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย รอบตัวเรา รอบข้างเรา เพราะเมื่อเราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตัวตนที่แท้จริง หรือ Identity in Christ. ของเราในพระคริสต์นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดโดยระบบของโลกนี้อีกต่อไป

ให้ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

“ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่ผู้บริหาร แม้ว่าข้างนอกจะดูแล้วเหมือนผู้จัดการใหญ่ ดูเป็นผู้บริหาร แต่ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่ผู้บริหาร ไม่ใช่นักธุรกิจ หรือไม่ใช่ลูกจ้าง ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ใช่เศรษฐีครับ ไม่ใช่คนยากจนด้วย ในพระคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ใช่คนหล่อ สวย หรือขี้เหล่ ไม่มี”

ในพระเยซูคริสต์ไม่มีนะครับ ไม่มี

“ในพระคริสต์ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่คนใจบุญ หรือเป็นคนบาปหนา”

พอจะเห็นภาพหรือยังว่าความจริงคืออะไร?

“เพราะตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้ หรือการกระทำของฉัน แต่ถูกกำหนดโดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ต่างหาก”

จริงหรือไม่จริง? นี่คือพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ แค่นี้เราก็อึ้ง นี่ยังไม่ทันเรียนนะ นี่พึ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้นเองนะ ก็อึ้งแล้วนะ ความจริง แค่พูดเรื่องเล็กๆ แค่นี้ เราชัดแล้ว

“อ๋อ! ถูกหลอกมาตั่งเยอะ เห็นเขาบอกว่าเราเป็นคนขี้เหล่ที่สุดในบ้าน ที่แท้เราก็ไม่ได้ขี้เหล่อย่างที่เขาบอกสักหน่อย”

เพราะฉะนั้น ในทางตรงกันข้าม ใครๆ เขาบอกว่าเราสวยที่สุดในบ้าน จริงๆ เราก็ไม่ได้สวยสักหน่อย ในพระคริสต์เท่ากันหมด เอเมน ทุกคนทำไม? สวยเหมือนกัน สวยแบบของเรา แบบที่พระเจ้าสร้าง แบบที่เป็นการฝีมือ ชิ้นยอดเยี่ยมของที่พระเจ้าสร้างเรา พระคัมภีร์บันทึกไว้นะ เราทุกคนถูกสร้างมาด้วยการฝีมือที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย ไม่มีใครเหมือนเลย เหมือนอะไรรู้ไหม? เหมือนศิลปินใหญ่ เหมือนไมเคิล แองจิโล่ ที่วาดรูป เขาไม่เคยวาด แล้วออกมาพิมพ์เป็นหมื่นๆ ชิ้น ไม่ใช่ มีอันเดียวในโลก มีภาพโมนาลิซ่า ภาพเดียวในโลก ไม่วาดโมนาลิซี่อีกแล้ว ไม่มี นี่คือศิลปินแท้จริง แล้วมันจะมีค่า

ในงานวิจัยทางวิชาการบอกว่าข้อมูลรอบข้าง จะมีผลมากที่สุด ต่อการรับรู้และยอมรับในตัวตนของตนเอง

อีกครั้งหนึ่ง งานวิจัยทางวิชาการบอกว่าข้อมูลรอบข้างเรา จะมีผลมากที่สุดต่อการรับรู้และยอมรับในตัวตนของตัวเอง ซึ่งข้อมูลรอบข้างนี้ จะมีความเป็นไปได้ 2 ทาง

ทางแรก คือข้อมูลตัวตนที่แท้จริง ที่เรียกว่า True identity คือตัวตนที่แท้จริง

ทางที่สอง คือข้อมูลตัวตนที่เป็นเท็จ หรือเรียกว่าตัวตนปลอม หรือเรียกว่า Liedentity ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอย่างนั้น

คือมีข้อมูลรอบๆ เรา มีข้อมูลอันหนึ่งเป็นจริง ตัวเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ อีกอันหนึ่งทำไม? มันโกหก มันปลอม

ความหมายของตัวปลอม หรือ Liedentity การปลอมแปลงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด อันนี้เห็นชัด เห็นกันเยอะแยะในโซเซียลมีเดียในปัจจุบัน ปลอมตัวเป็นคนอื่นเยอะแยะ ปลอมเป็น อย่างเช่น มีอยู่บ่อยๆ เป็นระยะๆ ล่อคนที่โลภมาก เสียเงินไปเยอะแยะ หลอกว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่โต มีมรดก หรือมีอะไร? มีเงินเยอะแยะมากมายใหญ่โต แต่ขาดเงินแค่หมื่นเดียว ขอให้ส่งเงินมาหมื่นเดียว มาช่วยเขา หลังจากที่เขาทำเอกสารเสร็จแล้ว เขาได้มรดกแล้ว ได้เงินเป็นหมื่นๆ ล้าน เขาจะส่งเงินกลับมาให้เยอะแยะ แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง คนก็ถูกล่อลงไปได้ ไปเชื่อเขา ส่งเงินไปให้เขาหมื่นหนึ่ง คิดดูสิ เพราะความโลภ หลงไปเชื่อความปลอม ความโกหก นี่คือข้อมูลรอบข้าง

หรือข่าวที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เรื่องหลอกลวงทางไลน์ นี่แชทมาแชทไป ถูกเขาโกงไป ก็เยอะแยะไปหมด บางคนแชทไปแชทมา หลอกลวง ทั้งที่ตัวเองเป็นคนตกงาน บอกว่าตัวเองเป็นนายตำรวจ ยศนายพันบ้าง นายพลบ้าง มาหลอกชาวบ้านเขา แล้วถามว่าหลอกได้ไหม? ได้ หลายคนก็ถูกหลอก อย่างนี้ เป็นต้น นี่คือตัวอย่างของความหมาย คำว่า Liedentity หรือตัวตนปลอม ตัวปลอม

แล้วอีกประเภทหนึ่ง คืออะไร? อีกประเภทหนึ่งยิ่งชัด แต่ชัดแบบเจ็บๆ คืออะไร? คือในการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้นะ เราจะถูกรายล้อมไปด้วยข้อมูลที่เป็นตัวตนปลอม หรือว่าความโกหก Liedentity เต็มไปหมด รอบข้างเราเลย  คือจริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก แต่ข้อมูล … ข้อมูลนะ ข่าวสาร ข้อมูลรอบข้าง บอกว่าเราเป็น แล้วเราก็หลงเชื่อ เข้าใจว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่าให้ระวังๆ อย่าซี้ซั่ว ระวัง … ระวังอะไร?  พระเยซูบอกว่า.-

“ระวังคำโกหก หลอกลวงท่าน มารมา เพื่อขโมย ลัก ฆ่า และทำลาย แต่เรามาเพื่อให้ท่านมีชีวิตอยู่ และมีชีวิตอยู่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์” เอเมน

พระเยซูจึงบอกว่าถ้อยคำของพระองค์เน้นอยู่เรื่อยๆ เน้นอยู่บ่อยๆ สำคัญ พระองค์ทรงพูดอยู่บ่อยๆ

พระเยซูตรัสว่า “ถ้อยคำที่เราพูดนะ เป็นความจริง และความจริง จะทำให้ท่านเป็นไท”

บางครั้งพูดขึ้นมาว่า “นี่นะ จะบอกให้นะ จริงๆ นะ จริงๆ เราจะบอกให้ท่านฟัง”

พระเยซูจะพูดเริ่มต้นอย่างนี้เสมอ ใน 3 ปีที่รับใช้บนโลกใบนี้ ลองดูนะครับ ยอห์น 8:32 ดูสิพระเยซูพูดว่าอย่างไร?

ยอห์น 8:32 “พวก​คุณ​จะ​รู้จัก​ความ​จริง ​และ​ความ​จริง​ จะ​ทำ​ให้​พวก​คุณ​เป็น​อิสระ”

 

ยอห์น 14:6 “พระ​เยซู​บอก​ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่​มี​ใคร​ไป​ถึง​พระบิดา​ได้ ​นอก​จาก​มา​ทาง​เรา”

 

พวกคุณจะรู้จักความจริง เพราะว่าพระเยซูเป็นอะไร? เป็นความจริง พระเยซูไม่ได้บอกเราจะพูดความจริงให้ท่านฟังอย่างเดียวนะ แต่พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็น … มีบุคคลเดียวในโลกนี้ ในมหาจักรวาลนี้เลย ที่พูดคำนี้นะครับ

ทุกคนบอกว่า “เดี๋ยวเราจะมาเล่าความจริงให้ฟัง”

สมมติว่าผมรู้ความจริงมา ผมก็จะบอกว่า “เดี๋ยวจะเล่าความจริงให้ฟัง” ถูกไหม?

แต่มีไหม? มีใครที่มาบอกว่า “ตัวเรา เป็นความจริง อยากรู้ความจริงไหม? มาหาเราสิ รู้จักเรา ก็รู้จักความจริง” ลึกซึ้งมาก

เช่นพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นสายเลือดของอาดัมและเอวา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ทั้งหมด เป็นของพระเยซูทั้งสิ้นนะ  พระเยซูเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระเจ้าพระบิดาสร้างทุกสิ่ง ทั้งหลาย ทั้งปวง  ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเยซู ก็คือพระคัมภีร์ ความจริงบอกว่าอย่างนี้ บอกว่าเรา มนุษย์ทุกคน เป็นสายเลือดของอาดัมและเอวา … อาดัมและเอวามีอยู่จริงๆ นะ ถูกไหม?  นี่เป็นถ้อยคำแห่งความจริง ในพระคัมภีร์ ถ้อยคำพระเจ้าที่ บอกเราว่าเราเป็นใคร? พระเจ้าบอกมนุษย์ทุกคนว่าญาติโกโหติกาของเราเป็นใครมาจากไหน?  พอเข้าใจใช่ไหมครับ

อาดัมและเอวามีอยู่จริงๆ เพราะในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าเล่าให้เราฟังว่าอาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา มีอยู่จริงๆ  และเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  รวมทั้งตัวเราด้วย  และอาดัมและเอวาก็ตกลงไปในความบาป หลังจากที่กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และก็ได้รับคำสาปแช่ง ได้รับโทษเป็นคำสาปแช่ง และเราทั้งหลายที่เป็นลูกของอาดัม ก็พลอยได้รับคำสาปแช่งนี้ไปด้วย นี่คือความจริงที่พระคัมภีร์ พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใคร?

นี่คือความจริง แต่ก็มีข้อมูล ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาบอกมาว่า … ซึ่งข้อมูลนี้มาจากใครก็ไม่รู้ เขาบอกว่าข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่เรียกว่าข้อมูลปลอม เป็นตัวตนปลอม เป็น Liedentity ปลอม ของโกหก บอกว่าอย่างไร? บอกว่ามนุษย์เรามีต้นกำเนิดมาจากสัตว์ หรือมีวัฒนาการมาจากลิง รู้จักลิงไหม? เหมือนเราไหม? หรือข้อมูลบางแห่งก็บอกว่ามนุษย์มาจากไหนก็ไม่รู้ เรื่องอาดัมกับเอวา ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก เป็นเรื่องนิทาน เห็นไหม? เห็นไหม? นี่คือข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่ง ซึ่งเราได้รับมาจากบนโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเราก็เคยเชื่อข้อมูลนี้ ตอนที่เรายังไม่รู้จักพระเยซู เราก็เคยเชื่อข้อมูลนี้ เวลาเขามาเล่าถึงพระเยซูให้เราฟัง ไม่มีทางที่เราจะฟังข่าวประเสริฐได้ หรือมีใครที่จะประกาศข่าวประเสริฐได้ โดยไม่เล่าถึงบรรพบุรุษ (สายพันธุ์ของมนุษย์) ว่ามาจากไหน?  พอถึงตรงนี้ปุ๊บ เราก็หัวเราะ เคยดูการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เราก็หัวเราะเยาะเขา  ก็คือเราไม่เชื่อ เมื่อไรที่เราไม่เชื่อ ก็เท่ากับเราไปเชื่ออีกข้างหนึ่ง ถูกไหม? มันไม่มีหรอก ที่บอกว่าเราไม่เชื่อ แล้วเราไม่เชื่อทั้งสองข้าง ไม่มี เราอาจจะไม่เชื่อว่ามีอาดัมและเอวา และเราก็ไม่เชื่อว่ามาจากลิงด้วย  แต่ขณะเดียวกัน เราต้องเชื่ออะไรบางอย่าง

รวมสรุปแล้ว ก็คือเราไม่เชื่อในข้อมูล ความเป็นจริงว่าตัวตนของเรา เป็นใครมาจากไหน? ต้นตระกูลเราเป็นใคร?

หรือบางข้อมูลบอกว่าเราทำบาปเวรกรรมเยอะ ทั้งชาติที่แล้ว ชาตินี้ด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องลบล้างบาป เวรกรรมของเราเอง ไม่มีใครสามารถลบล้างให้เราได้หรอก เราต้องสะสมบารมีและล้างมันให้ได้  ไม่รู้อีกกี่ปี กี่ชาติ เราก็ต้องล้างให้มันหมด มาจากใครก็ไม่รู้อีก เราก็เคยเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน

นี่คือข้อมูลเห็นไหม? พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเรา ซึ่งเมื่อเราเชื่อความจริงตรงนี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเราจริงๆ เรารู้ว่าเราเกิดมาจากอาดัมจริงๆ นี่สมมตินะ เราก็จะมีชีวิตที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงกับการเชื่อในคำโกหก ตัวตนปลอมๆ เมื่อตะกี้นี้  ถูกไหม? พอเรารู้ว่าเรามาจากพระเจ้าจริงๆ เปลี่ยนไปเลยนะ กับรู้ว่าเรามาจากลิง มันต่างกันเยอะ ถูกไหม? ซึ่งถ้าเรายืนหยัด หรือยืนอยู่บนข้อมูลที่หลอกลวงเหล่านั้น ชีวิตเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง มันทุกข์เหลือเกิน นี่คือที่บอกว่าเราต้องเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร มันถึงจะเกิดประโยชน์กับเรา มากถึงมากที่สุด

และเราจะรู้ความจริงได้อย่างไร?  เราก็ต้องเริ่มต้นที่พระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความจริง มีผู้เดียวในโลก ที่บอกว่าพระองค์เป็นความจริง แล้วก็อยากจะรู้ว่าความจริงนี่คืออะไร?  อะไรจริง ลองศึกษาสักหน่อย อะไรประมาณนั้น เพราะพระเจ้าบอกพระองค์เป็นความจริง เราต้องเริ่มต้นจากความเชื่อตรงนี้เสียก่อน

อ้าว! เชื่อสิว่าพระเจ้าเป็นความจริง เชื่อตรงนี้ และเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และเชื่อว่าถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์เป็นจริง นี่แหละ มันถึงจะเกิดขึ้นได้ พิสูจน์ได้ว่าความจริงนี่เป็นเช่นไร? เราจะได้รู้ว่าตัวตนเราเป็นใคร? เราไม่ยอมฟังคนอื่นเขาเลย แล้วเราจะรู้ได้เหรอว่าตัวเราเป็นใคร? สมมติให้ฟัง

มีคนมาบอกว่า “คุณเป็นใคร?”

แล้วเราบอกว่า “ไม่ฟังๆ”

แล้วเราจะรู้ไหมเนี้ยว่าเราเป็นใคร? สมมติว่าเราลืมตัวไปแล้วนะ สมมติ และเมื่อเรามีความเชื่อว่าถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์เป็นจริงแล้ว เราก็จะได้ศึกษาและเรียนรู้พระคัมภีร์ ถึงตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเมื่อเราได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรานั่น เป็นใคร? เราเป็นอย่างไร? มีสิทธิอะไรบ้าง? เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา จากการได้รับรู้ข้อมูลจริงๆ ตรงนี้นั่นเอง ถูกไหม? มันสำคัญมากใช่ไหม? สามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ ตัวตนเราเป็นจริงๆ เป็นอะไร?  เราจะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ไม่ถูกหลอก และไม่เสียผลประโยชน์ไป ไม่ถูกทำให้หลงไปเชื่อในตัวตนปลอมที่ตะกี้นี้ยกตัวอย่างให้ฟัง

ตัวอย่างให้เห็นชัดอีกอันหนึ่งว่ามันอันตรายขนาดไหน? ถ้าเราไปเชื่อข้อมูลผิด มันอันตรายขนาดไหน?  ตัวอย่างที่เห็นชัดเลยนะครับ เด็กที่เกิดในตระกูลเศรษฐี ที่ร่ำรวย แต่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วถูกเลี้ยงในครอบครัวขอทาน แล้วตั้งแต่เล็กจนโต ก็มีชีวิตแบบขอทาน อดๆ อยากๆ ถูกสอนให้ออกไปขอทานทุกวัน นอนริมถนนทุกวัน เด็กคนนี้จึงรับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองมีสถานะเป็นขอทาน ไม่ใช่เศรษฐี อยู่ในครอบครัวยากจน เพราะข้อมูลรอบข้างเขา มันบอกว่าเป็นอย่างนั้น ถูกไหม รอบข้าง ซึ่งข้อมูลตรงนี้ ก็คือข้อมูลตัวปลอมของเขา ถูกไหม? ตัวตนปลอมของเขา หรือภาษาอังกฤษที่เราบอก เป็น Liedentity มันเป็นตัวตนปลอมของเขา  ที่ถูกยัดเหยียดใส่เข้าไปในตัวเขา แต่เด็กคนนี้ ก็เชื่อว่าที่เขายัดเหยียดมา มันเป็นจริงไปด้วย เพราะรอบๆ เขามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นึกให้ดีๆ นะ

จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กคนนี้ คือคนที่เป็นเศรษฐี ก็เกิดได้พบกับเด็กคนนี้ หาจนเจอ ก็ดีใจมาก รีบรับตัวกลับบ้าน แต่ปรากฏว่าเด็กคนนี้ กลับไม่เชื่อความจริง เพราะตัวเองรับรู้ตัวตนของตนเองมาตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นขอทาน ครอบครัวยากจน ยังไม่เชื่อกับข้อมูลใหม่ที่เศรษฐีบอกว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองเป็นลูกเศรษฐี จนกระทั่งต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์กันยกใหญ่เลย พิสูจน์ๆ กว่าเด็กคนนี้จะยอมเชื่อ และยอมกลับไปพบกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เป็นลูกเศรษฐีนั้น แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านใหญ่โตนั้น ใช้เวลานานเลยนะครับ แล้วปรากฏว่าหลังจากนั้น ปรากฏว่าเกิดอะไรขึ้น  เด็กคนนี้ เมื่อได้มาอยู่ในบ้านของครอบครัวเศรษฐีที่แท้จริงของตนเอง มาอยู่จริงๆ แล้ว เขาเรียกตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเลย บ้านเราจริงๆ แล้ว กลับกลายเป็นทำไมรู้ไหมครับ? ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม  ทั้งๆ ที่สิ่งนี้  ก็คือตัวจริงของเขา แต่เขาไม่ชินแล้ว ชินกับของปลอมเยอะ

ตอนกลางคืน ก่อนนอนต้องหอบผ้า หอบหมอน ไปนอนระเบียบหน้าบ้าน เพื่อให้ได้บรรยากาศใกล้ๆ เหมือนเดิม เหมือนจะหลับ ต้องนอนริมถนนไง  ไปนอนข้างบนไม่ได้ ต้องออกมานอนข้างนอก ซึ่งพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา ที่เป็นเศรษฐีต้องเริ่มต้นสอนใหม่ สอนบ่อยๆ เพื่อให้เด็กคนนี้ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเองว่าเขาเป็นลูกเศรษฐี ควรจะวางตัวอย่างไร? จะใช้ชีวิตในบ้านหลังใหญ่อย่างไร?  ต้องเข้าสังคมอย่างไร?

เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเมื่อได้รับข้อมูลตัวตนของเรา  ที่ไม่เป็นความจริง ที่โกหกมา ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไปอะไรก็ไม่รู้ เข้ารกเข้าพง เข้าป่าไปเลย  และเมื่อได้มารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราจริงๆ อีกทีหนึ่ง ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อย่างมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน เอเมน

ทำไมถึงเอเมน เหมือนอะไร? เหมือนเราในพระคริสต์ไหม  เหมือนไหม? เหมือน … เหมือนเราในพระคริสต์ไหม? เหมือน ตอนนี้ท่านเป็นลูกใคร?  ลูกพระเจ้า  ตอนท่านเป็นลูกพระเจ้ารวยไหม? มหาเศรษฐีไหม? แล้วท่านจนหรือเปล่า? ไม่กล้าพูด ใช่ไหม? แม้อยู่บนโลกใบนี้

“คนอื่นจะบอกว่าฉันยากจน แต่นั้นมันของปลอมครับ แม้บ้านฉันยังเช่าเขาอยู่”

ขึ้นรถเมล์ สังคมเขาบอกคนจน

“โทษทีครับ นั่นคือข้อมูลปลอม ข้อมูลโกหก ตัวจริงๆ ของฉัน คือฉันเป็นลูกเศรษฐี มหาเศรษฐี เจ้าของ ที่ดิน บ้านฉัน คือโลกนี้ทั้งใบ”

แล้วจริงหรือเปล่า? จริงหรือไม่จริง? จริงนะ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริง ตามพระคัมภีร์เป๊ะเลย

อีกตัวอย่างหนึ่ง  อันนี้อีกมุมหนึ่ง  อันนี้มุมใกล้ตัวเราหน่อย เมื่อกี้ลูกเศรษฐีใช่ไหม? ต้องใช้ชีวิตเป็นลูกขอทานใช่ไหม? คราวนี้ลองฟังอีกตรงกันข้ามกัน คือถูกหลอก ด้วยข้อมูลตัวตนที่ไม่เป็นความจริงเหมือนกัน แต่ในทางตรงกันข้าม เช่น จริงๆ แล้ว ครอบครัวยากจน เป็นหนี้สินมากมาย แต่ถูกหลอกด้วยข้อมูลต่างๆ ว่าเป็นคนมีฐานะดี ใช้เงินเกินตัว ก็เลยกลายเป็นโทษ ลำบาก ลำบน มีไหม? มีหรือไม่มี? ถูกหลอกอย่างนี้มีหรือไม่มี? ไม่กล้าพูดเหรอ อ้าว! พูดดังๆ มีหรือไม่มี? มี เยอะไหม? เยอะ เคยเห็นไหม? ท่านเคยถูกหลอกอย่างนี้ไหม? โดนหรือเปล่า? ไม่โดนเหรอ?

อ้าว! เมื่อ 2 – 3 ปีที่แล้ว ใครซื้อรถคันแรกบ้าง? ตอนนี้ใครจะไปผ่อนบ้านหลังแรกบ้าง? นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น การที่เขาจะให้โปรแกรมอย่างนี้ว่ารถคันแรก บ้านหลังแรก เขามีไว้เพื่อคุณต้องรู้ตัวคุณเองด้วยว่าคุณไหว มันเหมาะสมกับคุณ ไม่ใช่ให้ แล้วทุกคนยากได้ นึกว่าตัวเองทำได้  นึกว่าตัวเองมี แล้วเป็นไง ถูกเขายึด เป็นหนี้เป็นสินเขา กลายเป็นคนล้มละลายไปแล้ว รถคันแรกก็คืนเขาไป แถมรถคันก่อนคันแรก เขาก็เอาไปด้วย บ้าน ทุกอย่าง กลายเป็นคนล้มละลาย นี้มันเป็นอย่างนี้  อย่างนี้เรียกว่าถูกหลอกหรือเปล่า? ถูกหลอก

อยากได้ ลืมคิดไปว่าฐานะอย่างเรา มันมีรถส่วนตัวได้ไหม? ตอบว่าไม่ได้ แต่ว่าแบงค์บอกว่าได้ พยายามทุกอย่าง เพื่อจะให้ได้ แล้วในที่สุด ได้มาจริงๆ แล้วไปรอดไหม? ไม่รอด เพราะมันลืมตัวไป นี่ถูกหลอก ตัวตนผิดไป

หรือบางคนถูกข้อมูลหลอกว่าอันนี้สำคัญทางวิญญาณนะ หรือบางคนถูกข้อมูลหลอกลวงว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เป็นผู้วิเศษ … วิเศษกว่าคนอื่นๆ เขา สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้เพียงผู้เดียว วิเศษกว่าคนอื่นมากมายนัก สามารถเข้าใจเรื่องของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง คนเดียวเลย  ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเขาเรียกว่านั่งทางใน ทำอภินิหาร ทำอัศจรรย์ต่างๆ สามารถติดต่อกับโลกฝ่ายวิญญาณได้ แบบพิเศษเลย มนุษย์ทุกคนต้องไปพึ่งเขา อย่างนี้เป็นต้น ถูกหลอกอีกเหมือนกัน

พระเจ้าบอกมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด ที่ผมพยายามบอกอยู่เรื่อยๆ ทุกวันนี้ สำคัญที่สุด ที่ไหนก็ตาม ที่บอกมนุษย์ไม่เท่ากัน ท่านรีบออกมาไกลๆ เลย  มนุษย์ต้องเท่ากันหมด เมื่อมนุษย์เท่ากัน เพราะอะไร? เพราะพระคัมภีร์พูดอย่างนั้น มนุษย์เท่ากันหมด เพียงแต่ไม่เท่านั้น หมายถึงตำแหน่งหน้าที่การงานบนโลกใบนี้ หน้าที่คนนี้เป็นผู้รับใช้ คนนั้นเป็นศิษยาภิบาล หน้าที่นี้เป็นอาจารย์ หน้าที่นี้เป็นแม่บ้าน ก็ว่ากันไปตามหน้าที่ … หน้าที่นี้นักธุรกิจ เขาเป็นหัวหน้าเรา … เราก็เชื่อฟังเขา ไม่ใช่เขาใหญ่กว่า เพราะว่าฐานะตัวตนเขาใหญ่กว่านั้น อย่างนั้นไม่ใช่ เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านเข้าไปหาพระเจ้าได้พอๆ กันกับเปาโล และเปโตรเข้าไปหาพระเจ้าได้ มีค่าเท่ากัน ท่านมีสิทธิ์เท่ากันเลย เอเมน ปรบมือขอบคุณพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้ ความจริงมันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ความจริงอย่างนี้ นึกในใจว่ามีอะไรเพี้ยนๆ แล้ว อย่าเข้าไปยุ่งๆ ถ้าเมื่อไรมีคนยกตัวตนเองขึ้นมาสูงกว่าชาวบ้าน ระวังๆ สูงในที่นี่ หมายถึงวิญญาณอย่างนี้นะ

ตัวอย่างข้อมูลปลอมที่อันตรายอีกเรื่องหนึ่ง คืออะไรรู้ไหมครับ? คือบางคนยกตัวอย่างถ้อยคำในพระคัมภีร์มาใช้แบบไม่ถูกต้อง อย่างนี้เรียกว่าอะไรรู้ไหมครับ? เรียกว่าเป็นการถูกหลอกแบบลึกซึ้ง เขาเรียกว่าตลบท้ายอีกทีหนึ่ง เพราะว่าถูกหลอก โดยใช้ถ้อยคำพระเจ้ามาหลอกเรา เข้าใจใช่ไหม? ถ้อยคำพระเจ้าเป็นความจริง ขณะเดียวกัน คนสามารถใช้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นความจริงมาบิดพลิ้ว เอาถ้อยคำพระเจ้ามาหลอก ก็ได้เหมือนกัน

อย่างเช่นพระคัมภีร์บอกว่าในพระคริสต์ เราเป็นผู้มั่งคั่ง มั่งมี … มีไหม? พูดอย่างนั้นมีไหม? ใช่ ซึ่งความหมายจริงๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้ หมายถึงมีความมั่งคั่งทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงความมั่งมี ความร่ำรวยทางโลกเลย แต่ถ้าเชื่อข้อมูลที่หลอกลวงนั้น แล้วเข้าใจผิดว่าเมื่อมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ตัวตนของเราจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยขึ้น ทางโลก ซึ่งถ้าเราดำเนินชีวิตบนตัวตนที่ผิดอย่างนี้  เป็นเท็จอย่างนี้ ชีวิตเราก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างมหาศาล จริงหรือไม่จริง? ถูกไหม? มันคนละเรื่องกัน นี่คือการหลอกลวงทั้งสิ้น ทำให้เราไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร?  และเราก็จะดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่ไม่เป็นความจริง ที่เป็นเท็จนั้น คือดำเนินชีวิตอยู่บน Liedentity หรือตัวตนปลอม แล้วเราอาจจะพลาดไปทำอะไรที่เป็นพิษ เป็นภัยกับตัวเอง และเป็นพิษเป็นภัยกับผู้คนรอบข้างมหาศาลเยอะเลย แม้กระทั่งเกิดสงครามยังได้เลย  เพราะเข้าใจผิดไป  ถูกหลอกไป นึกว่าตัวตนเราเป็นอย่างนั้น

ในพระคัมภีร์ใช้คำนี้เลยว่านึกว่าเราทำด้วยความรักในพระเจ้า พลีชีวิตของเรา ให้เขาเผาไฟเลย ในพระคัมภีร์บอกเป็นศูนย์เลย ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  1 โครินธ์ 13 บอกไว้ใช่ไหม? ความรักคืออะไร? ความรักไม่ใช่อย่างนี้ วันนี้ไม่ได้จะมาพูดเรื่องนี้ เอาเป็นว่าข้ามอันนี้ไปก่อนนะ เพื่อจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ ว่าตัวตนของเราจริงๆ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเรา ถ้าเราไม่รู้ตัวตนในชีวิตของเรา แล้วเราถูกเขาหลอกไปเป็นตัวตนปลอม มันอันตรายมาก … มากน้อย ถึงมากๆ ถึงมากมหาศาล ถึงมากที่สุด ทำลายโลกนี้ยังได้เลย  เพราะตัวตนปลอม นึกว่าเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ มันไม่ใช่

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องสุดท้าย ที่เห็นชัดที่สุด เพราะใครๆ ก็รู้จักเลย ใครเคยดูหนังเรื่องทาร์ซานบ้าง?

ทาร์ซานถูกเลี้ยงโดยฝูงลิงกอริล่า ตั้งแต่เป็นทารก และได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิก เป็นหนึ่งในฝูงลิง เมื่อทาร์ซานเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็มีสัญชาตญาณเหมือนกับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง เขาอยู่สิ่งแวดล้อมนี้ทั้งหมด แล้วรับรู้ตัวตนของตัวเองมาตลอดว่าตัวเอง ก็คือสัตว์ตัวหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตในป่า จนกระทั่ง เขาได้มีโอกาสได้พบกับมนุษย์ และรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ พ่อแม่มาหาเจอเหมือนกัน พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ค้นเข้าไปในป่าเจอใช่ไหม? ไปเจอ เรียกลูกกลับมา แล้วพยายามที่จะบอกลูกว่าลูกเป็นใคร? เมื่อทาร์ซานได้รับรู้ความจริงเหล่านั้นที่พ่อแม่และผู้คนรอบข้างพยายามเล่าให้เขาฟัง แต่ก็ยังไม่ยอมรับในตัวตนจริงๆ ของตัวเองว่าตัวเองเป็นมนุษย์ แม้จนได้มาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ เข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ทาร์ซานก็ยังปรับตัวได้ยากกับการที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขานั่นเอง ถูกไหม? เหมือนไหม? ทาร์ซานเข้ามาอยู่บ้านหลังใหญ่ คฤหาสน์ของพ่อแม่ มาอยู่แล้ว เรียนรู้ไป กินข้าว รู้จักนอนแล้ว พอตอนเช้าขึ้นมา ตื่นเช้า 6 โมงเช้า รู้แล้วต้องไปกินข้าว มันหิวแล้ว แทนที่จะเดินลงบันไดมา  ปีนหน้าต่างออก ปีนคล่องเลย จากหน้าต่าง สมมติชั้น 5 ชั้น 6 ปีนลงมา เกาะรางน้ำฝน ลงมา โดดตุ๊บๆ เข้าหน้าต่างห้องกินข้าว พ่อแม่นั่งรออยู่ มาแปลก แค่นั้นไม่พอ พ่อแม่ตกใจ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรลงมาเลย ทั้งๆ ที่เสื้อผ้าก็ซื้อมาให้หมดแล้ว สอนวิธีใส่แล้ว แต่ทาร์ซานทำไม?  ยังไม่เคยชิน ลืมตัวไป ไม่เคยชิน หิวข้าว รีบลงมา นี่เปลี่ยนไปเยอะแล้วนะ ทาร์ซานมาอยู่หลายปีแล้วนะ แต่มันเผลอไปไง มันหิว มันเผลอ พอหิวปุ๊บ สัญชาตญาณเก่ามันออก มันเคยอยู่อย่างนั้นมาก่อน มันก็โดดลงมา แก้ผ้าอะไรต่างๆ ลงมา นึกว่าอยู่ในป่า อยู่เหมือนเดิม นี่คือทาร์ซาน น่าขำไหม?

ในพระเยซูคริสต์เราก็ทำอย่างนั้น แต่เราไม่เห็นขำเลย ในพระคริสต์เราเป็นใคร? เสร็จล่ะ คราวนี้ ยุ่งแล้วสิ ในพระคริสต์เราเป็นใคร? ดูสิว่าจะมีใครแก้ผ้าลงมาบ้าง? ในพระคริสต์เราเป็นใคร? เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว … แล้วทำไมเวลาเขาเสิร์ฟอาหารช้า ทำไมเราโกรธเขาล่ะ แล้วทำไมเราเห็นแก่ตัว เราอยากได้ของคนอื่นเขา ทั้งๆ ที่เราร่ำรวยมหาศาล เหมือนไหม? เหมือนทาร์ซาน ที่ลงมาจากห้องนอนไหม? พอกัน พระเจ้ามองมา

“ลูกฉัน ทำไมทำอย่างนี้”

นิดเดียวเอง จะเอาเปรียบเขา ถูกเขาเอาเปรียบนิดหนึ่งไม่ได้ๆ ตัวเองเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติมหาศาล อยู่บนสวรรค์เยอะแยะไปหมด

“ฉันบอกเธอแล้วไง เธอเป็นมหาเศรษฐี แล้วดูสิเนี้ย ไปโลภอะไร? ของเล็กๆ น้อยๆ แค่หมื่นกว่าล้านเอง  เอาไปทำไม ฉันมีเยอะแยะไปหมด”

ทีอย่างนี้ไม่หัวเราะ … หัวเราะไหม? เหมือนกับทาร์ซานเมื่อตะกี้นี้ เสื้อผ้าเยอะแยะ ซื้อให้ใส่ ไม่ใส่ โป๊ลงมา มันชินใช่ไหม? เหมือนเราก็ชินใช่ไหม?  ความโลภมันโผล่ออกมา ชิน  ความเห็นแก่ตัวมันโผล่ออกมา มันชิน  มันอยากได้ เพราะอะไร? เพราะมันชิน  แต่พอพระเจ้าเขี่ยหน่อย สมมติคนที่เชื่อพระเจ้าชัดๆ แล้วเข้มข้น คือมีความเชื่อเข้มแข็ง พอพระเจ้าเขี่ยหน่อย มาฟังคำอธิษฐาน หรือฟังคำบรรยาย ที่โบสถ์ปุ๊บ ได้ยินปุ๊บ ไม่ใช่ๆ ไม่เอาๆ เราโลภเกินไปแล้ว อยู่บนโลกใบนี้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องอยู่บนโลก แบบที่โลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา ไม่โลภๆ ไม่เห็นแก่ตัว ต้องเป็นคนใหม่ ก็โอเค ก็ทำไม? ก็เหมือนทาร์ซานกับขึ้นไปข้างบน ไปใส่กางเกงลงมา  ไม่นั่งกินข้าวแบบนั้น  เห็นแก่พ่อแม่ ผมเปรียบเทียบได้ดีมาก เห็นชัด ตรงที่มันไม่ใส่เสื้อผ้า จะเห็นชัดที่สุด มันน่าเกลียดใช่ไหม? มันโป๊ มันอายเขา มันอายไปถึงใคร? อายไปถึงวงศ์ตระกูล อายไปถึงพ่อแม่เขา ถึงญาติพี่น้องเขาทุกคน

เพราะฉะนั้น คริสเตียน เมื่อเห็นแก่ตัว เป็นคนโลภ ไปโกรธเขา ทำท่าทางที่ไม่ดี มันอายถึงพระเยซู และรวบทั้ง อายถึงศิษยาภิบาล อายถึงใครอีก เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่น้องที่เป็นคริสเตียน อายเขาหมดเลย ไปทำอย่างนั้นทำไม? ใช่หรือไม่ใช่?  แต่เราอภัยให้กันอยู่แล้ว พระเจ้าบอก แต่บางครั้งเราก็ทำ เขาก็ทำ

บอกคนข้างๆ สิ “อย่าอาย”

อย่าอาย หมายถึงบางครั้ง มันเข้าใจ “เราเข้าใจเธอดี ไปใส่เสื้อผ้าลงมาแล้วกัน”

วันหลัง ก็คุยกันอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครทำอะไรไม่ดี เราบอกไม่ต้องอายหรอก ไปใส่เสื้อผ้าลงมา ก็แล้วกัน เวลาเราโลภ เราเห็นแก่ตัว หรือทำอะไรไม่ได้เป็นด้วยความรัก จงจำไว้ เราเหมือนแก้ผ้าทำอยู่ มันน่าอาย ในสายตาของคนที่อยู่ในพระคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย วิญญาณเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์  คิดดู เราเป็นเหมือนพระเยซู … พระเยซูสะอาดหมดจด พระเยซูจะทำอย่างนั้นเหรอ เราคิดดู พระเยซูมีแต่ให้ๆๆๆ พระเยซูจะไปโลภ หมื่นล้านเหรอ อย่าว่าแต่หมื่นล้านเลย หมื่นบาทท่านก็เอาแล้ว ถ้าเขาตกทองหมื่นบาท ท่านลุกเป็นโพรงแล้ว แค่เขาหลอกท่านมาขาย ลักษณะการขายต่อๆ อะไรแบบนี้ ท่านถูกหลอกไป เพราะอะไร? เพราะเราอยากได้เงิน อดทนไว้ ถึงแม้จะหิวข้าว นึกถึงทาร์ซานไว้ เข้าใจไหม?  คือบางทีเราอยากได้ อดทนไว้ อดทนไว้ เดี๋ยวพระเจ้าจัดการให้ พระเจ้าสอนให้ใส่เสื้อผ้า ก็ใส่เสื้อผ้าไป อดทนไว้ ใจเย็นๆ ใส่เสื้อผ้าดีๆ แล้วค่อยๆ เดินลงบันไดมา ฝึกๆ ลงบันได ไม่ต้องปีน รีบลงมา น่าเกลียด อายเขา โอเค

ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

เรามาดูนะครับว่าคราวนี้พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เอาแค่สั้นๆ ผ่านไปก่อน แล้วค่อยมาเจาะลึกกันทีหลัง  ดูนะครับว่าเป็นใครในพระคริสต์ ผมเอามาให้ท่านดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งพูดข้อความว่ามันอยู่ที่ไหนในพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นใครในพระคริสต์? พระเยซูบอกท่านเป็นใครในพระคริสต์? พระเจ้าบอกว่าท่านเป็นใคร? ตัวตนจริงๆ ท่านเป็นใคร?  พระคัมภีร์บันทึกไว้จริงๆ ผมจึงได้เริ่มต้นจากข้อพระคัมภีร์ก่อน ท่านจะจดไว้ก็ได้ ฟังดีกว่า แล้วเดี๋ยวท่านเอากลับบ้านไปฟังทีหลัง ฟังในเว๊บไซด์ก็ได้ สดเขาก็มี แล้วเขาก็บันทึกไว้ แล้วก็อัพลงยูทูป สามารถดูได้ทุกวัน ทั้งวัน  ยกตัวอย่างเช่น .-

ยอห์น 1:12  บอกว่า “เราเป็นลูกของพระเจ้า”

 

ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “ใครบอก”

“พระเจ้าบอก”

ถ้าผมถามว่าใครบอก ท่านตอบว่าพระเจ้าบอกนะ

“พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

โรม 5:1 บอกว่า “เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อแล้ว”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

1 โครินธ์ 6:17 บอกว่า “เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้านะ แน่ใจเหรอ พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ใหญ่มากนะ แต่ก่อนอยู่ห่างมากนะ บริสุทธิ์มาก ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เลย”

“สนิทกันเป็นหนึ่งเลย ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

1 โครินธ์ 12:27  บอกว่า “เราเป็นส่วนหนึ่งของกายของพระคริสต์”

 

คือเรากับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกัน

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“น่าเชื่อไหม?”

“เชื่อ”

เอเฟซัส 1:1 “เราเป็นประชากรของพระเจ้า ผู้สัตย์ซื่อในพระเยซูคริสต์”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“อ้าว! ท่านเป็นประชากรของประเทศไทยไม่ใช่เหรอ”

“สองอย่างเลย  ทางโลกนี้ เราเป็นประชากรของประเทศไทย แต่ในวิญญาณ ฉันเป็นประชากรของพระเจ้า ในพระคริสต์

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

เห็นไหม? ไม่ใช่เรื่องปรัมปรามาจากไหน? ใครบอกก็ไม่รู้ เขาบอก เขาว่ามา ไม่ใช่เลย พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ

เอเฟซัส 2:18 “เราทั้งหลายสามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

ผมเข้าได้คนเดียว  ท่านไม่บริสุทธิ์พอหรอก ท่านไม่ค่อยได้อธิษฐานด้วย ผมรู้ อธิษฐานน้อยใช่ไหม? ถวายก็น้อยใช่ไหม? เชื่อพระเจ้ามากี่ปี? บางคน 2-3 ปี ท่านจะเข้าไปหาพระเจ้าได้เท่ากับผมได้อย่างไร?  ผมกี่ปีแล้ว ท่านรู้ไหม? ผมอธิษฐานเท่าไรแล้ว? แล้วผมอดอาหารมากเท่าไร? ท่านเข้าใจไหม?  เชื่อผมไหม? อย่าไปเชื่อผมเลย พระคัมภีร์บอกว่าเราทั้งหลาย สามารถเข้าถึงพระบิดาได้ ด้วยพระวิญญาณองค์เดียวกัน  มีความสามารถไปหาพระบิดาได้เท่ากันหมด

ถามว่า “ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“แล้วเชื่อไหม?”

“เชื่อ”

ไม่เชื่อพระเจ้า แล้วจะไปเชื่อใครล่ะ

โคโลสี 1:14 “เราได้รับการไถ่บาป คือได้รับการอภัยโทษบาปของเรา”

 

“พระเจ้าบอกอย่างนั้น เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

โคโลสี 1:22 “เราได้คืนดีกับพระเจ้า ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ”

 

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

โคโลสี 2:10  “เราได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์แล้ว”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“อ้าว! ไหนบอกวันนี้ยังขาดเงินอยู่เลย ตะกี้ยังเห็นจะยืมเงินกัน จะยืมกันอยู่ ครบบริบูรณ์ได้อย่างไร? ไม่เห็นมีครบเลย แล้วหมื่นหนึ่งมีครบหรือยัง? ที่อยากได้หมื่นหนึ่งครบหรือยัง?”

“ยังไม่ครบ พึ่งจะ 7,000 เอง”

“แล้วตะกี้บอกครบแล้ว”

“มันคนละเรื่องกันบอกสิ นี่มันเรื่องฝ่ายวิญญาณ ตัวตนฉันในวิญญาณ เป็นอย่างนี้จริงๆ”

โรม 8:1 “ไม่มีการลงโทษแก่เรา ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

ฟีลิปปี 3:20 “เราเป็นพลเมืองสวรรค์”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“เป็นพลเมืองสวรรค์แน่นะ”

“แน่”

โคโลสี 3:3 “เราตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

“เชื่อไหม?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“อ้าว! เราตายแล้วได้ไง นั่งอยู่นี้ บอกว่าตายแล้ว อ้าว! แล้วตายอย่างไร?”

“ไม่รู้ ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องเข้าใจ ฉันเชื่อ”

“ไม่ต้องเข้าใจเลย เชื่อ บอกมาอย่างไร ฉันเชื่อ พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ฉันก็เชื่อแล้วว่าชีวิตฉันถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์”

มัทธิว 5:13 “เราทั้งหลายเป็นเกลือของโลก”

 

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“เราเป็นเกลือนะ เราไม่มีความสามารถ คนบอกเราจบ ป.4 แต่เราเป็นเกลือ”

หมายถึงไปช่วยโลกนี้นะ

“เป็นไปได้เหรอ”

“ได้ เพราะพระเจ้าบอกเราเป็นอย่างนั้น”

ยอห์น 15:1 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา”

 

“เอเมนไหม?”

“เอเมน”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“เพราะฉะนั้น ใครที่ดูแลเราอยู่ตอนนี้”

“พระเจ้า”

“แล้วทำไมกังวล กลัวอดล่ะ ทำไมไม่มีงานทำ กังวลใหญ่เลย”

“หางานไม่ได้ ไม่มีเงินเลย ลำบากลำบนอย่างนี้”

“ทำไมบ่นล่ะ”

กิจการ 1:8 “เราได้รับฤทธิ์อำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“ตัวท่านเต็มไปด้วยฤทธิ์ ท่านเชื่อไหม?”

“เชื่อ”

“เป็นไปได้ไหม?”

“เป็นไปได้”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

ตัวเราเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

2 โครินธ์ 5:17  “เราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป นี่แน่ะ! เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้นเลย”

 

“วิญญาณเราใหม่เอี่ยมเลย เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“เข้าใจไหม?”

“ไม่เข้าใจ ใหม่อย่างไรก็ไม่รู้ แต่เชื่อ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ฉันเชื่อ”

ทาร์ซานก็ไม่ต้องเข้าใจนะ รอทาร์ซานเข้าใจ ทาร์ซานตายก่อน ไม่ต้องทำอะไร? กลับไปอยู่ป่าเหมือนเดิมแน่ ทาร์ซานไม่ต้องเข้าใจ ทาร์ซานต้องเชื่อพ่อแม่เขา

เอเฟซัส 2:6  “เราได้เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และได้นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ตอนนี้ เรียบร้อยไปแล้ว”

 

เอเมน

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“อ้าว! แล้วทำไมนั่งอยู่ที่นี่ล่ะ จะบ้าเหรอ”

สมมติคนเขาทักท่าน

“ท่านจะบ้าเหรอ คนนี้มันบ้าไปแล้วเนี้ย อยู่ดีบอก ‘ฉันนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรค์สถาน’ ก็นั่งอยู่ที่นี่ แกจะไปไหน? แล้วยังเชื่อไหม? ถ้าเขาพูดอย่างนั้น”

“เชื่อ”

เพราะมันคนละเรื่องกัน นี่มันเรื่องโลกวิญญาณ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เป็นโลกวิญญาณ

“ฉันนั่งอยู่ที่นั่น ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ฉันไม่ต้องเข้าใจ ฉันไม่ต้องรู้ว่ามันเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ฉันเชื่อตามนั้น เอเมน”

เอเฟซัส 2:10  “เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี”

 

“เชื่อไหมว่าท่านทำการงานดีได้ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ เชื่อไหม?”

