วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1520

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  เมษายน  2025

เรื่อง “สำเร็จแล้ว พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เราเป็นขึ้นด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และเราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย นี่ถึงสุขสันต์ไง ถ้าบอกพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายเฉยๆ  เราก็ไม่ค่อยสุขสันต์เท่าไร? เราก็ยังอยู่ในบาปอยู่ แต่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เคยได้ยินเพลงนี้ไหม? เราร้องกันเป็นประจำทุกปี วันอีสเตอร์ …

                        “เป็นขึ้นแล้ว  เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                        เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            วันนี้เราจะมาดูการเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนและหลังวันอีสเตอร์ ก่อนและหลังจากวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ย้อนเวลากลับไปยุคปฐมกาล เป็นหมื่นปีว่าได้  ตอนที่พระเจ้าสร้างโลก และสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ให้กำเนิดมนุษย์

            โถใบนี้ สื่อถึงโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง ในสมัยโน้น ใหม่ๆ  เป็นโลกที่สวยงาม ทุกสิ่งดีหมด และในพระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่าพระองค์ทรงให้กำเนิดมนุษย์ ใคร 2 คนแรก? คนแรก คืออาดัม  คนที่สอง คือเอวา บรรพบุรุษของเรามวลมนุษยชาติ

            มนุษย์คู่แรก คือส้ม 2 ผลนี้ (เอาผลส้มใส่ลงไปในโถน้ำ) นี่เปรียบเทียบให้ดู พระเจ้าสร้างหรือให้กำเนิดอาดัมกับเอวา  และอาดัมกับเอวาถูกสร้างให้มีพระฉายเหมือนพระเจ้า  เพราะฉะนั้น  พระฉายเหมือนพระเจ้า จึงเป็นสีส้มสดใสนั้น มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้า มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่  ที่เราเห็น คือพระสิริของพระเจ้า ใส สีส้มนั้น ครอบครองโลกอันสวยงามนี้  คืออยู่เหนือโลก อยู่เหนือเห็นไหม?  ครอบครองโลกอันสดสวยที่พระเจ้าสร้างให้

            ต่อมาจากการล่อลวงของมาร  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่ามนุษย์คู่แรกนี้ ได้ล้มลงในความบาป ดื้อต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง และสิ่งที่เกิดขึ้นทันที ที่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป เชื้อบาปก็เข้ามาในโลก โลกใบนี้ต้องตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  อยู่ภายใต้อำนาจของความบาปและความตาย ไม่มีพระเจ้าอีกต่อไป โลกใบนี้ที่สดสวยนี้ โลกใบนี้ที่ใสแจ๋วนี้ ที่สวยงามนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงสร้างบนโลกใบนี้ ทั้งสัตว์เอย พืชพันธุ์อะไรต่างๆ ทั้งหมดนั้น รวมทั้งร่างกายของมนุษย์ทั้งหลาย ก็เลยกลายเป็นอย่างนี้ (เทกาแฟลงในโถ) เห็นหรือยัง? บาปเข้ามา ค่อยๆ ทำให้โลกเสียหายจนกระทั่งเต็มใบ โลกเสียหายไปแล้ว  ค่อยๆ ขึ้นมา เต็มไปหมดเลย

            มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ได้รับผล ก็คือมนุษย์ อาดัมและเอวาหลังจากทำบาป หลังจากเอาพระสิริของพระเจ้าออกไปแล้ว  ก็อยู่ในโลกนี้ (เอาส้มใส่เข้าไปในโถที่ใส่กาแฟ) แต่ทำไม? มันจมอยู่เห็นไหม? มันไม่ได้ลอยแล้ว  มันจมอยู่ในความบาป เห็นหรือยัง? ทันทีที่ล้มลงในความบาป อาดัมก็ถอดหรือหลุด จากพระสิริของพระเจ้า ที่ปกคลุมอยู่ พระสิรินั้น ก็หายไป สีส้มหายไป กลายเป็นมืดๆ อยู่ใต้ความบาปและความตาย สถานะลูกของพระเจ้า ก็กลายมาเป็นคนบาป เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เรียกว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกกลืนอยู่ในโลกแห่งความบาป ความสาปแช่ง ก็คือส้มที่ปลอกเปลือกออกหมดแล้ว  ก็คือชีวิตของมนุษย์ รวมทั้งร่างกาย วิญญาณ  พระสิริของพระเจ้าไม่อยู่แล้ว ก็คือไม่มีอะไรห่อหุ้มอยู่ ก็เลยจมอยู่ในความบาปและความตาย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปฐมกาลที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา แรกๆ อย่างดีงาม และมันก็ดำเนินอย่างนี้เรื่อยๆ มา เป็นอย่างนี้ อย่างที่เราเห็น ก่อนที่จะมีวันอีสเตอร์ พระเจ้าก็บอกล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นอย่าง จะมาช่วยให้กลับคืนสู่สมบูรณ์ ตั้งแต่แรกเริ่มที่ทรงสร้าง ที่เราเห็นใสๆ สัญญาไว้กับมนุษย์อย่างนั้น

            มนุษย์ทุกคนเกิดมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูมาบังเกิด ก่อนวันอีสเตอร์นั้น มนุษย์ทุกคน เกิดมาอยู่ในสภาพแบบนี้ เหมือนกันหมดทุกคน  เพราะว่าทุกคนอยู่ในอาดัม เป็นลูกหลานของอาดัม  เกิดมามีเชื้อของความบาป ติดตัวมา จมอยู่ในโลกแห่งความบาปทั้งหมด นี่บันทึกไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ ผมจะอ่านให้ท่านฟัง ในหนังสือเอเฟซัส 2:1-3 ได้อธิบายเรื่องนี้ชัดเจนว่าก่อนที่เราจะเชื่อพระเยซูคริสต์นั้น ชีวิตเราเป็นอย่างไร? …

        เอเฟซัส 2:1-3  “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิด และในบาป  (ในอาดัม) ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิต ตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู)  ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำ”

            ในอาดัม ในบาป ในความมืด ในนรก คือไม่มีพระเยซู ไม่มีพระสิริของพระเจ้า จนกระทั่ง วันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์มาไถ่มนุษย์ มาช่วยลบล้างบาปของมนุษย์ คำสาปแช่งของมนุษย์นั้นออกไปเรียบร้อยแล้ว  พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว และเราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เอเฟซัส 2:4-6 ได้บันทึกต่อมาอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:4-5 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

            โดยพระคุณ พระเจ้าจัดการให้เสร็จเรียบร้อย ย้ายท่านออกจากในอาดัม ย้ายท่านออกจากความมืดมิดในความบาปนี้ ย้ายท่านออกมาอยู่ในพระคริสต์ ข้อ 6 ได้บันทึกต่อมาว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            ความหมายของคำว่า “เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” คือเราได้รับการบังเกิดใหม่ ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม เหมือนวันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ  ตอนเริ่มต้นที่ยังไม่บาปเลย  คือเป็นอย่างนี้ (เอาส้มที่ยังไม่ปลอกเปลือกใส่ลงไปในโถ) ตัวเก่าตายไปแล้ว  หมดไป  เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ (ส้มลอยอยู่เหนือผิวน้ำในโถ) อยู่เหนือโลก โลกยังดำอยู่ไหม? ยังดำอยู่ โลกยังถูกสาปแช่งอยู่ไหม? ยังถูกสาปแช่งอยู่ ยังดำอยู่ ยังสกปรกอยู่ แต่เราสะอาด ลอยตัว เพราะว่ามีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่ เอเมน เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า  ได้รับสถานะเป็นลูกของพระเจ้า กลับคืนสู่สภาพ จากคนบาป กลายเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหมือนเดิม ดีกว่าเดิมด้วย ไม่ใช่ปกคลุมเฉยๆ ของเก่า ปกคลุมอยู่เฉยๆ  แต่ข้างใน ยังไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ แต่นี่ปกคลุมอยู่ และแถมพระเจ้ามาสถิตอยู่ภายในนี้ด้วย เอเมน ดีกว่าเดิมอีก แต่ว่าร่างกายก็ยังคงอยู่ในโลกใบเดิม ที่เราเห็นนี้ โลกใบเดิมที่เสียหายไปแล้ว โลกใบเดิมที่สกปรกอยู่แล้ว ก็สกปรกเหมือนเดิม

            แต่แม้เราอยู่ในโลกนี้ก็จริง เสียหายไปแล้วก็จริง แต่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้ถูกกลืนกินอยู่ใต้ความสาปแช่ง ใต้ความบาป ความตายนี้อีกต่อไปแล้ว  เราหลุดพ้นแล้ว แต่ยังอยู่ในโลกนี้ เราลอยอยู่เหนือคำสาปแช่งนี้ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ เขาก็ยังอยู่ที่เดิม อยู่ที่ข้างใต้นี้ เพราะว่าในกาลาเทีย 3:27 ได้บันทึกว่า …

        กาลาเทีย 3:27 “เพราะว่าท่านทั้งหลาย (หมายถึงคริสเตียนทั้งหลายที่เชื่อ) ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับบัพติศมา (เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน ในทางวิญญาณ) ในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมพระสิริของพระคริสต์”

            ใครที่เชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับบัพติศมา แปลเป็นไทย  แปลว่าเข้าส่วนร่วม คือถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน เขาเรียกว่าขอเอี่ยวด้วยคน เราได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เราบอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งหมดทุกคน รวมทั้งตัวเราด้วย  เราเชื่อ เราก็เลยบอกว่า …

            “พระเจ้า ลูกขอเอี่ยวด้วยคน”

            ก็คือร่วมด้วย พระเยซูได้เป็นอะไร? เราก็ขอเป็นด้วย พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เราก็ขอเป็นด้วย พระองค์ทรงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เราก็ขอนั่งด้วย พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า เราก็ขอเป็นบุตรด้วย เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            ซึ่งข้อความตะกี้ หมายความว่าเราได้รับการสวมใส่ ด้วยความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว เหมือนพระองค์เลย พระองค์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น และก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป เหมือนที่ตะกี้เราร้องกันว่า …

                        “เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                        เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            “พระเยซูเป็นเช่นไร? ฉันก็เป็นอย่างนั้นด้วย”

            ดังนั้น เราจึงไม่ต้องพยายามแสวงหาความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมเพิ่มขึ้นอีก หลังจากเชื่อพระเยซูแล้ว ไม่ต้องแสวงหาความชอบธรม ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมด้วยการกระทำของเราเองอีกต่อไป แต่เราสามารถเชื่อและวางใจในความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมที่พระเยซูคริสต์ได้มอบให้กับเราอย่างสมบูรณ์แล้วตลอดไป เป็นนิจนิรันดร์ เอเมน

            นี่คือการที่เรามาฉลองวันอีสเตอร์ วันเป็นขึ้นจากความตาย ก็เพราะอย่างนี้แหละ และต้องประกาศให้มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ รับทราบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อมนุษย์ทุกคน โคโลสี 3:3 ได้บันทึกว่า …

        โคโลสี 3:3  “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

            นี่คือข้อความที่พูดถึงผู้เชื่อ คนที่เป็นคริสเตียน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ขณะนี้ ที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในส้มที่มีเปลือกนี้ อยู่ในโลกแห่งคำสาปแช่งนี้ พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บอกว่าตัวตนที่เป็นบาป ตัวตนเก่าที่เป็นคนบาป เป็นคนที่ถูกสาปแช่งนั้น ที่จมอยู่ข้างใต้นั้น มันสูญไปแล้ว มันตายไปแล้ว แต่บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในนี้ อยู่ในตัวตนของเรา อยู่ในนี้ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์

            ชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ คือการดำเนินชีวิต ด้วยชีวิตใหม่ ที่ได้รับจากการเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นชีวิตของเรา และเรามีชีวิตอยู่ในพระองค์อย่างนี้ ตามที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์ และชีวิตนี้ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรารู้จักว่ายืนยาวนิรันดร์  แต่เป็นชีวิตที่มีลักษณะ หรือพระลักษณะของพระคริสต์ ของพระเจ้าเอง อยู่ในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวตนใหม่แท้จริงของเรา ที่จะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกต่อไปเลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            เพราะฉะนั้น พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา จึงเป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริของพระเจ้า รอวันที่หมดภาระของเรา  เราก็ไปอยู่ในสวรรค์ และก็เปลี่ยนร่างกายใหม่ของเราเท่านั้นเอง นอกนั้นเหมือนเดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม

            นี่คือความหวังของคริสเตียน ความหวังแห่งพระสิริของพระเจ้า คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา  และเราอยู่ในพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ตราบนี้ ชั่วนิรันดร์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            พระองค์สถิตอยู่ภายในเรา ใกล้ชิดกับเรา  พระองค์มีพระนามว่าอิมมานูเอล  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา อยู่ในเรา ใกล้ชิดที่สุดกับเรา  คือพระเยซูคริสต์ อิมมานูเอล เอเมน

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านเป็นทาสของบาป  ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ชีวิต เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า นี่คือความจริงของกฎในโลกวิญญาณ

            โรม 6:16 … “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด  ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ชีวิต เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าก็ตาม”

            • นมัสการ แปลว่าบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนน อย่างไม่มีเงื่อนไข เหมือนดั่งทาส

            • อาดัม เอาเชื้อบาป คือการพึ่งพาในตนเอง  ทำตนเองเป็นรูปเคารพ บูชานมัสการตนเอง คือเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง เชื่อฟังตนเองเหมือนดั่งทาส

            • ยกตนเองเป็นใหญ่ คือยอมจำนน  ก้มกราบ  เชื่อฟังในตัวเอง คิด และกระทำตามใจปรารถนาของตนเอง  ซึ่งไม่มีทางที่จะทำดี สมบูรณ์ครบถ้วน ดีพร้อมได้เพราะตายจากความดีงาม คือพระสิริของพระเจ้า  จึงไม่มีกำลังที่จะทำดี ให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้

            • เพราะพระเจ้านั้นดี  เป็นความรัก  เป็นความบริสุทธิ์  เป็นความชอบธรรม  เป็นความสว่าง  เมื่อไม่มีพระเจ้า  ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้าในวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ก็มีลักษณะของความตรงกันข้าม  เกิดขึ้นแทนในวิญญาณ คือความชั่ว ความเกลียดชัง มลทิน  ความอธรรม  ความมืด

            ซึ่งไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเลย  ตั้งแต่เริ่มต้นแผนการ ที่สร้างมนุษย์เป็นลูกของพระองค์  จึงเรียกการกระทำนี้ว่า “บาป”  แปลว่าผิดเป้าหมาย

            พระเจ้าต้องการให้มนุษย์พึ่งพา วางใจในพระองค์ แต่มนุษย์อาดัมถูกล่อลวงให้พึ่งตนเอง

            อาดัมทำบาป ไม่เชื่อฟัง ฝืนคำสั่ง กินผลไม้ต้องห้าม

            อาดัมนำเอาพลังอำนาจของความบาปและความตาย และคำสาปแช่ง (คือสิ่งดีดี สิ่งดีงาม ที่เรียกว่าพรของพระเจ้าสูญสิ้นไป) เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ครอบครองอยู่ในวิญญาณ จิตใจ ร่างกายของมนุษย์

            ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง  รวมทั้งร่างกายมนุษย์ต้องตาย สูญสิ้น ตกอยู่ใต้พลังอำนาจของความบาปและความตายนี้ เหมือนทาส  พิสูจน์ได้แม้มองไม่เห็น แต่สามารถส่งอิทธิพล ผ่านทางความคิดเข้ามาในเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามบนโลกนี้

            ตราบใดที่เรายังมีร่างกายที่เป็นส่วนหนึ่งของโลก สามารถรับสื่อ อิทธิพล คลื่นกระแสความคิดนี้  มันสามารถเกิดขึ้นได้จากภายในตัวของเราเอง และจากภายนอก มันสามารถผ่านทะลุกำแพงไม่ว่าจะหนาเท่าใดก็ตาม ไม่ว่าจะปิดหูปิดตาก็ตาม

            เราสามารถรับ คิดตามกระแสนี้ได้ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า เนื้อหนัง กระแส ระบบของโลกนี้ คืออิทธิพล พลังอำนาจของความบาปและความตาย ซึ่งเป็นศัตรูอยู่ตรงกันข้ามต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นความดีงาม ความบริสุทธิ์ ความรักเป็นพระเจ้าตัวจริง

            • ผล  คือลูกหลานเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่ตามมา   ตกอยู่ใต้พลังอำนาจแห่งความบาปและความตายนี้ คือเป็นทาส เชื่อฟังความคิดของตนเอง  เห็นแก่ตัว เย่อหยิ่ง จองหอง บูชา นมัสการตนเอง  ซึ่งเปรียบเสมือน  รูปเคารพที่อยู่ในใจ และเป็นผลออกมาทางภายนอก   คือสร้างรูปปั้น จากสัตว์  จากอะไรต่างๆ ที่ทรงสร้างมา เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงรูปเคารพที่อยู่ในใจ  ต้องการให้รูปเคารพนั้น ทำตามความปรารถนา  ที่เป็นของตัวเอง  อยู่ในใจของตน

            ความจริง  คือในโลกวิญญาณ  มีสองเจ้านายเท่านั้น  คือบาป  หรือความชอบธรรม

            • ตัวเองเป็นใหญ่หรือพระเจ้าเป็นใหญ่  ความตายหรือชีวิต

            พระเยซูตรัสว่า …  ท่านไม่สามารถเป็นข้าสองจ้าว บ่าวสองนายได้  ต้องตัดสินใจเลือก  ระหว่าง …

            ➢ ท่านจะเป็นทาสของบาป  ซึ่งนำไปสู่ความตาย

                                    หรือ …

            ➢ จะเป็นทาสของการเชื่อฟัง  ซึ่งนำไปสู่ชีวิต เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1519

คำบรรยายวันศุกร์ที่  18  เมษายน  2025

เรื่อง “วันศุกร์ประเสริฐ”

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาฟังพระคัมภีร์ยาวๆ เลย 2 บท ในหนังสือสดุดี บทที่ 22 และบทที่ 23

        สดุดี 22:1-31 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์? เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์? ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์? 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืนข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน 3 ถึงกระนั้นพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์    เป็นองค์บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญของอิสราเอล 4 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์     เขาเหล่านั้นวางใจในพระองค์ และพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขา 5 พวกเขาร้องทูลพระองค์และได้รับการช่วยกู้    พวกเขาวางใจในพระองค์และไม่ผิดหวัง

        6 แต่ข้าพระองค์เป็นตัวหนอน ไม่ใช่คน ผู้คนก็ประณาม ประชาชนก็ดูแคลน 7 คนทั้งปวงที่เห็นข้าพระองค์ก็เย้ยหยัน พวกเขาส่ายหน้าและพูดเหยียดหยามใส่ข้าพระองค์ว่า 8 “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยเขาสิ  ในเมื่อพระองค์ปีติยินดีในตัวเขา ก็ให้พระองค์ช่วยกู้เขาสิ” 9 ถึงกระนั้นพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ตั้งแต่อยู่ในอ้อมอกแม่ 10 ตั้งแต่เกิด   ข้าพระองค์ก็ถูกทิ้งให้พึ่งพิงพระองค์   ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์

        11 ขออย่าทรงไกลห่างจากข้าพระองค์  เพราะความทุกข์ร้อนอยู่ใกล้ และไม่มีใครช่วยได้เลย 12 เหล่ากระทิงห้อมล้อมข้าพระองค์ ฝูงโคถึกแห่งบาชานรุมล้อมข้าพระองค์ 13 พวกเขาอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์  ดั่งสิงโตคำรามและกัดฉีกเหยื่อ 14 พละกำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปดั่งสายน้ำ กระดูกทุกซี่ของข้าพระองค์หลุดจากข้อต่อ ใจของข้าพระองค์อ่อนล้าดั่งขี้ผึ้ง หลอมละลายภายในข้าพระองค์ 15 กำลังของข้าพระองค์แห้งผากไปดั่งดินเผา  ลิ้นของข้าพระองค์เกาะติดเพดานปาก พระองค์ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์นอนเกลือกธุลีแห่งความตาย

        16 เหล่าสุนัขรายล้อมข้าพระองค์  กลุ่มคนชั่วรุมล้อมข้าพระองค์ พวกเขาทิ่มแทงมือและเท้าของข้าพระองค์ 17 ข้าพระองค์สามารถนับกระดูกทั้งหมดของข้าพระองค์   ผู้คนจ้องมองข้าพระองค์อย่างสะใจ 18 พวกเขาเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน     และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับสลาก 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนพระองค์ ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข

        21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์   ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า 22 ข้าพระองค์จะประกาศพระนามของพระองค์   แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม 23 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์! ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของยาโคบ จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์! จงยำเกรงพระองค์เถิด ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของอิสราเอล! 24 เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงดูแคลน  หรือรังเกียจเดียดฉันท์ ความทุกข์ทรมานของผู้ตกทุกข์ได้ยาก พระองค์ไม่ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา แต่ทรงสดับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา 25 เนื่องด้วยพระองค์   ข้าพระองค์ร้องสรรเสริญในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณของข้าพระองค์ ให้สำเร็จต่อหน้าบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์

        26 คนยากไร้จะรับประทานและอิ่มหนำ  บรรดาผู้เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จะสรรเสริญพระองค์ ขอให้จิตใจของท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ตลอดกาล! 27 ทั่วทุกมุมโลกจะระลึกได้ และหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกครอบครัวของชาติต่างๆ จะหมอบกราบต่อหน้าพระองค์ 28 เพราะอำนาจการปกครองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า     และพระองค์ทรงปกครองเหนือมวลประชาชาติ 29 คนมั่งคั่งทุกคนในแผ่นดินโลกจะเลี้ยงฉลอง    และนมัสการพระองค์ ทุกคนที่ต้องกลับสู่ผงคลีดินจะคุกเข่าลง  ต่อหน้าพระองค์  คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้ 30 บรรดาลูกหลานจะปรนนิบัติพระองค์  มนุษย์จะกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าให้คนรุ่นต่อไปฟัง 31 พวกเขาจะประกาศความชอบธรรมของพระองค์   แก่ชนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิดมา   เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น”

            ในหนังสือสดุดี บทที่ 22 ทั้งบท เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าให้กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้ พูดถึงสิ่งที่พระองค์จะกระทำในอนาคตข้างหน้า ที่จะส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และมาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน คำอธิษฐานทั้งหมด เป็นการคร่ำครวญ ในพระคัมภีร์ไม่เขียนระบุชัดเจน ตอนที่พระเยซูคริสต์อยู่ที่สวนเกทเสมนี ที่ไปอธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง  อธิษฐานจนกระทั่งเหงื่อออกมาเป็นเลือด ไม่ได้ระบุว่าพระองค์อธิษฐานอะไร?  แต่เชื่อมั่นว่าพระเยซูคริสต์ต้องอธิษฐานตามบทนี้แน่ๆ คร่ำครวญกับพระเจ้า ถึงสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น คร่ำครวญที่พระองค์จะต้องแยกจากพระเจ้าชั่วขณะหนึ่ง ในขณะที่พระเยซูคริสต์กับพระบิดาตั้งแต่เริ่มต้นเลย ไม่เคยแยกจากกันทั้ง 3 พระภาค

            แต่ว่า ณ วันนี้ วันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูคริสต์จะต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  จะต้องรับเอาความบาป  ความผิดของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ มาไว้ที่พระกายของพระองค์ เป็นการคร่ำครวญที่รู้ว่าต่อแต่นี้ไป ตอนที่พระองค์อธิษฐาน ในค่ำคืนนั้น หลังจากที่อธิษฐานเสร็จ พระองค์จะถูกจับ ในวันรุ่งขึ้น จะต้องถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์ จนพระเยซูคริสต์ยอมละ สละวิญญาณของพระองค์เอง

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ พระเจ้าไม่สามารถตายได้ ถ้าพระองค์ไม่ยอม ฉะนั้น พระเยซูยอมที่จะสละชีวิต หรือวิญญาณของพระองค์เอง ละวิญญาณ ตายเพื่อพวกเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน  แต่ช่วงเวลาที่พระองค์อธิษฐาน ณ เวลานั้น พระองค์ยังเป็นมนุษย์อยู่ พระองค์มีความกลัว กลัวมากๆ ด้วย ไม่ได้กลัวเฉยๆ แต่กลัวมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นมนุษย์  เราไม่รู้ว่าอีก 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงข้างหน้าจะเกิดอะไรกับเรา เราก็จะกลัวไม่มากเท่าไร? แต่พระเยซูคริสต์รับรู้ว่าจากที่พระองค์อธิษฐาน หลังจากนั้น พระองค์จะต้องไปเจออะไร?  จะต้องถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี ถูกสวมมงกุฎหนาม ถูกเยาะเย้ย ถูกถากถาง ถูกถ่มน้ำลาย ถูกสารพัดสิ่ง  จนถูกตรึงบนไม้กางเขน และสิ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุด สำหรับพระเยซูคริสต์ คือจะต้องถูกแยกจากพระเจ้า พระบิดาเป็นการชั่วคราว นั่นเป็นความทุกข์ที่ใหญ่ที่สุดของพระเยซูคริสต์ แต่พระองค์ตัดสินใจ เมื่ออธิษฐาน 3 ครั้ง พระเจ้าเงียบ หมายความว่างานนี้ อย่างไรพระเยซูก็ต้องเดินไป  เพื่อมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้สามารถเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าได้  สามารถเข้ามาบังเกิดใหม่ได้

            พระเยซูคริสต์อธิษฐานจนในที่สุด สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตัดสินใจ คือพระองค์บอกว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ แม้ว่า ณ เวลานั้น พระเยซูคริสต์อาจจะคิดว่าไม่ไปได้ไหม? มันทุกข์ทรมาน รู้อยู่แก่ใจว่าเดินไปต้องเจออะไร?  แต่ว่าพระองค์เก็เลือกที่จะตัดสินใจทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

            และเมื่อพระองค์เลือกที่จะตัดสินใจปุ๊บ ทันทีที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก่อนที่พระองค์จะละวิญญาณ พระองค์ตะโกนดังๆ ว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือคืนวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทำอย่างนั้น แล้ววันนี้เราก็มาระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์เสียสละ เพื่อมนุษยชาติ พระองค์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            ความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ได้ทำให้พวกเราทุกคนสามารถที่จะบังเกิดใหม่ สามารถที่จะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ สามารถรับชีวิตนิรันดร์ ชนิดแบบเป็นของพระเยซูคริสต์ แบบเหมือนพระเจ้าเลย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ได้

            การที่พวกเราได้เข้ามา ไม่ได้โศกเศร้าเสียใจ แต่เข้ามาชื่นชมยินดี ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระเจ้าได้ทำสิ่งนี้ เพื่อพวกเราทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น ทุกครั้ง ทุกปี ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงยุคปัจจุบัน จนถึงอนาคตข้างหน้า ผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่คริสตจักรใดก็ตาม เมื่อถึงวันศุกร์ประเสริฐ ทุกคนจะมารวมตัวกันระลึกถึงความรักของพระเจ้า เข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน

            ในบทที่ 22 ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ผลที่พวกเราทั้งหลายได้รับ มาอยู่ที่สดุดี บทที่ 23  ที่เราชอบอ่านมากเลย พระเจ้าทรงเลี้ยงข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ เรามาดูบทที่ 23 ข้อที่ 1 บอกว่า …

        สดุดี 23:1 “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดั่งเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”

            คำว่า “ขัดสน” ของพระเจ้า ตรงนี้ สมัยก่อน เราก็คิดว่าไม่ขัดสนในเรื่องของชีวิตประจำวัน ก็คือเรื่องเงินทอง เรื่องสุขภาพร่างกาย  หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่เราอยากได้ มนุษย์ทั่วไป ส่วนใหญ่อยากได้ แต่ถ้อยคำตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับร่างกายเราเลย พระเจ้ากำลังบอกเราถึงเรื่องโลกวิญญาณ ผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ทำให้มนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว

            ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันดับแรกเลย เขาไม่ขัดสนในวิญญาณ วิญญาณของเขาจะไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะทำสำเร็จ มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เกิดมาเป็นคนบาปเลย ไม่ต้องทำอะไรก็บาปแล้ว รอวันตายอย่างเดียว รอวันที่พระเจ้าจะพิพากษา ทั้งอยู่บนโลกใบนี้และหลังความตาย วิญญาณออกจากร่าง ก็ยังต้องถูกพิพากษาอยู่ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จบนไม้กางเขนแล้ว ผลที่เราได้รับ คือเราจะไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป หมายถึงคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วนะ วิญญาณของเราจะไม่ได้อยู่ในความมืดอีกต่อไป เราได้อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เป็นความสว่างด้วย วิญญาณของเราจะไม่ถูกสาปแช่งอีกต่อไป นี่คือความจริงที่พระวจนะของพระเจ้าพูดไว้

            พระเยซูคริสต์ได้รับเอาคำสาปแช่งของมนุษยชาติทั้งหมด ไปไว้ที่พระกายของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ในวันที่พระองค์ถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี รับเอาบาปทั้งหมดของมนุษยชาติไปไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว

            และผลอีกอันหนึ่งที่ชัดเจนมากเลย ก็คือวิญญาณของเราจะได้กลับคืนสู่พระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องไปกังวลอะไรเลยทั้งหมดนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อ ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับทั้งหมดนี้เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องพยายามไปดิ้นรนทำ เพื่อให้เกิดออกมาเป็นผลแบบนี้ แต่ผลนี้ เป็นผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว

        สดุดี 23:2 “พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนลงในทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังริมน้ำอันสงบ”

            ในพระคัมภีร์ยอห์น พระเจ้าเปรียบพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลายเป็นแกะของพระองค์ “แกะ” เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบวุ่นวาย ชอบอยู่ในที่สงบ แล้วพระเจ้าก็บอกว่าพระองค์ได้นำพวกเราทั้งหลาย เป็นแกะของพระองค์ไปที่ริมน้ำแดนสงบ

            ในสมัยก่อน ตอนที่กษัตริย์ดาวิดเขียนคำเผยพระวจนะตรงนี้ คนอิสราเอลจะมีอาชีพเลี้ยงสัตว์ คนอิสราเอลนะ พวกเราจำได้ใช่ไหม? ตอนที่โยเชฟให้ครอบครัวเดินทางไปที่อียิปต์ โยเชฟไปบอกกับฟาโรห์ว่าพวกเขาชอบเลี้ยงแกะ แต่คนอียิปต์ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ ก็เลยแยกชิ้นส่วนไปเลย เอาที่ที่ดีที่สุด ที่มีหญ้าเขียวสดให้คนอิสราเอลไปเลี้ยงแกะ ฉะนั้น การที่มีหญ้าเขียวสดกับริมน้ำแดนสงบ  เป็นที่ที่แกะชอบที่สุด แล้วเป็นภาพที่พระเจ้าแสดงให้เราเห็นถึงภาพของสวรรค์

            สวรรค์ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับพวกเราทั้งหลาย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณของเราสงบ วิญญาณของเราไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไป ก่อนเรามาเชื่อพระเจ้า เราพยายามดิ้นรน  เพื่อที่เราจะได้รับความรอด มนุษย์ทุกคนแสวงหาการหลุดพ้นจากบาป เพราะรู้แล้วว่าตัวเองเป็นคนบาป แต่แสวงหาอย่างไรก็ไม่พบสักที ก็ยังคงต้องดิ้นรนต่อไป แต่เมื่อเรามาพบกับพระเยซูคริสต์ เราได้เจอริมน้ำแดนสงบ เจอทุ่งหญ้าที่เขียวสดแล้ว เราพอแล้ว เราหยุดตรงนี้ แกะจะไม่ยอมไปไหนแล้ว

            “ฉันจะนอนแช่นิ่งอยู่ตรงนี้แหละ”

            นี่คือภาพของสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ให้กับพวกเราผู้เชื่อ ซึ่งสวรรค์ไม่ต้องรอเราตาย คอยไป พี่น้องไม่ต้องรอจนตาย แล้วค่อยคิดว่าเราจะได้ไปสวรรค์ แต่ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์บอกกับเราว่าเราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ณ สวรรคสถาน ก็คือวิญญาณของพวกเรา ณ เวลานี้ อยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้หายเหนื่อยและเป็นสุขเรียบร้อยไปแล้ว  นี่คือพระพรที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เป็นผลสำเร็จที่มาจากตอนที่พระเยซูคริสต์ยอมถูกตรึงบนไม้กางเขน ยอมสิ้นพระชนม์และถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีในชีวิตของพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย

        สดุดี 23:3 “พระองค์ทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของข้าพเจ้า    พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์”

            ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมทันที เกิดมา “เป็น” พระเจ้าทำให้วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และให้วิญญาณใหม่ ที่เป็นขึ้นมาใหม่ เป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เลย ก็คือเป็นวิญญาณที่ชอบธรรม  เป็นผู้ชอบธรรมเลย เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นความรัก เกิดมาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  สิ่งเหล่านี้มันบังเกิดขึ้น ทั้งหมด เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราจะได้รับ

            มาถึงข้อที่ 4 ไม่เกี่ยวกับวิญญาณแล้ว ตอนนี้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ หลังจากที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว

        สดุดี 23:4 “แม้ข้าพระองค์เดิน  ผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย  ข้าพระองค์จะไม่หวาดกลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องและนำทางข้าพระองค์  ทำให้ข้าพระองค์สบายใจ”

            มีใครสามารถสบายใจท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากไหม? ไม่มี มีเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น คือเผ่าพันธุ์ใหม่ ผู้เชื่อที่วางใจในพระองค์ ผู้เชื่อที่มั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้า มั่นใจ รับรู้ความจริงว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ไม่ทิ้งเราไปไหน ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอุปสรรคใดๆ ก็ตาม  พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา ฉะนั้น แม้เราจะเจอหุบเขา เงามัจจุราช ความตาย หรือความยากลำบาก เจอความเดือดร้อน เรื่องของสภาวะความเป็นอยู่ เรื่องของการงาน เรื่องของสุขภาพร่างกาย เราก็สามารถที่จะยืนหยัดและผ่านมันไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า และรับรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงนำเราไป ไม่ว่าจะนำด้วยเหตุผล ด้วยวิธีการใดก็ตาม เรารับรู้ว่าพระองค์ไม่ทิ้งเราแน่นอน

