คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ทำไมไม่รู้จัก” ตอน 2 วันที่ 4 มิถุนายน 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน  ชาติผดุง

เรื่อง “ทำไมไม่รู้จัก” ตอน 2

วันที่ 4  มิถุนายน 2020

 

สวัสดีค่ะพี่น้องที่เชื่อในพระเยซูทุกท่าน ดิฉันจะมาพูดคุยต่อในเรื่องที่พึ่งกล่าวไปครั้งที่แล้ว คือพระเยซูบอกกับคนกลุ่มหนึ่งว่า … “เราไม่รู้จักเจ้าเลย” … อันนี้เป็นข้อถกเถียงกัน

ครั้งที่แล้ว ดิฉันก็อธิบายไปส่วนหนึ่งแล้วว่าทำไม พระเยซูถึงไม่รู้จัก พระเยซูบอกว่าไม่ใช่ที่เรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ แต่เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จึงจะเข้าได้

อะไรคือ “พระทัยพระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์” อะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า  ที่จะทำให้เราเข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้ พระคัมภีร์ก็บอกมาตลอดว่าน้ำพระทัยพระเจ้า คือมนุษย์เหลือกำลังที่จะทำได้ ดังนั้น พระเจ้าทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมารับโทษ รับบาปแทนเรา ตายแทนเราบนไม้กางเขน และทำให้เราผู้เชื่อทุกคนตายไปร่วมกับพระองค์ เปลี่ยนใจใหม่ให้เรา และเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระองค์ด้วย ตรงนี้เท่านั้นเองที่จะทำให้ไปสวรรค์ได้  เพราะจะทำให้เราเป็นคนใหม่ มีชีวิตใหม่ ที่ยอมรับ โดยพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ แน่นอนวิธีเข้าสวรรค์ก็ต้องมาจากพระเจ้า  ถ้าเราจะเขียนขึ้นมาเองว่า …

“ฉันอยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้  แล้วถึงจะได้ไปสวรรค์”

ก็ไม่ตรง เมื่อมันไม่ตรงกับพระเจ้า เจ้าของสวรรค์ ก็เข้าไม่ได้ ในมัทธิว 7:21 ชัดเจนว่าจะมีคนจำนวนมากร้องแก่พระเยซูว่า …

“องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในนามของพระองค์ ขับผีออกในพระนามของพระองค์ ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมาย  ในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ?”

มีคนเยอะแยะทำอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่พระเยซูต้องการจะให้เราเห็นชัดว่าคนที่เชื่อวางใจในพระเยซู จะไม่กล่าวอย่างนี้ ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป เรามาเชื่อพระเยซู เพื่อขอให้ช่วยเรารอดพ้นบาป เราจะกำแหงไหม?  ที่จะกล้าบอกว่า …

“ฉันทำอย่างนั้นนะ หนูทำอย่างนี้นะ ทำดีอย่างนั้น สมควรนะ พระเจ้าต้องให้เข้า เพราะว่าทำดีอย่างนี้แล้ว เสียสละแล้ว พูดภาษาแปลกๆ แล้ว ขับผีออกแล้ว วางมือคนหายป่วยแล้ว  ชุบคนตายให้ฟื้นได้แล้ว ฉันเก่งมากเลย ทำอะไรต่อมิอะไรที่คนอื่นทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฉันเป็นคนที่จะต้องได้เข้าแผ่นดินสวรรค์”

แต่นั่นไม่ใช่วิธีของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าบอกว่าคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูเท่านั้น  ก็จะรอดจากบาป พ้นนรก เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม โดยเชื่อในการกระทำของพระเยซู เราจะไม่พูดว่า …

“ฉันเสียสละนะ บ้านเรือนทรัพย์สินขาย เอาไปช่วยคนยากคนจน”

หรือว่า “ฉันเอาตัวเข้าแลกในการเข้าไปช่วยคน”

หรือว่า “ฉันบริจาคมากที่สุดเลยในจังหวัดนี้  เพราะฉะนั้น ฉันสมควร”

ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่เลย ไม่มีใครที่จะดีพอ ต่อให้เป็นความดี 99.99%  ก็ไม่พอสำหรับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าต้อง 100 ทำดีต้อง 100% ไม่มีที่ติ ไม่มีบกพร่องตรงไหนได้เลย

บางคนอาจจะบอกว่า … “ฉันอดอาหาร อาทิตย์ละ 3 ครั้ง”

บางคนอาจจะบอกว่า … “ฉันถวาย 20 ลด”

บางคนอาจจะบอกว่า … “ฉันท่องพระคัมภีร์ได้หมดเลย บทอะไรบอกมาสิ ฉันท่องได้หมด”

บางคนก็ตื่นเต้นกับใครสักคนหนึ่งเอาพระคัมภีร์มาท่องได้เป็นวรรคเป็นเวร เป็นบทๆ แต่ว่าชีวิต การกระทำ ไปคนละเรื่อง

เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ต้องการกฎเกณฑ์มาช่วยเรา เราต้องการพระผู้ช่วยให้รอด เราต้องการพระเยซู พระวิญญาณของพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และเราไม่สามารถจะมีอะไรมาอวดอ้างได้ว่าเราเป็นคนที่ดีพร้อม สมควรได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ เราไม่ควรจะไปยืนเถียงกับพระเจ้าตรงนั้นว่าเราทำอะไรบ้าง เพราะว่าพระเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเราทำอะไร? เราจะไปอวดอย่างไร ก็ไปไม่ถึงขั้นตอน มาตรฐานของพระเจ้าอยู่ดี โดยพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงสามารถดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้า ให้พระองค์นำพา จนไปอยู่กับพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์ วิญญาณเราไปอยู่แล้ว  แต่ร่างกายของเราระหว่างรอ ก็ต้องเผชิญเรื่องราวต่างๆ มากมายในโลก เราก็ได้ชีวิตของพระเยซู คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ในเรา เป็นกำลังของเรา  ตรงไหนที่เราอ่อนแอ พระวิญญาณเข้มแข็ง ก็จะพาเราผ่านเหตุการณ์ ผ่านปัญหา ผ่านความยุ่งยากไปได้

พระเยซูถึงได้ว่าเศรษฐีให้ไปขายทรัพย์สิน แล้วค่อยตามพระองค์มา เพราะเศรษฐีพึ่งในความดีของตนเอง ทำหมดทุกอย่าง บัญญัติ 10 ประการครบหมดแล้ว แล้วอย่างนี้เขาน่าจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ใช่ไหม?