“เชื่อ”

“อ้าว! เห็นใครๆ บอก ท่านเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ เชื่อเขาหรือจะเชื่อพระเจ้า?”

“เชื่อพระเจ้า”

เห็นไหม? ท่านต้องเชื่อในพระเจ้า … พระเจ้าบอกพระเจ้าทำได้ ท่านจะถูกใครเข้าว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าบอกเมื่อท่านมาอยู่ในพระคริสต์ พระองค์สามารถทำให้ท่านทำการดีได้ เพราะท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า

1 โครินธ์ 3:16  “เราเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในเรา”

 

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

ท่านเดินไปที่ไหนตอนนี้ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเชื่อไหม? ท่านรู้ไหมว่าวิหารของพระเจ้า  คือพลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้นมาสมัยก่อนนี้ ที่พระเจ้าให้สร้าง ท่านเชื่อไหมว่าตอนนี้ที่ท่านนั่งอยู่ ตัวท่าน ร่างกายท่าน เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า ท่านเชื่อไหม?

ถ้าท่านรู้ทั้งหมดนี้ แล้วเอาทั้งหมดนี้ ไปท่อง ไปคิดอยู่ตลอดเวลา ชีวิตท่านจะเปลี่ยนเลย จะเปลี่ยนไปอีกอันหนึ่ง มากขึ้นเลย ถูกหรือไม่ถูก?

นี่แหละคือความสำคัญที่ทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่อง “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใคร? แล้ววิธีที่จะเรียนรู้ได้มากที่สุด คือพระเจ้าบอกเรา ผู้ที่สร้างเราบอกเราว่าเราเป็นใคร? มันถึงถูกต้อง ไม่ใช่ไปฟังจากใครก็ไม่รู้ ต้องฟังจากผู้ที่สร้างเรา ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ มือของพระองค์ แล้วบอกให้เรารู้ว่าเราเป็นใคร? อันนี้แท้จริง แล้วมีหลักฐานยืนยันอยู่ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลนี้

นี่แหละ เราจึงต้องมาเรียนเรื่องนี้  และเราจะเรียนกันไปเรื่อยๆ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 12 “บัตรประชาชนในพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 12 “บัตรประชาชนในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราเป็นใครในพระคริสต์ วันนี้ ก็เป็นตอนที่ 12 แล้วนะครับ เราจะมาสรุป ทบทวนที่เราได้คุยกันไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กันก่อน

พูดชื่อเรื่องก่อน “เราเป็นใครในพระคริสต์”

สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 11 เราสรุปไว้ว่าด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณ ได้ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และเข้าส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันในภาษาอังกฤษ Divine Nature จำได้ไหมครับ?

เราได้มีส่วนเข้าไปร่วมในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า Divine Nature จึงทำให้เกิดอะไร? การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยความครบถ้วนบริบูรณ์ เขาเรียกว่าชีวิตที่ครบถ้วน  เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูได้ย้ำกับเราว่าพระองค์มา เพื่อให้เราได้รับชีวิตใหม่ และมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความสงบสุข เต็มไปด้วยความพึ่งพอใจ พอเพียงในทุกๆ สถานการณ์ ทั้งหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่ก็ยังมีบางคน ที่มาเป็นคริสเตียน เชื่อในพระเจ้าแล้ว อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วด้วย  แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่สุข เหมือนอย่างที่พระเยซูบอก ตัวเองยังไม่ได้รับความชื่นชมยินดี ความสงบสุข ยังไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข อย่างที่พระเยซูบอกเลย

ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากอะไร? จำได้ไหมครับ ปัญหา ก็คือเพราะคนส่วนใหญ่เหล่านั้น อยากได้รับความชื่นชมยินดี อยากมีสันติสุขและสงบสุข อยากมีความพอเพียง อยากหายเหนื่อยและเป็นสุขในพระเยซูคริสต์ด้วยวิถีหรือวิธีการของตัวเอง ตามความคิดของตัวเอง ที่คิดว่าอยากได้อย่างนั้น  ซึ่งพระเจ้าก็ได้บอกแล้ว อย่างชัดเจนว่าความคิดของเรา ก็ไม่เหมือนพระเจ้า  ทางของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนทางของเรา

ครั้งที่แล้วเราได้ใช้ถ้อยคำตรงนี้ ตกลงทางของใครดีกว่าใครนะ ทางใครดีกว่าใคร? ทางพระเจ้าดีกว่า ความคิดของใครสูงกว่าของความคิดของใคร? ความคิดของพระเจ้า สูงกว่าความคิดของเรา

เรามาทบทวนถ้อยคำพระเจ้า ในบทนี้นิดหนึ่ง อิสยาห์ 55:8-9 เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องจำไว้ จำใส่ใจไว้เลยนะครับ

อิสยาห์ 55:8-9 “8เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศดังนั้น 9 “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น

 

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

มันต้องเป็นอย่างนั้น นี่คือถ้อยคำที่เราเน้นกันในสัปดาห์ที่แล้ว … แล้วผมก็ยกตัวอย่างชีวิตของเปาโล ที่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงให้เปาโลมีหนามในเนื้อ เพื่อให้มีใจถ่อม ต้องพึ่งพระเจ้าตลอดเวลา ใกล้ชิดพระเจ้าตลอดเวลา แม้เปาโลจะอธิษฐานวิงวอนพระเจ้า เอาหนามในเนื้อออกไป ให้ที ตั้งหลายครั้ง แต่คำตอบของพระเจ้า ก็ไม่เป็นไปตามที่เปาโลคิดอยากจะได้ ไม่ได้เป็นไปตามวิถีการหรือวิธีทางที่เปาโลวางเอาไว้ว่าอยากจะหายจากความเจ็บปวดนั้น

พระเจ้าตอบเปาโลว่าอย่างไร? และตอบพวกเราในที่นี่ด้วยว่า.-

“พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ (ของเจ้า)”

นี่พระเจ้าตอบเราด้วย ในขณะที่ตอบเปาโล ก็ตอบเราด้วย พระเจ้าเดียวกันนี่แหละ ซึ่งถ้าเราคิดแบบมนุษย์ มองด้วยสายตามนุษย์ ก็ต้องบอกอย่างนี้

เอาหนามในเนื้อออกไป มันดีกว่าแหงๆ อยู่แล้ว มนุษย์คิดอย่างนี้แหละ เอาหนามในเนื้อออกไป เอาความทุกข์ทรมานออกไป มันดีกว่าแน่ๆ ถูกไหมครับ? เอาหนามในเนื้อออกไป  ตามที่อธิษฐาน เปาโลขอ มันเรียกว่าอะไร? อัศจรรย์ เปาโลจะได้ไปประกาศว่านี่อัศจรรย์เกิดขึ้น อีกแล้วครับท่าน?  พระเจ้ารักษาอะไรบางอย่างที่เปาโลเป็นอยู่ หนามในเนื้อนั้นหายไปเลย อย่างอัศจรรย์ นี่เราคิดแบบมนุษย์ เห็นไหม? แต่พระเจ้าคิดอีกแบบหนึ่ง พระเจ้าตอบอีกแบบหนึ่ง เห็นไหม?

เราคิดแบบมนุษย์ ก็คือถ้าป่วยอยู่ ก็ต้องทำไม? ต้องรักษาให้หายป่วย นี่ความคิด วิธีการที่เราต้องการ วิถีทางของมนุษย์ คิดอย่างนี้  ทั้งๆ ที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็อยากได้อย่างนี้ เห็นไหม?

จนอยู่ ทำอย่างไร? อยากได้อะไร? จนอยู่ อยากหายจน  แล้วพระเจ้าตอบคำอธิษฐานให้เราทุกคนไหม? หายจนทุกคนไหม? รวยหมดทุกคนเลย มาเป็นคริสเตียนรวยหมดทุกคนเลย มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ  ในอดีตผมก็คิดอย่างนั้นแหละ ถ้ามาเป็นคริสเตียน รวยหมดทุกคน เขาจะได้มาเชื่อพระเจ้ากันให้หมดเลย แล้วเดี๋ยวออกไปเป็นพยานเต็มที่เลย แล้วเวลาที่ท่านรวย ท่านไปเป็นพยานไหมถามจริงๆ เป็น แล้วเขาเชื่อท่านไหม? ก็ไม่เชื่ออยู่ดี

ถ้าเป็นหนี้อยู่ ท่านอธิษฐานขออย่างไร? ท่านก็มีความคิดและอยากให้พระเจ้าชำระหนี้สินให้ท่าน หมดสิ้นสักที เลิกผ่อนบ้านสักทีหนึ่ง ถูกไหม?

มีใครบ้างอธิษฐาน “พระเจ้า ขอช่วยลูกให้ผ่อนยาวกว่านี้นิดหนึ่งได้ไหม?”

ผมว่าไม่มี หรือมีน้อยมาก หรืออาจจะมีหรือเปล่าไม่รู้นะ

แล้วเราก็จะบอกว่า “ให้ตอบคำอธิษฐานตามที่เราอธิษฐานสิพระเจ้า เราจึงจะได้เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นการตอบแบบอัศจรรย์”

ถ้าพระเจ้าตอบว่า “พระคุณของพระองค์เพียงพอ สำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอของเจ้า”

“ไม่อัศจรรย์เลย อย่างนี้ไม่ชอบ”

ถูกไหม?  ใครที่อธิษฐานแบบเมื่อตะกี้นี้ ที่พูดมา หนึ่งในนั้นแหละ พระเจ้ากำลังตอบท่านว่าอย่างไร? พระเจ้ากำลังตอบว่า.-

“พระคุณของเราก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”

“พระคุณของเราก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”

เราคิดว่าการดำเนินชีวิตทุกวัน บนโลกใบนี้ เมื่อมาเป็นคริสเตียน มันไม่ควรมีการผิดพลาด อุตส่าห์เปลี่ยนชีวิตใหม่มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอยู่กับเรา … เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ แต่ทำไมๆ ยังทำตัวแบบนี้อยู่เลย น่าเกลียดจริงๆ เลย มันน่าจะทำดีกว่านี้อีก เราคิดอย่างนี้ใช่ไหม? ไม่ได้คิดกับตัวเองหรอก เพราะสิ่งเหล่านี้ เราไม่อยากว่าตัวเอง เราจะมองคนอื่น มาเชื่อพระเยซู ควรจะเป็นอย่างนี้ๆ เราอยากให้เขาบริสุทธิ์แป๊ะเลย ดำเนินชีวิตในพระเยซูคริสต์ มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องอย่างนี้สิ  แล้วพระเจ้าบอกว่าอย่างไร?

สมมติ นาย ก. แล้วก็บอกว่า

“นาย ก. เชื่อพระเจ้าแล้ว น่าจะมีการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน บริสุทธิ์อย่างนี้นะ อยู่ในจริยธรรมอย่างนี้  อย่างนั้น อย่างนี้นะ”

พระเจ้าตอบว่า “พระคุณของเรา ก็เพียงพอสำหรับนาย ก. เดี๋ยวเป็นเรื่องของเราเอง ที่จะจัดการ”

ถูกหรือไม่ถูก? แล้วเราก็นึกว่าการไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตเราใหม่หมดเลย จะกลายเป็นคนที่ยอมให้อะไรทุกอย่าง เหมือนพระเยซูเลย ให้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มีอะไร ก็ให้หมดเลย ทุกคน เราคิดว่าอย่างนั้นแหละ เป็นการอัศจรรย์ในชีวิตว่าพอเชื่อพระเยซู แล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงเลย  อีกคนเชื่อพระเยซูไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเลย ก็ยังเมาย่ำเป๋เหมือนเดิม เราคิดว่าอย่างนั้น ไม่อัศจรรย์ แต่อีกอย่างหนึ่ง อัศจรรย์กว่า นี่คือความคิดแบบมนุษย์ แล้วมันจริงๆ เราไม่ได้คิดอย่างเดียว เราปฏิบัติอย่างนี้ด้วย แต่พระเจ้าบอกว่ามีหนามในเนื้อ มีความทุกข์นั้น ทำไม?  ดีแล้ว ป่วยอยู่แบบนั้นแหละ ทำไม? ป่วยอยู่แบบนั้นแหละ ทำไม? ดีแล้ว จนอยู่อย่างนั้นแหละ ดีแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถก้าวผ่านสถานการณ์ทุกอย่าง … อย่างนั้นไปได้ด้วยดี เอเมน จริงไหม?

เนื้อหนังอ่อนแอ ทำผิดทำพลาดบ้างในชีวิต เป็นคริสเตียนแล้ว ดีหรือไม่ดี? ดีแล้ว เอาแค่นั้นแหละ ที่ทำได้เป็นพระพรแล้ว มันได้แค่นั้น ทำอย่างไรล่ะ ใช่ไหม? เขาเรียกว่าอะไร? ภาษาไทยเขาเรียกว่าอะไร?  สันดรขุดได้ แต่อะไรนะ ขุดไม่ได้ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด เคยได้ยินเพลงไหม? เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด มาเชื่อพระเจ้าตอนอายุ 60 แล้วบอกจะให้ชีวิตเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง แล้วมันจะเปลี่ยนได้อย่างไร? มันเป็นอย่างนั้นมาตั้ง 60 ปีแล้ว มันได้แค่ไหน ก็ได้แค่นั้น แต่เราวางใจในพระเจ้า  … พระเจ้ามีพระคุณมากเพียงพอ สำหรับคนอายุ 60 มาเชื่อพระเจ้าเหมือนกันนะครับ มันได้แค่ไหน? ก็เอาแค่นั้น พระคุณของพระเจ้าเพียงพอสำหรับเขาแต่ละคน  ก็แล้วกัน เอเมน

เห็นไหม? ถ้าพูดแค่นี้ ก็รู้แล้วว่ามันต่างกันลิบลับเลยนะ ความคิดของพระเจ้า  วิธีการของพระเจ้ากับวิธีการที่มนุษย์คิด ต่างกันกันลิบลับ ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเราเท่านั้น ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ท่านลองไปวัดสิ เท่าไร?

นี่ชีวิตคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ ควรจะเป็นแบบนี้ เราไม่น่าจะวิงวอนขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เป็นอิสระจากความทุกข์ยากลำบาก แต่เราวิงวอนทูลขอพระเจ้า ทำให้เรามีความเข้มแข็งมากขึ้น และนำพาเราก้าวผ่านความทุกข์ลำบาก ก้าวผ่านทุกสถานการณ์ ที่เรียกว่าลำบากนั้น ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงในพระเยซูคริสต์

พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

แล้วใช่หรือไม่ใช่? ใช่จริงๆ นานๆ ทีเราถึงต้องมาคุยกันเรื่องนี้ไง ไม่อย่างนั้นเราก็คิดของเราไปเรื่อย คิดตามแบบของเราไปเรื่อย

และสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นในชีวิตได้นั้น เราต้องเชื่อและวางใจในพื้นฐานความจริงที่ว่าความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา และทางของพระเจ้า ย่อมสูงกว่าทางของเราอย่างแน่นอน เราต้องยอมวางใจว่าพระเจ้าเก่งกว่า ดีกว่าแน่นอน อย่าคิดแบบมนุษย์คิด  อย่าคิดถึงเหตุผล คิดถึงแต่ความเชื่อว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ สามารถนำพาเราผ่านไปได้ เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่ทรงสัญญากับเราว่าพระองค์จะกระทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรานั้น เป็นประโยชน์ ท่านเข้าใจไหม? เป็นประโยชน์ เป็นผลดีกับชีวิตของเราและทุกคนอย่างแน่นอน เอเมน แม้ว่าตอนนั้น เราจะไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเราเลย ความเจ็บปวดมันจะเป็นประโยชน์ได้อย่างไร? การเป็นหนี้สินเป็นประโยชน์ได้อย่างไร?  รถเมล์ที่เราขึ้นไป แล้วเขาแถมให้เรา 5 ป้าย เดินย้อนกลับมาอีกไกลเลย  มันจะเป็นประโยชน์ได้อย่างไร?

พระเจ้าบอก “เอ้อ! น่า ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะทำให้มันเป็นประโยชน์กับเธอ”

ก็แล้วกันเชื่อหรือไม่เชื่อ? เชื่อ นี่แหละ เขาเรียกว่าความเชื่อ … เชื่อพระเยซู ก็ต้องเชื่ออย่างนี้  มันลำบาก แต่มันฝึกได้นะ ฝึกที่จะวางในใจพระเจ้าอย่างสุดหัวใจเลย

นี่คือสิ่งที่เราสรุป ที่เราได้คุยกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็เลยมาตั้งชื่อกัน สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 11 เลยให้ชื่อตอนว่า “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา” … “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา”

พระคัมภีร์บอกว่าความคิดของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนความคิดเรา ความคิดของพระเจ้า ก็คือความประสงค์ ความต้องการของพระเจ้า  ความคิดของเรา ก็คือความประสงค์ ความต้องการของเรา ความอยากได้ตามใจปรารถนาของเรา ถูกไหม?

สรุป ก็คือพระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรากับสิ่งที่เราอยากได้ ฟังให้ดีนะ พระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา กับสิ่งที่เราอยากได้ ตามใจปรารถนาของเรา มันไม่เหมือนกัน และท่านคิดว่าสิ่งไหนที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่ากัน ก็คือตามพระประสงค์ของพระเจ้า หรือตามใจปรารถนาของเรา ท่านคิดว่าอันไหนมันจะเกิดขึ้นง่ายกว่ากันในชีวิตของเรานั้น คิดให้ดีๆ และผู้ที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้า เป็นจริงในชีวิตของเราได้ คือใครครับ?  ใครที่สามารถทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในชีวิตของเรา  ตอบสิ ใคร? ตัวเราเอง ไม่ใช่ ใครครับ? พระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นทุกสิ่ง เป็นกำลังทุกอย่าง เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ทุกสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา จะสำเร็จลงได้ โดยทางพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ใช่กำลังของเรานะครับ ต้องพึ่งพระเยซูทั้งหมด เราถึงสามารถที่จะไต่ขึ้นไปที่ความคิดของพระเจ้า หรือพระประสงค์ของพระเจ้าได้ ให้ความคิดของเราเปลี่ยนแปลง ให้คล้ายหรือไปด้วยกันกับพระประสงค์ของพระเจ้าให้มากที่สุดในชีวิต

ทุกสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ทุกสิ่งนะ พระเยซูจัดเตรียมหาให้เรียบร้อยแล้วหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ ก็คือพระเจ้าต้องการมีพระประสงค์ให้เรา เป็นเหมือนพระองค์ ติดต่อกับพระองค์ได้ บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ซึ่งเราทำไม่ได้ แต่พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จแล้วที่พระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาปได้ นี่คือหนึ่งในจำนวน อีกมากมาย ที่พระเยซูสามารถทำให้เรา เป็นไปตามน้ำพระทัยหรือพระประสงค์ของพระเจ้า หรือความต้องการของพระเจ้าได้

นี่คือความหมายที่เราพูดกันเสมอว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน คือการยอมจำนวนต่อพระเจ้าในทุกพื้นที่ชีวิต ยอมจำนน คือแทนที่จะเชื่อพระเจ้า โดยหวังว่าพระองค์จะประทานทุกสิ่งตามที่เราทูลขอ ตามที่เราอยากได้  แต่เปลี่ยนเป็นยอมให้พระเจ้าจัดการกับชีวิตของเรา  ตามพระประสงค์ของพระองค์ โดยเชื่อและวางใจว่าพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ไม่เหมือนกับใจปรารถนาของเรานั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราอย่างแน่นอน โดยให้พระเยซูเป็นผู้เสริมกำลัง เสริมสติปัญญา นำพาเราไปตรงนั้น เอเมน นี่คือเป้าหมายชีวิตของคริสเตียน ควรจะเป็นลักษณะเช่นนี้

พระคัมภีร์จึงสอนให้เราฝึกฝนที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ให้ชีวิตเรา เมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระเยซูแล้ว ให้ทำตามน้ำพระทัยให้ได้ ให้ยอมทุกอย่าง เพื่อจะทำตามน้ำพระทัย มากกว่าที่จะให้เป็นไปตามเนื้อหนัง หรือกิเลสตัณหาทางเนื้อหนัง ก็คือตัวเก่าของเรา ความคิดเก่าของเรา ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำนี้ ถ้าท่านทำอย่างนี้ได้ เรียกว่าเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า

โรม 12:1-2 “1 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อพิจารณาถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้า 2 ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง”

 

เมื่อพิจารณาถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้า

ให้พูดพร้อมกันว่า “พระคุณความเมตตาของพระเจ้า”

ให้เราคิดถึงพระคุณของพระเจ้า ใช่ไหม?

“ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พอพระทัย”

ถามว่าอะไรมาก่อน พระคุณความเมตตาของพระเจ้ามาก่อน หรือให้เราถวายตัวก่อน? อะไรก่อน พระคุณความเมตตา เราได้รับพระคุณความเมตตาของพระเจ้าก่อน แล้วจึงให้เราทดแทนพระคุณด้วยการถวายตัวของเราแด่พระเจ้า ให้เป็นที่พอพระทัย เพราอะไรรู้ไหม? เพราะถ้าไม่ได้พระคุณของพระเจ้าก่อน เราไม่มีทางที่จะถวายตัว หรือทำอะไรก็ตามให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ไม่ได้ โมเสสก็ไม่ได้ กษัตริย์ดาวิดก็ไม่ได้ ไม่มีใครได้เลย แม้แต่คนเดียว เพราะว่าพระเยซูยังไม่ได้ปรากฏ พระเยซูยังไม่มาเกิด  หลังจากที่พระเยซูมาบังเกิด และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว มนุษย์มีสิทธิแล้วที่จะทำตรงนี้ได้  เพราะได้พระคุณความเมตตาจากพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่มาไถ่บาปให้กับเรา

คำว่า “พระคุณ” ความหมาย ก็คือเราเป็นผู้รับ ไม่ใช่เป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น รับลูกเดียว พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่เราได้รับมา ก็คือให้เราได้มาอยู่ในพระคริสต์ ได้เปลี่ยนสภาพจากคนบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ทำให้เรามีสถานะใหม่ สถานะที่เรียกว่าลูกของพระเจ้า

กาลาเทีย 3:26-29 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ เอามาให้ท่านอ่าน เห็นชัดๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเรา ตอนที่เรารับเชื่อพระเจ้า

กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

 

ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าหรือยัง? เป็นแล้ว ด้วยตัวท่านเองหรือเปล่า? ไม่ใช่ แต่เป็นพระคุณ ผ่านทางใคร? ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับบัพติศมา … บัพติศมาเราได้เรียนกันแล้ว ได้จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ กลายเป็นกระเทียมดอง กลายเป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงกระทำให้กับเรา และเพราะเราเป็นบุตร หรือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าจึงทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเราทุกคน เอเมน

ในนี้พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจึงทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ คือที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เข้าไปจุ่มลง บัพติศมาลงในพระเยซูคริสต์นั้น ที่เป็น คริสเตียน พระเจ้าประทับตราแล้ว อ่านดูนะ ประทับอย่างไร? 2 โครินธ์ 1:21-22 บันทึกเอาไว้ ประทับอย่างไร?

2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์  พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

ถามว่าท่านเป็นลูกพระเจ้า ท่านรู้ได้อย่างไร? จากในวิญญาณที่พระเจ้าประทับตราอยู่ในนั้นว่าท่านเป็นลูกของพระองค์

และในนี้บอกว่าเป็นมัดจำค้ำประกันในสิ่งที่มาถึง สิ่งที่มาถึง คืออะไรรู้ไหมครับ? คือสวรรค์จริงๆ แล้ว ที่เราทิ้งร่างกายนี้ เราจะไปอยู่ที่นั่น ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าโลกสวรรค์มีจริงๆ จากโลกนี้ไป ทิ้งร่างกายจากโลกนี้ไป แล้วเราจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นจริงเลย เพราะว่าพระเจ้ามัดจำลงมาในวิญญาณเราแล้วเดี๋ยวนี้ ในขณะนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่กำลังเดินอยู่นี้ ที่เราเชื่อพระเยซู มัดจำเข้ามาอยู่ในใจเราแล้ว เอเมน

พวกเราทุกคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการเจิม และได้รับการประทับตราจากพระเจ้าบนตัวเรา ก็เปรียบเสมือนอะไรรู้ไหมครับ? ฟังให้ดีๆ นะ เปรียบเหมือนอะไรในข้อความตะกี้นี้ เมื่อประทับตรา เปรียบเหมือนเราทั้งหลาย ได้รับบัตรประชาชน แสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ซึ่งการได้อยู่ในพระคริสต์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Identity in Christ.”

คำว่า Identity แปลว่าตัวตน … Identity in Christ. ก็คือตัวตนที่อยู่ในพระคริสต์ ซึ่งวันนี้ผมอยากจะใช้คำนี้แทน อยากให้ท่านเข้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งผมอยากจะใช้คำว่า “บัตรประชาชนในพระคริสต์”

Identity in Christ. ก็คือบัตรประชาชนในพระคริสต์

พระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อของเราจะมั่นคงขึ้น และเติบโตขึ้น เมื่อเรารู้และจดจ่ออยู่ที่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์ ให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นบัตรประชาชนในพระคริสต์จึงมีความสำคัญกับเรามากเลย

 

“Identity” หรือตัวตนของเรา ก็คืออะไร? ตัวตนของเราคืออะไร? ก็คือสิ่งที่อธิบายคุณลักษณะความเป็นตัวตนของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก ที่เราจะต้องรับรู้ว่าตัวตนของเราในพระคริสต์เป็นใคร? มีสภาพหรือมีสถานะอย่างไร? มีสิทธิอะไรบ้าง? ถูกไหม? ก็เหมือนกับทางกายของเรา เหมือนทางร่างกาย เราก็จำเป็นต้องรู้ว่าในขณะนี้ ตัวตนของเราเป็นใคร? มีใครไม่รู้ว่าบ้างว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? รู้หมดใช่ไหม?

บัตรประชาชนของท่านคือใคร? บัตรประชาชนของท่านที่ท่านพกในกระเป๋า คือใคร? เช่น เราถือบัตรประชาชนคนไทย เราต้องรู้ว่าตัวตนของเราเป็นคนไทย เรามีสิทธิเป็นเจ้าของประเทศนี้เหมือนกัน ไม่ว่ายากดีมีจน เศรษฐี คนกรุง คนชนบท คนรวย ชาวเขา ชาวดอย ชาวเล ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด ในฐานะเป็นคนไทย เอเมน เห็นหรือยัง? เป็นเพราะอะไร? ท่านรู้ยังเป็นเพราะอะไร? เพราะท่านมีบัตรประชาชนอยู่ สำแดงให้ท่านเห็นชัดว่าท่านเป็นคนไทย

การที่เราสามารถรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเองได้อย่างนี้ ก็จะเป็นประโยชน์มากและสำคัญมากกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นึกภาพให้ดีๆ นะ และจะมีประโยชน์กับการดำเนินชีวิตของเรามากขึ้นอีก เมื่อเรารู้ลึกลงไปอีกว่าเรามีคุณลักษณะนิสัย สภาพ สถานะ ตำแหน่งอะไร? ในชีวิตของเรา ในตัวของเรา ในขณะนี้ด้วย ถ้าเรารู้ เราจะมีประโยชน์มากขึ้นอีกเยอะเลย ไม่ใช่รู้เฉพาะเราเป็นคนไทยอย่างเดียว แต่เรารู้ว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร?  เรามีฐานะตำแหน่งอะไร? เราเป็นอย่างไร? ท่านพอเข้าใจไหม? ยกตัวอย่างเช่น

สมมติว่าผมรู้ตัวตนว่าในขณะนี้ นอกจากเป็นคนไทยแล้ว ผมยังเป็นศิษยาภิบาลอีก ผมเป็นผู้รับใช้ เราก็จะรู้ตัวว่าเราจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตัวอย่างไรให้เป็นที่เหมาะสมในฐานะเป็นศิษยาภิบาล เป็นผู้รับใช้ เพื่อให้เป็นที่ถวายเกียรติ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าอย่างที่ตะกี้เราบอกกันไง ให้ชีวิตเราได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ถูกไหม? ซึ่งแน่นอน มันไม่มีทางครบถ้วนบริบูรณ์ได้ แต่แน่นอน เราก็รู้ว่าเราเป็นใคร?  เราก็ทำได้ดีขึ้น ถูกไหม? อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งถ้าท่านทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของท่าน เป็นอย่างไร? ท่านก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสงบสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข มากกว่าคนที่ไม่มีรู้ตัวตนของตนเอง นี่พูดเฉพาะบนโลกใบนี้นะ ยังไม่ได้พูดในโลกวิญญาณนะ เฉพาะโลกใบนี้อย่างเดียว ถ้าท่านรู้ตัวตนท่านเอง รู้จักตัวเอง ตัวตนของท่านเอง ท่านมีตำแหน่งอย่างไร? มีสถานะเป็นอย่างไร? ถ้าท่านรู้ตัว ก็มีความสุขมากกว่าคนที่ไม่รู้ตัว

เช่น ยกตัวอย่างอันนี้ชัดเลย การไม่ใช้เงินเปลื้อง การมีความพอเพียง เช่น เรามีฐานะอย่างไร? ใช้จ่ายได้แค่ไหน?  ถึงจะเรียกว่ามีความพอเพียง คือต้องรู้จักตัวตนของตัวเอง รู้จักประมาณตนว่าเรามีฐานะอย่างไร? เป็นใคร? ใช่หรือไม่? ใช่

ยกตัวอย่าง เราทำงานเป็นลูกจ้าง มีเงินเดือน 30,000 บาท แต่ไปใช้จ่ายเหมือนคนมีเงินเดือน 100,000 เป็นผู้บริหาร อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักตัวตน หรืออีกนัยหนึ่งเขาเรียกว่าลืมตัวไปแป๊บหนึ่ง แล้วมันมีสันติสุขไหม? มีความสงบไหม? เห็นไหม? มันหายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? มันเอาโทษมาใส่ตัวเอง เอาความทุกข์มาใส่ตัวเอง นี่ขนาดแค่โลกใบนี้ ยกตัวอย่างอย่างนี้ ยังเห็นชัดเลย การรู้ตัวตนของตนเอง รู้สถานะของตัวเอง มันมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตอย่างมากเลย

หรืออย่างบางคน ที่เป็นวัยรุ่นตอนปลายนะ รู้จักไหมวัยรุ่นตอนปลาย? อายุสักเท่าไรวัยรุ่นตอนปลาย อายุสัก 50 นะ วัยรุ่นตอนปลายสัก 40-50 ก็ได้ แต่ลืมตัว ลืมตนเองว่าตัวเองห้าหกสิบแล้ว ลืมตัวไปนิดหนึ่ง นึกว่ายังเป็นวัยรุ่นตอนต้นอยู่ นึกว่าอายุ 20 อยู่ ก็ไปทำอะไร? ไปปีนป่ายเก็บของ ไปทำอันโน่นอันนี่ ปีนต้นไม้ ในที่สุด ก็ตกจากต้นไม้ลงมา แขนหัก ขาหัก อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไร? ลืมตัวใช่ไหม? ไม่ใช่สมน้ำหน้า ลืมตัว อย่างนี้เรียกว่าอะไร? ลืมตัวไปนิด เพราะการลืมตัว มันจะทำให้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาหาเรา มันจะเกิดความสันติสุข สงบสุขไหม? ไม่เกิด เห็นไหม? มันจะเกิดหายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? ทุกข์ลำบากขึ้น มากกว่าเก่าอีก เพราะว่าอะไร? ลืมตัว สิ่งนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้น  แต่มันก็เกิดขึ้น เพราะว่าเราลืมตัว ลืมตัวตนของเราว่าเราเป็นใคร?

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ก็คือชาวไทยภูเขา … ชาวไทยภูเขา ก็คือชนชาติไทย สัญชาติไทย แต่มีเชื้อชาติไทยภูเขา ลักษณะเดียวกันกับชาวไทยเล ที่อยู่ทางใต้ ที่เป็นชาวเล เป็นประมง เขาเป็นชาวไทยนะ ไทยเล หรือแม้กระทั่งที่ชัดๆ ก็คือไทยมอญ … ไทยมอญก็อยู่แถวพระประแดง หรือแม้กระทั่งยิ่งชัดใหญ่เลย ไทยอะไรที่อยู่แถวเยาวราช ก็ไทยจีน เห็นไหม? อยู่พาหุรัด ไทยอะไร?  อยู่แถบๆ นั้น ไทยอินเดีย ก็เป็นคนไทยเหมือนกันทั้งหมด

ท่านพอจะเห็นภาพอะไรไหมว่าคนไทยที่มีเชื้อชาติเป็นไทยภูเขา ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด เหมือนคนไทยที่อยู่ในกรุงเลย เห็นไหม? แต่ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เมื่อหลาย 10 ปีก่อน สมัยที่ชาวไทยภูเขายังไม่ได้เป็นคนไทย ยังไม่มีบัตรประชาชน ในหลวงทรงดำริอยากจะให้คนเหล่านั้น ได้เข้ามาเป็นคนไทย เพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรต่างๆ เหมือนกับคนไทยที่อยู่ในเมือง เหมือนกันเลย  เหมือนกันเลยทุกอย่าง มาเป็นประชากรของพระองค์ ก็เลยสั่งให้ทางการไปสำรวจ แล้วก็ไปทำบัตรประชาชนให้เขา … เขาจะได้เป็นคนไทยครบถ้วนบริบูรณ์ จะได้ถือบัตรประชาชนคนไทย จะได้มีสิทธิเท่ากับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนไทยก็ตาม ชาวไทยภูเขาก็มีสิทธิเท่ากับนายกรัฐมนตรีคนไทยเท่ากันเลย จะเป็นมหาเศรษฐี คนกรุงเทพ คนไทยภูเขาก็ได้รับสิทธิเท่ากับคนนั้นเลย เข้าใจใช่ไหมครับ?

ไปทำบัตรประชาชนยากมากนะครับ เพราะว่าต้องขึ้นไปสำรวจแต่ละหมู่บ้าน อยู่ในเขาต่างๆ แล้วก็สำรวจๆ แล้วก็ทำบัตรประชาชนให้

การไปทำบัตรประชาชนมันสำคัญมากๆ เพราะว่าบัตรประชาชนเป็นตัวบ่งบอกว่าตัวตนของเราเป็นใคร? เรามีสิทธิอะไรบ้างในนั้น

สมัยก่อนโน่นนะครับ ที่เล่าให้ฟังเมื่อตะกี้นี้  ก็ยังมีชาวไทยภูเขา หรือชนกลุ่มน้อยบางคน ที่ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ยังนึกว่าตัวเองเป็นคนป่าคนเขาอยู่ ทั้งๆ ที่ได้ทำบัตรประชาชนไปแล้ว มีบัตรประชาชนคนไทยไปแล้ว แต่ไม่ชิน ทางการบอกให้ไปรับสิทธิของเรา ในการไปโรงพยาบาล ก็ไม่กล้าไป เพราะไม่มีเงิน ท่านพอเข้าใจไหม? คือไม่กล้าทำอะไร? ทั้งๆ ที่ตัวเองมีสิทธิเท่ากันกับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้นเลย ถูกไหม? แต่เขาไม่รู้เรื่องเลยว่าเขามีสิทธิอะไรบ้าง? ถึงรู้เขาก็ไม่กล้าด้วย มีบัตรประชาชนอยู่ในตัว ก็ไม่กล้ามอง ไม่กล้าดู เพราะว่าเขาไม่ได้ย้ำตัวเองว่าตัวตนเขาเป็นใคร? เป็นคนไทยแล้วจริงๆ นะ จริงๆ นะ ต้องย้ำยืนยันอย่างนี้ มาเป็นเวลาหลายสิบปี ปัจจุบันพ้นหมดแล้ว ลูกหลานชาวไทยภูเขาทุกคน เขารู้ตัวเองดีว่าตัวเองเป็นคนไทยจริงๆ มีบัตรประชาชนอยู่ทะเบียนบ้านเป็นคนไทย มีสิทธิได้เลือกตั้ง ได้ทุกอย่างเหมือนกับคนที่อยู่ในกรุงเทพไม่มีผิดเลย สามารถใช้สิทธิทุกอย่างในประเทศไทยได้เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา โรงพยาบาล การสงเคราะห์ต่างๆ ทุกอย่าง

พูดเรื่องนี้เพื่ออะไร? พระคัมภีร์จึงบอกว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมาก ที่เราจะต้องรับรู้และมั่นใจในตัวของเราเอง ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ คือต้องรู้ตัวว่าในพระคริสต์เราเป็นใคร? ถึงต้องเรียนรู้ตรงนี้มา 12 ตอนแล้ว ต้องเรียนรู้ไปอีก 50-60 ตอนหรือเปล่าไม่รู้? สำคัญมาก เราต้องรู้ว่าเป็นใครในพระคริสต์ Identity in Christ. หรือบัตรประชาชนในพระคริสต์ของเราเป็นใคร? ได้อ่านบ้างไหม? บัตรประชาชนในพระคริสต์ ได้เคยหยิบมาดูบ้างหรือเปล่า? หรือหยิบมาดูเฉพาะวันอาทิตย์ คือมาโบสถ์แล้วก็หยิบดู ไม่เคยหยิบดูเลยว่าบัตรประชาชนท่านเป็นใครในพระคริสต์ นี่คือบัตรประชาชน Identity in Christ. ก็คือบัตรประชาชนของเราในพระคริสต์

พอคร่าวๆ ในบัตรประชาชนของพระคริสต์เขียนว่าเราคือใคร? เอ๊า! ตอบสิ นึกในใจ บัตรประชาชนของท่านในพระคริสต์เขียนว่าอย่างไร? ในพระคริสต์ ท่านคือใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า เราพ้นจากบาปทั้งปวง เราสะอาดบริสุทธิ์ เราพ้นจากบาปทั้งสิ้น ทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน เรานั่งอยู่ที่ไหน? เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน บ้านเราอยู่ที่ไหน? บ้านเราอยู่ที่สวรรค์ ถ้าละเอียดขึ้น

“เลขที่ที่เท่าไร?”

“ไม่รู้ แต่รู้ว่าอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่บ้านไหน? ฉันก็อยู่บ้านนั้นแหละ”

“บ้านนั้นอยู่ที่ไหน?”

“บ้านนั้น อยู่ข้างขวามือของพระเจ้า”

พูดแบบมนุษย์ เอามาเทียบให้เห็นว่าเรานั่งอยู่กับพระเยซู ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดแล้ว นี่คือบัตรประชาชนทางวิญญาณในพระคริสต์ของเรา Identity in Christ. ของเราเป็นอย่างนี้ และแค่รู้จักตัวตนอย่างเดียวนั้น ยังไม่พอนะครับ ต้องเชื่อมั่นและจดจ่อกับตัวตนของเราด้วยว่าเราเป็นใคร? และเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องทำให้ตัวเราเชื่อ เพราะอะไร?  เพราะถึงแม้เราจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เราไม่เชื่อ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา

เพราะฉะนั้น ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความจริงว่าใช่หรือไม่?  ปัญหามันอยู่ที่คุณเชื่อหรือไม่เชื่อ? ความจริงมันเป็นอย่างนั้นแล้ว คุณเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวพระคริสต์ คุณก็รู้ แต่คุณไม่เชื่อ หรือเชื่อนิดเดียว คุณก็ได้ผลไปนิดเดียว พอเข้าใจใช่ไหมครับ?

เช่นเดียวกัน เมื่อเรารู้ตัวตนที่แท้จริงของเราแล้วว่าเราเป็นใคร? เราก็ต้องจดจ่อตัวตนของเราอยู่ที่นั่น เหมือนที่เปาโลบอกให้เราตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน … เบื้องบนก็หมายถึงตรงนี้แหละ ให้เราจับจ้องไปที่เบื้องบน ให้เราจับจ้องสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ตรงนี้แหละ สิ่งที่มองไม่เห็นตรงนั้น คืออะไร? ก็คือบัตรประชาชนของเราในพระคริสต์ มองไม่เห็น ต้องจับจ้อง มองให้เห็นให้ได้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เพราะอะไร? เพราะไม่ฉะนั้น พอเวลาล่วงเลยไป เราก็จะลืมว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว พอเผลอเข้าหน่อย ก็มาคิดว่าเราก็ยังมีบาป ยังไม่หมดเลย มันลืมไง ท่านลองไม่มาโบสถ์สักระยะหนึ่ง ลองทิ้งเรื่องนี้ไปสักระยะหนึ่ง ไม่อ่านพระคัมภีร์สักระยะหนึ่ง ไม่สนใจเรื่องโลกวิญญาณนี้ระยะหนึ่ง ไม่สนใจเรื่องพระเยซูคริสต์อีกสักระยะหนึ่ง ไม่รู้กี่ปี  ท่านลองคิดดู ท่านจะลืมหมดแล้วว่าท่านนั่นเป็นใคร? ทั้งๆ ที่ถามว่าเป็นไหม?  เป็นอยู่จริงๆ ถ้าตอนแรกท่านมาเชื่อพระเยซูจริงๆ นะ ท่านบัพติศมาจุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์จริงๆ ท่านเปลี่ยน แต่ความเป็นจริงนั้น ไม่ได้ช่วยท่านเลย เพราะว่าท่านลืมไปหมดแล้ว ท่านนึกว่าท่านยังบาปอยู่ ยังต้องใช้หนี้บาปเวรกรรมอยู่ แล้วยังบ่นอยู่ว่าเมื่อไรจะใช้บาป เวรกรรมหมดสักที ทั้งๆ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างนี้แหละที่เรียกว่าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง คือลืมตัวไปชั่วขณะ หรือเผลอตัวไปว่าเราเป็นใคร?

การรู้จักตัวตนของเราในพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ด้วยความชื่นชมยินดี สงบสุข และหายเหนื่อยและเป็นสุขอย่างที่พระเยซูบอก ถ้าอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุข มีความสงบสุข มีสันติสุขอย่างที่พระเยซูบอก ท่านต้องจำให้ได้แม่นเลย หลับตาปุ๊บ เห็นชัดเลยว่าบัตรประชาชนท่านในพระเยซูคริสต์ท่านเป็นใคร? บ้านท่านอยู่ที่ไหน?  ใครถามปุ๊บ บ้านท่านอยู่ที่ไหน? ท่านตอบทันที

“บ้านฉันอยู่ในสวรรค์สถาน อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน อยู่บ้านเดียวกันกับพระคริสต์ อยู่บ้านเดียวกับพระเยซู” เอเมน

เราเรียนรู้กันมาตลอดว่าทันทีที่เราได้มาอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นวิญญาณบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว ที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู และได้กลายสภาพ ได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู เป็นวิญญาณใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์ บัดนี้ ท่านไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว ต้องย้ำยืนยันอยู่บ่อยๆ นี่คืออะไร? นี่คือตัวตนของท่านในพระคริสต์

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ในพระคริสต์ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ในพระคริสต์ ฉันสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป  นี่คือบัตรประชาชนในพระคริสต์ของฉัน ตัวตนที่แท้จริงของฉัน เอเมน จำได้ไหม? ถามท่านต้องตอบให้ได้เลยว่าในพระคริสต์ ท่านเป็นใคร? อาจจะไม่ได้เรียงแบบตะกี้นี้ แต่ท่านต้องตอบให้ได้ว่า

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด พ้นจากบาปทั้งสิ้นแล้ว ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์ ร่วมกับพระเยซู”

ต้องตอบตรงนี้ได้ เอเมนไหม? วันนี้ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนอีกทีหนึ่งนะ เอามาปัดฝุ่น แล้วก็มาดูใหม่อีกทีหนึ่ง ท่านเชื่อไหมอย่างนี้ ตะกี้นี้พูดบัตรประชาชนท่าน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระเยซู เชื่อใช่ไหม? แต่ปรากฏว่าอยู่มาวันหนึ่ง ท่านเกิดพลาด ทำบาปไป ทำผิด ทำไม่ตรงกับน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งมันทำแน่ๆ เป็นคริสเตียนก็ต้องทำแน่ๆ มากหรือน้อยก็ตาม เช่นท่านอาจจะโลภ โกรธ โกหก อะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าบาปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ตาม ก็เรียกว่าบาปทั้งนั้น ท่านทำไป เผลอทำไป

ถามอีกทีหนึ่งว่าท่านทำไปแล้ว ตัวตนของท่านในพระคริสต์ เปลี่ยนไปไหมครับ? ทันที เปลี่ยนไหมครับ? ไม่เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนเลย  ตัวตนของท่าน ยังคงอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เหมือนเดิมทุกประการ เพียงแต่เป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำบาป ไม่ใช่เป็นคนบาป พอเข้าใจไหมอย่างนี้ เป็นคนชอบธรรมที่เผลอไปทำบาป แต่ไม่ใช่คนบาป ไม่เหมือนกันนะครับกับการเป็นคนบาปกับการเป็นผู้ชอบธรรมที่ทำบาป  มันต่างกันเยอะ การเป็นคนบาป กับการเป็นผู้ชอบธรรมที่ทำบาป มันต่างกันมากมหาศาลนะ ผมเชื่อว่าเราเรียนเรื่องนี้มา 12 ตอนแล้ว ท่านต้องพอจะเห็นภาพแล้วนะครับว่าระหว่างเนื้อหนังและวิญญาณเป็นอย่างไร? ฉะนั้นท่านคงพอจะเข้าใจในสิ่งที่ตะกี้นี้ผมบรรยายไปว่ามันไม่เหมือนกันอย่างไร? การที่ท่านเคยเป็นคนบาป ฟังให้ดีๆ นะ การที่ท่านเคยเป็นคนบาปทางวิญญาณนะ ก็ไม่ใช่เพราะท่านเคยทำบาป ถูกหรือไม่ถูก?