            นี่เป็นความมั่นใจของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทำให้เราสามารถเกิดความสบายใจได้ในขณะที่เผชิญกับปัญหาความทุกข์ยาก

        สดุดี 23:5 “พระองค์ทรงจัดเตรียมอาหารสำหรับข้าพระองค์ ต่อหน้าศัตรูทั้งหลายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน จอกของข้าพระองค์เปี่ยมล้นอยู่”

            ถ้อยคำของพระเจ้ากำลังเล็ง ให้เราเห็นถึงการดูแลของพระเจ้าว่าพระองค์จะดูแลทุกย่างก้าวของเรา จัดสำรับให้กับเราต่อหน้าต่อตาศัตรู ก็คือดูแลทุกข์สุขของเราอย่างไม่ลดละ หมายความว่าไม่ใช่พอเราเจอความทุกข์ปุ๊บ พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้ง 3 พระภาคก็หนีชิ่งไปเลย ไม่มี พระองค์ยังคงอยู่ด้วยกับเรา ประคับประคองพาเราไปเรื่อยๆ ให้เราผ่านไปได้

            พี่น้องที่เดินกับพระเจ้า ยิ่งเราเดินกับพระเจ้านานมากเท่าไร? เรายิ่งจะเห็นพระคุณของพระเจ้า แล้วเราจะเห็นการช่วยเหลือของพระองค์ตลอดเวลาในชีวิตของเรา เรายอมรับเลยว่าชีวิตของผู้เชื่อไม่ได้เดินอยู่บนกลีบกุหลาบแน่นอน ไม่ใช่ เพราะพระเยซูคริสต์บอกว่าในโลกใบนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ท่านชื่นชมยินดี ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว ความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ ไม่สามารถที่จะทำให้เราถอดใจได้  เพราะเรารับรู้ว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสถิตอยู่ในเรา แล้วไม่ทิ้งเราแน่นอน

        สดุดี 23:6 “แน่ทีเดียว ความดีและความรักอันยั่งยืน จะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”

            ข้อนี้ที่กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้  เพื่อให้เราทั้งหลายมั่นใจในความรักมั่นคง ความดีงามของพระเจ้าที่มีอยู่เหนือชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ให้เรามั่นใจเลย ไม่ใช่มั่นใจตอนที่ลมหายใจเราออกจากร่างนะ ณ เวลานี้ที่ตัวเป็นๆ อยู่ เรารู้ว่าเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ แล้วเราจะอยู่แบบนี้ตลอดไปนิรันดร์กาล จนถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง วิญญาณเราไปอยู่กับพระเจ้า เราก็ยังคงอยู่ที่เดิมแหละ ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้ เป็นคำเผยพระวจนะ เป็นคำพยากรณ์ที่พูดถึงการช่วยกู้ของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้า สำหรับมนุษยชาติ และสิ่งนี้ได้ทำสำเร็จเรียบร้อย  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            เราจึงเข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับความดีงามที่พระเจ้าได้ทำเพื่อมนุษยชาติ และพระองค์ก็ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำต่อไป คือรับรู้ความจริงของพระเจ้าเรื่อยๆ รับรู้มากขึ้นทุกวันๆ ว่าตอนนี้ พระเจ้าทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบ้าง แล้วเราก็ชื่นชมยินดีรับผลสำเร็จเหล่านี้ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เป็นพรให้กับชีวิตของพวกเราเอง และเป็นพรให้กับผู้คนรอบข้างที่ได้เจอพวกเราว่าคริสเตียนสุดยอดมากเลย เราสามารถชื่นชมยินดีท่ามกลางปัญหาอุปสรรค เราสามารถยิ้มได้ ท่ามกลางน้ำตาเล็ด น้ำตาหยดติ่งๆ แต่เรายังสามารถยิ้มได้ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าองค์นี้อยู่กับเรา จูงมือเราเดิน จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ที่พระเจ้าบอกว่าโลกนี้พอแล้ว เราทำงานสำเร็จแล้ว กลับบ้านได้ พักผ่อนได้ พระองค์ก็จะรับวิญญาณของเราไปอยู่กับพระองค์ ตอนนั้น เราไปอยู่กับพระเจ้าจริงๆ ได้เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ได้เห็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ร่างกายใหม่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกๆ คน อันนี้พระองค์ทำเรียบร้อยไปแล้ว

            แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับทุกครั้งที่เราเข้ามาระลึกถึงความรักของพระเยซูคริสต์ ระลึกถึง ไม่ว่าจะเป็นวันศุกร์ประเสริฐ ไม่ว่าจะเป็นวันอีสเตอร์ วันที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือไม่ว่าจะเป็นวันคริสตมาส วันที่พระองค์มาบังเกิด หรือทุกอาทิตย์ที่เราเข้ามาหาพระเจ้าในคริสตจักรของพระองค์ เราก็จะขอบพระคุณพระองค์ สำหรับสิ่งดีงามเหล่านี้ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            บาป คือการบูชานมัสการ พึ่งพาตนเองในการกระทำดี ซึ่งไม่มีใครทำสมบูรณ์ได้ครบถ้วน แทนที่จะบูชานมัสการ พึ่งพาพระเจ้า ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กระทำ ให้สมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว

            บาป คือการผิดเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าวางไว้ตั้งแต่ให้กำเนิดมนุษย์

            คือการบูชานมัสการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์ แทนที่จะบูชานมัสการพึ่งพาพระเจ้า

            คือวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์

            โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น  ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ  เพราะวิญญาณเป็นบาป  อยู่ในบาป  จึงทำบาป  คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า  และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน  ตอนนี้ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว  พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์  เช่นเดียวกันกับเรา  และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎทั้งหลายของพวกเรา 14 พระองค์ทรงยกเลิก  กฎแห่งการกระทำ  ตามธรรมบัญญัติ  ที่บันทึกไว้  ในหนังสือธรรมบัญญัติ  (หนังสือธรรมบัญญัติ  ที่พระเจ้าได้ประทาน  ให้กับชาวยิว  ผ่านทางโมเสส  และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว  หนังสือธรรมบัญญัติ  บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน)   ซึ่งมีระบุไว้ว่า  เราต้องทำตามทุกจุด  ทุกขีด  ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติ  อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน  ไม่มีการละเมิดเลยแม้จุดๆ เดียว”

            กฎแห่งการกระทำนี้  จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา  คอยกล่าวโทษเราว่า  เราทำผิดกฎ  ละเมิดกฎ  คือทำบาป  ต้องได้รับโทษ  คือความพินาศในวิญญาณ  (เพราะมนุษย์เรา  ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  บริบูรณ์ดีพร้อม  ตามบัญญัตินั้นได้  โดยไม่ละเมิดเลย  แม้แต่จุดเดียว)

            พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้  ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน  (เพื่อว่า  การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จะได้เป็นตัวแทนของเรา  มวลมนุษย์  ในการตายจากชีวิตเดิม  ร่วมกับพระองค์  จากชีวิตเดิม  ซึ่งเป็นหนี้บาป  ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการกระทำ  ตามบทธรรมบัญญัตินี้)

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1518

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  เมษายน  2025

เรื่อง “คริสเตียน! เราไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อแต่เป็นลูกของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “คริสเตียน! เราไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อ แต่เป็นลูกของพระเจ้า” นี่คือหัวข้อเรื่อง ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยการแสวงหาคุณค่าของตนเอง แสวงหาการยอมรับจากสังคม จากผู้คนอื่นๆ แสวงหาความรักจากคนในสังคม แสวงหาสถานะในสังคม  ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด แต่ไม่มีสถานะหรือฐานะใดที่ล้ำค่ากว่าการได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า สถานะในการเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่ามีค่าสูงสุด ล้ำค่าเลิศสุดกว่าสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้ที่มนุษย์แสวงหากัน คริสเตียนไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่เราบอกว่าผู้เชื่อๆ แต่คริสเตียนได้รับสถานะใหม่ บันทึกไว้ว่าเป็นลูก เป็นทายาท เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรคสถาน เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้เรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมด ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระองค์ทรงตรัสไว้เช่นนั้นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้นั้นแหละ และเรา เป็นหนึ่งในสมาชิกของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์

            คริสเตียนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ ที่เรียกว่ายิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว  เราเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวนี้หรือ! มันเป็นความจริง เพราะถ้อยคำพระเจ้าได้พูดไว้อย่างนั้นเยอะแยะมากมายเลยว่าเราเป็นอย่างนั้น ซึ่งเป็นความจริง ที่เขาเรียกว่าอัศจรรย์ล้ำลึกมากๆ เกินกว่ามนุษย์จะสามารถเข้าใจ สามารถคิดออกได้ว่า …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้าหรือ? ฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าหรือ? มันเป็นไปได้หรือ?”

            จึงต้องมีการย้ำความจริงนี้บ่อยๆ ในถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริงนี้ อยู่เรื่อยๆ ในตลอดชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ย้ำถึงความจริงเหล่านี้ว่ามันใช่จริงๆ จากถ้อยคำพระเจ้าที่ได้บันทึกไว้

            และความจริง ก็จะทำให้เราเกิดพลัง เกิดกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน ที่เต็มไปด้วยความหวัง เป็นความหวังที่ไม่ได้เป็นความหวังแบบโลกใบนี้ แต่เป็นความหวังแบบคริสเตียน คือความหวังในสิ่งที่เราหวังไว้ในโลกวิญญาณ และเรารู้ว่ามันเป็นจริง ก็คือความหวังในสิ่งที่จับต้องมองไม่เห็น แต่เรารู้ ความหวังนี้ ทำให้เราสามารถจับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่มองไม่เห็น

            ความหวังในคริสเตียนนี้  เป็นความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ที่ทรงสถิตอยู่กับเรา ความหวังนี้ประกอบด้วยความเชื่อศรัทธานี้ จึงเป็นความหวังที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ คือความหวังที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ ในสิ่งที่มองไม่เห็น  ปกติความหวังในโลกนี้ คือความหวังที่จับต้องมองไม่เห็น เราหวังว่า … มันมองไม่เห็น แต่ความหวังในทางคริสเตียน ในทางวิญญาณนี้ มันจับต้องมองเห็นได้

            ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นลูกของพระเจ้า เรารู้เลยเราเป็นลูกพระเจ้า และเราเป็นแล้วจริงๆ เราหวังว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ความหวังที่ลมๆ แล้งๆ  แต่เป็นความหวังที่ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณเรา เราจับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่เห็น เรารู้สึกได้ไหม? ไม่รู้สึก เขาเรียกว่าจับต้องมองไม่เห็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด ไม่ได้รับรู้เลย แต่ด้วยวิญญาณเรารับรู้ว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ไม่เช่นนั้น เราคงไม่เรียกพระองค์ว่า “พระบิดา” “พ่อ” เราคงไม่อธิษฐานบ่อยๆ เราคงไม่เดือดร้อน แล้วอธิษฐานขอพระเจ้า

            “พระบิดาเจ้าข้า … พระบิดา … พ่อ … พระเจ้า พระบิดาช่วยลูกที”

            ทำไมเราทำอย่างนั้น เพราะเป็นความหวัง ที่จับต้องมองเห็นได้แล้วว่าเราเป็นลูก เราจึงอธิษฐาน เอเมนไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นพลัง เป็นอำนาจ เป็นฤทธิ์เดช ในตัวของผู้เชื่อ คริสเตียนที่จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ความสับสนวุ่นวายบนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีอยู่แล้ว นี่แหละคือพลังภายในของคริสเตียน

            พระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งหมด ที่ยืนยันถึงสถานะตรงนี้ คือลูกของพระเจ้า ให้เราได้เห็น ให้เราได้อ่าน ให้เราที่จะสามารถพอเห็นลางๆ ได้ทางสายตา ทางความคิดของมนุษย์ เรื่องสถานะของเรา ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า และสิ่งสำคัญของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงนี้ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์นี้ ที่ยืนยันว่าเป็นจริงนั้น เป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว คือได้บันทึกเอาไว้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้บันทึกไว้ว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคต  แต่บันทึกว่ามันเป็นขึ้นแล้ว มันได้เป็นแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว ทันที ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราได้เป็นตรงนี้แล้ว ไม่ได้หวังว่าจะได้เป็นในอนาคต

            “ได้เป็นแล้ว ได้เกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ ทันที ในโลกนี้”

            ไม่ใช่สิ่งที่หวังว่าจะได้เกิดขึ้นในอนาคต เชื่อ แล้วจะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะได้เป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ เชื่อแล้ว ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้เลย และเราที่เป็นคริสเตียนสามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา อยู่กับเรา ในวิญญาณของเรา ทำให้เรารู้ว่าถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ ที่บันทึกเอาไว้ ที่เราได้อ่าน มันเป็นความจริง ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือเข้าใจไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นจริง จับไม่ได้ แต่มันก็เป็นจริง มองไม่เห็น แต่มันก็เป็นจริง นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ พระเจ้าบอกว่าคริสเตียน ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น พระวิญญาณที่สถิตกับเราจะเป็นพยานยืนยันว่าเราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเดี๋ยวนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ อธิษฐานเมื่อไรก็ได้ พระเจ้าอยู่กับเราเสมอ และดูแลเรา เป็นลูกของพระองค์เสมอ ไม่ว่าเราจะรู้สึกเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่ามันเป็นจริงหรือไม่จริงก็ตาม ในขณะที่เราอธิษฐานอยู่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกเช่นใดก็ตาม แต่ในวิญญาณของเราแฝงเอาไว้ซึ่งความเชื่อแน่นอน 100% เลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณของเรา และวิญญาณของเราก็รับรู้ความจริงเหล่านี้ เอเมน  นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ

            เรามาดูส่วนหนึ่งในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้านี้ ซึ่งมีเยอะแยะ ผมจะยกตัวอย่างมาสักประมาณหนึ่ง ความจริงของการเป็นลูกพระเจ้า เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์  เพื่อเราจะได้มาดูกัน และย้ำยืนยันให้เรารับรู้ในวันนี้ว่าวันครอบครัว วันพรุ่งนี้เป็นวันครอบครัวของไทย แต่เราทั้งหลายเชื่อในพระเจ้า เราระลึกถึงวันครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค สถานที่เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว           เราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นลูกของพระองค์ใน

สวรรคสถาน ในครอบครัวของพระเจ้านี้แล้ว บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้จริงๆ ให้ตา หู ความคิดของเรา ได้สัมผัสกับความจริงเหล่านี้ ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ให้มันฝังรากลึกลงไปในความคิดของเรา เพราะหลายครั้งอย่างที่บอก เราไปมองดูโลกใบนี้ สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เราอาจจะไขว้เขวไปก็ได้

            “เอ๊ะ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ทำไมเกิดอะไรขึ้นกับฉัน อะไรต่างๆ เหล่านั้น”

            แต่ความจริงเป็นความจริง หนีไม่พ้น เราเป็นลูก ก็เป็นลูกจริงๆ

            1. เราได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า อันดับแรกเลย เราได้รับการยืนยันว่า เราได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า เราได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า เพราะมีบันทึกไว้อย่างนั้นว่าเราได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า ยอห์น 1:12 …

        ยอห์น 1:12 “แต่บรรดาผู้ที่ได้ต้อนรับพระองค์ (พระเยซู) คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ได้ทรงให้สิทธิ์แก่เขาเหล่านั้น เป็นลูกของพระเจ้า”

            “แต่บรรดาผู้ที่ “ได้” ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงประทานแก่เขาเหล่านั้น เป็นลูกของพระองค์ พระองค์ “ได้” ทรงให้สิทธิ์แก่เขาเหล่านั้น  เป็นลูกของพระองค์ พอใครได้รับเชื่อปุ๊บ  เขาก็ได้ทันที ได้เป็นลูกทันที

            คำว่า “สิทธิ์” แสดงถึงสิ่งที่ถูกมอบให้ ไม่ใช่เราทำขึ้นเอง เพราะเราไม่สมควรที่จะได้รับ แต่เพราะพระเจ้ามอบให้ โดยพระคุณ เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซู เราก็ได้รับสถานะ ฐานะใหม่นี้ทันที คือเป็นลูกของพระเจ้า เปรียบเหมือนเด็กที่ถูกรับเลี้ยง  เด็กคนนี้อาจจะมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ทันทีที่ถูกรับเป็นบุตร เขาก็ได้รับนามสกุลใหม่ สิทธิ ความรัก จากครอบครัวใหม่นั้นทันที นี่ตามกฎหมายของมนุษย์

            ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน บันทึกไว้อย่างนี้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับสิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา ให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า มาดูข้อพระคัมภีร์ต่อไป ข้อที่ 2

            2. เราได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าที่เป็นพยาน   ให้เรารับรู้อยู่ภายในว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า  พอเราใช้สิทธิของเรา เป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ พอเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงประทานให้เข้ามาสถิตอยู่กับเราทันที โรม 8:15-16 ความจริงที่บันทึกไว้ว่า …

        โรม 8:15-16 “เพราะท่านไม่ได้รับวิญญาณแห่งการเป็นทาสอีกต่อไป ให้ตกอยู่ในความกลัว   แต่ท่านได้รับวิญญาณแห่งการเป็นลูกบุญธรรม ซึ่งทำให้เราร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ ป่าป๊า)” พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า”

            แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ไม่ใช่ท่านจะได้ แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงทำให้เราเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีมนุษย์ผู้ใดในโลกใบนี้เลย ที่สามารถที่จะเชื่อพระเจ้าด้วยตัวของเขาเองได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร? จะท่องคาถาพระคัมภีร์อะไรก็ตาม ไม่มีทางสามารถเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ได้ นอกเสียจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้าไปในวิญญาณของเขา ให้เขาได้บังเกิดใหม่ และประทานความเชื่อตรงนี้ให้กับเขา เขาจึงสามารถพูดออกจากปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้า และพระเจ้ามีอยู่จริง นั่นมันหมายถึงอย่างนี้

            พระวิญญาณได้ประทานความเชื่อตรงนี้ให้กับเราว่าเรารู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ พระเยซูเป็นพระเจ้าเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรานั้น ยังเป็นพยานยืนยันให้กับเรา ในความเป็นลูกของพระเจ้า ให้เราเกิดความมั่นใจ มั่นใจสู้กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งมันสัมผัสแตะต้องได้ ซึ่งมันไม่เข้าใจ มันก็พยายามไม่เชื่อ มันก็จะตื้อว่าเป็นไปได้อย่างไร? จับ มองเห็นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรล่ะ  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในยืนยันตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องห่วงเลย เราไม่ต้องพยายามที่จะไปยืนยัน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณของเรา

            หลายครั้งเราอาจมีความรู้สึกไม่เชื่อ อาบน้ำไป ตกลงมีพระเจ้าจริงไหมเนี้ย ไม่ต้องไปแคร์มัน ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปคิดอะไรต่างๆ พระเยซูมีจริงหรือเปล่าเนี้ย เดินตกท่อ เพิ่งจะอธิษฐานมาหยกๆ พระเยซูมีจริงไหม? มันก็จะส่งข้อมูลเหล่านี้มา ถ้ามีจริง ตกท่อได้อย่างไร? เพิ่งจะอธิษฐาน เพิ่งจะออกจากโบสถ์มา ไม่ต้องไปสนใจ สนใจในวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่า …

            “ฉันเป็นของพระเจ้า พระองค์สถิตอยู่กับฉันตอนนี้แล้ว”

            ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้  เป็นโรคร้ายแรงอะไรต่างๆ เกิดขึ้น

            “มีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นกับเราอย่างนี้ได้อย่างไร?”

            “ฉันไม่รู้ ฉันไม่ใช้ความรู้สึก ไม่ได้มายืนยันว่าฉันแข็งแรง แล้วถึงจะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ฉันแข็งแรง ไม่ใช่ฉันร่ำรวย ฉันถึงจะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ไม่ใช่ แต่ที่ฉันรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไว้ ฉันรู้ รู้จักว่ามันเป็นจริง รู้จากภายในวิญญาณของฉัน”

            มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ตรงนั้นแหละ แม้ว่ามันจะรู้สึกเสียงเล็กๆ เพราะในขณะนั้น สิ่งที่หูได้ยิน สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ความรู้สึก มันจะเจ็บปวด มันจะไม่อยากได้ มันจะต่อต้านก็ตาม แต่เสียงเล็กๆ นั้น ก็ยังบอกว่า …

            “ฉันมีความหวัง ฉันเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสถิตอยู่กับฉัน”

            เอเมนไหม? เอเมน นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ

            คำว่า “อับบา” ร้องเรียกพระเจ้าว่า “พ่อ” อับบา คือภาษาฮีบรูของชาวยิว เขาเรียกพ่อที่สนิทๆ กันว่าปะป๊า เวลาเด็กๆ ตกใจ

            “โอ๊ย! พ่อช่วยด้วย ปะป๊าๆ”

            เป็นความสนิทสนมกัน ในฐานะเป็นลูก และผู้ใดที่นำพาเรา ให้เรามีสัมพันธ์กับพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้าที่สนิทกับพระองค์อย่างนี้ ก็พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน จะเป็นผู้นำเรา บอกตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าพอเรามาเชื่อปุ๊บ ก็จะเริ่มต้นสอนเราแล้ว บอกเราแล้วว่าพระเจ้าเป็นพ่อเรานะ สนิทสนมกันมาก  เราจึงเริ่มต้นอธิษฐาน ถ้าเราอธิษฐานเมื่อไร นั่นแหละ คือพระวิญญาณเริ่มทำงานแล้วว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า แม้ว่าจะชัดหรือไม่ชัดก็ตาม เราเป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่ตกใจกลัวความมืด ตกใจกลัวสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น แล้วเราก็โดดไปหาพ่อเรา แล้วก็ …

            “ปะป๊าช่วยด้วย”

            นั่นแหละ คือเราอธิษฐาน ไม่ว่าจะความรู้สึก รู้สึกไม่เชื่อหรือรู้สึกทุกข์ใจก็ตาม ถ้าเราอธิษฐาน เมื่อไร ก็คือเราเรียกปะป๊า พ่อจ๋า แด็ดดี้ช่วยด้วย ในวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น และคำนี้เป็นคำที่พูด ชี้ให้เห็นถึงลักษณะของการไว้วางใจในพ่อ เรียกพ่อว่าปะป๊า แด๊ดดี้ เป็นการไว้วางใจในพ่อ สนิทกับพ่อมากว่าพ่อรักเรา พ่อช่วยเราแน่นอน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในวิญญาณของเราจริงๆ ตามพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้นี้ ไม่ใช่ต้องพิสูจน์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดต้องเข้าใจ ไม่ต้องเข้าใจ ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องจับต้องสัมผัสได้ ไม่ต้องรู้สึกได้ แต่เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้นี้ มาดูอย่างที่ 3

            3. ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ดูถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เอเฟซัส 2:19 …

        เอเฟซัส 2:19 “ดังนั้น ท่านทั้งหลายจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือคนต่างชาติอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองร่วมกับธรรมิกชน และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

            ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า หมายถึงเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องคริสเตียนทั่วโลกเลย  เป็นพี่น้อง เป็นพลเมือง เป็นสมาชิก ประชากรของพระเจ้า ลูกๆ ของพระเจ้า ร่วมกับธรรมิกชน หมายถึงร่วมกับคริสเตียนอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งหมดเลย เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก ในครอบครัวเดียวกัน ในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้บังเกิดใหม่นั้น ในพระเยซูคริสต์เราได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน พี่ใหญ่ของเรา หัวหน้าครอบครัวของเรา คือพระเยซูคริสต์ คริสเตียน ก็คือน้องๆ ของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงเรียกเราว่าน้องๆ มันจะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับเชื่อ และใช้สิทธิของเรา ในข่าวดีของพระเยซู ที่พระองค์ได้ทรงประกาศว่าพระองค์ได้ไถ่บาปให้มนุษย์ทุกคนแล้ว รวมทั้งเราด้วย สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นทันที คือวิญญาณของเราได้รับการเปลี่ยน เมื่อเราเปิดใจ ซึ่งเรียกว่าบังเกิดใหม่ ได้รับการย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัวพระเจ้าในฐานะลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซู เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ เข้าส่วนรับมรดกกับพระองค์

            ก่อนหน้าที่เราจะรับเชื่อ เราไม่ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เราเป็นสมาชิกของโลกนี้ เราเป็นของโลก เราไม่ได้เป็นของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของโลก ซึ่งไม่มีพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในฐานะลูกพระเจ้า เราอยู่ในฐานะคนบาป เราไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ เราอยู่ห่างจากพระองค์ แต่เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้บัพติศมาเรา เข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์เราจึงได้เป็นทายาท เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ เป็นน้องๆ ร่วมกับพระองค์ เราเรียกกันว่าเราเข้าส่วนรับร่วมกับพระเยซู พระเยซูรับอะไร? เราขอแจมด้วย เข้าส่วนร่วม แปลว่าอย่างนี้ คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิ์เราเมื่อไร คือเราจะขอส่วนเข้าร่วมแล้ว เหมือนกับเมื่อเขากำลังกินข้าวอยู่ เราขอแจมด้วย ขอแชร์หน่อยได้ไหม? เขาบอกได้ เราตักเลย นั่นแหละ เรามีส่วนร่วม เพราะฉะนั้น เราได้มีส่วนร่วมรับสิ่งที่พระเยซูรับ พระเยซูรับอะไร? เรารับด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่ไหน? เรานั่งอยู่ด้วย พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า เรารู้อยู่แน่นอน เรามั่นใจเลย เราก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย  ดูฮีบรู 2:11-12 …

        ฮีบรู 2:11-12 “11 ทั้งพระเยซูผู้ชำระวิญญาณมนุษย์ทั้งหลาย ให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป เพื่อถวายแด่พระเจ้ากับบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่ได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ผ่านทางการยอมรับ-เชื่อ ในข่าวดีของการไถ่บาปของพระเยซูนั้น (หมายถึงคริสเตียน) ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซู ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้น (คริสเตียน) ว่าพี่น้อง 12 พระเยซูพูดว่า “ข้าพระองค์จะประกาศ สำแดงพระนามพระองค์ (พระเจ้าพระบิดา)  แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ (มนุษย์ทั้งหลายที่ยอมรับเชื่อ และใช้สิทธิของเขาที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้เขา ชำระวิญญาณของเขาให้บริสุทธิ์ สะอาด) และท่ามกลางที่ประชุมของพี่น้อง ผู้ยอมรับ-เชื่อ ข้าพระองค์จะร้องสรรเสริญพระองค์”

            ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน พระเยซูบอกว่าพระองค์มา เพื่อประกาศ เพื่อช่วยชำระวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย ให้สะอาดหมดจด พ้นจากบาป เพื่อเขาจะได้มาอยู่ในครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกัน ในครอบครัวของพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้า นี่เป็นข่าวดี และใครที่ยอมรับข่าวดีนี้ ยอมเชื่อในข่าวดีนี้ ก็หมายถึงพวกคริสเตียนทั้งหลาย ก็คือเราที่นั่งอยู่ที่นี่  คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูบอก  พอเชื่อปุ๊บ ก็ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน  เกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซู พระเยซูเกิดเมื่อไร? งงเลยนะ เกิดในพระบิดาเดียวกัน  เกิดอย่างไร? ไหนบอกว่าพระเยซูเป็นอยู่ตั้งแต่ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว เป็นอยู่มาก่อนโน้น ตั้งแต่พระบิดา พระบุตร พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีอะไรทั้งปวง แล้วทำไมเรามาเกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซูได้อย่างไร? ก็เพราะว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า จำได้ใช่ไหม? ข่าวดี ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า ทรงยอม ให้พระบิดาใช้  เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่งลงมาเป็นมนุษย์ เสียสละสภาพพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์

            คำว่า “เสียสละสภาพพระเจ้า” คือไม่ได้เป็นพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว เป็นมนุษย์ แม้ว่าจะมาจากพระเจ้าก็ตาม แต่อยู่ในสภาพมนุษย์ เพื่อจะได้ไปตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชดใช้ความบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง  และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3  เพื่อให้มนุษย์เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย วันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  คือในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายนั้น ภาษาเดิมที่ให้ชัดขึ้น คือวันที่ 3 นั้น พระองค์ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย บางทีบอกเป็นขึ้นจากความตาย บางทีก็บอกเป็นขึ้นเอง

            เป็นขึ้นจากความตาย คือในวันที่ 3 พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ได้ทรงชุบหรือยกพระเยซูขึ้นจากตาย ด้วยพระวิญญาณนิรันดร์ของพระองค์ หรือของพระบิดา  ให้พระเยซูได้บังเกิดใหม่ มันหมายถึงอย่างนี้ และพระองค์ก็เท่ากับบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า หรือเราเรียกกันว่าชีวิตนิรันดร์ก็ได้  ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าได้ถูกมอบให้กับพระเยซูในวันที่ 3 นั้น  โดยพระบิดาชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และชีวิตนิรันดร์นี้ พระเยซูบอก พระองค์ก็แบ่งให้กับมนุษย์ทุกคน เมื่อ 2,000 ปีผ่านไปแล้ว สำหรับระยะเวลาของมนุษย์นะ ซึ่งในโลกวิญญาณไม่มีเวลา คือพระองค์ทรงแบ่งวิญญาณนิรันดร์ให้กับมนุษย์ทุกคน ใครที่เชื่อ ก็มารับเอาไป ใครที่ไม่เชื่อ เขาก็ได้ แต่เขาไม่มารับ สิทธิมันก็ค้างอยู่ตรงนั้น ตรงนี้มันจึงแปลว่าได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เกิดจากบิดาเดียวกันกับพระเยซู เห็นภาพหรือยังว่าเรากับพระเยซู มีวิญญาณนิรันดร์เหมือนกัน บังเกิดลักษณะเดียวกันเลย  แต่เราไม่ใช่พระเจ้า  แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เราเป็นมนุษย์คนบาปที่ได้รับพระเมตตา รับเป็นบุตร แต่พระองค์เป็นบุตรอยู่แล้ว  เป็นพระเจ้า เราไม่ใช่พระเจ้า แต่เรามีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระเยซู ที่พระองค์ทรงประทานให้

            ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้น  คือคริสเตียน เรียกเหล่านั้นว่าอะไร? ว่าพี่น้อง เพราะว่ามีพ่อเดียวกัน นี่เห็นไหม? เห็นภาพครอบครัวหรือยัง? เท่ากับวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เป็นวันที่ครอบครัวของพระเจ้า คือมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งพระเยซูที่สละสภาพพระเจ้า จากครอบครัวพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาอยู่เป็นคนบาปเหมือนกับเราทั้งหลาย บัดนี้ มนุษย์ที่เป็นคนบาปและพระเจ้าได้กลับคืนสมบูรณ์ กลับคืนดีกันแล้ว ครอบครัวได้กลับคืนดีกัน หลังจากที่ต้องแตกหัก แยกกันออกไป เป็นเวลานาน บัดนี้ ได้คืนสมบูรณ์แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่านี่คือข่าวดี ที่พระเจ้าได้ทรงให้มนุษย์ กลับคืนดีกับพระองค์ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ข่าวดีที่เราประกาศออกไปทุกวันนี้ คือการประกาศข่าวดีว่าพระเจ้าทรงให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระองค์แล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ มนุษย์กลับมาเป็นสมาชิก เป็นลูกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว

            พระเยซูจึงเรียกพวกเราว่าพี่น้อง ซึ่งนั่นหมายถึงว่ามนุษย์ทุกคน ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา เขาก็ได้เป็นพี่น้อง ซึ่งว่ากันตามจริง เขามีสิทธิที่เป็นพี่น้องอยู่แล้ว เพียงแต่ยอมรับสิทธิ์ไหม? จะเอาไหม? แค่บอกเอาก็พอแล้ว ทุกอย่างทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

            เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ฟังข่าวดีนี้อยู่ เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของพระเจ้า ที่กลับคืนดีกับพระเจ้า อยากถามว่าท่านยอมรับและเชื่อตรงนี้ไหม? เชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูได้ไถ่บาป ให้กับท่าน ชำระวิญญาณให้กับท่าน บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปแล้วจริงๆ ท่านเชื่อไหม? ท่านยอมที่จะมาใช้สิทธิของท่านไหม? ถ้าท่านเชื่อและรับสิทธิ์ ท่านก็เหมือนกับเราที่นั่งที่นี่ ที่รับสิทธิ์แล้ว ท่านก็สบายใจ มั่นใจและรู้อยู่ในใจว่าอะไรเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านเป็นสมาชิกคนหนึ่ง  แต่ท่านไม่ใช้สิทธิของท่าน ไม่เปิดใจรับเชื่อในสิทธิของท่าน ที่พระเยซูทำให้ สิทธิของท่าน ก็วางอยู่ที่ไม้กางเขนตรงนั้น เหมือนเดิม ไม่ได้ใช้อะไรเลย ไม่มีใครใช้ได้ด้วย เพราะมันประทับชื่อท่านอยู่ มีคนเดียวที่ใช้ได้ตรงนั้น ก็คือชื่อของท่าน ช่วยใช้แทนก็ไม่ได้ เพราะชื่อของท่าน เป็นของท่าน ที่พระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ได้แบ่งวิญญาณนิรันดร์ให้กับท่าน เป็นชื่อของท่าน เป็นสิทธิ์ของท่าน  ท่านต้องใช้ด้วยตัวท่านเอง

            และพระเจ้าพระบิดา ในพระคัมภีร์บอกรอคอยด้วยใจจดใจจ่อ ด้วยความห่วงใย ให้ท่านเปิดใจรับสิทธิของท่านเถิด วิงวอนตลอดเวลาเลย บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องราว เป็นอุปมาที่พระเยซูคริสต์ ให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าพระบิดาเป็นห่วงเป็นใยท่านขนาดไหน? ท่านผู้ที่ไม่ใช้สิทธิของท่านนะ ในอุปมานี้ บอกว่าท่านหลงหายไป แล้วพระบิดาทำอะไร? รอคอยด้วยใจจดใจจ่อ ไม่ได้อยู่ในบ้านด้วย อยู่หน้าบ้าน มองออกไปตลอดเวลา มองทุกวันๆ ตลอดเวลาว่าเมื่อไร ท่านจะกลับมาเสียที  พระองค์อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้คิดอะไรกับท่านเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าท่านจะคิดว่าตัวเองบาป หรือไม่สมควร หรือเลวอย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้มองตรงนั้นเลย พระองค์บอกว่ามันจบไปแล้ว ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นตัวแทน พระองค์อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ท่านเข้ามารับสิทธิของท่านเท่านั้นเอง และเราก็จะได้มาแฮปปี้ในครอบครัวเดียวกัน ในครอบครัวใหม่นี้ พระองค์รักและห่วงใยท่าน