พระเยซูบอกยังไม่ครบหรอก ไปขายสมบัติแจกคนจน แล้วค่อยตามมา

ถ้าเราพึ่งในการกระทำของเราเอง  อย่างไรก็ตาม ไม่มีการกระทำใดๆ ที่ดีพอ สำหรับเข้าแผ่นดินสวรรค์ทั้งสิ้น มาตรฐานของพระเจ้า ไม่มีใครไปถึงได้นอกจากพระเยซูผู้เดียวที่ทำสำเร็จ แล้วเราเกาะพระองค์ เกาะไปเลย เหมือนกับพระเยซูทำสเปรทเอ็กซ์ไว้แล้ว  เรียกเราขึ้นสเปรทเอ็กซ์ไปดาวสวรรค์ได้เลย  เราไม่ได้เป็นคนต้องสร้างอะไร?  เพราะว่าสเปรทเอ็กซ์ ถูกสร้างไว้เรียบร้อย รอให้เราขึ้นเท่านั้นเอง  รอวันที่เราจะขึ้นไป  พระเยซูทำครบถ้วนสำเร็จทุกอย่าง  พวกเราจึงไม่สามารถที่จะอวดอ้างผลงานของเราได้  ขอพระเจ้าเมตตา

 

*********************

 

 

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ทำไมไม่รู้จัก” ตอน 1 วันที่ 2 มิถุนายน 2020

คำหนุนใจจาก  Ps.เทพิน   ชาติผดุง

เรื่อง “ทำไมไม่รู้จัก” ตอน 1

วันที่ 2  มิถุนายน 2020

            สวัสดีค่ะพี่น้องที่เชื่อในพระเยซูทุกท่าน เรามีถ้อยคำมาหนุนใจ  มาไขความกระจ่างให้กับผู้เชื่อ วันนี้ดิฉันจะมาที่หนังสือมัทธิว 7:21 ที่แม้ดิฉันเอง ก็เคยสงสัย และหลายๆ คนก็สงสัยว่าความหมายที่แท้จริง คืออะไร?

มัทธิว 7:21-23 “21 มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22 เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ” 23 เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

 

ดุมากเลยนะ เป็นข้อสังเกตว่าพระเยซูมีความไม่พอใจอย่างมากกับคนที่มาเอ่ยอ้าง พี่น้องก็ต้องคิดถึงเบื้องหลังที่เราได้คุยกันมาว่าในแผ่นดินของพระเจ้า หรือในคริสตจักร ที่พระเยซูอยู่ในตัวผู้เชื่อทุกคน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูเป็นผู้ขับเคลื่อนเรา  เป็นผู้นำทางเรา  สอนเรา พาเราไปในวิถีทางที่พระเจ้าชอบพระทัย  …

“แต่ว่าจะมีคนจำนวนมากร้องแก่พระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะ ทำการอัศจรรย์ แสดงฤทธิ์เดชมากมายในนามของพระองค์”

พระเยซูบอก “เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว”

ไม่ใช่เป็นคนธรรมดา แต่หมายถึง … “เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”

หมายความว่าอย่างไร?  ดิฉันได้เคยเล่าเรื่องของยูดาสกับกลุ่มสาวก 12 คน พระเยซูก็ให้อยู่ไปด้วยกัน  ข้าวเสียกับข้าวดี วัชพืชกับข้าวดีก็อยู่ด้วยกันไป จนสุดท้ายออกผลมาเองว่าชัดเจน อันไหนเป็นข้าวดี อันไหนเป็นข้าวเน่า อันไหนเป็นเครื่องมือของมาร หรือว่าอานาเนียกับสัปฟีรา ก็บอกชัดว่าแรงบันดาลใจของเขาในการที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในคริสตจักรของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจที่น่าจะไม่ถูกต้อง เพื่อผลประโยชน์  ถึงได้ตกใจ ตายไปเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน วันนั้นพระเยซูเจอกับผู้คนที่เข้ามาหาพระองค์ และพระองค์ตัดสินว่าคนที่มาอ้างว่าทำอัศจรรย์ ขับผี แสดงฤทธิ์เดชต่างๆ มากมายนั้น พระเยซูบอกไม่รู้จัก แสดงว่าข้างในของเขามันไม่ใช่ เพราะเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในใจของเรา  เราเป็นร่างกาย เป็นพระวิหารของพระเจ้า พระเยซูอยู่ด้วยตลอด จนสิ้นยุค จะไม่ละทิ้งเลย ถ้อยคำยืนยันอย่างนั้น

แล้วทำไมตรงนี้บอกว่า “เราไม่รู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้า” ตรงนี้คือเป็นเวลาแห่งการแยกนั่นเอง

ในข้อที่ 15 ที่พระเยซูก่อนหน้าที่พูดคำว่า “ไม่รู้จักเจ้า” พระเยซูคุยเรื่องให้ระวังผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ

มัทธิว 7:15- “15 “ท่านทั้งหลายจงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า 16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้น เก็บได้จากพืชหนาม 17 ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว 18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้ 19 ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ 20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา”

 