เอาอีกทีหนึ่ง การที่ท่านเคยเป็นคนบาป ในวิญญาณของท่าน ก่อนมาเชื่อพระเจ้า ก็ไม่ใช่ เพราะท่านเคยทำบาป แต่เป็นเพราะท่านมีเชื้อบาปที่ติดมาจากบรรพบุรุษของท่าน คืออาดัมและอีฟ ถูกหรือไม่ถูก? ฉันใดก็ฉันนั้น การที่ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม ก็ไม่ใช่เพราะท่านกระทำเอง แต่ท่านชอบธรรมได้โดยการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทำให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม ถูกไหม? ถามว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ยังไม่เชื่อในพระเจ้าถูกไหม? ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ถูกไหม?  ท่านว่ามีไหมครับคนเหล่านี้ที่จะทำดี ทำความดี มีไหม? มี .. มีหรือไม่มี? มีแน่นอน มีเยอะเลย  มีเยอะแยะด้วย บริจาคช่วยเหลือคนยากจน ก็มี อุทิศตัวเองเพื่อคนมากมาย อุทิศเพื่อส่วนรวมมาก บางทีมากกว่าคริสเตียนอีกด้วยซ้ำ

ซึ่งสิ่งดีๆ เหล่านี้ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำสิ่งดีๆ ต่อกัน สิ่งต่างๆ เหล่านั้น คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ทำกันแบบนี้เยอะแยะมากมาย ที่เราเห็นกันอยู่ เราในอดีตก็แบบนี้เหมือนกัน แล้วถามว่าแล้วสิ่งดีๆ ทั้งหลาย ที่เราในอดีต และผู้คนเหล่านี้ทำ ถามว่าจะช่วยให้วิญญาณของเราได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม คือหมดบาปได้หรือไม่? ไม่ได้

พระคัมภีร์ไบเบิลพูดไว้อย่างนี้ชัดเจนเลย บันทึกว่าความชอบธรรมในวิญญาณไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ จากการกระทำของคนใดคนหนึ่ง พระคัมภีร์พูดไว้ทั้งเล่มเลย ความชอบธรรม คือในวิญญาณนะ วิญญาณเป็นผู้ชอบธรรม หมดบาปได้ ไม่ได้มาจากการกระทำ ไม่สามารถชำระวิญญาณได้ โดยการกระทำจากภายนอกเข้าไปล้างข้างใน เป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ที่ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เมื่อพลาดไปทำบาปเข้า ก็ไม่ได้ทำให้วิญญาณของเขา กลับมาเป็นวิญญาณบาปได้อีกครั้ง เช่นเดียวกัน ถูกไหม?

ด้วยเหตุนี้แหละ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราตั้งมั่น และจดจ่ออยู่ที่ตัวตนแท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ ในวิญญาณของเราในพระคริสต์นั้น เพื่ออะไร? 2 สิ่ง  เพื่อว่าเมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ พอเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ มันเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม?  พอเราจำบัตรประชาชนเราแม่นเลย ไปที่ไหน ควักบัตรประชาชนออกมาตลอดเวลาเลย บัตรประชาชนทางวิญญาณนะ ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าในพระคริสต์ 2 สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ก็คือ.-

  1. เมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราได้รับรู้ถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? รักเรามากขนาดไหน?  ถูกไหม?  เบอร์หนึ่งเลย พอหยิบบัตรออกมา สิ่งที่ท่านคิดได้ มันใช่สิทธิอย่างเดียว ดึงออกมาปุ๊บ ท่านคิดเลยว่า.-

“ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้ฉันได้มีโอกาส ได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ได้เข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า ในแผ่นดินพระเจ้า”

เหมือนกับชาวเขา ไทยภูเขา ที่ทุกบ้านจะมีรูปพระฉายาลักษณะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงทำให้เขาทั้งหลายเป็นคนไทย มีสิทธิเท่ากับคนไทย ลูกหลานเรียน จนจบด็อกเตอร์ทุกวันนี้ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ? เป็นลักษณะเดียวกัน

ดังนั้น ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ เรามีบัตรประชาชนของเรา ในฝ่ายวิญญาณ เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราจะระลึกถึงพระองค์เสมอว่าพระคุณของพระองค์ล้นเหลือเกินในชีวิตของเรา … เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการ … ไม่ใช่เพื่อเป็นการทำให้เราชอบธรรมขึ้น ไม่ใช่ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า เรารักพระองค์ … พระองค์รักเรามาก เราไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้แล้ว เราเสียใจ เพราะเรารักพระองค์ ไม่ใช่ เราทำ เพื่อให้เรามีความชอบธรรมมากขึ้น ไม่ใช่

สิ่งนี้จะเกิดขึ้น ถ้าเราจดจ่ออยู่ที่บัตรประชาชนของเราในพระคริสต์ว่าเราเป็นใคร?

  1. อันที่สอง ที่จะเกิดขึ้น คือแม้เราจะตั้งใจ ที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า ต้องการที่จะ … เขาเรียกว่าทำให้พระเจ้าดีใจ คือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือไม่ทำบาป ให้เป็นที่พอพระทัย ให้เป็นที่ถวายเกียรติในชีวิต แต่อย่างที่ผมบอกอยู่เรื่อยๆ เสมอๆ ว่าร่างกายของเรา ที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ที่วิญญาณเรายังอาศัยร่างนี้อยู่ ร่างนี้มันมีเชื้อบาปอยู่ เราก็อาจจะเผลอ พลาดไปทำผิดบาปได้บ้าง แต่เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่วิตกกังวล เพราะว่าเรามีบัตรประชาชนของเราอยู่ ที่ตะกี้นี้เราเรียนมาทั้งหมดแล้ว เรายังมั่นใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรานั้น อยู่ในพระคริสต์ ยังคงทำไม? เหมือนเดิมทุกประการ ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเรามีตัวตน มีบัตรประชาชนของพระคริสต์นี้ เช่นนี้ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตอนที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้น แต่ถือบัตรนี้ทำไม? ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์ วันหนึ่งเราก็ใช้บัตรนี้ ออกจากร่างนี้ ก็ใช้บัตรนี้ ใช้สิทธิของเราในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้ารอเราอยู่

มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา        ถ้าเราเชื่อ จึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา         และเดี๋ยวนี้ยังเตรียมที่ไว้คอยท่า

เราจะถือบัตรประชาชนนี้ ไม่ใช่ถือตอนที่เราจะจากโลกนี้ไป ไม่ใช่นะครับ ถือตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย เห็นบัตรประชาชนเราตลอดเวลา ทุกวันนี้หายใจเข้าออก เรามีบัตรประชาชนนี้ออก เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เรามีสิทธิอะไรในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ที่ไหนในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถานร่วมกับพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระองค์ เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งโสโครกสกปรกทุกอย่างในชีวิตของเราเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะไปสวรรค์ พร้อมที่จะไปอยู่ในสวรรค์ ซึ่งเป็นอาณาจักรของเราที่แท้จริง เป็นบ้านของเราจริงๆ ที่อยู่บนนั้น โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา  เพราะฉะนั้นถือบัตรประชาชน นี่คือความหวังใจของเราทุกคนในพระคริสต์ เราคือใครในพระคริสต์ ความหวังใจเราอยู่ที่นั่น คือในพระคริสต์นั่นเอง เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 11 “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 11 “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราเป็นใครในพระคริสต์ สัปดาห์นี้ ก็เป็นตอนที่ 11 แล้วนะครับ

เหมือนเดิม เรามาทบทวนประเด็นที่ได้ บรรยายกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อน ซึ่งจะได้สรุปชื่อเรื่องด้วยว่าสัปดาห์ที่แล้ว ใช้ชื่อเรื่องอะไร? ครั้งที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่องธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูและอาดัม … อาดัมและอีฟ ก็คือบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เปรียบเทียบให้เห็นว่าก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้านั่น ก่อนที่เราจะอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามีธรรมชาติลักษณะ เรียกว่านิสัย ธาตุแท้ในตัวจริงของเรา ในวิญญาณของเรา เหมือนใคร? เหมือนอาดัม แต่หลังจากที่ได้มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว มาเชื่อในพระเยซูแล้ว ธรรมชาติลักษณะของเรา ก็เปลี่ยนไป คือเปลี่ยนมาเหมือนพระเยซู

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เหมือนพระเยซู”

คือก่อนที่เราจะมาอยู่ในพระคริสต์นั้น  สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะนิสัยของอาดัม สิ่งนั้นก็เป็นจริง สำหรับเราและมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย นี่คือกฎระเบียบ นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ พระคัมภีร์เป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ เช่น อาดัมกบฏ … กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เราก็มีลักษณะนิสัยเหมือนกัน คือกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อาดัมไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ไม่เชื่อพระเจ้า อาดัมเป็นคนบาป เราก็เป็นคนบาป นี่พระคัมภีร์ได้พูดไว้อย่างนั้น

แต่หลังจากที่เรามาเชื่อพระเจ้า มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พอเชื่อพระเจ้า ก็ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ การอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือมาเชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มารับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงไถ่เรา  ให้พ้นจากความบาป เวรกรรมทั้งปวง

พอมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ข้อความเมื่อตะกี้นี้ ก็จะถูกเปลี่ยนไป เป็นสิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ที่เป็นลักษณะของพระเยซู สิ่งนั้น ก็จะเป็นจริงกับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ผมไม่ได้พูดของผมเอง พระคัมภีร์ทั้งเล่มพูดอย่างนี้ สิ่งที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซู หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษ อยากให้พวกเราได้คุ้นหูไว้ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Divine Nature”

พูดตามสิ “Divine Nature”

ให้มันเข้ากับยุค AEC เรากำลังเข้าอยู่ในยุค AEC

ตกลงธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า เรียกว่า “Divine Nature”

“Divine Nature” ก็คือธรรมชาติของพระเจ้า เราได้เข้าไปมี่ส่วนร่วมในธรรมชาติของพระเจ้า พูดง่ายๆ อย่างนี้ แปลตรงๆ ตามภาษาชาวบ้าน

สิ่งที่เป็นจริง ก็คือพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า นี่คือ Divine Nature ของพระเยซู เราบอกเราเหมือนพระเยซู ดูสิว่าธรรมชาติของพระเยซูเป็นอย่างไร?

ธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซู ก็คือยกตัวอย่างเช่นพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เราก็ได้รับสิทธิ เป็นลูกของพระเจ้าด้วย เห็นไหม? เพราะเราเข้าไปมีส่วนร่วม พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น

พระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เราเชื่ออย่างนั้นไหม? ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น นั่นเป็นจริง เราก็ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น เราก็ต้องเชื่ออย่างนี้ เพราะว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าเราเหมือนพระเยซูเลย เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เราได้เข้าไปเป็นหนึ่ง ได้เข้าไปมีส่วนใน Divine Nature เข้าไปมีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์

นี่คือเนื้อหา ประเด็นหลักที่เราคุยกันไปครั้งที่แล้ว เพราะฉะนั้น เรามาตั้งชื่อกัน ควรจะใช้ชื่ออะไร? เราตั้งชื่อนี้ก็แล้ว “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์” ดีไหม? จำง่ายดี

สรุป “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 10 ชื่อเรื่องว่า “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้นในพระคริสต์”

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น ในพระคริสต์”

นี่ตอน 10 นะครับ ครั้งที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันไว้ที่ข้อพระคัมภีร์ที่ย้ำยืนยันกับเรา ในเรื่องนี้นะครับ เรามาอ่านทบทวนสักนิดหนึ่ง 2 เปโตร 1:3-4 เราต้องยืนหยัดอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์เท่านั้น 2 เปโตร 1:3-4 เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว

 

ประทานพันธสัญญาเหล่านี้คือใครรู้ไหม? พระเยซู พระเจ้า พระบิดา สัญญาว่าจะประทานพระเยซูมา ประทานมาให้แล้ว เกิดอะไรขึ้น … เกิดอย่างนี้ขึ้น พูดตามผมนะครับ

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

อีกครั้งหนึ่ง พูดชื่อตัวเองดังๆ เลย “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

ผ่านทางพระเยซู เราได้รับตรงนี้  พวกท่านจะได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ก็คือทั้งหมดที่พูดไปเมื่อตะกี้นี้ ที่ยกตัวอย่างว่าลักษณะของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? เราเป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ปราศจากบาป สะอาดบริสุทธิ์ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว เราไม่ได้คู่ควรกับสิ่งเหล่านี้เลย เราเป็นคนบาป แต่เราได้รับสิ่งเหล่านี้  โดยพระคุณ เรียกว่าฟรีๆ ฟรีเลยนะครับ เราเรียกว่าพระคุณ เราเรียกว่า Amazing Grace … Grace ก็คือพระคุณ … พระคุณ คืออะไรก็ตามที่เราได้มาฟรีๆ โดยที่ไม่สมควรจะได้รับ เขาเรียกว่าพระคุณ

เพราะฉะนั้น  มนุษย์ทุกคน ก็จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางตอนนี้ ก็คืออะไร?

  1. รับพระคุณพระเจ้าตรงนี้ ที่ทรงประทานให้ ผ่านทางพระเยซู แล้วก็ได้รับธรรมชาติลักษณะ ที่เหมือนพระเจ้าเข้าไปอยู่ในตัว หรือถ้าไม่อย่างนั้น
  2. คือพยายามทำด้วยตัวเองต่อไป สั่งสมความดีไปเรื่อยๆ ที่ตัวเองคิดเองว่ามันดี และจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป

ใครที่จะเลือกทางที่ 2 นี้ ผมก็จะอยากบอกว่าก็เอาที่สบายใจแล้วกัน ต้องบอก ขออวยพรให้โชคดีจริงๆ เลย  ผมเองก็เคยเดิน เราในที่นี่ทั้งหมด ก็เคยเดินทางที่สองมาแล้ว มันเป็นอย่างไร ก็อยากจะอวยพร อธิษฐานให้ท่านที่เลือกทางที่สองอยู่ ก็บอกว่าก็ขอพระเจ้าอวยพรก็แล้วกัน ถูกไหม? พอดีตอนนี้เขากำลังฮิตนะ อะไรสติ๊กเกอร์ที่บอกว่า “เอาที่ตามใจแล้วกัน” “เอาที่สบายใจก็แล้วกัน” “ไม่รู้สินะ” อันนี้ก็อีกอันหนึ่ง

เดี๋ยวนี้มีอะไรแปลกๆ สติ๊กเกอร์ วันทั้งวันไม่ได้ทำอะไร? บางคนนั่ง ก้มจอ ดูจอเล็กๆ สี่เหลี่ยม บางคนก็จอเล็ก บางคนก็จอใหญ่ บางคนอายุ 70, 80 ก็มีจอเหมือนกัน แต่จอเบ้อเริ่มเทิ่มเลย วันนั้นเห็นอาม่าคนหนึ่ง เอาไอแพทขึ้นมาโทรศัพท์ มันโทรศัพท์ได้ด้วยนะ แต่มันต้องโทรผ่านทาง Face time กับทางไลน์ใช่ไหม? ไม่ได้ยิน พอพูดใกล้ๆ แต่พออยากดูหน้า ก็เอาไปไกล แล้วพูดดังๆ ท่านลองคิดสภาพดู สมัยนี้ ในยุคปัจจุบัน เราไม่นึกว่าเกิดมา จะได้เห็น ยุคปัจจุบัน มันเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนี้  พอไปกินอาหาร ไม่มีใครพูดกับใครเลย ทุกคนก้มหน้าหมด ก่อนหน้านี้ ก่อนอาหาร ต้องอธิษฐาน แต่เดี๋ยวนี้ ก็ต้องเคารพ … เคารพอะไร? ไอโฟน ไอแพท ไออะไรต่างๆ ทุกคนเคารพหมด สมัยก่อนต้องเรียกนะ  ร่วมใจกันอธิษฐาน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องพูดเลยนะ รู้กันเลย ร่วมใจกัน ก้มศีรษะลง คำนับ 3 ที คำนับไอแพท คำนับไอโฟน ฯลฯ

มีสองทางให้เลือก สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

ทางหนึ่ง ก็คือรับพระคุณจากพระเจ้า แล้วก็มามีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า  สะอาด  บริสุทธิ์ โดยรับเอาฟรีๆ เลย

หรือทางที่สอง คือทำด้วยตัวเอง สั่งสมด้วยตัวเองต่อไป ที่ตัวเองคิดว่ามันจะช่วยได้

เพราะว่าโดยกำลังของมนุษย์ทุกคน ความสามารถของมนุษย์ เราหรือมนุษย์ทุกคน ไม่สามารถเป็นผู้สร้าง ไม่สามารถเป็นผู้ก่อให้เกิดความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชมยินดี สันติสุข ความสงบสุข หรือแม้กระทั่งความพอเพียง ก็ตาม ที่มนุษย์ทุกคนอยากได้  อยากจะหลุดพ้นจากบาป มนุษย์ทุกคนก็ไม่สามารถกระทำได้ด้วยตัวเองจริงๆ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับท่าน เคยได้ยินใช่ไหม? พระเยซูเป็นทุกสิ่ง สำหรับเรา สำหรับท่าน … ท่านในที่นี่ หมายถึงใครครับ  หมายถึงผู้ที่เชื่อในพระเยซูใช่หรือไม่ใช่? ใช่ไหม? ไม่ใช่แค่นั้น แต่ท่านในที่นี่ คือมนุษย์ทุกคน จะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นทุกสิ่ง สำหรับท่าน พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรม ทรงเป็นความชื่นชมยินดี เป็นสันติสุข เป็นความพอเพียง ให้กับมนุษย์ทุกคน ให้กับท่าน มนุษย์เพียงแต่ให้พระองค์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเขา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว มาอยู่ในใจของเขา เข้ามาในวิญญาณของเขา มนุษย์ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้เข้ามาธรรมชาติเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย

พระเยซูจึงบอกว่าให้เราทั้งหลาย ผู้เป็นมนุษย์ เป็นผู้รับเฉยๆ ไม่ต้องกระทำ เป็นผู้รับอย่างเดียว ไม่ต้องกระทำ ซึ่งมนุษย์ทำใจอยาก เพราะมนุษย์อยากจะทำด้วยตัวเอง นี่ปัญหามันอยู่แค่นี้ แต่พระเยซูบอกได้ฟรีๆ เราบอก มันจะเป็นไปได้อย่างไร?  อะไรมันได้มาฟรีๆ อย่างนี้เหรอ? แล้วของดีมากมายขนาดนี้ ขนาดได้เป็นลูกพระเจ้า รับฟรีๆ เหรอ มนุษย์ทำใจไม่ได้ พระองค์บอกว่าพระองค์จะเป็นผู้กระทำให้เอง  เรารับอย่างเดียว ในพระคัมภีร์บันทึกตรงนี้เยอะแยะ ซึ่งเป็นข้อความที่มันง่าย แต่มันเชื่อยากจริงๆ เอเฟซัส 2:8-10 บันทึกตรงนี้ ให้เราเห็นชัดเจนขนาดไหน?

เอเฟซัส 2:8-10 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ   ความรอดนี้ ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

ความรอดนี้ รอดจากอะไร? รอดจากความไม่ชอบธรรม เห็นไหม? ความไม่ชอบธรรม นี่คือนักโทษ ยังติดอยู่ในภาระ ยังเป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ ยังเป็นหนี้บาปเวรกรรม

รอดจากอะไร? รอดจากความบาป  รอดจากความไม่บริสุทธิ์ กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ เห็นหรือเปล่า? รอดจากการไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ใช่ลูกพระเจ้า กลายมาเป็นลูกพระเจ้า นี่ตรงนี้ รอดมันมีแค่นี้เองแหละ โดยพระคุณ ด้วยความเชื่อในพระเยซู ในข่าวดีของพระเยซู ได้ทำให้เราได้เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็น … ที่เราเรียนกันไป ได้มาอยู่ในพระคริสต์ เป็นอะไร? เป็นกระเทียมดอง … ดองกับใคร? ดองกับพระเยซูและสามพระภาค พระเจ้า พระวิญญาณ, พระเจ้า พระบุตร พระเยซู, พระเจ้า พระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้าส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ที่เรียกว่า Divine Nature เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อแค่นี้เอง ชีวิตจึงเต็มไปด้วยอะไร? ความครบถ้วนบริบูรณ์ในชีวิต เหมือนพระเยซูได้ตรัสเสมอ และก็ได้บอกเราทั้งหลายว่าพระองค์ได้มา เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับชีวิต และมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความพอเพียงทุกอย่าง การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เต็มไปด้วยความหวัง และเต็มไปด้วยพลังเปี่ยมล้น นี่พระเยซูบอก พระองค์มา เพื่อให้เราได้รับชีวิต อิสระ Free indeed ยอห์น 10:10 ใช่ไหม? บันทึกไว้อย่างนี้ ใช่ไหม? ผมอ่านให้ฟังนะ พระเยซูตรัสนะครับ

ยอห์น 10:10 “ขโมยนั้น มาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มา เพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”

 

คำว่า “ครบบริบูรณ์” ไม่ใช่มีร่างกาย 32 อย่าง ไม่ใช่ คำว่า “ครบบริบูรณ์” หมายถึงโลกวิญญาณ ครบถ้วนในวิญญาณที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการอยากจะเป็น เพราะว่าวิญญาณมาจากพระเจ้า แต่มันถูกทำให้บาปและหลุดออกจากพระเจ้าไป ไปเป็นทาสของมาร มันไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันเป็นง่อยอยู่ เขาเรียกว่าพิการอยู่ แต่พระเยซูเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ  มารักษาความง่อยในวิญญาณให้หาย กลับมาเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ เหมือนเดิม มาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม เรียกว่าครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ใช้สิทธิของเรา ในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เชื่อไปแล้ว จริงหรือไม่จริง? จริง พอเจอพระเยซู เราก็หยุดทุกอย่าง เราพอเพียงแล้ว เรารู้สึกว่าเราครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

คราวนี้ ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คืออะไรรู้ไหมครับ? คืออยากได้ความชื่นชมยินดี อย่างที่พระเยซูบอก อยากมีสันติสุข อยากมีความพอเพียง อย่างที่พระคัมภีร์บอก จากพระเยซูคริสต์อย่างนี้เหมือนกัน อยากได้ตามวิถี หรือวิธีการ หรือความคิดของตัวเอง นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ และเราจะมาบรรยายกัน มาคุยกันเรื่องนี้แหละ เรื่องเกี่ยวกับความคิดของเรา เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราคิดอย่างนี้ เราอยากได้สันติสุข อยากให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ ที่ตะกี้พระเยซูคริสต์บอกว่ามาให้เรามีชีวิตอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์  แต่เราคิดว่าชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น เราควรจะเป็นอย่างนี้  วิธีการเราก็จะทำอย่างนี้ เพื่อจะให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งเรามาบรรยายกันวันนี้ มาคุยกันในวันนี้ว่าพระเจ้าคิดอย่างนั้น เหมือนกับเราหรือเปล่า?

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าความคิดของเรา ไม่มีทางที่จะเหมือนกับความคิดของพระเจ้าได้เลย วันนี้ เราจะมาดูด้วยความคิดของพระเจ้าอย่างไง? แล้วความคิดของเราเป็นอย่างไร?  ต่างกันอย่างไร? แม้ว่าขณะนี้ เราจะเข้ามาเชื่อในพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วก็ตาม ความคิดเก่าๆ ของเรา มันตรงกับพระเจ้าไหม?

อิสยาห์ 55:8-9 “8เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศดังนั้น 9 “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น

 

พูดตามผม “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของพระเจ้า ก็สูงกว่าทางของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)  และความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ฉันนั้น”

คืออย่างนี้ คือเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเยซู อยู่ในพระคริสต์แล้ว เรายังอยากได้สันติสุข อยากได้ความพอเพียง  อยากได้ความชื่นชมยินดี ตามความคิดของเราเอง ตามวิถีทางของเราเอง ที่เราคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น เช่น …

พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราคิดอย่างนี้ไหม? เช่น เราขับรถอยู่บนถนน รถติดอยู่ เราก็คิดว่า.-

“ถ้าฉันเชื่อพระเยซู  พระองค์ก็น่าจะทำให้ถนนมันโล่ง รถไม่ติดเลย”

ใช่หรือไม่ใช่? ไม่ใช่ แล้วทำไมอธิษฐานหายครั้งว่า.-

“พระเจ้าของเมตตา เปิดประตูให้รถมันว่าง”

สั่งการ “รถจงขยายออกไป จงไม่ติด” อะไรอย่างนี้

ทำไมสั่งล่ะ เพราะอยากได้ใช่ไหม? เห็นไหม?  หรือ …

“ถ้าฉันเชื่อพระเยซู ฉันไม่น่าจะป่วยเลย”

โอโห้! นี่โดนใจ “ฉันไม่น่าจะป่วยเลย”

เราคิดเองว่า “เชื่อพระเยซู ฉันไม่ควรป่วยแล้ว ฉันเป็นลูกพระเจ้าจะป่วยได้อย่างไร?”

ถูกหรือไม่ถูก

“ถ้าฉันเชื่อพระเยซูแล้ว หนี้สินฉันควรจะหมดไป”

ผมจะบอกอะไรให้กับท่านนะครับ คนป่วยจำนวนมากมายที่ผมไปเยี่ยมมา ตลอด 20 กว่าปีนี้ ทั้งโรคมะเร็ง  โรคหัวใจ  โรคไต และอีกหลายโรค ก็เป็นผู้ที่เชื่อพระเยซูมาหลายปี บางคนเป็นสิบปีก็มี ทุกวันนี้บางคนก็ยังป่วยอยู่ก็มี และไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้นะ แต่เพราะพระองค์ทรงมีแผนการที่ดีกว่า ที่จะให้เขาป่วยมากกว่าที่เขาหายโรค หลายคนเปลี่ยนความคิด

พูดง่ายๆ ก็คือเขาอาจจะมีคุณค่าต่อพระองค์ ในขณะที่ป่วยอยู่ มากกว่าในขณะที่หายโรค ก็ได้ ไม่มีใครเอเมนเลย เงียบสนิท เครียด แต่วันนี้เป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงความคิด ให้เหมือนพระเจ้า  เพราะเราทั้งหลายที่เชื่อ พระเยซู เรารู้ใช่ไหม? ตลอดเวลาว่าพระคัมภีร์บอกเราว่าให้เราอยู่บนโลกนี้ แบบโลกนี้ เป็นที่อาศัย เพียงชั่วคราว ไม่ใช่บ้านของเรา  และที่สำคัญระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ต้องการให้เรา มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ติดสนิทกับใคร? กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ให้ติดสนิทจริงๆ คิดเหมือนพระองค์

เหมือนที่เปาโลได้บอกว่าพระเจ้าได้ให้เปาโล ทุกข์ทรมานจากหนามในเนื้อ และอธิษฐานวิงวอนพระเจ้า ให้เอาหนามนี้ออกมาจากตัวของเขา  เขาอธิษฐานมาตลอด  สู้ เหมือนเราทั้งหลายในที่นี่ ไม่ไหว ก็เนื้อหนัง มันอยากจะสบาย นี่คือตัวอย่าง

แล้วพระเจ้าตอบเปาโลว่าอย่างไร?  เราลองมาติดตามเรื่องนี้ดูนะครับ ใน 2 โครินธ์ 12:7-10 จะได้รู้เส้นทางว่าเราควรเดินอย่างไร ให้เหมือนพระเจ้า … พระเจ้าคิดอย่างไรน๊า ต้องไปหาในพระคัมภีร์ว่าเป็นอย่างไร?  2 โครินธ์ 12:7-10 นี่คือประสบการณ์และชีวิตของเปาโล เราจะได้เห็นชัดเจนขึ้น

2 โครินธ์ 12:7-10 “7 เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าผยอง เนื่องด้วยการทรงสำแดงอันยิ่งใหญ่เลิศล้ำเหล่านี้   จึงทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า เป็นทูตของซาตาน คอยทรมานข้าพเจ้า 8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า พระคุณของเรา เพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเรา จะได้ปรากฏเต็มที่ ในความอ่อนแอ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใด ที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเปาโล แต่ไม่ใช่ด้วยวิถี หรือวิธีการที่เปาโลอยากได้ เปาโลอยากได้ ให้เอาหนามในเนื้อออกไป เอาความทุกข์ยากออกไป เอาความลำบากออกไป แต่คำตอบของพระเจ้า คืออะไร?

“พระคุณของเรา เพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มในความอ่อนแอ (ของเจ้า)”

ลองนึกถึงชีวิตเรา ลองใส่ชื่อเราลองดูสิ

“พระคุณของพระเจ้า เพียงพอสำหรับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มในความอ่อนแอของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”

หลับตาแป๊บหนึ่ง นึกถึงที่ตะกี้เราพูดไป  ให้มันเข้าไปลึกๆ ในชีวิตของเราสิว่าเราทำได้ไหมอย่างนี้  พระเจ้ากำลังตอบเราอย่างนี้ เรากำลังอธิษฐานขออะไรตั้งเยอะ เหมือนกับเปาโลที่ขอ พระเจ้ากำลังตอบเราอย่างนี้ว่าพระคุณของพระองค์พอเพียง สำหรับเราแล้ว ชีวิตคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าในพระคริสต์ ก็ควรจะเป็นแบบที่เปาโลกำลังอธิษฐาน เมื่อตะกี้นี้  เราไม่ได้วิงวอนขอพระเจ้าช่วยทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากความทุกข์ยากลำบาก แต่เราวิงวอน ทูลขอพระเจ้าช่วยทำให้เรา เข้มแข็งขึ้น ถูกไหม? แล้วนำพาเราก้าวผ่านความทุกข์ลำบาก และท่ามกลางทุกสถานการณ์ นี่คือที่เรียกว่าความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ที่เปาโลมีหนามในเนื้อ ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ว่าเพราะเปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ตอนเป็นๆ นะครับ จะด้วยวิญญาณหรือด้วยอะไรก็มิทราบ พระคัมภีร์ไม่ได้บอก … บอกแต่ว่าเปาโลได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ได้เห็นอะไรบางอย่างในสวรรค์ ซึ่งก็เลยมีคนเขาวิเคราะห์กันว่าพระเจ้าเกรงว่าหลังจากที่กลับมาบนโลกนี้แล้ว เปาโลเอาจจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง จากการได้รู้จักพระเจ้า ได้เห็นการสำแดงมากมายกว่าคนอื่นเขา สนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวมากมาย เดี๋ยวกลัวจะเหลิง จะเย่อหยิ่ง พระเจ้าเลยทำให้เปาโลมีหนามในเนื้อ ซึ่งหมายถึงมีความเจ็บป่วยหรือทรมาน จากอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ระบุอะไรชัดเจน  เพื่อให้เปาโลมีความถ่อมใจตลอดเวลา ซึ่งการถ่อมใจ เป็นหัวใจในการสนิทกับพระเจ้า การทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องถ่อมใจ … ถ่อมใจ คือเชื่อลูกเดียว ไม่ได้คิดเอง

เพราะฉะนั้น มันก็เหมือนประสบการณ์ของคริสเตียนหลายๆ คนที่ก่อนจะมารู้จักพระเจ้า  ก็เคยมีชีวิตที่สำเร็จครบถ้วนตามแบบมนุษย์ เจริญรุ่งเรือง มีชีวิตที่สุขสบาย พร้อมทุกอย่าง แล้วก็เลยทะนงตน เย่อหยิ่ง คิดว่าชีวิตเราไม่จำเป็นต้องมีพระเยซูก็ได้ ใครมาประกาศข่าวดีให้ผม เรื่องพระเยซูสมัยนั้น ผมไม่เห็นจะสนใจ เพราะผมคิดว่าผมพอแล้ว ผมช่วยเหลือตัวเองได้ ขนาดนั้น โอเค ดีแล้ว เห็นไหม? ผมเย่อหยิ่งไหม? ผมไม่ฟังเขาเลย จนกระทั่ง มาเจอกับปัญหาที่มันรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว สุดท้าย ถึงมาหาพระเจ้า มาเชื่อพระเยซู ซึ่งนี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พระเจ้าอาจจะใช้ ในการนำพามนุษย์ ซึ่งตกอยู่ในความบาป  ความมืดนั้น ให้มารับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นั่งที่นี่ เกือบ 100% ถ้าให้ขึ้นมาเป็นพยานตอนนี้ เล่ากันไปถึงสิ้นปี ไม่หมดเลยนะ ทุกคนขึ้นมา จะบอกว่า.-

“แต่ก่อนนี้ ผมเย่อหยิ่งมากเลยครับ ผมคิดว่าผมไปรอดแล้ว ตอนก่อนมาเชื่อพระเจ้า ผมตกระกำลำบาก ปัญหามันเยอะมากเลย”

“อะไรบ้าง?”

แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ ไม่มีใครมาเชื่อพระเจ้า เพราะมีความสุขมากเลย ดีใจมาก แต่ละอย่างดียอดเยี่ยมหมดเลย มาเจอพระเจ้า รับเชื่อเลยทันที มีไหม? ขอยกมือขึ้น มีสักคนไหม?  ไม่มี น้อยมาก นอกจากว่ามาจากครอบครัวที่มาจากคริสเตียน แล้วค่อยๆ กลืนเข้าไปในความรู้จักพระเจ้า

หรือแม้กระทั่ง หลังจากที่รู้จักพระเจ้าแล้ว มาเชื่อแล้ว ซึ่งแม้ว่าวิญญาณของเราจะได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่อย่างที่บอกว่าเนื้อหนังร่างกาย ก็ยังมีสัญชาตญาณบาปอยู่ ซึ่งมาจากอาดัมที่เราเรียกว่าเชื้อบาปมันยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้วก็จริง  คือยังมีอุปนิสัย ธาตุแท้เดิมอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ ที่จะไปทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าบาป หรือไม่ก็อาจจะเพลิดเพลินไปกับพระพรทางโลกมากมายที่พระเจ้าอวยพรให้ แล้วก็เริ่มต้นหยิ่งอีกแล้ว เอาอีกแล้ว เย่อหยิ่ง อวดดีอีกแล้ว มันเป็นธรรมชาติ เป็นทาสแท้ของมนุษย์ทุกคน มันเป็นอย่างนี้

อ้าว! บอกพร้อมกันเลย “มนุษย์ทุกคน ไม่เว้นฉัน”

มันเป็นอย่างนี้จริงๆ นี่พระคัมภีร์สอนเรา เพื่อให้เราได้เรียนรู้ว่าศัตรูเราคือใคร? ศัตรูเราก็คือตัวฉกาจ ที่สำคัญที่สุด ก็คือตัวเราเอง  ไม่ต้องไปมองที่ไหน?  หันหน้าเข้าหากระจกเลย พระเจ้าก็จะมีวิธีที่จะคอยดึงเรา ช่วยเรา พระเจ้าจะมีวิธีของพระองค์ โดยให้เรามีหนามในเนื้อ แบบเดียวกันเปาโลเหมือนกัน ให้เรามีสิ่งที่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า เราจะได้ไม่หนีไปไหน? ไม่อย่างนั้น ให้เราสำเร็จๆ ดีๆ ไปหมด เดี๋ยวเราก็จะเตลิดไปตามทางของธาตุแท้ของอาดัม ที่ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่

เหมือนชาวนา ที่เลี่ยงอะไรไว้ไถ่นา เลี้ยงควาย ก่อนจะใช้งานได้ ต้องทำการ เขาเรียกว่าสนตะพาย ต้องสนตะพายก่อน  วิธีการสนตะพายเขาทำอย่างไรรู้ไหมครับ? เขาใช้ไม้แหลมๆ เจาะที่ผนังรูจมูกของควายให้ทะลุ  แล้วก็ร้อยเชือกคล้องมาด้านหลัง ทำไมต้องสนตะพายท่านทราบไหมครับ? ท่านเห็นเชือกไหม? เชือกนั้นมันถูกสนตะพาย คือร้อยเข้าไปในจมูกของควาย ทำไม? ก็เพราะว่าควายเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่และมีแรงมาก ถ้าเราไม่สามารถควบคุมมันได้ เราก็ใช้งานมันไม่ได้ การสนตะพาย ก็เพื่อที่จะควบคุม คือถ้าหากมันดื้อ ไม่ทำตามคำสั่ง เขาก็จะดึงเชือกที่สนตะพายไว้ พอดึงปุ๊บ เมื่อดึงแรงๆ มันจะทำให้เชือกไปสีกับเนื้อโพรงจมูก ซึ่งเป็นเนื้ออ่อนข้างในของจมูกควาย พูดง่ายๆ คือทำให้มันเจ็บนั้นเอง เพื่อจะได้ยอมทำตามคำสั่ง

มนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ผมไม่ได้หมายความเช่นเดียวกับควายนะ อย่าเข้าใจผิด ผมหมายถึงว่าหลายครั้ง มนุษย์เราก็อย่างนี้แหละ หลายครั้งที่เราหลงทำ หรือหลงไปทำ หรือทำโดยไม่หลง แต่ทำบ่อยๆ คือสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า สิ่งที่ไม่เป็นน้ำพระทัย เราไปทำ เพราะว่าเราทำบาปนั้น หรือดื้อกับพระเจ้า บาป คือการไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเรียกว่าดื้อกับพระเจ้า ด้วยเหตุมาจากอะไร? มาจากความเย่อหยิ่งในชีวิตของเรา เย่อหยิ่งในเนื้อหนังนั้น เรายอมมันไง เราหลงไปกับมัน นั่นคือสัญชาตญาณบาปที่อยู่ในร่างกายของเรา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม

เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเจ็บปวด เพื่อให้พระเจ้าสามารถควบคุมชีวิตเราได้ ตามที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ประสบการณ์ของเปาโล เพราะพระเจ้าต้องการนำเราไปในทิศทางที่ดี และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ซึ่งดีกว่าที่เราจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเองอย่างมากมาย เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าพระเจ้าต้องการอย่างนี้มากกว่า เราคิดของเราอย่างนี้ว่า.-

“เจ็บป่วยมันไม่ดี เจ็บ มันไม่ดี มีปัญหา มันไม่ดี”

แต่พระเจ้าบอกว่า “ดีกว่าตั้งเยอะเลย ดีกว่าเธอไปลงเหว”

พอเข้าใจไหม? พระเจ้ามองอีกอย่างหนึ่ง เรามองอีกอย่างหนึ่ง นี่คือตัวอย่าง ความคิดของเรากับความคิดของพระเจ้า วิธีการของเรากับวิธีการของพระเจ้า มันคนละเรื่องกันเลย  พระเจ้าจะช่วยเรา แต่เราบอกพระเจ้าไม่เมตตาเรา เลยทำให้เราเจ็บปวด

ในคืนวันพฤหัสฯ ก่อนพระเยซูจะถูกทหารอายัดไปตรึงที่ไม้กางเขน จำได้ใช่ไหมครับ? พระองค์อยู่ในสภาพมนุษย์ พระองค์ก็ต้องกลัว กลัวเจ็บปวด  เพราะรู้แล้วว่าพรุ่งนี้จะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน มันทุกข์ทรมานมาก มันเจ็บปวดมาก พระองค์ก็กลัว เหมือนมนุษย์ทุกคนแหละที่กลัว เพราะพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ พระเยซูจึงอธิษฐานกับพระเจ้าว่า.-

“ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไปให้พ้น (ถ้านะ) ถ้าเป็นไปได้ พระเจ้าไม่ให้เขาเอาไปตรึงที่ไม้กางเขนได้ไหม?”

ถ้วยนี้ ก็คือความทุกข์ทรมาน ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่าจะต้องเผชิญ พระเยซูอธิษฐานให้ถ้วยนี้เลื่อนไปก็จริงๆ ไม่อยากจะเข้าไปก็จริง แต่พระเยซูจบคำอธิษฐานว่าอย่างไรครับ?

จบว่า “แต่ทั้งนี้ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

เพราะพระเยซูทราบดีว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า ทางของพระเจ้า ความคิดของพระเจ้านั้น ดีกว่าของพระองค์อย่างแน่นอน เอเมน นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เราได้เห็น

พระเจ้าจึงบอกว่า “พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า”

พระเจ้าจึงพูดคำนี้ เป็นตัวอย่างให้กับเปาโลและพวกเราทั้งหลาย

พระเจ้าตอบเราว่า “พระคุณของเรา ก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”

พระคุณของพระเจ้าคืออะไร? ก็คือพระองค์ทรงไถ่บาปเราแล้ว รักเรามาก สำแดงความรักของพระองค์ด้วยการส่งพระบุตรของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราแล้ว ยอมทุกอย่างแล้ว … แล้วนึกเหรอว่าพระองค์จะปล่อยให้เราเจ็บปวดอย่างนี้ต่อไป โดยไม่แย่แส มันต้องมีอะไรดีกว่านั้นแน่นอน พระองค์จึงบอกว่า.-

“พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า” เอเมน

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระคุณของพระเจ้า เพียงพอสำหรับฉัน เอเมน จำไว้”

พูดให้ใครฟัง? ตัวเอง ตอนนี้มันจำได้  แต่ตอนที่อื้อหือ …. นะ แล้วแต่อื้อหือตรงนั้น คืออะไร ต่างคนต่างใส่เข้าไปเอง ก็แล้วกันเนอะ

การกระทำที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของเรา อย่างที่เคยพูดว่าแบบไหนใหญ่กว่ากัน ระหว่างพระเจ้าทำให้พายุสงบ เพื่อให้เราผ่านไปได้ง่ายๆ หรือพระเจ้าให้เราสงบ แล้วนำพาเราผ่านทางพายุโหมกระหน่ำอย่างหนัก แบบไหนอัศจรรย์กว่า แบบที่สองอัศจรรย์กว่า

เปาโล ผู้ซึ่งบอกเรา และแนะนำเคล็ดลับให้กับเรา ในการที่จะจดจ่ออยู่กับสวรรค์ใช่ไหม? Set your mind ตั้งโปรแกรมไว้ที่สวรรค์ อยู่กับตำแหน่งของเราในพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้จะเต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง เต็มไปด้วยชัยชนะ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์อย่างดีในเรื่องนี้ เพราะชีวิตเปาโลผ่านมาแล้ว เปาโลจึงสอนเราในเคล็ดลับตรงนี้ ให้เราตั้งจดจ่อไว้ที่สวรรค์ Set your mind above where Christ is. ก็คือตั้งโปรแกรมความคิดของเราไว้ที่สวรรค์ ตรงที่พระเยซูสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และวิญญาณของเราก็นั่งอยู่ที่นั้นด้วย  นี่เปาโลสอนเราเคล็ดลับ นี่เพราะเปาโลผ่านมา เปาโลรู้ว่านี่คือหัวใจสำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้อย่างมีชัยชนะ

อย่างตอนที่เปาโลมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เปาโลได้พบพระเยซูในระหว่างการเดินทางไปดามัสกัส ไปจับคริสเตียนมาทรมาน ตอนนั้นยังไม่ได้เชื่อ ในขณะระหว่างทางเจอพระเยซู เสร็จแล้วก็ตาบอด พอตาบอด แล้วอย่างไร?  พระเจ้าก็รักษาเปาโลให้หายจากตาบอด แบบอัศจรรย์มากเลย  มากๆ เลย ไม่ต้องเล่ารายละเอียดนะครับ เปาโลก็ดีใจมากเลย รับเชื่อพระเยซูเลย ดีใจได้รับการอัศจรรย์ใหญ่เลย ต่อมา ก็เริ่มประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู มีอยู่ครั้งหนึ่ง เปาโลถูกฝูงชนทำร้าย ข่มเหง เนื่องจากไปประกาศข่าวประเสริฐ เอาหินขว้างจนตาย  แล้วเอาศพไปโยนทิ้งนอกเมือง แล้วก็มีพวกคริสเตียนคนอื่นๆ เข้ามาอธิษฐานให้ ปรากฏว่าพระเจ้าชุบเปาโลให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ เป็นขึ้นจากตายเลยนะ เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อีกแล้ว ฟื้นจากความตายเลย ขอบคุณพระเจ้ากันใหญ่

นี่ประสบการณ์ของเปาโล เอามาเล่าให้ฟังนิดเดียว แต่จริงๆ มีเยอะ ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีเหตุการณ์อีกเยอะแยะมากมาย ที่เปาโลต้องเผชิญ หลังจากที่ได้พบพระเยซูแล้ว เชื่อในพระเยซูแล้ว อย่างเช่น เรือแตก  อดอาหาร  ติดคุก  ถูกเฆี่ยน  ทุกครั้งเปาโลก็รอดชีวิตมาได้ แบบที่เรียกว่าอัศจรรย์ทั้งนั้นเลย  สุดท้าย พระเจ้าก็บอกให้เปาโล เดินทางไปกรุงโรม ไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วเปาโลก็รู้ว่าเดินทางไปครั้งนี้  พระเจ้าบอกแล้วว่าไปเที่ยวนี้ จะได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยการถูกตัดคอ ถูกประหารชีวิต เปาโลก็เดินทางไป และก็ได้ประกาศที่นั่นจริงๆ และก็ได้เป็นไปตามนั้นจริงๆ ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยการให้เขาจับไปตัดคอ ประหารชีวิต ด้วยสันติสุขในพระเจ้า ด้วยความยินดี

นี่เปาโลคนเดียวกันนี้ ตายจริงๆ แล้วคราวนี้ ไม่ฟื้นอีกแล้ว ตายจริงๆ เลย ถามว่าตอนถูกตัดคอ พวกคริสเตียนที่รู้จักเปาโล รวมทั้งเปาโลอธิษฐานไหม? อธิษฐาน เหมือนเดิมไหม? เหมือนเดิม พระเจ้าทำอัศจรรย์กับเปาโล สมมติว่า 50 ครั้งแล้ว แน่นอน หลุดอีกแน่นอน 100% ง่ายกว่าตอนนั้นตั้งเยอะ จักรพรรดิโรมไม่สามารถทำอะไรเปาโลได้เลย  อธิษฐานๆ ในที่สุด ทำไม ในที่สุด เสร็จด้วยกัน ถูกตัดคอ แล้วคริสเตียนเหล่านั้น คิดเอาเองนะ คริสเตียนเหล่านั้น ก็คงไม่รู้จะพูดอะไรกัน ทำไมมันเป็นอย่างนี้แหละ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ นี่คือทางของพระเจ้า ซึ่งเปาโลเอง ก็พร้อมที่จะตาย เพราะเขาพูดอย่างนั้นแล้ว เขาพร้อมที่จะตาย เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะเขารู้วิธีการที่จะขอบคุณพระเจ้า  เขารู้วิธีการที่จะตั้งความคิดไปไว้ที่โลกฝ่ายวิญญาณ … โลกฝ่ายวิญญาณคือที่ไหน?  ที่สวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และเขาอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เขามอบให้พระองค์ทุกอย่าง เอเมน

นี่แหละ คำพยานอันยิ่งใหญ่ของเปาโล ไม่ใช่คำพยาน คือฆ่าก็ไม่ตาย ไม่ใช่ สุดท้ายทำไม? ไม่ต้องจับ เดินไปให้เขาจับเลย ให้เขาฆ่าให้ตาย ก็เหมือนพระเยซู คล้ายๆ กัน เพราะว่าเขารู้แล้วว่าคืออะไร? หลุดไปแล้ว ไม่กลัวเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดแบบมนุษย์ มองด้วยสายตาแบบมนุษย์ เราอาจบอกว่าไม่เห็นอัศจรรย์ตรงไหนเลย การที่เปาโลตาย  ไม่เห็นอัศจรรย์เลย  ไม่เห็นถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย ถวายเกียรติแด่พระเจ้าต้องเหมือนเดิมสิ พอถูกฟัน คอกระเด็นไป คอกระเด็นกลับเข้ามาใหม่ เดินออกมา อย่างนี้สิ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อ้าว! ตอนถูกหินขว้างยังเป็นขึ้นมาใหม่ได้ แล้วทำไมตอนนี้ถูกตัดคอไป ใครเอาคอมาต่อให้หน่อย คงถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากกว่านี้อีกเยอะ แล้วคิดอย่างนั้นในสายตาแบบมนุษย์ นี่คือวิธีการแบบมนุษย์ คิดแบบมนุษย์ ที่ตะกี้เราพูดกันว่า.-

“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด ความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเรา มนุษย์ฉันนั้น”

ตะกี้เราหัวเราะ จริงๆ เราคิดแบบนั้นบ่อยๆ หัวเราะตัวเอง บอกว่าหัวกระเด็นไป เอาหัวกระเด็นกลับมา หัวเราะคริๆ แล้วบางทีท่านทั้งหลาย บางครั้ง ทุกวันนี้อธิษฐานอะไรบางอย่าง จะให้พระเจ้าทำอัศจรรย์ยากกว่านี้อีกเยอะนะ ท่านก็ยังอธิษฐานอยู่เลย

เพราะฉะนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองมุมไหน? มุมแบบมนุษย์ คือมองด้วยตาทางฝ่ายเนื้อหนัง มองทางฝ่ายวัตถุ มองตามระบบของโลกนี้ หรือมองตามตาฝ่ายวิญญาณที่เปิดออก ตั้งความคิด จดจ่อ จับจ้อง Set mind ไว้ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และวิญญาณของเรา ก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วยเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรามองตรงตำแหน่งไหน? เราอยู่เวทีไหน?  เวทีบนโลกนี้  หรือเวทีในสวรรค์ เวทีบนโลกวัตถุนี้ หรือเวทีบนโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ตรงไหน? เราชกกับมาร ชกกับความบาป  อยู่ตรงไหน? อยู่เวทีไหน?