            4. เราได้รับความรักอย่างลึกซึ้งจากพระบิดา มากถึงขนาดทรงเรียกเราว่าลูก คิดดูสิว่ารักเราขนาดไหน? 1 ยอห์น 3:1-2 …

        1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงมองให้เห็นเถิดพระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกเล็กๆ ของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลายก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ)   เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            ท่านที่รัก ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ  แม้ว่าตาเราจะมองไม่เห็น แต่เรารู้อยู่ภายใน  และวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราจากโลกนี้ไป เราก็คือทิ้งร่างกายอันเปื่อยเน่าบนโลกใบนี้ไป เราจะได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราจะได้เห็นหน้าพระเจ้าอย่างแท้จริง  อย่างชัดๆ  อย่างเป็นตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองเต็มด้วยสง่าราศีในร่างกายใหม่ เรารู้ได้อย่างไร? เรารู้ ถ้อยคำพระเจ้าได้บันทึกไว้อย่างนั้น และเรารับรู้ได้ด้วยพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  ก็คือได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ในขณะที่เจ็บป่วยอยู่ ในขณะที่ยากจนอยู่ ในขณะที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ธรรมดาเหมือนกับคนอื่นบนโลกใบนี้

            แต่ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ และในความเป็นจริงนั้น เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องรอคอยสวรรคสถาน  เราอยู่ในสวรรคสถานแล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป จนถึงนิรันดร์  และพระเจ้าทรงรักเรามากมาย มหาศาล  ไม่ใช่ เพราะว่าเราประพฤติดี ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดี พยายามทำดี ไม่ใช่เลย  พระเจ้าทรงรักเรามหาศาล ก็เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์อยู่แล้ว และพระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเรารับสิทธิของเราเท่านั้น เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นบาปอยู่แล้ว ทำบาปอยู่แล้ว ไม่มีใครช่วยตัวเองได้เลย แต่พระเยซูคริสต์มาเป็นความรักของพระเจ้า ที่ปรากฏเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเรา แล้วเรารับสิทธิของเรา เราก็ได้เป็นลูกของพระองค์ ลูกที่บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เปลี่ยนแปลงภายในวิญญาณ เราไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้  แต่มันเป็นจริง เมื่อเราเชื่อวางใจและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือต้อนรับสิทธิของเรา ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            พอต้อนรับปุ๊บ อะไรเกิดขึ้น ก็คืออัศจรรย์นั่นเอง ต้องพูดว่าอัศจรรย์ ไม่ต้องพูดอย่างอื่นแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรถึงจะเข้าใจตรงนี้ได้ ไม่มีทางที่มนุษย์คนหนึ่งจะเข้าใจตรงนี้ได้ จนกว่าเขาจะได้รับการอัศจรรย์นี้ อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้นี้ได้บันทึกไว้ ทันทีบนโลกใบนี้ เราจะมีประสบการณ์ในการเป็นลูกของพระเจ้าทันทีบนโลกใบนี้ เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ ทันทีบนโลกใบนี้  โดยพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา นำพาชีวิตเรา ดำเนินไปกับเราบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้จนถึงนิรันดร์ เราจะรู้เอง ไม่มีทางที่จะอธิบายยกตัวอย่างให้กับคนที่ไม่เชื่อฟัง เพราะว่ามันไม่สามารถที่จะสัมผัสแตะต้องได้ คิดได้แบบมนุษย์ แต่ต้องด้วยความเชื่อและประสบการณ์เท่านั้น คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            เราจะเห็นได้ว่าจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ พระเจ้าไม่ได้แค่ให้สถานะลูกกับเรา แต่ให้ความรักอย่างเต็มล้นกับเรา เราไม่ต้องพยายามทำให้พระเจ้ารัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อนแล้ว ตอนที่เราเป็นคนบาป ก็รักเราแล้ว เหมือนพ่อแม่มีความภูมิใจในลูก ลูกเล็กๆ ออกมาเป็นทารก ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ภูมิใจมากเลย นี่ลูกของฉัน ไปอวดใหญ่เลย นี่ลูกของฉัน ลูกของเรา พระเจ้าก็ภูมิใจเราอย่างนั้นแหละ ลูกของฉันเหมือนกัน นี่คือลูกของเรา  เรารักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข

            เหมือนกัน เด็กทารกยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่เป็นคนดี ไม่เป็นอะไรสักอย่าง เรารักเขา นี่ลูกของเรา ไม่มีลูกของใครสวย หล่อเท่าลูกของเราอีกแล้ว อะไรๆ ก็ลูกของเรา ลูกของเรา พระเจ้าก็อย่างนั้นแหละ ลูกของเรา ไม่ว่าท่านจะมีความรู้สึกว่าท่านไม่พร้อม ท่านมีนิสัยไม่ดี เชื่อพระเจ้า ตรงนั้นก็ยังไม่ดี ยังอิจฉาริษยา คิดสกปรก คิดอย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ดี พระเจ้าไม่สนใจหรอก พระเจ้าสนใจอย่างเดียวว่าในพระเยซูคริสต์ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว นี่คือลูกของเรา

            ฉะนั้น ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ ที่วันนี้ นำมาดูกัน  แสดงให้เห็นถึงความรัก และการยอมรับ ที่พระเจ้ามีต่อเรา ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า  ในฐานะเป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อและความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น คิดดูสิ พระคุณขนาดไหน? ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น รับเราเป็นลูก อัศจรรย์แค่ไหน? แค่เชื่อในพระเยซู ก็ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ท่านลองคิดดู แค่นี้ เชื่อเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ประพฤติอะไรเลย โลกจะเข้าใจไหมเนี้ย ไม่มีทางเข้าใจ  แต่นี่มันเป็นอัศจรรย์ไง จะเข้าใจได้อย่างไร? มันต้องมีประสบการณ์ อัศจรรย์แค่ไหน แค่เชื่อในพระเยซู ก็ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า มีฐานะเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซู มีมรดกมากมาย พระเจ้าบอกภูมิใจในคนๆ นี้มาก แค่เชื่อ

            “พระเจ้าภาคภูมิใจในฉันมาก  พระเจ้าภูมิใจในเรามาก”

            พูดด้วยความภูมิใจนะ

            “ฉันไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อ  แต่เป็นลูกของพระเจ้า”

            ยืนยันเวลาเราจะพูดคำนี้ ไม่ว่าเราจะประสบการท้าทายอย่างไรในชีวิต ในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าเขาจะบอกว่า …

            “แกไม่ดีเลย”

            ในสังคม เขาอาจจะบอก … “เธอฐานะอย่างนี้ ไม่ได้เรื่องเลย ทำอันนั้นก็ล้มเหลว ทำอันนี้ก็ล้มเหลว ทำไมทำอะไรก็เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ดีสักที โชคร้ายตลอดเลย ทำไมเธอป่วยอย่างนี้” อะไรแบบนี้

            ยืนขึ้น ยืดอกในใจ แล้วก็บอกว่า … “ฉันไม่ใช่แค่คริสเตียน  แต่ฉันเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงไว้ใจ และภูมิใจในฉัน”

            เอเมนไหม? เดินไปที่ไหน ก็คิดอย่างนี้ มีความภูมิใจอย่างนี้ มั่นใจอย่างนี้ นี่คือสถานะของฉัน ที่แท้จริง ไม่ใช่เดินอยู่บนโลกใบนี้ คนบอกสถานะอย่างเราไม่ไหวหรอกอย่างนี้ เราเป็นคนจน

            “ฉันรวยจะตาย เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันมีความหวังแน่นอน เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาดบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงทั้งสิ้นเลย ยืดอก ยกไหล่ ยื่นหน้า ยิ้มแย้ม ยินดี แล้วก็กล่าวว่า …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันไม่ได้เป็นแค่คริสเตียนเท่านั้น ฉันเป็นลูกของพระเจ้า”

            คนชอบบอก  … “คริสเตียนทำไมเป็นอย่างนี้”

            บอก … “ฉันไม่แค่เป็นคริสเตียน ฉันเป็นลูกของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ทันที ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะฉันเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

****************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของเราเป็นความรัก โกรธ เกลียดใครไม่เป็นเลย … จริงๆ เราเป็นแสงสว่างไร้ความมืด … จริงๆ

            พระเจ้าทรงเป็นความรัก และเรา คริสเตียน ผู้เชื่อเป็นลูก ก็เป็นความรักเช่นเดียวกัน ความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้านี้ มีคุณสมบัติลักษณะอย่างนี้ คือ …

            1 โครินธ์ 13:4-8ก …  “4 ความรักเป็นการอดทนนาน  และกระทำคุณให้  ความรักเป็นการไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว  ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย  ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่ช่างจดจำความผิด 6 ไม่ชื่นชมยินดี  เมื่อมีการประพฤติผิด  แต่ชื่นชมยินดี  เมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักเป็นการทนได้ทุกอย่าง  แม้ความผิดของคนอื่น  และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  และมีความหวังอยู่เสมอ  และทนต่อทุกอย่าง 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”

            ทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณข้างในของเราเป็นความรัก ชนิดแบบของพระเจ้าเลย พระเจ้าทรงเป็นความรัก เราก็ได้เกิดเป็นความรักเลย ไม่ใช่พยายามทำตัวให้รักคนอื่น แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของเราเป็นความรักเลย โกรธ  เกลียดใครไม่เป็นเลย

            รับรู้ความจริงนี้มากเท่าไหร่ว่าเราเป็นความรัก ไม่ใช่มีความรัก ซึ่งถ้ามีความรักอาจสูญหาย พร่องไปได้ แต่เมื่อเป็นความรัก ตามธรรมชาติ โดยการเกิดมาเป็นความรัก ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเกิดมาเป็น

            มีประสบการณ์กับความจริงนี้มากเท่าไหร่ เราก็จะสำแดงธรรมชาติใหม่ ที่เป็นความรักได้มากเท่านั้น เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่รับรู้ความจริง ซึมซับ รับเอาความรักจากพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในวิญญาณของเรา  และฝึกฝนที่จะยอมมอบอวัยวะทุกส่วน ในร่างกายของเราให้พระเจ้าใช้  ก็คือปล่อยให้ความรักจากภายในวิญญาณ สำแดงออกมา เป็นการกระทำนั่นเอง

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1517

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  เมษายน  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 16

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 เริ่มตั้งแต่ข้อที่ 1 …

        กาลาเทีย 5:1 “พระคริสต์ทรงปลดปล่อยเราเป็นไท เพื่อเสรีภาพ ฉะนั้น จงยืนหยัด อย่ายอมตกอยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาสอีก”

            อาจารย์เปาโลพูดในหนังสือกาลาเทีย เน้นย้ำถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว คือข่าวดีที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ฉะนั้น ผู้เชื่อในกาลาเทีย ซึ่งเป็นคนต่างชาติ และพวกคนยิวบางกลุ่ม เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วย แต่ส่วนใหญ่คนยิวเขาเคยชินกับการทำพิธีกรรม ในสมัยเดิมที่โมเสสสั่งไว้ เขาเลยมีความรู้สึกว่าแค่เชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ไม่พอ มันควรจะมีการทำอะไรบ้างตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เขาเลยไปแนะนำคริสเตียนต่างชาติ ซึ่งอยู่ในกาลาเทีย ให้พวกคริสเตียนเหล่านี้ประพฤติ ปฏิบัติอะไรบางอย่างที่เขาเห็นว่าสมควร

            อย่างเช่น มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอ ต้องมาเข้าสุหนัตด้วยนะ การเข้าสุหนัต คือเป็นพระสัญญาของพระเจ้า สมัยพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าได้ทำกับอับราฮัม แล้วมันโยงมาถึงพระคัมภีร์มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น ยังไม่ถึงพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาใหม่เริ่มต้นที่หนังสือกิจการ ก็คือเริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว แล้วมนุษยชาติสามารถที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์ใหม่จะเริ่มต้น จากตรงนี้แหละ หมายความว่าจะมีมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ตามพระสัญญา ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เป็นผลแรก คือเป็นผู้แรกของมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  หรือกฎบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าให้โมเสสไว้

            ฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้ตายจากกฎ ก็คือเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไป กฎบัญญัติเหล่านี้ ไม่มีผลในชีวิตของเราเลย แม้แต่นิดเดียว  แต่ว่ามนุษย์หรือคนยิวเหล่านี้ ก็ยังคงคิดว่าเราควรจะทำตามกฎบัญญัติ และอย่างที่บอก อาจารย์เปาโลบอกถ้าใครคิดที่จะทำตามกฎบัญญัติให้ผู้นั้น ถูกสาปแช่ง ทำไมอาจารย์เปาโลพูดอย่างนั้น  เพราะว่าถ้าใครคิดที่จะทำตัวเองให้รับความรอด หรือได้ไปเป็นลูกของพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์ โดยผ่านทางการประพฤติ ตามบทบัญญัติ ถูกสาปแช่งแน่นอน เพราะว่าไม่มีใครสามารถทำได้ตามที่บทบัญญัติตั้งไว้

            บทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือต้องดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ต้องทำได้ทุกจุด ทุกขีด ทุกตัวอักษร ซึ่งงดเว้นไม่ได้ แล้วในขณะเดียวกันตลอดเวลาด้วย  ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถทำได้ ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายบาปนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ แม้ว่าเราจะถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ พอที่พระเจ้ารับได้ แล้วเข้ามาสถิตอยู่ในเรา  แต่เรายังอยู่ภายใต้กฎนี้อยู่ ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถทำได้ และถ้าใครคิดที่จะพึ่งบทบัญญัติ เพื่อไปสวรรค์ ก็หล่นพ้นจากพระคุณ พระคุณก็ไม่มีประโยชน์

            พระคุณ คือพระเจ้าให้เราเปล่าๆ โดยเราไม่ต้องทำอะไร พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว และเราแค่มาวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น เราก็ได้รับไปเลย นี่พระคุณ ถ้าเราไขว้เขว และคิดว่าเราควรจะทำโน่นทำนี่ เพื่อที่จะให้เราได้รับความรอด เราเสร็จโลกนี้เลย คือโลกนี้พยายามล่อลวงเรา ให้หลงทางไป แต่ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ถ้าเราเกิดหลงทางไป  เรายังรอดอยู่ไหม? ยังคงยืนยันว่าเรารอดอยู่ เรารอด ไม่ได้รอด เพราะการกระทำ  แต่รอด เพราะวันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อวางใจ แล้วพระเจ้าถือว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่วันนั้น พระเจ้าจดชื่อเราไว้ที่สมุดทะเบียนแห่งชีวิตเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนั้น ไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหน ออกนอกลู่นอกทางขนาดไหน? เราก็ไม่หลุดจากความรอดในพระเยซูคริสต์ แต่เราก็จะทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แทนที่เราจะมีอิสรภาพในการดำเนินชีวิต เราก็ต้องถูกผูกมัดด้วยกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น เรียกว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นเยอะแยะมากมาย ให้กับผู้เชื่อ คิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะดี แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ดีแน่นอน มีวิธีเดียวที่ทำให้เรารอดได้ พระเจ้าบอกแล้ว ทางเดียวเท่านั้น ก็คือวางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น

            ฉะนั้น เมื่อเราได้รับเสรีภาพแล้ว เป็นไทแล้ว ก็ให้ผู้เชื่อเหล่านี้ยืนหยัด อย่ายอมตกอยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาสอีก คือต้องไม่ยอมมัน อาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ยอม แปลว่าผู้เชื่อ มีกำลังพอที่จะยืนหยัด และมีกำลังพอที่จะไม่ยอมให้อิทธิพลของกฎต่างๆ ที่มนุษย์พยายามยัดเยียด ใช้คำว่ายัดเยียดให้เราต้องทำๆ เราสามารถที่จะปฏิเสธมันได้ เราไม่ยอมมัน สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ หลายคนคิดว่าเราไม่ยอม เราไม่ประพฤติดี แล้วคริสเตียนทำอะไร? คริสเตียนผู้เชื่อ เมื่อเราวางใจในพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในเราทุกคน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้นี้ จะประกอบกิจอยู่ภายในเรา คือทำงานอยู่ในวิญญาณของเรา ใส่ความปรารถนาในใจให้กับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ที่อยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่แล้ว มันต้องออกจากข้างในวิญญาณ ที่เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ไม่ใช่มาจากภายนอก ที่โลกนี้พยายามสร้างกฎเกณฑ์ ทำให้เรากลัว กลัวว่าถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าจะไม่รัก ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ เราจะไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า หรือถ้าเราไม่ทำแบบนี้ วันดีคืนดีเผลอๆ เราอาจจะตกสวรรค์ก็ได้ หรือความรอดเราหลุดหายไป ก็ได้ ซึ่งความเป็นจริงถ้อยคำของพระเจ้าไม่ได้บอกเราอย่างนั้น

            พระเยซูคริสต์บอกเราว่าท่านรอดด้วยพระคุณ เพราะความเชื่อ เมื่อวันที่ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณท่านได้รับความรอด ได้รับการบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จะไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ สามารถแยกท่านออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ ไม่มีทาง มันทำไม่ได้ แต่ว่ามันสามารถหลอกเราได้ หลอกเราว่าถ้าเธอทำอย่างนี้ หรือถ้าเธอไม่ทำอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าไม่รัก เดี๋ยวพระเจ้าจะทิ้งเธอไป

            ซึ่งโลกนี้ พยายามส่งข้อมูลแบบนี้เข้ามาในความคิดของเรา ซึ่งพระคัมภีร์ถึงบอกเราว่าให้เรารับรู้ความจริง ผู้เชื่อทำอย่างเดียว คือรับรู้ความจริง ไม่ต้องทำอะไรเยอะกว่านั้น เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร? ถ้าเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นเจ้าหญิง พี่น้องนึกออกไหม?  เราเป็นเจ้าหญิง และความเป็นจริงในโลกวิญญาณเราเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายของพระเจ้าจริงๆ พระเจ้าพระบิดาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้าผู้ครอบครองกัลปจักรวาลนี้  เป็นพระเจ้าผู้ทรงควบคุมทั้งหมด แล้วพระเจ้าองค์นี้เป็นพ่อของเรา ซึ่งขณะนี้ วิญญาณของพวกเราทุกคน เป็นบุตรที่รักของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ก็คือเราเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงของพระเจ้า

            เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงของพระเจ้า ท่าทีข้างในวิญญาณเราก็จะเปลี่ยน เราไม่ได้เป็นเด็กโกโรโกโส ขอทานตามท้องถนนที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไม่ใช่ แต่เรามีศักดิ์ศรี ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เรามีเกียรติที่พระเจ้าให้กับพวกเรา แล้วเราก็จะดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นบุตรที่รักของพระองค์ สมกับที่เราได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราก็จะเริ่มระมัดระวังการดำเนินชีวิตของเราโดยอัตโนมัติ มันออกมาโดยอัตโนมัติ จากข้างในวิญญาณจะส่งออกมา แล้วทำให้เราประพฤติตาม อาจารย์เปาโลบอกว่าให้ท่านดำเนินชีวิตตามแบบพระเจ้า เมื่อท่านได้เป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว

            การดำเนินชีวิตตามแบบของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ข้างในจะเป็นผู้นำเรา แล้วมันจะออกมาโดยอัตโนมัติ พี่น้องไม่ต้องรู้สึกว่าเราจะทำได้ไหม? ท่านทำได้หรือไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นปัญหา เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในท่านจะเป็นผู้ผลักดัน เป็นผู้กระทำในชีวิตของพวกท่าน แล้วเราก็จะสามารถ บางวันเราทำได้เยอะ บางวันเราทำได้น้อย  บางวันเราอาจจะทำไม่ได้เลย ก็ไม่เป็นไร มันไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลย

            อย่างที่บอก ถ้าลูกของเรา บางวันเป็นลูกน่ารักเชื่อฟัง เราก็มีความสุข เราก็ยิ้ม เราก็ปลื้ม แล้วถ้ายิ่งมีคนอื่นมาชมลูกเราอีก ยิ่งปลื้มใหญ่เลย เป็นไหม? พ่อแม่ทุกคนเป็น

            “ทำไมลูกถึงน่ารักอย่างนี้ มีมารยาทจังเลย ทำไมขยันขันแข็งอย่างนี้ มือไม้อ่อนจังเลย เจอใครก็สวัสดีๆ ทำไมน่ารักอย่างนี้”

            นี่คือความภาคภูมิใจ เช่นกัน พระเจ้ามีความภาคภูมิใจในชีวิตของพวกเรา เมื่อเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเป็นจริงในถ้อยคำของพระองค์ว่าตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นแบบนี้แล้วนะ แล้วเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกัน แต่ถ้าเราไม่ดำเนินชีวิตตามนั้นล่ะ  ถ้าลูกเราไม่เชื่อฟัง  เป็นเด็กดื้อ เป็นเด็กที่ไปถึงไหนก็วีนชาวบ้านทั่วเลย คนเขาเจอหน้าปุ๊บ สั่นหัวแล้ว ไม่เอา เด็กคนนี้มา ฉันไปดีกว่า อะไรแบบนี้ แล้วเรารู้สึกอย่างไร? เราไม่ได้โกรธเกลียดลูกเรานะ เขายังคงเป็นลูกเรา เราก็ยังคงรักเขาเหมือนเดิม แต่เราแค่เสียใจ เราไม่สามารถตัดขาดแล้วบอกว่า …

            “นิสัยอย่างนี้ ไปเป็นลูกคนอื่นไป”

            ต่อให้เราพูดแบบนั้น เขาก็ยังไม่สามารถไปเป็นลูกคนอื่นได้ เพราะว่าเขาได้เป็นลูกของเราเรียบร้อยไปแล้ว นึกออกไหม?  เกิดจากท้องของเราเรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณเหมือนกัน เปลี่ยนแปลงไม่ได้  เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว แม้ว่าการประพฤติของเราบางวันอาจจะหัวทิ่มหัวตำ ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าก็ยังคงรักเราอยู่ วันที่เราอ่อนแอ พระเจ้าก็จะเสริมกำลังเรา  พระเจ้าจะคอยบอกเรา เตือนเรา ในสิ่งต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของเรา นี่คือพระคุณ นี่คือความรักที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักและห่วงใย เป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

        กาลาเทีย 5:2 “จงจดจำคำพูดของข้าพเจ้า! ข้าพเจ้าเปาโลขอบอกท่านว่าหากท่านยอมตัวเข้าสุหนัต พระคริสต์จะไร้ค่าสำหรับท่านอย่างสิ้นเชิง”

            ตรงนี้ในหนังสือกาลาเทีย คนยิวพยายามที่จะรบเร้าผู้เชื่อต่างชาติ ให้ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ซึ่งพิธีเข้าสุหนัตนี้ ถูกกำหนดมาสมัยของอับราฮัม  ที่พระเจ้าให้อับราฮัมทำพิธีนี้ เป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นเครื่องหมายการทำสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แล้วใครก็ตามที่ทำพิธีนี้ พระเจ้าถือว่าเขาเป็นคนของพระองค์ ซึ่งพิธีนี้มีทำในชนชาติยิว ชนชาติเดียวเท่านั้น ชนต่างชาติไม่มีสิทธิ์ทำพิธีนี้เลย เพราะว่าพระเจ้าไม่ถือว่าเขาเป็นประชากรของพระองค์

            ฉะนั้น คนยิวก็พยายามที่จะรบเร้าให้คนต่างชาติที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้มาทำพิธีเข้าสุหนัตเหมือนเขา อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าท่านมาเชื่อพระเจ้า ท่านได้เข้าสุหนัตแล้วหรือ! ท่านก็ไม่ต้องไปลบรอยสุหนัตออก หรือท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัตหรือ! ท่านก็ไม่ต้องไปพยายามเข้าสุหนัต เพราะว่าท่านเป็นไทในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าไถ่ท่านแล้ว ท่านมาหาพระเจ้าลักษณะไหน? ก็ให้อยู่ในลักษณะนั้นแหละ ท่านมาแบบซอมซอ เสื้อผ้าขาดวิ่นมาหาพระเจ้า พระเจ้าก็รับท่านเป็นบุตร ที่รับท่านเป็นบุตร ไม่ใช่เพราะท่านแต่งตัวดี หรือเพราะท่านเป็นคนดี

            พระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา  แปลว่าตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ไม่ใช่เพราะเราเป็นคนดี แต่ในขณะที่เราเป็นคนบาป ฉะนั้น ไม่ว่าท่านเข้ามาหาพระเจ้าด้วยลักษณะแบบไหน? พระเจ้าบอกว่าให้เข้ามาเลย แล้วให้อยู่ในลักษณะแบบนั้นนั่นแหละ เป็นตัวตนของเราเอง แล้วพระเจ้ายอมรับเรา ยอมรับทุกคนในสภาวะที่เขาเป็นอยู่

            แต่พี่น้องเชื่อเถอะ ในขณะที่เราเข้ามาหาพระเจ้า เราอาจจะมีอะไรกะรุ่งกะริ่งแล้วแต่ แต่เมื่อเรามาหาพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงดูแลชีวิตของเรา ชีวิตเราจะดีขึ้น พี่น้องเคยสังเกตตัวเองไหม? ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เป็นแบบไหน? แล้ว ณ เวลานี้ เราเป็นแบบไหน? ชีวิตเราดีขึ้นไหม? ถ้าฐานะเราไม่ดีขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่วิญญาณข้างใน เราดีขึ้น เรามีสันติสุขมากขึ้น ดำเนินชีวิตแบบมีความสุขมากขึ้น เป็นไหม? มันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในชีวิตของพวกเรา แล้วพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี  พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นเหมือนลูกกำพร้า

            คำว่า “ผู้เลี้ยงที่ดี” หลายคนอาจจะคิดว่าพระเจ้าคงจะอวยพรให้เราร่ำรวยมหาศาล มีเงินทองเก็บไว้ในแบงค์ เป็นร้อยล้านพันล้านแน่ๆ เลย มันไม่เกี่ยวกัน ผู้เลี้ยงที่ดี คือพระเจ้าจะดูแลเรา ตามที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม และสมควร  พระเจ้าจะนำพาย่างเท้าของพวกเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาวะไหน?  บางคนมาเชื่อพระเจ้า เขาทุกข์ยากลำบากมาก แต่พระเจ้าดูแลเขาทุกวัน ไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหน?  เขาก็สามารถผ่านมาได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า หลายคนสามารถเป็นพยานได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลเราแบบไหน? นั่นคือความเมตตาของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงดูแลพวกเราอย่างสุดๆ เลย เราสามารถยืนยันได้ แม้ว่าบางครั้งดูเหมือนว่ามันไปไม่ไหว  แต่พระเจ้าก็ยังคงสามารถทำให้เราผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า

        กาลาเทีย 5:3 “ข้าพเจ้าขอประกาศอีกครั้ง   แก่ทุกคนที่ยอมตัวเข้าสุหนัตว่าเขาจำเป็นต้องทำตามบทบัญญัติทั้งหมด”

            คนที่ยอมตัวเข้าสุหนัต ก็คือเขาต้องทำตามบทบัญญัติทุกอย่างทั้งหมด เพราะว่าเขาเริ่มต้นที่จะไม่พึ่งในพระเยซูคริสต์ แต่คิดจะพึ่งในการกระทำของตัวเอง เมื่อพึ่งการกระทำของตัวเองปุ๊บ เขาก็ต้องทำทุกอย่างที่พระเจ้าได้บอกไว้

        กาลาเทีย 5:4 “ท่านที่ขวนขวายจะให้พระเจ้าทรงนับว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมโดยบทบัญญัติ ก็ขาดจากพระคริสต์ ท่านได้หล่นพ้นจากพระคุณไปเสียแล้ว”

            แปลว่าถ้าจะพึ่งตัวเอง ก็ไม่สามารถพึ่งพระเจ้าได้  ถ้าจะพึ่งพระคุณของพระเจ้า  ก็อย่าคิดที่จะพึ่งตัวเอง ง่ายๆ แค่นี้เอง ส่วนใหญ่เราก็ขอพึ่ง 2 อย่างได้ไหม?  พึ่งพระคุณพระเจ้า แล้วก็ขอพึ่งตัวเองนิดหนึ่งเถอะ อยากทำ มนุษย์ชอบทำ แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าไม่ต้อง ให้พึ่งพระองค์อย่างเดียว แล้วจากนั้น ชีวิตของเรา พระองค์จะเป็นผู้นำเราเอง บอกเราเองว่าเราควรจะทำอะไรแบบไหน? อย่างไรในชีวิตประจำวัน ในแต่ละวันที่เราดำเนินชีวิตอยู่กับพระเจ้า พระองค์จะนำเราเอง พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา จะบอกเราเองว่าแต่ละวัน พระองค์จะนำเราไปไหน? ซึ่งอย่างที่บอก ชีวิตเรา เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละวันเราจะเจออะไร? เราไม่สามารถบอกได้เลย

            อย่างที่พระคัมภีร์บอกมีเศรษฐีคนหนึ่ง เขาคิดเองว่า …

            “ของฉันเยอะมากเลย ฉันได้รับกำไรเยอะแยะ เดี๋ยวฉันจะไปสร้างยุ้งฉาง เก็บของไว้ เพื่อเป็นเสบียงไว้เลี้ยงตัวเองจนแก่เฒ่า”

            แต่พระคัมภีร์บอกว่าเศรษฐีคนนี้ไม่รู้เลยว่าคืนนี้ชีวิตของเขาจะไม่อยู่แล้ว คือพระเจ้าจะเอาเขากลับบ้าน ทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ ก็เอาไปไม่ได้ ฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะรู้เลยว่าชีวิตของเราแต่ละคนจะอยู่ได้แค่ไหน? อย่างไร? อย่างง่ายๆ แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ใครจะไปรู้ว่าญาติของเรา เดินทางออกไปทำงาน ตอนเย็นเขากลับมาไม่ได้แล้ว เขาได้ตายจากเราไปแล้ว ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนเลย พระเจ้าจึงหนุนใจให้คนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดว่าอย่ารอถึงวันนั้น วันนั้นอาจจะมาไม่ถึงท่านก็ได้ ถ้าคิดว่า …

            “รอนิดหนึ่งๆ ไม่เป็นไรหรอก เรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ยังอีกยาวนาน  เดี๋ยวไว้ค่อยมาเชื่อพระองค์แล้วกัน”

            แต่ว่าวันนั้นอาจจะมาไม่ถึงเราก็ได้ เราขอบคุณพระเจ้าที่พวกเราได้ทำเรียบร้อยไปแล้ว ทำสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตของพวกเรา  ก็คือเปิดใจยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วดิฉันก็เชื่อว่าในวันที่แผ่นดินไหว คนที่อยู่ในตึกที่ถล่มอาจจะมีคนที่เชื่อพระเจ้าก็ได้ เราไม่รู้ แต่ถ้าในนั้นมีคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันเฮเลยนะ ฮาเลลูยา เราได้พักแล้ว ถ้าเราไปก่อน คือเราได้พักก่อน เพราะเราไม่ต้องไปหวาดหวั่นว่าจากโลกนี้ไป แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน?  เพราะเรามั่นใจได้เต็ม 100% ที่พระเจ้าสัญญาว่าวิญญาณเราเมื่อออกจากร่างปุ๊บ เราไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน แล้วได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นั่นคือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน

            ดังนั้น ถ้าบังเอิญเราอยู่ในเหตุการณ์ แล้วเราเป็นผู้เชื่อ แล้วเราไปเจอลูกหลงด้วย ถล่มลงมา ตายคาที่เลย คือวิญญาณเราจะชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าๆ เราได้พักยาวๆ แล้วก็ได้ไปรอพี่น้องของเราที่จะค่อยๆ ทยอยกลับบ้าน สวรรค์ ไปอยู่กับพวกเรานิรันดร์กาล นี่คือความหวังใจของพวกเรา ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญ คือเราได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  ในวันที่เราไปหาพระเจ้า พระเยซูคริสต์จะไม่พูดว่า …

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้า”

            ไม่ใช่ แต่พระเยซูคริสต์ได้รู้จักเราแล้ว ตั้งแต่ที่เรามีชีวิตอยู่ เป็นๆ มีลมหายใจอยู่ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์รู้จักเรา แล้วพระองค์บอกว่าเราเป็นลูกที่รักของพระเจ้า พระบิดา เป็นพี่น้องของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรบนโลกใบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แป๊บเดียวเอง หายใจเข้าหายใจออก เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว ทุกข์ยากขนาดไหน พระเจ้าก็จะพาเราผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า ฉะนั้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้เราเต็มล้นไปด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี ซึ่งสิ่งนี้พระเจ้าใส่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องไปหาที่อื่น ไม่ต้องไปวิ่งหา มันอยู่ในวิญญาณเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่เราเอามันออกมาใช้เท่านั้นเอง นำเอาความชื่นชมยินดี ความพึงพอใจ

            พระคัมภีร์บอกว่าให้เราพึงพอใจกับสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับพวกเรา คำว่า “พึงพอใจ” สำคัญสำหรับพวกเรามากๆ เลย เมื่อเราพอใจเมื่อไร? มีความสุขเมื่อนั้น ทันที แต่ถ้าเราไม่พอใจ ความสุขไม่มี เราก็จะทุกข์ เราทุกข์มาก เพราะว่าเราไม่พอใจ เราไม่พอใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา  แต่ถ้าเราพอใจ เราเอเมน ขอบคุณพระเจ้า เรารู้ว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ล้ำเลิศ สำหรับพวกเรา ตอนนี้เราเป็นมนุษย์ เราไม่เข้าใจว่าทำไมพระองค์อนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรา? ทำไมพระองค์ต้องให้เราป่วยด้วย? ทำไมพระองค์ต้องให้เราขัดสนด้วย? ทำไมๆ แต่ความเป็นจริง พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ทำ ที่เราเป็น เพราะว่าโลกนี้มันเสียหายไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่บรรพบุรุษเรา ขายพวกเราไปเป็นทาส โลกนี้ค่อยๆ เสื่อมทรามไป แล้วบังเอิญเราอยู่ในโลกนี้แล้ว ฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ มันจะเกิดขึ้นกับเราแน่นอน พระเยซูบอกไว้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะท่านชนะโลกแล้ว พระเยซูที่อยู่ในเราชนะแล้ว ฉะนั้น เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ด้วยความสุขที่เราได้มีพระเจ้า ด้วยสันติสุขที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว

        กาลาเทีย 5:5-7 “5 แต่โดยความเชื่อเราจดจ่อรอคอย ที่จะได้รับความชอบธรรมผ่านทางพระวิญญาณตามที่เรามุ่งหวังไว้ 6 เพราะในพระเยซูคริสต์การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต ก็ไม่มีค่าอันใด สิ่งเดียวที่สำคัญ คือความเชื่ออันแสดงออกด้วยความรัก 7 ท่านกำลังวิ่งแข่งด้วยดีอยู่แล้ว ใครมาขัดจังหวะทำให้ท่านเลิกเชื่อฟังความจริง?