นี่คือกิจการที่พระเจ้าเปิดเผย ดังนั้น เราคงจะเข้าใจกันนะว่าพวกผู้คนที่เผยพระวจนะในนามพระเยซู ขับผีออกในนามพระเยซู แสดงฤทธิ์เดชมากมายในนามพระเยซู แต่ถ้าเป็นการแสร้ง เพราะก่อนหน้าที่จะเอ่ยตรงนี้ บอกว่า …

“ให้ระวังพวกผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ เขามาหาท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในร้ายกาจเหมือนหมาป่า”

ข้างในเขาเป็นหมาป่า เขาไม่ใช่ลูกแกะ  เราทุกคนที่เชื่อพระเยซู เราเป็นลูกแกะของพระเจ้า  แต่มารก็เหมือนหมาป่าในรูปของลูกแกะ  โดยเอาหนังแกะมาสวมเอาไว้  แล้วก็แสร้งทำตัวเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ถึงขนาดเผยพระวจนะ ทำฤทธิ์เดช อัศจรรย์ต่างๆ ในนามของพระเยซู แต่พระเยซูบอกว่ามันไม่ใช่แค่นั้น  ไม่ใช่ปากของเราเท่านั้นที่จะเชื่อและทำตาม น้ำพระทัยพระเจ้าได้  แต่ทั้งหมดมาจากใจ ถ้าเจตนาของเรา ใจของเรา ขึ้นตรงต่อพระเจ้า รักพระองค์ ขอบคุณ กตัญญูรู้คุณในสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อเรา ตายเพื่อเรา ชุบเราให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อยู่กับพระองค์ มีชีวิตที่ต้องการปรนนิบัติ มีความสุขในการปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ได้ฝืนใจ มีความสุข เดินในทางพระเจ้า ไปโบสถ์ เพราะมีความสุข ไม่ใช่ไป เพราะถูกบังคับให้ไป  ไม่ใช่ไม่ไปโบสถ์ แล้วจะตกนรก ตกนรกหรือไม่ อยู่ที่การเชื่อพระเยซู ไม่ใช่ไปโบสถ์หรือเปล่า?  แต่การไปโบสถ์ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะเหมือนถ่านหลายๆ ก้อน  ก็ควรจะมากองๆ สุมกัน ไฟก็จะลุกโชน ทำประโยชน์ได้มากขึ้น

ก็คิดว่าพี่น้องคงจะพอเข้าใจแล้วว่าพวกที่เรียก ออกพระนามพระเยซู ทำอัศจรรย์ รักษาโรค วางมือ แสดงฤทธิ์เดชมากมายนั้น ถ้าเป็นแค่การกระทำเปลือกนอก  เขาไม่ใช่ของพระเจ้าแน่นอน พระเยซูปฏิเสธเขา เขาเป็นต้นไม้ ซึ่งไม่เกิดผลดี ต้องถูกฟันลง และทิ้งเสียในเตาไฟ

ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในผู้เชื่อทุกคน และเราไม่ต้องทำเอง  ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือความรัก ความดีงาม ความอดกลั้นใจต่างๆ เหล่านี้ เหมือนกับต้นมะม่วง มีลูกมะม่วงออกมา เราไม่ต้องไปพยายามวุ่นวายอะไรมากมาย  มันออกมาตามธรรมชาติ เราไม่ต้องไปเอาน้ำตาลฉีด เพื่อให้มะม่วงหวาน ถ้าต้นมะม่วงที่เราปลูกนั้น เขาจะมีผลหวาน เขาก็หวานของเขา ตามธรรมชาติ ตอนดิบ ก็อาจจะเปรี้ยวหน่อย  พอเริ่มสุก ก็หวานอร่อย ก็เหมือนชีวิตเรา เชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก็อาจจะยังไม่ค่อยปรับตัวได้เก่ง ยังชินกับความทรงจำเดิมๆ ความประพฤติเก่าๆ  ที่พาไปสู่ความตาย  ก็มีพลาดพลั้ง แต่ธรรมชาติเรา  ไม่มีแล้วแบบนั้น ไม่มีธรรมชาติที่จะพาไปสู่ความตาย ไม่มีแล้ว เราเปลี่ยนธรรมชาติใหม่แล้ว มาเป็นธรรมชาติของพระเจ้า อยู่ในตัวเรา ก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นความดีงาม  ความรัก ความเมตตา  รู้จักบังคับตน ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมด ก็จะออกมา โดยที่เราไม่ต้องมานั่งคิดว่า …

“ฉันมีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือมีความรัก”

หรือท่อง เราเชื่อว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณที่อยู่ในตัวเรา  ก็จะออกผลมาเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะไม่ใช่เรามีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว แต่พระเยซูต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในพวกเรา  ขอพระเจ้าเมตตา

 

***********************

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 2 วันที่ 19 พฤษภาคม 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 2

วันที่  19  พฤษภาคม  2020

 

สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซูคริสต์ทุกท่าน  วันนี้เป็นคลิปต่อจากครั้งที่แล้ว เรื่องอานาเนียกับสัปฟีรา

เรามีข้อสงสัยกันนะคะ ถ้าเราบอกว่าพระเจ้าไม่โหดร้าย ดิฉันมั่นใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ฆ่าอานาเนียและสัปฟีรา แล้วอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้น?