นี่คือสิ่งที่เปาโลได้ตั้งความคิดของเขา ก็คือ Set mind ของเขาไว้ที่นั้น คือที่โลกฝ่ายวิญญาณ เขาจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ในทุกสถานการณ์ และมีสันติสุข มีความชื่นชมยินดี มีความสงบสุข มีความพอเพียงได้ในทุกสถานการณ์ เพราะว่าเขาตั้งความคิดของเขาไว้ จดจ่อของเขาไว้ ชีวิตของเขาไว้ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน หรือเรา หรือเปาโล หรือผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว นั่งอยู่กับพระเยซู เราอยู่ในพระเยซู

“แค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ”

แค่หลับตา เราก็ไปอยู่บนนั้นแล้ว เอเมน เพราะฉะนั้น มีอะไรเกิดมาตอนนี้ ทำอะไร? หลับตา แค่หลับตา แล้วคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ตั้งความคิดเราไปที่สวรรค์สถาน  ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะเราอยู่ที่นั้น ที่นั่นเราชนะ 100% ถ้าเราไม่ตั้งที่นั้น เราตั้งบนโลกนี้ เรา … ภาษาจีน เขาเรียกว่าซี้แหงแก๋ … ชีช้ำ … ชีช้ำ แปลว่าอะไร? น่าสงสาร

เพราะฉะนั้น อย่าเลย เราอุตส่าห์มาเชื่อพระเยซูแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตั้งตรงนั้น ตรงนั้นเราชนะตลอด 1 เธสะโลนิกา 5:18 เปาโลจึงเขียนคำนี้ บอกเรามาตลอด ให้ Set mind หรือตั้งโปรแกรม จดจ่อไว้ที่สวรรค์แล้ว มันจะออกมาเป็นอย่างนี้ คือ 1 เธสะโลนิกา 5:18 บันทึกอย่างนี้ คือ.-

1 เธสะโลนิกา 5:18 “จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ในพระเยซูคริสต์”

 

เอเมน … เปาโลผ่านมาเยอะ เปาโลรู้ว่าถ้าเราตั้งความคิดของเราไว้ที่พระเยซูคริสต์ ตั้งความคิด จดจ่อไว้ในเบื้องบน ในสวรรค์ ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวา แล้วเราอยู่ที่นั้นด้วย ตั้งความคิดของเราจดจ่อไว้ที่โลกวิญญาณ เราจะสามารถพูดออกจากปากของเรา ในทุกสถานการณ์ว่าขอบคุณพระเจ้า มิฉะนั้นเราขอบคุณไม่ออกหรอก ถ้าเราจะมองอยู่แค่บนโลกนี้ เราช็อคอยู่บนโลกนี้ เราโดนมันซัด โดนมันฮุกซ้าย ฮุกขวา ฮุกหน้า ฮุกหลัง จนเราบอกว่า.-

“พระเจ้าช่วยด้วย”

แทนที่เราจะบอกว่า “ขอบคุณพระเจ้า”

เราก็จะบอกว่า “ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมอย่างนั้น อย่างนี้ ทำไมแย่จริงๆ เลย ชีวิตเราลำบากลำบนจังเลย”

อะไรถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากกว่า มันก็ไม่มีอะไรเลย เพียงแต่ว่าเรารู้เคล็ดลับว่าเราควรจะสู้ที่ไหน? เวทีเราอยู่ที่ไหน? เวทีเราอยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคริสเตียนอยู่บนโลกใบนี้ เราแพ้หลุดลุย แพ้แบบไม่ได้ถวายเกียรติต่อพระเจ้าด้วย แล้วทุกข์ทรมานด้วย แน่นอน เราอาจจะได้รับความรอด ไปสวรรค์จริง แต่ชีวิตบนโลกนี้ มันทุกข์ทรมาน แล้วมันไม่ได้เป็นพยานให้กับใครเลย  คนที่เป็นคริสเตียนหลายคน หลายคนในอดีตมา จนถึงทุกวันนี้  เราจึงเห็นอัศจรรย์ในชีวิต แต่ทำไมเขาทำได้ ขนาดคนจับเขาไปตรึงกางเขน จับเขาไปเผาไฟ เขาเฉยๆ เลย  แสดงว่าเขาฝึก พระเจ้าให้เขาฝึก เขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในอนาคตอันใหญ่นี้ พระเจ้าฝึกเขาจนกระทั่งเขาพุ่งไปที่โลกวิญญาณได้อย่างชัดเจนแจ่มใส ให้ทำอะไรบนโลกใบนี้ เชิญทำไปเลย เขาชนะไปแล้ว เพราะเขาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาขอบคุณพระเจ้าได้ในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น เราทำได้เหมือนกับเขาเหมือนกัน เพราะพระเจ้าจะเสริมกำลังให้กับเรา ตามหน้าที่ของเรา ที่จะทรงใช้เราในอนาคต ตามที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:8-9 ที่บอกว่าพระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เราได้พระคุณความรอด เพื่อเราจะได้กระทำดีตามน้ำพระทัยของพระองค์ … พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่รู้ ทำอะไรไม่รู้ แต่พระองค์จะให้กำลังกับเราสามารถทำให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เอเมน

เพราะฉะนั้น เหมือนเพลงขอบพระคุณ ที่เราร้องกันบ่อยๆ ว่าให้เราขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ทุกสถานการณ์ เราขอบคุณพระเจ้า ในยามที่เรามีความสุขก็ได้ หรือในยามที่เรามีทุกข์ ก็ยิ่งดี ไม่ใช่ทุกข์ดีนะ หมายความว่ามันหมายถึงเรามีความทุกข์ แล้วพึ่งพระเจ้าได้ดี ไม่ใช่เราเป็นพวกซาดิสต์อยากจะมีความทุกข์ ไม่ใช่ หมายถึงว่าถ้าจำเป็นต้องมีความทุกข์ เรายังขอบคุณพระเจ้าได้ นี่ดี … ดีกว่า ซึ่งว่าไปแล้ว เราควรขอบคุณพระเจ้าในยามที่เรามีความทุกข์มากกว่าตอนมีสุขด้วยซ้ำ เพราะตอนมีสุข ให้ขอบคุณพระเจ้านั้น ใครๆ ก็ทำได้ ไม่รู้ว่าคนนี้เชื่อพระเจ้าจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่สามารถพิสูจน์ว่าคนนี้เชื่อพระเจ้าได้หรือไม่ เพราะใครๆ ก็สามารถทำได้อย่างนี้ ได้ดีมา ก็ขอบคุณพระเจ้า แต่ตอนที่ไม่ดี ในสายตามนุษย์ไม่ดี ตามสถานการณ์ของมนุษย์บนโลกใบนี้ ตามวัตถุสิ่งของบนโลกนี้ เขาเรียกว่าไม่ดี แต่คนนั้นยังสามารถ ขอบคุณพระเจ้าได้ อันนี้เยี่ยมมากเลย ถูกไหม?

ในตอนที่เราต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบาก แล้วพระเจ้านำพาเรา ให้เรามีกำลัง มีความสงบ สันติสุข ที่จะเดินผ่านความทุกข์นั่นไปได้  ตรงนี้แหละเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่เราสมควรต้องเรียกว่าขอบพระคุณเป็นอย่างมากกว่า ยิ่งกว่า ยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ

เคล็ดลับอยู่ที่ไหน? ทั้งหมดนี้ เคล็ดลับอยู่ที่ไหน? ที่เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ ทุกพื้นที่ชีวิต เคล็ดลับอยู่ที่ตั้งความคิดของเราไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นใครในพระคริสต์

ให้พูดพร้อมกันว่า “ฉันเป็นใครในพระคริสต์ ฉันเป็นใครในพระคริสต์”

ท่านลองพูดแบบเย่อหยิ่งมากๆ สิ เย่อหยิ่งในวิญญาณนะ ไม่ใช่ทางวัตถุ ท่านลองพูดแบบเย่อหยิ่ง

“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ รู้ไหม? ความทุกข์จะมาทำอะไรฉันได้”

เข้าใจใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ ฉันเป็นใคร? แล้วก็เบ่ง อันนั้น มันทางโลกวัตถุ ตายแน่เหมือนกันซี้แหแก๋ นี่หมายถึงทางโลกวิญญาณ ให้พูดด้วยความเย่อหยิ่งในวิญญาณที่ถูกต้อง

“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มาเลยปัญหา ถ้าพระเจ้าให้เกิดปัญหาขึ้น ฉันสามารถฟันฝ่าไปได้ เอเมน ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในวิญญาณของฉัน รวมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียว ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

นี่คือเคล็ดลับ นี่แหละคือเคล็ดลับ ในการที่จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และผ่านทุกสถานการณ์ในชีวิต ที่พระเจ้าจะนำพาเราผ่าน เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ โดยจากข้างในวิญญาณ ซึ่งพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเรา และทรงนำวิญญาณของเรา ที่เราจะสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ ตามน้ำพระทัยพระองค์ ที่พระองค์จะทรงใช้เรา กระทำสิ่งดี ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรา ล่วงหน้าไปแล้ว ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ และเมื่อนั้น เราก็จะสามารถร้อง เหมือนที่เปาโลบอก ในขณะที่ทุกข์ยากได้ว่า.-

“โปรดให้ลูกขอบพระคุณ  ไม่ว่าลูกจะเจออะไร”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 10 “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 10 “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้ ก็เป็นตอนที่ 10 แล้วนะ ก่อนเข้าเรื่องตอนที่ 10 เราต้องมาทบทวน และทำหน้าที่ตั้งชื่อตอนที่ 9 ก่อน เพราะว่ายังไม่มีชื่อตอนเลย ฟังกันไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาทบทวนนิดหนึ่ง แล้วก็มาช่วยกันตั้งชื่อกัน ซึ่งจริงๆ ผมตั้งไว้แล้วล่ะ เคยได้ยินไหมครับ อยากตั้งอะไร เชิญเลยนะครับ แต่ผมจะตั้งอย่างนี้ คือตั้งในใจไปแล้ว แต่อาจจะตั้งใหม่ก็ได้นะ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเน้นกันไปแล้ว มัทธิว 5:17-18 ที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่พระองค์บอกว่าพระองค์มาเพื่อทำให้บทบัญญัติสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ มัทธิว 5:17-18 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า.-

มัทธิว 5:17-19 “17 อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน”

 

บทบัญญัติเดิมที่พระเยซูได้ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส กำหนดไว้ว่ามนุษย์ทุกคน ต้องรักษาตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป นี่คือรวมแล้ว คือกฎของโมเสสที่พระเจ้าวางไว้ คืออย่างนี้  เพราะอะไร? เพราะว่าพระเจ้าทราบว่าทำอย่างนี้ จึงจะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ สามารถเข้าไปหาพระเจ้าได้ สามารถได้พร สิ่งที่ดีๆ จากพระเจ้า เพราะเข้าไปหาพระเจ้า ก็ได้พรไง นึกออกใช่ไหม? นี่คือกำหนดไว้อย่างนี้  แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่ปราศจากบาป ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สะอาดและบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้อย่างสนิทชิดเชื้อ เป็นหนึ่งเดียวกัน ได้พรเต็มที่ ตามที่พระองค์ต้องการให้เขาได้รับ ไม่มีเลย  ได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เศษเสี้ยวเท่านั้นเอง เท่าที่คนนั้นพอจะทำได้ ตามบัญญัติที่บอกไว้

ยกตัวอย่างเช่น ฆ่าคน และเยอะแยะอีกมากมาย อีกหลายกฎ นี่เห็นไหม? นี่คือบทบัญญัติ ที่พระเยซูบอก พระองค์ไม่ได้มาทำให้บทบัญญัตินี้เสียไป ยังคงเหมือนเดิม เหมือนอย่างไร เดี๋ยวฟังต่อไป และไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สะอาดบริสุทธิ์ และปราศจากบาปใช่ไหม?  ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สามารถเข้าหาพระเจ้า หรือติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยลักษณะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย  สนิทชิดเชื้อกับพระองค์อย่างนั้น ไม่มีเลย  เพราะฉะนั้น บทบัญญัติจึงไม่สามารถทำให้มนุษย์บริสุทธิ์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเจ้าต้องการได้ ถูกหรือไม่ถูก? พระเจ้าวางกฎไว้อย่างนี้ แต่มนุษย์ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น กฎต่างๆ เหล่านั้น จึงไม่สามารถทำให้มนุษย์ได้ครบถ้วนบริสุทธิ์ตามที่พระเจ้าต้องการ

นี่คือความหมายที่พระเยซูบอกเมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ พระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างบทบัญญัติเหล่านั้น เพราะบทบัญญัติเหล่านั้นยังคงอยู่ และทุกสิ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัตินั้น คือบทบัญญัติที่บอกว่ามนุษย์ต้องบริสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะหาพระเจ้าได้ บทบัญญัตินั้นยังคงอยู่หรือไม่อยู่? อยู่ ไม่ได้มาลบล้างนะ พวกเธอต้องบริสุทธิ์ ก็ต้องบริสุทธิ์อยู่นั่นแหละ ฟังให้ดีๆ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงไม่ได้ตามนั้น มันไม่มีทางสำเร็จได้ตามนั้น พระองค์จึงจำเป็นต้องเข้ามา เพื่อช่วยให้บทบัญญัตินั้น สำเร็จตามที่พระเจ้าต้องการ และเกิดผลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็คือพระเยซูทรงเข้ามา เพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ได้กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ปราศจากบาป  ผ่านทางการเสียสละ ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์นั่นเอง และผลก็คือมนุษย์ เมื่อได้รับการชำระ ได้รับการไถ่บาป โดยพระเยซูคริสต์เกิดอะไรขึ้น ผลก็คือมนุษย์บริสุทธิ์ขึ้นมาทันทีเลย สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ตามที่พระเจ้าต้องการ จึงทำให้บทบัญญัติ ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ว่ามนุษย์ต้องบริสุทธิ์นั้น มันสำเร็จ เห็นไหม พระเยซูบอก พระองค์มา ทำให้เขาสำเร็จ มันก็สำเร็จอย่างนี้แหละ มันสำเร็จตามที่พระเจ้าประสงค์ คือมนุษย์บริสุทธิ์ สามารถเข้าหาพระเจ้าได้แล้ว นี่คือความหมายที่พระองค์บอกว่ามา เพื่อทำให้บทบัญญัติครบถ้วนบริบูรณ์ เอเมน

บนไม้กางเขน พระองค์จึงบอก “It  is  finished” คือมันเสร็จครบถ้วน บริบูรณ์แล้ว มันสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” นั้น  ก็คือบทบัญญัติที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ต้องบริสุทธิ์นั้น มันสำเร็จได้แล้ว คือบริสุทธิ์ มนุษย์บริสุทธิ์ได้  มีโอกาสบริสุทธิ์ได้แล้ว

และที่เราย้ำกันมาตลอดว่าพระเยซูได้ชำระล้างเราให้บริสุทธิ์แล้ว มันก็คือบริสุทธิ์จากที่ไหน? ข้างในวิญญาณของเรา เราจึงพูดกันเสมอว่าคริสเตียนต้องบริสุทธิ์จากข้างใน คริสเตียนไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้จากข้างนอก ไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้จากพ่อแม่ ไม่สามารถเป็นคริสเตียนจากการเรียน และพยายามที่จะสอบให้ได้ปริญญาตรีทางศาสนาศาสตร์คริสเตียน ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องมาจากข้างใน โดยความเชื่อเท่านั้น และก็มีผลออกมาที่ข้างนอก ข้างในต้องสะอาดก่อน แล้วจึงออกมาข้างนอก วิญญาณภายใน เป็นวิญญาณที่ต้องดีเสียก่อน แล้วจึงสะท้อนออกมาเป็นการกระทำความดีข้างนอกต่อมา ไม่ใช่พยายามทำความข้างนอก เพื่อไปล้างข้างใน สัปดาห์ที่แล้ว เราได้อธิบายตรงนี้ไปนิดหนึ่ง

ถ้าเริ่มจากข้างนอก ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? ถ้าเริ่มจากข้างนอก ทำดีขนาดไหน? เท่าไร? ก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปชำระล้างวิญญาณข้างในได้ และการที่จะทำให้วิญญาณข้างในบริสุทธิ์ มนุษย์ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว มนุษย์จึงต้องทำไม? พึ่งพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ไบเบิลจึงได้บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ว่าพระเยซูเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู การเสียสละพระชนม์ของพระองค์ มีเพียงพระคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น ที่บันทึกไว้อย่างนี้ว่ามีทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะบริสุทธิ์ได้ คือทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำ นี่เราหลายคนก็รู้ดี ได้ยินอยู่บ่อยๆ

นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้กันไป สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 9 ซึ่งเราจะใช้ชื่อตอนว่า “จากข้างใน มาข้างนอก” เห็นไหม ตั้งไปแล้ว ท่านตั้งหรือยัง? ตกลงชื่อตอนครั้งที่แล้ว ชื่ออะไร? “ข้างใน มาข้างนอก”

พูดพร้อมกันสิ ตอนที่แล้วชื่อตอนอะไร? “จากข้างใน มาข้างนอก”

เห็นไหม? ทุกท่านตั้งพร้อมผมเลย ทุกคนบอกตั้งชื่อนี้ดีกว่า คนมาฟังคำเทศนาซีรี่ส์ชุดนี้ คนงง พวกเราเสมือนมีโค๊ดอะไรกันในคริสตจักรนี้  ก่อนหน้านี้มีอะไรนะ ตั้งชื่ออะไรนะ “นั่งเครื่องบิน”  “กระเทียมดอง”  “แค่หลับตา”  “ปลูกแตงโม”  ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง แล้วมาคราวนี้ “จากข้างใน มาข้างนอก” ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่างหนึ่ง เราตั้งใจแล้ว รู้แล้วไงว่าที่สอน ที่เทศน์ ที่บรรยายไปทั้งหมดนี้ เข้าใจไหม?  ไม่เข้าใจอยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจเลยนะ ให้ฟังไปอย่างนั้นแหละ แต่ให้เชื่อ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวกับวิญญาณที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งนั้น ซึ่งต้องใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ใช้ความเข้าใจ … เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ตั้งชื่ออะไรก็ได้ ตั้งไปเถอะ แต่ตั้งให้มันกลมกลืนนิดหนึ่ง

และวันนี้ เราก็จะมาคุยกันต่อถึงประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน อย่างนี้มันเป็นอย่างไร? อย่างที่เราบอกว่าเราเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ มันหมายถึงอะไร? เราเป็นใครในพระคริสต์ ตอนที่ 10 ชื่อตอนตั้งไปเลยนะ ฟังแล้วตั้งไปเลยนะ แล้วสัปดาห์หน้า เรามาลงมติอีกทีหนึ่งว่าจะใช้ชื่ออะไร? ซึ่งลงมติที่ไร ก็ตรงกันทุกทีเลยนะ ไม่มีใครแย้งสักคน

เริ่มต้นตอนที่ 10 ยังจำเรื่องเครื่องบินได้ใช่ไหม? ที่เราย้ำกันไปย้ำกันมา จำได้ใช่ไหมเรื่องเครื่องบิน ที่บอกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้มนุษย์สามารถบินไปไหนมาไหน? บินไปไกลๆ ไปไหนได้ โดยการนั่งในเครื่องบิน โดยการอาศัยในเครื่องบิน อาศัยเครื่องบินที่ทำการ กิจการในกฎของการยกขึ้น  ซึ่งมันชนะกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้เครื่องบินลอยอยู่ในอากาศได้

นั่งอยู่ในเครื่องบินเฉยๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าคอยกางแขน ช่วยกัปตันในการบินไปด้วยกัน มีใครนั่งในเครื่องบิน แล้วช่วยกัปตัน ไม่มี ชีวิตคริสเตียนหลายคนเป็นอย่างนี้จริงๆ คือชอบช่วยกัปตันบินครับ นั่งเครื่องบินเฉยๆ ไม่ได้ ต้องช่วยเขาบินด้วย คือพวกไหน? ทราบไหมครับ? ถ้าพูดอย่างนี้ คิดไม่ออก ช่วยกัปตันบินอย่างไร? กัปตันของเรา คือใคร ถ้าพูดในทางพระเยซูคริสต์ กัปตันของเรา ก็คือพระเยซูคริสต์ มีใครช่วยพระเยซูบ้าง? ช่วยพระเยซูนำเรา มีไหม? ไม่มีเหรอ เอ๊า! ฟังดูสิ ยกตัวอย่าง

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องพยายามทำตัวเองให้ชอบธรรมมากขึ้น”

เคยคิดอย่างนี้ไหม? ไม่เคยจริงๆ เหรอ  แล้วเคยคิดอย่างนี้ไหม?

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องทำให้ตัวเองบริสุทธิ์มากขึ้น โดยทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันดี”

เคยคิดอย่างนี้ไหม?  เคยน่า หรือเคยคิดไหม?

“ฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ฉันต้องออกไปรับใช้เยอะๆ”

หรือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องนำคนมาเชื่อพระเจ้ามากๆ”

โดนไม่โดน? โดนในอดีต ตอนนี้อาจจะหลายคนจะเปลี่ยนไป  หรืออีกอันหนึ่ง

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องดำเนินชีวิตคริสเตียน แบบครบถ้วนบริบูรณ์”

โดนไหม? โดน จะบอกให้นะครับ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ดำเนินชีวิตคริสเตียน ได้แบบครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุดเลย แล้วได้อย่างแท้จริงเลย  และผู้นั้นอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้นั้น คือพระเยซูคริสต์ ที่สามารถดำเนินชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง อย่างนั้นได้

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงได้บอกเคล็ดลับให้กับเรา โดยการให้เราทำอะไร? จดจ่อ ปักใจ ตั้งความคิด Set your mind ก็คือตั้งความคิด ตั้งโปรแกรมไว้ที่ไหน? ตะกี้นี้ ที่บอกมีคนเดียวที่ทำได้ มีผู้เดียวที่ทำได้ ไว้ที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และเราทั้งหลายนั่งอยู่กับพระองค์ที่นั่น และอยู่ในพระองค์ ให้เราอยู่ตรงนั้นแหละ ให้พระองค์นำเราไปด้วย เหมือนเรานั่งในเครื่องบิน คล้ายๆ อย่างนั้น เอเมน

ให้พระองค์นำพาชีวิตของเรา ทุกพื้นที่ชีวิต แล้วเราจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข ตามที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราสามารถทำได้ และอยากให้เราเป็นอย่างนั้น เอเมน ให้พระเยซูนำ จำเพลงที่เราร้องกันได้ไหม? จำแม่นหรือเปล่า?

“พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

ไม่มีอำนาจ มืดใดรังครวญ

พระองค์กลับมา เพื่อรับข้าไป

ข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์พระคริสต์

ข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์พระคริสต์”

“ข้าจะยืนหยัด” นี่คืออะไรรู้ไหม? ข้าจะตั้งโปรแกรมของข้าไว้ที่ Power ของพระคริสต์ ความสามารถ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ ข้าจะจดจ่อ ปักใจ ดำเนินชีวิต มันหมายถึงข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์ ถามว่ายืนหยัดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ไม่ว่าพระองค์จะกลับมารับข้าไป คือเราตายจากโลกนี้ หรือเรายังไม่ตาย พระองค์กลับมาก่อน ได้ทั้งสองอย่าง ให้พระองค์ทรงนำ เราจะไม่นำตัวเราเอง หรือไม่ช่วยพระองค์บิน เราจะคอยตามพระองค์อย่างเดียว  เอเมน

ในหนังสือโรม ได้บันทึกไว้ว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาในความตายของพระองค์แล้ว ในโรมอธิบายตรงนี้ว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์แล้ว คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว โดยวิญญาณของเรา ก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ร่วมกับพระองค์ อ่านดูในโรม 6:3-6 จะเห็นภาพชัดเจนว่าวิญญาณเราเป็นอย่างไรตอนนี้ อะไรที่มันตายไป? อะไรที่มันบังเกิดใหม่? อะไรที่มันเหมือนพระเยซู? โรม 6:3-6

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา เข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม ในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

 

เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ ถูกฝังไปแล้วกับพระคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เหมือนกับพระคริสต์ โอโห้! มีส่วนรวมกับพระองค์ ในการตาย และมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย ตรงนี้สำคัญมาก รวมความ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แยกกันไม่ออก พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้นด้วย เหมือนตัวอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม?  เหมือนถุงชาใช่ไหม? ถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำ เราก็จะได้น้ำชา ถุงชากับน้ำได้กลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ถึงแม้เราจะหยิบถุงชาออกมาทีหลัง เราก็ไม่สามารถแยกน้ำร้อนกับชาได้จากกันอีกแล้ว เพราะทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

แล้วก็เหมือนชานะครับ มันมีทั้งเข้มและอ่อน แต่อย่างไงๆ ทั้งอ่อนและเข้ม ก็เป็นชาเหมือนกันทั้งนั้น เป็นหนึ่งเดียวกัน เราอาจจะเป็นคริสเตียน แบบชาอ่อน หรือเป็นคริสเตียนแบบชาแก่ก็ตาม จะเป็นอ่อนหรือแก่ก็ตาม แต่เราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณเราไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเป็นคริสเตียนจริงๆ ในวิญญาณของเรา ทันทีที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เราไม่ใช่น้ำหรือใบชาอีกต่อไป แต่เราเป็นน้ำชา หรือที่ผมยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง พูดกันจนจำได้แล้ว ก็คือเราเป็นกระเทียมดอง

พูดพร้อมกันจะได้จำแม่นดี “เราเป็นกระเทียมดอง”

“เราเป็นกระเทียมดอง” ก่อนเป็นกระเทียมดอง เราเป็นกระเทียมสด แล้วตอนนี้ เป็นอะไร? กระเทียมดอง แล้วจะกลับเป็นกระเทียมสดได้อีกไหม? ไม่ได้แล้ว ฉันใดฉันนั้น กระเทียมดองที่เราคุยกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเมื่อกระเทียมสดถูกกลายสภาพเป็นกระเทียมดองแล้ว มันจะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย อันนี้ไม่ต้องถามแม่บ้านเลย ใช่หรือไม่ใช่? ใช่แน่นอน

ฉันใด ก็ฉันนั้น เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว เชื่อในพระเจ้าแล้ว จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว บัพติศมา คือจุ่มลงไป ท่านก็ไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว จำไว้เลย ท่านไม่ใช่คนเก่าที่ต้องพยายามทำดีด้วยตัวเองอีกต่อไป ท่านได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง เป็นไทจากบาป โดยสมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เอเมน นี่คือความหมายของมันเมื่อตะกี้นี้ มันเชื่อยาก ต้องพูดให้ตัวเราฟังเยอะๆ พูดบ่อยๆ จดจ่อความคิดเราอยู่ตรงนี้ เรื่อยๆ นี่คือเรื่องจริงของธรรมชาติ ของฝ่ายวิญญาณที่มันบังเกิดขึ้น และพระคัมภีร์สอนเราเรื่องวิญญาณทั้งนั้น 2 โครินธ์ 5:17 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่าเมื่อเกิดอย่างนี้ขึ้นแล้ว สภาพทางวิญญาณเราเป็นอย่างไร?

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

 

อ่านตามผมดังๆ “ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

“นี่แน่ะ” ชี้ไปที่ใคร? ชี้ไปลึกๆ เลย ที่ไหน? วิญญาณของเรา เอาใหม่อีกทีหนึ่ง

“ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป หมดเลย นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

กำลังจะบอกว่าวิญญาณใหม่ทั้งนั้น โอเค วิญญาณเดิม แต่มันบังเกิดใหม่ ไม่ใช่วิญญาณใหม่ … แต่ว่าตัวเก่าเปลี่ยนเป็นใหม่ ไม่ใช่ เอาอันใหม่มาใส่ เปลี่ยนใหม่เอี่ยมเลย จากวิญญาณที่ตาย เป็นวิญญาณใหม่ นี่คือข้อความตะกี้นี้ ถ้าผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้นั้น ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ สิ่งสารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป ท่านไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว ท่านเป็นวิญญาณที่ทรงสร้างใหม่แล้วในพระคริสต์ ท่านได้กลายสภาพจากคนบาป กลายมาเป็นลูกของพระเจ้าทันที มันจึงเชื่อยากไง

จากคนบาป กลายเป็นบาปเหลือครึ่งหนึ่ง ก็ยังดี นี่จากคนบาป กลายเป็นลูกพระเจ้า มันห่างกันมาก เขาถึงจับพระเยซูไปตรึง แล้วก็จับสาวกของพระเยซู ตั้งแต่เปโตรและอีกหลายคน ที่ประกาศตอนนั้น ไปทรมาน หาว่าไปหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาไม่เข้าใจในตอนนั้น แต่ความจริงได้ถูกประกาศมาถึงทุกวันนี้ ใครๆ ก็เริ่มรู้จักเรื่องนี้เยอะแยะมากมาย จนกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่พระเจ้านำทางวิญญาณแล้ว  ไม่ยาก แต่อย่างที่บอก ต้องเห็นใจจริงนะ ใหม่ๆ มามันรับยาก ถ้าท่านคนเก่า ซึ่งเป็นคนบาป  ก่อนที่จะเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะรับสิทธิ์ของท่านในพระเยซูคริสต์ ท่านยังไม่มาเชื่อ ท่านยังไม่มารับสิทธิ์ของท่าน ตอนนั้นท่านเป็นคนเก่า ตามข้อพระคัมภีร์นี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระคริสต์ ก็คือวิญญาณท่าน ตอนที่พระเยซูตาย  เท่ากับท่านได้ตายไปด้วย  พระเยซูเป็นตัวแทนให้ท่าน และได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว รวมกับพระคริสต์ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านมีสิทธิ์เป็นตามเหมือนพระองค์ด้วย มันหมายถึงเป็นตัวแทนให้กับเรา มนุษย์ทุกคน ทำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่  ที่มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าได้ เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาป ซึ่งท่านได้รับมาโดยพระคุณ ไม่ต้องกระทำ ไม่ใช่โดยการกระทำของตัวท่านเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โดยพระคุณ คือโดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่เป็นตัวแทนให้กับเรา โดยที่ท่านไม่ต้องตาย พระองค์ทรงตายแทนเรา มันหมายถึงตรงนี้

ซึ่งทั้งหมดนี้  ถ้าท่านคิดว่านะ ท่านสามารถแสวงหาด้วยตัวเองได้ หรือคิดว่าสามารถพยายามทำด้วยตัวเองได้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งในองค์พระเยซูคริสต์ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้ ท่านไม่ต้องพึ่งพระองค์เลย แต่ถ้าท่านคิดว่าท่านไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ท่านก็จงปล่อยวางและมอบให้พระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงทำให้กับท่านทั้งหมดในชีวิตของท่านเถิด ลองพระองค์เลย ลองในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงทดลองแบบอย่างนั้นนะ หมายถึงว่าในเมื่อเราทำไม่ได้ นี่บอกมีทางออกอยู่ทางหนึ่ง พระเยซูทำให้ได้ … เอ๊า! ดูสิว่ามันเป็นจริงหรือไม่? มันหมายถึงอย่างนี้ พิสูจน์เลย พิสูจน์ดีกว่า พิสูจน์เลยว่าจริงหรือไม่? บางทีเรานั่งอยู่ที่นี่ รู้จักแล้ว มันเป็นอย่างนี้จริงๆ สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ลองดูสิ พิสูจน์ดูสิว่ามันเป็นจริงไหม?  ลองมาศึกษาดู เขาเรียกว่าทดสอบพระเจ้าดู พิสูจน์พระเจ้า พระองค์อยู่ที่นี่แล้ว รอคนมาพิสูจน์เท่านั้น

พระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำพาท่านและมนุษย์ทุกคนพบกับชีวิตใหม่ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองเลย ย้ำอีกที พระองค์สามารถนำพาท่านมาสู่ชีวิตใหม่ โดยที่ท่านไม่ต้องทำด้วยตัวเองเลย ย้ำอีกทีหนึ่ง ไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองเลย ซึ่งในอดีต เราพยายามทำด้วยตัวเราเองมาโดยตลอด เพื่อทำให้เราบริสุทธิ์ ทำให้เราครบถ้วน

นี่คือความหมายที่บอกว่าการอยู่ในพระคริสต์ ก็คือการมอบชีวิตไว้กับพระองค์ พึ่งพาพระองค์ ในทุกพื้นที่ชีวิต ในทุกขณะจิตนั่นเอง นี่คือความหมายของคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” จดจ่อ มอบชีวิต พึ่งพาพระองค์ทุกอย่างๆ มันหมายถึงอย่างนี้

เชื่อและวางใจให้พระคริสต์นำพาชีวิตของเรา ในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ สถานการณ์ เหมือนกับเวลาที่เรานั่งเครื่องบิน ที่ตะกี้นี้บอก เรานั่งเครื่องบิน เราก็เชื่อวางใจในกัปตันว่าจะนำพาเราไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยได้  โดยที่เราไม่ต้องช่วยบิน ไม่ต้องช่วยลุ้น ไม่ต้องช่วยดูแผนที่ ไม่ต้องทำตัวเองเหมือนกับว่าเรากำลังควบคุมเครื่องบินด้วยตัวเราเองตลอด ขณะที่นักบินเขาก็อยู่ที่ห้องบิน เราผู้โดยสาร นั่งอยู่ข้างหลัง ก็ทำท่าบินกับเขาด้วย ขำเนอะ แต่พอนึกถึงวิญญาณ นึกถึงความเป็นจริงในชีวิตคน หลายครั้งเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เอาใหม่ คิดใหม่ เราจะไม่ทำอย่างนั้นนะ  ทางวิญญาณมองมา เราคงเป็นตัวตลกนะ

สมมติเราขึ้นเครื่องบิน ใครคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ทำท่าบิน เราก็จะบอกว่าคนนี้ เพี้ยนๆ ยังไง ชอบกล

พอเครื่องบินจะออก กัปตันก็จะประกาศว่า.-

“ขณะนี้เครื่องบินกำลังจะออกแล้ว ขอให้ผู้โดยสารนั่งประจำที่ สบายๆ จะนอนหลับ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือก็ดูไป เพราะเราเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว”

เมื่อจะถึงที่หมาย กัปตันก็จะประกาศว่า “เราจะบอกท่านอีกครั้งหนึ่ง จะถึงที่หมายภายใน 15 นาทีนี้ ให้เตรียมตัว อาบน้ำ อาบท่า ไปแปรงฟัน ล้างหน้าให้เรียบร้อย เครื่องบินกำลังจะลงแล้ว ถึงที่หมายแล้ว”

แต่ก็ยังมีผู้โดยสารบางคน ที่ตะกี้นี้บอกนั่งโดยสายอยู่ กังวลไปตลอดทาง คอยจับเก้าอี้ไว้แน่นตลอดเวลา สั่นทั้งตัว กลัว เครื่องสั่นที่หนึ่ง ก็ตกใจทีหนึ่ง เครื่องบินตกหลุมอากาศทีหนึ่ง ก็ร้องเอะอะโวยวายขึ้นมา ท่านลองคิดดู ไม่กล้าทานอาหารที่เขาให้มา ไม่กล้านอน ไม่กล้าทำอะไร คอยกางแผนที่เช็คเส้นทางตลอดว่าไปตรงหรือเปล่า?

ปรากฏว่าพอเครื่องบินถึงที่หมาย ลงจอด ผู้โดยสารคนนี้ถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เพราะเครียดจัด ความดันขึ้นสูง กลัวตลอดทาง เหนื่อย ฟังดู มันน่าขำนะ แต่ประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียนบางคน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเองก็เคยเป็นอย่างนั้น  ผมถึงรู้ไง มันหมายถึงอะไร? เป็นอย่างนั้นเลย  เปรียบเทียบชัดเลย  ประสบการณ์ชีวิตหลายคนที่เป็นคริสเตียน ก็จะเป็นอย่างนี้ คือมีชีวิตแบบเป็นห่วง เป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นกังวลเรื่องบาปเวรกรรมของตัวเอง เมื่อไรจะหมด

พระคัมภีร์ก็ย้ำ … ย้ำจนไม่รู้จะย้ำอย่างไงแล้วว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความชื่นชมยินดีที่ได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้วนะครับ จำหลายข้อพระคัมภีร์ เต็มไปหมดเลย แต่ในทางปฏิบัติเราก็ยังคงแสวงหา ยังคงพยายาม ที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้มากขึ้นอีก อยากทำ … อยากทำให้มากขึ้นอีก เพราะในใจมันยังไม่ชอบธรรมพอ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้พักสักที เหนื่อย ไม่ได้หายเหนื่อยและเป็นสุขเลย บางคนบอก

“ไหนมาหาพระเยซูจะหายเหนื่อยเป็นสุข นี่มันหนักกว่าเก่าอีกนะ”

เคยไหม? เคยคิดอย่างนั้นไหม? เคย เพราะเราจดจ่อผิดที เพราะเราไม่เข้าใจไง เพราะเราไปเชื่อผิดที่ เข้าใจใช่ไหม? เราไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  ที่บอกเราว่าเราเป็นอิสระแล้ว เรียบร้อยแล้วจริงๆ Free indeed เป็นอิสรภาพแล้วจริงๆ เรายังไม่เชื่อตรงนั้นพอ

ฟังให้ดีนะครับ ตั้งใจตรงนี้ให้ดี สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงกับเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระองค์ โดยทางความเชื่อด้วยเช่นเดียวกัน

พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

ทำไมเขาให้เราพูด “เอเมน” รู้ไหม? เพราะไม่เข้าใจไง  เอเมน แปลว่า “ฉันเชื่อตามนั้น” เอเมนไม่ได้แปลว่าเข้าใจนะ เอเมน แปลว่าฉันเชื่อ เพราะฉะนั้น ผมถามว่าท่านเข้าใจไหม? ท่านตอบว่าเอเมน … เอเมน แปลว่าเชื่อ เอานะ จำไว้นะ

          สิ่งที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ธรรมชาติของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คิดในใจ คือพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นผู้ชอบธรรมชาติ ทรงสะอาดบริสุทธิ์ ทรงสะอาด ปราศจากบาป  เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตาและการอภัย และเยอะแยะมากมายไปหมดเลย ที่พูดถึง ที่เขาเรียกว่าธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ ถูกไหม?  ถูกหรือไม่ถูก? ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ดองกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เห็นภาพแล้วนะ ลักษณะธรรมชาติของเรา หรือของคนที่เชื่อ ก็ได้เป็นเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเป็น คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความบาป เปี่ยมด้วยความรักเมตตา อภัย เหมือนกันไม่มีผิดเลยแม้แต่นิด

 

ไม่เอเมนเหรอ กำลังตกใจเนอะ ได้เยอะไปนะเนี้ย เอ๊า! 1, 2, 3 เอเมน

แต่สิ่งที่เราได้รับมาทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเราทำด้วยตัวเอง ให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ แต่เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในท่าน … ท่านจึงเหมือนกับพระองค์ไม่มีผิดเลย นี่พูดถึงทางวิญญาณทั้งนั้นนะ ท่านไม่กล้าพูดใช่ไหม? พระเยซูจึงเป็นพระบุตรพระเจ้า คือธรรมชาติของพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราเลยมีธรรมชาติ เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูชอบธรรม เราก็ชอบธรรม พระเยซูสะอาดบริสุทธิ์ เราสะอาดบริสุทธิ์ พระเยซูเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา เต็มเปี่ยมไปด้วยการให้อภัย เราก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา การให้อภัย

“แล้วเมื่อวานนี้ โมโหเขาล่ะ ยังนินทาเขาอยู่เลย”

นั่นมันเนื้อหนังนะครับ นี่กำลังพูดถึงวิญญาณท่าน เห็นภาพไหม? ชัดไม่ชัด? เข้าใจไหม? เอเมนสิ … เอเมน แปลว่าฉันเชื่อตามนั้น ฉันไม่เข้าใจหรอก

นี่พูดถึงทางวิญญาณเท่านั้นนะ คืออย่างนี้ เมื่อก่อนนี้ คือก่อนที่เราจะได้มาอยู่ในพระคริสต์นะ คือพูดง่ายๆ ก่อนที่เราจะมารับเชื่อ ก่อนที่เราจะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เราจะจุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน พูดง่ายๆ ก่อนนั้น ตอนที่เรายังไม่ได้เป็นเหมือนพระเยซู ธรรมชาติ ลักษณะของเราตอนนั้น แทนที่จะเหมือนกับพระเยซู ถามว่าเหมือนใครครับ ตอนนั้น เหมือนคุณนคร ไม่ใช่ ถ้าเหมือนผม ก็ไปตายด้วยกันทั้งคู่ เหมือนใคร? เหมือนแม่ ไม่ใช่ เหมือนใครนะ อันนี้หนักเลย เหมือนมาร  ถูกๆ  ถูกแบบลึกเลยล่ะ นึกในใจว่าเหมือนใคร? เดี๋ยวผมตอบให้ ฟังให้ดีๆ นะ

สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของอาดัม Nature ธรรมชาติของอาดัม มนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่พระคัมภีร์บอกว่าตกไปในความบาป เราเป็นลูกหลานของเขา สิ่งใดที่เป็นจริง ธรรมชาติของอาดัม สิ่งนั้น ก็จะเป็นจริงกับมนุษย์ทุกคนด้วย มีอะไรบ้างที่เป็นธรรมชาติลักษณะของอาดัม

ธรรมชาติลักษณะของอาดัมคืออะไรครับ? ตะกี้นี้ เรารู้แล้วพระลักษณะธรรมชาติของพระเยซู เรารู้แล้ว ผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม เป็นบุตรของพระเจ้า ตอนนี้ ลักษณะธรรมชาติของอาดัมเป็นอย่างไร? อาดัมกบฏพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า อาดัมเป็นคนบาป เราก็เลยเป็นคนบาปไปด้วย เราก็เลยกบฏกับพระเจ้าไปด้วย เราก็ไม่เชื่อพระเจ้าไปด้วย เราก็เป็นคนที่ไม่มีความรักความเมตตา ไม่มีการให้อภัย เหมือนอาดัมไม่มีผิดเลย เพราะเราไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เห็นภาพแล้วใช่ไหม?  เห็นภาพแล้วใช่ไหม?  เพราะว่าเราอยู่ในอาดัมตอนนั้น เรายังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ นี่พูดถึงตอนก่อนที่เราจะมารับเชื่อนะ ก่อนที่เราจะรู้จักพระเยซู มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? จำตอนก่อนที่ผมพูดได้ไหม? ที่พระเยซูบอกข้างนอกไม่สามารถทำให้ข้างในสกปรกได้  แต่ข้างในมันจะเอาความสกปรกออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา จำได้ใช่ไหม?