            นี่อาจารย์เปาโลกำลังต่อว่าคนกาลาเทียอยู่นะว่าเดินมาอยู่ดีๆ แล้ว ใครทำให้สะดุดหัวทิ่มล่ะ เดินมาด้วยความเชื่อ ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าได้รับความรอด โดยพระคุณ พระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว ชื่นชมยินดี มีความสุขมากเลย วันดีคืนดี คนมาแนะนำแนวทางใหม่ ทำเพิ่มๆ คนเหล่านี้ก็หัวทิ่มหัวตำไปคล้อยตาม ซึ่งทำให้อาจารย์เปาโลเคือง เคืองตรงที่ว่าท่านควรจะมีความสุข ท่านควรจะชื่นชมยินดี ท่านควรจะไชโยโห่ฮิ้วเลยกับพระคุณ พระพรที่พระเยซูคริสต์ทำให้แล้ว แต่ท่านกลับยอมตัวเป็นทาส ไปยอมเชื่อหลักการพื้นฐานบนโลกใบนี้ หรือเชื่อฟังกฎระเบียบต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อที่จะมากดดันให้ท่านทำตามมัน ทำไป ก็ทำให้ตัวเองเหนื่อย พอเหนื่อยมากๆ ทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ท้อใจ ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำให้เราเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน การตายของพระเยซูคริสต์ได้รับเอาโทษทัณฑ์ของพวกเราทุกคนไปไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้ทำให้กฎบัญญัติทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราไม่ต้องทำเองแล้ว รับเอาอย่างเดียว

        กาลาเทีย 5:8-10 “8 การโน้มน้าวแบบนั้น ไม่ได้มาจากพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน 9 “เชื้อขนมนิดเดียว ทำให้แป้งดิบฟูขึ้นทั้งก้อน” 10 ข้าพเจ้ามั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ว่าท่านจะไม่ยอมรับทัศนะอื่นๆ ผู้ที่มาทำให้ท่านสับสนวุ่นวายนั้นจะต้องรับโทษ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม”

            อาจารย์เปาโลพูดแรง ใครมาทำให้ชาวกาลาเทียสับสน เลิกเชื่อในพระคุณของพระเจ้า แล้วพยายามพึ่งพาในตัวเอง ให้คนนั้นได้รับโทษ ฉะนั้น เป็นอะไรบางอย่างที่อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ทนไม่ไหวที่เห็นผู้เชื่อ เดินอยู่ดีๆ แล้วไปให้คนอื่นชักจูงให้พยายามดิ้นรนด้วยกำลังของตัวเอง ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกอยู่แล้วว่ากำลังตัวเองท่านทำไม่ได้หรอก พระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว

        กาลาเทีย 5:11 “พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ายังประกาศให้เข้าสุหนัต ทำไมข้าพเจ้ายังถูกข่มเหงอยู่อีก? ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องไม้กางเขนก็ไม่ถูกต่อต้านแล้ว”

            ที่อาจารย์เปาโลถูกต่อต้าน เพราะว่าอาจารย์เปาโลถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ แล้วอาจารย์เปาโลประกาศเรื่องความจริงในพระเยซูคริสต์ว่าใครก็ตามที่จะได้รับความรอดนั้น ได้รับมาอย่างเดียว คือโดยพระคุณ โดยความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสุหนัต ไม่ว่าจะเป็นการไปถวายเครื่องบูชา หรือไปทำพิธีกรรม 108-1009 อย่างที่ถูกกำหนดไว้ ไม่สามารถทำให้เขารอดได้เลย โดยการประกาศเรื่องนี้ ทำให้อาจารย์เปาโลถูกข่มเหง ถูกไล่ล่า ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกอะไรสารพัดสารเพ เอาไปติดคุก เอาไปอยู่ในถ้ำมืด อะไรก็แล้วแต่ เพราะอาจารย์เปาโลประกาศความจริงของพระเจ้าว่าโดยพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขาได้รับความรอด

            แล้วอาจารย์เปาโลพูดในข้อที่ 11 ว่าถ้าฉันประกาศเรื่องการเข้าสุหนัต เรียกว่ายอม เขาบอกเข้าสุหนัตสักหน่อย หยวน ไปทำตามเขาแล้วกัน แปลว่าอาจารย์เปาโลยอมอ่อนข้อ ถ้ายอมอ่อนข้อกับคนกลุ่มนี้ ก็เท่ากับทำให้พระคุณของพระเจ้าด้อยค่าลง ทำให้ผู้เชื่อไขว้เขว อย่างนี้ เราเอาทั้ง 2 อย่างแล้วกัน อยากได้ทั้งพระคุณ อยากทำเองด้วย มันน่าจะดี แต่มันไม่ใช่ อาจารย์เปาโลไม่ยอม อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าถ้าอาจารย์เปาโลยอมนิดหนึ่ง ก็คงถูกยกย่อง เพราะว่าอาจารย์เปาโลความรู้เยอะ ในเรื่องเกี่ยวกับบทบัญญัติ ก็ไม่ถูกต่อต้านแน่นอน เพราะว่าเป็นคนที่น่าเชื่อถือมาก แต่อาจารย์เปาโลไม่ยอม และยืนยันความจริงในพระวจนะของพระเจ้าว่าถ้าใครอยากได้รับความรอด ต้องมาทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ต้องมาเปิดใจต้อนรับเอาความจริงนี้เท่านั้น ถึงจะได้รับความรอด

        กาลาเทีย 5:12-13 “12 สำหรับนักก่อกวนพวกนั้น ข้าพเจ้าอยากให้เขาตอนตัวเองเสียเลย! 13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน  เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก”

            เราไม่มีวิสัยบาปแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว ความหมายตรงนี้ คือเมื่อเราได้รับเสรีภาพแล้ว อย่าปล่อยตัวให้ทำตามอิทธิพลของเนื้อหนัง หรืออิทธิพลของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา พยายามดึงเราออกนอกลู่นอกทาง ก็คืออย่ายอมมัน พูดจนเสร็จ ก็คือเราสามารถต่อต้านได้ สามารถขัดขืนได้ สามารถไม่ยอมมันได้ ถ้าเราไม่ยอมมัน ก็คือเราจะเป็นผู้ที่สามารถดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า

        กาลาเทีย 5:14 “บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

            เห็นไหม พระเยซูคริสต์สรุปเหลือข้อเดียว แต่บทบัญญัติของคนยิวทั้งหมด 613 ข้อ  แล้วก็ต้องทำจนหัวบาน ทำจนหัวแตกก็ทำไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็รู้ว่า …

            “อย่างไรเธอก็ทำไม่ได้ ฉันทำให้เธอเรียบร้อยแล้ว แล้วเธอจะกลับไปทำมันทำไม?”

            นึกภาพออกไหม? มันจะเป็นลักษณะแบบนี้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันว่าบทบัญญัติมีข้อเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าให้มา คือจงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดของท่าน และจงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง แล้วความรักตรงนี้มาจากไหน? พระเจ้าให้มา  พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก เคยร้องเพลงนี้ใช่ไหม?

                        “พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก”

            แค่นี้เอง พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าผู้เป็นความรัก ขณะนี้ สถิตอยู่ในเรา เราก็เลยเป็นความรักด้วย  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน “เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” มีความรัก อาจจะวันดีคืนดี มันถูกขโมยไป มันหายไป แต่เป็นมันหายไปไม่ได้ ตัวตนแท้ๆ ของเรา เป็นความรัก เราสามารถผลิตความรัก โดยที่ไม่ต้องออกแรง พระเจ้าให้เครื่องไม้เครื่องมือเรียบร้อยไปแล้ว แค่หยิบมาใช้เท่านั้นเอง ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามี เราก็ไม่รู้ว่าเราจะหยิบอย่างไร? เหมือนในครัวเรามีหม้อ ไห กะละมัง ชาม แล้วเราไม่รู้ว่ามันมี พอคนเอาของมาให้ เอาหม้อมาใส่ของให้หน่อย วิ่งวุ่นเลย ไปเอาตรงไหนมาใส่ของ แล้วเราจะได้เอาหม้อคืนเขา  หาไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมี

            คริสเตียนส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นความรัก ไม่รู้ว่าความรักมีอยู่ในตัวแล้ว แค่อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในชีวิตของเรา สำแดงมันออกไป แค่นั้นเอง ง่ายไหม? ง่ายนิดเดียว แล้วพระเยซูก็บอกว่าคำสั่งของพระองค์ไม่เป็นภาระ มันเป็นภาระได้อย่างไร? เราไม่ต้องทำเอง พระเจ้าให้วัสดุทุกอย่างมาเรียบร้อยแล้ว วัสดุดิบก็ให้มาแล้ว ทุกอย่างให้มาครบถ้วนแล้ว แค่รู้ไหมว่ามี ถ้ารู้ว่ามีคิดอยากจะทำอะไร? ก็เดินเข้าไปเลย ไปหยิบจับทุกอย่างที่เราต้องออกมาใช้ แค่นั้นเอง ใช้ออกไป แล้วเราก็จะเห็นพระคุณของพระเจ้า ชีวิตของเราก็จะมีความสุข เราจะเป็นอิสรภาพ เราจะไม่ต้องถูกบังคับด้วยกฎเกณฑ์อะไรก็ไม่รู้ ที่พยายามให้เราเป็นทาส พระเยซูบอกว่าเราไม่ได้เป็นทาสแล้ว เราเป็นไทในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเหมือนพระเจ้า เพราะเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้วในพระคริสต์

            1 ยอห์น 3:1 … “ดูสิ ความรัก​ที่​พระบิดา​มี​ต่อ​พวกเรา​นั้น มัน​มากมาย​มหาศาล​แค่ไหน ถึง​ขนาด​ได้​เรียก​เรา​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พระองค์ และ​เรา​ก็​เป็น​อย่างนั้น​จริงๆ โลก​นี้​ไม่รู้จัก​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ที่​โลก​ไม่รู้จัก​เรา​เหมือนกัน”

            1 ยอห์น 4:15-18 … “15 ถ้าผู้ใดยอมรับ และรับรู้ในวิญญาณว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็เข้าไปอาศัยอยู่ในวิญญาณผู้นั้น และเขาก็อาศัยอยู่ในพระเจ้า 16 เช่นนี้เราจึงได้มารู้จักสนิทกับพระเจ้า เป็นการส่วนตัว และได้เชื่อศรัทธาอย่างมั่นใจลึกซึ้ง ในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณผู้ใดอาศัยอยู่ในความรัก ก็อาศัยอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าอาศัยอยู่ภายในวิญญาณของเขาตลอดเวลา 17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​ ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ ที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            2 เปโตร 1:3-4 … “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เราที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์  (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1515

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 17 “พยาน คือพระวิญญาณผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่ออย่างสมบูรณ์แล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อหนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 17  ตอนที่แล้ว คือตอนที่ 16 ชื่อเรื่อง “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์” วันนี้ตอนที่ 17 เรื่อง “พยาน คือพระวิญญาณผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่ออย่างสมบูรณ์แล้ว” ครั้งที่แล้วจบลงที่ 1 ยอห์น 5:10 วันนี้เริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 5:11 …

        1 ยอห์น 5:11 “คำพยานนี้ ก็คือพระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของพระองค์”

            คำพยานในข้อความนี้ หมายถึงการยืนยันหรือการประกาศความจริง  ที่ว่าพระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่เราทั้งหลาย  ผู้เชื่อแล้ว  และชีวิตนี้ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์นี่แหละ คือพยาน พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน

            พระวิญญาณบริสุทธิ์มีบทบาทสำคัญ เป็นพยานยืนยันถึงความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อคริสเตียน พระวิญญาณมีบทบาทสำคัญที่สุด ในการเป็นพยาน การที่มนุษย์ออกมาเป็นพยานว่า …

            “ฉันเชื่อพระเจ้า พระเจ้ามีจริงนั้น”

            พูดได้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายใน แต่มนุษย์พูดก็ไม่ชัดเจนเท่ากับพระวิญญาณพูด พระวิญญาณพูด คือสิ่งที่เป็นถ้อยคำพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

            อย่างข้อความนี้ หมายถึงว่าในขณะนี้ ในตอนนี้ ขณะที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ภายในตัวคริสเตียน  ภายในตัวของเราผู้เชื่อ มีพยานอยู่กับตัวเลย ดังนั้น เราไม่ต้องแสวงหาคำพยานจากที่ไหนแล้ว ไม่ต้องแสวงหาคำพยาน บอก …

            “คำพยานของพี่น้องคนนี้ ใหญ่โตมากเลย ดีมากเลย”

            โอเคดี ฟังได้ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปพึ่งคำพยานเหล่านั้น  เพราะว่าเรามีวิญญาณที่อยู่ในตัวเราแล้ว พยานนั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณนี้กำลังย้ำยืนยันในตัวเรา ให้เราทั้งหลายรู้ว่าไม่ใช่พยานยืนยันให้เรารู้สึกว่า นี่เราเข้าใจผิด เราถูกหลอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราแล้ว ทำให้เรารู้สึก น้ำตาไหล เพราะฉะนั้น แสดงว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ไม่ใช่ น้ำตาไม่ไหล ขนไม่ลุก ตัวไม่สั่น แต่ก็ยืนยันโดยความจริงว่าให้เรารับรู้ตามถ้อยคำของพระเจ้าที่บันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย  และยืนยันว่าเรามี ก็ได้ เราเป็นก็ได้  เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์แล้วทางวิญญาณ  เราได้รับความรอดแล้ว  และเราได้เกิดจากพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่เรียกพระเจ้าว่าพ่อเลยแหละ นี่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันภายใน ให้เรารับรู้ ไม่ใช่รู้สึก ถ้าเผื่อเรามั่นคงตรงนี้ได้ เราจะไม่ถูกหลอก

            เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่บังเกิดจากพระเจ้า ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พยานนี้ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็จะอยู่ในตัวเขา  และพระองค์ก็จะไม่ไปไหนอีกเลย และพระองค์จะอยู่กับเขา และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไปถึงนิรันดร์เลย เอเฟซัส 1:13-14 ได้ยืนยันอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ ด้วยดวงตราคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้” 14 “ผู้เป็นมัดจำค้ำประกัน (พยานยืนยัน) ว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่  อันเป็นการสรรเสริญ พระเกียรติสิริของพระองค์”

            เราเชื่อแล้วใช่ไหม? เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่เราได้ยิน พระเจ้าก็ทรงประทับตราเราที่เชื่อนั้นไว้ในพระองค์

            คำว่า “ประทับตรา” หมายถึงผนึกเข้าไปในเซฟเลย  เหมือนเขาใส่ของมีค่าในเซฟ ธนาคาร ปิด ผนึกอย่างดี หรือเหมือนน้ำอัดลม ที่เขาไปซื้อขวดเก่ามา  แล้วเอามารีไซเคิล ล้างให้สะอาด ฆ่าเชื้อเสร็จปุ๊บ  ใส่น้ำใหม่เข้าไป เสร็จแล้วทำอย่างไร? ออกมาโชว์ได้อย่างไร? ยังไม่โชว์ ใส่น้ำใหม่ แล้วก็ปิดฝาจุกเข้าไป อย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่าปิดผนึก  ในที่นี่ใช้คำว่า “ประทับตราในพระองค์” ก็คืออยู่ในขวดนั่น ก็คือในพระเจ้า ทั้ง 3 พระภาค

            ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสัญญาไว้  แล้วก็ปิดผนึกวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน  3 พระภาคอยู่ข้างใน เราก็อยู่ข้างในนั้น ขวด คือร่างกายของเรา ปิดผนึก แล้วก็ห่อหุ้มไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า นี่แหละ คือสภาพของวิญญาณของตัวของเรา ที่เชื่อในพระเจ้า เป็นเช่นนี้

            พระวิญญาณผู้ทรงเป็นพยาน เป็นมัดจำ ค้ำประกัน ยืนยันว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการรับรอง ยืนยันถึงการที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และมี หรือเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ประทับตราโดยพระเจ้า ออกไปสู่ตลาดได้ ทำจากโรงงานตรีเอกานุภาพ  ให้กำเนิดเรา ออกไปได้ โชว์ ประทับตราเรียบร้อยเลย แล้วก็ออกไปตลาด ออกไปสู่โลกแห่งความมืด เราเป็นแสงสว่าง เป็นดวงไฟที่พระองค์ทรงให้ออกมา ทั้ง 3 พระภาคและตัวเรา  ผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในโรม 8:9 ก็ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        โรม 8:9 “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน  (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            และท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ  ในขวดที่ตะกี้นี้ผมบอก รีไซเคิล ก็คือร่างกายของเราในปัจจุบัน แม้ว่าร่างกายที่ต้องตายและอ่อนแอ แต่มันถูกรีไซเคิล ทำจนสะอาดหมดจด ปราศจากบาป  พระเจ้ารับได้แล้ว เข้ามาสถิตอยู่ได้ ส่วนวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกับตรีเอกานุภาพอยู่ภายใน ภายในไหน? ภายในขวด ปิดผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คลุมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เรากำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ

            ใครก็ตามไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ปกคลุมอย่างนี้ สถิตอยู่ภายในอย่างนี้ คนนั้น ก็แสดงว่าไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นของพระเจ้า ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือเรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ เข้ามาสถิตอยู่ภายในเราทันที เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นั่นแหละ พระเยซูคริสต์ หรือเรียกอีกสถานะหนึ่งในขณะที่เข้าไปอยู่ในตัวเรา เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  … พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือผู้เดียวกัน เข้ามาเมื่อไร? เข้ามาทันทีที่เราเปิดใจ เราเรียกกันว่าได้บังเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์แบ่งให้เรา อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนเลย เราเลยไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกแล้ว สำหรับด้านโลกฝ่ายวิญญาณ  เพราะเราได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นในการเป็นลูกของพระเจ้า  เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เราได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์เลย ไม่แตกต่างกันเลย 2 เปโตร 1:3-4 ได้พูดถึงตรงนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้วในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่  ปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทำ จึงได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เราที่จำเป็นแล้ว  ได้ให้กับเราในคุณสมบัติที่จำเป็นในการที่จะเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง  ได้เตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว ในการที่จะมีชีวิตที่เป็นผู้ชอบธรรม  และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ในพระคริสต์ ก็คือผ่านทางการต้อนรับพระเยซูจากข่าวประเสริฐที่เราได้ยิน

            ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์ ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ คือเข้าร่วมในชีวิตนิรันดร์  พระเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู

            ให้เราเข้าร่วม มีส่วนในเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ โดยสิ่งเหล่านี้  พระองค์ได้ประทานพันธสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนเข้าไปในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือเข้าไปมีส่วนใน DNA ของวิญญาณของพระเจ้า พอมองภาพออกแล้วใช่ไหม? ก็คือบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณมาจาก DNA ของพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า เหมือนเลย และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามของโลกนี้ ก็คือเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้บังเกิดใหม่อย่างนี้ ก็คือรอดพ้นจากความบาปและความตาย และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ที่เรียกว่าอาณาจักรของความมืด เราได้ถูกย้ายมาอยู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระคริสต์แล้ว เป็นอย่างนี้

            นี่คือความจริง ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้งหลายนั้น เป็นพยานยืนยันอย่างนี้ตลอดเวลา เราจะรับรู้หรือไม่รับรู้ แต่ก็ยืนยันอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ใช่รับรู้ โดยการที่เรารู้สึกว่าอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับเรา ไม่ได้รู้สึกได้เลย บางครั้งเรารู้สึกซาบซึ้ง น้ำตาไหล ก็ดีไป ก็ขอบคุณไป แต่ไม่ใช่พึ่งว่าน้ำตาไหลเมื่อไร? เรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ หรือบางครั้งเรานมัสการไป ร้องเพลงไป รู้สึกอินในเรื่องนี้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แล้วตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ ตัวสั่นไปหมดเลย พระวิญญาณสถิตกับเรา มันก็จริง แต่ไม่ได้พึ่งตรงนี้ว่าเมื่อไรไม่สั่น พระเจ้าไม่อยู่ด้วย เพราะส่วนใหญ่พระเจ้าไม่อยู่ด้วยมากกว่า ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น ก็คือส่วนใหญ่ในชีวิตของเราไม่ได้สั่นอย่างนั้นตลอดเวลา ใช่ไหม? ถ้าเราไปพึ่งอย่างนั้น เราก็เสร็จ ถูกโกหก

            แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันภายในตัวเราแล้วจริงๆ แต่หลายครั้งที่ความคิด จิตใจของเราเกิดความไขว้เขว บ่อยครั้งเลย  เกิดความไขว้เขวในความจริงเหล่านี้  เพราะความมั่นใจในความรอด ในชีวิตนิรันดร์ของเรานั้น ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา  เพราะว่าพยานยืนยันในเรื่องความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้นอยู่ที่ไหน? อยู่ในใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา

            ความคิดของเรามักจะเข้าๆ ออกๆ เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา แต่ใจเราไม่เปลี่ยน ใจเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ แต่ความคิดของเรา พระวิญญาณไม่ได้สถิตอยู่ที่ความคิดของเรา เราต้องรับรู้ในความคิดว่าพระวิญญาณสถิตอยู่ภายในเรา  และยืนยันถึงความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสงสัย บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเศร้าโศก บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความกลัว วิตกกังวล บางวันเราดำเนินชีวิตด้วยการถูกกล่าวหาจากมาร ผ่านมาทางความคิดเยอะแยะไปหมดเลย เรารู้สึกว่าเราถูกโจมตีทางความคิด โจมตีความจริงที่อยู่ในใจของเรา  ทำให้เราเกิดความคิด ที่เริ่มย้อนอดีตแล้ว ก่อนที่เราจะมาเชื่อ เริ่มคิดที่จะขุดคุ้ยว่าอดีตเราทำอะไรมา แล้วตอนนี้เราทำอะไรอยู่ แล้วเราก็เริ่มคิดต่อต้านความจริงที่เกิดขึ้นในใจและในวิญญาณของเรา ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยัน คิดต่อต้านว่า …

            “เอ๊ะ! เรามีชีวิตนิรันดร์จริงหรือ?  เราเป็นลูกพระเจ้าจริงหรือ?  เราสมบูรณ์ครบถ้วนดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์จริงหรือ?  เรายังทำตัวอย่างนี้เลย  เราดีพอหรือยัง?  เราทำดีได้เพียงพอหรือยังที่จะเป็นลูกพระเจ้า เราทำดีพอหรือยัง ที่จะมีชีวิตนิรันดร์”

            ทั้งๆ ที่ในวิญญาณแห่งความเป็นจริงนั้น เราเป็นอยู่แล้ว แต่ในความคิดเราต่อต้าน มันก็เกิดความเครียด ความกังวล ความวิตก ท่านลองคิดดูนะ ถ้าพระเจ้าทรงรักเราตามถ้อยคำพระเจ้าบอกเราไว้ และพระองค์เสด็จเข้ามาอยู่ภายในเรา  พยาน ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อยู่ในตัวเราเสมอตลอดเวลา พยาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ไม่ได้อยู่ที่ความคิด ไม่ได้อยู่ที่สมองของเรา แต่พยานนี้อยู่ในใจ เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะมีความคิด มีความรู้สึกว่าจริงหรือเปล่า  เราไม่ต้องไปฟ้องผิดว่า …

            “ทำไมเกิดขึ้นกับฉัน พระเจ้ายกโทษด้วยๆ”

            มันเป็นธรรมดาอยู่บนโลกใบนี้ เราสามารถเลือกที่จะคิดไปทิศทางไหน?  ต้องฝึก เรื่องที่จะตั้งความคิดของเรา ไว้ที่คำพยานที่อยู่ในใจ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  หรือจะตั้งความคิดจิตใจเราไว้ที่เนื้อหนัง เนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความบาปและความตายและคำสาปแช่ง ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ในชีวิตเก่าของเรา ระบบเขาทำอย่างไร เราก็คิดตามเขา ในระบบของโลกนี้ ง่ายๆ ก็คือตามกิเลสตัณหาของตามองเห็น ที่จับต้องมองเห็นได้ เราไปเชื่อสิ่งเหล่านั้น เราไปคิดตามสิ่งเหล่านั้น มันก็ต่อต้านความจริง เราสามารถที่จะตั้งอยู่บนพยานแห่งความจริง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเลือกที่จะตั้งจิตใจเราที่คำกล่าวโทษของมัน ที่มารส่งความคิดเข้ามาว่าเราดีไม่พอ คอยจะยุแหย่เรา คอยประณามหรือว่ากล่าวเราตลอดเวลาว่า …

            “เราไม่ดีหรอก ทำตัวอย่างนี้ เรียกว่าลูกพระเจ้าจริงหรือ? นี่บริสุทธิ์หรือ? รับได้หรือ? ตัวเองบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระเยซูเลยหรือ!”

            รับได้หรือ! อะไรประมาณนั้น มันจะมาอยู่ตลอดเวลา โดยผ่านทางระบบสัมผัสต่อสมอง ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิด สมองของเรา นี่แหละ มันผ่านทางสิ่งเหล่านี้ คือความคิดของเราเหมือนสวิตช์ไฟ เปิดปิด ความคิดของเราเหมือนสมรภูมิ ที่มารต้องการมาโจมตี ทางเดียวที่มันทำได้ คือโจมตี ไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราไม่ต้องกลัวตัวมาร กลัวก็คือ? เกรงก็คือข้อมูลที่ส่งหลอกลวง ล่อลวง ในความคิดของเรา น่ากลัวที่สุด มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แตะต้องเราก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว คำราม คือส่งข้อมูลเหล่านี้มา ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดจิตใจ ยิงเข้ามาตลอดเวลา

            ถ้าสมองเราเหมือนสวิตช์ไฟ เปิดปิด มีอยู่ 2 อัน ก็คือสวิตช์ที่เหมือนในใจ จะเปิดหรือจะปิด ปิดเรียกว่าดับพระวิญญาณ ถ้าเปิดแสดงว่าเชื่อพระวิญญาณ  อีกสวิตช์หนึ่ง ก็คือของโลกใบนี้ คือรับของมาร จะเปิดหรือจะปิด? สวิตช์ที่ความคิดตามโลกนี้ จะเปิด ก็คือรับมันเข้ามา ถ้าปิด ก็ไม่รับ มาเปิดสวิตช์ของพระวิญญาณดีกว่า อย่างนี้แหละ

            อย่างเช่นความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เราเปิดไหม? เปิดต้อนรับ ถ้าเปิดต้อนรับตลอดเวลา เราก็ไม่ต้องสนใจข้างนอกที่จะพูดว่า …

            “เฮ้ย! ยังไม่ดีเลย อย่างนี้ อย่างโน้น อย่างนั้น  เธอทำอย่างนี้ยังไม่ดีเลย ยังอิจฉา ริษยาเขาอยู่เลย ยังโกรธ ยังเกลียดเขาอยู่เลย ประพฤติตัวอย่างนี้หรือ? เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์และดีพร้อม”

            เราปิดสวิตช์ซะ แล้วก็บอกว่า “เอ้อ! ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์และดีพร้อมอยู่ มีอะไรหรือเปล่า?”

            อย่างนี้เขาเรียกว่าเปิดสวิตช์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ส่งถ้อยคำเหล่านี้มานั้น  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  สิ่งที่สังเกตได้ ก็คือซ้ำข้อความเดิมตลอดเวลา หลายท่านก็ถูกข้อมูลจากโลกนี้ส่งเข้ามา มาฟังบรรยายทีไร ไม่เห็นพูดเรื่องอื่นเลย พูดแต่เรื่องเหล่านี้ ก็มันเป็นคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับตัวท่าน ฟังเบื่อแล้ว นั่นแหละ คำว่า “เบื่อ” เริ่มจะเปิดสวิตช์ระบบของโลกใบนี้ อยากจะฟังเรื่องอื่นๆ เรื่องวิชาความรู้ เรื่องสนุกสนาน เริ่มแถออกไป

            เพราะฉะนั้น สังเกตได้ ถ้ามาจากพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ มันต้องเป็นเรื่องชัดๆ เรื่องเดียว คือต้องพุ่งไปตรงนี้ว่าท่านทั้งหลาย เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์และดีพร้อม เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ท่านอยู่ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว  ไม่มีอะไรสามารถมาแยกท่านออกจากพระเจ้าได้ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาต่อต้านท่านได้เลย แม้แต่นิดเดียว พระเจ้าอยู่ข้างท่านตลอดเวลา พระเจ้าไม่ถือโทษ โกรธท่าน  ไม่ว่าท่านทำบาปต่างๆ นานา พระเจ้าอภัยให้เสมอตลอดเวลา ฉันเชื่อตามนี้ ฉันจะฟังแค่นี้ ที่เหลือเหตุผลมากมาย 180 ประการ เอาเหตุผลมาอ้าง อันโน้นทำไมเป็นอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ๆ เป็นคนดี ทำอย่างนี้ๆ ไม่ดี จะขึ้นสวรรค์ได้อย่างไร? ไม่ต้องไปฟัง

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงเป็นวิญญาณย้ำยืนยัน ค้ำประกันในการสถิตอยู่ นี่แหละ คือเหตุผลที่เราสามารถเรียกความมั่นใจได้ว่าเราได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์  เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่มีวันเป็นอื่นไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ขอบคุณพระเจ้า 1 ยอห์น 5:12 …

        1 ยอห์น 5:12 “ผู้ที่มีพระบุตร ก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้า ก็ไม่มีชีวิต”

            ตรงนี้หมายถึงผู้ที่มีพระบุตร ก็คือพระคริสต์ ผู้ที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ก็มีชีวิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์ พูดง่ายๆ ก็คือผู้ที่มีพระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์ ก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ และไม่มีพระคริสต์สถิตอยู่ ก็ไม่มีชีวิต ก็หมายถึงไม่มีชีวิต

            เพราะฉะนั้น ทั้งพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับผู้เชื่อนั้น ถึงจะมีชีวิตนิรันดร์  เพราะว่าชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระคริสต์นั่นแหละ ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตในท่าน ยอห์น 17:21-23 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระคริสต์อยู่ในเราอย่างไร? และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในเราอย่างไร? …

        ยอห์น 17:21-23 “21 ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา 22 เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในลูก) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูก เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ลูกอยู่ในพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์ อยู่ในลูก ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก”

            เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เขาทั้งหลายเหล่านี้ ผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระเจ้าพระบิดาอยู่ในตัวลูก อยู่ในตัวพระเยซู ลูกอยู่ในพระองค์ พระเยซูอยู่ในพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอให้พวกเขา ก็คือขอให้พวกเราคริสเตียน ผู้เชื่อนั้น อยู่ในพวกเราด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา เกียรติ สิริ ซึ่งพระองค์ประทานให้กับลูกนั้น

            เกียรติ สิริ ก็คือชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ทรงประทานให้แก่ลูก ถามว่าตรงนี้มาจากไหน? ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝัง และวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่

            คำว่า “เป็นขึ้นมาใหม่” นั้น ภาษาเดิม ละเอียดขึ้นอีก ในวันที่ 3 พระเจ้าพระบิดาได้ชุบพระเยซู แปลว่าพระเจ้าได้ประทานชีวิตนิรันดร์กลับคืนมาใหม่ให้กับพระเยซู มันหมายถึงอย่างนั้น

            คือพระเยซูบอก … “ชีวิตนิรันดร์ที่ข้าพระองค์ได้รับจากพระองค์ ทรงชุบข้าพระองค์ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์นั้น”

            พวกเราอยู่ในนั้นด้วย เรามีส่วนด้วย คนที่เชื่อในพระองค์ ในนี้จึงบอกว่าเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขาแล้ว มอบอะไร? มอบชีวิตนิรันดร์ส่วนหนึ่งให้กับเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย เมื่อเขาเชื่อ เขาก็จะได้สิ่งนี้ เพื่อพวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูกเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะอะไร?  เพราะมีชีวิตนิรันดร์ มี DNA ในวิญญาณเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน เหมือนกับใคร? เหมือนกันกับพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ได้มาจากใคร? พระเยซูคริสต์ได้มาเหมือนกับพระบิดา  เพราะฉะนั้น เรากับพระบิดา ก็มี DNA ทางวิญญาณเหมือนกัน  ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าเรามีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในเรา เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            ข้อ 23 บอกว่า “ลูกอยู่ในพวกเขา” ก็คือผู้เชื่อ “และพระองค์อยู่ในลูก ขอให้พวกเขาผู้เชื่อได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์  เพื่อให้โลกได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา คือพวกคริสเตียนผู้เชื่อทั้งหลายนั้น เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก” เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเท่าๆ กันกับรักพระเยซูคริสต์

            นี่คือคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เชื่อได้ไหม? เชื่อได้ไม่ได้ คิดได้ไหม? คิดไม่ออกเลย คิดทีไร ไม่เชื่อทุกที รู้สึกได้ไหม? รู้สึกไม่ได้ จับต้องมองเห็นไหม? ไม่เห็น เกิดผลหรือยังบนโลกใบนี้ ไม่เกิด ไม่เห็นเลยว่าเป็นลูกพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บนโลกใบนี้ต้องทำอัศจรรย์ได้ ไม่มีเลย ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา  โคโลสี 1:27 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้เหมือนกัน …