ดิฉันก็ได้ถกกันกับพี่น้องผู้รับใช้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมอานาเนียและสัปฟีราถึงตกใจตายไปเลย  เรามีข้อสงสัยว่าอานาเนียกับสัปฟีรานั้น เป็นผู้เชื่อจริงหรือเปล่า?  เขามาร่วมงาน มาสมัครสมานสามัคคีกับผู้เชื่อ โดยมีเปโตรเป็นผู้นำในเวลานั้น  ในกลุ่มนั้น แล้วอานาเนียกับสัปฟีราก็ขายที่ดิน แล้วก็เอาเงินที่ดินมาถวาย  แต่ข้อสังเกตคือเปโตรบอกว่าอานาเนียทำไมถึงให้ซาตานครอบงำจิตใจ ทำไมถึงทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง  ที่โกหกว่าเงินที่เอามาถวายนั้น เป็นเงินทั้งก้อนของการขาย เพราะว่าการขายที่ดิน การมีทรัพย์สมบัติอะไรก็ตาม  พระเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์ที่จะเอาอะไรจากท่านเลย  เพราะพระเยซูไถ่หมดแล้ว ไม่มีการสาปแช่งว่าทำไม่ถูกอย่างโน้นอย่างนี้  ความรอดก็มาโดยพระโลหิตไถ่ของพระเยซู เราตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ตั้งแต่วันที่พระเยซูถูกตรึง แล้วพระเยซูไม่ได้ตายเปล่าๆ พระองค์เป็นขึ้นมา พระองค์ก็นำเรากลับคืนมากับพระองค์ พระเยซูด้วย  ดังนั้น ก็ไม่มีเรื่องของการปรับโทษ ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ  แก่คนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ จึงเป็นที่น่าสังเกตและน่าคิดว่ามันไม่ใช่การลงโทษของพระวิญญาณบริสุทธิ์  มันไม่ใช่การลงโทษที่มาจากพระเจ้า

เราคิดว่าถ้าอาจารย์เปโตรมองเห็นภายในว่าอานาเนียกับสัปฟีรานั้น อยู่ภายใต้การนำของซาตานหรือมาร ไม่ใช่การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แสดงว่าเขาก็เป็นเช่นเดียวกับยูดาส  ที่อยู่ในการนำของซาตานหรือมารตลอดเวลาที่ร่วมงานกับพระเยซู

แล้วสิ่งที่น่าคิด ก็คือยูดาส พี่น้องคงจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อมาเรียเหมือนกัน ได้เอาน้ำหอมชโลมเท้าพระเยซู แล้วเอาผมมาเช็ดเท้าพระเยซู แล้วยูดาสก็บอกว่า …

“น้ำหอมแพงๆ อย่างนี้ เอามาเททิ้งเปล่าๆ ได้อย่างไร? เอาไปขาย จะได้เอาเงินไปช่วยคนจน”

เบื้องหลัง ก็คือว่ายูดาสอยากได้เงินเยอะๆ ไว้ในถุงใส่เงินของเขา  เพราะเขาเป็นคนถือเงินของกลุ่ม  เป็นเหรัญญิกกลุ่มก็ว่าได้ และเราก็เห็นชัดว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง มารก็เข้าสิงยูดาสและทำร้าย โดยการให้เขามาจับพระเยซูไปตรึง

แล้วสิ่งที่น่าสนใจและชัดเจนว่าเขาอยู่ใต้อำนาจของมารจริงๆ ก็คือว่ายูดาสไม่ได้กลับใจ แม้ว่าเขาจะเสียใจในการกระทำของเขา แทนที่เขาจะมาขอพระเจ้าเมตตา ให้พระเจ้ายกโทษ กลับใจใหม่  เขาก็ไปฆ่าตัวตาย

เรื่องของอานาเนียกับสัปฟีราน่าจะคล้ายคลึงกัน เพราะว่าคนที่มาร่วมขบวนการอยู่ในผู้เชื่อ ไม่ได้แปลว่าเชื่อจริงๆ บางคนก็มาลองดู บางคนก็มาดูว่ามีอะไรดีๆ  แต่อานาเนีย สัปฟีราก็อาจจะหวังว่าจะได้เป็นคนดูแลการเงินก็ได้ ถ้าเอาเงินมาวางเยอะๆ แล้วทำตัวเหมือนกับว่าศักดิ์สิทธิ์ ฉันอุทิศถวายหมดทุกอย่างแล้วนะ ให้หมดเลย  ฉันคงเป็นที่ยอมรับ เขาอาจจะคิดอย่างนั้น  อาจจะได้ตำแหน่งที่ดี ในการดูแลคนผู้เชื่อ ในการจัดสรรเงินของผู้เชื่อ  ก็เลยทำแบบนี้  ทำตามกิเลสนั่นเองว่าอยากจะได้เป็นใหญ่  อยากจะได้เป็นผู้นำ อยากจะได้เป็นคนสำคัญ เป็นที่ยกย่องผู้คนทั้งหลายรู้ว่าเอาเงินก้อนโตมาถวาย  ต้องเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ของผู้เชื่อ แม้แต่อัครทูต แต่อัครทูตตรงกันข้าม ไม่ได้นับถือ  แต่ประจานเลยว่าท่านอยู่ใต้อำนาจของมาร

ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร? ในความคิดที่เรียกว่าสภาพจิตใจของมนุษย์ เวลาถูกจับโกหกได้ เวลาถูกจับผิดได้ ตกใจมาก ดิฉันก็เชื่อว่าทั้งอานาเนียและสัปฟีราตกใจจนช็อคคิดว่าตัวเองวางแผนไว้ดีแล้ว แต่กลายเป็นว่าโกหกพระเจ้าไม่ได้  พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกอาจารย์เปโตรว่าสิ่งที่เขาเล่าว่าถวายทั้งหมดนั้นไม่จริง  แค่เพียงส่วนเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่น้องต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายความว่าเรามีอะไร เราก็ต้องเอามาถวายหรือบริจาคให้ทั้งหมด พระคัมภีร์บอกว่ามันเป็นของท่าน  ท่านจะให้เท่าไร จงให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ด้วยฝืนใจ แต่จงให้ด้วยเต็มใจ  พระเจ้าจึงจะอวยพร เต็มใจให้แค่นี้ ก็บอกว่าแค่นี้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย  แต่มันต้องมีแรงบันดาลใจ หรือมีแรงผลักดันเบื้องหลังว่าอยากจะเป็นใคร? อยากจะให้เงินที่ถวายไปก้อนนี้ ผลักดันให้ตัวเอง  มีตำแหน่ง มีหน้ามีตา เป็นที่ยอมรับนับถือของกลุ่มคนนี้  ดังนั้นเมื่อทำลงไป มันถูกจับได้ ก็ตกใจช็อค