มาระโก 7:21-23 นึกออกใช่ไหม? ที่บอกว่าเพราะที่ออกมาจากภายใน (คือภายในวิญญาณ) จากวิญญาณของมนุษย์ … มนุษย์ คืออาดัม นึกออกใช่ไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าเพราะที่ออกมาจากวิญญาณของเรา คือออกมาจากอาดัมนั่นนะ คือความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การล่วงประเวณี ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล การอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา ซึ่งมีอีกมากมายกว่านี้ สิ่งสารพัด ความชั่วเหล่านั้น มาจากภายในวิญญาณ และทำให้อาดัมเป็นมลทิน คืออาดัมเป็นคนบาป ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ และเราเป็นลูกหลานของอาดัม เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัม เราจึงอยู่ในนี้ ในวิญญาณของเรา ก็เลย  ถ้าเราไม่รู้จักพระเจ้า เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเยซู ไม่รู้ ถ้าตราบใดที่เราไม่เชื่อพระเยซู ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม ถ้าพระคัมภีร์นี้เป็นจริง สิ่งที่ออกจากวิญญาณเรา ตอนก่อนเชื่อพระเยซู คืออะไร?

ยกตัวอย่าง คืออะไร? พระเยซูบอกว่าคืออะไร? ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข็ญฆ่า ความโลภ ความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา และอื่นๆ อีกมากมายเยอะแยะ สารพัดความชั่วเหล่านี้ ออกมาจากภายในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นลูกหลาน ที่มาจากอาดัม ทำให้เราเป็นมลทิน คือเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  เพราะอย่างนี้ ไม่ใช่ เพราะเราไปทำ แล้วมันเป็นบาป เราไปทำ มันเป็นผลข้างในออกมาแล้ว พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเราต้องไปฆ่าคนตาย เราถึงจะเป็นคนบาป  แต่บาปมันอยู่ข้างใน เราไม่ต้องไปทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แล้วจะกลายเป็นคนบาป ทำแค่อันเดียว ก็เป็นคนบาป ไม่ทำเลย ข้างใน เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมาเอง  พอเข้าใจไหม?

 

บางคนบอก “บาปคนนั้นหนักกว่าคนนี้ คนนี้หนักกว่าคนนั้น”

มันไม่มีหนักกว่าหรอก เพราะข้างในมันเป็นบาป  ตัดสินกันอยู่ที่ข้างใน บริสุทธิ์ไหม?  นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้  เป็นความบริสุทธิ์แบบมาตรฐานของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์คิด แบบของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนที่เราจะมารู้จักกับพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? เมื่อเราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ในตระกูลเก่าของเรา บรรพบุรุษเก่าของเรา ก็คืออาดัมและอีฟ เราก็ได้รับธรรมชาติของอาดัมเข้ามาอยู่ในตัวเราเต็มๆ ไม่ว่าเราจะอยากได้หรือไม่อยากได้ ก็อยู่เต็มๆ  เหมือนกับลูกของครอบครัวที่เป็นเอดส์ เขาไม่อยากได้เอสด์หรอก แต่อย่างไง มันก็เข้ามาอยู่ในตัวเขา โดยที่เป็นธรรมชาติ เกิดมาก็เป็นเลย เราเอง ก็เกิดมา ก็เป็นเลย อย่างนั้น เช่นเดียวกัน

          อาดัมอวดดี ต้องการรู้ดี รู้ชั่วด้วยตัวเอง นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ เราก็รับสภาพ ลักษณะธรรมชาติตรงนั้น เข้ามาในตัวของเรา แล้วก็พยายามที่จะพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง ในการที่จะพยายามทำ สิ่งที่เรียกว่าดี ในสายตาของตัวเอง สะสมความดีในสายตาของตัวเอง พยายามที่จะละเว้นการทำบาป หรือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยความคิดว่ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น  สามารถแก้ปัญหาได้  นี่เราก็คิดอย่างนั้นแหละ พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง นี่คือธรรมชาติของบาป ซึ่งอยู่ในอาดัม ซึ่งตกทอดมาถึงเรา แต่ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ แทนที่เราจะรับมรดกธรรมชาติ ลักษณะจากอาดัม เราก็เปลี่ยนมารับจากใคร พระเยซู ที่ตะกี้นี้บอก

 

เห็นไหม พอเราเปลี่ยน ทันทีเลย  เปลี่ยนสายพันธุ์ทันที ปุ๊บ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็จะได้รับพระลักษณะธรรมชาติจากพระเยซูเข้ามาในวิญญาณของเรา ก็กลายเป็นอย่างนั้นเลย  สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติลักษณะของพระเยซู สิ่งนั้น ก็เป็นจริงกับเรา ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระคุณของพระองค์เท่านั้น ฮาเลลูยา เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่าก่อนที่เราจะอยู่ในพระคริสต์ คือตอนที่เรายังมีธรรมชาติลักษณะของอาดัมอยู่ในตัว พระคัมภีร์ใช้คำว่าเรายังอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เราอยู่ในความมืด แต่หลังจากที่เราได้มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับเชื่อแล้ว  คือได้มาเป็นผู้ชอบธรรม หรือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้รับธรรมชาติลักษณะของพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ในวิญญาณของเรา พระคัมภีร์ใช้ความหมายคำนี้ว่าเราได้รับการย้าย เราได้ถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรหนึ่ง ที่ชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรืออาณาจักรสวรรค์ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ตลอดเลย มืด แสงสว่าง สวรรค์ ตรงข้ามกับสวรรค์ คือนรก

ยกตัวอย่างเช่น โคโลสี 1:13-14  ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่าขณะที่ท่านมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับตัวฉันไหม?  ขณะที่ฉันรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าอธิบายให้เราฟังในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นอย่างนี้  ซึ่งเราเข้าใจลำบากมาก ไม่เข้าใจเลย แต่เราสามารถที่จะเชื่อได้  เอเมน เราจึงใช้คำว่าเอเมนอยู่เสมอ ไม่บอกเข้าใจแล้ว  เพราะไม่มีทางเข้าใจหรอก

“ย้ายอย่างไง ฉันก็ยังอยู่ที่เดิม ขณะที่ไม่รับเชื่อพระเจ้า ยังไม่รู้จักพระเจ้า ฉันก็อยู่หมู่บ้านเสรี พอรับเชื่อแล้ว ฉันก็อยู่หมู่บ้านเสรีเหมือนเดิม แล้วย้ายที่ไหน”

แต่ในโลกวิญญาณพระคัมภีร์บอกย้ายก็ย้าย เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เอเมนอย่างเดียว อ้าว! อ่านเอง โคโลสี 1:13-14

โคโลสี 1:13-14 “13 พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และได้ทรงย้ายเรา เข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนั้น เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

อ่านตามผมนะครับ ตรงนี้ต้องดังๆ “พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และได้ย้ายนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”

ที่พูดมาตะกี้นี้ เกิดขึ้นตอนที่เรารับเชื่อ ผมรับเชื่อมาเกือบ 28 ปีแล้ว มันเป็นอย่างนี้มา 28 ปีแล้ว ตอนนั้นยังเหนื่อยอยู่ ตอนนี้เห็นชัดขึ้น  เพราะทุกอย่าง เป็นการกระทำผ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น วิญญาณเราได้รับการกระทำให้บริสุทธิ์ วิญญาณเราได้รับการย้ายที่จากที่หนึ่ง ไปสู่อีกทีหนึ่งใช่ไหม ตามพระคัมภีร์นี้ คือจากอาณาจักร ที่เรียกว่าความมืด ย้ายจากอาณาจักรของความมืด … อาณาจักรความมืด คืออะไร? อาณาจักรแห่งการสาปแช่ง อาณาจักรที่ไม่ใช่อาณาจักรสวรรค์ ก็คือนรก อาณาจักรที่เต็มไปด้วยความบาป  อาณาจักรที่ไม่มีพระพรเลย ถูกย้ายจากอาณาจักรนั้นแหละ เข้ามาสู่ที่ไหน? เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรที่บริสุทธิ์ อาณาจักรที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า ได้เข้ามาในอาณาจักรนี้ และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน และจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ นิรันดร์ นี่คือพระคัมภีร์

เราไม่ได้อยู่ในอาดัม และไม่ได้เป็นเหมือนอาดัมอีกต่อไปแล้ว ใช่ไหม? ก่อนหน้านี้ เราเป็นเหมือนอาดัม แต่ตอนนี้ไม่ใช่นะครับ เราย้ายแล้ว

พูดพร้อมกันว่า “เราย้ายแล้ว เราไปที่เขต และย้ายแล้ว ย้ายเข้าไปสู่ บ้านแห่งสวรรค์ หัวหน้าบ้าน เจ้าบ้าน ชื่อพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ที่นั่น เอเมน”

เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่เชื่อ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้  เมื่อตะกี้ผมบอกว่าให้เราไปเขต จริงๆ เราไปเขตจริงๆ เขตอยู่ที่ไหนรู้ไหม? เขตอยู่ที่เราตั้งใจและอธิษฐาน … อธิษฐาน คืออะไรรู้ไหม? อธิษฐาน คือการใช้สิทธิของเราในวิญญาณว่าเราจะเอาอย่างนี้  คำว่าอธิษฐาน ไม่ใช่การพูดลอยๆ การที่อธิษฐาน คือการตั้งใจว่า.-

“ฉันจะเอาอย่างนี้จริงๆ”

เคาะเลยนะ ที่พระเยซูบอกขอ เคาะ … เคาะไปเรื่อยๆ แล้วจะเปิดให้กับท่าน หาแล้วท่านจะพบ ขอแล้วท่านจะได้ นี่หมายถึงตรงนั้น  เราตั้งใจ เราอธิษฐาน คือวิญญาณเราเอาจริงๆ เราต้องการรู้จักพระเยซู เราก็จะพบพระองค์ มันหมายถึงอย่างนั้น เราไม่ยอมหยุดเลย เรารู้จักพระองค์ให้ได้ เขาพูดอะไร? ได้ยิน ที่เขาคุยกันตอนนี้ เขาคุยอะไรกันอยู่ เราก็อยากจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตเราจริงๆ เลย เราไม่อายตัวเอง และไม่อายใครอีกแล้วว่าชีวิตเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเป็นคนบาปจริงๆ เราคิดอย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์พูดถูกจริงๆ เลย ถ้าเรากล้าพูดอย่างนั้นนะ มันจะชัดเอง ส่วนใหญ่เราไม่กล้า เพราะเราอาย เพราะเราไม่รับความเป็นจริงไง ถ้าเราเปิดรับความเป็นจริง ยอมเลย

“พระเจ้าพูดในพระคัมภีร์ มันตรงกับฉันหมด ฉันมันเลวจริงๆ ฉันมันชั่วจริงๆ ฉันเป็นคนบาปจริงๆ”

คนนั้นแหละจะได้พบกับแสงสว่างนี้

เราต้องยอมรับว่าเรานั้น ไม่สบาย เราถึงไปหาหมอใช่ไหม?  มีใครไหมบอกว่า.-

“ฉันสบายดี แข็งแรงมากเลย”

แล้วไปโรงพยาบาล ไปทำไม? จะไปหาหมอ แสดงว่าคนนั้น ยอมรับว่าตนเองป่วย และช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าป่วย อยู่บ้าน ยังช่วยตัวเองได้ เขาก็ไม่ไปหา

พระเยซูเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้เดียวเท่านั้นที่รักษาเราให้หายจากบาปได้ ถ้าเราคิดว่า.-

“ฉันเป็นบาปอยู่ (ป่วยทางวิญญาณ)”

แต่บางคนอาจจะบอกว่า “ฉันเป็นบาปอยู่ แต่ฉันรักษาตัวเองได้”

ก็หมายความว่าไม่มาหาหมอ เขาก็ไม่มาหาพระเยซู นึกออกใช่ไหม?

อันดับหนึ่ง คือคนนั้นต้องอธิษฐาน ต้องรู้ข้างในวิญญาณว่า.-

“ฉันเป็นคนบาป เป็นคนชั่ว เป็นคนเลว”

อย่างนั้นจริงๆ ตามพระคัมภีร์บอก มนุษย์เราเป็นคนบาป ต้องใช้เวรกรรมจริงๆ อันนี้ผ่านข้อหนึ่งแล้ว แต่ข้อหนึ่ง อย่างเดียวไม่ได้ เขาไม่ไปหาพระเยซูหรอก ถ้าเขาบอกว่า.-

“แต่ฉันยังสามารถทำอันโน่น ทำอันนี้ ช่วยตัวเองได้ ให้มันบาปน้อยลงอะไรต่างๆ ฉันรู้สึกสบายใจแล้ว มันดีขึ้นนิดหนึ่ง กินยาแก้ปวด ก็พออยู่ได้ ไม่ไปหาหมอ”

ก็ไม่หาย แต่ว่าอาการมันก็ทรงๆ ถูกหรือเปล่า? มันต้องมีอีกขั้นหนึ่ง ก็คือว่าคนนั้นต้องรู้ว่าตัวเองบาป ตัวเองไม่สบาย และสอง.-

อันดับที่สอง คนนั้นต้องตัดสินใจว่า.-

“ฉันช่วยตัวเองมาตั้งนาน ไม่หาย ท่าทางตายแน่ๆ ปวดหัวตั้งหลายครั้งแล้ว ปวดหัวมาตั้งหลายครั้ง กินพาราฯ มาตั้งหลายแล้ว ไม่หายเลย ฉันไปหาหมอดีกว่า ข้างบ้านเขาบอกหมอคนนี้เก่ง รักษาโรคนี้ได้ โรคนี้มีชื่อว่าโรคบาป ข้างบ้านเขาบอกว่าไปหาหมอที่ชื่อพระเยซูสิ ฉันก็เลยไปหา ฉันเลยพบพระเยซู ฉันจึงหายจากบาป เอเมน”

เห็นไหม? มันแค่นี้เอง ที่บอกว่าอธิษฐาน ขอสิ เคาะสิ มันต้องอย่างนี้ เงื่อนไขมันเป็นอย่างนั้น

ตอนที่เราเกิดจากครรภ์มารดานะ เรายังเป็นเหมือนอาดัมถูกไหม? คือเป็นคนบาปจากครรภ์เลย ออกจากครรภ์มา ก็บาปแล้ว ยังไม่ทันทำอะไรเลย  แต่บัดนี้ เราได้รับการบังเกิดใหม่ เชื่อในพระเยซู ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ เป็นพระลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้นก็จะเป็นของเราจริงๆ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ โดยทางพระคุณเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ก็ขณะที่เราออกจากครรภ์ เราก็ไม่ได้ทำอะไร? เราก็บาปแล้ว เพราะฉะนั้น ออกจากครรภ์ของพระเยซูคริสต์ หมายถึงออกจากครรภ์ฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกันสิ เอเมน

เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อจะได้รับสิ่งที่เหล่านี้มา เพราะพระเยซูทรงกระทำแทนเราเรียบร้อยไปหมดแล้ว เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่เป็นผู้รับ โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ให้ท่านจำถ้อยคำตรงนี้ให้ขึ้นใจเลยนะครับ ต้องจำให้แม่นเลยว่า.-

“สิ่งใดที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้น ก็เป็นจริงกับฉัน ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณ ผ่านทางพระองค์ด้วยความเชื่อเท่านั้น”

ต้องจำตรงนี้ให้แม่นๆ เลย ต้องท่อง ต้องจำให้แม่นๆ อย่างที่ผมบอกว่าเอาเข้าใจ มันลำบาก ต้องใช้จำเอา แล้วก็เชื่อ เอเมน

พระเยซูคริสต์ทรงกระทำทุกอย่างให้เราเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องพยายามที่จะทำอะไรด้วยตัวเองอีกแล้ว แค่บอกว่า.-

“ฉันได้มีส่วนในลักษณะธรรมชาติของพระเยซูคริสต์แล้ว”

แค่นี้ก็เกินพอแล้ว สำหรับชีวิตคนเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือว่าเป็นคริสเตียนอยู่ เราหามาเหนื่อยพอแล้ว แต่ถ้าคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับสิทธินี้ ยังไม่ได้เชื่อนี้  เขาก็ต้องแสวงหาต่อไป เขาต้องอย่าหยุดเคาะ เขาต้องเคาะต่อไป ต้องแสวงหาต่อไป ต้องขอต่อไป  อย่างที่ตะกี้นี้บอก จนกระทั่งพบหมอ ถ้าหายแล้ว ก็ไม่ต้องไปหาพระเยซูแล้ว เพราะหายแล้ว จะเข้าไปหาทำไม พระเยซูเข้ามาอยู่กับเขาเลย  เอเมน แต่ถ้าเขาไม่มีพระเยซู เขาต้องไปหาพระเยซูก่อน แต่พอไปหาพระเยซูแล้ว พระเยซูจะมาอยู่กับเขาเลย เอเมน

พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า เราก็ได้มีส่วนในความสัมพันธ์ ฉันพ่อลูกตรงนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นลูกของพระเจ้าด้วย คือได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด

พระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เราก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากความบาปด้วยเช่นเดียวกัน พอไหม? แค่นี้พอหรือยัง? จริงๆ มันมีเยอะกว่านี้เยอะเลย แต่แค่นี้ ก็พอแล้วนะ

พระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรม

พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้า เราเป็นบุตรพระเจ้า

พระเยซูเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเมตตา เราเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเมตตา

แล้วพระเยซูเป็นอะไรอีกเยอะแยะเต็มไปหมดเลย  เราก็เป็นไปตามนั้นทั้งหมดเลย พอไหม? เกินพอ นี่ถึงเรียกว่าพระคุณ พระคุณ พระคุณยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้กับเรา โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งความคิด ไม่ได้ใช้เลย เพราะขืนใช้ความคิดเมื่อไร ไม่เชื่อพระเจ้า เมื่อนั้น ไม่ได้ใช้ความคิดเลยนะ เราเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้ความคิดเลย เพราะคิดไป ไม่ออกเลย คิดไม่ได้เลย ข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซู ไม่ใช่สติปัญญาแบบมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

2 เปโตร 1:3-4  จะบอกถึงลักษณะว่าตะกี้นี้ ธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระลักษณะของพระเจ้า เราได้มีส่วนนั้นทั้งหมดเลย ลักษณะของพระเจ้า ก็คือลักษณะของพระเยซู พระลักษณะหรือธรรมชาติของพระเยซู ของพระเจ้า เรามีส่วนในนั้นหมดเลย  กล้าที่จะพูดตาม ถึงไม่เข้าใจ ต้องกล้าที่จะบอกว่า.-

“ฉันเชื่อตามนี้”

ในพระคัมภีร์บอกไว้ตามนี้ แม้ว่าคนจะบอกว่า.-

“เธอนิสัยไม่ค่อยดี  เธอทำอย่างนี้ ไม่ดีเลย  ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เธอเป็นอย่างนี้ๆ  เธอจนอย่างนี้ เธอจะไปเป็นอะไรอย่างนี้ได้

บอกเขาเลย “พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น ฉันยืนกรานตามพระคัมภีร์” เอเมน

อ่านดีๆ ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ ท่านเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียนกันทั้งหมดนี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ มาบอกอีกลักษณะหนึ่งว่าท่านเป็นใคร ในขณะนี้ อยู่ตรงไหน? นิสัยจริงๆ ท่านเป็นยังไง? นิสัยข้างในวิญญาณ ตัวจริงของเรา คือวิญญาณ … วิญญาณจริงๆ ท่านมีนิสัยเป็นอย่างไร?  ดูสินิสัยจริงๆ เราเป็นอย่างไร?

2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว

 

เอเมน เห็นหรือยัง? ท่านเห็นหรือยัง? ท่านสามารถเห็นได้ เพราะเห็นด้วยวิญญาณ แต่ถ้าบอกเข้าใจไหม? ท่านบอกอะไรได้ ไม่เข้าใจ แต่เอเมน เชื่อเอา

พูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้าแล้ว และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

ตรงนี้หมายถึงว่าท่านมีส่วนในพระลักษณะธรรมชาติของพระเจ้า แม้ว่าท่านจะอยู่บนโลกใบนี้ มีตัณหาชั่วอยู่ในเนื้อหนังของท่าน สิ่งรอบข้าง สกปรก รอบข้างท่าน แต่ข้างในของท่าน มันบริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าไม่มีผิด มันแปลว่าตรงนี้ ท่านจะได้สบายใจ ผ่อนคลายได้ว่าอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณท่านอยู่ในพระคริสต์ สะอาดหมดจดแล้ว

“แม้ว่าเมื่อวานฉันจะหงุดหงิดกับคนนี้ แม้ว่าเมื่อวานซืนนี้  ฉันอาจจะตวาดคนนี้ไป  แม้ว่าเมื่อตะกี้นี้ ขับรถมา รถเมล์แถมมา 3 ป้าย ฉันด่าว่าคนขับอย่างไม่มีอะไรดีเลย แม้ว่าฉันอภัยคนนี้ ฉันยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ยังอธิษฐานอยู่ทุกวันนี้เลย แต่ในวิญญาณฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรฉันได้เลย มันอยู่ข้างนอก ข้างในฉันบริสุทธิ์แล้ว ข้างนอกไม่สามารถทำอะไรฉันข้างในเปลี่ยนไปได้ ในวิญญาณเป็นอย่างไง มันเป็นอย่างนั้นแล้ว”

และในวิญญาณเป็นอะไร?  เป็นลูกของพระเจ้า

“วิญญาณฉันเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีผิดเลย ในพระคริสต์ฉันเป็นอย่างนี้แหละ”

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 8 “แค่หลับตา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 8 “แค่หลับตา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

การบรรยายวันนี้ ก็ยังอยู่ในซีรี่ส์เดิมนะครับ ชื่อซีรี่ส์ ชื่อว่า? “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 8 แล้วนะครับ ยังจำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว ผมบอกไว้ว่าเราจะมาตั้งชื่อตอนหลังเทศนาจบ ตั้งแต่ตอนที่ 5 เราใช้ชื่อตอนว่าอะไร? “นั่งเครื่องบิน”

ทบทวนนิดเหนึ่ง คือเราเปรียบเทียบให้เห็นว่าโดยกฎเดิม คือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก มนุษย์ไม่สามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ แต่ด้วยกฎใหม่ที่มีชื่อว่ากฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้มนุษย์สามารถลอยอยู่ในอากาศ ลอยอยู่บนฟ้าได้ และบินไปไหนมาไหนได้ โดยการอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องบิน ซึ่งเทียบได้กับกฎเดิมของมนุษย์ คือกฎแห่งบาปและความตาย

เคยได้ยินไหมเพลงนี้ “คนเรามีกรรม เกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรม ไม่มีหลุดพ้น”

คือคนเรามีกรรม ก็คือเกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรมกันทุกคน นี่คือกฎเดิม มนุษย์ทุกคนก็รู้ และมีกฎนี้อยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนเรียกกันว่ากฎแห่งบาปและความตาย กฎแห่งกรรมนั่นเอง

ซึ่งกฎนี้ ทำให้มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษของความบาป  คือความตายและตาย … ตายและตายในที่นี่ อธิบายครั้งที่แล้วไปแล้ว ตั้งหลายครั้ง ก็คือตายทางร่างกาย ก็คือร่างกายที่ถูกพระเจ้าสร้างมาตั้งแต่แรก ไม่ต้องตาย ก็จำเป็นจะต้องตาย สิ้นชีวิตไปวันหนึ่งข้างหน้า วิญญาณซึ่งมีอยู่นิรันดร์ ซึ่งมาจากพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณที่ติดบาปอยู่ ติดเวร ติดกรรม ต้องไปชดใช้เวรกรรม คือเมื่อทิ้งร่างนี้แล้ว วิญญาณออกไป ก็ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ เพราะเป็นวิญญาณที่บาป  อยู่กับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ พระคัมภีร์ใช้คำตรงนี้ว่าตายและตาย  ผลของ … กฎของความบาปและความตาย คือทำให้เกิดความตายและตาย แต่ด้วยกฎใหม่ มีชื่อว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎเดิมแล้ว ทำให้มนุษย์ที่อยู่ในพระคริสต์ หรือที่เรียกว่าอยู่อาศัยพระเยซูได้รับความรอด เป็นอิสระจากโทษของบาป ไม่ถูกบาปเวรกรรมและโทษของความตายดูดเขาลงไปสู่ความพินาศ … จำได้นะ

และมาถึงตอนที่ 6 เราใช้ชื่อตอนว่าอะไร? อันนี้ต้องจำได้แน่ๆ เลย จำไม่ได้แย่เลย  ทุกคนพูดพร้อมกันว่าตอนที่ 6 ใช้ชื่อตอนว่า “กระเทียมดอง” ตอนที่ 5 “นั่งเครื่องบิน” ตอนที่ 6 “กระเทียมดอง”

คือได้สอนให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าเมื่อเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว วิญญาณของเรา ก็ได้กลายสภาพจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณสกปรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ตายอยู่” วิญญาณที่ตาย

“ตาย” ในที่นี่หมายถึงไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ จากวิญญาณสกปรก ที่ตายอยู่นั้น ได้กลับกลายมาเป็นวิญญาณใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มีชีวิตขึ้นมาใหม่” ตะกี้นี้ตายใช่ไหม? ตอนนี้มีชีวิต … ชีวิตทางฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ และจะเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ซึ่งชีวิตบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นวิญญาณใหม่ จะไม่สามารถกลับไปเป็นวิญญาณบาปได้อีกแล้ว คือไม่สามารถเปลี่ยนจากกระเทียมดองกลับไปสู่เป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว เราเรียนกันว่าการเปลี่ยน คือชีวิตเก่าเราบัพติศมาลงไปในพระเยซู ใช่ไหม?

บัพติศมา แปลว่าจุ่มลง ดองลงไปใช่ไหม?  มุดลงไปใช่ไหม?  จากกระเทียมสดมุดลงไปในไหใช่ไหม?  แล้วออกมาเป็นกระเทียมดองใช่ไหม? ชีวิตเก่าเราใช่ไหม? ไม่รู้จักพระเจ้า  เป็นบาปอยู่นะ มุดลงไปในพระโลหิตพระเยซู ในพระวิญญาณของพระเจ้า ขึ้นมาเป็นกระเทียมดอง ก็เป็นวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นั่นตอนนั้น เราเรียนตอนที่ 6 เป็นอย่างนั้นนะ

และมาถึงตอนที่ 7 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้ ดักคอไว้สำหรับคนที่เรียนมาก่อนหน้านี้ เผื่อจะมีใครบางคนฟังการบรรยายก่อนหน้านี้ ในชุดนี้แล้ว จะมีความรู้สึกสบายใจในการเข้าใจผิดว่าอย่างนั้น เราก็ทำบาปก็ได้เยอะแยะสิ เพราะเราไม่มีทางจะเปลี่ยนไปเป็นคนบาป บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดแล้ว จำได้ใช่ไหมครั้งที่แล้ว ผมได้เตือนไว้ว่ามันจะไม่ใช่อย่างนั้น

สัปดาห์ที่แล้ว เราได้อ่านพระคัมภีร์ยืนยันแล้วว่าความคิดแบบนี้ มันไม่ถูกต้องนะครับ แล้วเราก็รู้ว่าทำไม? พระคัมภีร์บอกว่าใครที่ทำบาป  คือผิดเป้าหมายจากพระเจ้า คือไม่เป็นไปตามเป้าหมายพระเจ้าจะถูกคำสาปแช่งทุกคน ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จัก  ก็รู้จักกันทุกคน ไม่ว่าจะสาปแช่งมาก สาปแช่งน้อย

          ยกตัวอย่างง่ายๆ สาปแช่งน้อย ก็คือน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราแข็งแรง รู้ว่าให้เรากินอะไรถึงจะมีสุขภาพสมบูรณ์ เราไปกินของเน่าๆ ของเสียๆ เราก็ได้รับคำสาปแช่ง คือก็เป็นโรคท้องเสีย ท้องอืด เห็นง่ายๆ ท่านจะได้เข้าใจว่าคำสาปแช่งหมายถึงอะไร? ทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น

 

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกแล้วว่าใครทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ตรงกับถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ตรงตามน้ำพระทัย ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั้น เขาจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน ยังคงต้องรับผล หนีไม่พ้น ซึ่งตรงนี้หมายถึงรับผลทั้งทางเนื้อหนัง ร่างกาย หรือเรียกว่าบนโลกใบนี้ได้รับ หรือเรื่องทางวิญญาณก็ได้รับเช่นเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่น ทางวิญญาณเมื่อตะกี้ เราคุยกันว่าถ้าวิญญาณคนนั้น เชื่อในพระเยซู ซึ่งได้รับกฎใหม่ จากพระเยซูคริสต์ การอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ มีกฎใหม่ ชนะกฎของความบาปและความตาย  วิญญาณเขาก็รอด เขาก็ไปสู่สวรรค์ แต่ถ้าเขาไม่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาไม่พึ่งอาศัยในกฎใหม่นี้ เขาก็ยังอยู่ภายใต้กฎเดิมอยู่ เขาก็ถูกดูดหรือถูกผลักลงไปสู่ความพินาศ ในกฎเดิม คือกฎความบาปและความตาย

ทางเนื้อหนัง ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปทำสิ่งใดต่างๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือไม่? เป็นกระเทียมดอง กระเทียมสด เราต้องรับผลสิ่งต่างๆ เหล่านั้น จำได้ใช่ไหมครับ?

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าใครทำสิ่งใด ต้องรับผลในสิ่งนั้น เปรียบเสมือนการหว่านเม็ดพืชใช่ไหม? ที่ตะกี้บอกว่าหว่านอะไร ก็ได้อย่างนั้น หว่านแตงโม ก็ได้แตงโม ใช่ไหม?

กาลาเทีย 6:7-8 “7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ”

 

สุภาษิตจีนบอกว่า “ปลูกแตงโม ก็ต้องแตงโม  ปลูกถั่ว ก็ได้ถั่ว”

เพราะฉะนั้น ใครหว่านอะไร ก็ต้องได้รับสิ่งนั้น สรุปคือในตอน 7 ที่เราได้บรรยายกันในสัปดาห์ที่แล้ว เราก็ใช้ชื่อตอนว่าอะไรดี? “ปลูกแตงโม ก็ได้แตงโม” จำไว้นะ ต่อไปนี้ บทที่ 7 ชื่ออะไร? “ปลูกแตงโม ได้แตงโม” ท่านนึกถึงปลูกแตงโม ท่านนึกถึงกาลาเทีย บทที่ 6 ที่ตะกี้เราอ่านร่วมกัน

เพราะฉะนั้น สรุปให้ฟังแล้วว่าคราวนี้ ถ้าพูดถึงชื่อตอน “นั่งเครื่องบิน” “กระเทียมดอง” “ปลูกแตงโม ได้แตงโม”

ท่านก็พอจะจำได้นะครับว่า “อ๋อ! มันเรื่องราว มันเป็นอย่างไร?  คืออะไร?” พอนึกออกแล้วนะครับว่าภาพรวมๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร?

“ฟังหรือยัง?”

“ตอนไหน?”

“ตอนปลูกแตงโม ได้แตงโม”

“อ๋อ! เห็นภาพเลย ใครหว่านอะไรได้อย่างนั้น หว่านทางวิญญาณ ได้วิญญาณ หว่านทางเนื้อหนัง ได้เนื้อหนัง หว่านสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะทางวิญญาณหรือเนื้อหนัง ก็ต้องเก็บเกี่ยว เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้”

“นั่งเครื่องบิน”

“อ๋อ! นั่งเครื่องบิน ฉันอาศัยเครื่องบิน … บินได้ ในทำนองเดียวกัน ฉันอาศัยพระเยซูคริสต์ ฉันก็อยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย ไม่ต้องตกนรก”

อะไรอย่างนี้ เห็นไหม? มันง่าย ที่ท่านจะจำได้

“ฟังตอนกระเทียมดองหรือยัง? ฟังหรือยัง? หมายความว่าอย่างไร? กระเทียมดอง มันชัดนะกระเทียมดอง ก็รู้อยู่แล้ว”

“ฟังแล้วตอนกระเทียมดอง ฉันเป็นกระเทียมดอง เธอเป็นกระเทียมดองหรือยัง? ฉันดองกับพระเยซูไปแล้ว ฉันดองกับตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่มีทางกลับไปเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย เธอเป็นกระเทียมดองหรือยัง”

มันแค่นี้เอง แล้วไปฟังรายละเอียดก็แล้วกันในนั้น จำง่ายดีนะ

มีตอนอะไรบ้างที่พูดเมื่อตะกี้นี้ นั่งเครื่องบิน,  กระเทียมดอง,  ปลูกแตงโม ได้แตงโม ท่านทราบแล้ว เดี๋ยวสัปดาห์นี้ ก็มาตั้งกันต่อ

จริงๆ แล้ว ถ้าใครฟังการบรรยายในชุดซีรี่ส์นี้ มาทั้งหมด 7 ตอนเข้าไปแล้ว ครั้งนี้ตอนที่ 8 ถ้าตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ท่านจะจับประเด็นได้เลยว่าเนื้อหาทั้งหมด ที่ผมพูดมานั้น ที่บอกว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ผมจะเน้นย้ำ ขยายความ แล้วก็วนไปวนมา อยู่ที่ 2 ประเด็นเท่านั้น ทำให้ท่านหัวเราะบ้าง? จำได้บ้าง? แต่ทั้งหมดอยู่แค่ 2 ประเด็นหลักๆ เท่านั้นเอง เนื้อหาที่คุยกันมา 7, 8 สัปดาห์ ในเรื่องเกี่ยวกับเราเป็นใครในพระคริสต์ คำตอบ ก็คือเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ต้องมีคำว่า “แล้ว”

เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เข้าไปสู่ความเป็นหนึ่ง เขาเรียกว่า “Partaker of the divinature” เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพแล้ว

และเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว  เราก็ควรจะมีสันติสุข มีความสงบสุข ทั้งทางวิญญาณและในทางโลกนี้ด้วย

วนเวียนอยู่ 2 ประเด็นนี้ตลอดเลย  ที่เราคุยกันมาตลอด อยู่แค่นี้ 2 เรื่องนี้

ประเด็นแรก คือรอดทางฝ่ายวิญญาณ

          วนเวียนกันอยู่แค่นี้ว่ารอดทางฝ่ายวิญญาณ คืออะไร? รอดทางฝ่ายวิญญาณ คือทันทีที่เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ และวิญญาณของเราในขณะนี้ ก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานรวมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

 

ให้พูดพร้อมกันว่า “แล้ว”

แล้วนี้ สำคัญมากนะครับ “แล้ว”

ในประเด็นแรกนี้  มาถึงวันนี้ ฟังกันมาถึง 7 ตอนแล้ว ท่านก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม? ฟังมา 7 ตอนแล้ว เข้าใจไหม? ตอบสิ ฟังมา 7 ตอนแล้ว เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ … เก่ง ยอด ถ้าใครคนไหนบอกเข้าใจ แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจฟัง คนฟังทางบ้าน งง กันใหญ่เลย  ถูกไหม? เข้าใจไหม 7 ตอน ไม่เข้าใจ แต่ถามว่า 7 ตอนผ่านมา ท่านเชื่อเพิ่มขึ้นไหม?

พูดดังๆ “ใช่”

เราใช้ความเชื่อ เราไม่ได้ใช้ความเข้าใจ เห็นไหม เยี่ยมเลย เห็นไหม? ผมกลัวท่านตอบว่าเข้าใจๆ ผมกลัวมากเลย ลุ้นมาตั้งนาน เพราะฉะนั้น ถามอีกทีว่าเรียนมาทั้งหมด 8 ตอนแล้ว ท่านเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เราอยู่ในพระคริสต์ ท่านเข้าใจไหม? ตอบครับ ไม่กล้าตอบ ไม่เข้าใจ ผมก็ไม่เข้าใจ อยู่ในพระคริสต์ใครจะเข้าใจ ผมนั่งอยู่ที่นี่แล้ว นั่งอยู่ในพระเยซู อยู่ในสวรรค์สถานด้วย ใครจะไปเข้าใจเล่า แต่ผมเชื่อ … เชื่อมากขึ้นอีก เชื่อขึ้นเรื่อยๆ เลย

ส่วนประเด็นที่ 2 คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้เราได้รับสันติสุข ในระหว่างดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

พระองค์ไม่ได้ต้องการให้เราอยู่บนโลกใบนี้แบบทุกข์ทรมาน เพื่อรอวันที่พระองค์จะมารับเรากลับบ้านไปสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น จริงอยู่ว่าโลกนี้ มันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แล้วเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก ตามที่พระเยซูบอกจริงๆ แต่พระเจ้าก็ต้องการให้เรามีสันติสุขท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเช่นนั้น เช่นเดียวกันนะ แล้วมันเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าคงไม่ต้องการให้เราได้รับตรงนี้ พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว

ในเรื่องของทางวิญญาณ ท่านได้รับมาแล้ว เรียบร้อยทุกอย่าง ครบบริบูรณ์เลย ทางวิญญาณนะ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทรงทำให้หมดแล้ว ถูกไม่ถูก? ทางด้านฝ่ายวิญญาณ ความรอดทุกอย่าง พระพรทุกอย่างทางฝ่ายวิญญาณ เราไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน ถูกไหม?

แต่ในประเด็นที่ 2 สันติสุขท่ามกลางโลกใบนี้  ซึ่งเป็นเรื่องของโลก ไม่ใช่วิญญาณนะ เรื่องของทางเนื้อหนัง อันนี้ยังต้องใช้ความพยายามของเรา ในการกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่ กระทำตาม เขาเรียกว่าพระประสงค์ของพระเจ้า เรายังต้องสนใจและต้องตั้งมั่นที่จะกระทำอยู่ และยังจำกันได้ใช่ไหมครับ? ที่ผมบอกว่าให้เราเรียนรู้จากชีวิตของอาจารย์เปาโล ถูกไหม?  ที่ท่านเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิต โดยให้วิญญาณนำ วิญญาณที่มีพระวิญญาณนำ โดยวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์นำ ซึ่งจะทำให้ชีวิตบนโลกใบนี้ ได้รับสันติสุขและความสงบอย่างแท้จริงขึ้น ซึ่งเคล็ดลับ ก็คือให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก

เราจำได้ไหม? ผมเอาข้อพระคัมภีร์นี้มา เรามาทบทวนอีกทีหนึ่ง ข้อพระคัมภีร์นี้ ที่เปาโล อาจารย์เปาโลสอนเราว่าเคล็ดลับของอาจารย์เปาโล คืออะไร?  และต้องการให้เราทำอะไร? จึงจะได้รับสันติสุขและความสงบสุขบนโลกใบนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะจากโลกใบนี้ไป ชนะโลกใบนี้ได้อย่างไร? โคโลสี 3:1-4 ต้องจำตรงนี้ให้แม่นๆ นะครับ เป็นหลักการในการดำเนินชีวิตของเรา บนโลกใบนี้เลยคริสเตียนที่รักทุกคน

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ลองพูดตามผมนะ ใส่ชื่อท่านนะ

“ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … จดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก รู้ไหม?”

“รู้”

“รู้ไหม … ถามใคร”

“ถามตัวเอง”

รู้ไหม? ถามตัวเอง รู้ เราต้องอยู่อย่างนี้ จนถึงวันสุดท้ายที่เราจากโลกนี้เลย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้อธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ที่บอกว่า “ให้ใจและความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก”

จดจ่อ คืออะไร? ปักใจ จับจ้องอยู่กับไหน? อยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก เบื้องบนคืออะไร?  เบื้องบนคือวิญญาณ คือสวรรค์

ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Set your mind above where Christ is.” ตั้งโปรแกรมไว้ที่โน่น จดจ่อไว้โน่น ไว้ที่สวรรค์ ในโลกวิญญาณ

“ที่วิญญาณฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน”

Set your mind ก็เปรียบเหมือนการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์นะว่าจะทำอะไร ก็ต้อง Set … Set your mind ก็คือตั้งโปรแกรมทางความคิดในใจของเราว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร? ก็คือ Set ว่าจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ

“จดจ่อที่ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้าในสวรรค์สถาน จดจ่อว่าฉันเป็นลูกของพระเจ้า” อย่างนี้

ที่ผมเปรียบเทียบการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะอะไรรู้ไหมครับ?  เพราะเวลาที่เราตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บางครั้งมันก็อาจจะ Error แล้วเวลามัน Error เราทำอย่างไร? เราก็ต้อง Reset หรือว่าต้อง Reboost ใช่ไหม?

ให้ทุกคนพูดพร้อมกันนะครับ “Error”

รู้ไหมว่า Error แปลว่าอะไร? ง่ายๆ เพี้ยน มันเพี้ยน Error แปลว่าอะไร? เพี้ยน … เพี้ยนแปลว่าอะไร? Error … เพี้ยนแปลว่าบ้าๆ บอๆ มันบ๊องไปแล้ว ว่า Error คืออะไร? มันเพี้ยนๆ มันไม่เหมือนเดิม มันเพี้ยนๆ มันทำอะไรมั่วๆ ซึ่งถ้าเครื่องดีๆ หน่อย มันรีเซทแป๊บหนึ่ง มันขึ้นมานะ แต่ถ้าเครื่องมันไม่ค่อยดี กว่าจะรีเซทขึ้น เอียงไป เอียงมา  เดี๋ยวท่านดูนะว่าคริสเตียนเป็นอย่างนั้น เหมือนกันไม่มีผิดเลย

เช่นเดียวกัน การตั้งโปรแกรมทางความคิดจิตใจ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก Set your mind … Set out mind การตั้งโปรแกรมทางด้านจิตใจ เหมือนกันเลยนะครับ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? แทนที่เราจะจดจ่ออยู่เบื้องบน ตามที่ผมบอก ตั้งใจจะจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในสวรรค์สถาน อยู่ที่โลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า แต่บ่อยครั้ง มันก็เกิด Error  เกิดอะไร? บ่อยครั้งมันก็เกิด Error คราวนี้ภาษาไทย เกิดอาการเพี้ยน บ้าๆ บอๆ มันก็บ๊องๆ มันไม่ยอมไปอยู่เบื้องบน มันก็เกิด Error เราก็ต้องทำอะไร? เหมือนกัน ก็คือต้อง Reset หรือ Reboost เหมือนกัน ต้องรีเซทมันขึ้นมา ตั้งโปรแกรมความคิดของตัวเองขึ้นมาใหม่ เวลามันมีการ Error เกิดขึ้น จำได้ใช่ไหม? สัปดาห์ที่แล้วบอกไว้ แล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ถึงวันนี้ ท่าน Error ไปกี่ครั้ง? ท่านเพี้ยนไปกี่ครั้ง? ตกจากสวรรค์มากี่ครั้ง? ตกหรือเปล่า?  หรือไม่ตก ถามจริง เดี๋ยวฟังต่อไป ท่านจะตอบเองว่าที่ตอบตะกี้นี้ ท่านตอบถูกหรือตอบผิด ตอบจริงใจหรือเปล่า? Error หรือเปล่า?

แล้วผมก็บอกว่าถ้าจะให้เรา Set mind มันต้องทำอะไร? เคล็ดลับ ในนี้บอกว่า Set คือให้เราจดจ่อ ปักใจ จับจ้องความคิดของเรา ไปที่ไหน? โลกวิญญาณที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า  ผมบอกเคล็ดลับอยู่ที่ไหน?  เคล็ดลับ ก็คือให้เราทำอะไร? ให้เราเพียงแค่หลับตา แล้วผมก็เลยร้องเพลงแค่หลับตา เป็นเพลงที่พระเยซูร้องให้เราฟัง พระเยซูร้องเพลงนี้ให้เราฟังว่าถ้าเกิดเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระเยซูร้องเพลงนี้ให้เราฟังตั้งแต่เช้ายันค่ำเลย อ้าว! มาร้องด้วยกัน ได้หรือเปล่า? เดี๋ยวผมสอนให้ สมมติว่าพระเยซูร้องให้ท่านฟังนะ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ถึงแม้จะเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่มันยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ เดินไปก็เห็นแต่โลกวัตถุ ฝ่ายวัตถุบนโลกใบนี้  และแม้เนื้อหนังร่างกาย ก็อยากให้เราทำสิ่งที่เป็นตามโลกวัตถุสิ่งของ เกี่ยวกับเนื้อหนังนี้ มันเหนื่อย เจอปัญหาอะไรต่างๆ เหนื่อยต่างๆ พระเยซูก็เดินอยู่ข้างๆ เรา เดินอยู่ในหัวใจเราตลอดเวลา ร้องเพลงให้เราตลอดเวลาว่าให้เข้ามาหาพระองค์สิ พระองค์มีกำลังที่จะเสริมให้กับเรา พระองค์สามารถช่วยเราได้

หากวันใด ที่เธอไหวหวั่น                อ่อนล้า ทุกสิ่งดูเลือนราง

                        จะดูแลใจเธอ แม้กายเราต้องห่าง  เมื่อยามที่เธอต้องการใครซักคน

** แค่หลับตา                                   เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ

                                    จะมีฉันและเธอเท่านั้น                  ลำพัง  ไม่มีผู้ใด

                                    แม้โลกจะสับสน                             ผู้คนจะมากมาย

                                    แค่หลับตา  เปิดหัวใจ              ให้เราได้พบกัน **

ซึ้งไหม? ปรบมือขอบคุณพระเยซูนะ นี่เป็นคำพูดพระเยซูทั้งหมดเลย เอามาแต่งเป็นเพลง เป็นคำพูดของพระเยซูทั้งหมด พระองค์คอยเคาะอยู่ที่หัวใจเรา ไม่ใช่เคาะเฉพาะคนที่ไม่เชื่อเท่านั้น เชื่อแล้วก็เคาะ เพราะบางครั้ง เราลืมพระองค์ไง เราดำเนินชีวิต บางวันเรานึกว่าเราเดินคนเดียว เราทิ้งพระองค์ไป พระองค์หงอยเลย  เราทิ้งพระองค์ไปเฉยๆ อย่างนั้น ตอนตื่นเช้ามาอธิษฐาน เสร็จออกจากบ้านไป ทิ้งพระองค์ไว้ที่ห้องอธิษฐาน  แล้วก็ไปเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง เหนื่อยแสนเหนื่อย ลิ้นห้อย

“พระเยซูอยู่ไหน?”