        โคโลสี 1:27 “พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้นคืออะไร? คือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ (ที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์)”

            “พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งพระเกียรติสิริ” ก็คือความยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริ สง่าราศี ที่อยู่ในชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระองค์ อย่างที่ตะกี้เราได้อ่านกันในหนังสือยอห์นนั้น พระเจ้าทำให้กับคนต่างชาติ ก็คือคนที่ไม่ใช่ชาวยิว มันคืออะไร? มันคือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เป็นความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง ยิ่งใหญ่มาก นี่พูดถึงว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้คนที่ไม่ใช่ยิวมาได้รับสิ่งนี้ กำลังพูดให้กับชาวยิวฟังว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว ต้องการได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกัน ชาวยิวในอดีต เขาอยากรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะทำให้เกิดขึ้น ณ ที่ใด? อย่างไร? ให้กับใคร? โคโลสี 3:3 ก็บันทึกอย่างนี้เหมือนกัน …

        โคโลสี 3:3  “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า”

            “เพราะท่านตายแล้ว” ก็คือเราถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์ที่ไม้กางเขน ตายพร้อมพระเยซู ถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระเยซู เพราะฉะนั้น วันที่ 3 พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระสิริของพระเจ้า ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซู เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์นั้น พร้อมพระเยซูไปด้วย เราจึงถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า เราเป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์ในพระเจ้าไปแล้ว  เพราะเรามีชีวิตนิรันดร์  เกิดจากชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์แบ่งให้กับเรา

            แสดงให้เห็นว่านี่คือเราได้รับการปกป้อง คุ้มครองให้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ไม่ต้องไปกลัวใครแล้ว  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ไม่ว่าเราจะทำอะไร? ประพฤติตัวอย่างไร?  หรือว่าใครจะมาว่าเราก็ตาม ไม่ว่าจะมีฤทธิ์เดชอำนาจอะไรต่างๆ  ไม่สามารถแยกเราออกมาจากการซ่อนอยู่ในพระคริสต์ได้เลย  เราซ่อนอยู่ในนี้ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน นี่คือทำให้เรามีความมั่นใจ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน  โดยพระคุณของพระเจ้าว่าโดยพระคุณของพระเจ้า เราได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ตลอดนิรันดร์กาล เอเมน นี่คือคำพยานยืนยันจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา  เราได้มีสิ่งเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว …

            “ฉันเป็นความชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เป็นพยานยืนยันอยู่ภายใน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เอเมน”

            แต่ก็ยังมีผู้เชื่อบางคน บางกลุ่ม ที่ถูกล่อลวง โดยความไม่เชื่อจากความคิด แบบระบบโลก เคยได้ยินไหม? ที่บอกว่า …

            “ดีมากเลย คุณรับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว คุณได้รับความรอดและมีชีวิตนิรันดร์แล้ว ดีใจด้วย แต่คุณยังขาดอะไรบางอย่าง  เพราะฉะนั้น หลังเลิกนมัสการ เราเจอกันหน่อย ผมจะได้อธิษฐานเพิ่มเติม คุณจะได้รับการเจิมที่มากขึ้น ตอนนี้คุณเชื่อแล้ว ได้รับการเจิมจากพระเจ้าระดับหนึ่งแล้ว ฉะนั้น คุณจะต้องได้รับการเจิมเพิ่มขึ้น ให้สูงขึ้น คุณจะได้เข้าสู่ระดับความเชื่อที่มากขึ้น และต่อจากนี้ไป”

            พอเลิก เขาก็ไปหาคนที่นำ คนที่พูด ก็อธิษฐานให้เขาได้รับไฟ เสร็จแล้วก็บอกว่า …

            “นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่คุณต้องทำในการรักษาความรอดที่ได้รับไปแล้ว ชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับไปแล้ว คุณต้องรักษาให้ดีๆ นะ ระวังชีวิตนิรันดร์นี้จะหายไป”

            เห็นไหม? ตอนนี้เรารู้ความจริง คำพยานเมื่อตะกี้นี้ยืนยันชัดเจน “ใช่แน่” แต่ถ้าท่านไม่หมั่นฟังคำพยานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้บ่อยๆ สิ่งที่ตรงกันข้ามจะเข้ามาด้วยวิธีนี้ คืบคลานเข้ามาว่าท่านยังไม่พร้อมหรอก ท่านต้องได้รับการเจิมเพิ่ม เจิมเพิ่มแค่นั้นไม่พอ ท่านต้องมีความประพฤติ ระวังสูญเสียความรอด ท่านออกไปจากที่นี่ ท่านได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่ท่านต้องออกไปประพฤติปฏิบัติอย่างนี้นะ  เพื่อเป็นการรักษาความรอดของท่านตลอด ก็คือท่านต้องอธิษฐานเป็นประจำ ตื่นเช้ามา ต้องเฝ้าเดี่ยว กลางคืนต้องเฝ้าเดี่ยว ท่านต้องทำอย่างนี้ ท่านต้องขออภัยจากพระเจ้าตลอดเวลา ท่านต้องถวายทรัพย์นะ ไม่อย่างนั้นท่านจะถูกสาปแช่ง ท่านต้องอีกหลายต้องเลย  ต้อง 4 ต้อง 5 ต้อง 6 ท่านต้องอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม  เอาพระคัมภีร์ไปเลย แบกภาระกลับบ้านไปพร้อมชีวิตนิรันดร์

            ท่านว่าอะไรจะชนะ ท่านว่าอะไร? ภาระนั้นชนะ หรือชีวิตนิรันดร์นั้นชนะ เพราะชีวิตนิรันดร์ไม่ได้บอกเลยว่าให้ท่านกลับไปทำ เพียงแต่บอกให้กลับไปชื่นชมยินดีในชีวิตนิรันดร์ รับรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วขอบคุณพระเจ้า แต่อีกอันหนึ่งบอกท่านต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั่น พูดง่ายๆ อันหนึ่งเชื่อว่าพระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว จึงขอบคุณพระเจ้า สำเร็จเรียบร้อยแล้ว อีกอันหนึ่งบอกพระเยซูยังทำไม่สำเร็จ ท่านต้องทำเพิ่ม 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 แล้วมาเช็คดูว่าท่านทำได้ขนาดไหนแล้ว ท่านต้องมาคริสตจักรเป็นประจำ และต้องเข้าเรียนรวีตอนเช้า แล้วตอนเย็นต้องเรียนอาทิตย์ละครั้ง เพื่อจะลงน้ำบัพติศมา ถ้าท่านไม่เรียน ไม่ให้ลง

            ที่พูดนี้ไม่ใช่ไปต่อต้านสิ่งเหล่านั้น อะไรที่สำคัญ อะไรที่ควรจะพูด อะไรที่ควรจะย้ำยืนยันมากกว่ากัน

            ซึ่งความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถ้าคุณมีพระบุตร คือพระวิญญาณของพระคริสต์ คุณก็มีชีวิตนิรันดร์ ถ้าคุณมีชีวิตนิรันดร์ คุณก็มีพระบุตร คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ไม่มีการแบ่งแยก 2 สิ่งออกจากกัน ไม่มีทางเลย ถ้าคุณมีพระวิญญาณ คุณก็มีพระวิญญาณ และมีพระคริสต์ และมีชีวิตนิรันดร์พร้อมกัน โรม 8:9 ยืนยันอย่างนี้เช่นเดียวกัน …

        โรม 8:9 “ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ (ไม่ได้เป็นลูกของพระองค์)”

            พูดง่ายๆ ว่าคุณไม่สามารถเป็นลูกของพระเจ้า โดยที่ยังไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าได้เลย คุณไม่สามารถได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้าก่อน แล้วค่อยมาได้รับพระวิญญาณทีหลัง คุณมีพระวิญญาณและเป็นของพระเจ้า  หรือไม่เช่นนั้น คุณก็ไม่มีพระวิญญาณและไม่ได้เป็นของพระเจ้าเลย  ไม่มีพื้นที่ตรงกลาง  ไม่มีพระวิญญาณขั้น 2 ขั้น 3 หรือเต็มล้นขึ้น  ไม่มีพระวิญญาณระดับสูง หรือเต็มล้นท่วมท้น นี่คือข่าวดี

            เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตในท่าน พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในท่านอย่างเต็มบริบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว

            ท่านลองดูนะ สมมติว่าเราเชิญเพื่อนมารับประทานอาหารที่บ้าน เพื่อนเราก็เป็นบุคคล มีตัวตน มีสิทธิ์ที่จะตอบเราได้แค่ 2 ทางเท่านั้น คือบอกว่ามาหรือไม่มา  เราเชิญไปแล้วนะ  เพื่อนเราไม่สามารถบอกว่าโอเคๆ เดี๋ยวจะไปครึ่งตัว เสร็จแล้ว ถ้าเมื่อไรว่างจะไปอีกครึ่งหนึ่งให้ครบ เราก็หัวเราะก๊ากเลยนะ

            เช่นเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อย่างนี้แหละ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคล มาก็คือมา ไม่มาก็คือไม่มา เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกใครเปิดประตู เราจะเข้าไป พระองค์เข้าไปแค่ครึ่งตัว รอก่อน เมื่อเธอแน่ใจ ฉันจะเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง ไม่มี พระองค์เป็นบุคคล เมื่อพระองค์เข้าไป ก็คือเข้าไป อยู่ก็คืออยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่

            เพราะฉะนั้น ท่านจงมั่นใจได้ว่าท่านเชื่อ เปิดใจแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับท่านอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เต็มที่ตลอดเวลา พระองค์มีตัวตน เป็นบุคคล เป็นตรีเอกานุภาพ พระองค์เข้าไป ก็คือเข้าไป และไม่ได้เข้าไปเพียงบุคคลเดียว  เข้าไปทั้ง 3 บุคคล เป็นตรีเอกานุภาพ อยู่ในท่านแล้ว

            เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ จงรับรู้สิ่งเหล่านี้ว่านี่คือความจริง คำพยานเหล่านี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้บอกเราให้เรารับรู้สิ่งเหล่านี้ว่ามันเป็นจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น สถิตอยู่ในเรา และเราไม่ขาดอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องไปหาอะไรเพิ่ม ไม่ต้องรับการเจิมเพิ่ม พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้ว เพียงแต่รับรู้เพิ่มเท่านั้นเอง สิ่งที่ควรทำ คือรับรู้สิ่งเหล่านี้เพิ่มเติม สิ่งที่จำเป็นในโลกฝ่ายวิญญาณ ในชีวิต การดำเนินชีวิตคริสเตียนนั้น ไม่จำเป็นต้องหาอะไรเพิ่มแล้ว เพิ่มอย่างเดียว  คือเพิ่มการรับรู้ว่าความจริงคืออะไร? คือถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้เท่านั้น  เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ต้องรับสิ่งเหล่านี้ แล้วบอกเราตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริง

            พระเจ้าไม่เคยตรัสว่า … “เจ้ามีพรทางฝ่ายวิญญาณแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว แต่เจ้ายังขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต้องเติมอีกนิดหนึ่ง” หรือ “เจ้ามีทุกสิ่งที่จำเป็นแล้วในทางฝ่ายวิญญาณ แต่เจ้ายังขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            ไม่มี  มาพร้อมกันทุกอย่าง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ คำพูดโกหกเหล่านี้ เราคอยระมัดระวังและคอยสังเกตว่ามันใช่หรือไม่? ถ้าไม่ใช่ เราปิดสวิตช์ อย่าไปฟัง อย่าไปคิดตาม เพราะนั่นไม่ใช่คำสัญญาที่แท้จริง แต่ถ้อยคำพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกนั้น จะทำให้เราเป็นไทเสมอ เป็นอิสระเสมอในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “พระเยซูไม่ได้​เอา​เลือด​แพะ​ และ​เลือด​ลูกวัว​เข้าไป แต่​ได้​ถวาย​เลือด​ของ​พระองค์​เอง พระองค์​จึง​ทำให้​เรา​เป็น​อิสระ​ จาก​บาป​ตลอดไป”

            เมื่อ 2, 000 ปีที่แล้ว พระเยซูถูกเฆี่ยนตีปางตาย แล้วถูกนำไปตรึงบนกางเขน

            ยอห์น 19:28-30 … “28 หลังจาก​นั้น​พระเยซู​รู้​ว่าทุก​อย่าง​เสร็จสิ้น​สมบูรณ์​แล้ว เพื่อ​ให้​คำ​ต่างๆ​ ใน​พระคัมภีร์​เกิด​ขึ้น​จริง พระองค์​พูด​ว่า “เรา​หิว​น้ำ” 29 มี​ไห​ใส่​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​อยู่​ที่​นั่น พวก​เขา​จึง​เอา​ฟองน้ำ​ชุบ​เหล้าองุ่น​เปรี้ยวนี้​ ใส่​ปลาย​กิ่ง​ไม้​หุสบ แล้ว​ยื่น​ไป​จ่อ​ไว้​ที่​ปาก​ของ​พระองค์ 30 เมื่อ​พระองค์​ได้​ชิม​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​แล้ว จึง​ได้​ร้อง​ว่า  “สำเร็จ​แล้ว” จาก​นั้น​ก็​คอพับ​และ​สิ้นใจ​ตาย”

            พระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป

            โรม 5:8-9 … “8 แต่​พระเจ้า​ได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา (มวลมนุษย์) โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์​มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ​ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป ​(ศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้​พระเจ้า​ยอมรับ​เรา ​(เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว​ เพราะ​เลือด​ของ​พระคริสต์ ยิ่งกว่า​นั้น​เรา​จะ​รอด​พ้น​จาก​ความ​โกรธ​ (การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของ​พระเจ้า​ (ในวันพิพากษา) เพราะ​พระคริสต์​อย่าง​แน่นอน”

            ฮีบรู 9:12 … “พระองค์​เข้าไป​ใน​ห้อง​ที่​ศักดิ์สิทธิ์​ที่สุด​ (ที่สถิตอยู่ของพระเจ้าพระบิดาในสวรรค์) นั้น​เพียง​ครั้งเดียว​ก็​พอ​สำหรับ​ตลอดไป พระองค์​ไม่ได้​เอา​เลือด​แพะ​และ​เลือด​ลูกวัว​เข้าไป แต่​ได้​ถวาย​เลือด​ของ​พระองค์​เอง พระองค์​จึง​ทำให้​เรา​ (มวลมนุษย์) เป็น​อิสระ​จาก​บาป​ตลอดไป”

            พระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้มนุษย์กระทำดีเหมือนที่โมเสสได้สอนแล้ว แต่พระองค์มา เพื่อตายด้วยความทุกข์ทรมาน แบกรับบาปของมวลมนุษย์ (เป็นแกะปัสกา เป็นแพะรับบาป) เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาป

            และพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามพระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์

            พระเยซูไม่ได้เป็นอาจารย์ของศาสนาคริสต์ พระองค์ไม่ได้มาสอนให้คนทำความดี  เพราะโมเสสสอนให้คนทำดีตามกฎบัญญัติอยู่แล้ว ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนดีพร้อม ตามข้อกำหนดของกฎนั้นๆ ได้ เพราะเกิดมาเป็นคนบาป

            แต่พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า มาเพื่อกำจัดบาป ให้มนุษย์สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมในสายตาของพระเจ้าโดยการตาย ถูกฝังไว้และรับการบังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ พระเยซูมาเกิดเพื่อการนี้ จึงได้เน้นย้ำประกาศข่าวดีนี้ ให้กับมนุษย์ทุกคน ให้เชื่อในคำพูดของพระองค์ ให้วางใจในพระองค์ว่า พระองค์ คือผู้นั้นแหละที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ คือพระคริสต์ พระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด

            พระเยซูจึงไม่ได้มาสอนให้คนทำดี แต่มาทำให้คนเป็นคนดีได้ โดยการเกิดใหม่จากพระเจ้า

            พระเยซูมาลบล้างบาปทั้งสิ้น ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นคนดีโดยกำเนิด และทำดีตามธรรมชาติตัวตนภายในที่เหมือนพระองค์

            พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ได้มาลบล้างกฎต่างๆ ที่ดีงาม แต่เรามาทำให้สมบูรณ์ครบถ้วน”

            “ใครมีหูจงฟังเถิด!”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1514

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 15

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อหนังสือกาลาเทีย บทที่ 4 สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 23 อ่านทวนนิดหนึ่ง …

        กาลาเทีย 4:23 “บุตรจากหญิงที่เป็นทาสเกิดตามปกติธรรมดา   ส่วนบุตรจากหญิงที่เป็นไทเกิดตามพระสัญญา”

            สัปดาห์ที่แล้วเราจบลงตรงนี้ อาจารย์เปาโลเน้นถึงความสำคัญของพระสัญญาของพระเจ้า ที่พระองค์ได้สัญญาไว้ว่าจะประทานบุตรตามพระสัญญา เป็นหน่อเชื้อหน่อเดียวที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ตั้งแต่สมัยของอับราฮัมที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าพระเจ้าจะอวยพรพงศ์พันธุ์ของอับราอัม แล้วพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม จะทำให้ผู้คนบนโลกใบนี้ได้รับพระพร ที่พระเจ้าเน้นถึงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ก็ไม่ได้หมายถึงทุกคนบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่พระเจ้าเน้นถึง คือหน่อเชื้อหน่อเดียว คือพระเยซูคริสต์ที่ไม่มีบาปเลย วันหนึ่งพระเจ้าจะส่งมา แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย

            เมื่อตอนที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้มนุษยชาติมีตัวเลือก เมื่อก่อนมนุษย์ไม่มีตัวเลือก ตอนที่บรรพบุรุษของเราล้มลงในความบาป ตอนที่แผนการของพระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติยังไม่สำเร็จ ตอนนั้น มนุษย์ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมไป เราเคยได้ยินใช่ไหมคนไทยชอบพูดว่า …

            “เกิดมา ก็มารับเวรรับกรรม เมื่อไรจะรับหมดสักที ใช้เวรใช้กรรมอยู่นี่แหละ ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดสักทีหนึ่ง”

            ความรู้สึกของคนเป็นอย่างนี้ คิดว่าเราเกิดมา ก็ต้องมาชดใช้เวรกรรม แล้วความเป็นจริงมันก็ใช่ด้วย เพราะว่ามนุษย์เกิดมา ก็เป็นคนบาป เกิดมา ก็เดินทางไปสู่ความตาย ต้องชดใช้เวรกรรม แต่พระเจ้าได้ทรงเตรียมแผนการของพระองค์ไว้ สำหรับมนุษยชาติ  เป็นเวลาหลายพันปี  เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิด แล้วเดินไปที่ไม้กางเขน เป็นวันที่พระเจ้าเตรียม การไว้ เป็นเวลาที่เหมาะสม

            เราจะสังเกตว่าเวลาพระเจ้าเตรียม พระเจ้าบอกเราว่าพระองค์จะทำอะไร? ไม่ได้หมายความว่าพระองค์บอกปุ๊บ เรื่องนั้นมันจะเกิดขึ้นทันที ไม่ใช่ มันต้องใช้เวลาของพระเจ้า ที่พระองค์ได้กำหนดไว้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด พระองค์ก็ทำให้สิ่งสารพัดเหล่านี้เกิดขึ้น ตามพระสัญญา

            วันนี้เราจะมาต่อข้อ 24 …

        กาลาเทีย 4:24-26 “24 เรื่องนี้ถือเป็นการเปรียบเทียบได้    หญิงทั้งสองหมายถึงสองพันธสัญญา พันธสัญญาหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คือนางฮาการ์ให้กำเนิดลูกทาส 25 นางฮาการ์  หมายถึงภูเขาซีนาย   ในประเทศอาระเบีย เล็งถึงกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบัน เพราะนางกับบรรดาบุตรของนางเป็นทาสอยู่ 26 ส่วนเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท เป็นมารดาของเราทั้งหลาย”

            เราจะเห็นภาพ มีอยู่ 2 พวก ฝั่งหนึ่งเป็นทาส อีกฝั่งหนึ่งเป็นไท  เป็นทาส ก็คือมนุษย์เกิดมา ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นทาสแล้ว  เป็นทาสบาป  แต่รอถึงพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา มนุษย์มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ยอมเป็นทาสอีกต่อไป เรามีสิทธิ์เลือกนะ บางคนก็ยังคงเลือกที่จะอยู่เป็นทาสต่อไป อยู่เป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ กฎบัญญัติคนยิว ที่พระเจ้าเป็นคนตั้ง แต่ว่าสิ่งที่มนุษย์ทั่วไป ที่ไม่ใช่ชนชาติยิว กฎบัญญัติพระเจ้าเขียนไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน ก็คือเป็นกฎที่ทุกคนจะรู้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จิตใต้สำนึกทุกคนรู้

            ฉะนั้น กฎเหล่านี้ พยายามที่จะครอบคลุมมนุษย์ ให้พยายามกระทำความดี ซึ่งมนุษย์ทำ แต่ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ พระเจ้าไม่ได้บอกว่ามนุษย์ทำดีไม่เป็น มนุษย์ทำดีเป็นนะ  แต่ว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งไว้ ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น  คือพระเจ้าแยกระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ให้กับพวกเราได้เห็น แล้วก็ได้รับรู้ถึงพระคุณของพระเจ้า

            พันธสัญญาเดิม มนุษย์ต้องทำเอง ทำเองทุกอย่างเลย ตอนที่พระเจ้าสั่งโมเสส ให้ชนชาติอิสราเอลถวายเครื่องบูชา ใครทำผิดทำบาป ก็คือตัวคนๆ นั้นแหละต้องไปหาเครื่องบูชามาถวาย ไม่ว่าจะเป็นแกะ เป็นแพะ เป็นนกพิราบให้มาถวาย เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป แต่ลบล้างตรงนี้เป็นชั่วคราวนะ ไม่ใช่เป็นถาวร ฉะนั้น มนุษย์จำเป็นต้องทำเอง พยายามที่จะฝึกฝนที่จะไม่ทำบาป

            แต่พอถึงยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เป็นขึ้นมาจากความตายเรียบร้อย พันธสัญญาใหม่ได้เกิดขึ้นในวันอีสเตอร์แรกของโลกใบนี้ แล้วเกิดขึ้นที่สมบูรณ์แบบที่สุด คือในวันเพนเตคอสแรกของโลกใบนี้ด้วย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว หมายความว่าแผนการทั้งหมดเรียบร้อย มนุษย์สามารถที่จะมาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มารับความรอดนี้จากพระเจ้าได้ คือทุกคนมีสิทธิ์เลยนะ ตอนนี้ไม่ใช่เฉพาะชนชาติอิสราเอล แต่ทุกคน ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ประเทศใด ถ้าเขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้รับตรงนี้ทันที คือได้รับพระพรนานัปการที่พระเจ้าได้ทำให้สำเร็จแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับการผ่าตัดวิญญาณ ได้รับการเปลี่ยนจากวิญญาณเก่า ที่เป็นบาป มาเป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือทุกส่วนเหล่านี้ พระเจ้าทำให้หมดแล้ว ทำให้เป็นของขวัญ ถ้าใครเดินเข้ามา รับเลย พระเยซูไม่ต้องทำเพิ่ม หรือทำใหม่ คือมันมีอยู่แล้ว

            ฉะนั้น ตรงนี้ พันธสัญญาเดิม มนุษย์ยังต้องทำ พอถึงพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าบอกว่าเป็นพันธสัญญาแห่งพระคุณ คำว่า “พระคุณ” แปลว่าพระเจ้าให้เปล่าๆ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องพยายามดิ้นรนทำ เพื่อที่จะได้รับของขวัญชิ้นนี้ ลักษณะเหมือนเวลาพี่น้องวันเกิดคนที่เรารัก ไม่ได้หมายความว่าใครเกิด แล้วเราต้องวิ่งไปหาของขวัญให้ทุกคน เราทำไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หมายความว่าคนที่อยู่ในครอบครัวเรา  หรือคนที่เป็นเพื่อนสนิท มิตรสหายที่เรารัก เวลาเขาเกิด เราก็อยากจะเตรียมของขวัญให้เขา พอเตรียมของขวัญให้เขา เราก็ไปแฮปปี้เบิร์ดเดย์  เขาก็ขอบคุณค่ะ รับของขวัญไป

            คงไม่มีใครรับของขวัญเสร็จ ก็ควักกระเป๋าเอาตังค์ให้ จ่ายตังค์ค่าของขวัญ มีไหม? ไม่มี ตังค์ค่าของขวัญไม่มี ถ้าจะจ่ายตังค์ หมายความว่าเราฝากเขาซื้อ ถ้าพี่น้องฝากใครซื้อของ ต้องจ่ายตังค์นะ อย่าเนียน ฝากซื้อ พอเขาเอาของมาให้ปุ๊บ ขอบคุณค่ะ แล้วก็เงียบไปเลย มันไม่ได้นะอย่างนี้

            ฉะนั้น มันมีกฎเกณฑ์เยอะแยะมากมาย ที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า หลักการในการอยู่ด้วยกัน หรือหลักการในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ทำสำเร็จแล้ว

            พระคุณตรงนี้ คือสิ่งที่มนุษย์ไม่สมควรได้รับ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว มนุษย์คนใดก็ตาม ถ้าได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้ของขวัญนี้ทันที โดยที่เขายังไม่ได้ทำดีเลย

            ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราต้องทำดีก่อน แล้วค่อยรับของขวัญไหม? ไม่มีนะ ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ คือเราได้ยินได้ฟังเรื่องพระเจ้า แล้วเราก็ได้ยินคนที่อยู่ในโบสถ์ ได้ยินคนที่เขาเล่าเรื่องราวของพระเจ้าให้เราฟัง  แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน  บางคนใช้เวลาแป๊บเดียว ฟัง ข้างในวิญญาณอาจจะรับพระเยซูคริสต์ บางคนใช้เวลา 20 ปี 30 ปี กว่าจะยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉะนั้น ตรงนี้ พอได้ยินได้ฟังเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง

            เมื่อคนนั้นบอกพระเจ้าว่าเขาต้องการพระองค์ ต้องการการช่วยเหลือจากพระองค์ เราสู้ด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว เราทำด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว หมดแรงแล้ว ลิ้นห้อยแล้ว ขอช่วยลูกด้วยเถิด พอบอกอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นจริงๆ แต่ว่าเราไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  ไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป

            ตอนที่พี่น้องอธิษฐานรับเชื่อ รู้สึกอะไรไหม? ไม่รู้สึกเนอะ อาจารย์บอกอธิษฐานรับเชื่อ เราก็อธิษฐานรับเชื่อ แล้วอาจารย์ก็จะบอกเราว่าตอนนี้พระเยซูอยู่ในท่านแล้วนะ เราก็เหรอๆ เดี๋ยวนี้พระเยซูอยู่ในเรา ตอนนั้นเราจะไม่รู้เรื่อง  เราจะแค่เกิดวิญญาณหนึ่ง คือวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง เมื่อเรายอมรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาทำขบวนการการบังเกิดใหม่ เกิดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้น วิญญาณแห่งการเชื่อฟัง แล้วของประทานแห่งความเชื่อด้วย  ทำให้เราสามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย เชื่อเฉยเลย ถ้าเมื่อก่อนเชื่อไหม? ไม่มีทาง คิดให้สมองแตก เราก็เชื่อไม่ได้มันเป็นเรื่องตลกโปกฮา พูดอะไร …

            “พวกคริสเตียนแปลกเนอะ มาเล่าอะไรก็ไม่รู้ให้เราฟัง เป็นไปไม่ได้หรอก แล้วยังมาบอกว่าเราเป็นคนบาป พอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราจะสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมเลย ยิ่งเชื่อไม่ได้ใหญ่เลย”

            แต่ว่าพอวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราลงไปในวิญญาณของเรา ให้เรามีความสามารถเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ มีความสามารถเชื่อว่าเราได้บังเกิดใหม่จริงๆ มีความสามารถเชื่อว่าเราอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ นี่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเราเชื่อได้อย่างไร? แต่มันเชื่อไปแล้ว อย่างดิฉันเชื่อได้อย่างไรก็ไม่รู้ เกือบ 40 ปีแล้ว พอเชื่อแล้ว เชื่อเลย เชื่อปุ๊บ มันจะมีสิ่งแปลกอันหนึ่งเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน คือทันทีที่เราเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ จากวันนั้น ในวิญญาณจะไม่มีความรู้สึกอยากจะแสวงหาอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณเลย อย่างก่อนหน้านั้น เรายังไม่เชื่อ เราอาจจะหิว ยังกระหายอยู่ หาที่ไหนก็เติมไม่เต็ม  เราจะหาไปเรื่อยๆ หาไปเรื่อยๆ เขาเรียกว่าหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ แต่ยังไม่เจอตัวจริงๆ  เราก็เลยต้องหาไปเรื่อยๆ แต่พอวันที่เราหาพระเยซูคริสต์เจอ ความหิวกระหาย มันหายไปเลย เรารู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ พอแล้ว เราพอใจแล้ว  เราไม่อยากจะไปหาอะไรอีกแล้ว เราอยากหาพระองค์นั่นแหละ แค่นั้น แล้วมันก็ดำเนินอย่างนั้นมาจนถึงวินาทีสุดท้ายในชีวิตของพวกเรา มันก็จะเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจน  และตัวเราเองสามารถเป็นพยานได้ด้วยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ คนอื่นบอกเราไม่ได้หรอก คนอื่นมาพูด เราก็ไม่สามารถเข้าใจ นอกจากเราได้ชิมพระองค์ แล้วเรารู้ว่าพระองค์สุดยอด ดีเลิศ ประเสริฐศรีมาก  แล้วเราก็ขอบคุณพระองค์ได้ทุกวัน ขอบคุณพระเจ้านะ ที่พระองค์ทรงให้เราได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระองค์ ครอบครัวสวรรค์ของพระองค์ รับเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นบุตรที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วในชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก เชื่อไม่เชื่อ  ไม่รู้แหละ พระเยซูบอก …

            “มันเป็นไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา  เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรากับของเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้”

            นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วในวิญญาณของเรา

        กาลาเทีย 4:27-28 “27 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “จงยินดีเถิด หญิงหมันเอ๋ย ผู้ไม่เคยมีลูก จงเปล่งเสียงโห่ร้องเถิด เจ้าผู้ไม่เคยเจ็บครรภ์ เพราะลูกของหญิงที่โดดเดี่ยว ก็ยังมีมากกว่าลูกของหญิงผู้มีสามี” 28 พี่น้องทั้งหลาย   ฝ่ายท่านเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค”

            เราจำชื่ออิสอัคได้ใช่ไหม? อิสอัคเป็นบุตรแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าได้บอกกับอับราฮัมว่า …

            “เราจะอวยพรพงศ์พันธุ์ของเจ้าผ่านทางอิสอัค”

            แล้วพระเจ้าไม่ได้พูดลอยๆ แต่พระองค์กำหนดไว้ด้วยว่าอิสอัคจะเกิดจากนางซารายเท่านั้น คือผู้หญิงคนอื่นไม่ใช่มาจากพระสัญญา ฉะนั้น บุตรของนางฮาการ์ไม่ได้เป็นไปตามพระสัญญาของพระเจ้า แต่เกิดจากความต้องการของมนุษย์ เราจะเห็นภาพว่าตอนที่อับราฮัมมีลูกคนแรก อิชมาเอล ไม่ได้เกิดจากความต้องการของพระเจ้า แต่เกิดจากความปรารถนาของอับราฮัมกับนางซาราย ก็คือรอนานมาก รอพระเจ้า ไม่ไหว ช่วยพระเจ้านิดหนึ่งก็แล้วกัน สงสัยพระเจ้ายังไม่พร้อม แต่เราพร้อมแล้ว  เราอยากจะช่วย ช่วยจริงๆ นะ แต่มันไม่เกิดผลอะไร พระเจ้าไม่นับอิชมาเอล เป็นลูกแห่งพันธสัญญา ฉะนั้น เมื่ออิชมาเอลไม่ได้เป็นลูกแห่งพันธสัญญา เขาก็เป็นลูกแห่งการพึ่งพาตัวเอง จากมนุษย์เอง ก็คือลูกบาป พูดง่ายๆ คือเป็นลูกบาปนั่นเอง

            ภาพตรงนี้ เป็นข้อความที่มาจากพระคัมภีร์เดิม ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่ามีผู้หญิงหลายๆ คน ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วยนะ พระเจ้าเลือกไว้ด้วย อย่างเช่น นางเรเบคาห์อย่างนี้ นางเรเบคาห์กว่าจะมีลูก ต้องใช้เวลานานมากเลย เป็นหมัน  แล้วจนต้องอธิษฐานขอพระเจ้า แล้วพระเจ้าเปิดครรภ์ ทำให้เขาได้มีลูก เหมือนกับตอนยาโคบ ยาโคบมีภรรยา 4 คน  แล้วภรรยาที่เขารักที่สุด คือนางราเชล เป็นหมันเหมือนกัน  ภรรยาคนอื่น 3 คน คลอดลูกแล้วคลอดลูกอีก เป็นขบวนเลย แต่นางราเชลไม่มีลูก จนต้องอธิษฐาน พระเจ้าก็เปิดครรภ์

            แล้วถ้าเป็นพระคัมภีร์เดิม ผู้หญิงคนไหน ถ้าไม่มีลูก ถือว่าผู้หญิงคนนั้น ถูกสาปแช่ง  แต่ว่าในยุคปัจจุบัน มันไม่เกี่ยวกัน ถ้าพี่น้องจะเอาพระคัมภีร์เดิมมาผสมกันกับพระคัมภีร์ใหม่ ปัจจุบัน คนไม่มีลูกเยอะแยะมากมาย มีคู่สามีภรรยาเขาแต่งงานกัน แล้วเขาก็ไม่มีลูก แล้วถ้าเราเอาพระคัมภีร์เดิมมาผสม เราก็จะไปมองครอบครัวใดที่ไม่มีลูกว่านี่เป็นครอบครัวที่ถูกสาปแช่ง พระเจ้าไม่รัก พระเจ้าลงโทษ มันไม่เกี่ยวกัน นี่เป็นประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์เดิมที่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แล้วพระเจ้าก็เปิดครรภ์ พอเปิดครรภ์ ถือว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับพระพร คนสมัยก่อน ถ้ามีลูกเยอะยิ่งได้รับพระพรนะ แต่ปัจจุบัน ถ้ามีลูกยิ่งเยอะ ยิ่งยากจน  จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย ยุคสมัยมันต่างกัน  แต่สิ่งที่มันมีในชีวิตของพวกเรา ก็คือเราอยู่ในยุคพระคุณ

            ยุคพระคุณตรงนี้ เขาเรียกว่าเราเป็นลูกแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า เหมือนอิสอัค อิสอัคถือว่าเป็นต้นตระกูลเลย  เพราะว่ามาจากลูกคนแรกที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม

        กาลาเทีย 4:29-30 “29 ครั้งนั้น  บุตรที่เกิดตามปกติธรรมดา  รังแกบุตรที่เกิดโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ บัดนี้ ก็เช่นกัน 30 แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร? “ขอให้ไล่เมียทาสกับลูกของนางไปเถิด เพราะลูกของเมียทาสนั้น จะไม่มีวันมีส่วนร่วมในมรดกกับลูกของหญิงที่เป็นไท”

            เหตุการณ์ตรงนี้ อยู่ในพระคัมภีร์เดิม อิชมาเอลโตกว่าอิสอัคประมาณ 14 ขวบ คือตอนที่อิสอัคคลอด อิชมาเอลน่าจะอายุ 14 แล้ว นึกภาพนะ พี่ตัวใหญ่ น้องตัวเล็ก เวลาเล่นในพระคัมภีร์ใช้คำ เหมือนรังแกกัน อาจจะว่าเขาโต แล้วเล่นแรง ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าบุตรที่เกิดตามปกติธรรมดา เล็งถึงอิชมาเอล มารังแกบุตรที่เกิดโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ คือมารังแกอิสอัค พอรังแกอิสอัคปุ๊บ นางซาราไม่ยอม ไม่ได้ ก็มางอแงกับอับราฮัม เหมือนเดิม

            “นี่ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ  อิชมาเอลจะมาอยู่กับลูกของฉันไม่ได้”

            ก็คือมันต้องแยกจากกันอยู่แล้ว ตามถ้อยคำพระเจ้า ยังไงก็ต้องแยกจากกัน คือบุตรแห่งพันธสัญญากับบุตรตามธรรมดา อยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เลยให้ไล่หญิงทาสนั้นไป พระเจ้าก็บอกกับอับราฮัม พี่น้องลองนึกภาพอับราฮัม ตอนที่นางซาราให้ไล่นางฮาการ์ไป อับราฮัมก็กลุ้มใจ  เพราะว่านางฮาการ์ ก็ถือว่าเป็นภรรยา ภรรยาน้อย 1 คน อิชมาเอล ก็ถือว่าเป็นลูก 1 คน ทีนี้ให้ทำอย่างไรดี ให้ไล่ทั้งลูก ทั้งเมียออกไป แล้วเราจะตัดสินใจอย่างไร?