ดิฉันเคยเล่าไว้ในสมัยก่อนๆ ว่าวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าร่างกายของเราเป็นไฟฟ้า  1  เซล มี 7 ล้านโวลต์ เพราะฉะนั้น ร่างกายของแต่ละคนเป็นไฟฟ้าแรงสูงมากเลย  แต่ไม่ได้มีความเสียหาย หรือทำร้ายใคร เพราะพระเจ้าสร้างเรามาอย่างนั้น  แล้วในวิทยาศาสตร์วงการแพทย์ก็บอกว่าเวลาที่เราช็อคตกใจ สามารถจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร แล้วไฟฟ้าลัดวงจรทำให้ตายได้  ธรรมดาแล้วไฟฟ้าเดินอยู่ปกติในร่างกายเรา ไหลเวียน ดูแลเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย  แล้วก็มีสายดิน คือขาเราไฟฟ้าจะลงปลายเท้าลงดินไป  เราก็จะปลอดภัย ไม่มีการช๊อตอะไร แต่ถ้าตกใจมากๆ  ก็จะมีอาการเกิดขึ้น คือกระแสไฟนั้น แทนที่จะลงดิน กลับพุ่งไปที่หัวใจเลย  พอพุ่งไปที่หัวใจเลย เรียกว่าตายทันทีได้  อันนี้ทางการแพทย์บอกไว้

ดังนั้น ดิฉันเข้าใจว่าน่าจะสรุปได้ว่าอานาเนียกับสัปฟีรา ช็อคสุดขีด ถูกจับได้  ถูกจับโกหก เตรียมจะวางแผนเป็นใหญ่ เป็นผู้ดูแลการเงิน ลงทุนไปก่อน เดี๋ยวเอาคืนทีหลัง หยิบคืนทีหลัง ถ้ามีโอกาสเป็นใหญ่ในกลุ่มนี้ แผนไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย  เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบ  พระเจ้าจับโกหกได้ก่อน เขาก็ช็อคตกใจทั้งสามีภรรยาตายคาที

ดังนั้น ดิฉันก็ขอยืนยันว่าความรักของพระเจ้ามั่นคง ยืนยงเป็นนิตย์ พระเจ้ายกตัวอย่าง  บุตรน้อยหลงหาย ก็คือให้รู้ว่าความรักของพระเจ้าประเสริฐ นิรันดร์และถาวร เป็นลูกก็เป็นลูกตลอด  จะผิดบาปชั่วดีอย่างไร ก็รัก และพร้อมที่จะรับกลับคืน กลับบ้าน ถ้าอานาเนียกับสัปฟีราเป็นลูกพระเจ้าจริง เชื่อพระเจ้าจริง ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาจริง  ก็หมายความว่าพระเจ้าต้องไม่ทำร้าย  แต่ที่เขาตายไป ก็เป็นเรื่องของตัวเขาเอง  ที่ทำร้ายตัวเอง  เหมือนคนที่ป่วยเป็นโรค NCD  คือโรคที่เกิดจากความเสียหายที่เราทำตัวเราเอง  เช่น เบาหวาน ความดัน  หัวใจ มะเร็ง  พวกนี้เป็นโรคที่เกิดจากเราทำตัวเอง  เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกัน ก็ไม่ต้องมีคนอื่นมาทำ เท่ากับว่าอานาเนียกับสัปฟีราก็ทำร้ายตัวเอง ไฟฟ้าลัดวงจร  แทงเข้าหัวใจ  ตายคาที

ขอพระเจ้าเมตตาให้เราเข้าใจและรู้จักแยกแยะว่าอะไรมาจากอะไร? ไม่ใช่ทุกอย่าง เราโทษพระเจ้าผู้เดียวหมดเลย  เกิดอะไรไม่ดี ก็พระเจ้าลงโทษ  เกิดอะไรไม่ดี ก็พระเจ้าสาป  ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ใหม่ เราต้องยืนยันให้ได้เลย  ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าพระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าประทานพระคุณให้เรา  อภัยตั้งแต่ 2,000 ปีแล้ว ที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  อภัยให้เรา  และจบเลย ไม่มีถือโทษโกรธอีก การกระทำของเราที่ไม่ถูกต้องในโลกนี้ ก็สิ่งใดที่หว่านออกไป ก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น  ผลมันจะกลับมาเป็นบทเรียนให้เรา แก้ไขตัวเอง  แต่ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษ  ขอพระเจ้าเมตตาค่ะ

 

**************************

 

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 1 วันที่ 8 พฤษภาคม 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 1

วันที่ 8 พฤษภาคม 2020

 

สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซูคริสต์ทุกท่าน วันนี้ดิฉันอยากจะหนุนใจ ในเรื่องของความกลัว  พี่น้องคงได้ยินแล้วว่าพระองค์ไม่ได้ให้วิญญาณแห่งความกลัว แต่ให้วิญญาณแห่งความรัก  วิญญาณแห่งความคิดจิตใจที่ดีแก่เรา แต่มีข้อพระคัมภีร์อยู่ตอนหนึ่งที่เป็นที่น่าวิตกกังวลของพี่น้อง คริสเตียนหลายท่านทีเดียว ถ้าเราไม่เข้าลึกถึงบริบท หรือความจริงเรื่องของถ้อยคำพระเจ้า ถ้าเราอ่านผิวเผิน  เราก็จะตกใจ เราก็จะคิดว่าพระเจ้าโหดร้าย  พระเจ้าฆ่าใครก็ได้ อย่างนั้นหรือ?  เชื่อแล้ว ก็ยังน่ากลัวขนาดนั้นหรือเปล่า?