“ก็ฉันอยู่กับเธอตลอดเวลา เธอไม่เห็นจะสนใจ หลับตา นึกถึงฉันบ้างสิ จับจ้อง จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน เธอจะเห็นฉันเคียงข้างเธอเสมอ” เอเมน

          ถ้าเรา Set mind ของเรา หรือความคิดของเรา จดจ่อความคิดของเรา ตั้งโปรแกรมความคิดของเรา ให้ปักใจ ให้จับจ้อง จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน คือจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณนั่นเอง เพียงแค่เราหลับตา แล้วก็จะรับรู้ว่าเรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน แม้ว่าร่างกายเราจะยังอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม แต่เราเห็นชัดเจนว่าเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน

 

และพอเราจดจ่อความคิดของเราอย่างนั้น อยู่เบื้องบนแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น ทราบไหมครับ? เมื่อเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็เหมือนกับว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับอาจารย์เปาโล ที่บอกเมื่อตะกี้นี้  คือเราก็จะเห็นภาพชัดเจนของโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นจริง มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่หลับตา ไม่จดจ่อตรงนี้ เราก็จะถูกหลอกตลอด สิ่งที่เราเห็นบนโลกใบนี้ มันเป็นโลกวัตถุทั้งสิ้น สิ่งที่เรามองเห็น เขาเรียกว่าโลกวัตถุ โลกฝ่ายเนื้อหนัง คือพวกวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้นี้ และในเนื้อหนังร่างกายนี้ ซึ่งภาพมันชัดตามสายตาเนื้อเรา … เรามองมันชัด เราสามารถจับมันได้ มองเห็นได้ด้วยตาทางกาย ไม่ต้องไปจดจ่อ มันก็เห็นแล้ว แค่เดินผ่าน มันก็เห็น แค่จับมันก็เห็นแล้ว มันเห็น

แต่การที่จะทำให้เราสามารถรับรู้หรือเป็นภาพทางฝ่ายวิญญาณ ในโลกฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนนั้น เรายังต้องใช้ความพยายามในการจดจ่อจับจ้อง ตั้งเป้า ที่เปาโลใช้คำว่า Set your mind ก็คือตั้งโปรแกรมของความคิด จดจ่ออยู่ที่ฝ่ายวิญญาณ พุ่งเป้าไปที่ฝ่ายวิญญาณ

ในขณะที่เราอยู่บนโลกนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเราไม่พยายามจดจ่อเลย ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ท่านคิดว่าโดยธรรมชาติของเนื้อหนัง ท่านจะเห็นภาพทางไหน? รับรู้ทางไหนชัดเจนกว่ากัน ตอบครับ? เนื้อหนังมันชัดเจนกว่าแน่นอน เห็นไหมครับ ท่านแพ้แน่นอน

ระหว่างภาพวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้  กับภาพทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่บอกว่าเรากำลังอยู่ในพระเยซูคริสต์อยู่ … อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราเป็นลูกของพระเจ้านะ ใครชัดกว่ากัน ถ้าเราไม่ตั้งใจและ Set โปรแกรมความคิดเราไว้ เราก็แพ้ เราก็ตกลงมาอยู่ที่สิ่งที่เราเห็น จับต้องได้ ความรู้สึกต่างๆ  ถูกไหม? อย่างนี้ ยกตัวอย่างอย่างนี้ ท่านคิดเองก็ได้ว่าอันไหนชัดกว่ากัน ท่านกำลังเจ็บป่วยอยู่ ร่างกายเราเจ็บป่วย เจ็บปวด … ปวดตรงนั้น เห็นชัดๆ แต่พอหลับตา ท่านเห็น

“ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเยซูคริสต์ I am heal. ฉันได้รับการรักษาให้หายเรียบร้อยไปแล้ว จากบาปทั้งสิ้น พระเยซูรักษาฉันแล้ว เห็นไหมครับ โอกาสที่เราจะตามเนื้อหนังมันมีเยอะกว่าเยอะ  เพราะมันกระตุ้นเราตลอดเวลา มันเจ็บ แต่ถ้าเรา Set ฝึกตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าตั้งเป้าไว้ที่ฝ่ายวิญญาณ ตั้งเป้าไว้ที่ความคิดในโลกฝ่ายวิญญาณ จดจ่ออยู่ที่นั่น เราสามารถมีสันติสุขได้ ขณะที่เจ็บป่วยนะครับ นี่คือสิ่งที่เปาโลบอกว่ามันเป็นเคล็ดลับ … เคล็ดลับอยู่ที่แค่หลับตา คืออะไร? แค่ตั้งความคิดไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งความคิดไว้ที่เบื้องบน จดจ่อไว้ที่เบื้องบน

“แม้ตอนนี้เราจะขัดสน ขาดแคลน มีคนมาทวงหนี้เยอะแยะ แต่ในวิญญาณนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันมีมากมายมหาศาล ฉันมีชีวิตยิ่งกว่ามหาเศรษฐีอีก”

แล้วมันเป็นจริงตามนั้น เพราะพระเจ้าเป็นผู้บอกเอง พระคัมภีร์บอกกับเราอย่างนั้น มันก็ต้องใช้ฝึกเอา เห็นไหมครับ?

“ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนบาป ทำอันนั้นก็ไม่ดี ทำอันนี้ก็ไม่ดี ทำอันนั้นก็ผิด ทำอันนี้ก็ผิด ทำอันนี้ยังผิดบาปอยู่เลย ก็โกหกเขาอยู่เลย ไม่มีดีอะไรสักอย่าง เธอต้องชดใช้กรรมของตัวเอง ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ก็ต้องไปใช้กรรม ใช้เวร คนเราเกิดมาใช้เวรใช้กรรมตลอดเวลา ทั้งโลกนี้ พูดอย่างนั้นตลอด เข้าหูเราตลอด ได้ยินมาตลอด”

แต่พอเราหลับตา เคล็ดลับหลับตา Set mind ความคิดจดจ่ออยู่ที่เรื่องเบื้องบน ทางฝ่ายวิญญาณปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้า ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สะอาด ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว เป็นกระเทียมดองแล้ว ไม่มีวันกลับไปเป็นกระเทียมสดอีกแล้วตลอดไป เอเมน อย่างนี้ถามว่าอะไรยากกว่ากัน การ Set การตั้งโปรแกรม ความคิดไปที่วิญญาณมันยากกว่า ถามว่ามันทำได้ไหม? มันทำได้นะ เปาโลจึงอยากให้เราทำไง ทำแล้วเราจะได้เหมือนที่เปาโลได้

เพราะฉะนั้นที่บอกว่าให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน หรือจดจ่อกับทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ทางฝ่ายโลก มันจึงทำให้เกิดอะไรขึ้น  มันทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนอย่างที่เปาโลรู้สึก ยิ่งจดจ่อมากเท่าไร เขาเรียกว่ายิ่งซึมซับ อิ่มในโลกฝ่ายวิญญาณมากเท่านั้น  ในระหว่างที่ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้ ทางฝ่ายวิญญาณเราเป็นใคร? เรารู้เราเป็นใคร? เดินไปที่ไหนเราก็รู้ว่าเราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ พระเยซูเดินอยู่กับเราตลอด ก็สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีสันติสุข และมีชัยชนะ และถ้าเมื่อไรที่ความคิดจิตใจของเรา เห็นภาพฝ่ายวิญญาณชัดเจน คือรับรู้ ได้ยิน ได้เข้าใจทางฝ่ายวิญญาณชัดเจน เมื่อเราจดจ่อมากๆ เราก็จะสามารถที่จะรับรู้ และเห็นภาพโลกวิญญาณมันชัดมากขึ้น ชัดมากยิ่งขึ้น มากกว่าอะไร? มากกว่าภาพทางฝ่ายโลก

มันมี 2 ภาพ 2 ข้าง ถ้าท่านจดจ่อแบบที่เปาโลบอก ท่านจะเห็นภาพในโลกฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ชัดเจนกว่าที่เห็นบนโลกใบนี้ เมื่อนั้น ถ้าท่านได้อย่างนั้นเมื่อไร? เมื่อนั้น การดำเนินชีวิตของเราก็จะมีสันติสุข มีแต่สันติสุข ความสงบ ได้พบกับความสงบสุขใจอย่างแท้จริง พระเยซูได้คำนี้ว่าเป็นอิสระอย่างแท้จริง In deed เลย ไม่ใช่อิสระเฉพาะวิญญาณว่าจะได้ไปสวรรค์อย่างเดียว แต่อิสระเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องตกลงไปในความทุกข์ลำบากเหมือนแต่ก่อน  และขณะที่เรา Set ตัวเราแบบนั้น อย่างที่ตะกี้บอก เป็นเคล็ดลับว่าเราหลับตา แล้วเราเห็นเลย  เห็นภาพทางฝ่ายวิญญาณ เห็นอะไร?  โอโห้! เรานั่งอยู่ที่หัวใจของพระเยซูเลย เรานั่งอยู่ที่นั่น ไม่ใช่เบื้องขวาของพระเจ้าอย่างเดียว แต่นั่งอยู่ในใจของพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว มันยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะคิดได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อพระวิญญาณนำเรา แล้วเราจดจ่ออยู่ตรงนั้น  พระวิญญาณจะเป็นผู้  … เขาเรียกว่าเป็นพยานให้กับเรา เป็นผู้ย้ำยืนยันในจิตวิญญาณของเราว่ามันเป็นจริงครับ มันเป็นจริงจ๊ะ มันเป็นจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ นั่งอยู่กับพระองค์จริงๆ

นั่นเป็นสันติสุขจริงๆ หลับตาเมื่อไรก็เห็นพระเยซูอยู่กับเรา ไม่ใช่อยู่กับเราแค่นั้น เรานั่งอยู่ในหัวใจของพระเยซูเลย เรานั่งอยู่ที่นั่น และเมื่อความคิดจิตใจของเราจดจ่อได้ถึงระดับนี้ หรือระดับที่พูดถึงนี้เมื่อไร? คือระดับที่หลับตาก็เห็นเรานั่งอยู่ในพระเยซู นั่งอยู่ที่ใจพระเยซู ถ้าได้ระดับนี้เมื่อไร? ถึงวันนั้น เราก็จะเหมือนเปาโล เราก็ไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้หรอก  เราก็ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เหมือนเปาโลที่บอกว่าถ้าเลือกได้ อาจารย์เปาโลก็อยากจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่เห็นสนุกอะไรเลย  ข้างบนมีความสุขกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้อง Set mind อีกแล้ว ถ้าไปอยู่ข้างบน เบื่อข้างล่างแล้ว  ไม่ใช่การเบื่อแบบชนิดท้อแท้ใจ จะฆ่าตัวตาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ แต่เบื่อ เห็นภาพชัดเจน คิดถึงพระเยซู จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า อย่างนี้  อยากอยู่สวรรค์เร็วๆ

ลองอ่านดูนะว่าประสบการณ์ของเปาโล ต้องการให้เราได้รับอะไรเหมือนท่านบ้าง? ผมจะเอามาให้ท่านอ่านดูว่าท่านอยากได้อย่างนี้ไหม? ฟิลิปปี 1:21-26

ฟิลิปปี 1:21-26 “21 เพราะสำหรับข้าพเจ้าการมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร 22 ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในกายนี้ต่อไป ก็หมายความว่าข้าพเจ้าจะทำงานอย่างเกิดผล แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี 23 ยังลังเลใจอยู่ระหว่างสองทาง ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก 24 แต่การที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็จำเป็นสำหรับพวกท่านมากกว่า 25 เมื่อแน่ใจอย่างนี้  ข้าพเจ้าก็รู้ว่าจะยังอยู่กับพวกท่านทั้งปวงต่อไป เพื่อความก้าวหน้า และความชื่นชมยินดีของท่าน ในความเชื่อ 26 เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับพวกท่านอีก พวกท่านก็จะชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ อย่างเปี่ยมล้น เนื่องด้วยข้าพเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลบอกว่า “ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก” อาจารย์เปาโลต้องการให้เราได้รับแบบท่าน

เปาโล คือผู้ที่จดจ่อความคิดและจิตใจของท่านอยู่ที่เบื้องบน ฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา คือเห็นภาพ รับรู้ ได้ยิน ได้เข้าใจทางฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา ชัดเจนกว่าภาพของโลกใบนี้ ชัดเจนกว่าการรับรู้สิ่งของหรือสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลก็รับรู้บนโลกใบนี้ด้วย แต่ภาพของการรับรู้ทางฝ่ายวิญญาณของอาจารย์เปาโลชัดมาก

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเปาโล ก็คือท่านอยากไปอยู่ทางฝ่ายวิญญาณมากกว่าแล้วตอนนี้ ไม่อยากไปอยู่บนโลกใบนี้ อยากอยู่กับพระเจ้าดีกว่า ทิ้งร่างกายนี้ดีกว่า

“แต่ข้าพเจ้าไปไม่ได้ ถึงแม้อยากจะไป เพราะพระเจ้ายังใช้ข้าพเจ้าให้ทำงานอยู่ ก็เห็นแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าจึงยังอยู่ในร่างกายนี้  เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้สอนพวกท่านในเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ต่อไปไง คือพูดง่ายๆ พระเจ้ายังใช้อยู่ให้เป็นประโยชน์”

คือพูดง่ายๆ พระเจ้ายังใช้อยู่ ให้เป็นประโยชน์อยู่ ใช้ร่างกายนี้ทำงาน ก็คือประกาศข่าวประเสริฐ ทำอะไรก็ได้ตามน้ำพระทัยพระเจ้าต่อไป บางคนคิด

“ฉันก็เหมือนเปาโลนะตอนนี้ ฉันก็อยากจะไปเหมือนกัน ทำไมพระเจ้าไม่ให้ไป ฉันก็ไม่เห็นไปประกาศข่าวประเสริฐที่ไหนเลย”

คำว่า “ประกาศข่าวประเสริฐ” ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนเปาโลนะ เข้าใจใช่ไหมครับ? ที่พระเจ้าให้ท่านยังอยู่ ก็ให้ท่านรับใช้พระเจ้า ในการประกาศข่าวดี ในรูปแบบที่พระเจ้าเตรียมให้กับท่าน อะไรก็ไม่รู้ ถ้าเป็นแม่บ้าน ก็เป็นแม่บ้านต่อไป  เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าเป็นอาม่า อากงแก่ๆ พระเจ้ายังไม่รับไป ก็อยู่ แสดงว่าพระเจ้าใช้เขา ใช้ทำอะไร ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้าจะตั้งชีวิตแต่ละคนไว้เป็นอย่างไร? จงขอบคุณพระเจ้า ขณะนั้น เรายังทำงานอยู่ เมื่อหมดหน้าที่ ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเด็กขนาดไหน? เล็กขนาดไหน? อายุเท่าไร? ถ้าหมดหน้าที่ พระเจ้ารับไปทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องห่วง พระเจ้าดูแลให้เรื่องนี้ เอเมน เข้าใจนะ ไม่ใช่เดี๋ยวกลับไปนี้ ทุกคนพยายามที่จะหา ประกาศข่าวประเสริฐกันใหญ่ ไม่ใช่ ประกาศอยู่แล้ว ท่านทำกับข้าวอยู่ดีๆ อยู่ที่บ้าน ดูแลลูกหลาน เลี้ยงหลานอยู่ที่บ้าน ท่านก็กำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่ พอเข้าใจไหม? เรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ต้องมาทำตามกันทุกคน ไม่ต้องทำเหมือนกันหมด

แล้วเปาโล คนเดียวกัน ก็ได้รู้แล้วว่าโลกฝ่ายวิญญาณกับโลกฝ่ายวัตถุ มันแตกต่างกันอย่างไร? เปาโลจึงบอกว่า.-

“ในขณะที่ข้าพเจ้าขัดสน แต่ข้าพเจ้ามีพร้อม”

ฟังดู ฟิลิปปี 4:11-13 ดูสิ ประสบการณ์อย่างนี้ อยากได้ไหม? อยากได้มาก เป็นเหมือนเมื่อตะกี้นี้ที่ผมพูดไหม? เหมือนเลย ถ้าเราทำอย่างที่เปาโลสอนเราได้ คือตั้งโปรแกรม ความคิดของเรา จดจ่อไว้ที่เบื้องบน  เราก็จะได้รับสิ่งนี้เหมือนกัน

ฟิลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร 12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้  โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”  เอเมน

 

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) รู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร?  และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็รู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร?”

และเราก็รู้ว่ายามแข็งแรงเป็นอย่างไร? ยามร่างกายร่วงโรยอ่อนแอมันเป็นอย่างไร? รู้ไหม? และข้าพเจ้าก็รู้ว่าไปไหนมิตรสหาย ก็เข้าใจข้าพเจ้าหมด กับตอนนี้บางคนเขาไม่เข้าใจ มันต่างกันอย่างไร? รู้ไหม? รู้ ชีวิตบนโลกเป็นอย่างนี้

ฉะนั้นเปาโลบอกว่าอย่างไร? “ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับ ที่จะพอใจกับสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ทุกสถานการณ์เลย”

เราตะกี้นี้ บอกเราอยู่ในสถานการณ์ทั้งหมดนั้น เราอยากมีความพอใจในทุกสถานการณ์ไหม? เราอยากมีความพอใจ ในตอนที่เพื่อนฝูงไม่เข้าใจเรา คนนี้ก็ไม่เข้าใจเรา ทั้งๆ ที่เราหวังดีกับเขา เราทำดี เขาไม่เข้าใจหรอก เราอยากจะมีความพอใจในขณะที่ถูกเขาเอาเปรียบเราไหม? เขาเอาเปรียบเราใหญ่เลย  เราก็ยังพอใจอยู่ ยิ้ม เราพอใจไหม?  ที่ตอนนี้ เราพยายามดูแลสุขภาพที่สุด มันได้แค่นี้ มันเจ็บป่วยไปตามวัย หรืออะไรก็ว่าไป  เราพอใจได้ไหม? เราพอใจในขณะนี้  ที่เราขาดๆ เกินๆ ไม่มีเกินหรอก มีขาดอย่างเดียว เงินก็ไม่พอ ชักหน้าไม่ถึงหลัง มีแต่หนี้สิน เราพอใจไหม? หรือเรากำลังบอกว่า.-

“ไหนๆ พระเยซูคริสต์บอกเราจะมีเยอะแยะมากมาย ไม่เห็นมีเลย”

หรือเราพูดอย่างนั้น เราบ่นอย่างนั้น หรือเราบอกว่า.-

“ขอบคุณพระเจ้า ลูกทำดีแล้ว ฝากไว้ที่พระองค์”

เราพอใจไหม?  ถ้าเราอยากพอใจ ไม่ยาก มันมีเคล็ดลับ มาดูกันต่อไป

เปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าเผชิญเรือแตก ก็ทนได้ ข้าพเจ้าเรียนรู้วิธีที่จะอยู่บนโลกนี้อย่างพอเพียง เพราะข้าพเจ้ารู้เคล็ดลับ”

เคล็ดลับ คืออะไร? เปาโลรู้แล้ว บอกเราเรียบร้อยแล้ว เคล็ดลับ ก็คือแค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ ใช่ไหม? เคล็ดลับ ก็คือมองไปที่เบื้องบน เคล็ดลับ ก็คือจดจ่อความคิดเราไปที่เบื้องบน เคล็ดลับของเรา ก็คือ Set ตั้งโปรแกรมเราไว้ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และเราอยู่ในพระองค์ เรานั่งอยู่ในหัวใจของพระเยซู เอเมน พูดแค่นี้ยังมันเลยนะ  ภาพตอนนี้ท่านชัด เพราะท่านฟังอยู่ แต่เดี๋ยวออกจากโบสถ์ไป ท่านก็เริ่มลางเลือนแล้ว ตอนที่ออกจากนี้ไป  รถท่านถูกเฉี่ยวตอนนี้ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ก็ถูกลากลงมาอยู่บนโลกใบนี้

“รถของฉัน”

“ที่ไหนรถของเธอ? ที่ไหน?”

“บนโลกใบนี้”

“แล้วมันเป็นอะไร?”

“กระจกมองข้างมันหายไปแล้ว”

เมื่อท่านออกไป แล้วกลับบ้าน ขึ้นรถเมล์ โบกตั้งนาน มันไม่จอดเลย ไม่ยอมจอดเลย ท่านต้องรอตั้งนาน ร้อนก็ร้อน จนกระทั่งฝนตกมา แล้วรถถึงจะมาอีกคัน คันที่ 5 แล้วยอมจอดให้ท่านขึ้น ตอนนั้นท่านอยู่ที่สวรรค์หรืออยู่ที่บนโลก นั่นแหละ ที่ท่านฟังอยู่ในโบสถ์ ขณะนี้ จำได้ไหม? ท่านยังจำตรงนี้ได้ไหม?

          เคล็ดลับ คือให้เรารู้ว่าเราอยู่เบื้องบน เราอยู่ในสวรรค์ โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา

                   “โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา                  ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

                   สมบัติฉันสะสมไว้                    ที่ในสวรรค์เบื้องบน

                   ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่               ณ ประตูบนวิมาน

                   และฉันรู้ว่าโลกนี้                       ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

 

ทุกวันนี้ทูตสวรรค์ยังร้องเรียกเลย “เมื่อไรจะมาๆ”

เราก็บอกว่า “เดี๋ยวรอพ่อก่อน พ่อบอกไปเมื่อไร ก็ไป”

นี่มันหมายถึงอย่างนั้น  โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  จะเอาอะไรกับมันมากมายนัก ใช่ไหม? นี่คือที่บอกว่าการจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก มันเกิดผลอย่างนี้แหละ เอาหรือไม่เอา? อยากได้ไหม? อยากได้

คริสเตียนต้องหลับตาเดิน คริสเตียนต้องหลับตาเดินถึงจะมีชัยชนะ พระคัมภีร์บอกว่า Walk by faith Not by sight ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านเดินไป แล้วท่านหลับตา ไม่ใช่นะ ขับรถก็หลับตา ตกหลุมตกร่องไป อันนั้นช่วยไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ นี่หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณ ให้เราหลับตา เราถึงจะเห็น ลืมตา เรากลับไม่เห็น คริสเตียนเราต้องหลับตา ตรงนี้หมายถึงให้เราจับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งก็คือสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ให้เราปักใจ จดจ่ออยู่ที่นั่น เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น มันทำไมรู้ไหมครับ? ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4 ชัดมากเลย บอกว่า.-

“เพราะสิ่งที่เรามองเห็น คือวัตถุสิ่งของจับต้องได้ ที่อยู่บนโลกใบนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น คือสิ่งที่อยู่เบื้องบนสวรรค์สถาน ที่เรา Set your mind นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ เอเมน”

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

เอเมน … ขอบคุณพระเจ้า เอเมน

พูดตามผมนะครับ “เพราะฉะนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จึงไม่ท้อใจอีกแล้ว ถึงแม้กายภายนอกของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังทรุดโทรมไป ป่วยบ้างนิดหน่อย เจ็บโน่น เจ็บนี่ รักษาไม่หายสักที แต่วิญญาณภายในของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน ได้ยินไหม? วิญญาณภายในของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก ดังนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จึงไม่จับจ้อง ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) มองเห็นนั้น บนโลกใบนี้นั้น ไม่จีรังยังยืน แต่สิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) มองเห็นนั้น การเงินนั้น ร่างกายนั้น สุขภาพร่างกายนั้น ครอบครัวบนโลกใบนี้นั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ไม่เห็นนั้น คือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั้นถาวรนิรันดร์ เอเมน”

ให้เราจดจ่อ ปักใจ จับจ้อง ที่เบื้องบน ที่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ ซึ่งเห็นไม่ชัดเจน ไม่เหมือนกับที่ตา มองก็ตาม แต่เมื่อใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าของพระเยซูที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ คือแค่หลับตา เห็นหมดเลย เป็นไปตามถ้อยคำพระเยซูพูดทั้งสิ้น แค่หลับตา ได้ยินเสียงพระเยซูเลย แค่หลับตาได้เข้าถึงว่าพระเยซูพูดว่าอะไร? หลับตา ได้รู้ว่าน้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเยซูคริสต์ หรือของพระบิดา คืออะไร? สำหรับเราที่รักพระองค์ น้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้าสำหรับเราที่รักพระองค์ คืออะไร? คือสิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ท่านรักพระองค์ไหม? ถ้าท่านรักพระองค์ ท่านหลับตา … หลับตาเพื่ออะไร? เพื่อพอหลับตาครั้งใด ท่านจะเห็นว่า.-

“ฉันอยู่ในพระคริสต์”

นี่คือเคล็ดลับ “หลับตาเมื่อไร ฉันเห็นว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ ทั้งหมดนั้นอยู่ในนั้นหมดแล้ว ทรัพย์สมบัติ ความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ อยู่ในนั้นหมดแล้ว แล้วมันจะอยู่อย่างนั้นถาวรนิรันดร์”

เคล็ดลับ คือให้เราหลับตาเท่านั้นเอง หลับตาเราจะเห็น หลับตาเราจึงจะได้ยินเสียงพระเยซู หลับตา เราจึงจะเห็นพระองค์ หลับตาแล้วเราจะเข้าใจว่าพระองค์ต้องการให้เราทำอย่างไร? หลับตาแล้วเราจะรู้ว่าเราควรดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร? หลับตาลง ร้องบทเพลงนี้ร่วมกับพระเยซู

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 7 “ปลูกแตงโม ได้แตงโม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 7 “ปลูกแตงโม ได้แตงโม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ก่อน เทศน์เรื่องอะไร?  ตอนที่ 5 ใช้ชื่อเรื่องว่านั่งเครื่องบิน ตอนที่ 6 ครั้งที่แล้ว ใช้ชื่อตอนว่ากระเทียมดอง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 7 วันนี้ จะตั้งชื่อเรื่องหลังจากบรรยายแล้ว

ครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันเรื่องผลของการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง และมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง? ซึ่งผมได้สรุปเป็น 2 ประเด็นหลักๆ มาย้ำกันดูนิดหนึ่ง

ประเด็นแรก คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎใหม่ได้เอาชนะกฎเก่าไปเรียบร้อยแล้ว

กฎเก่า คือกฎแห่งบาปและความตาย ถ้าใครทำผิดทำบาป แม้เพียงนิดเดียว ก็ต้องรับโทษ คือความตาย ซึ่งทุกคนที่อยู่ภายใต้กฎเก่าก็ต้องตายอย่างแน่นอน เพราะทุกคนเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกไว้ ตายในที่นี่ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? อยู่บนโลกใบนี้ ก็ตายอยู่ ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้ อธิษฐานกับพระเจ้าไม่ได้ ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ และเมื่อทิ้งร่างกายไปนี้ ทิ้งร่างกายที่เรามองเห็นนี้ คือตายจากโลกนี้ไป ก็จะไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย

ส่วนกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายไปแล้ว คือได้รับอิสรภาพจากกฎเก่าแล้ว ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป ไม่ต้องตายและตายอีกไป อยู่บนโลกนี้ ก็รู้จักพระเจ้าเลย อธิษฐานกับพระเจ้า รู้จักกับพระเจ้าพระบิดาเลย แล้วก็เมื่อทิ้งร่างกายนี้  ร่างกายที่เราอยู่อาศัยนี้  จากโลกนี้ไป ก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล นั่นแหละเรียกว่าอยู่ในกฎใหม่ หลุดพ้นจากความบาปและความตาย หมายถึงอย่างนี้นะ นี่คือประเด็นแรกนะ

ประเด็นที่สอง คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราได้กลายสภาพเป็นจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่สกปรก ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ตายอยู่”

“ตายอยู่” ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า เขาเรียกว่าวิญญาณที่ตายอยู่

เราได้กลายสภาพจากวิญญาณที่ตายอยู่นี้ กลายมาเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป เรียกกันว่ามีชีวิตขึ้นมาทันที พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มีชีวิต”

“มีชีวิต”

หันไปหาคนข้างๆ บอกว่า “เธอมีชีวิต”

ไม่ใช่ว่าเรามองเห็นว่าเขาหายใจ แล้วบอกว่า “เธอมีชีวิต”

ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ เข้าใจไหม? อยู่ในกฎใหม่แล้ว เป็นวิญญาณใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มีชีวิต ท่านทราบตรงนี้นะ แปลว่าอย่างนี้นะ เมื่อไรก็ตามได้ฟังคำบรรยาย หรือว่าอ่านเองในพระคัมภีร์ ถ้าบอกว่ามีชีวิต ท่านมีชีวิต มันหมายถึงวิญญาณนะ ไม่ใช่มาย้ำท่านว่าท่านหายใจอยู่ ท่านมีชีวิต ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เป็นเรื่องของวิญญาณ ก็คืออะไร? ก็คือสภาพเปลี่ยนใหม่ จากที่เราบอกว่าสภาพที่เป็นกระเทียมสด กลายเป็นกระเทียมดอง … ดองกับใคร? ดองกับตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเยซูพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

และในครั้งที่แล้ว เราก็ได้อ่านพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ใช่ไหม? ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าได้ย้ำยืนยันในบทนี้  ให้กับเราอย่างชัดเจน ระหว่างความแตกต่างของการอยู่ภายใต้กฎเก่า และภายใต้กฎใหม่ใช่ไหม? ซึ่งพอจะสรุปใจความสำคัญได้อย่างนี้นะครับว่าผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า คือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์จะปักใจอยู่กับความต้องการทางเนื้อหนัง ที่พยายามจะแสวงหาความรอดจากการกระทำของตนเอง เพราะเนื้อหนังของคนเหล่านี้ ที่อยู่ภายใต้กฎเก่านั้น จะคอยกระตุก คอยย้ำเตือนว่า.-

“ต้องทำดีๆ”

เพื่อชดใช้บาปเวรกรรม ซึ่งได้ยินแว่วๆ หูตลอดเวลาว่า.-

“เมื่อไรจะชดใช้บาปเวรกรรมหมดสักทีหนึ่ง คนเราเกิดมา มันก็ต้องใช้เวรกรรม เรื่องธรรมดา”

คนที่อยู่ในวิสัยบาปจะคิดอย่างนี้  ชดใช้ก็ไม่รู้ว่าหมดเมื่อไร? เราเองสมัยก่อนก็คิดอย่างนี้ เมื่อไรมันจะหมดสักที แต่เรารู้ว่าเราต้องใช้เวรใช้กรรม ใช่ไหม?

แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ หรือตามวิญญาณ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณนั้น ก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่เป็นกระเทียมดอง เขาก็จะปักใจในสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คืออะไร? ก็คือเป้าหมายของพระเจ้าที่ต้องการให้มนุษย์เป็น คือต้องการให้เราได้ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน และพระองค์ก็ได้ประทานสิทธินั้นให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ชำระเราให้สะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งได้มาเป็นบุตรของพระเจ้า คนที่อยู่ในพระคริสต์ก็จะปักใจตรงนี้แหละ เชื่อตรงนี้แหละ อยู่ในชีวิต มีความหวังอยู่ตรงนี้แหละ ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน

ครั้งที่แล้ว เราถึงได้จบลงที่ตรงนี้ว่าให้เราย้ำเน้นกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในพระคริสต์ มันอยู่อย่างไร? ลักษณะเป็นอย่างไร? แล้วก็ให้เราดำเนินชีวิตจดจ่อในแต่ละวัน โดยให้พระวิญญาณนำ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือให้วิญญาณข้างในเราเองนั่นแหละนำ พระวิญญาณนำ ถามว่านำใคร? นำวิญญาณของเรา วิญญาณของเรา คือใคร?  วิญญาณของเราที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นดองกับ 3 พระภาคนั่นเอง

เพราะฉะนั้นจะบอกว่าให้แต่ละวันเราดำเนินชีวิตให้เน้นไปที่ไหน? ที่วิญญาณของเราก็ได้ ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจไหม? หรือจะเน้นไปที่บอกพระวิญญาณนำ ก็ได้ ก็คือหนึ่งเดียวกัน เพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ท่านจะมองเห็นภาพนะ เหมือนอย่างที่เปาโลพยายามที่จะบอกเราว่าเปาโลเขาได้อะไร? แล้วเขาอยากจะให้เราเป็นอย่างไร? เมื่อเราเชื่อในพระเยซู ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 เราจะอ่านกันนะครับ เปาโลอยากให้จดจ่ออยู่ที่ในพระคริสต์ เบื้องบน ก็คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ มันสำคัญกับเราอย่างไร? โคโลสี 3:1-4 อ่านแล้วเราจะได้ปฏิบัติตาม นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่มาถึงเรา ที่บอกเราว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราควรจะทำอะไร?

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เบื้องบนตรงนี้ คือที่ไหน? เบื้องบนตรงนี้ ก็คือที่ในสวรรค์ ที่เราคิดว่าเป็นในสวรรค์ หรือจะบอกว่าเบื้องบน ก็คือที่วิญญาณ หรือจะบอกว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ  หรือจะบอกว่าที่เกี่ยวกับวิญญาณ ทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ตรงนี้บอกให้เราจดจ่อที่ไหน? จดจ่อที่วิญญาณ คิดว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ วิญญาณพระเยซูอยู่ที่ไหน? และเรื่องเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่สติปัญญาบนโลกใบนี้

ถ้อยคำตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญของผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ควรจะทำอย่างนี้ หรือการดำเนินชีวิตโดยให้วิญญาณนำ ก็คือการดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ซึ่งจะทำให้ชีวิตบนโลกใบนี้พบกับสันติสุข ความสงบสุขมากเลยทีเดียว เหมือนที่เปาโลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ทำได้ เอเมน เรียกว่าอัศจรรย์ ชีวิตอัศจรรย์ มันเป็นไปได้จริงๆ  คือในทางวิญญาณ ใครที่ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ฟังให้ดีๆ นะครับ ใครที่อยู่ในพระคริสต์แล้ว ในทางวิญญาณนะ ก็จะได้รับความรอดแล้วอย่างแน่นอน แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เราได้รับสันติสุขขณะอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ระหว่างยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่รอคอยที่วันหนึ่งพระเจ้าจะรับวิญญาณเรากลับบ้าน ทิ้งร่างเก่านี้ไป ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเยซูต้องการให้เรา มีชีวิตอยู่ที่เต็มไปด้วยสันติสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข แสดงว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ไม่อย่างนั้น พระองค์คงไม่พูดว่าให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข

นี่เป็นอะไร?  นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าต้องอดทน ทุกข์ๆ ไป ไม่มีทางเลือกเลยนะ  แล้วก็รอให้ไปสวรรค์ แล้วจะมีความสุข ไม่ใช่ … ใช่บนโลกใบนี้มีความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบนี้ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ตกอยู่ในความบาป  ที่อาดัมและอีฟได้นำเข้ามาบนโลกใบนี้แล้วก็จริงอยู่ แต่พระเยซูบอกว่าอย่างไร? อยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราได้ชนะโลกนี้ไปแล้ว ชนะโลก ก็คือชนะสิ่งเหล่านั้น ความทุกข์เหล่านั้น ไปเรียบร้อยแล้ว ความวุ่นวาย ความวิปริต ผิดเพี้ยนของโลกใบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยพระเยซูชนะ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เราอยู่ในพระเยซู … พระเยซูชนะ เราก็ชนะด้วย  เพราะฉะนั้น เราต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบมีชัยชนะตรงนั้น  เราจะได้มีสันติสุข เขาถึงเรียกสันติสุข เขาถึงไม่เรียกความสุข มันเรียกว่าสันติสุขไง

เปาโลจึงบอกว่าวิธีการที่จะทำให้เราได้รับสันติสุขบนโลกนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ก็คือ “จงให้ใจและความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก” ภาษาอังกฤษนะครับ อันนี้พระคัมภีร์ยอดเยี่ยม ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “จดจ่อ” เขาใช้คำว่าอะไรรู้ไหมครับ? “Set your mind above where Christ is.”

Set your mind” คำนี้ยอดเยี่ยม เพราะอะไรรู้ไหมครับ ถ้าแปลตรงคำภาษาไทย ปัจจุบันนะ มันตรงกับคำที่กำลังฮิตเลย ต่อไปจะฮิตมากกว่านี้ เขาเรียกว่า Set your mind แปลว่าอะไรรู้ไหม?  Set แปลว่าอะไรรู้หรือเปล่า? ตั้งโปรแกรมความคิดของท่านที่โลกวิญญาณ ที่ในสวรรค์เท่านั้น พอตั้งโปรแกรม คนรู้เลย นึกถึงคอมพิวเตอร์ นึกถึงไอโฟน ไอแพค ไออะไรเยอะแยะ ไอค๊อกแค๊ะ ท่านนึกถึง Set อ๋อ! กด เพราะฉะนั้นใครตอนนี้ Errorไป ก็ทำไม? เดี๋ยวก็กลับไป set ใหม่ set ไปที่ไหน? Set ไปที่โลกวิญญาณ set ไปที่สวรรค์

 

“ฉันเป็นใครในพระคริสต์ๆ”

Set ไปตรงนี้ นี่เปาโลบอกไว้อย่างนั้น

คำว่า “ให้ใจและความคิดของท่านจดจ่ออยู่ที่สิ่งเบื้องบน” หรือคำว่า “Set your mind above” ทำอย่างไรครับ? เราลองย้อนมาดูตัวเราเองนะครับ ที่ผ่านมา จะกี่ปี กี่สิบปีก็แล้วแต่ เคยมีไหมครับที่เรารู้สึกอยากได้อะไร หรือที่พูดกันบ่อยๆ ว่าฝันอยากได้อะไรบ้าง? นั่นแหละ คือ set your mind เคยไหม?  ย้อนกลับไปสิ  ท่านเคยคิดว่าอยากได้ เดี๋ยวไม่ต้องย้อนกลับไปมาก ย้อนกลับไปแค่เมื่อวานนี้ก็ได้ ท่านฝันว่าท่านอยากได้อะไร? จะคนเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็มีความฝันกันทั้งนั้น ถูกไหมครับ? หรือว่าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่มีความฝัน มี

บางคนก็บอกว่าฝันอยากจะไปเที่ยวไกลๆ พอหลับตา นึกถึงภาพตัวเอง นั่งอยู่ที่ชายหาดกว้างๆ  น้ำทะเลใสๆ จนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในทะเล มีเสียงเพลงเบาๆ เพราะๆ

หลับตาลงสิ ฟังผมอย่างเดียว … ฟังเพลงเพราะๆ อยู่ริมชายทะเล ลมพัดเย็นๆ เฉื่อยๆ นึกถึงภาพเหล่านี้ ยิ้มนิดๆ แค่นี้ก็มีความสุข … พอลืมตามาอีกที โอโห้! อยู่ในรถเมล์ ผู้คนมากมายร้อนแดด โอ๊ย! ร้อนๆ วันนี้ทำไมร้อนอย่างนี้ เหงื่อแตกเลย ใช่หรือไม่ใช่?

ถามว่าตอนที่หลับตาตะกี้นี้ มันมีสุขไหม? สุข ท่ามกลางอะไร?  ท่ามกลางแดดร้อน รถเมล์วุ่นวายไปหมดอะไรต่างๆ เหล่านี้ ของโลกใบนี้ ถูกไหม?

นี่คืออะไร? นี่คือความสุขที่สามารถหาได้  ไม่ใช่เฉพาะมาเชื่อพระเจ้าแล้วได้  รู้วิธียังได้เลย เขายังเอาไปใช้ในการสอนหรือว่าการรักษาคนที่เป็นโรคเครียด นี่คือหนึ่งในการรักษา เขาบอกให้หลับตา แล้วยิ้ม นึกถึงอะไรก็ตามที่สวยๆ ที่ตัวเองชอบ แล้วยิ้ม

บางคนเขาก็สอนบอกว่ารักษาด้วยวิธียิ้มไม่พอ แถมนึกถึงอะไรที่มีความสุขมากๆ แล้วหัวเราะออกไปเลย  ลืมตามา เรื่องทั้งนั้น  ตอนลืมตามันหัวเราะไม่ออก แต่หลับตามันหัวเราะได้ ถามว่าให้ทำอย่างนั้น เพื่ออะไรรู้ไหม? เพราะมีกฎระเบียบของพระเจ้าสร้างไว้ว่าเมื่อร่างกายมันเป็นอย่างนั้นขึ้นมา มีความรู้สึกในการ Set your mind จดจ่อที่ความคิด ความคิดท่านเป็นอย่างนั้นเมื่อไร? มันจะเกิดหลั่งสารสุขออกมา  นี่ไม่ใช่เรื่องวิญญาณ เป็นเรื่องวัตถุแล้วนะ สารสุข คือสารเคมีตัวหนึ่งที่หลั่งออกมา เมื่อเราคิดแล้วมีความสุข ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นหรือเปล่า?  ไม่เป็น ความจริงมีปัญหาเยอะแยะ เปิดตาออกมา นั่นก็ทวงหนี้  นี่ก็มาวุ่นวาย แถมยังป่วยอยู่ หลับตาเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต สารสุขหลั่งได้ เขายังเอาไปใช้ในโลกใบนี้เลยนะ ในการรักษาสุขภาพร่างกายของคน  คือการ Set your mind คือจดจ่อไปที่ทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น เขาถึงบอกกันว่าคริสเตียน ควรจะมีการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ด้วยการหลับตา ไม่ใช่ลืมตา ถ้าคริสเตียนหลับตามีความสุข ถ้าคริสเตียนลืมตา มันลำบากนะ  เพราะฉะนั้นคริสเตียนต้องหลับตา เวลาอธิษฐานส่วนใหญ่เราจึงหลับตา ถูกไหม? เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ท่านต้องหลับตาบ่อย เจออะไรไม่ชอบมาพากล หลับตาก่อนเลย  แต่ยกเว้นตอนขับรถ ไม่ได้นะ

ผมนึกถึงเพลงๆ หนึ่ง ผมเอาคอนเซ็ปนี้ คือคริสเตียนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือแค่หลับตา ถูกไหม?

ด้วยความเชื่อ คือไม่ใช่ด้วยตามองเห็น พระคัมภีร์บอกว่าเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ผมก็เลยเอาคอนเซ็ปนี้ไปให้ไก่ สุธี เขาแต่งเพลงๆ หนึ่ง อยากให้แต่งเพลงนี้ แล้วเขาก็แต่งออกมาได้ดีด้วยนะ … หลับตาแล้วเราจะได้อยู่ใกล้ๆ พระเยซู พอเราหลับตาปุ๊บ เราไปนั่งอยู่ที่ไม่ใช่ข้างๆ พระเยซูนะ แต่นั่งอยู่ในหัวใจของเธอเลย เคยได้ยินไหม? ถ้าเป็นแบบมนุษย์เขาเรียกว่าเลี่ยน แต่ทางพระเจ้ามันใช่เลย

          ในพระคัมภีร์บอกในพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับใคร? ร่วมกับพระเยซูคริสต์ “In” เลยนะ ไม่ใช่นั่งข้างๆ In ในพระเยซู เรานั่งตรงนั้น ที่ไหน? ทางฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้น ทางฝ่ายวิญญาณเรามองไม่เห็น แต่หลับตาแล้วเห็น เพราะฉะนั้น หลับตาแล้วเราก็นั่งอยู่ในหัวใจพระเยซู ซึ้งกันทั้งคู่เลย นี่ขนาดเขาเอาไปจีบกันได้เลย

 

พระเยซูจึงบอกว่า.-

“นี่แหนะ เราเคาะอยู่ที่หัวใจของเธอ เปิดออกสิ แล้วเราจะได้เข้าไป”

เปิดหรือยัง? เปิดด้วยวิธี Set your mind ตั้งโปรแกรมในความคิดใหม่ ตั้งโปรแกรมไว้ที่วิญญาณ พระคัมภีร์บอกในวิญญาณเป็นอย่างไร? Set ไปตรงนั้นเลย  พระคัมภีร์บอกวิญญาณของเรา นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า Set ไปตรงนั้น ให้เห็นว่าเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เพลงว่าอย่างนี้นะ

                        “แค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ

                        จะมีฉันและเธอเท่านั้น ลำพังไม่มีผู้ใด

                        แม้โลกจะสับสน ผู้คนจะมากมาย

                        แค่หลับตา เปิดหัวใจ ให้เราได้พบกัน”

โอ๊ย! ซึ้ง แค่ฟังก็ซึ้งไปหมดเลย นี่คือพระเยซูกำลังร้องเพลงนี้กับเรา  พระเยซูกำลังบอกเราว่าดูสิ แค่หลับตา เราก็สามารถอยู่ใกล้ๆ เวลาคิดถึงพระเยซู เราจะทำอย่างไร? จะใกล้พระเยซูได้  ถ้าเราบอกว่าพระเยซูอยู่ในสวรรค์ และอยู่ไกลกันเหลือเกิน แล้วจะรอให้วันที่จากโลกนี้ไปเจอกับพระเจ้า  ถามว่าทำได้ไหม? ทำได้ แต่ไม่มีอะไรที่ดีกว่านั้น แล้วเหรอ?

“เมื่อไรเธอจะกลับมาจากอเมริกาสักที ฉันรอเธอตั้งนาน ไม่มีอะไรดีกว่านั้นแล้วเหรอ ต้องเรียนจบถึงจะเจอกันเหรอ”

“อ๋อ! มีสิ”

“ทำอย่างไร?”