            แต่สิ่งที่อับราฮัมได้รับจากพระเจ้า คือพระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่าให้เชื่อฟังนางซารา ก็คือให้เชิญนางฮาการ์กับอิชมาเอลออกจากบ้าน ก็คือไม่ให้อยู่แล้ว ต้องให้อิสอัคอยู่ครอบครองคนเดียว ตามพระสัญญา สมัยก่อน ก็แปลกดี อับราฮัมให้นางฮาการ์ออกไป ให้น้ำ 1 ถุงกับขนมปังนิดหน่อย แล้วบอกเหมือนไปตายเอาดาบหน้า อะไรประมาณนั้น แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเราขอบคุณพระเจ้ามากๆ แม้มนุษย์จะผิดพลาด  แต่พระเจ้าก็ยังคงเมตตา ทรงดูแล ความผิดพลาดเกิดจากอับราฮัมกับนางซารา ถ้าจะพูดถึงนางฮาการ์ไม่เกี่ยวอะไรเลย เพราะว่าเขาเป็นคนใช้  คนใช้ในสมัยก่อนเหมือนทาส นายให้ทำอะไรก็ต้องทำ

            ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยอวยพรพงศ์พันธุ์ของอิชมาเอลเหมือนกัน ก็คือไม่ได้ทอดทิ้ง อวยพร แต่คำอวยพรตรงนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวิญญาณ อวยพรเฉพาะในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้เท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน พระเจ้าสามารถอวยพรคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า ให้เขาเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งได้ ถ้าเขาดำเนินชีวิตที่ดี นึกออกไหม?

            ผลของสิ่งที่พระเจ้าบอก อย่างเช่น พระเจ้าบอกจงให้เกียรติบิดามารดา แล้วเจ้าจะไปดีมาดีบนแผ่นดินโลก  มนุษย์ใครก็ได้ที่ทำตามนี้ เขาก็จะได้รับพระพร แม้ว่าเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า  เขาจะได้รับพระพรเฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น  แต่วิญญาณของเขายังอยู่ในวิญญาณเดิม ถ้าเขาไม่ยอมย้าย แม้เขาจะได้รับพระพรจากพระเจ้าก็ตาม แต่เขาจะไม่ได้พระพรฝ่ายวิญญาณ คือวันหนึ่งเมื่อวิญญาณออกจากร่าง เขาก็ต้องไปชดใช้ คือไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ก็สามารถรับพระพรจากพระเจ้าได้

            ในขณะเดียวกัน พวกเราซึ่งเชื่อวางใจในพระเจ้า เราสามารถรับพระพรจากพระเจ้าทั้งฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายวิญญาณเราได้ชัวร์ๆ แบบ 1,000% เรียบร้อยไปแล้ว ฝ่ายร่างกายก็แล้วแต่ อย่างที่บอก พระเจ้าบอกว่าพระองค์พอใจจะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรคนนั้น เป็นสิทธิ์ขาดของพระองค์ว่าพระองค์อยากจะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรคนนั้น ฉะนั้น เราไม่ต้องตะเกียกตะกาย ในพระคัมภีร์บอกว่าทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตะเกียกตะกาย หรือพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ไม่ต้อง แต่ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งดี ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว

            แต่คำว่า “สิ่งดี” ของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน สิ่งดีของคนๆ หนึ่ง อาจจะไม่ใช่สิ่งดีของอีกคนหนึ่งก็ได้ แต่ว่าพระเจ้าเห็นแล้วว่าอันนี้ ถ้าเธอได้ มันจะเป็นผลดี แต่ส่วนใหญ่ สิ่งที่พระเจ้าให้เราเป็นผลดี เราก็ไม่ค่อยถูกอกถูกใจเท่าไรหรอก ถ้าพระเจ้าอวยพรเรา ให้อยู่ดีมีสุขทุกอย่าง เราดีนะ เรามีความสุข เราขอบคุณพระเจ้าได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันถ้าเกิดเราเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ยาก บนโลกใบนี้ เรายังสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ถ้าวิญญาณข้างในเราผูกพันกับพระเจ้า แล้วเรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? แล้วพระเจ้าบอกว่าสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรามันจะเป็นผลดี พระเจ้าไม่เคยเอาสิ่งเลวร้ายมาสู่ชีวิตของเรา ฉะนั้น เมื่อเรายอมรับ และเราพอใจในการนำของพระเจ้า  เราก็จะมีความสุข

            เราเปรียบเหมือนเป็นเด็กๆ ของพระเจ้า เหมือนลูกหลานเรา เราจะสังเกตเวลาลูกเราเล็กๆ เด็กชอบเล่น เล่นอย่างเดียว เล่นเสร็จขอกินขนม บอกมากินข้าว ไม่เอาไม่อยากกิน ข้าวมีประโยชน์มากิน ไม่เอา  ไม่อยากกิน ไม่หิว ขอกินเป็นขนมได้ไหม? นี่คือเด็ก มาๆ มาอ่านหนังสือ ไม่อยากอ่านหนังสือ ขอไปเล่นได้ไหม? ขอเล่นเกมได้ไหม? นี่คือภาพ ภาพปกติที่เราจะเห็นตามบ้านทุกบ้านเลย มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าผู้ใหญ่  คือพ่อแม่ที่ดูแล พระเจ้าจะให้สติปัญญา ไม่ได้หมายความว่าจะจับลูกเรามานั่งจุมปุ๊กเรียนทั้งวัน มันไม่ได้หรอก คือสมองเขารับได้ไม่เยอะ คือเด็กจะมีเวลาเรียน มีเวลาเล่น มีเวลาวิ่ง คือทุกอย่างจะมีให้เหมาะสม แล้วอย่างเด็กบอกให้แปรงฟัน แปรงไหม? งอแงกว่าจะยอมแปรง แต่มันเป็นประโยชน์ไง พ่อแม่ก็ต้องบังคับ ต้องแปรง ไม่อย่างนั้น ฟันผุ ก็ต้องไปถอดฟัน ฟันผุ แล้วมันกินอะไรไม่อร่อย ก็บอกเหตุผลให้ลูกฟัง เขาก็จะฟัง เด็กเนอะ พรุ่งนี้ก็จะมาใหม่อีกแล้ว มาแปรงฟัน ไม่อยากแปรงฟัน อะไรอย่างนี้ ถึงวัยที่ต้องเรียน พ่อแม่ก็สรรหา เราขอบคุณพระเจ้า พ่อแม่ยุคใหม่ สรรหาจริงๆ ลูกเพิ่งเกิด ไปหาโรงเรียนให้แล้ว สมัยก่อน ยุคของเรา เราก็รอให้เขาถึงวัย เราค่อยไปหาโรงเรียนใกล้ๆ บ้าน สะดวกดี เราไปส่งง่าย  แต่ยุคปัจจุบันไม่ได้ คือต้องสรรหาโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนที่ดี ทุกอย่างดีเลิศประเสริฐศรี แม้ว่าจะอยู่ไกลบ้าน เราก็จะยอมขับรถพาลูกไปส่ง อะไรประมาณนั้น ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป

            ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่การดูแลของพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยน คือทุกอย่างมันจะเป็นเหมือนเดิม ก็คือเด็กยังต้องมีการควบคุม ดูแล มีการสอน มีการแนะแนวทางว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี  แต่ไม่ใช่ว่าพ่อแม่แนะปุ๊บ ลูกเราก็จะเชื่อฟังทุกอย่างนะ ไม่มี ดื้อบ้าง เชื่อฟังบ้าง วันที่เชื่อฟังพ่อแม่ก็มีความสุข วันนี้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก พอไม่เชื่อฟัง เราก็ต้องปล้ำสู้กับเขา นี่คือปกติของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            เช่นกันในฝ่ายวิญญาณ คิดดูเราเป็นพ่อแม่ในโลกนี้ เรายังสรรหาอะไรที่ดีเลิศให้กับลูก แล้วพระเจ้าล่ะ  พระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์จะสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา มากกว่าเราตั้งอีก 100 เท่า 1,000 เท่า เราเป็นมนุษย์ เราไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ไม่ว่าสถานการณ์จะมาเป็นแบบไหน? ไม่ว่าเราจะเผชิญกับสิ่งใดก็ตาม ที่ไม่ถูกใจ ถูกใจ แล้วแต่ แต่ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา รักขนาดไหน? รักขนาดยอมตายแทนเราบนไม้กางเขน พอไหม? รักแค่นี้ แล้วพระเจ้าองค์นี้ ไม่เคยทอดทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา อยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาค นี่คือสิ่งที่ อัศจรรย์มาก ตรงนี้มันปกติมากเลย  บุตรที่เกิดธรรมดาก็รังแกบุตรที่เกิดตามพระสัญญา

            ทุกวันนี้เราเห็นไหม? บางคนมาเป็นคริสเตียน ถูกข่มแหงรังแกไหม? ถูกข่มเหงรังแกนะ ขอบคุณพระเจ้าที่ดิฉัน ครอบครัวไม่มีการต่อต้าน ใครจะไปเชื่ออะไร เชิญตามสบาย ขอบคุณพระเจ้า ดิฉันเป็นคนที่เชื่อเกือบสุดท้าย คนอื่นเขาเชื่อไปหมดแล้ว  เราเลยไม่มีปัญหาเรื่องการต่อต้านจากครอบครัว แต่ว่าก็จะมีการต่อต้านจากคนรอบข้าง บางทีจากคนที่เรารู้จักหรือจากเพื่อนที่เราคุ้นเคย เคยชินกับเขา เมื่อก่อนเราก็ไปคลุกคลีตีโมงกับเขาได้ ตอนนี้ เราก็ไม่ไปผสมโรงกับเขา แบบนั้น ก็ถอยห่างออกมา  แต่ว่าถ้าเพื่อนที่เขาเข้าใจเรา เขาก็โอเคกับเรามากๆ แค่เขารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน

            อย่างทุกวันนี้ อายุเยอะแล้ว 70 กว่า เพื่อนที่คบกันตั้งแต่ประถม 3-4 เขาก็จะนัดมากินข้าวด้วยกัน แต่อยู่ในวงกินข้าว อย่าคุยเรื่องความเชื่อ  เดี๋ยวคุยแล้วทะเลาะกัน  เราไปเพื่อสนุกสนาน เพื่อไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับเพื่อน เป็นอย่างไรสบายดีไหม? อะไรอย่างนี้ แค่นี้พอ อย่าไป พระเจ้าบอกต้องถือทุกโอกาสเลย ไปถึงเราจะพยายามเอาข่าวประเสริฐให้เพื่อน พอดี เขาตีหัวเราแตก พอคราวหน้าไม่ชวนคนนี้แล้ว มาทีไรวงแตกทุกที มันก็ไม่ใช่

            ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาส เราก็ประกาศได้ แค่เพื่อนรู้ว่าเราเป็นคริสเตียน แค่นั้นพอแล้ว เราได้ประกาศชั้นหนึ่ง ตรงนี้เป็นพระพรสำหรับพวกเราทุกๆ คน

        กาลาเทีย 4:31 “ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงที่เป็นทาส แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไท”

            เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน มีพระเจ้าองค์เดียวกัน เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์

        กาลาเทีย 3:28-29 “28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์  ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา”

            แล้วตอนนี้ พวกเราทุกคนเป็นเรียบร้อยแล้ว  เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ พอคนที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า พอครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า เขาบอกว่าไม่มียิว ไม่มีกรีก สมัยก่อนเขามีแยกนะ คนในยุคพระคัมภีร์เดิม หรือตอนพระกิตติคุณ คนยิวเขายังแยกชนชั้น ระหว่างชนชาติยิวกับคนต่างชาติ  คนยิวจะถือว่าเขาเป็นคนพิเศษของพระเจ้า เขาถูกเลือกโดยพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า แล้วเขาก็จะมองคนต่างชาติแบบมองจากขาขึ้นข้างบน มองแบบดูถูก แล้วยิวเขาเปรียบคนต่างชาติเหมือนหมา เหมือนสุนัข เป็นอย่างนั้น  คนที่ไม่มีสกุลรุนชาติ แต่พอถึงยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว  เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน? เราจะเป็นผู้จัดการใหญ่  หรือเราจะเป็นเจ้าของกิจการ หรือเราจะเป็นคนงาน หรือเราจะเป็นแม่บ้าน เป็นคนกวาดขยะ  เป็นคนอะไรก็แล้วแต่ พอเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าไม่ได้แยกชนชั้น ทุกคนเท่าเทียมกัน  เพราะว่าเราทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่มีการแยกเยอะแยะมากมาย  แล้วรับรู้ว่าเมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็เป็นลูกของอับราฮัม อับราฮัม คือเป็นบิดาแห่งความเชื่อ  แล้วก็เป็นทายาทตามพระสัญญา

            นี่คือพระพรที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วพวกเราทุกคน ณ ปัจจุบัน เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วด้วย เอเมน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ท่านดูดี สมฐานะ เมื่อสวมเสื้อใหม่ในพระคริสต์ แทนเสื้อเก่าในอาดัม

            1 เปโตร 2:1 … “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย”

            เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรู้ถึงพระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ ชำระท่านจนสะอาด หมดจด  แยกท่านออกมาเป็นส่วนพระองค์เลย มีค่าในสายพระเนตรพระองค์ และให้ท่านบังเกิดใหม่ ด้วยหน่อเชื้อที่เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์ และเป็นนิรันดร์ด้วย ท่านได้รับความรอดนิรันดร์ อยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์แล้ว ด้วยความเมตตา ด้วยความรักของพระเจ้า  ท่านเป็นเช่นนี้แล้ว

            เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจงถอดเสื้อเก่า ก็คือตัวเก่าของท่านที่ตายกับพระเยซู ที่ไม้กางเขน ตายไปแล้ว

            ฉะนั้น ความประพฤติที่เคยทำสมัยก่อน ที่เป็นทาสของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง  ก็อย่าให้มันหลอกลวง ให้ไปสวมเสื้อเก่า แต่จงสวมเสื้อใหม่ จงขจัดข้อมูลจอมปลอม หลอกล่อ ที่มันส่งเข้ามาในความคิดของเราออกไป ทิ้งมันออกไป

            เสื้อเก่า คือความคิดมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด คือเมื่อท่านรู้แล้วว่าท่านเป็นคนที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรคสถาน มีมรดกนิรันดร์แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ก็จงมีความภูมิใจ มั่นใจ เมื่อมีความภูมิใจ มั่นใจแล้ว ท่านก็จะไม่มุ่งร้ายกับใคร? ไม่โกหกใคร?  ไม่หน้าซื่อใจคด ไม่ริษยาใคร?

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1513

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 14

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 4:21 บอกว่า …

        กาลาเทีย 4:21 “ท่านที่อยากอยู่ใต้บทบัญญัติ บอกข้าพเจ้าเถิด ท่านไม่ตระหนักถึงสิ่งที่บทบัญญัติกล่าวไว้หรือ?”

            ในพระคัมภีร์ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับชาวกาลาเทีย ที่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มที่จะพยายามรักษากฎบัญญัติที่มนุษย์แนะนำว่าเชื่ออย่างเดียวไม่พอนะ ต้องมาทำพิธีเข้าสุหนัตด้วยในสมัยโน้น คนยิวที่เชื่อพระเจ้า คนต่างชาติที่เชื่อพระเจ้า เขาก็จะแนะนำว่าเชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเดียว มันไม่พอหรอก  แต่พระเยซูคริสต์บอกกับเราว่าแค่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจะได้รับความรอด ท่านจะได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ท่านจะสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เหมือนกับพระเจ้าเลย อาจารย์เปาโลบอก ตอนมาประกาศใหม่ๆ อาจารย์เปาโลมาแบบกระท่อนกระแท่นมาก มาแบบเจ็บป่วยด้วย แต่ว่าด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทำให้ผู้คนเหล่านี้ ต้อนรับข่าวดีของพระเจ้า และวางใจในพระองค์ ได้กลับใจใหม่

            จากนั้น มีผู้คนที่มา เหมือนกับเดินไปกับพระเจ้าอยู่ดีๆ ก็มีคนมาแนะนำ  เป็นผู้หวังดีที่โลกไม่ต้องการนั่นแหละ มาแนะนำว่า …

            “เธอๆ มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ เธอจำเป็นจะต้องมาทำพิธีเข้าสุหนัตด้วยนะ”

            สมัยก่อน  หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องพิธีกรรม ที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับโมเสสเหมือนเดิม แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าเมื่อใครเป็นลูกของพระเจ้าจำเป็นจะต้องเข้าสู่พิธีเข้าสุหนัตด้วย จึงจะสามารถเป็นประชากรของพระเจ้า หรือไม่ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชา ต้องมาทำพิธีกรรมต่างๆ ที่ในกฎบัญญัติเดิมที่พระเจ้าเขียนไว้

            สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยกเลิกแล้ว เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน กฎเก่าที่ต้องยึดถือ หรือพยายามทำตามบทบัญญัติได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยพูดไว้ในข้อที่ 21 ว่า …

            “คนที่อยากอยู่ใต้บทบัญญัติ บอกข้าพเจ้าทีเถิดว่าท่านไม่ตระหนักถึงสิ่งที่บทบัญญัติกล่าวไว้หรือ?”

            บทบัญญัติกล่าวไว้ ก็คือมนุษย์ทุกคนจำเป็นจะต้องทำตามกฎระเบียบ ที่เขียนไว้ในบทบัญญัติทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลาด้วย โดยไม่มีข้อยกเว้น  อันนี้สำคัญ ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้เลย  เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้จัดเตรียมพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับพวกเรา เมื่อถึงวาระกำหนด พระองค์ก็มาเกิดจากหญิงพรหมจารี แล้วมาตายบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วก็ถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย  ทำให้มนุษยชาติสามารถมีตัวเลือก ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์มาเกิด มนุษย์ไม่มีตัวเลือก มนุษย์เกิดมาในบาป นี่เป็นเรื่องจริงในโลกวิญญาณ คือเกิดมาปุ๊บ เป็นคนบาปเลย เกิดมาปุ๊บ มีหนี้บาปติดตัวมาเลย ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ก็ได้เป็นคนบาป ได้เป็น เกิดมาเป็น

            ดังนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเกิดมาเป็นคนบาป มีธรรมชาติบาป มี DNA บาป จึงทำให้เขาทำบาป มันเป็นเหมือนขั้นตอนที่มันเป็นไปอย่างนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า ตัวบาปเก่าของเรา ได้ถูกตรึงไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรม ธรรมชาติใหม่ที่ผู้เชื่อทั้งหลายมี คือเป็นผู้ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าเลย ไม่มีบาป ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ไม่จำเป็นจะต้องทำพิธีกรรมใดๆ อีกต่อไป  เพื่อจะทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม

            แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ คือชอบทำ  เหมือนกับเราได้ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันดูดี  ไม่อย่างนั้น มาเชื่อพระเจ้า แล้วอยู่เฉยๆ แล้วบอกเราเป็นผู้ชอบธรรม เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว แค่เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว ฟังแล้ว มันง่ายไปไหม? อะไรประมาณนั้น มนุษย์จึงสามารถถูกล่อลวงได้จากกฎต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็คือกฎของความบาปและความตาย คือพยายามพึ่งพาในตัวเอง

            ฉะนั้น คนที่มาแนะนำให้ชาวกาลาเทีย ไปทำตามกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าสั่งโมเสสไว้ ก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผู้เชื่อเหล่านี้ แต่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง อาจารย์เปาโลพูดชัดเจน เขาทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

            ประโยชน์ของตัวเองมาจากไหน? เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว  เราไม่ต้องไปทำพิธีกรรมใดๆ อีกแล้ว แต่คนเหล่านี้ยังคงแนะนำว่า …

            “เธอยังต้องมาทำพิธีกรรม”

            สมมติว่าทำพิธีการเข้าสุหนัต แล้วก็ต้องมาทำพิธีกรรมล้างบาปอีก มันจะมาเป็นขบวน ก็คือทำอย่างหนึ่ง ก็จะมีของแถมมาอีกอย่างหนึ่ง แถมมาเรื่อยๆ ฉะนั้น พิธีกรรมเหล่านี้ มันต้องใช้ปัจจัย สมัยก่อน พวกมหาปุโรหิต เขาก็จะใช้วิธีนี้แหละในการหาเงิน จากคนยิว ทำไมพระเยซูคริสต์ถึงต้องคว่ำโต๊ะรับเงิน เอาแส้ตีคนที่มาขายแกะ ขายแพะ ทำไมพระองค์โกรธขนาดนั้น  เพราะว่าคนในยุคนั้น เมื่อถึงวาระหนึ่ง เขาถือโอกาสใช้อำนาจของตัวเอง หรือตำแหน่งของตัวเอง  เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์จากชนชาติอิสราเอล เพราะเมื่อก่อน กฎเกณฑ์มันเยอะ ก็คือพระเจ้ามีกำหนด

            ไม่เหมือนปัจจุบัน เราอยู่ที่ไหน? เราก็สามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้ คือพระเจ้าทรงอยู่ในเราตลอดเวลา เราไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาที่ไหน? เพื่อหาพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในนี้ แต่ว่าสมัยก่อนมันไม่ใช่ สมัยก่อน คือพระเจ้ามีกำหนดว่าชนชาติอิสราเอลจะต้องไปในพระวิหารของพระเจ้า ที่กรุงเยรูซาเล็ม ปีละครั้ง ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชาใหญ่เลย เมื่อถวายเครื่องบูชาใหญ่ สมัยก่อนกฎเกณฑ์มี พระเจ้าเขียนไว้แบบชัดเจนมาก คนอิสราเอลต้องเอาลูกแกะที่ไม่มีตำหนิ อายุเท่าไร? พระเจ้ากำหนดไว้เลย แล้วก็เดินทางมาที่เยรูซาเล็ม เพื่อถวายเครื่องบูชา

            แล้วพี่น้องลองคิดดู ถ้าบางคนอยู่ไกลมาก การเดินทางมาที่เยรูซาเล็ม อาจจะต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ไม่เหมือนทุกวันนี้ นั่งเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงเราก็ถึงแล้ว หรือขับรถไป หลายชั่วโมงอยู่ มันก็ถึง แต่สมัยก่อนไม่ใช่ ก็คือคนอิสราเอลก็จะขี่อูฐ บางคนไม่มีอูฐก็เอาลา หรือไม่ก็ต้องเดินทางด้วยเท้าของตัวเอง กว่าจะเดินทางมาถึงที่หมายที่พระเจ้ากำหนดไว้ ซึ่งต้องคำนวณเวลาให้ดีๆ ด้วย เลยก็ไม่ได้ พระเจ้ากำหนด วันนี้ก็คือวันนี้ ถ้าเลยวันนี้ พระเจ้าไม่รับเครื่องบูชา เขาก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าว่าต้องมาถึงก่อนที่จะถวายเครื่องบูชา อย่างน้อยสัก 2-3 วัน อะไรอย่างนี้

            ฉะนั้น การเดินทางอย่างนี้ ถ้าสมมติว่าเขานำแกะที่ไม่มีตำหนิจากบ้านของเขา เดินทางมาถึง มันก็เลยกำหนดที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือ …

            สมมติ “ให้เอาลูกแกะอายุ 3 เดือน”

            ตอนที่เราพามา ก็ 3 เดือน  แต่พอมาถึงกลายเป็น 6 เดือนแล้ว ถ้า 6 เดือนแล้ว ใช้ได้ไหม? ใช้ไม่ได้  ก็คือผิดจากกฎที่พระเจ้าตั้งไว้  ฉะนั้น คนยิวก็ใช้วิธีว่าขายแกะ แล้วเอาเงินพกติดตัว แล้วก็เดินทางมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พอมาถึงเขาก็ต้องไปซื้อแกะ  แล้วก็ต้องเป็นลูกแกะที่ไม่มีตำหนิด้วย แล้วในพระวิหาร ก็คือมีคนมาขายแกะ แล้วก็มีคนมาให้แลกเงินด้วย  เพราะสมัยก่อน พระเจ้าก็กำหนดด้วย ทุกคนต้องมาถวายเงิน เป็นกำหนดว่าผู้ชายเท่าไร? ผู้หญิงเท่าไร?  เด็กผู้ชายเท่าไร? เด็กผู้หญิงเท่าไร? มันเป็นอย่างนั้นเลย คือกฎเยอะมาก แล้วถวายเกินก็ไม่ได้ ถวายขาดก็ไม่ได้

            สมมติ ผู้ชายให้ 5 บาท ผู้หญิงให้ 3 บาท ถ้าเราเป็นผู้ชายเงินเราเยอะ เราไม่อยากให้ 5 บาท ขอให้ 10 บาทได้ไหม? พระเจ้าบอกไม่ได้ พระองค์ไม่เอา ไม่รับ ก็คือมันเป็นอย่างนั้นไง กฎมันเข้มงวดมาก  ฉะนั้น คนก็ต้องพกเงินใส่กระเป๋า แล้วก็เดินทางมา  พอเดินทางมาปุ๊บ ก็มาซื้อแกะที่ไม่มีตำหนิ พอซื้อแกะที่ไม่มีตำหนิ คนขายก็โก่งราคา สมมติว่าแกะตัวหนึ่ง ณ เวลานี้ขายสักพันหนึ่ง  พอคนมาซื้อปุ๊บ โก่งราคาเป็นสองพัน  สองพันต้องซื้อไหม? ต้องซื้อ เพราะว่าต้องถวายเครื่องบูชา  หรือแลกเงิน เหมือนทุกวันนี้ เวลาเราจะไปเที่ยวต่างประเทศ  เราก็ต้องไปแลกเงินสกุลของประเทศนั้นๆ ที่เราจะไปเที่ยว ถ้าเราแลกจากประเทศไทย เราก็สามารถที่จะดูว่าของตรงไหนดี เราก็ไปแลก  เราก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการแลกเงิน  แต่ถ้าเราไม่เตรียมตัว ไปถึงที่ไปแลก เขาอาจจะขายเราแพง เราต้องซื้อไหม? ต้องซื้อ เพราะว่าถ้าไม่ซื้อ ไปถึง ยืนงงเลย จะซื้ออันนี้ก็ไม่ได้ ซื้อโน่นก็ไม่ได้ เขาไม่รับเงินไทยด้วย เขาจะรับเงินของประเทศเขา มันเป็นภาพเดียวกัน

            พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้นในพระวิหารของพระเจ้า ก็คือพวกมหาปุโรหิตฮั้วกับคนขายแกะกับคนแลกเงิน  เข้าใจคำว่า “ฮั้ว” ไหม? ก็เหมือนกับวัดครึ่ง กรรมการครึ่ง ของที่จะเข้าวิหารเอาไปครึ่งเดียวพอ  กรรมการพวกมหาปุโรหิตเอาไปอีกครึ่งหนึ่ง อะไรประมาณนี้ นี่เป็นเหตุที่ทำให้พระเยซูคว่ำโต๊ะแลกเงิน

            พระเยซูบอกว่า “วิหารของเรา เป็นวิหารแห่งการอธิษฐาน แต่พวกท่านกลับมาทำเป็นถ้ำโจร”

            มันเป็นถ้ำโจรชัดๆ มันเป็นโจรที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้ ก็คือยังไงก็ต้องซื้อ ยังไงก็ต้องแลก  ภาพของสมัยโบราณ มันเป็นแบบนั้น อาจารย์เปาโลบอกกับชาวกาลาเทียว่าพระเยซูได้ไถ่ท่านให้เป็นอิสระจากกฎบัญญัติเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว  ท่านคิดไม่เป็นหรือ?  ถึงอยากจะเอาตัวเองแทรกเข้าไปอยู่ใต้บทบัญญัติอีกครั้งหนึ่ง ก็คือจะไปอยู่ใต้กฎเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมันไม่จำเป็น สิ่งเหล่านี้ที่ชาวกาลาเทียทำ ทำให้ความรอดหายไปไหม? ไม่หายนะ  ความรอดยังคงอยู่ เพราะว่าเขาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว แต่ว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แทนที่จะมีอิสรภาพ แทนที่จะชื่นชมยินดี มารับเอาพระพร พระคุณที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แทนที่จะเป็นอย่างนั้น กลับต้องมาซกๆ ทำเหมือนเดิม คือทุกอย่าง “ต้อง ต้องและต้อง” ต้องมาโบสถ์ ต้องถวายสิบลด ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องอธิษฐาน ต้องโน่นนี่นั่น เยอะแยะมากมาย ต้องมารวมกลุ่ม ต้องอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วคำว่า “ต้อง” ตรงนี้มันมีวงเล็บต่อจากต้องว่า “ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษ” ถ้าไม่ทำ แปลว่าแกไม่รักพระเจ้า เอาคำว่า “แก” นะ แสดงว่าแกไม่รักพระเจ้า ซึ่งมันเป็นกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น พระเจ้าไม่เคยตั้งอย่างนั้น พระเยซูบอกว่าพระองค์ไถ่เราให้เป็นอิสรภาพแล้ว เรามีเสรีภาพ ที่จะเลือกทำ พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเอาเสรีภาพนี้ ไปทำความชั่ว อาจารย์เปาโลพูดชัดเจนนะ  อย่าใช้เสรีภาพที่พระเจ้าให้ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเองที่จะไปกระทำความชั่ว

            เสรีภาพนี้คืออะไร? ถ้าดิฉันพูดอย่างนี้แปลว่าตอนนี้คริสเตียน ไม่ต้องมาโบสถ์แล้วใช่ไหม? คริสเตียนไม่ต้องถวายแล้วใช่ไหม? คริสเตียนไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์แล้วใช่ไหม?  และคริสเตียนไม่ต้องอธิษฐานแล้วใช่ไหม?  ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิด

            คำว่า “ต้อง” ก็คือบังคับจากข้างนอก ที่คนมาบีบเราบอกว่าต้องพยายามทำ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ก็คือเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา  แล้ววิญญาณของเรา ก็เป็นวิญญาณเดียวกับพระเจ้าด้วย  เป็นวิญญาณที่ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์อยู่แล้ว คือวิญญาณเราอยากจะทำ ก็คือมันจะเป็นความอยากจากข้างใน พอความอยากจากข้างในปุ๊บ เราทำแบบธรรมดา ธรรมชาติ  มันเป็นธรรมชาติ เหมือนเราเกิดมาเป็นคนธรรมชาติ ก็คือเราอยากเดินไปไหน ค่อยลุกขึ้นเดิน  ไม่ต้องให้ใครมาบังคับว่าเดินสิๆ ไม่ต้อง ไม่อยากเดิน ฉันก็นั่ง ไม่ต้องมีใครมาบังคับ ให้ทำทุกอย่างจากใจ

            ฉะนั้น ธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราทั้งหลายผู้เชื่อ  คือเป็นผู้ที่ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  มันจะเกิดจากข้างในที่เราทำออกมา ที่เรามาโบสถ์ เพราะเรารักพระเจ้า เราอยากจะมา ไม่ใช่เพราะศิษยาภิบาลบังคับว่า …

            “มาโบสถ์นะ ไม่มาโบสถ์ เดี๋ยวพระเจ้าไม่อวยพร”

            ถ้าเรากลัวแบบนี้  ไม่ต้องมาก็ได้พี่น้อง ฉะนั้น ท่าทีมันจะต่างกันมาก เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งที่มันออกมา คือทำทุกอย่างออกมาจากใจ อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “ออกมาจากใจ” ใจข้างใน คือเป็นใจเดียวกันกับพระเจ้า ก็คือทำตามพระวิญญาณนำเรา ทำให้เราอยากมาโบสถ์  โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับเรา หรือมาแบบที่กลัวๆ กล้าๆ