ในหนังสือกิจการ เป็นการพูดถึงการเริ่มต้นของคริสตจักรและข่าวประเสริฐที่อัครทูตพากันประกาศ  เราดูกิจการบทที่ 5 กัน เรื่องของคู่สามีภรรยา ที่ชื่ออานาเนียกับสัปฟีรา ดิฉันจะอ่านให้ฟัง แล้วคุยให้พี่น้องเข้าใจว่าคืออะไร?

กิจการ 5:1-11 “1 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับสัปฟีราภรรยาของเขา ก็ได้ขายที่ดินผืนหนึ่งด้วย 2 เขาได้เก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อตนเอง ซึ่งภรรยาของเขาก็รู้ดี แต่นำเงินที่เหลือมาวางแทบเท้าของอัครทูต 3 แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า “อานาเนียเอ๋ย เหตุใดซาตานจึงครอบงำใจของท่าน จนท่านมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ เพื่อตัวท่านเอง? 4 ก่อนที่จะขายที่ดินนี้เป็นของท่านไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็อยู่ในอำนาจของท่านไม่ใช่หรือ? อะไรหนอทำให้ท่านคิดทำเช่นนี้? ท่านไม่ได้มุสาต่อมนุษย์ แต่มุสาต่อพระเจ้า” 5 เมื่ออานาเนียได้ยินเช่นนี้ก็ล้มลงสิ้นชีวิต คนทั้งปวงที่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกรงกลัวยิ่งนัก 6 แล้วพวกคนหนุ่มจึงออกมาห่อศพเขาและนำออกไปฝัง

7 หลังจากนั้นราวสามชั่วโมง ภรรยาของเขาก็เข้ามา โดยที่ยังไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้น 8 เปโตรถามนางว่า “จงบอกเราเถิด ท่านกับอานาเนียขายที่ดินได้เงินเท่านี้หรือ?” นางตอบว่า “ใช่ ได้เท่านี้เจ้าค่ะ” 9 เปโตรจึงกล่าวกับนางว่า “เหตุใดท่านจึงเห็นพ้องกัน ที่จะลองดีกับพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า? ดูเถิด! เท้าของบรรดาผู้ฝังศพสามีของท่านก็อยู่ที่ประตู และพวกเขาจะหามท่านออกไปด้วย” 10 ทันใดนั้นเองนางก็ล้มลงสิ้นชีพแทบเท้าเปโตร เมื่อเห็นว่านางตายแล้ว พวกคนหนุ่มก็เข้ามาหามศพออกไปฝังข้างสามีของนาง 11 ทั่วทั้งคริสตจักรและคนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์เหล่านี้พากันเกรงกลัวยิ่งนัก”

 

พี่น้องอาจจะรู้สึกว่านี่มันคืออะไร?  พระเจ้าต้องเป็นอะไรที่เราต้องตัวสั่น ไม่กล้าเข้าใกล้อะไรแบบนี้หรือเปล่า?

ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมดที่พระองค์เรียกเราว่าลูก ที่พระองค์คร่ำครวญถึงความรักที่มีต่อเรา ที่พระองค์ถึงกับยอมส่งพระบุตร มาสิ้นพระชนม์ ตายบนไม้กางเขน  รับโทษ รับบาปของเราไป แล้วพระเยซูก็เป็นขึ้นมาใหม่ มีชีวิตอยู่ในพวกเรา พี่น้องสงสัยไหม? ดิฉันเคยสงสัย แต่ไม่กล้าถามใคร? แต่วันนี้ดิฉันเข้าใจเหตุการณ์นี้แล้ว

พี่น้องสังเกตดูนะคะ ดิฉันเคยเล่าให้พี่น้องฟังว่าสาวกของพระเยซูคริสต์ มี 12 คน 11 คนปกติดี เดินตามทางของพระเจ้าด้วยความหวัง ด้วยความเชื่อฟัง แต่มี 1 คนที่ทรยศ  ใครก็ตามที่ทรยศ ไม่ได้หมายความว่าฉับพลันนั้น รู้สึกทรยศเลย  ต้องทำให้มันสะใจหรือเดินตามเกมที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า พี่น้องทราบไหมค่ะ เรามาดูข้อนี้นะ ข้อที่ 3 เปโตรถามอานาเนียว่า …

          “ทำไมซาตาน จึงควบคุมใจของเจ้าให้โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์”

พี่น้องนึกภาพออกไหมค่ะว่าใครที่ซาตานจะควบคุมใจของเขาได้? ก็คือคนของซาตานนั่นเอง คนของพระเจ้า ซาตานควบคุมไม่ได้ พระเจ้าบอกว่ามาแตะต้องผู้เชื่อไม่ได้  เพราะว่าพระเจ้ารักเรา  พระเยซูถึงบอกว่าใครจะมาหยิบฉวยเราผู้เชื่อ ลูกของพระองค์ คนของพระองค์ ออกไปจากพระองค์ก็ไม่ได้ พระองค์ไม่อนุญาต แล้วอยู่ดีๆ ถ้าเป็นคนของพระเจ้า  ทำไมซาตานจึงคุมใจของอานาเนียได้  แปลกไหมค่ะ แล้วถ้าพูดถึงคนที่ทรยศต่อพระเยซู ยูดาสทรยศต่อพระเยซู หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าซาตานเข้าครอบครองใจเขา ควบคุมจิตใจเขา เขาจึงทรยศต่อพระเยซู นี่ก็เป็นข้อคิดอันหนึ่ง ที่พระเยซูและพระเจ้าให้เรารู้เรื่องของสาวก 12 คนนี้  เพราะว่ามันจะมีแทรกซึมอยู่ตลอดเวลา ในท่ามกลางคนของพระเจ้า ก็จะมีคนของมารแทรกซึมอยู่ เราจะรู้ก็ต่อเมื่อ  มีการสำแดงอาการหรือปฏิกิริยา หรือการกระทำบางอย่างที่ยืนยันว่าอันนี้ ไม่ได้มาจากพระเจ้า