“แค่หลับตาเธอยังมีฉันข้างเธอเสมอ”

เห็นไหม? คิด แล้วทำไม? หลับตาลง คิดถึงพระเยซูก็หลับตา คือผมกำลังอยากจะบอกว่าแค่ยกตัวอย่างพวกนี้ เราก็พอจะบอกเห็นภาพแล้วว่าการที่เราจดจ่อ ปักใจ หรือ Set your mind หรือว่า Set mind หรือ Set ตั้งความคิดของเรา หรือความฝันของเรา ที่เราอยากจะได้ หรืออยากจะให้เป็น อยากจะให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราเลย แค่เพียงเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้นบนโลกใบนี้ เรายังได้ประโยชน์จากมันมากมาย ได้รับความสุข นั่งยิ้มอยู่คนเดียวได้ เหมือนเมื่อตะกี้นี้ ท่านลองคิดดูสิ และมากกว่าสักเท่าใด สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เชื่อพระเยซูแล้ว เป็นกระเทียมดองแล้ว ที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมให้กับเรา โดยการเรียนรู้แล้ว คือพระเจ้าได้เตรียมชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา และเราจะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์ เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องมีความบาปติดตัวอีกแล้ว นิรันดร์กาล สวรรค์ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา

ท่านคิดว่าคนที่คิดอย่างนี้ Set mind หรือตั้งความหวังไว้ตรงนี้ได้ ตลอดเวลาควรจะมีความสุข สันติสุข พักผ่อนในชีวิตมากขนาดไหน?  ตอบสิ มากขนาดไหน? มาก เยอะเลย นี่แหละคือที่เป็นเคล็ดลับที่เปาโลอยากให้เราได้รับ นี่แหละคือสิ่งนั้น ถ้าทำไม่ได้ เปาโลคงไม่บอก และสำหรับคนทั่วไป ที่มีความฝัน หรือมีใจจดจ่ออยู่กับความฝันบนโลกนี้นะ นึกให้ดีนะ อาจมีความสุขได้ ในขณะที่กำลังนึกฝันอยู่ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราว ชั่วแป๊บเดี๋ยวเท่านั้น  พอลืมตามาเจอปัญหากันหมดแล้ว แต่ในทางพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตลอดนิรันดร์ หลับตาเมื่อไรเห็นอย่างนั้น หลับตาเมื่อไรเห็นตรงนั้น แล้วมันเป็นพันธสัญญาจากพระเจ้า ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนที่ตะกี้เราหลับตาๆ ว่าเราจะไปภูเก็ต หลับตาว่าเราจะไปอันดามัน หลับตาแล้วเราจะไปมัลดิฟอะไรอย่างนี้ เราอาจจะไม่ได้ไปก็ได้นะ ถูกไหม? แต่ในทางพระเจ้า เราได้ไปแน่ๆ เห็นไหม?  แล้วมันจะมีความสุขมากกว่ากันขนาดไหน ท่านคิดดูสิ คนที่เป็นคนยืนยันกับเราว่าเราได้ไปนั้น คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรค์สิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสิ่งสารพัดทุกสิ่งเลย  ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ควบคุมอยู่ ตื่นมาตอนเช้า เราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เหมือนเดิม เราก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียวว่าที่เราฝัน ที่เรา Set your mind ที่เรา Set mind ตั้งใจ จดจ่อไว้เบื้องบนที่ว่าวันหนึ่ง เราจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น มันเป็นจริงครับ เพราะว่าผู้ที่สัญญานั้น คือผู้เดียวกันกับผู้ที่สั่งดวงอาทิตย์ขึ้นนั่นแหละ มันขึ้นที่เดิมตลอดเลย ใช่ไหม?  เอเมน

แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เปาโลสอนว่าอย่างไร? เปาโลสอนบอกว่าให้เราเอาใจจดจ่อ ให้เอาความคิดของเราจดจ่อไว้กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่ฝ่ายเนื้อหนังบนโลกใบนี้ แต่ให้จดจ่อกับที่ฝ่ายวิญญาณของเรา  ฝ่ายวิญญาณๆ ไม่ใช่เรื่องสวรรค์อย่างเดียว แต่รวมทั้งหมดเลย แต่ถ้าเราบอกสวรรค์ บางทีเราคิดแค่เพียงสวรรค์ที่ว่าเป็นสวรรค์ แต่ถ้าเราบอกว่าทางฝ่ายวิญญาณ เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าไม่ใช่สวรรค์ก็ได้ บนโลกใบนี้ ก็มีวิญญาณ ทางฝ่ายวิญญาณ และฝ่ายวัตถุสิ่งของที่จับต้องได้

ลักษณะนี่แหละ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้เราคิดว่าอะไรที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็กก็ตาม ให้เราคิด ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกใบนี้ คืออย่างนี้ ยกตัวอย่าง สมมติในขณะนี้ วิญญาณท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ อยู่กับพระเจ้า ในไหน? ในสวรรค์ ร่างกายท่านอยู่ที่ไหน?  ร่างกายท่านอยู่ที่โบสถ์โฮลี่ นั่งอยู่ ให้ท่าน Set อย่างนี้ ไปที่ไหนให้ท่านรู้ตลอดเวลา รู้ตัวตลอดเวลา อยู่ที่ไหน? ตอบสิ แล้วแต่คนถาม ถ้าคนถามเข้าใจตรงนี้  ท่านก็สามารถตอบได้ ท่านอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้านิรันดร์กาล ใช่ไหม? เจ้านายไม่รู้จักพระเจ้าถามท่าน

“ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

“อ๋อ! ฉันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน”

เจ้านายบอก “เดี๋ยวมาเอาเงินเดือนสุดท้ายไปเลย ไม่ต้องมาทำอีกแล้ว จะส่งไปโรงพยาบาลด้วย”

ท่านเข้าใจไหม? ให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ใช่คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ท่านสามารถพูดจริงด้วย ถามว่าจริงด้านไหน? ท่านจำเป็นต้องพูดด้านไหน? ถ้าท่านจำเป็นต้องพูดในเรื่องฝ่ายโลกวัตถุนี้ ก็ต้องพูดไป

“ท่านอยู่ที่ไหน?” เจ้านายถาม

“ตอนนี้อยู่ที่โบสถ์โฮลี่ ตรงกรุงเทพกรีฑา เดี๋ยวเลิกตอนเที่ยง เดี๋ยวไปเจอได้ครับ”

อะไรอย่างนี้  แต่ถ้าผมอยู่บนนี้ถามท่าน กำลังเทศน์อยู่ ถามท่านว่า.-

“ขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหน?”

สามารถตอบได้ “วิญญาณฉันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เอเมน”

ถ้าเรา Set  ตั้งความคิดของเราบนโลกวิญญาณอย่างนี้ตลอดเวลา  ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป เอาง่ายๆ นะ สมมติว่าขับรถอยู่ มีคนตัดหน้า ท่าน Set ความคิดท่านอยู่ที่ในสวรรค์ ท่านจะตอบโต้เขาว่าอย่างไร?

“พระเจ้า เอาอย่างไรดี อภัยให้มันแล้วกัน พระเยซูเอาไงดีล่ะ”

พระเยซูบอก “อภัยให้เขาแล้วกัน”

“โอเค”

แต่ถ้าท่าน Set ตั้งความคิดท่านบนโลกใบนี้ ท่านจะทำอย่างไร? คิดเอาเองแล้วกัน

สัปดาห์ที่แล้วผมยกตัวอย่างหิวข้าว จะไปกินข้าว เข้าไปถึง เข้าไปก่อน สั่งก่อน ได้หลัง ท่านก็ต้อง Set อะไร? Set วิญญาณของท่าน … ท่านก็จะปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง ถูกไหม? เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งสุขภาพไม่ดี  เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ทำดีที่สุด ก็ได้แค่นี้ ป่วยๆ ออดๆ แอดๆ Set ไปที่วิญญาณ ปรับตรงไปที่วิญญาณ ตั้งโปรแกรมไว้ที่วิญญาณ มันเจ็บป่วยอะไรขึ้นมา ทำดีที่สุดแล้วนะ ไปหาหมอ กินยาอะไร ดูแลสุขภาพ แล้วมันได้แค่นี้เอง Set กดไปที่วิญญาณ พุ่งไปที่ … จดจ่อไปที่วิญญาณ สันติสุขมันก็สามารถมาได้ ท่ามกลางความเจ็บป่วย

นี่คือความหมายของการให้เอาใจและความคิดจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน คือฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายโลก หรือเรียกว่าเนื้อหนัง ต่อไปนี้ ต้องจำไว้ให้ได้นะครับว่าจากนี้ต่อไป พระคัมภีร์จะมีอยู่แค่ 2-3 คำนี้ จะต้องจำให้ได้ว่าถ้าเป็นเบื้องบน ก็คือสวรรค์ ถ้าเป็นเบื้องล่าง ก็คือนรก ถ้าเป็นเบื้องบน ก็เป็นเบื้องบนสวรรค์ ในวิญญาณ ถ้าเป็นฝ่ายโลก ก็เรียกว่าเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง วิสัยบาปของเนื้อหนัง มันมีอยู่แค่นี้ ท่านจะต้องนึกเห็นภาพเหล่านี้  ท่านจะสามารถเข้าใจในถ้อยคำพระเจ้าได้มากขึ้นว่ามันคืออะไร? กำลังคุยถึงเรื่องอะไร?  ซึ่งตอนนี้หลายท่านก็เข้าใจมากขึ้นเยอะนะครับ ซึ่งครั้งที่แล้ว เราได้จบกันไปเมื่อตะกี้นี้ ที่สรุป

ที่ตะกี้นี้ เพิ่งแค่สรุปตอนแรกนะ เพิ่งสรุปสัปดาห์ที่แล้ว ที่เทศน์มา นี่ยังไม่ได้เริ่มต้นของวันนี้เลย วันนี้จะเริ่มต้นแล้ว เทศน์มา 4-5 ตอน ครั้งที่แล้ว บางคนก็ไปคิดอีกแบบหนึ่ง ผมก็กลัว ต้องรีบมาแก้ มาบอกว่าให้เราคิดอย่างไร?  บางคนไปฟังคำเทศนามา 6 ตอนแล้ว พอได้ฟังทั้งหมดแล้ว เกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราได้อยู่ในพระคริสต์ เราได้เป็นกระเทียมดองกับพระคริสต์ไปแล้ว  ไม่สามารถกลับเป็นอย่างอื่นได้อีกแล้ว เราได้รับความรอด เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป  เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ไม่สามารถกลับเป็นคนบาปได้อีกแล้ว

ทุกคนตอบว่า “เอเมน”

ซึ่งมันเป็นจริง แต่ผมก็เป็นห่วง ตอนนี้ทุกคนรู้ตอนนี้ ในนี้ ตั้งแต่เรียนมา รู้กันหมดแล้วว่าเราเป็นกระเทียมดอง เราเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาดใหม่เอี่ยม เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่มีบาป ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว  และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว  ไม่สามารถกลายมาเป็นคนบาปได้อีกแล้ว ที่ผมห่วงก็คืออะไร รู้ไหมครับ? ก็คือเมื่อทิ้งท้ายไว้อย่างนี้  เมื่อสอนมาอย่างนี้ คือผมเกรงว่าอาจจะมีบางคนฟังเรื่องนี้ แล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมากเลย ถามว่าสบายใจ เพราะอะไร? มั่นใจว่าได้รับความรอดแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ของพระเจ้าว่าต้องการให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ แล้วผมก็บอกตามที่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ทุกคนก็สบายใจ อันนี้มันสบายใจมากเกินไป เลยเป็นห่วง กลัวว่าจะมีคนสบายใจอย่างนี้ว่า.-

“ต่อไปนี้ จะทำผิดทำบาปอะไรก็ได้แล้ว ไม่ต้องเกรงกลัวต่อบาปอีกแล้ว ยังไงๆ ฉันก็ได้รับความรอดอยู่ดี ได้อยู่ในพระคริสต์อยู่ดี ได้ไปสวรรค์อยู่ดี”

ใช่หรือไม่ใช่? บางคนอาจจะคิดอย่างนี้ไง นี่แหละ เพราะว่าอะไร?  เพราะเรายังอยู่ในเนื้อหนัง ถึงแม้เราจะได้รับความรอดแล้วก็ตาม ถึงแม้เราจะข้างในสะอาดบริสุทธิ์ก็ตาม แต่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ อยู่ในความคิดเก่านี้ มันก็จะอย่างนี้แหละ ก็คิดอย่างนี้ได้

วันนี้ ผมเลยจะมาปิดรูให้หมดเลย เอาให้เสร็จเลย หนีไม่พ้นเลย คนที่คิดอย่างนี้ ตั้งใจฟังหน่อยนะ เพราะฉะนั้นวันนี้ จะตั้งใจอธิบายตรงนี้ให้ฟัง ก่อนอื่น คืออย่าลืมนะครับว่าทั้งหมด ที่เราฟังกันมาในเรื่อง “อยู่ในพระคริสต์” เป็นอย่างไร? เราเป็นใครในพระคริสต์นั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณทั้งนั้น  ผมย้ำแล้วย้ำอีก เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าเมื่ออยู่ในพระคริสต์แล้ว จะทำบาปแค่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้  อันนี้ขอยืนยันว่าไม่ใช่นะครับ เพราะใครที่ทำบาป ฟังให้ดีนะ ก็ยังคงต้องรับผลของความบาปอยู่ดี ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับทางวิญญาณครับ เยาะเย้ยนิดหนึ่ง คำละเรื่องกันครับ

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าใครทำสิ่งใด ก็จะต้องรับผิดชอบในผลจากการกระทำสิ่งนั้น เปรียบเหมือนการหว่านเมล็ดพืช เราหว่านอะไรลงไป ก็จะได้รับผลจากสิ่งที่หว่านนั้น เคยได้ยินสุภาษิตจีน เขาบอกว่าอย่างนี้

ปลูกแตงโม ได้อะไร?  มันก็ต้องได้ถั่ว เอ้อ! ไม่ใช่ ปลูกแตงโม ก็ต้องได้แตงโม ปลูกถั่วก็ต้องได้อะไร?  ท่านเข้าใจหมดแล้ว ไม่ต้องเทศน์แล้ว ท่านรู้แล้วเนี้ยว่าปลูกถั่ว ต้องได้แตงโม ไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้  ท่านยังรู้เลย มันเป็นไปไม่ได้ ปลูกถั่ว ต้องได้ถั่ว ทำอะไรก็ต้องได้อันนั้น จะมาบอกว่า.-

“อยู่ในพระคริสต์ ฉันปลูกถั่ว จะได้แตงโม”

ได้ไหม? ไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน กาลาเทีย 6:7-8 บันทึกไว้นะ ให้ท่านอ่าน

กาลาเทีย 6:7-8 “7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ”

 

ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ค่อนข้างขู่ท่านนิดหนึ่งว่าให้ท่านตั้งใจฟัง เพราะว่ามันต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ แต่มันไม่ยากนัก ท่านจะเห็นชัด สว่างเลย

ไม่ว่าเราจะเป็นกระเทียมดอง หรือกระเทียมสด ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม

ให้เราพูดพร้อมกัน “ไม่ว่าฉันจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่ฉันหรือเรากระทำไป ที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า”

ซึ่งภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบาป … บาป ก็คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Miss the target ซึ่งผมเคยอธิบายบ่อยๆ ว่าบาปแปลว่า Miss the target แปลว่าผิดเป้าหมาย ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้ มันผิดเป้าหมาย เรียกว่าบาป พระเจ้าตั้งใจให้เราไปทางซ้าย เราไปทางขวา เรียกว่าเรากำลังทำบาป เข้าใจนะ

เมื่อเราทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้ ซึ่งพวกเราเรียกกันว่าทำบาป เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน เราต้องเก็บเกี่ยวผลของมันตามที่พระคัมภีร์บอกว่าหว่านอะไร ก็ได้อย่างนั้น ฟังให้ดีนะ หว่านอะไรก็ได้อย่างนั้น ไม่ว่าทางฝ่ายโลก หรือฝ่ายวิญญาณก็ตาม เราก็ต้องเก็บเกี่ยว มันมี 2 อัน ทั้งฝ่ายโลก เราก็ต้องเก็บเกี่ยว ฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องเก็บเกี่ยว ขึ้นอยู่กับว่าที่เรากระทำนั้น มันเกี่ยวข้องไปทางด้านไหน? ไปทางด้านฝ่ายโลก หรือฝ่ายวิญญาณ

สำหรับถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านในกาลาเทีย ตะกี้นี้ ในบริบทนี้ เล็งถึงทางฝ่ายวิญญาณครับ เมื่อตะกี้เราอ่านเล็งถึงทางฝ่ายวิญญาณ หมายถึงรวมๆ นะ เล็งถึงฝ่ายวิญญาณก็จริง แต่ก็สามารถนำมาใช้ทางฝ่ายโลกได้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นกฎที่พระเจ้าวางเอาไว้เช่นเดียวกัน เดี๋ยวฟังต่อไป

ในนี้บอกว่าอะไร? ตะกี้เราอ่านพร้อมกันบอกว่าอะไร?

“อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้าได้ … อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า”

          เราไม่สามารถที่จะปิดบังพระเจ้าได้เลย พระองค์ทรงทราบหมดทุกสิ่ง แม้ว่ามนุษย์บนโลกใบนี้มอง จะเห็นว่าเขาเป็นคนดี หรือเราเป็นคนไม่ดี หรือเรากำลังทำดี หรือเรากำลังทำไม่ดี ก็ตาม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนที่พูดคนนั้นเลย  แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่กำลังมองเรา พระองค์ทรงทราบดีว่าเนื้อแท้ข้างในวิญญาณของเรานั้น เราเป็นอย่างไร?  คิดอะไร?  ตั้งใจอะไร?  เราหลอกลวงคนได้ แต่เราหลอกพระเจ้าไม่ได้ นั่นหมายความตรงนี้  ตรงนี้มันหมายความอย่างนี้ เข้าใจแล้วนะ

 

ต่อไปบอกว่า “ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศ จากวิสัยบาปนั้น” ฟังให้ดีนะ

หมายถึงผู้ที่จดจ่อในวิสัยบาปของตัวเอง จากวิญญาณข้างในนี้ ที่มีบาปติดอยู่ ฟังให้ดีๆ บาปที่มันยังติดอยู่ ในวิญญาณข้างใน ก็คือยังไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ถูกไหม? จากวิญญาณข้างในที่มีบาปติดอยู่ ที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง กบฏต่อพระเจ้า ต้องการพึ่งตัวเอง ไม่ต้องการพึ่งพระเจ้า ไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเรียกกันตามธรรมชาติว่าบาปในวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำนี้

“มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป” หมายถึงตรงนี้ ข้างในนะ ข้างในวิญญาณ ต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งถ้าเขาหว่าน ฟังให้ดีนะ ถ้าเขาหว่านความไม่เชื่อในวิญญาณนี้ลงไป หว่านก็คือจดจ่อตรงนี้  จดจ่อๆ จดจ่อที่ความบาป ก็คือไม่เชื่อ เขากำลังทำอะไร? เขากำลังทำบาป ก็คือไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า เขากำลัง Miss the target เขากำลังพลาดเป้า วางไว้สำหรับเขา คือเขาไม่เชื่อในพระเยซู ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเขาว่าเขาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็ยังอยู่ในภายใต้บาปเหมือนเดิมอยู่ดี แล้วยังต้องเก็บเกี่ยวความพินาศจากบาปทางวิญญาณตามนั้น เอเมน เข้าใจไหม? มันแปลว่าอย่างนี้ แค่นั้นเอง

ส่วนผู้ที่หว่านในพระวิญญาณ หรือในวิญญาณ ตอนนี้ท่านรู้แล้ว วิญญาณหรือพระวิญญาณ คนที่หว่านเข้าไปในทางเรื่องด้านวิญญาณ ก็คือผู้ที่จัดจ่อในทางวิญญาณ จดจ่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซู อยู่ภายใต้กฎใหม่ในพระคริสต์ เชื่อและพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เขารู้ตัวตลอดเวลา เขาตั้งจิตใจจดจ่อในนี้ เขารู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้รอดได้ ตัวเองต้องพึ่งพาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์เจ้า ต้องการพึ่งในพระเยซู ต้องการพระองค์ Need เลยล่ะ จำเป็น

“ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันไม่รอด” พูดง่ายๆ

คนนั้นก็จะได้เก็บเกี่ยวผลของการหว่านอย่างนี้  ผลคืออะไร? ในพระคัมภีร์บอกชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้วิญญาณใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นอิสรภาพจากการถูกลงโทษ เนื่องจากความบาปนั่นเอง เอเมน แค่นี้เอง ตะกี้นี้ที่อ่านมาทั้งหมด เป็นอย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานี้  แน่นอน ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ เห็นไหม? ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ หลอกมนุษย์ ไม่ตั้งใจหลอก แต่มนุษย์อาจจะเข้าใจผิด แต่พระเจ้าไม่เข้าใจผิดหรอก ชัดเจน ในกฎที่พระองค์ทรงวางไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะเชื่อข่าวประเสริฐในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือไม่? ไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวประเสริฐอย่างจริงใจหรือไม่? ฟังให้ดีนะ ไม่ใช่เชื่อข่าวประเสริฐอย่างเดียว ท่านเชื่ออย่างจริงๆ หรือเปล่า?  ไม่มีใครรู้ คนข้างๆ ท่านก็ไม่รู้ ถามว่ามีผู้รู้ไหม? มี ใคร? พระเจ้ารู้ พระองค์ทรงเห็นลึกเข้าไปในวิญญาณของเราว่าเราเชื่อจริงหรือเปล่า?

เช่น เอาง่ายๆ นะ บางคนอาจจะมาโบสถ์เป็นประจำ แต่มาเพราะว่าเขามีกิจกรรมที่โบสถ์ เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้  หรือคนมาเป็นประจำ มาเพราะครอบครัวมาทั้งหมด เลยตามมาด้วย  หรืออาจจะแม่บังคับให้มาก็ได้ หรือแฟนอาจจะบังคับให้มาก็ได้  มาเพื่ออยากได้แต่งงานก็ได้ ใครจะรู้ ใครจะไปรู้ ใช่ไหม?

กับอีกคนหนึ่ง อาจจะไม่ค่อยได้มาหรอก มาขาดๆ หายๆ เพราะว่าเขาติดธุระ มีภารกิจจำเป็นที่ต้องทำ มาไม่ได้จริงๆ แต่จิตใจเขา เขาเชื่อพระเยซูอย่างจริงๆ เลย  จดจ่ออยู่ที่พระองค์อยู่ตลอดเวลาเลย

ตาเราอาจจะมองเห็น 2 คนนี้ไม่เหมือนกัน ถูกไหม? เราอาจจะพิพากษาตามสายตาของเรา จะพิพากษาว่าคนที่ไม่ค่อยได้มานั้น ซวยแน่เลย เราพิพากษาเขาไปแล้ว ตามสายตาเรา ก็ต้องคิดว่าคนที่มาโบสถ์เป็นประจำ ต้องเชื่อจริงๆ แน่ๆ เลย แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หลุดรอดจากการตัดสินของพระเจ้า  จากสายพระเนตรของพระเจ้าไปได้เลย ไม่มีใครหลอกพระเจ้าได้เลย แม้แต่คนเดียว เอเมน

และถ้าเรานำข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อพระคัมภีร์ตะกี้นะ มาใช้ในทางโลก เช่นเดียวกันกับที่บอกว่าผู้ที่หว่านวิสัยบาปของเขา ก็คือผู้ที่ทำ Miss the target ถูกไหม? ตะกี้ที่ผมบอก ผู้ที่หว่านวิสัยบาป ก็คือผู้ที่กระทำ Miss the target ก็คือทำบาป ทำผิดน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ตรงตามเป้าหมายพระเจ้า แม้ว่าวิญญาณของเขานะ จะได้รับการสร้างใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนที่จริงๆ เลย เป็นกระเทียมดองแล้วจริงๆ สะอาดหมดจดแล้วจริงๆ และวิญญาณของเขา ข้างในของเขา ก็ไม่อยากทำบาปแล้วจริงๆ ด้วย แต่เพราะเขาอาจยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ที่มีความสกปรก มีเชื้อของความบาปอยู่ มันไม่อาจหรอก มันเป็นเลย แต่เขายังอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้  ที่มีเชื้อบาปอยู่แน่ๆ เหมือนกับเราที่นั่งอยู่ในขณะนี้  ก็เลยถูกล่อลวงด้วยวิสัยบาป ในเนื้อหนังนั้น ในร่างกายที่เป็นร่างกายเก่านั้น คือพูดง่ายๆ คือสู้ไม่ไหว แพ้เนื้อหนัง อาจจะล้มลงในการทดลอง อาจทำบาปเข้า จะทำนานๆ ที หรือทำเป็นประจำก็ตาม เขาก็ยังจะยังต้องเก็บเกี่ยวความพินาศ หรือเรียกว่าความเสียหาย จากการกระทำนั้น คือยังต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีเข้าไปในชีวิตเขาอย่างแน่นอน เอเมน ไม่ใช่พอมาเชื่อพระเจ้า ก็ยกเว้น ไม่ได้ มันเป็นกฎของพระเจ้า พระเจ้าควบคุมดวงดาวต่างๆ ขึ้นตามที่พระองค์บอกทั้งหมดได้อย่างไร? ถ้าพระองค์บอกอันนี้เอา อันนี้ไม่เอา แล้วกฎคืออะไร? ไม่รู้ แต่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความเที่ยงธรรม … เที่ยงธรรมตรงนี้ หมายถึงตรงนี้ด้วย แต่ทั้งนี้ เป็นคนละเรื่องกันกับทางวิญญาณนะครับ ในสิ่งที่เขาได้รับตะกี้นี้ เข้าใจไหมครับ? เขาเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป มันคนละเรื่องกับเรื่องทางวิญญาณ เพราะวิญญาณได้รับความรอดไปเรียบร้อยแล้ว ย้ำอีกที วิญญาณเขาได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว แต่ทางโลกเขาต้องเก็บเกี่ยวผลของสิ่งที่เขาได้กระทำไป ไม่มีทางหนีได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะมันเป็นกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกระเทียมดองหรือกระเทียมสดก็ตาม ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งนั้น

“เอเมน” พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ๆ ขอบคุณพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ถามว่าคนไม่เชื่อ ทางวิญญาณ ในทางวิญญาณ คนไม่เชื่อ ในวิญญาณเขาไม่เชื่อเรื่องพระเยซู ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ถูกหรือเปล่า? ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ยังเป็นกระเทียมสด เป็นคนบาปอยู่ เป็นวิญญาณบาปอยู่ ถามว่าถ้าเขาหว่านหรือทำ เรียกว่าทำก็แล้วกัน เพราะทำกับหว่านอันเดียวกัน ถ้าเขาหว่านหรือทำในสิ่งที่ดี เขาก็จะได้ดีไหม? ถามอีกที ได้ดีไหม? เขาไม่เชื่อนะ กฎนี้ เป็นกฎตายตัว ทุกคนทำตาม ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เห็นไหม? แม้ว่าเขาจะอยู่ในความบาป แม้ว่าวิญญาณเขาจะอยู่ในความบาป แต่ถ้าเขาทำสิ่งดี เขาได้รับสิ่งดีกลับตอบไหม? ได้รับ และมีไหม? เป็นไปได้ไหมที่คนที่ยังไม่ได้กระเทียมดอง แล้วทำดี มีไหม? มีหรือไม่มี? คิดให้ดี มีเยอะแยะเลย ท่านจะเห็นภาพหรือยัง? เห็นเยอะแยะเลย

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ยังเป็นกระเทียมสด ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังเป็นวิญญาณบาปอยู่ เขาบริจาคถวายเงินสร้างโบสถ์ได้ไหม? ได้หรือไม่ได้? และการสร้างโบสถ์เขาถวายคนเดียวหมดเลย ทั้งที่ดินด้วย สามารถทำให้เขาเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ได้ไหม?  เป็นวิญญาณที่ไม่มีบาปอีกต่อไปได้หรือไม่ได้? ไม่ได้ แต่เขาจะได้รับพระพรทางฝ่ายโลกใบนี้ เห็นไหม? ท่านจะเห็นภาพเลยนะ ถูกไหม? ซึ่งสิ่งที่เขาทำ มันไม่ได้เกี่ยวกับทางวิญญาณ มันไม่ได้กระทบถึงฝ่ายวิญญาณเขาเลย  เขาทำดี แต่ความดีนั่นไม่สามารถมาทำให้วิญญาณเขากลับกลาย หรือมีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย

ในทำนองเดียวกัน คนที่เป็นกระเทียมดองแล้ว เกิดใหม่ ในวิญญาณของเขาข้างในแล้ว ถามว่าเขามีโอกาสไปทำไม่ดีไหม? มีหรือไม่มี? มี และการกระทำที่ไม่ดีของเขา ทำให้กลับกลายเป็นกระเทียมสดไหม? กลับกลายเป็นวิญญาณบาปเหมือนเดิมไหม? เป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ เห็นไหม? ท่านตอบเองหมดแล้ว ผมกลับบ้านดีกว่า ท่านตอบเองหมดแล้ว

เพราะว่าอะไร? ทำไมถึงไม่ได้ เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกเรียบร้อยแล้ว ทางฝ่ายวิญญาณมีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับเปลี่ยนตรงนั้นได้ ก็คือทางพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถไปจัดการกับทางวิญญาณได้ว่าวิญญาณจะได้กลับมาใหม่ กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดในพระเจ้าได้ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ ติดต่อกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด พ้นจากบาปได้ ก็โดยผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์เท่านั้น มีทางเดียวเท่านั้น คือทางพระเยซูเท่านั้น  แต่ถ้าเขาหว่านในสิ่งที่เป็นโลกใบนี้ จะหว่านดี เขาก็ได้ดี หว่านไม่ดี เขาก็ไม่ได้ดี  มันก็ยังคงอยู่ตลอดไปนั่นแหละ

นี่จึงเป็นการสนับสนุนพระเจ้าเรายิ่งใหญ่จริงๆ ดูแลหมดทุกกฎ ทุกระเบียบ พูดไปแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน ไม่มีการบิดพลิ้ว ไม่มีการลำเอียง เห็นแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่บอกว่า.-

“ดีใจจัง ต่อไปนี้ทำบาปได้เยอะๆ”

ก็เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน ก็ไปหว่านก็แล้วกันเถอะ ท่านจะได้เก็บเกี่ยวแตงโมเยอะๆ ถ้าอยากได้แตงโม ก็เก็บเกี่ยวเข้าไป ถ้าอยากได้ถั่ว ก็ใส่ถั่วเข้าไป อยากได้ดีๆ ก็ใส่ดีๆ เข้าไปเยอะๆ ถ้าอยากได้ไม่ดี ก็ใส่เข้าไปสิ เดี๋ยวได้เองแหละ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราโลภ เราก็ไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าใช่ไหม? ซึ่งเรียกกันว่าทำบาปใช่ไหม? พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราเป็นคนโลภใช่ไหม? เรากำลังทำผิดเป้าหมายพระเจ้าทำไว้ ก็คือทำบาป คือถ้าเราแปลตรงๆ อย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดว่าเราไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนาเลย เรากำลังมาพูดถึงเรื่องกฎ เหมือนวิทยาศาสตร์เลย มันธรรมดา เหมือนธรรมชาติ ที่เขากำลังค้นหาวิทยาศาสตร์เรื่องไฮโดรเจนอะไรต่างๆ ไม่มีอะไรเลย ทำบาป ก็คือทำบาป ทำไม่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า … ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า Miss the target เรียกว่าเมื่อไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าวางไว้แล้ว ถ้าทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีๆ  ทั้งโลกนี้ ทั้งวิญญาณด้วย ดีทั้งสองอย่าง แต่ถ้าเราไม่ทำตาม เราฝืนมัน เราก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี

พระเจ้าบอกให้เรานอนหัวค่ำ เราไปนอนดึก เราก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกกินพอดีๆ เรากินเยอะ เราก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกให้เราหุ่นดีๆ เราไปหุ่นไม่ดี ก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกน้ำหนักควรจะประมาณนี้ เราไปน้ำหนักเกินมาก ก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

มันเป็นเหตุและผลทั้งนั้น

          เรื่องถ้าเราโลภ ก็เท่ากับทำบาป  เรากำลังทำไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อเราไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าไม่ทำตาม มันได้คำสาปแช่ง เหมือนอาดัมและอีฟ ตัวเขาเองไม่ทำตามพระเจ้า พอไม่ทำตามพระเจ้า อะไรเข้ามา คำสาปแช่ง ทุกคนอ่านใหม่ๆ ตกใจ พระเจ้าสาปแช่ง … สาปแช่ง นี่ก็คือได้สิ่งที่ไม่ดีไง เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป แค่นั้นเอง เหมือนเรากินเยอะเกินไป ท้องอืดนั่นแหละ พอเรากินเยอะเกินไป เกิดอะไรขึ้น  เกิดคำสาปแช่งในท้องของเรา คือท้องของเราจะเกิดความอืด พอเรากินอะไรที่ไม่สุก มีพยาธิเข้าไป เราก็จะท้องเสีย … ท้องเสีย คืออะไร? คือถูกสาปแช่ง แต่พอเราบอกถูกสาปแช่ง แล้วไม่อธิบาย คนกลัว

 

“สาปแช่งฉัน”

มันก็คือผลนั่นแหละ ผลไม่ดี เขาเรียกสาปแช่ง แต่ถ้าผลดี เขาเรียกพระพรไง เรียกว่าพร

โอเค! เรารู้แล้วว่าทำไม่ดี ทำผิดตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรียกว่าทำบาป

ท่านทราบไหมครับว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย ความโลภ ถือว่ามีพิษรุนแรงมากที่สุด ตัวหนึ่ง เพราะเป็นต้นเหตุหลักที่นำไปสู่บาปตัวอื่นๆ และเป็นบาปที่นำไปสู่ความชั่วอีกมากมายเลย มีคำกล่าวเกี่ยวกับความโลภไว้ว่าเราควรกลัวความโลภ ซึ่งเป็นบาป เพราะมันจะนำไปสู่การกระทำที่เลวร้ายที่สุด

ความโลภเปรียบเสมือนรูปเคารพ ที่ทำให้มนุษย์มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ แทนที่จะเห็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณว่ามีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าสำคัญกว่าตั้งเยอะ ใช่ไหมครับ? เราเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ เรื่องความโลภ นำไปสู่ความชั่วเยอะแยะมากมายไปหมด ทำให้คนฆ่ากันตายได้ เพราะความโลภนี้ แม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกัน ฆ่ากันได้ เพราะความโลภ

นี่ก็เป็นตัวอย่างของคนที่หว่านความโลภ ซึ่งเป็นวิสัยของบาป ไม่ตรงตามน้ำพระทัย ก็ต้องได้รับผลของความโลภ ที่พูดมาตะกี้ทั้งหมด เห็นไหมครับ? พี่น้องฆ่ากันหมดเลย ก็เพราะความโลภ เห็นไหม? ไม่เกี่ยวเลย เขาหว่านสิ่งนี้ เขาก็ต้องได้สิ่งนั้น แม้คนที่เชื่อพระเยซูเอง  หว่านตรงนี้ เขาก็ได้เก็บเกี่ยวตรงนี้

ผมเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม? มีผู้รับใช้ที่ต้องขังอยู่ในคุก ผู้รับใช้คนนั้น เขาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทนกับความล่อลวงไม่ได้ เขาต้องการใช้เงิน มีปัญหาจำเป็น ต้องใช้เงินในครอบครัว พอดีมีโอกาสผ่านเข้ามา ในการที่จะขายของเถื่อน ของที่หนีภาษี ของที่ผิดกฎหมาย  เขาเลยอธิษฐานกับพระเจ้าว่าเขาขอทำครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็ทำ แล้วเขาก็ได้เงินมาจริงๆ จำนวนมาก แล้วก็เอาไปใช้หนี้ ใช้อะไรต่างๆ หมดไป ปรากฏว่าในที่สุด ผ่านไประยะหนึ่ง เขาเดือดร้อนอีกแล้ว เขาก็เลยบอกกับพระเจ้าว่าขออีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จะเลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว แล้วเขาก็ไปขายของเถื่อน คราวนี้ถูกจับได้ แล้วติดคุกเลย

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านฟังเท่านั้นเอง  ที่ยกตัวอย่าง เพื่อให้ท่านเห็นว่าไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าเรายังฝืนทำอยู่ เดี๋ยวมันโดน ถ้าเรารีบเลิก มันอาจจะโดนน้อยหน่อย หรืออาจจะรอดจากหนักเป็นเบา

เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเก็บเกี่ยว หรือแม้กระทั่งความโกรธก็ตาม ความโมโห พระเจ้าบอกให้เราสงบนิ่ง ให้อภัย แต่เราฉุนเฉียวๆ คนอื่น ขับรถเฉี่ยว ไม่เบื้องขวาพระเจ้าแล้ว บนโลกนี่แหละ วิ่งเข้าไปสู้กับเขา ไปด่าเขาอย่างนี้  เขาเปิดประตูออกมา เอาปืนยิง ไม่ตาย แต่อาจเป็นอัมพาต คุ้มไหม? ก็มันเกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างนี้

ผมพยายามอธิบายให้เราฟังบ่อยๆ ว่าเมื่อพระเจ้าเตือนแล้ว มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราจริงๆ  ทั้งทางฝ่ายวิญญาณ และทางฝ่ายเนื้อหนังเช่นเดียวกันทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราทำ ในทางด้านไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายโลกก็ตาม เราจะต้องเก็บเกี่ยว ถ้าเผื่อมันไม่ดี เราต้องเก็บเกี่ยวแน่นอน ในทางตรงกันข้ามนะครับในการทำบาปกับวิสัยบาป กับการทำ Miss the target เราทำอีกด้านหนึ่ง  อีกด้านหนึ่ง คือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ด้วยความเมตตา ด้วยความเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจผู้อื่น จิตใจเราก็สบาย ไม่มีศัตรู ใครเขาจะมายิงเราเหรอ ถูกไหม? เรานิ่งซะ มันก็สงบ มันก็ไม่เกิดเรื่อง หรือเกิดน้อยหน่อย

เพราะฉะนั้น บอกตรงๆ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเราหรอก หลายคนชอบบอก พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าไม่มานั่งลงโทษหรอก เพราะอะไรรู้ไหม? พระเจ้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเรา แต่มันจะเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ตำรวจเขาไม่มาจับท่านหรอก แต่ใครจับรู้ไหม? กฎหมายจับท่าน ตำรวจเขาไม่ได้ปรับท่านหรอก แต่ใครปรับ กฎหมายปรับท่าน ตำรวจไม่ได้จับท่านติดคุกหรอก ใครจับท่านติดคุก ศาลก็ไม่ได้สั่งให้ท่านติดคุกหรอก ใครสั่งให้ท่านติดคุก กฎหมายที่ตราไว้ว่าคุณฆ่าคน คุณต้องติดคุก ไม่ใช่ศาล … ศาลแค่ทำตามอะไร? ทำตามคำสั่งในนั้น มันเป็นตามนั้นอยู่แล้ว ในยอห์น 3:17-18 อ่านตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ามันกฎของมันอยู่แล้ว ถ้าใครทำตาม ก็ได้ ถ้าใครไม่ทำตาม ก็เสร็จ

ยอห์น 3:17-18 “17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษมนุษย์ผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์

อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษ ลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์นะ พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระองค์ … พระองค์เป็นผู้ไถ่บาปนะ  … พระองค์ไม่ได้มาลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านะ  เปล่าเลย  คือเขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว นี่พระคัมภีร์ที่เราอ่านตะกี้นี้ เขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว ด้วยกฎของความบาปและความตายที่มีอยู่ดั่งเดิม ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดอีก ถูกไม่ถูก?

เพราะฉะนั้น ใครทำอะไร ก็จะได้อย่างนั้น ทุกสิ่งที่เรากระทำ ต้องเกิดผลอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในทางโลกหรือทางวิญญาณก็ตาม และผลที่จะเกิดขึ้น เป็นไปตามเวลาของพระเจ้า ไม่ใช่ตามเวลาที่เราคิด หรือเราต้องการ เราหว่านในวิญญาณ แล้วก็ได้ทางวิญญาณ หว่านทางโลก ก็ได้ทางโลก

เพราะฉะนั้น ให้ทุกคนหว่านในสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ทุกคนเรียกกันว่าความดี หว่านความดี ทั้งความดีในวิญญาณ และดีในทางโลก ท่านจะได้เก็บเกี่ยวผลดีในทางวิญญาณและในทางโลกด้วย กาลาเทีย  6:9-10 จึงบอกต่อมาว่าให้ทำอย่างนี้ อ่านเอง

กาลาเทีย 6:9-10 “9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บ ในเวลาอันสมควร 10 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ”

 

เอเมน เห็นไหม? เราจะได้รอดทั้งวิญญาณด้วย และในขณะเดียวกัน อยู่บนโลกนี้ ก็มีสันติสุข มีความสุข เท่าที่มันควรจะเป็น ที่พระเจ้าให้ไว้ และสัปดาห์หน้าก็มาเรียนรู้กันต่อไปว่าจะดำเนินกันอย่างไรต่อไป อย่าลืมตั้งชื่อเรื่องที่ผ่านมานี้ จะเรื่องอะไรนะ ส่งจดหมายไปที่บ้าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 6 “กระเทียมดอง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 6 “กระเทียมดอง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ เราก็ยังอยู่ในหัวข้อการบรรยายเรื่องซีรี่ส์เดิมนะครับ ก็คือเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนนี้เป็นตอนที่ 6 แล้ว … แล้วทุกครั้ง ผมก็จะเริ่มต้น ถามคำถามท่าน คำนี้แหละ 6 ตอนมาแล้ว ถามว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ และท่านก็จะตอบผมทุกครั้งว่าไม่รู้ 6 ตอนแล้ว อย่างน้อยรู้สักนิดหนึ่ง ก็ยังดี ลองถามคนข้างๆ

“เราเป็นใครในพระคริสต์”

ลองถามคนข้างๆ นะครับ และผมก็จะถามไปเรื่อยๆ ต่อจากนี้ไป  ถ้ามีการบรรยายเรื่องนี้เมื่อไร? ก็จะถามอย่างนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เพราะว่ามันเป็นหัวข้อเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” คำตอบคราวๆ พอจะจำได้ คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ … แล้วเราเป็นอะไรอีก … เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นผู้ที่ดองกับพระคริสต์ อยู่กับพระคริสต์ เป็นเนื้อเดียวกันกับพระคริสต์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราพูดเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งธรรมชาติ กับกฎใหม่ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎธรรมชาติ จำได้ไหมครับว่าผมยกตัวอย่างเรื่องอะไร? สัปดาห์ที่แล้ว กฎธรรมชาติ ผมได้เปรียบเทียบเอาไว้ว่าด้วยกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะมีแรงโน้มถ่วง หรือแรงดึงดูดของโลก ดูดเอาไว้ เพราะฉะนั้นวัตถุอะไรก็ตาม เมื่อขึ้นไปในที่สูง ก็จะต้องตกลงมา ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ ถูกไหมครับ แต่เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน เพราะกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบินได้เอาชนะเหนือกฎแห่งธรรมชาติ ก็คือกฎแรงดึงดูดของโลก

ทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติของทางวิญญาณนะ ทางวิญญาณ กฎแห่งธรรมชาติ คือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตาย อันนี้ชัดเจน จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ทุกคนรู้จักกฎนี้ดี มนุษย์ทุกคนรู้จักกฎนี้ดี กฎเวรกรรม กฎแห่งกรรม นี่แหละคือกฎของความบาปและความตาย แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็จะมีกฎใหม่ ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป ไม่ต้องอยู่ใต้กฎแห่งบาปและเวรกรรมอีกต่อไป และกฎใหม่นี้ ชื่อกฎว่ากฎของพระวิญญาณในพระเยซูคริสต์ จำได้ใช่ไหมครับ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง

ยังจำสมการที่เราสรุปกันครั้งที่แล้ว ได้ใช่ไหมครับ? มาทบทวนนิดหนึ่ง สมการของตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้ เทียบกันระหว่างโลกวัตถุกับโลกวิญญาณ เทียบเครื่องบินกับกฎที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราทั้งหลาย

“เครื่องบิน”

ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก มีผลทำให้มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะมีกฎแห่งแรงโน้มถ่วงดึงไว้  แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก ผลออกมา ก็คือมนุษย์สามารถบินได้ ดูดเราไม่ลง เราลอยอยู่

“มนุษย์”

ทางด้านฝ่ายวิญญาณ ด้วยกฎธรรมชาติของมนุษย์ หรือเรียกว่ากฎเก่า คือกฎแห่งความบาปและความตาย มีผลทำให้มนุษย์ต้องตายและตาย คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ทั้งเดี๋ยวนี้และจากโลกนี้ ก็อยู่ไม่ได้ ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตาย ผลออกมา ก็คือมนุษย์เป็นอิสระจากความตาย อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้  ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งทิ้งร่างนี้ แล้วไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์

ตรงนี้แหละ เขาจึงเรียกกฎที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำขึ้นมานี้ว่าข่าวดี

ให้พูดพร้อมๆ กันว่า “ข่าวดี”

ให้พูดให้คนข้างๆ ฟังว่า “ข่าวดีรู้ไหม?”