            “ฉันต้องมานะ ถ้าฉันไม่มา เดี๋ยวพระเจ้าไม่อวยพรกิจการของฉัน ฉันไม่มา เดี๋ยวพระเจ้าจะลงโทษฉัน ถ้าฉัน ฉัน ฉันอยู่นี่แหละ”

            ซึ่งมันไม่ใช่ เรากำลังถูกหลอก แต่พระเจ้าบอกว่าทุกอย่างมันจะออกจากข้างในวิญญาณ เราอยากมาโบสถ์  เราอยากถวายทรัพย์  เราอยากอ่านพระคัมภีร์  เดี๋ยวนี้บางคนอ่านไม่ได้ ณ เวลานี้ ดิฉันอ่านพระคัมภีร์ไม่ได้ พระคัมภีร์เล่มเล็กไป ขนาดซื้อเล่มที่ใหญ่มากๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าเล่มนี้สุดยอดเลย ตัวหนังสือใหญ่มาก เราอ่านสบายเลย แต่ ณ เวลานี้ เล่มนี้ เราอ่านไม่ออกแล้ว เพราะมันตัวเล็กไป ตัวเล็กไปทำอย่างไร? เราอยากอ่านพระคัมภีร์พิมพ์สิ พิมพ์ตัวโตๆ ให้ตัวเองอ่านสบาย ข้อใหญ่ๆ ไม่อย่างนั้น เวลาเราอ่านในพระคัมภีร์ ตรงข้อจะตัวเล็กมาก มีอยู่ช่วงหนึ่ง พยายามที่จะอ่านมันให้ได้ แต่จริงๆ มันอ่านไม่ได้ เพ่งแล้วเพ่งอีก มันอ่านไม่ออก เราก็ต้องมีวิธีการ

            ฉะนั้น อยากจะบอกพี่น้องว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้อยคำของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจไหม? ถ้อยคำของพระองค์ คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอยู่ในเรา พระองค์ผู้นั้นแหละ ศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้น การอ่านพระคัมภีร์ทุกวันนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้าที่มีเทคโนโลยีเยอะมาก ถ้าเราอ่านไม่ได้ บางคนอ่านหนังสือไม่ออก ทำอย่างไร? เปิดยูทูป โหลดแอปของพระคัมภีร์ เวลาเรานั่งทำงาน เราก็กดให้เขาอ่านให้เราฟัง อ่านไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ วิธีการเหล่านี้สามารถช่วยเราได้ อธิษฐาน พี่น้องไม่จำเป็นจะต้องไปหาที่ หาทางเป็นอลังการงานสร้างมากเลย  แล้วก็ไปคุกเข่าอธิษฐาน ไม่ต้อง คำว่า “อธิษฐาน” คือการคุยกับพระเจ้า เราคุยเมื่อไรก็ได้  เพราะพระเจ้าอยู่ในนี้ เราไม่ต้องวิ่งไปหาพระเจ้าที่ไหน? พระเจ้าอยู่ในเรา คุยกับพระเจ้าในใจได้ คุยกับพระเจ้าในความคิดได้ หรือบ่นพึมพำกับพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าได้ยินหมด

            ฉะนั้น การอธิษฐานก็ไม่ได้เป็นพิธีกรรม เพียงแต่ เรามาโบสถ์ มันก็ต้องมีพิธีกรรมใช่ไหม? เวลาอาจารย์เขาอธิษฐานเปิด อธิษฐานปิด ก็เป็นพิธีกรรมนิดหนึ่ง แต่ถามว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะตีหัวเราไหม? ไม่ตีนะ แต่เราอยากทำจากข้างใน เราอยากให้พระเจ้า ที่อยู่ในเรานำเรา

            อย่างศิษยาภิบาลขึ้นมาเทศนา เราอยากให้พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระวิญญาณเป็นผู้ทำงาน ผ่านทางชีวิตของเรา ผ่านทางปากของเรา ที่จะกล่าวถ้อยคำของพระองค์ เราก็อธิษฐาน ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้นำเรา เมื่อเราเทศนาจบ เราก็อยากจะอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำเหล่านี้ ที่ถ้อยคำแห่งฤทธิ์เดชอำนาจนี้จะเข้าไปทะลุทะลวงในวิญญาณของพี่น้องทุกๆ คนที่จะสามารถทำให้เราเจริญเติบโตขึ้น เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ทำให้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข ความคิด จิตใจ วิญญาณของเรา มันเป็นการปรับปรุงนะ

            อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด จิตใจของเราใหม่ ในหนังสือโรม 12:1-2 ให้เราถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ทั้งมือ ขา จมูก ลิ้น กาย สมองถวายให้พระเจ้า ทำไมอาจารย์เปาโลต้องบอกอย่างนั้น ให้เราถวายให้พระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเราแล้ว พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเรา เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป ในหนังสือกาลาเทียบอกไว้อย่างนั้น ณ ปัจจุบัน เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป

            คำว่า “ชีวิตของเรา” ก็คือตัวเก่าที่เป็นบาปของเรา มันไม่อยู่กับเราแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ชีวิตที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นชีวิตที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความรัก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกเราให้จดจ่อกับสิ่งเหล่านี้แหละ สิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าทำอะไรให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้แล้ว อะไรที่มันแปลกปลอมมาในสมองของเรา ซึ่งถ้ามีข้อมูลใส่มาในสมองของเรา บอกเราว่า …

            “เธอยังเป็นคนบาปอยู่นะ”

            เรารับไหม? ไม่รับนะ พี่น้องไม่เอเมนนะ คำว่า “เอเมน” คือยอมรับ เราเป็นคนบาป ใช่เลยๆ เราเป็นคนบาป เมื่อตะกี้เรายังทำบาปอยู่เลย เมื่อกี้เราไปด่าเขา เมื่อกี้เราไปคิดไม่ดีกับเขา เราเป็นคนบาป ไม่ใช่ พระเยซูบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า แต่ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งเผลอไปทำบาป เผลอไปด่าเขา นั่นแหละ เราเผลอ แต่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะไม่ถูกหลอก พอเราถูกหลอก ชีวิตเราก็ขาดสันติสุข แล้วก็ไม่กล้าเข้าหน้าพระเจ้าด้วย ซึ่งพระเจ้าผู้ทรงรักเราทั้งหลาย พระเยซูคริสต์เป็นทนายแก้ต่างให้กับพวกเรา เป็นผู้อธิษฐานเผื่อพวกเรา ณ เวลานี้ เรามองไม่เห็น แต่ถ้อยคำของพระองค์บอกไว้ พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย ต่อหน้าพระเจ้าพระบิดาของเรา นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว

        กาลาเทีย 4:22-23 “22 เพราะมีเขียนไว้ว่าอับราฮัมมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นทาส อีกคนเกิดจากหญิงที่เป็นไท 23 บุตรจากหญิงที่เป็นทาสเกิดตามปกติธรรมดา   ส่วนบุตรจากหญิงที่เป็นไทเกิดตามพระสัญญา”

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลยกขึ้นมา เนื่องจากพูดถึงเรื่องบทบัญญัติ ซึ่งในหนังสือมัทธิว หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าพระเยซูยกเรื่องบทบัญญัติมา เพื่อให้เราประพฤติปฏิบัติตาม ซึ่งความเป็นจริงแล้ว พระเยซูกำลังบอกเราว่าเราปฏิบัติไม่ได้หรอก ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แน่นอน เพราะว่าสมัยก่อนเราเป็นมนุษย์บาป เราจำเป็นจะต้องบังเกิดใหม่ ให้พระเจ้าช่วยเรา ทำให้กฎบัญญัติเหล่านี้สำเร็จในตัวของเรา คือทุกวันนี้ บทบัญญัติเหล่านี้ มันได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วบทบัญญัติที่พระเจ้าให้กับโมเสส 600 กว่าข้อ ตอนนี้พระเยซูหดเหลือแค่ จะว่า 1 ข้อหรือ 2 ข้อก็ได้นะ ถ้า 2 ข้อ คือจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดของท่าน  ข้อที่ 2 คือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง

            ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่าให้เรารักซึ่งกันและกัน  คำว่า “ให้เรารักซึ่งกันและกัน” ตรงนี้ ไม่ได้เป็นภาระสำหรับผู้เชื่อ ทำไมไม่เป็นภาระ เพราะว่าความรักนี้มาจากพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูกำลังบอกเราให้พยายามผลิตความรักชนิดนี้ออกมา ไม่ใช่ แต่ความรักชนิดนี้ มันเกิดขึ้นในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว และให้เราฝึกฝน พัฒนาความรักที่มันอยู่ข้างในวิญญาณของเรา ให้มันส่งผลออกมาให้กับคนรอบข้างแค่นั้นเอง มันจึงไม่เป็นภาระ

            เหมือนเรามีของอยู่ในตู้อยู่แล้ว ใครถามหาอะไร เราก็ไปเปิดตู้ แล้วหยิบให้ แค่นั้นเอง ถ้าไม่มีของ เราต้องไปวิ่งหาซื้อ แต่ของเหล่านี้ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น มันจึงไม่เป็นภาระ สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย

            เราจำเป็นต้องรับรู้ ณ เวลานี้ วิญญาณของเราทุกคนเกิดมาเป็นความรัก  ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นความรัก มันเป็นเลย แต่ว่าบางครั้ง ทำไมเราไม่สามารถผลิตความรักออกมาให้กับคนอื่นได้ เราต้องฝึกฝน ค่อยๆ ฉะนั้น พระเจ้าไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องไปวิ่งไล่หา เอาความรักไปวิ่งแจกคนโน่นคนนี่ ฉันรักเธอ ไม่ต้อง มันจะออกมาเอง โดยธรรมชาติของเรา

            คริสเตียนบางคนเข้าใจว่าพระเจ้าสั่งว่าให้รักกัน เราต้องวิ่งไล่ล่า ไหนๆ เราต้องเอาความรักไปแจก ไม่ต้อง ให้เป็นธรรมชาติ  ธรรมชาติที่พระเจ้าให้เราสำแดงออกมา มันเป็นปกตินิสัยของเรา ไม่ต้องมานั่งเสแสร้งว่าฉันรักเธอมากเลย ไม่ต้อง แต่ข้างในวิญญาณเราเป็นความรักแล้ว เหมือนที่เราบอกว่าพอเราได้ยินว่าใครเป็นคริสเตียนปุ๊บ รู้จักไหม? ไม่รู้จัก รักเขาเลย มีความสุข ดีใจกับเขาด้วย อ้าว! ดีใจทำไม? ไม่รู้เหมือนกัน  เพราะว่าวิญญาณเราเป็นวิญญาณเดียวกัน

            คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า อยู่โน้น ประเทศไหนก็ไม่รู้ แต่เราไปอ่านเจอเฟสบุ๊ค ประเทศนี้ มีคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะมากเลย เราเฮกับเลย เฮทำไมล่ะ รู้จักไหม? ไม่รู้จัก แต่เรารู้ว่าเขากับเราเป็นวิญญาณเดียวกัน เขามีพระเยซูคริสต์อยู่ในเขา เราก็มีพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เราทุกคนเป็นร่างกายเดียวกัน โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา มันจะออกมาเป็นภาพนี้ ความปิติยินดีมันออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เสแสร้ง มีความสุข อย่างที่บอก เวลาเราขับรถ ตามรถคันหน้า เห็นรูปปลา สัญลักษณ์ของคริสเตียน คริสเตียนชอบเอารูปปลาไปแปะไว้หลังรถ ขับอยู่ดีๆ

            “เฮ้ๆ ข้างหน้า รถคันนั้น เขาเป็นคริสเตียน”

            ดีใจใหญ่เลย  ดีใจทำไม? รู้จักเขาไหม? ไม่รู้จัก แต่ดีใจ พี่น้องเราๆ อะไรประมาณนั้นแหละ นี่มันเป็นภาพที่ออกมา โดยอัตโนมัติ ที่เราไม่ต้องเสแสร้ง แล้วพระเจ้าบอกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

            ฉะนั้น ในข้อที่ 22 ที่อาจารย์เปาโลยกอับราฮัมขึ้นมา  ก็คืออับราฮัมมีบุตร 2 คน  เหมือนกับทุกวันนี้ บนโลกใบนี้มีมนุษย์อยู่ 2 แบบ แบบหนึ่ง ก็คือมนุษย์ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ อีกแบบหนึ่ง ก็คือมนุษย์ที่เชื่อวางใจในการกระทำของตัวเอง อาศัยอยู่ในอาดัม

            ฉะนั้น คนที่อาศัยอยู่ในอาดัม เกิดจากหญิงทาส   “ทาส” ก็คือมันไม่มีอิสระ เป็นทาส คือถูกทำทารุณกรรมได้ เป็นคนไม่มีอิสระเสรีในการดำเนินชีวิต ดังนั้น คำว่า “เกิดจากหญิงทาส” ก็คือเป็นความต้องการของตัวเอง

            ตอนที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม บอกว่า “เราจะให้เจ้ามีบุตร และเราจะอวยพรเจ้า ให้ลูกหลานของเจ้าเหมือนเม็ดทรายในทะเล เหมือนดาวบนท้องฟ้า  นับได้ นับไปเลย ลูกหลานของเจ้าจะเยอะขนาดนั้น”

            แต่เนื่องจากอับราฮัมกับนางซารายรอพระเจ้าไม่ไหว รอพระเจ้า ก็คือจะต้องใช้ความเชื่อ พระเจ้าบอกรอไปเถอะ เราก็ตั้งตารอ รอไปรอมาไม่ไหวแล้ว ขอทำเองแล้วกัน  อิชมาเอลเกิดมาจากความต้องการของนางซารายกับอับราฮัม ซึ่งยกนางฮาการ์ เป็นคนใช้ ให้อับราฮัม เพื่อจะได้ลูกออกมา แล้วคิดว่าลูกคนนั้น คือลูกแห่งพันธสัญญา เขาคิดนะ ตามความเป็นมนุษย์

            เขาคิดว่า … “ฉันแก่ขนาดนี้แล้ว พระเจ้าคงไม่อวยพรฉัน ให้ลูกเกิดจากฉันหรอก งั้น อับราฮัมไปนอนกับคนใช้เลย”

            แล้วก็ได้ลูกมา แต่พระเจ้าบอกว่าลูกคนนั้นไม่ได้เกิดจากพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ พระเจ้าสัญญาว่าลูกที่ออกมา ที่พระเจ้าต้องการ คือต้องมาจากอับราฮัมกับนางซารายเท่านั้น กับคนอื่น พระเจ้าไม่นับ ฉะนั้น ลูกคนนี้ เกิดจากความต้องการของมนุษย์เอง แต่หลังจากนั้น พระเจ้าก็เมตตาให้นางซารายได้ตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตร ตอนนางซารายคลอดบุตร อายุ 90 ปี ซึ่งโดยความเป็นมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสามารถทำได้ ฉะนั้น ลูกคนนี้เกิดมาตามพระสัญญา เมื่อพระเจ้าทรงให้สัญญาแล้ว เวลามันจะนานแค่ไหน พระเจ้าจะรักษาพันธสัญญาของพระองค์ เหมือนตอนที่พระเจ้าสัญญากับชนชาติอิสราเอลว่าพระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์มาให้ ทรงสัญญากับมนุษย์คู่แรกด้วยว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเขาแหลก เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พงศ์พันธุ์ของหญิงมีเพียงผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์ แล้วก็ลูกหลานของอับราฮัม มีคนเดียวที่เป็นลูกแห่งพันธสัญญา ถ้าเราไม่นับอิสอัค ก็คือเป็นเชื้อสายที่พระเจ้าเล็งไปถึงอนาคตข้างหน้า มีหน่อเดียว ก็คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าจะประทานมาให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติ

            ฉะนั้น ทุกอย่าง พระเจ้ากำหนดไว้แล้ว แต่ความเป็นมนุษย์บางครั้ง เรารู้สึกพระองค์ช้าจังเลย เคยรู้สึกไหม? ช้าจังเลยพระองค์เจ้าข้า ไม่ทันใจ ขอจัดการเองหน่อย ก็แล้วกัน คือเมื่อเราจัดการเอง พระเจ้าก็ไม่ว่าอะไร? อยากทำ ก็ทำไปเถอะ แต่ทำไป เราก็เหนื่อยเปล่า แล้วมันก็จะไม่เกิดผลตามที่พระเจ้าให้ไว้ ตามที่พระเจ้าต้องการ  แต่ถ้าเราอดทนรอคอย คริสเตียนมีหน้าที่อย่างเดียว คืออดทนรอคอย ตามพระสัญญา พระเจ้าให้เราอดทน

            คนสมัยก่อน หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ผู้เชื่อในยุคนั้น เขาอดทนมากเลย เขาได้เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า เขาได้เห็นพระเยซูถูกตรึง ได้เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วอยู่กับเขา 40 วัน เขาได้เห็นพระเยซูลอยขึ้นไปบนสวรรค์กับตาเลย แล้วเขาได้เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา ในวันเพ็นเตคอส คือเขาได้เห็นหมด สิ่งที่เขาเห็นมันเป็นกำลังใจ เป็นพยานยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ เป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ดังนั้น คนในยุคก่อนไม่ว่าเขาจะถูกข่มเหงขนาดไหน? เจอความทุกข์ยากขนาดไหน? เขาไม่ละทิ้งความเชื่อ เพราะเขามั่นใจในพระองค์ เขายึดพระเจ้าไว้ แล้วเขามีท่าทีแบบว่าความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ อยู่บนโลกใบนี้แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับเขา มันเทียบกันไม่ติด ความหวังใจของผู้เชื่อในยุคเก่า เขามองพุ่งไปที่ข้างบนเลย  ก็คือที่เบื้องบน ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าวันหนึ่ง เมื่อลมหายใจเขาออกจากร่าง พระเจ้าจะพาวิญญาณเขาไปอยู่กับพระองค์ ความหวังใจตรงนี้ ทำให้บุคคลในอดีต ในพระคัมภีร์เดิม ไม่ว่าเขาจะทุกข์ทรมานเขายังคงยึดมั่นในพระเจ้า และเขาก็อดทนรอคอย ทำได้อย่างเดียว อดทน รอคอย คนในยุคเดิม เขาอดทนรอคอย เพราะเขามีความหวังใจ

            ในยุคของเราเหมือนกัน จริงๆ แล้วพระเจ้าบอกว่าความทุกข์ยากลำบากในแต่ละยุค แต่ละสมัย ทุกคนก็เจอหมด พอถึงสมัยยุคของเรา เราก็รู้สึกเราทุกข์กว่าเขา …

            “พระองค์เจ้าข้า ทุกข์จังเลย  ทำไมเราถึงเกิดมาในยุคนี้ ยุคที่โควิดก็มา ฝุ่น PM 2.5 ก็มา โน่นนี่นั่นมา ไฟป่าก็มา น้ำท่วมก็มา  ทุกอย่างเลย ทำไมต้องมาประดังประเดอยู่ในยุคของเราด้วย พระองค์เจ้าข้า”

            แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บที่มันมาแปลกๆ โรคอะไรก็ไม่รู้ หมอก็สันนิษฐานไม่ออก พอหมอสันนิษฐานไม่ออก แล้วตาย ก็บอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด เราก็ไม่รู้ว่ามันติดเชื้อตอนไหน? อย่างไร?  อะไรประมาณนั้น

            เราคิดว่านี่หนักหนาสาหัสแล้ว แต่ว่าคนในยุคโบราณ ก็หนักหนาสาหัสเหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งที่เรามีความมั่นใจ มีความปิติยินดีตรงที่ว่าไม่ว่าเราจะเจอกับเหตุการณ์อะไรก็ตาม เรารู้ว่าพระเจ้า พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือหลักประกันที่ทำให้เราสามารถที่จะฮึดสู้

            “อีกนิดเดียว ไม่เป็นไรพระองค์เจ้าข้า ประคองลูกไป ถ้าลูกหมดแรง ก็หิ้วปีกลูกไปด้วยเถิดพระองค์เจ้าข้า”

            ก็ประมาณนั้น  แต่พระเจ้าก็จะกระซิบข้างหูของเราว่า

            “เราอยู่กับเจ้านะ เราไม่ได้หนีหายไปไหน?”

            แม้หลายครั้ง ความรู้สึกของเราเหมือนกับพระองค์ทิ้งเรา ถ้าพระองค์ไม่ทิ้งเรา ทำไมเราต้องเจอเหตุการณ์ขนาดนั้น แต่พระเจ้ายังคงพูดคำเดิมว่าพระองค์อยู่ด้วย พระองค์ไม่เคยทิ้งเรา พระองค์ไม่ทิ้งเราเหมือนลูกกำพร้า พระองค์คอยประคับประคองจูงมือเราเดิน เพียงแต่ว่าหลายครั้ง เราเป็นมนุษย์ เราไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเหตุนี้ต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา  แต่เรายังคงเชื่อมั่นว่าทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย และพระองค์จะเอื้ออำนวยให้มันเป็นผลดีสำหรับชีวิตของเราเสมอแน่นอน นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ฉะนั้น พระองค์จะเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา  ไม่ว่ายามหลับ ยามตื่น พระองค์ไม่เคยทิ้งเราแน่นอน

            โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราว อยู่อีกกี่วันเราไม่รู้? อยู่กี่ปีเราไม่รู้? แต่สิ่งที่เรารู้ คือเมื่อลมหายใจออกจากร่าง เราจะไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า  คืออยู่เพื่อรับรู้ว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์นะ พระเยซูคริสต์อยู่ในเรานะ ตายก็ได้กำไร  ก็คือลมหายใจออกปุ๊บ กำไรทันทีเลย กำไรแรก คือไม่ต้องมาดิ้นรนต่อสู้บนโลกใบนี้อีกแล้ว ซึ่งเราเลือกไม่ได้

            บางคนอยากตาย ทุกข์อย่างนี้ขอตายดีกว่า พระเจ้าบอกยังๆ ยังไม่ถึงเวลา ถ้ายังไม่ถึงเวลา ต่อให้เราอยากตาย ก็ตายไม่ได้นะพี่น้อง แต่ถ้าถึงเวลา เขาบอกไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกยังตายเลย  ก็คือมันถึงเวลา ที่พระเจ้าบอกกลับบ้านได้แล้ว เราก็จากไป แต่ว่าทั้งนี้และทั้งนั้น ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือพวกเราว่าในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราเผชิญกับความทุกข์ยาก ขอพระเจ้าเมตตา ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถผ่านมันไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า สามารถที่จะยังมีสันติสุข มีความชื่นยินดีในพระองค์ สามารถที่จะขอบคุณพระองค์ในทุกๆ สถานการณ์ ซึ่งมันยากมาก พูดนะง่าย แต่มันทำยาก คนที่ไม่เคยเจอจะไม่รู้ แต่ดิฉันยังเชื่อว่าถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เจอ พระองค์มีพระคุณเพียงพอสำหรับพวกเราทุกๆ คน เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลมีหนามในเนื้อ อธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง

            “พระองค์เจ้าข้าไม่อยากได้ๆ เอามันออกไปได้ไหม?  มันทรมานใจ ทรมานความคิด ทรมานอารมณ์ มันไม่ไหวเลย เวลาไปรับใช้พระเจ้ามันหงุดหงิด” อะไรแบบนี้  “ขอเอามันออกไปได้ไหม?”

            พระเจ้าตอบประโยคเดียวกับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลเลิกขอเลย …

            “การที่มีคุณของเรา ก็เพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว”

            พระคุณที่พระเจ้าให้กับเรา มันเพียงพอแล้ว “ความอ่อนแอของเจ้าอยู่ที่ไหน? ฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะได้ปรากฎเต็มที่ในตัวเจ้า”  (2 โครินธ์ 12:9)

            เมื่อเราอ่อนแอมากเท่าไร? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะสำแดงในชีวิตของเรา ส่งผลออกไปให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนมาก ชัดเจนที่สุดเลย ฉะนั้น พระเจ้าก็บอกอย่างนี้ เหมือนตอนที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้าเหมือนกัน พระองค์มีแผนการ ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า ถ้าพระองค์เป็นเฉพาะมนุษย์ พระองค์ก็จะถามนั่นแหละ  ถามพระบิดาว่า …

            “ทำไมพระเจ้าต้องทารุณลูกขนาดนั้น ต้องให้ลูกเดินไปที่ไม้กางเขน ลูกเป็นลูกที่รักของพระองค์นะ พระองค์บอกว่าพระองค์รักลูกมากเลย แต่พระองค์ยังคงอนุญาตให้ลูกเดินไปที่ไม้กางเขน ให้ทหารตีกระชากเนื้อลูกออกมา ให้เขาสวมมงกุฎหนามลูก แล้วให้เขาตรึงลูกบนไม้กางเขน”

            การตรึงมันทรมาน ยิงตายเลย ถ้ายิงขั้วหัวใจ ก็ตายไปเลย ลมหายใจออกจากร่าง มันง่าย แต่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน เลือดค่อยๆ หยดๆ จนเลือดหยดสุดท้าย แล้วลมหายใจออกจากร่าง แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ละวิญญาณของพระองค์เอง พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ไม่มีใครทำให้พระเยซูคริสต์ตาย ได้ ถ้าพระเยซูไม่ยอม  แต่พระเยซูยอมละวิญญาณของพระองค์เอง ตอนที่พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” ตอนที่พระเยซูอธิษฐาน ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะกลัว กลัวขนาดเหงื่อออกมาเป็นเลือด  พระองค์กลัวนะ ตอนนั้นเป็นพระเจ้าก็จริง ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่พระเยซูก็ยังคงยอม เดินไปที่ไม้กางเขน  เพื่อให้น้ำพระทัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์สำเร็จ ถ้าพระเยซูไม่สิ้นพระชนม์ พวกเราก็ตายทุกคน ก็คือไม่รอด ไม่มีใครสามารถรอดได้เลย ก็คืออยู่บนโลกใบนี้ ก็ถูกพิพากษา ตายจากโลกใบนี้ ก็ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า

            ฉะนั้น พระเจ้าวางแผนไว้แล้ว พระเยซูก็เดินตามแผนของพระองค์ แต่ตอนที่เดินไปมันทุกข์ไหม? ทุกข์ พระองค์เป็นมนุษย์แท้ๆ ก็เลยทุกข์ แต่พระองค์ก็ยอม พวกเราเหมือนกัน พระเจ้ามีแผนการให้กับพวกเราหมด อยู่ตรงที่ว่าเราพอใจ ในการนำของพระองค์ไหม?  ถ้าเราพอใจ พระเจ้าก็จะนำเรา เวลาเราพอใจปุ๊บ เราก็จะเห็นทุกอย่างสบายๆ พอพอใจปุ๊บ อันนี้มา โอเค พออันนั้นมา โอเค ตอนนี้หกล้มหัวแตกเลย โอเค นึกออกไหม? ถ้าเราพอใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปหกล้มหัวแตกนะ  ไม่ต้องขนาดนั้น  แต่ว่าถ้าบังเอิญ เราไม่ระวังตัว มันอยู่ที่ตัวเราเองด้วยนะว่าอยู่ในพระเจ้า เราก็ต้องระวังตัว ใช้ชีวิตให้มีสติ

            แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าสิ่งที่เรารับรู้ พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระองค์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลาเลย ยามหลับยามตื่น  ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา  เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “มนุษย์ไม่จำเป็นต้องถวายเลือดสัตว์แด่พระเจ้า  เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตนเองทุกๆ ปีอีกแล้ว!”

                        เพราะ!

            “ด้วยชีวิตและเลือดอันบริสุทธิ์ของพระเยซูเอง ได้ถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปแด่พระเจ้า ครั้งเดียวเป็นพอ”

            พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนักต้องการช่วยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความพินาศ การถูกสาปแช่งในความบาป ซึ่งต้องชดใช้หนี้บาปด้วยชีวิตคือโลหิตของมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย บริสุทธิ์ไม่มีตำหนิใดใด ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ใดเป็นผู้บริสุทธิ์เลยซักคน ทุกคนล้วนเป็นคนบาป สืบเชื้อสายมาจากอาดัม บรรพบุรุษซึ่งเป็นบาป จึงใช้เลือดสัตว์ไร้มลทินถวายแทนไปก่อน

            เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าในสวรรค์ ยอมถ่อมใจ สละสถานะพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป โดยเกิดจากหญิงพรหมจารีชื่อแมรี่ เพื่อตัดต้นตอของเชื้อบาปในบรรพบุรุษอาดัม เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ทำการชดใช้หนี้บาป ปลดปล่อยให้มวลมนุษยชาติเป็นอิสระจากการเป็นคนบาป ด้วยชีวิตและโลหิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์เอง ถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปแด่พระเจ้า ครั้งเดียวเป็นพอ

            ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องถวายเลือดสัตว์แด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตนเองทุกๆ ปีอีกแล้ว

            เพียงแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำแทนมวลมนุษย์แล้วเท่านั้น

            ฮีบรู 10:1-18 … “1 บทบัญญัติเป็นแต่เพียงเงา  ของสิ่งประเสริฐ  ซึ่งจะมาถึง  ไม่ใช่ของจริง  เพราะเหตุนี้  จึงไม่สามารถทำให้  ผู้เข้าเฝ้านมัสการสมบูรณ์พร้อม  ด้วยเครื่องบูชาเดิมๆ  ซึ่งถวายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกๆ ปีไม่มีสิ้นสุด 2 เพราะถ้าทำเช่นนั้นได้  เขาจะไม่หยุดถวายเครื่องบูชาหรือ?  เพราะผู้นมัสการจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ  แล้วจะไม่รู้สึกผิดกับบาปของเขาอีกต่อไป 3 แต่เครื่องบูชาเหล่านั้น  เป็นสิ่งเตือนให้สำนึกบาปทุกปี 4 เพราะเลือดแพะ  เลือดวัว  ไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไป 5 ฉะนั้น  เมื่อพระคริสต์ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ประกาศว่า  “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชา  และของถวาย  แต่ทรงเตรียมกายหนึ่งไว้สำหรับข้าพระองค์ 6 พระองค์ไม่ได้พอพระทัยเครื่องเผาบูชา  และเครื่องบูชาไถ่บาป 7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า  ‘ข้าพระองอยู่ที่นี่  ในหนังสือม้วน  ได้เขียนถึงข้าพระองค์ไว้  ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์มาแล้ว  เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์’ 8 พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า  “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชา  และของถวาย  เครื่องเผาบูชา  และเครื่องบูชาไถ่บาป  ทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงพอพระทัยในสิ่งเหล่านี้ (แม้บทบัญญัติกำหนดให้ทำเช่นนั้น) 9 จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองอยู่ที่นี่  ข้าพระองค์มาแล้ว  เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก  เพื่อตั้งระบบที่สอง 10 และโดยพระประสงค์นี้  เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์  โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์  เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 11 วันแล้ววันเล่า  ที่ปุโรหิตทุกคน  ยืนปฏิบัติศาสนกิจ  ครั้งแล้วครั้งเล่า  ที่เขาถวายเครื่องบูชา  แบบเดียวกัน  ซึ่งไม่สามารถลบล้างบาป  ให้สิ้นไปได้เลย 12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้  ถวายเครื่องบูชา  ลบล้างบาปครั้งเดียว  สำหรับตลอดไปแล้ว  ก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา  พระองค์ทรงรอคอย  จนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์  จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น   บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว 15 พระวิญญาณบริสุทธิ์  ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย  พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า 16 “นี่คือพันธสัญญา  ที่เราจะทำกับเขาทั้งหลายหลังจากสมัยนั้น  องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น  คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น  บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา  เราจะไม่จดจำอีกต่อไป” 18 และเมื่อทรงอภัยบาปให้แล้ว  ก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชา  สำหรับไถ่บาปอีกเลย”

            บนไม้กางเขนเมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ประกาศให้ทั้งโลกและมวลมนุษย์ได้รับรู้ว่าทั้งหมดนี้  “สำเร็จแล้ว” พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1512

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 16 “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้กลับมาหนังสือ 1 ยอห์น วันนี้ตอนที่ 16 ใช้ชื่อเรื่องว่า “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์” ครั้งที่แล้วเราจบที่ 1 ยอห์น 5:5 …

        1 ยอห์น 5:5 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ที่ถูกพิพากษาแล้วนี้ได้”

            “ใครกันล่ะ?”