ดังนั้น พี่น้องไม่ต้องตกใจ คนที่มารจะใช้ได้ ควบคุมได้ จะไม่มีพระเจ้าอยู่ในใจ ไม่มีพระเยซูอยู่ในใจ เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในพระเยซู ไม่มีการปรับโทษเราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระ พ้นจากกฎแห่งบาปและความตายแล้ว

เราจะขายที่ดิน แล้วเราจะถวายหรือไม่ถวาย ไม่ใช่ความผิด สำหรับลูกๆ ของพระเจ้าที่เชื่อพระเจ้า  เราอยากถวาย เราอาจจะถวาย 10%  20  %  หรือ 100%  ก็อยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ในใจของเรา ทำงานอยู่ในใจของเรา  บอกเราให้ทำ แล้วเราก็ทำตาม  ถ้าเราไม่ทำตาม เราเถียงกับพระเจ้า  พระองค์ก็มีวิธีหว่านล้อม มีวิธีที่จะชักจูงให้เรา ทำตามจนได้ พระองค์ไม่ฆ่าเรา เพราะไม่อย่างนั้น พระเยซูคงไม่ตายแทนเราไปเรียบร้อยแล้ว ให้พี่น้องคิดถึงภาพบุตรน้อยหลงหาย พี่น้องจะเข้าใจชัดเจนมาก

ในพระคัมภีร์บันทึกเรื่องบุตรน้อยหลงหาย … ลูกชายคนเล็กได้ขอมรดกจากพ่อ  แล้วก็ออกไปเที่ยวกิน สำมะเรเทเมา จนหมดเนื้อหมดตัว แล้วก็คิดถึงพ่อ  ก็อยากกลับบ้าน เพราะถ้าอยู่ที่บ้านกับพ่อนั้น  อย่างไรก็ไม่อดตาย อย่างไรก็มีกิน พี่น้องไปอ่านดูให้ละเอียดเลยนะ พี่น้องจะเห็นว่าพระเจ้า ก็คือพ่อคนนั้น ที่ยืนคอยอยู่ที่ปากทางทุกวัน นั่งคอยทุกวัน พระคัมภีร์บันทึกว่าพ่อเห็นลูกแต่ไกลว่าเดินเข้ามาหา พ่อไม่ได้รอ พ่อไปต้อนรับ นั่นคือพระเจ้าของเรา  พระเจ้าไม่ลงโทษ เมื่อเราทำผิด เพราะพระเยซูรับโทษนั้นไปทั้งหมดแล้ว

ดิฉันเล่าเรื่องนี้ ไม่อยากให้พี่น้องกลัวว่าเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน มาจากการลงโทษของพระเจ้า ไม่ใช่ มีแต่มารที่คอยลงโทษ คอยฟาดฟัน  แล้วถ้าท่านไม่รู้ว่าเป็นงานของมาร ท่านก็จะบอกว่าพระเจ้าใจร้าย  ท่านก็จะบอกว่าพระเจ้าเอาอีกแล้ว พระเจ้าไม่อยากให้เรามีความสุข อยากให้เราต้องกลัวจนตัวสั่น ลนลาน ไม่ใช่นะคะ พระเจ้ารักเรา รักเรามากเหลือเกิน

ในพระคัมภีร์เดิมก็พูดถึงว่าพระเจ้ารักเราอย่างสุดซึ้ง ดื่มด่ำ อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบความรักของเราลูกๆ ของพระเจ้ากับพระเจ้าว่าเหมือนกับความรักของสามีภรรยาถวิลหากันทุกวัน  คิดถึงกันทุกเวลา นั่นแหละพระเจ้าคิดถึงเราทุกเวลา  อยู่กับเราตลอด อยู่ที่เราจะรับรู้พระองค์ไหม? เราจะเมินเฉยต่อพระองค์ หรือรับทราบว่าพระองค์กำลังคุยอะไรกับเรา พระเจ้ารักพวกเรา  ไม่มีข้อแม้จริงๆ ถ้ามีข้อแม้ ก็หมายความว่าการที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวคงไม่พอ  แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูตายบนไม้กางเขน เพื่อเราครั้งเดียวพอ แล้วมอบชีวิตนิรันดร์ให้กับพวกเรา คือชีวิตของพระเจ้า ให้กับพวกเราที่เชื่อ เข้ามาอยู่ในเรา  แต่พระองค์ไม่สามารถให้ชีวิตนิรันดร์แก่คนที่เป็นเครื่องมือของมาร หรือเป็นลูกของมารได้  และคนเหล่านั้น เขาก็แอบแฝงเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า

เหมือนที่พระเยซูยกอุปมาว่าเจ้าของที่ดินหว่านข้าวลงไปในนา แล้วมารก็มาหว่านวัชพืชลงไปด้วย พระเจ้าก็เมตตา ไม่ได้ถอนทิ้ง เพราะไม่อย่างนั้นจะเสียหายหมดทั้งข้าวที่ดีๆ จะหมดไปพร้อมวัชพืช พระองค์รอให้ทุกอย่างเติบโต เห็นชัดว่าอะไรเป็นอะไร พระเยซูบอกว่าเราจะเห็นคนได้ชัด ที่ผลของเขา  เมื่อปลูกข้าวก็ต้องออกรวงมาเป็นข้าว ไม่ใช่เป็นวัชพืชที่ไร้คุณค่า

เราขอบคุณพระเจ้า ไม่อยากให้พี่น้องวิตก กังวล ทุกข์ร้อน พระองค์บอกว่าอย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย  ให้เราทูลทุกอย่างกับพระเจ้าของเรา พระองค์บอกพระองค์ทรงห่วงใยเรา พระองค์บอกให้เราโยนภาระให้กับพระองค์ ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าถามว่าพระเจ้าทำให้เราสำเร็จฝ่ายวิญญาณ แล้วมันมีผลออกมาทางฝ่ายที่มองเห็น  คือฝ่ายวัตถุบนโลกนี้ไหม?