ข่าวดีที่พูดตะกี้นี้ ข่าวดีคืออะไร?  คือพระเยซูคริสต์มาทำกฎใหม่ให้เกิดขึ้น ให้เราสามารถหลุดพ้น เอาชนะเหนือกฎเก่า คือกฎแห่งบาปเวรกรรม กฎของความบาปและความตาย นี่คือข่าวดี

เมื่อตอนที่เริ่มมีการคิดค้นทฤษฎีแห่งการยกขึ้น ตอนนั้น ก็เป็นข่าวดีของโลกนะว่าบัดนี้ มีผู้ที่สามารถเอาชนะกฎแห่งธรรมชาติได้แล้ว คือเอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก แรงโน้มถ่วงของโลก และเป็นจุดกำเนิดของการสร้างเครื่องบิน ที่สามารถนำพาผู้คนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลได้ต่อมานั่นเอง เป็นข่าวดีเริ่มต้นว่าเขาเจอกฎนี้แล้วนะ  ข่าวดีไหมอย่างนี้ ข่าวดีบนโลกนี้นะ

สองพี่น้องตระกูลไรต์รู้จักใช่ไหม? ออวิลล์กับวิลเบอร์ ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของการคิดค้น สร้างเครื่องบิน และได้ประสบความสำเร็จในการนำอุปกรณ์บินขึ้น และลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 กันยายน ปี 1909 ในวันนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างรวมกันเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งนี้อย่างมากมาย เป็นข่าวยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ของโลก เป็นข่าวดีของโลก นี่คือเรื่องจริง นี่คือประวัติศาสตร์

ท่านลองคิดดูนะครับ แค่บอกว่ามีคนพบกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ที่สามารถเอาชนะเหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลกได้แล้ว ทำให้มนุษย์ซึ่งไม่สามารถบินได้นั้น โดยธรรมชาติไม่สามารถบินได้นั้น  กลายมาเป็นบินได้ โดยใช้เครื่องบินแค่นี้  ยังนับว่าเป็นข่าวดีของโลก ฉลองกันเยอะแยะมากมายในปี 1909 นี่กี่ปีแล้ว เพิ่งจะร้อยกว่าปีนี่เอง เพิ่งจะร้อยเศษๆ ปี

นี่ย้อนไปชัดๆ ให้เห็นชัดๆ ว่าเป็นข่าวดีของโลก เจอกฎใหม่ แล้วขณะนี้ ในโบสถ์หรือทั่วโลก คริสเตียนจำนวนมากที่รู้จักพระเยซู กำลังประกาศข่าวดีว่าบัดนี้ ได้มีผู้ที่สามารถเอาชนะธรรมชาติของมนุษย์ คือกฎแห่งบาปและความตายได้แล้ว จากเดิมที่มนุษย์ทุกคนต้องตายจากโทษของความบาป กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปได้ ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว ที่เราเคยติดปากกันว่าเมื่อไรมันจะใช้หมดสักที ข่าวดีมาถึงแล้วว่าใช้หมดได้เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางข่าวดีขององค์พระเยซูคริสต์ อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีไหม? ยิ่งกว่าดีอีก ฉลองกันยิ่งกว่านั้นอีก ยิ่งกว่าเมื่อตะกี้อีก ฉลองกันทุกวันอาทิตย์ยังฉลองอยู่เลย เรากำลังนั่งฉลองอยู่นี่

นี่คือข่าวดี … ข่าวดีมาตั้ง 2,000 กว่าปีแล้ว … แล้วที่พี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินได้สำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่า ฟังให้ดีนะ ก็ไม่ได้แปลว่ามนุษย์ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้ขึ้นเครื่องบินนะครับ ถูกไหม? แม้ว่าสองคนนี้  จะคิดค้นกฎของการยกขึ้น สร้างเครื่องบินได้ และมีคนสร้างเครื่องบิน แต่ก็มิได้หมายถึงสร้างมา เพื่อให้ทุกคนได้ขึ้นเครื่องบิน ถูกไหม? ถูกหรือไม่ถูก คิดให้ดีๆ แค่บางคนเท่านั้น แล้วคนๆ นั้น ต้องมีเงินพอที่จะจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ถึงจะบินกับเขาได้ มันไม่ใช่สำหรับทุกคน

แต่สำหรับกฎของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำขึ้นมาสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีนั้น ให้ฟรี สำหรับทุกคนเลย นี่ผมเปรียบเทียบให้ท่านดู ท่านจะเห็นชัดเจนเลย ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ เข้าไปอยู่ในกฎใหม่นี้ ง่ายๆ มีสิทธิ์ทุกคนเลย ทำเพื่อทุกคนเลย  อย่างนี้ต้องบอกว่าฮาเลลูยา นี่แหละที่เขาเรียกว่าข่าวดี  และข่าวที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ข่าวดี” “Gospel” และ Gospel หรือข่าวดีนี้ ก็ใช้คำนี้มาจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปี มีคนออกไปประกาศข่าวดีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังประกาศอยู่ และประกาศมากขึ้นไปเรื่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ เราที่นั่งอยู่ในที่นี่  ก็กำลังคุยกันถึงเรื่องอะไร? ข่าวดีกันทุกวันอาทิตย์เลย

ทุกวันอาทิตย์ ที่ท่านเข้ามาอยู่ในคริสตจักรแห่งนี้ เข้ามาประชุมกันที่นี่ เราพูดถึงเรื่องอะไรกัน สรุปง่ายๆ คือเรื่องของข่าวดี อาจารย์วราพรขึ้นมา ก็พูดถึงเรื่องข่าวดี ผมขึ้นมา ก็พูดถึงเรื่องข่าวดี เขานมัสการกัน เขาร้องเพลง เขาร้องเพลงเกี่ยวกับข่าวดี ท่านอยู่ข้างล่างคุยกัน ก็คุยกันเรื่องข่าวร้าย

“เศรษฐกิจมันเป็นอย่างนั้นนะ ฉันแย่เลย ฉันลำบาก”

ท่านพูดถึงเรื่องข่าวดีไหม? คงคุยกันบ้าง … บ้าง ไม่ใช่ไม่คุย … คุยบ้าง ท่านเห็นไหม? ข่าวดีทั้งนั้น

ที่ตะกี้ผมบอกเศรษฐกิจของโลก หรือท่านดูในทีวี ส่วนใหญ่มันเป็นข่าวร้าย มันไม่ใช่ข่าวดี มันเป็นข่าวปลอม มันไม่ใช่ข่าวจริง ของจริง คือในโบสถ์นี้ ที่เรากำลังประกาศ เรากำลังประกาศเรื่องของพระเยซู คือข่าวดี นอกจากตัวอย่างในเครื่องบินแล้ว ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่งในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ผมได้สอนและยกขึ้นมา ทุกคนก็ยัง … จำได้ไหมครับ? อีกอันหนึ่งที่ผมได้เปรียบเทียบเรื่องนี้ คือนอกจากเครื่องบินแล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องกระเทียมดอง ยังจำได้ไหมครับ ไม่ใช่ หมายถึงจำวิธีทำนะ หมายถึงยังจำได้ไหมมันหมายความว่าอย่างไร?

ให้พูดพร้อมกันว่า “กระเทียมดอง”

ครั้งที่แล้ว เราบอกว่าจากกระเทียมสด เมื่อนำไปบัพติศมาในน้ำส้มสายชู ผสมน้ำตาล ใส่เกลือนิดหนึ่ง ก็จะกลายสภาพเป็นกระเทียมดอง รู้ อันนี้ชัดเจนแจ่มใส เห็นกับตาเลย กระเทียมสด เมื่อนำไปบัพติศมาเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นกระเทียมดอง แล้วเมื่อกระเทียมสด ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นกระเทียมดองแล้ว ก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย ฮาเลลูยา เอ๊ะ! มันเกี่ยวอะไรกับพระคัมภีร์ คนที่ฟังครั้งที่แล้ว จะฮาเลลูยาแล้วตอนนี้ ถูกหรือเปล่า ฉันใดก็ฉันนั้น จากวิญญาณเดิมของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณบาป เคยอยู่ภายใต้กฎเก่า คือกฎแห่งบาปและความตาย สกปรกโสโครก แต่เมื่อเราได้บัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะกลายสภาพเป็นวิญญาณดอง เราก็จะกลายสภาพเป็นวิญญาณดอง คือเป็นวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป อยู่ภายใต้กฎใหม่ และไม่กลับเป็นวิญญาณบาปอีกต่อไปเลย เย้ๆๆๆๆๆ ไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว เอเมน เพราะอะไร?

ที่ไม่ได้กลับไปเหมือนเดิม เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะทันทีทันใดที่เราบัพติศมา ซึ่งแปลว่าจุ่มลงไป ชุบลงไป ดองลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เราได้เข้าไปมีส่วนใน Divine Nature จำได้ใช่ไหม? Divine Nature เข้าไปสู่ธรรมชาติของพระเจ้าแล้ว เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เราไม่มีทางกลับไปที่เดิมได้ เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เอเมน มันน่าตื่นเต้นมาก

และเพราะจากความจริงทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์จึงได้ย้ำยืนยันกับเราว่าบัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป ฮาเลลูยา เราจึงหลุดจากกฎเก่า ที่เคยพูดว่าเมื่อไรมันจะชดใช้บาปเวรกรรมทั้งหมดสักทีน่า  ตอนนี่เราอยู่กฎใหม่ พูดว่า.-

“มันใช้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว ฉันเป็นอิสรภาพแล้ว เอเมน” ถูกไหม?

โรม 8:1-2 จึงบันทึกย้ำยืนยันให้เราเรื่องนี้ว่า.-

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

เพราะอะไร?

“เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในเยซู ได้ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) พ้นจากบาปและความตาย”

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

เห็นไหม? ร้องจำให้ได้นะ หลับไปก็ร้องอย่างนี้ (ก่อนตาย) ก็ร้องอย่างนี้ ถ้าตายรู้ตัวนะ ถ้าตายไม่รู้ตัวแล้วไป  มันไปสวรรค์อยู่แล้วล่ะ

จากที่เราได้เรียนรู้กันมา 5 ตอน วันนี้ตอนที่ 6 แล้ว ถึงตรงนี้ เราก็จะสรุปได้พอสังเขปว่าการที่เราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์นั้น  ก็จะเกิดผลสำคัญใน 2 ประเด็นหลัก สรุปได้อย่างนี้ คือ.-

ประเด็นแรก คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎใหม่ได้เอาชนะเหนือกฎเก่าแล้ว

นี่ประเด็นแรกเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน อยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เราใช้สิทธิ์ของเรา เราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ที่เกิดขึ้น ก็คือเรามีอำนาจ เรามีชีวิตอยู่เหนือกฎเก่าแล้ว กฎเก่า ก็คือกฎแห่งความบาปและความตาย ถ้าใครทำผิด ทำบาป แม้เพียงแค่นิดเดียว ก็ต้องรับโทษ คือความตายและตาย คือตายทั้งสองอย่าง คือตายเดี๋ยวนี้ และตาย ชีวิตนี้หมดลมหายใจไป วิญญาณก็ตาย คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ และในความเป็นจริง ไม่มีมนุษย์คนไหนเลย  ที่จะไม่เคยทำผิดบาป เพราะมนุษย์ทุกคน คือคนบาป พระคัมภีร์พูดชัดเจน

สรุป ก็คือทุกคนที่อยู่ในกฎเก่า ก็ต้องได้รับโทษ คือความตายและตาย หนีไม่พ้น อย่างแน่นอน ถูกไหมครับ?

แต่ส่วนกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายแล้ว คือได้รับอิสรภาพจากกฎเก่าแล้ว ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว นี่คือประเด็นแรกที่เราได้รับและสรุปได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ในพระคริสต์เกิดอะไรขึ้น

ประเด็นที่สอง คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ได้กลายสภาพเป็นอะไร? กระเทียมดองแล้ว อันนี้ต้องจำให้แม่นนะ เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  เราก็ได้กลายสภาพเป็นกระเทียมดอง ก็คือเป็นวิญญาณใหม่ ถูกไหม? เราได้เป็นวิญญาณใหม่ เราได้กลายสภาพจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณสกปรก เป็นวิญญาณที่ตายอยู่ กลายมาเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดหมดจด ปราศจากบาป ทั้งหมดใหม่เอี่ยม 100% มีลักษณะ หรือเขาเรียกว่ามีลักษณะเหมือนพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่า.-

“จงมองให้เห็นเถิด นี่แน่ะ เป็นใหม่ทั้งนั้น”

ใครก็ตามที่อยู่ในพระคริสต์ เขาได้ถูกสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป กลายเป็นใหม่ทั้งนั้น

หันไปหาคนข้างๆ บอก “ใหม่ทั้งสิ้นเลย ในตัวเธอ … ในตัวเธอนะ ไม่ใช่ข้างนอกนะ สิวอะไรก็เหมือนเดิม แต่ในตัวเธอ คือวิญญาณนั้น ใหม่เอี่ยมเลย ยกเว้นเสื้อ ฉันจำได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เธอใส่ตัวนี้มา ใช่หรือเปล่า? เสื้อใส่ตัวเดิมมา”

แต่วิญญาณเขาใหม่ ถึงแม้เสื้อจะเก่าก็ตาม

พระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน ให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างการอยู่ในกฎเก่าและในกฎใหม่ อยู่ในกฎเก่าและกฎใหม่ คือให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็นกระเทียมสดกับกระเทียมดอง

อันเก่า ก็คือกระเทียมสด  ใหม่เอี่ยม ก็คือกระเทียมดอง นี่ยกตัวอย่างให้เห็นชัด เพราะหลายคนเขาชอบทำกระเทียมดองอยู่แล้ว จะได้จำแม่น ซึ่งถ้าสมมติว่าใครก็ตามที่เข้าใจตัวอย่างที่ผมพูดมาเมื่อตะกี้นี้ เข้าใจลึกซึ้ง กระจ่างแจ้งเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเครื่องบินก็ตาม เรื่องกฎเก่าและกฎใหม่ เรื่องกระเทียมดองก็ตาม เวลาที่อ่านพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ท่านจะชัดทะลุปรุโปร่งไปเลย  ท่านจะเข้าใจท่านจะเข้าใจถ้อยคำในบริบทของโรมบทที่ 8 อย่างชัดเจน จะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง  ลองอ่านดูนะครับ โรม 8:5-6  ผมยกตัวอย่างสักนิดหนึ่ง มาให้ท่านอ่านดูว่าพอท่านรู้ เข้าใจที่ผมยกตัวอย่างเรื่องกฎของเครื่องบิน แล้วกฎของกระเทียมดอง พูดง่ายๆ ชัดๆ นะ ไม่ต้องให้ละเอียดมาก เดี๋ยวท่านจะจำไม่ค่อยได้ ท่านรู้แล้ว กฎของเครื่องบิน กฎของการยกขึ้น กฎเก่ากฎใหม่ นึกออกใช่ไหม?

อ้อ! กระเทียมดอง มันเคยเป็นกระเทียมสดมาก่อน เดี๋ยวนี้เราเป็นวิญญาณใหม่แล้ว ไม่ใช่วิญญาณเก่า แล้วท่านลองอ่านข้อความเหล่านี้ คราวนี้ท่านจะเข้าใจ สว่างขึ้นมา พระคัมภีร์หมายถึงอย่างนี้นั่นเอง  ลองดูนะครับ โรม 8:5-6 เวลาอ่านไปนึกในใจด้วยนะ กระเทียมดอง กระเทียมสด เครื่องบิน เราลอยขึ้น กฎแห่งการยกขึ้น  คิดในใจอย่างนี้  แล้วเดี๋ยวท่านอ่านดู ท่านจะเข้าใจ โรม 8:5-6

โรม 8:5-6  “5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิต  ตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ 6 จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”

 

ตามมาใกล้ๆ ตามชัดๆ นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ตามมาด้วยวิญญาณของท่าน ตั้งใจฟังตรงนี้นะครับ

“ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ”

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาปตรงนี้ ถามว่าหมายถึงใครครับ? ตรงนี้หลายคนอาจจะเข้าใจว่าหมายถึงผู้ที่ทำผิดหรือทำบาป ใช่ไหม? อ่านดู มองผิวเผินดู มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ  แต่อย่างที่ผมบอกนะ คิดในใจว่าพระคัมภีร์กำลังสอนเราเรื่องอะไร? ตั้งแต่บทก่อนๆ หน้านี้แล้ว เรื่องของกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ กฎเก่ากฎใหม่ เรื่องของอะไร? เรื่องของกระเทียมสด กระเทียมดองที่ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบ นึกออกในใจนะครับ

วันนี้ผมจะขออนุญาตนะครับ มานำเสนอให้ท่านได้เห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าในแง่มุมที่ผมจะพูดต่อไปนี้นะ มันน่าจะเข้ากันได้ดีกับในบริบทของหนังสือโรม ว่ากันตามจริง มันเข้ากันได้กับหนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย  มันจะไม่แย้งกันเลย ท่านก็ลองพิจารณาดูกันเอาเองว่าท่านฟัง แล้วว่าอย่างไร?

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า คือไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ กฎเก่า ก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำถูกต้องตามบทบัญญัติครบถ้วน ก็ได้ไปสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ทำผิดบนบัญญัติแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ต้องได้รับโทษ ไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์ และผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ สิ่งที่วิสัยบาปต้องการ คืออะไร? เนื้อหนังต้องการอะไร? คิดให้ดีๆ  เนื้อหนังเรา วิสัยบาปของเรา  ต้องการจะกระทำด้วยตัวเราเอง พยายามที่จะหาทางไปสู่หมดบาปเวรกรรมด้วยตัวเอง จากการกระทำของตัวเอง เพราะในจิตใจของเรา วิสัยบาปนี้ มันจะระลึกเสมอ อยู่ตลอดเวลาว่า.-

          “ฉันเป็นคนบาป เมื่อไรจะใช้บาปเวรกรรมได้หมดสักทีหนึ่ง ฉันต้องทำ เมื่อไรมันจะหมดสักทีๆ”

 

ตัวนี้คือวิสัยบาป ที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะอธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ก็จะได้อย่างนี้ว่าผู้ที่ยังดำเนินชีวิต ภายใต้กฎเก่า ก็จะปักใจของเขา คือพยายามทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อไปสู่ความรอดจากบาปเวรกรรมให้ได้

ได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซู  “ก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก เพราะฉันอยากจะทำเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไร?  อยู่ดีๆ ฉันทำผิด แล้วมีคนมาชดใช้ให้ฉัน มันไม่น่ามีเหตุผล ไม่เอาล่ะ ฉันทำเองดีกว่า ถูกหรือไม่ถูก”

อดีตเราก็คิดถึงอย่างนั้น ถูกไหม? พอเราได้ข่าวดีว่ามีพระเยซูมาเกิด ไถ่บาปเรา … เราฟังไหมตอนแรกๆ ถามว่าเราไม่ฟัง เพราะอะไร? ทั้งๆ ที่เราไม่รู้เรื่อง เราไม่ฟังเพราะอะไร? เรายังไม่เข้าใจ เราไม่เคยได้ยินเลย เราก็ไม่สนใจ เพราะอะไร? ก็เพราะวิสัยบาปที่อยู่ในตัวเก่า ที่อยู่ในเนื้อหนังของเรา มันต้องการที่จะทำด้วยตัวเอง มันมีความเย่อหยิ่ง ตัวนี้แหละเป็นเชื้อบาปตัวหนึ่งที่เป็นเชื้อบาปใหญ่เลย เริ่มต้นจากมนุษย์ตกลงไปในความบาป ตัวนี่แหละ เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองแน่กว่าพระเจ้าผู้สร้างเขา แล้วก็ตกทอดมาถึงเราทุกวันนี้ เชื้อบาปนั้น ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ จนมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในเนื้อหนังร่างกายของเรา ในนิสัยบาปเรานั้น มีเชื้อใหญ่ตัวนี้อยู่ ก็คือเชื้อของความเย่อหยิ่งจองหอง

“ฉันจะต้องทำด้วยตัวฉันเอง ฉันไม่เชื่อหรอก”

นี่มันเป็นอย่างนั้น  โอเคต่อนะครับ

ในบรรทัดต่อมา เขาบอกว่า “แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” นี่อีกฝั่งหนึ่ง อีกด้านหนึ่งแล้วนะ

“แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณประสงค์”

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ตรงนี้ง่าย ทุกคนก็รู้ว่าก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ถูกไหม?  อยู่ในพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ สิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ ก็คือน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย … น้ำพระทัยพระเจ้าตรงนี้ ก็คือต้องการให้เรา ปักใจตรงนี้ คือให้เราระลึกอยู่เสมอว่านี่พระเจ้าต้องการอะไร? ต้องการให้เราระลึกถึงเสมอว่าวิญญาณตัวเราเองถูกสร้างใหม่แล้ว เราเป็นกระเทียมดองแล้ว นี่คือสิ่งที่พระวิญญาณต้องการให้เรารู้ เป็นกระเทียมดองแล้ว เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราได้ไปอยู่กับพระองค์ได้ ในสวรรค์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย  จนถึงนิรันดร์เลย และวิญญาณเราก็ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนี้ด้วยจริงๆ ถ้าเผื่อเราใช้สิทธิของเราในข่าวประเสริฐนั้น เราอยู่ในนั้นเลย เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วทันทีเลย อยู่ในพระคริสต์

คนที่อยู่ในพระคริสต์อย่างนี้ เราต้องปักใจตรงนี้ เพราะพระวิญญาณต้องการให้เขาปักใจอยู่ตรงนี้ให้ได้ สู้กับเนื้อหนังที่ไปอีกข้างหนึ่ง พอเข้าใจไหม? นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า  น้ำพระทัยพระเจ้าไม่ใช่เฉพาะพวกเราที่เชื่อแล้วเท่านั้นนะ คนที่ยังไม่เชื่อ ในอดีตที่เรายังไม่รู้จักพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าก็ต้องการให้เรารู้ตรงนี้ แต่เรายังไม่รู้ เราก็ปักใจของเราอยู่แต่เนื้อหนังของเรา

เราเกิดมาต้องใช้เวรใช้กรรม เราก็ปักใจอยู่ตรงนั้นแหละ ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง แต่ปักใจอยู่ตรงนั้นแหละ ซึ่งพระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์ก็ต้องการให้ผมและท่านมารู้จักกับกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวดี ท่านจะได้ไม่มาปักใจตรงนี้  พอเข้าใจไหม?

 

ข้อต่อไปบอกว่า “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”

ชัดเจนเลย “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย” คนบาป ก็คือคนที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า นี่ท่านจะเห็นชัดว่าถูกเลย เมื่อตะกี้นี้ที่วิเคราะห์มา ใช่แล้ว นี่คือจิตใจของคนที่เป็นบาป นำไปสู่ความตาย คนบาป ก็คือคนที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่านั้นแหละ ต้องรับโทษของบาป คือความตายและตาย  ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์ หลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังไม่รู้จักพระเจ้ารู้ ก็ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ซึ่งเขาสรุปกันทั่วโลก เรียกว่านรก

“แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข” พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น คือจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณควบคุมอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เป็นกระเทียมดองกับพระเจ้า เป็นกระเทียมดองกับตรีเอกานุภาพไปเรียบร้อยแล้ว จิตใจนั้น คือจิตใจของผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์และสันติสุขที่แท้จริง เอเมน เห็นภาพไหม? ชัดเลยนะ มันไม่ได้ยากเย็นเลยนะข่าวดี  โรม 8:9-11 เรามาอ่านกันดู ตั้งใจอ่าน อย่างที่ตะกี้นี้บอก นึกในใจ มีกฎใหม่ กฎเก่า กระเทียมสด กระเทียมดอง

พูดพร้อมกันสิ “กฎใหม่ กฎเก่า กระเทียมสด กระเทียมดอง วิญญาณเก่า วิญญาณใหม่”

อ่านตรงนี้นะ โรม 8:9-11

โรม 8:9-11 “9  อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาปถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่านก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

ในนี้บันทึกว่าถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน … ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยวิสัยบาป  เช่นเดียวกัน ถ้าเราเปรียบ เป็นกฎเก่ากับกฎใหม่นะ  ถ้อยคำตรงนี้  ก็จะอธิบายได้อย่างนี้ว่าถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน คือถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า  ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านได้รับบัพติศมา จุ่มลงไปในพระคริสต์ ท่านได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยวิสัยบาปอีกต่อไป  คือไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป

กฎเก่าที่ต้องพยายามพึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้รับความชอบธรรม เพื่อจะได้เข้าไปหาพระเจ้าได้ เพื่อจะได้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ แต่โดยพระวิญญาณ ภายใต้กฎใหม่ ที่เราได้บังเกิดใหม่ คือกฎแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ที่ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากความบาปและความตายแล้ว เอเมน

 

ข้อที่ 10 บอกว่า “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน  กายของท่าน ก็ตายไป”

ฟังให้ดีๆ นะ “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน” เชื่อพระเจ้าแล้วนะ “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาป ถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม” ตรงนี้ คืออะไร? คือเขาเรียกว่าไคล์แม๊กของเรื่องพระเจ้าเลย ไคล์แม็กของเรื่องไปสวรรค์ ไคล์แม็ก ของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป ฟังให้ดีๆ กายของท่านตายไป เพราะบาป ย้ำให้เห็นว่าที่เราเรียนรู้กันมาตลอดทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเรื่องทางวิญญาณทั้งสิ้น อย่างที่ผมเคยบอกมาตลอดใช่ไหม?

พระคัมภีร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องของวิญญาณ อ่านเท่าไร ให้ท่านพยายามนึกถึงเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ถ้าท่านไม่ใช้โลกวิญญาณ ใช้วัตถุ หรือวัตถุสิ่งของบนโลกนี้ หรือสติปัญญาแบบมนุษย์เข้าไป ท่านจะไม่เข้าใจเลย และไม่ใช่ไม่เข้าใจอย่างเดียว ท่านเข้าใจผิดอีกต่างหาก แล้วจะไปเข้าข้างอีกฝั่งหนึ่ง คือกฎเก่า พระเยซูมาพร้อมกับกฎทางวิญญาณทั้งสิ้น ทุกเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ เป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่พระองค์บอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” แล้วทุกคนไม่มีหูเหรอ พูดมาได้อย่างไรว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” มันหมายถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณจงฟังเถิด

และอีกอันหนึ่งที่บอกว่า “สิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น สิ่งที่มนุษย์ไม่ได้ยิน เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเขาทั้งหลายที่รักพระองค์”

          แต่พระเจ้ากำลังหมายถึงตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ เขาถึงต้องอธิษฐานให้เราตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก  อธิษฐานหูฝ่ายวิญญาณของเราเปิดออกไง พระเยซูจึงบอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” มองไป ก็มีหูทุกคน ถูกไหม? นี่เรื่องวิญญาณทั้งสิ้น

 

มาอธิบายต่อเมื่อตะกี้นี้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าบอกว่า.-

          “ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป คือแม้ว่าเราจะได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณแล้ว ได้จุ่มลงไป มุดลงไป เป็นกระเทียมดอง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว ได้อยู่กับพระคริสต์แล้ว แต่เป็นเพียงวิญญาณของเท่านั้น ทั้งหมดที่พูดมา ส่วนกายของเรา ที่มองเห็นอยู่นี้ ก็ยังคงเป็นเนื้อหนัง ซึ่งยังคงมีสภาพบาปอยู่ เพราะฉะนั้นกายของเรา คือร่างกายของเรานี้ ยังคงต้องตายอยู่ดี ในวันหนึ่งข้างหน้า ใช่หรือไม่ใช่? ใช่

 

แล้วคราวนี้ พระคัมภีร์จึงบันทึกข้อนี้มา เป็น Happy Ending ของเรา ถ้ามีอยู่แค่นี้ ตายเลย เราไม่มีความสุขเท่าไรเลย แม้อยู่ในพระคริสต์ก็ไม่สุข เพราะเราต้องอยู่กับมันตลอดไป มันนี่คือใคร?

พูดพร้อมกัน “ตัวฉันเอง”

ตัวที่เป็นร่างกายของเรา ที่เป็นบาปอยู่นี่ “ฉันจะต้องอยู่กับมันตลอดไปเลย วิญญาณฉันเกิดใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ดองกับพระเจ้าเลย แต่ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายที่ยังคงบาป ฉันจะอยู่กับมันถึงนิรันดร์เหรอเนี้ย ฉันจะต้องบังคับมันอย่างนี้ตลอดไป  ตายแน่ การเป็นคริสเตียนของฉัน มันก็เลยเป็นพระพรแค่ครึ่งเดียว 50% ที่เหลือทารุณพอสมควร ฉันต้องอยู่อย่างนี้เหรอเนี้ย สิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ฉันก็ต้องทำมัน ฉันจะต้องอยู่อย่างนี้ อยู่ในสวรรค์ ฉันอยากด่าใคร? ฉันก็ด่าอย่างนั้นเหรอ อยู่บนโลกมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า? ถามว่าเป็นไหม? เป็นหรือไม่เป็น? ยิ้มๆ แล้วตอบเลย เป็นหรือไม่เป็น? เป็น เวลาโกรธมาหน้าตาก็บูดบึ้ง แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ข้างในมันตั้งใจซะที่ไหน มันไม่อยากจะทำ ฉันก็กลุ้มเหมือนกัน ที่ทำลงไป”

ถามจริง กลุ้มไหม? หรือว่าไม่กลุ้ม เวลาเราโกรธใคร ยิ้มแย้มแจ่มใสไหมข้างใน ชื่นใจ วันนี้ได้โกรธคน ด่าซะมันไปเลย กลับถึงบ้านแฮปปี้ นอนหลับสบาย  น้อยคนนะเป็นอย่างนั้น  นอกจากจะเพี้ยนไปแล้ว  ถ้าเป็นคนปกติไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน มีใครไหม? เห็นคนแก่ เห็นเด็กจะข้ามถนน ไปแกล้ง อุ้มออกไปเลย ไปแกล้ง ไม่ให้เขาข้าม แล้วก็สบายใจจัง มีความสุข ไม่มีหรอก ไม่ใช่ ลึกๆ ข้างในวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้าทุกคน แม้ว่ายังไม่รู้จักพระเจ้า ก็เป็นของพระเจ้าทั้งนั้น แต่มันเสียหายยับเยิน เพราะความบาป เชื่อของความบาป ที่มันปิดอยู่ แล้วแม้กระทั่ง เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว ได้มาบังเกิดใหม่ข้างในวิญญาณแล้ว  แต่เราก็ต้องอยู่กับใคร? อยู่กับมันต่อไป อย่าไปรักมันมาก อยากจะดุด่าใครนะ ไปหน้ากระจกเลย ไปซัดมันให้เต็มที่ อันนั้นแหละคือตัวจริง เลวที่สุด คือไอ้นั้นแหละ ใคร? มัน (ร่างกายที่มีวิสัยบาปอยู่) ไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริง คือวิญญาณครับ มันคือร่างกายของเรา

          นี่คือความหวังใจมาก พระคัมภีร์บันทึกไว้ตรงนี้ ถึงกระนั้น วิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม แต่ถึงแม้ร่างกายของเราจะต้องตายไป  แต่วิญญาณของเรา ก็ยังคงอยู่ และมีชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระเจ้า เพราะวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณของผู้ชอบธรรมแล้ว หมายถึงไม่ผิด ไม่บาป ไม่ต้องรับการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีชนักติดหลังเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ปราศจากบาปแล้ว หรือเรียกว่ากระเทียมดองไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างแน่นอน นี่เรียกว่าข่าวดีของพระเยซูที่มาถึงมนุษย์ทุกคน เอเมน

 

วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ พระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าอย่างไร? พระองค์สัญญาว่าในข้อเมื่อตะกี้นี้ ย้อนไปอ่านนิดหนึ่ง

“พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตซึ่งต้องตายแก่ท่านนั้นด้วย”

กายของท่านที่ต้องตาย พระเจ้าจะประทานชีวิตให้ใหม่ด้วย คือพูดง่ายๆ ให้ร่างกายใหม่กับท่าน … ท่านจะไม่ได้ไม่ต้องอยู่กับมันอีกต่อไป  เมื่อท่านทิ้งร่างกายบนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณท่านออกจากร่าง หมายถึงตายจากโลกนี้ จากโลกนี้ไปแล้ว พระเจ้าเตรียมอะไรไว้ให้กับท่าน เตรียมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องอยู่ในความบาป ไม่ต้องทำชั่ว ไม่ต้องอยากทำชั่ว ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ซึ่งมีความคงทนอยู่ไม่นานนัก แค่นิรันดร์กาลปีเท่านั้นเอง

วิญญาณท่านก็เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ถูกไหมครับ? สะอาดหมดจดแล้ว ท่านได้สวมร่างกายใหม่ด้วย นี่แหละ คือความหวังใจที่ตะกี้นี้ผมบอกไป เพราะฉะนั้นตอนนี้อดทนอยู่กับมัน (ร่างกายที่มีวิสัยบาป) อีกนิดเดียวๆ แป๊บเดี๋ยว เราชนะมันแล้ว เอเมน โรม 8:12-13 จึงบันทึกอย่างนี้

โรม 8:12-13 “12 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาป ที่จะ ต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

 

ตั้งใจฟังตรงนี้ชัดๆ นะ  นี่ขยายความเมื่อสักครู่นี้ “พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธต่อวิสัยบาป”

คำว่า “พันธะ” ในข้อนี้ พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า “Debtor” ที่แปลว่าลูกหนี้ ความหมาย ก็คือท่านไม่ใช่เป็นลูกหนี้ของเนื้อหนัง ความบาปอีกต่อไปแล้ว ท่านไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนังอีกต่อไปแล้ว นี่หมายถึงคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ และถ้าท่านยังปล่อยให้ตัวเองอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนัง กฎเก่า ท่านก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎเก่า และท่านจะต้องตายและตาย อธิบายชัดนะ เหมือนเดิมเลย  นี่คือข่าวประเสริฐ กำลังอธิบายเรื่องข่าวประเสริฐ เหมือนที่บอกว่าข่าวดีเรื่องเครื่องบินมาถึงแล้ว เครื่องบินบินได้จริงๆ หรือบอลลูนก็ได้ บอลลูนมันลอยขึ้นได้จริงๆ ข้ามไปเถอะ ขึ้นไปเถอะ

ยกตัวอย่างเช่น ข้ามไปเถอะ เพราะภูเขาไฟในเกาะนี้มันจะระเบิดแล้ว ถ้าคุณขึ้นไป ลอยไปอยู่ที่โน่น ย้ายไปอยู่อีกเกาะหนึ่ง เกาะนี้มันจะยุบลงไปแล้ว เร็วๆ  มิฉะนั้น ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านจะต้องตาย แต่คราวนี้หนักกว่า ในข้อพระคัมภีร์นี้หนักกว่า คือตายทั้งร่างกายและวิญญาณ และนิรันดร์ด้วย คือถ้าท่านไม่เดินทางวิญญาณหรือพระวิญญาณก็ตาม คือท่านไม่เดินทางวิญญาณ ไม่ได้เห็นทางวิญญาณตามที่ข่าวประเสริฐได้พูดถึง ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดเลย ถ้าไม่ได้เดินทางวิญญาณ ท่านอยู่ทางวัตถุเนื้อหนัง ก็คือกลับไปที่โลกวัตถุ กลับไปที่กฎเก่า กฎเดิม กฎของความบาปและความตาย ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดเลย ตราบใดที่ท่านเดินอยู่ในเนื้อหนังนั้น คือพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตัวเองว่าจะต้องทำเอง จะต้องเป็นอย่างโน่นอย่างนี่ด้วยตัวเอง ท่านจะไม่มีทางได้รับความรอดเลย แม้แต่นิดเดียว

ง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบ ก็คือถ้าท่านพยายามบินด้วยแขนของตัวเองเมื่อไร? ไม่พึ่งใครเลย ท่านก็หล่นลงมาแน่นอน หล่นไหม? หล่นแน่นอน ถ้าท่านไม่พึ่งเครื่องบิน ท่านหล่นลงมาแน่ ท่านไม่พึ่งกฎแห่งการยกขึ้น ท่านหล่นลงมาแน่นอน ถูกหรือไม่ถูก? เหมือนกระเทียม ที่พยายามดองตัวเอง ได้ไหม? กระเทียมมันกระดืบๆ มันกี่ปี มันถึงจะลงไปในไหน้ำส้ม มันต้องมีคนเตรียมน้ำส้ม เตรียมอะไรต่างๆ ไว้ แล้วก็จับกระเทียมนั้น ใส่ลงไปในไหนั้น มันถึงจะเป็นกระเทียมดอง

“ฉันจะต้องกระเถิบทีละนิดๆ เมื่อไรฉันจะถึงไหน้ำส้มชูไหมเนี้ยะ” เป็นไปไม่ได้

ถ้าพูดเหมือนตะกี้นี้ ท่านหัวเราะกระเทียมตะกี้นี้ กระเทียมเมื่อไรจะไปถึง ถ้าผมพูดอย่างนี้ ท่านจะกล้าหัวเราะไหม?

“ฉันจะสะสมคุณความดี เพื่อจะหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ฉันจะพึ่งในการกระทำของตนเอง ฉันจะไม่พึ่งในอะไรทั้งสิ้น ฉันจะไม่พึ่งในพระเยซูเลย ฉันจะพึ่งการกระทำ ฉันจะสะสมการกระทำดีของฉัน สะสมบุญของฉันไปเรื่อยๆ”

อ้าว! ไม่หัวเราะล่ะ ได้ไหม? ไม่ได้ นี่ตามกฎนี้ ไม่ได้ ถูกไหม? ที่ตะกี้พูดถึงกระเทียมยังหัวเราะเลย แต่พอพูดถึงตัวเอง ไม่ยอมหัวเราะ เราก็คืออย่างนั้นในอดีตใช่ไหม? เรานึกว่าเราทำอย่างนั้น  ทำอย่างนี้ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรม ทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันไม่หมด เราก็ยังทำไม? ทำ เพราะเราไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะเราไปปักใจอยู่ตรงนั้น ตรงไหน? ตรงกฎเก่า ตรงเนื้อหนัง ตรงเนื้อหนังมันเต็มไปด้วยความบาป แต่พระเจ้ามาไถ่เรา ให้ความรอดเรา เริ่มต้นที่วิญญาณของเราก่อนเลย มันต้องเริ่มต้นตรงนั้น  ถ้าเราเริ่มต้นที่เนื้อหนังจะไม่เจอพระเจ้าเลย พระเจ้าก็จึงบอกมนุษย์ทุกคนว่าทางรอดจากบาป ทางรอดจากนรก มีเพียงทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือทางพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นผู้พูดเอง พระคัมภีร์ก็พูดอย่างนั้น ท่านต้องเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ โดยทางฝ่ายวิญญาณ โดยการนำของพระวิญญาณ ที่เป็นผู้ควบคุมการดำเนินการทั้งหมด ในครอบครัวของพระคริสต์ นำพาท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ โดยความเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ ท่านจึงจะสามารถได้รับความรอดได้ ท่านกำลังพึ่งในพระเจ้า เพระเยซูคริสต์นั้นเอง

พระคริสต์ก็เปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง เปรียบเหมือนสถานที่หนึ่ง ที่พระเยซูบอกว่าพระเจ้ากับพระองค์จะทำบ้านขึ้นใหม่ โดยจะมีเราเข้าไปอยู่ในนั้น

“เรา” ก็คือคนที่เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และจริงๆ เรา ก็คือทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงกระทำให้มนุษย์ทุกคน … ทุกคนเลยนะ ประกาศข่าวนี้ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ แต่คนที่จะเข้าไปได้ ก็มีเพียงแค่คนที่ยอมรับสิทธินั้น ยอมรับว่ามันเป็นจริง

“ฉันจะยอมรับสิทธิของฉัน”

ถ้าไม่เอา แล้วมันจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? ถ้าท่านยังไม่เชื่อในฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ อย่างที่อธิบายมาตะกี้ ท่านจะไม่มีวันที่จะได้รับความรอดจากบาป พ้นจากบาป เวรกรรม พ้นจากการถูกลงโทษ จากบาปเวรกรรม พ้นจากนรกได้เลย  และจะต้องไปสู่ความตายและตายในที่สุด อย่างที่ผมบอก ตายนิรันดร์ ตายครั้งแรก ก็คืออยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ทิ้งโลกใบนี้ไป จากโลกใบนี้ไป ก็ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ตรงกันข้าม ถ้าท่านรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า รับเชื่อในพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ ท่านได้เป็นกระเทียมดอง … ดองกับพระเยซู อยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่ ท่านอยู่กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลย กำลังอยู่ตอนนี้ แล้วเมื่อจากโลกนี้ไป ท่านก็ยังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม เอเมน

โรม 8:14-16 “14 เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก 15 แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ผู้ทำให้ท่าน เป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ” 16 พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

 

เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือสรุปให้เห็นอีกทีหนึ่ง ให้เห็นชัดๆ เจน

ให้ท่านพูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นทาสของความกลัวอีก”

ท่านรู้ไหมว่าทาสของความกลัวแปลว่าอะไร? “เป็นทาสของความกลัวอีก” คือกลัวตกนรก กลัวผิด  ฟ้องผิดตลอด  กลัวบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ ตอนนี้นครไม่มีวิญญาณนั้นอีกแล้ว ไม่เป็นทาสแล้ว ไม่กลัวแล้ว ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ มันแปลว่าอย่างนี้ ไม่มีวิญญาณแห่งความกลัวอีกต่อไปแล้ว แต่วิญญาณที่ให้มาเป็นวิญญาณที่ … อ่านตาม

“แต่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับวิญญาณ ผู้ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่าอับบา พ่อ”

เข้าใจหรือยัง? เราร้องว่าพระบิดาเจ้า พระบิดา เรานึกว่าเรื่องธรรมดา ทำไมพระเยซูสอนเราให้อธิษฐานอย่างนี้ว่า “พระบิดา” ทำไมขึ้นคำแรกเป็นคำนี้ เพราะไม่มีใครจะสามารถพูดตรงนี้ได้ จนกว่าเขาจะได้บังเกิดใหม่ เขาจะได้เป็นกระเทียมดอง เขาจึงจะพูดตรงนี้ได้ชัดเจนแจ่มใส ไม่อย่างนั้น เขาต้องนึกว่าเขากำลังเล่นลิเกอยู่ เขาอาย เขาไม่กล้าพูด ทุกวันนี้มีใครอายบ้างตรงนี้ เพราะข้างในมันชื่นใจ รู้ว่าใช่ รู้ว่า.-

“ยืนยันอยู่ในใจฉัน”

ใครยืนยัน “วิญญาณฉันและพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น”

ยืนยันว่านี่ใช่เลย เราอยู่ที่นั่นแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปแล้ว และไปถึงนิรันดร์ด้วย

การดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ ก็คือการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์นั่นเอง นี่คือการดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ บางคนบอกการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ คืออะไร? อ๋อ!  ต้องไปทำดีอย่างนั้น ต้องไปช่วยคนยากคนจน ไม่ใช่ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดตรงนั้น ไม่ได้สอนจริยธรรมตรงนั้น พระคัมภีร์กำลังจะบอกว่าการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ ก็คือสำนึกในวิญญาณอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร? เราเป็นใคร เราเป็นใครในพระคริสต์

ตรงนี้ หมายถึงการดำเนินชีวิตตามวิญญาณ ไม่ใช่อย่างที่เราคิดกันว่ามาสอนจริยธรรม ไบเบิ้ลไม่ได้สอนจริยธรรม ผมจะบอกให้ท่าน เป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านรู้ตรงนี้ จริยธรรมจะออกมาเอง มันจากข้างในมาข้างนอก ไม่ใช่จากข้างนอกไปข้างใน ฟังให้ดีๆ นะ มันจะข้างในออกมาข้างนอก ไม่ใช่จากข้างนอก แล้วพยายามจะไปล้างข้างในให้สะอาด เป็นไปไม่ได้ ข้างในสะอาด แล้วเดี๋ยวมันจะออกมาข้างนอกเอง เอเมน

การดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ ก็คือโดยการไถ่บาปของพระเยซู ให้ดำเนินชีวิตอยู่ตรงนั้นแหละ ในการที่เราได้รับการไถ่แล้ว เราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด จนกระทั่งได้กลับมาเป็นบุตรของพระเจ้า อย่างที่ตะกี้นี้พระคัมภีร์พูดแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตโดยวิญญาณตรงนี้ รู้ตลอดเวลาว่าเราเป็นใคร นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องย้ำยืนยัน และเน้นกับตัวเองตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราชนะอย่างไร? มันคือใคร? มันก็คือใคร? ก็คือเนื้อหนังร่างกาย มันจะเถียงเราตลอด ต้องจับมันให้อยู่ให้ได้ แล้วก็ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน โดยให้พระวิญญาณนำ ข้างในนำ ดำเนินชีวิตโดยเอาวิญญาณนำหน้า ถามว่าพระวิญญาณนำใช่ไหม? ใช่ แต่พระวิญญาณก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบุตร พระบิดา และก็ใครอีกคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งใครน๊า จำไม่ได้แล้ว ตัวเราเองนั่นแหละ โดยพระวิญญาณนำ ก็คือวิญญาณของเรา ดำเนินชีวิตโดยวิญญาณของเรา โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ 3 พระภาคอยู่ด้วยกันนั่นแหละ พอเข้าใจไหม?  คือให้เราทำไม? ให้เรามองในโลกฝ่ายวิญญาณ เหมือนที่อาจารย์เปาโลสอนไว้ ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 โดยให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน จดจ่ออยู่ที่พระคริสต์ ที่สถิตอยู่เบื้องขวาพระเจ้าในสวรรค์สถาน ตรงนี้แหละ คือดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ

“ฉันกำลังนั่งอยู่ที่ตรงนั้นเลย”

“ที่ตรงไหน?”

“ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่ที่คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ด้วย ขณะที่ฉันเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยว วิญญาณฉันก็นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์สถานด้วย ฉันต้องบังคับตัวเองให้มันจดจ่ออยู่ตรงนั้นให้อยู่ได้ เพราะมันพยายามดึงฉันอยู่เรื่อยๆ ว่านี่ไม่ใช่ นี่กำลังอยู่ที่ริมถนน ร้อนก็ร้อน ข้ามถนนก็ไม่ได้ คนขายก๋วยเตี๋ยวยังเอาไปให้คนอื่นก่อนอีกต่างหาก ฉันมาก่อน แต่ได้ที่หลัง ฉันโมโหแล้วนะ ฉันก็โมโหหิวอยู่ ฉันมาตั้งนาน ทำไมคนนั้นได้ก่อน ทำไมคนมาทีหลังได้ก่อน ฉันชักโกรธแล้ว ฉันก็ระเบิดออกไปเลย เพราะฉันหลุดจากเบื้องขวาของพระเจ้า ลงมาอยู่ที่ไหน? ลงมาอยู่ที่มันแล้ว มันชนะตอนนั้น ฉันแพ้”

เพราะฉะนั้น เราต้องจดจ่อปักใจพุ่งไปที่ไหน? พุ่งไปที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่เบื้องบนกับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราเป็นกระเทียมดองแล้ว เราอยู่ในกฎใหม่แล้ว เราอยู่ในกฎแห่งพระวิญญาณแล้ว เรามีชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระองค์ทรงอยู่กับเรา ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลา เรายิ่งใหญ่มากๆ เลย แต่พระเยซูบอกยิ่งใหญ่ ก็ต้องยิ่งเสียสละหมดเลย เพราะมีเยอะแล้วไง คนที่เห็นแก่ตัวโลภ เพราะเขายังไม่รู้ เขานึกว่าเขาขาดอยู่ เขาอยากจะเอา แต่พอเรารู้อย่างนี้ เราเลยเฉยๆ ไง เพราะเรามีเยอะมาก … มากๆ จริงๆ เราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ เอเมน นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญ

เราจะจบด้วยอ่านตรงนี้ด้วยกัน โคโลสี 3:1-4 ย้ำตรงนี้ด้วยกันว่าพระเยซูต้องการให้ดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณนี้อย่างไร? โดยวิญญาณนี้อย่างไร? ให้เราจดจ่ออยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพื่อชีวิตเราจะเต็มไปด้วยชัยชนะตลอดเวลา

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เอเมน … และนี่คือการที่เราสามารถจดจ่ออยู่ที่เบื้องบนได้ คือการมีความหวัง และรู้ว่าที่เบื้องบน ที่ในพระคริสต์ ที่เราสถิตอยู่ด้วยนั้น ตอนนี้มันเป็นอย่างไร? เราเป็นใคร? เตือนตัวเองบ่อยๆ เราเป็นใคร? พูดให้ตัวเองฟังอยู่บ่อยๆ วนเวียนให้ตัวเองรู้บ่อยๆ ร้องเพลงนี้บ่อยๆ “อยู่ในพระคริสต์” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************