            ก็ตอบว่า “ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้ว ชนะโลก  เพราะเชื่อพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์  … เมสิยาห์ หมายถึงคริสต์ หรือไคร์ซ ในภาษากรีก เมสิยาห์เป็นภาษาฮีบรู ไคร์ซ เป็นภาษากรีก ภาษาไทย คือคริสต์ ในพระคริสต์ แปลว่าเราเชื่อว่าพระเยซูที่เราเชื่อ พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า หมายถึงพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่เป็นพระเมสิยาห์ คือพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับมนุษยชาติ มาตั้งแต่หลายพันปีแล้วว่าจะประทานพระบุตรของพระองค์ลงมา  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและความตาย คำสาปแช่งต่างๆ กลับมาคืนดีกับพระองค์ได้ สั้นๆ มันหมายถึงอย่างนี้ พระเมสิยาห์

            เมื่อเราเชื่อว่าเป็นของขวัญ  เป็นพระเมสิยาห์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ประทานมาช่วยเหลือ เราก็ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  ได้รับความรอด พระเยซูคริสต์ก็จะเข้าไปดำรงอยู่ อาศัยอยู่ในผู้เชื่อนั้น แล้วผู้เชื่อนั้น ก็เข้ามาดำรง อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกกันว่าในอาณาจักรของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์  และทั้งสองวิญญาณ คือเรากับพระคริสต์ เลยกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือบทสรุปของตอนที่แล้ว ซึ่งการรวมกัน ทั้งหมดนี้เรียกว่าการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ชอบธรรม เพราะพระเจ้าทำให้เราหมดบาป หมดเวร หมดกรรม ให้เราได้บังเกิดใหม่ สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์ พระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ก็สามารถเข้ามาอยู่กับเราได้ เมื่อพระเยซูคริสต์มาอยู่กับเรา แล้วเราอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่ง  ในครอบครัวของพระเจ้า นี่คือครั้งที่แล้ว

            มันก็เป็นที่มาของตะกี้ที่เราบอก “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่บัดนี้ จนนิรันดร์”

            วันนี้มาต่อ ตอนที่ 16 “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์”

            พระเยซู … คริสต์ วันนี้จะอธิบายตรงนี้ให้ฟัง ทำไมเรียกว่าพระเยซู … คริสต์ เพราะคำว่า “เยซู” เป็นชื่อทั่วๆ ไป คนยิวตั้งชื่อพระเยซู เอา “พระ” ออกไปก่อน พระ เป็นการยกย่อง ให้เกียรติ คำว่า “เยซู” แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  เป็นชื่อหนึ่งของชาวยิวในอดีต คนในอดีตก็มีชื่อ “เยซูๆ” เยอะแยะเลย  แต่มีเยซูอยู่ผู้หนึ่ง  ที่เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  และพระองค์มีพระนามว่าเยซู เพื่อบ่งบอกถึงภารกิจของพระองค์ที่จะมาทำบนโลกใบนี้ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป จึงตั้งชื่อตามที่พระเจ้าบอกว่าให้ตั้งชื่อบุตรของพระองค์ที่ส่งลงมาช่วยนั้นว่า “เยซู” ก็คือพูดง่ายๆ ว่าตั้งชื่อเมสิยาห์นี้ว่าเยซู แล้วทำไมต้องมี “คริสต์” เพราะว่าเยซูมีเยอะแยะมากมาย ทั้งก่อน ทั้งหลัง ชื่อเต็มไปหมดเลย ก็เลยให้คำจำกัดความให้ชัดเจนว่าเยซูผู้นี้ คือผู้ที่เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้กับมวลมนุษย์ เพื่อจะมาทำภารกิจในการไถ่ถอนมนุษย์ทั้งปวงให้รอดพ้นจากความบาป และคำสาปแช่ง

            คำว่า “คริสต์” หรือ “ไคร์ซ” แปลว่าผู้ที่ถูกเจิมตั้ง … เจิมตั้ง แปลว่าผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้มาทำงาน พูดง่ายๆ ว่าเยซู เติมคริสต์เข้าไป เยซูผู้นี้ คือผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้มาเป็นผู้ที่ช่วยมนุษย์ให้รอด พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ซึ่งสรุปก็คือพระเมสิยาห์  พระคริสต์ พอเข้าใจนะ

            คริสต์ หรือเมสิยาห์ ที่มีชื่อว่าเยซู ที่ใส่พระเข้าไป ตามภาษาไทย เพื่อสรรเสริญ ถ้าไม่ใช้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ก็ไม่ต้องมีพระ ภาษาอังกฤษ เยซู ก็คือ Jesus คนชื่อจีซัส ก็เยอะแยะ โยชูวา ก็มาจากจีซัส … จีซัส คือเยซู แต่เยซู เฉพาะผู้นี้มีผู้เดียวในโลกนี้ ที่พระเจ้าส่งมาเกิด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้มาเป็นมนุษย์ที่จะมาช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง และความตาย มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ เกิดจากพระเจ้า มีผู้เดียวในโลกนี้ เยซูคำนี้แหละ  เพราะฉะนั้น ใส่เยซู แล้วก็ต่อด้วยคำว่าคริสต์ ก็กลายเป็นเยซูคริสต์ คนไทยก็อย่างที่บอกว่าภาษาไทยเราต้องการยกย่อง สรรเสริญ ก็ใส่พระลงไป พระเยซูคริสต์ อันนี้รู้แล้วนะ เข้าใจความหมาย

            ถ้าเราลึกซึ้งตรงนี้ เราจะเห็นชัดขึ้นว่าเข้าใจแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ  ตะกี้นี้ ข้อ 6 บอกว่าพระเยซูคริสต์ รู้แล้ว หมายถึงผู้นี้แหละ …

        1 ยอห์น 5:6 “พระเยซูคริสต์ คือผู้ที่เสด็จมาโดยน้ำและพระโลหิต พระองค์ไม่ได้เสด็จมา โดยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่โดยน้ำและพระโลหิต และพระวิญญาณ ทรงเป็นพยานให้ เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง”

            หมายถึงพระเยซูคริสต์ผู้นี้ มาเกิดเป็นมนุษย์ จากน้ำ “น้ำ” เล็งถึงการประสูติจากหญิงพรหมจารีมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง “น้ำ” เล็งถึงน้ำคร่ำ น้ำในมดลูกของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อแมรี่ นอกจากนั้น ยังมีพระโลหิต คือมีเลือดจริงๆ ไม่ใช่เลือดเพียงเฉพาะเวลาที่ประสูติ ก็คือคลอด มีการตัดสายสะดือ มีเลือด แต่ยังรวมถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน ถูกเฆี่ยน ถูกตี มีเลือดไหลออกมาจากเยซูที่เป็นพระบุตรของพระเจ้านี้จริงๆ พระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลออกจากวรกายของพระองค์จริงๆ ตอนที่ถูกตรึงกางเขน ตอนเป็นมนุษย์ เกิดบนโลกใบนี้  เป็นพยานยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์จริงๆ  เพื่อจะให้เป็นไปตามที่พระเจ้าได้สัญญากับมนุษย์ว่าพระองค์จะทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาบนโลกใบนี้ เพื่อเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ เพื่อเป็นเมสิยาห์ มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง  เป็นพยาน

            ทำไมอาจารย์ยอห์นต้องเขียนตรงนี้ ในข้อ 6 เมื่อสักครู่นี้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน และเหตุการณ์เหล่านี้จึงเกิดขึ้นเป็นพยาน การเกิดจากน้ำของพระองค์เป็นพยาน การมีโลหิต มีเลือดในร่างกายของพระองค์ เป็นพยานว่าพระองค์เป็นมนุษย์

            ทำไมต้องย้ำในการเป็นมนุษย์ของพระองค์ จำได้ไหม?  ที่เราได้เรียนรู้เรื่องหนังสือ 1 ยอห์น ตั้งแต่ต้น ตามบริบทของหนังสือ 1 ยอห์น เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นมา อันดับแรกเลย เพื่อชี้แจงให้ชาวคริสเตียนได้รู้ถึงว่าอะไรจริง อะไรเท็จ คนไหนได้เป็นคริสเตียนแท้จริง คนไหนไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง

            เพราะว่าในขณะนั้น ในช่วงนั้น มีลัทธิหนึ่งเรียกว่านอสติก พวกนอกรีตที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเสด็จมาในเนื้อหนังนั้นว่ามันไม่จริง เขาไม่เชื่อตามนี้ว่าพระองค์ทรงประสูติ มาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ พระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ พูดง่ายๆ ก็คือเขาไม่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระคริสต์ ไม่เชื่อว่าเยซู คนที่เดินอยู่ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ลูกของแมรี่  เป็นพระคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เขาไม่เชื่อ อาจารย์ยอห์นจึงต้องการแยกแยะระหว่างผู้ที่เชื่อจริงๆ ว่าช่างไม้คนนั้น คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ถ่อมตนลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นช่างไม้ ลูกของแมรี่และโยเซฟ แต่คลอดโดยแมรี่ หญิงพรหมจารีจริงๆ นึกออกไหม?

            คนที่เชื่อจริงๆ เหล่านี้  ก็คือคริสเตียนแท้จริง คนที่ไม่เชื่อเหล่านี้ ก็คือผู้หลอกลวง อาจารย์ต้องการชี้ให้เห็น เพราะในสมัยนั้น กลุ่มนอสติกกำลังเป็นที่นิยม ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นว่าถ้าใครกล่าวว่าพระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์ คนนั้น คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ไม่ได้มาจากพระเจ้า อย่าไปฟังพวกเขา เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้ เพราะว่ากลุ่มนอสติกเหล่านี้ อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนด้วยกัน เขาก็เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน พระบิดาเหมือนกัน  เขาก็มาอยู่ในชุมชนของคริสเตียนแท้ มั่วไปหมด เลยคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  อาจารย์ยอห์นเลยต้องการมาชี้ให้เขาเห็นว่านี่แตกต่างกันตรงนี้แหละ  และมาดูกันต่อไปว่าอาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าแตกต่างกันตรงไหน?  ตรงพยานเหล่านี้ คุณเชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์

            คำพยานเหล่านี้ คือตัวพยานเหล่านี้ จะบ่งบอกว่าพระเยซูเป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ถ้าคุณไม่เชื่อในคำพยานเหล่านี้  ก็เท่ากับคุณไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ เมื่อไม่เชื่อว่าเป็นพระเมสิยาห์ คุณก็ไม่ได้รับความรอด เมื่อคุณไม่ได้รับความรอด คุณจะมาบอกว่าคุณเป็นบุตรของพระบิดาเป็นไปไม่ได้ เพราะใครจะมาหาพระบิดา ต้องมาทางเราผู้เดียว ก็คือมาเชื่อในเรา “เรา” หมายถึงพระเยซู

            ในหนังสือที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ยอห์นบอกว่ามีหลักฐานหลายอย่างที่ยืนยันว่าพระเยซู … คริสต์ เป็นมนุษย์เหมือนเราจริงๆ เดินอยู่บนโลกนี้จริงๆ

            หลักฐานอันที่ 1 ยืนยันว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยาน พระวิญญาณแห่งความจริงยืนยันถึงพระเยซู พระวิญญาณคือใคร? ก็คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในตัวของผู้เชื่อ เพราะเชื่อจริงๆ ปุ๊บ วิญญาณของเขาจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่ข้างใน และพระวิญญาณนี้จะเป็นผู้ยืนยันกับวิญญาณของคนเชื่อเองว่าพระเยซู เป็นพระคริสต์จริงๆ  เหมือนเราทั้งหลายตอนนี้เราเชื่อไหมว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เราเชื่อเต็มที่ เชื่อ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา ตอนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้สถิตอยู่ในเรา ไม่ได้เชื่อหรอก มาเชื่อไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ ยอห์น 15:26 พระเยซูได้พูดอย่างนี้  ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ …

        ยอห์น 15:26 “เราจะส่งองค์ที่ปรึกษาจากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งออกมาจากพระบิดา เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา”

            “เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา” ก็คือพระองค์มาแล้ว และมาอยู่ในตัวผู้เชื่อ ที่เราร้องว่าเป็นหนึ่งเดียวกันๆ

            หลักฐานอันที่ 2 ว่าพระเยซู คริสต์เป็นมนุษย์จริงๆ ก็คือพระเยซูประสูติจากน้ำ ซึ่งหมายถึงการประสูติจากหญิงพรหมจารี พระองค์ทรงถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ

            หลักฐานอันที่ 3 ยืนยันว่าพระเยซูมีโลหิต ทั้งเวลาประสูติ และขณะที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน โลหิตของพระองค์ไหลออกมาจากพระกาย อันนี้เห็นชัดๆ ตอนที่เด็กๆ คลอดเห็นชัดๆ คลอดจากหญิงพรหมจารีเห็นชัดๆ อันนี้ หลักฐานยืนยันว่าพระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ

            “เป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเยซู คริสต์ เป็นมนุษย์จริงๆ”

            พระองค์ คือพระเยซู คริสต์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์และทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ในเวลาเดียวกันด้วย  เดี๋ยวจะมาดูว่าอะไรยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า อันนี้พูดถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ มีหลักฐานยืนยันอย่างนี้ ในอดีตถึงปัจจุบันก็จะมีบางคนที่เขาเชื่อว่าการบัพติศมาในน้ำของพระเยซู ตอนที่จะเริ่มภารกิจของพระองค์ เป็นคำยืนยันหรือเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับการเป็นมนุษย์ของพระเยซู เขาบอกพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ จึงไปลงน้ำ บัพติศมากับยอห์นบัพติศโต นี่ความเชื่อ เขาเชื่อว่าอย่างนั้น

            แต่ผมว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันไม่สำคัญมากนักหรอก แต่อยากจะอธิบายให้ฟังนิดหนึ่ง ให้ท่านลองคิดเอาเองว่ามันจริงไหม?  เพราะการบัพติศมาในน้ำของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ เป็นสิ่งที่ยืนยัน เป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู การที่พระเยซูไปบัพติศมาในน้ำ  ไม่ได้มาเล็งถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จึงไปลงน้ำบัพติศมา ไม่ใช่ แล้วจะมาอ้างว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ไปลงน้ำบัพติศมา เพราะฉะนั้น เรามาเชื่อ เราต้องลงน้ำด้วย “ต้อง”ลงน้ำ  ผมว่าไม่ใช่

            การลงน้ำของพระเยซูนั้น เป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ถามว่าตรงไหนที่ยืนยัน ตรงที่มีบันทึกเหตุการณ์ในเรื่องนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่พระเยซูเดินทางไปรับบัพติศมาในน้ำกับยอห์นนั้น  ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีเสียงจากฟ้าสวรรค์ คือพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ พูดจากสวรรค์ลงมาอย่างอัศจรรย์เลย เสียงอันดังจากสวรรค์ลงมา  ตอนที่พระเยซูขึ้นจากน้ำมา บอกว่า …

            “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา”

            นี่แหละ เป็นหลักฐานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พระบิดาเป็นผู้ประกาศว่านี่แหละ คือพระเมสิยาห์  ที่เราสัญญาไว้ เราแต่งตั้งไว้  นี่คือพระคริสต์ ผู้ที่เราเจิมตั้งไว้มาทำงานนี้ ตรงนี้มากกว่า

            แต่ถ้าพูดถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซู สิ่งที่เป็นพยาน ก็คือการที่พระองค์ประสูติจากน้ำ ในครรภ์มารดาอย่างที่บอก ซึ่งหมายถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จริงๆ จำที่พระเยซูพูดได้ไหม?  ตอนที่กำลังจะไปถูกตรึง มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อนิโคเดมัสมาถามเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ พระเยซูตรัสตอบสั้นๆ ว่า …

            “ท่านต้องเกิดจากน้ำ และพระวิญญาณ จึงจะสามารถเข้าสวรรค์ได้”

            พระองค์บอกเลยว่าท่านต้องเกิดจากน้ำ คำว่า “ต้องเกิดจากน้ำ” หมายถึงอะไร? ในหนังสือยอห์น ที่บันทึกไว้ในบทที่ 3 พระเยซูบอกท่านต้องเกิดจากน้ำ  น้ำ ก็คือตะกี้นี้ 1 ยอห์น บทที่ 5 ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้  ท่านต้องเกิดจากครรภ์มารดา  พูดง่ายๆ ว่าท่านต้องเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  เพราะว่าพระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ ไม่ได้มาเป็นตัวแทนของสัตว์ ของอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้มาเป็นตัวแทนของวิญญาณ ทูตสวรรค์ แต่พระองค์มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า? ท่านต้องเกิดจากน้ำก่อน ก็คือเป็นมนุษย์ แล้วท่านจึงจะสามารถบังเกิดใหม่ได้ ก็คือต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูจึงบอกว่าท่านต้องเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ เกิดเป็นมนุษย์ แล้วบังเกิดใหม่  อันเดียวกัน น้ำเดียวกัน ต่อมา 1 ยอห์น 5:7-8 …

        1 ยอห์น 5:7-8 “เพราะมีสามสิ่งที่เป็นพยาน คือพระวิญญาณน้ำ และพระโลหิต  และทั้งสามนี้ สอดคล้องกัน”

            พระเยซู คริสต์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์  และทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในเวลาเดียวกัน ก็คือเป็นพระเมสิยาห์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตั้งนมตั้งนานมาแล้วว่าจะส่งพระบุตร ก็คือเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ยอห์นได้แยกแยะระหว่างผู้เชื่อ และผู้หลอกลวง ผู้โกหก มดเท็จ ในยุคนั้น ซึ่งสามารถเอามาใช้ ในยุคนี้ได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนอสติก ที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูทรงมาเกิดในเนื้อหนัง

            ยอห์นกล่าวไว้ว่าใครก็ตามที่ปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นมนุษย์ ผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ผู้นั้นเป็นศัตรูกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ผู้นั้น คือผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้นั้น คือผู้ที่หลอกลวง ผู้นั้น คือผู้ที่ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ผู้นั้น ผู้ที่มาทำให้คริสเตียนหลงหายไป

            สรุปหลักฐานการยืนยัน หรือที่เราเรียกว่าเป็นพยานให้กับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ คือพระเยซู คริสต์ต้องเป็นมนุษย์จริงๆ  คือ …

            (1) พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพยานยืนยันอยู่ในตัว

            (2) พระองค์ประสูติจากน้ำ หมายถึงการประสูติทางร่างกาย

            (3) พระองค์มีพระโลหิต ซึ่งไหลออกจากร่างกายของพระองค์ในเวลาประสูติ และเวลาที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ในขณะที่ถูกเฆี่ยนตีนั้น เลือดพระองค์ไหลออกมาจริงๆ นี่เห็นกับตาได้

            โยเซฟ แมรี่ สมมตินะไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า สมมติว่ามีหมอตำแย ก็จะเห็น ตัดสายสะดือเห็นเลือดจริงๆ ของเด็กเยซูผู้นี้ ผู้ที่เป็นพระเมสิยาห์

            แล้วหลักฐานที่ยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซู คืออะไร?  ก็คือ …

            (1) เสียงจากฟ้าสวรรค์ยืนยันว่าพระองค์เป็นบุตรที่เรารัก พระเจ้าพูดเองจากฟ้าสวรรค์ ตอนที่พระเยซูไปลงบัพติศมาในน้ำ

            (2) หมายสำคัญต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ ไม่มีใครในโลกนี้ มาจนถึงปัจจุบันนี้  ไม่มีใครทำอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์อย่างนี้เลย เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเลย ยกตัวอย่างเช่น ตายไปหลายวันแล้ว ยังเรียกขึ้นมาได้ เดินออกมา อย่างเช่น ลาซารัส เป็นต้น หรือทำให้คนง่อยตั้งแต่กำเนิด สามารถเดินเหินได้เหมือนเดิม  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  นี่คืออัศจรรย์  แล้วอีกหลายๆ อย่าง  เยอะแยะมากมายไปหมด ยอห์นบอกว่าถ้าจะให้เขียน มีกระดาษไม่พอที่จะให้เขียน  อัศจรรย์อะไรที่พระองค์ทรงทำบ้าง? และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์อีก สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ ก็คือหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ

            (3) ที่เป็นพยานยืนยัน แน่นอนเลย ก็คือคำสั่งสอนของพระองค์ หรือคำพูดของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานให้กับเรา ที่สถิตอยู่กับเรา ตัวนี้ยืนยันชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เอเมน

            และพยานเหล่านี้ทั้งหมด ทั้ง 2 อันเลย คือที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ และอีกอันที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้านั้น ทั้ง 2 อย่าง ทั้ง 3 อย่าง ทั้งหมดนี้อยู่ในตัวของผู้เชื่อ โดยยืนยันผ่านทาง ผู้เดียวกัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับผู้เชื่อด้วย 1 ยอห์น 5:9 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:9 “ถ้าเรารับคำพยานของมนุษย์ คำพยานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะนี่คือคำพยานของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงเป็นพยานถึงพระบุตรของพระองค์”

            อาจารย์ยอห์นได้เน้นถึงเรื่องนี้ว่าความสำคัญของคำพยานของพระเจ้า  ที่เกี่ยวกับพระเยซู คริสต์ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ และยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของมนุษย์ การยอมรับคำพยานของพระเจ้า เป็นการยอมรับความจริง ที่พระองค์ได้เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องพระบุตรของพระองค์ คือพระเมสิยาห์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของความเชื่อของคริสเตียน  ก็คือเรื่องความเชื่อในพระเมสิยาห์ หัวใจพื้นฐานของคริสเตียน ก็คือการเชื่อว่าเยซูผู้นี้  ผู้ที่เราฉลองวันเกิดนี้ ผู้ที่เป็นลูกของแมรี่กับโยเซฟในทางมนุษย์ คือพระเมสิยาห์ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้

            ยกตัวอย่าง ปกติแล้วคำพยานของมนุษย์บนโลกใบนี้ ก็เป็นสิ่งสำคัญ เปรียบเทียบให้เห็นว่าในห้องพิจารณาคดี ในศาล แบบมนุษย์ การมีพยาน เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินคดีอย่างมากว่าจริงหรือไม่จริง ยิ่งพยานเยอะเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น  ดังนั้น พระเจ้าจึงให้ชาวยิวเขียนกฎบัญญัติออกมาว่าถ้ามีการขึ้นศาลกันเมื่อไร? ให้มีพยานอย่างน้อย 2-3 คน จึงจะเชื่อถือได้ นี่ในโลกของมนุษย์ยังเป็นแบบนี้ และในโลกของมนุษย์ คำพยานของมนุษย์เทียบค่ากับพระเจ้า เป็นพยานด้วยตัวพระองค์เองไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงมีพยานยืนยันอย่างชัดเจน  ให้เราสามารถเชื่อได้จากพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์  และเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกัน  และสิ่งเหล่านี้ คือคำพยานของพระเจ้าเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ คือทั้งหมดที่ตะกี้เราอ่าน  คือคำพยานของพระเจ้าว่าใช่ พูดง่ายๆ พระเจ้าไม่รู้จะบอกอย่างไรแล้วว่าให้คำพยานยืนยันถึงขนาดนี้แล้วว่า …

            “เยซูผู้นี้ คือบุตรของเรา ที่เราประทานให้เจ้าทั้งหลาย มวลมนุษยชาติเอ๋ย ตามที่สัญญาไว้”

        1 ยอห์น 5:10 “ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ก็มีคำพยานนี้อยู่ในใจ ผู้ที่ไม่เชื่อก็หาว่าพระเจ้ามุสา เพราะไม่เชื่อคำพยานที่พระเจ้าให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์”

            ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ ก็จะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีคำพยานนี้อยู่ในใจ  อยู่ในตัวของเขา ผู้ที่ไม่เชื่อ ก็คือมันเชื่อไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวของเขา เขาก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูผู้นี้เป็นพระเมสิยาห์  เขาก็เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นช่างไม้ เป็นคนธรรมดา

            ยอห์นกำลังบอกเราว่า 3 สิ่งที่เป็นพยาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา น้ำและพระโลหิต เป็นพยานยืนยันอยู่ในตัวของเราผู้เชื่อ  ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาคำพยานจากโลกนี้อีกต่อไป ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องไปอ่าน ยกตัวอย่าง มีอยู่พักหนึ่งดังมาก ไปพิสูจน์ว่านี่คือผ้าพันพระศพพระเยซูคริสต์ ผ้าพันพระศพพับมาอย่างนี้ แสดงว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย หลักฐานตรงโน้นตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์มีชีวิตอยู่จริงๆ ไปดูหลุมศพ ไปดูที่เกิดของพระเยซู แล้วบอกว่าหลักฐาน แสดงว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ต้องไปหาหลักฐานเหล่านั้น เพราะถ้าหาหลักฐานเหล่านั้น ท่านจะหลงทาง ท่านจะไม่มีวันจบ เพราะว่าหลักฐานต่างๆ คำพยานต่างๆ จากโลกใบนี้ เขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวของเขา ไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา เพราะเขาหาไปเรื่อยๆ แต่เรามีความจริงอยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เรารู้ว่ามันเป็นจริง เพราะว่าข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ เพราะว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา ภายในเรา เราจึงรู้ จึงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ โรม 8:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:16 “พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

            พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ภายในเรา พูดกับเราถึงถ้อยคำเหล่านี้ ที่เราได้อ่าน ได้เรียนรู้ จากพระคัมภีร์เหล่านี้ว่ามันเป็นจริง ในยอห์น 16:13 บันทึกอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 16:13 “แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

            “พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล”

            พระองค์ คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเรา จะนำเราผู้เชื่อหรือคริสเตียน ไปสู่ความจริงทั้งมวล จากถ้อยคำของพระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ อาจจะไม่ใช่พระคัมภีร์ที่เราอ่านเอง  เราอาจจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่จากคนที่อ่านออก แล้วมาพูดกับเรา  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะยืนยันว่านี่แหละ คือความจริง ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

            คือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสเตียนเล่มนี้  เล่มที่เรากำลังถืออยู่นี้ เป็นหนังสือเล่มที่ไม่ใช่ธรรมดา เหมือนกับหนังสือทั่วๆ ไป หนังสือวรรณกรรมที่เราอ่าน มารวมตัวกันวันอาทิตย์ มาอ่านหนังสือเล่มนี้กัน สนุกดี ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วมันสนุก มีเรื่องราวยิ่งใหญ่ มีเรื่องข้ามน้ำ ข้ามทะเล มันอัศจรรย์เลย หรือว่ามันเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ ที่ยอดเยี่ยมมากเลย ประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนเลยว่าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกเป็นอย่างนี้ๆ เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากหนังสือพระคัมภีร์ ยอดเยี่ยม  ความรู้มากมายเลย มันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่พระคัมภีร์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ มันแตกต่างออกไปจากหนังสือทั่วๆ ไป

            เมื่อเราอ่านหรือเรียนรู้จากถ้อยคำต่างๆ ในหนังสือพระคัมภีร์นี้ มันมีบางสิ่ง บางอย่างในตัวเราที่เร้าใจเกิดขึ้น มันมีการไม่หยุด ปกติเราอ่านประวัติศาสตร์ เรื่องราวต่างๆ  อะไรที่เกิดขึ้น อาจจะตื่นเต้น หรือวรรณกรรม เรื่องราวต่างๆ ที่สนุกสนาน อาจจะติดตาม  แต่เราจะไม่แสวงหาต่อ แต่ถ้าเราเรียนรู้ ศึกษาจากพระคัมภีร์ เราจะมีความรู้สึกอยากจะแสวงหาความจริง อย่างลึกขึ้นไปอีก มีความปรารถนา มีความกระหาย มีความต้องการที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มากขึ้น พอเราเริ่มเรียน ศึกษา จนรู้ว่าเราเป็นลูกของพระองค์อย่างไร? พระองค์ปฏิบัติต่อเราอย่างไร?  พระองค์มีความรู้สึกอย่างไร? พระองค์ต้องการอะไร? มันไม่ใช่หนังสือธรรมดาแล้ว  เห็นไหม? เพราะว่าถ้อยคำเหล่านั้น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ มันมีชีวิต มันไม่ใช่ถ้อยคำธรรมดา ให้ความรู้เฉยๆ แต่มันมีชีวิตจริงๆ มันไม่ใช่เพียงแค่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เรามาอ่านหาความรู้ทั่วๆ ไป มันเป็นชีวิต

            ในพระคัมภีร์อาจารย์ยอห์นพูดไว้ในหนังสือกิตติคุณยอห์น ตอนต้นๆ ตั้งแต่เริ่มต้นว่าพระเยซู คือพระวจนะ พระเยซู คือถ้อยคำ พระเยซู คือพระคำ ดังนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือพระเยซูทั้งสิ้น คือพระวิญญาณทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น จะอ่าน จะเข้าใจอะไรต่างๆ ก็ต้องอาศัยพระวิญญาณเป็นผู้ชี้แจงให้เราเห็นว่านี่คืออะไร? และเมื่อคนที่เกิดใหม่ หรือพูดง่ายๆ คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มีพระวิญญาณอยู่ในตัว ก็จะไม่อยู่นิ่ง จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา และคอยสอนเราเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์นี้  ด้วยตัวของพระองค์เอง ต่อให้เราอ่านหนังสือไม่ออก พระองค์ก็จะสอนเรา ในคริสเตียนยุคแรก ก็อ่านกันไม่ออก เขาก็พึ่งพระวิญญาณทั้งนั้น

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนจงรับรู้เถิดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวิญญาณแห่งความจริงนี้ สถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา เป็นพยานยืนยันความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเมสิยาห์ของเรา พระองค์สอนเราตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแต่เราจะรับรู้หรือไม่? เท่านั้นเอง ผมจึงใช้คำว่า “จงรับรู้เถิด” ก็พยายามรับรู้ ให้รู้ตลอดเวลาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในฉัน  เป็นพยานยืนยันเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู คริสต์ พระเยซู คริสต์เป็นอย่างไร?  เกิดเป็นมนุษย์อย่างไร?  ทำอะไรเพื่อฉันบ้าง? บัดนี้อยู่ที่ไหน? เรียนรู้จากพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายในท่าน และพระองค์จะเป็นพยานยืนยันในถ้อยคำแห่งความจริงว่าพระองค์เป็นใคร?  และท่านเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ โดยจะยืนยันเสมอว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว ตามถ้อยคำของพระองค์ที่ทรงบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระวิญญาณยืนยันอย่างนั้น ในนามพระเยซู เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

            พระเจ้าได้ตรัสว่า … “ไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว”

            โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ! ไม่เลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว 13 ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน พิษงูร้าย อยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา 14 ริมฝีปากของเขา เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน 15 เท้าของเขา ว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะและทุกข์เข็ญ ไว้ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้า ในสายตาของพวกเขา 18 เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้  ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า  โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติ เพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”

            • บทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งการกระทำ ที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่ว่าดีหรือชั่ว เรียกว่ากฎแห่งกรรม ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นกฎหมายทางศีลธรรม  ที่จารึกอยู่ในใจ

            • ถ้าทำดี  ก็ได้ไปสวรรค์ ทำชั่ว  แม้นิดเดียว  ก็พินาศโดยพลัน

            ✓ มนุษย์ มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ

                  แต่พระเจ้า มองที่ฐานภูเขาน้ำแข็ง มหึมา ใต้น้ำ

            ✓ มนุษย์  มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้า  มองที่วิญญาณข้างใน

            • พระเยซู  กำลังชี้ให้ชาวยิว  และมนุษย์ทั้งปวง ได้เห็น ฐานภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ  คือโลกวิญญาณ  ที่เกี่ยวกับทางแห่งความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปในวิญญาณ ซึ่งคือตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษา ว่าจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้หรือไม่

            • ทางแห่งความรอดนี้ ก็คือผ่านทางความเชื่อวางใจ ในพระเยซูคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ทุกคน เป็นกฎแห่งพระคุณ หรือกฎแห่งวิญญาณในพระเยซูคริสต์ คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพาการกระทำดีของตนเองเลย

            • ส่วนบนโลกใบนี้ ที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่ใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย คือพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง เป็นกฎแห่งกรรม คือทำดี ก็ได้สิ่งที่ดี ทำชั่วก็ได้เก็บเกี่ยวความชั่วกลับมา

            • ซึ่งเรารู้กันอยู่แล้ว  เพราะเห็นกันชัดอยู่แล้ว พยายามปฏิบัติดี  ก็เก็บเกี่ยวผลดี  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างมีความสุข มีสันติสุข ทุกข์น้อยลง ถ้าทำตรงกันข้ามกับกฎ ก็ทุกข์มากขึ้น

            • เพราะฉะนั้น ใครที่พยายาม บังคับ ควบคุมตนเองได้มาก  ก็มีความสุข  มีสันติสุขมากบนโลกใบนี้ เช่น  เรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ ทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า  ยาเสพติด  น้ำตาล อาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายต่างๆ  แต่เราก็ยังคงปล่อยตัว ไม่พยายามลดละ  เราก็จะเก็บเกี่ยว  ผลของสุขภาพย่ำแย่  โรคภัยไข้เจ็บ  เพิ่มความทุกข์  ให้กับร่างกาย

            • เพราะฉะนั้น  ทั้งสองโลก  คือโลกวิญญาณ  และโลกวัตถุ  สำคัญทั้งสองกฎ  แต่โลกวิญญาณนั้น สำคัญกว่ามาก  เพราะจะอยู่นิรันดร์  ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่โลกวัตถุนั้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว  แป๊บเดียวเท่านั้น

            • ดังนั้น การรักษา เชื่อฟังต่อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎบัญญัติ  กฎหมายบ้านเมือง กฎศีลธรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว การเคารพยำเกรงต่อกฎเหล่านี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ให้สอดคล้อง เชื่อฟังต่อกฎเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์อย่างมาก   ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ อย่างสงบสุข เป็นสิ่งที่ดีที่จะส่งผลให้มีทุกข์น้อยลง

            • แต่ทั้งนี้ ไม่มีผลใดใดกับทางโลกวิญญาณ ที่จะเก็บเกี่ยวทางวิญญาณ หลังความตายจากโลกนี้แล้ว หลังจากวิญญาณออกจากร่าง  เข้าสู่มิติวิญญาณ

            • พระเยซูจึงอยากให้เรา ให้ความสำคัญกับโลกวิญญาณมากกว่า  จงแสวงหาความรอดทางวิญญาณ คือความชอบธรรมที่จะเข้าสวรรค์ โดยความเชื่อ ผ่านทางพระองค์เท่านั้น

            • ปัญหาจึงอยู่ที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงว่ามันมีอยู่สองกฎ  คือกฎของโลกวิญญาณ และ กฎของโลกวัตถุ  จึงหวังผล สลับกันไปมา  มั่วไปหมด  เช่น  กระทำดีตามกฎหมายศีลธรรม  อันดีงาม  ก็ไปหวังผล คือความรอดในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นไปไม่ได้

            • หรือรอดในวิญญาณแล้ว  คือเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว  หวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วย เช่น มาเชื่อพระเจ้าแล้ว  หวังว่าจะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย แข็งแรง  ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ มันถูกปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ความทุกข์ยาก ลำบาก  เนื่องจากบาป

            • ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้   ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า  หรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด เหมือนแดดส่องมาบนโลก โดนทุกคน  เพียงแต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็จะมีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน  คอยนำพา

            • และพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา  และเป็นผู้ดูแล  กฎทั้งสองกฎนี้  ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพยำเกรง คือเชื่อฟังพระองค์ พยายามรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม และรักษากฎทางฝ่ายวิญญาณด้วย คือเชื่อวางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์ และให้ความสำคัญทำตามทั้งสองกฎ ก็จะได้พระพร  อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการ ในพระคริสต์ รวมทั้งพรบนโลกใบนี้  มีความสุข  ความสงบ  ในการดำเนินชีวิต  บนโลกใบนี้ด้วย

            • นี่คือการเคารพยำเกรงจนตัวสั่น  ต่อพ่อแห่งฟ้าสวรรค์  พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด   ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก   สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย   เป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม ไม่มีลำเอียง  เป็นผู้พิพากษาทุกสิ่ง  ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ  ตามถ้อยคำของพระองค์ที่ได้ให้ไว้แล้ว  กับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งโลกวิญญาณ  และโลกวัตถุ   พระเจ้าอวยพรครับ