พี่น้องดิฉันเคยบอกแล้วว่าการกระทำทุกอย่างบนโลกนี้ ก็มีผลสนองต่อการกระทำนั่น แบบกฎของโลก  ถ้ามีใครสักคนหนึ่งฆ่าคนตาย  โดยไม่เจตนาก็ตาม  เขาก็ต้องถูกศาลพิพากษาลงโทษ ถ้าเราพูดไม่ดี กับใครสักคนหนึ่ง เราก็หว่านความเกลียดชังลงไปในใจ ถ้าเราอยากดีกับเขา ก็ไปขอโทษเขา  การคืนดีก็จะกลับมา อาจจะสนิทสนมกันมากกว่าเดิม หรืออย่างน้อย ก็ทำให้คลื่นกระแสลบ สลายหายไปได้  นี่แหละความรักของพระเจ้า  ไม่มีข้อแม้ ก็ไม่มีจริงๆ แต่เราต้องเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เราหว่านไปบนโลกนี้ มันเป็นกฎธรรมชาติ ขอพระเจ้าเมตตาทุกคนค่ะ

 

*******************

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “วันเพนเตคอส” วันที่ 29 เมษายน 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “วันเพนเตคอส”

วันที่  29  เมษายน  2020

 

สวัสดีค่ะพี่น้องในพระเยซูคริสต์ทุกท่าน  เรามาคุยกัน ในช่วงนี้ก็ใกล้เวลาจะระลึกถึงวันเพนเตคอส ซึ่งเป็นวันที่ประวัติศาสตร์คริสตจักรเริ่มต้น มีคริสตจักรเกิดขึ้น  พระเยซูบอกให้สาวกรอที่กรุงเยรูซาเล็มรอพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาจุ่ม ชุบตัวพวกเขา  เหมือนกับว่าบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นคนละเรื่องกับบัพติศมาด้วยน้ำ

บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีใครอื่นทำได้  พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เราเอง  พระเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติการนี้  โดยให้เราผู้เชื่อ ได้เข้าไปมีส่วนในการตายของพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูคริสต์ มีชีวิตใหม่ ดำเนินชีวิตด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  และตรงนี้ทำให้มีพลังเกิดขึ้นในการที่จะทำให้เราทุกคน ที่เคยดำเนินชีวิตในความบาป  ได้ตายต่อบาป  ไม่ต้องหวลหาอาลัยกับบาปต่างๆ ที่เราเคยพิสมัย ชอบพอ เรารู้แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี  และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระองค์ก็จะช่วยเรา ให้รังเกียจบาป ตายต่อมัน  ไม่สนใจ ไม่เอาเรื่อง ไม่นำมาประพฤติ  ปฏิบัติในชีวิต แต่เอาชีวิตใหม่ที่มาจากพระเจ้ามาอยู่ในชีวิตของเรา  และยอมให้พระองค์ทำงานในชีวิตของเราอย่างเต็มใจ เพราะเรารู้ว่าเป็นทางแห่งความดีงาม ทางแห่งความสุขสมบูรณ์ เป็นทางแห่งสวรรค์นั่นเอง คือสวรรค์ลงมาอยู่ในตัวเรา  เพราะว่าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเคยอยู่แต่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์นั้น ได้โน้มพระองค์ลงมาทอดพระเนตรฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก และโน้มพระองค์ลงมาอยู่ในผู้เชื่อพระเยซูทุกคน  ที่ได้รับการยกโทษแล้ว  เพราะการเชื่อพระเยซูคริสต์ทั้งด้วยปาก และด้วยใจว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายเพื่อเรา

อันนั้น ก็เป็นกุญแจสำคัญว่าผู้ที่เชื่ออย่างนี้ ได้รับการให้เป็นลูกของพระเจ้า  พระเจ้าเองทรงเข้ามาปกคลุมเขาไว้ เหมือนเรามีขวดอยู่ใบหนึ่ง แล้วเราก็เอาขวดนั้นจุ่มลงไปในอ่างน้ำใหญ่ๆ  น้ำก็เต็มเข้าไปในขวดน้ำว่างเปล่า จนเต็มขวด  และขวดก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำนั้นด้วย การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เป็นทำนองนี้ คือเราเข้าอยู่ในพระเจ้า  พระเจ้าอยู่ในเรา

แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง และเป็นประเด็นของการถกเถียงกันมานานมากมาย หลายศตวรรษ ก็คือเรื่องของวันนั้น วันเพนเตคอส เมื่อพระวิญญาณเสด็จลงมา ผู้คนเห็นมีไฟ สัญฐานเหมือนลิ้นอยู่บนศีรษะของผู้เชื่อ แล้วพวกเขาเริ่มพูดภาษาแปลกๆ  คนมากมายก็ตีความหมายว่านี่แหละ คือภาษาสวรรค์ แต่ถ้าพี่น้องอ่านให้ละเอียดในหนังสือกิจการ ก็จะพบว่า ณ วันเพนเตคอสที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น เป็นภาษามนุษย์ทั้งสิ้น  เป็นภาษาที่แปลได้  ไม่ใช่ภาษาที่มาจากสวรรค์ ไม่ใช่ภาษาของทูตสวรรค์ ไม่ใช่ที่ไม่มีใครเข้าใจ เราทราบอย่างนั้น ก็เพราะว่าพระคัมภีร์บอกเราว่ามีคนยิวได้ไปอยู่ต่างประเทศ ได้เดินทางมา และได้ยินคนกลุ่มนี้พูดภาษาของพวกเขาเอง

เพราะฉะนั้น การพูดภาษาแปลกๆ ในวันเพนเตคอสนั้น  เป็นเรื่องของการประกาศให้คนรับเชื่อ ให้คนรู้ความยิ่งใหญ่ ความรัก และเจตนาของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด  เราจึงเห็นได้ชัดว่าในวันเพนเตคอส ภาษาแปลกๆ  ที่พูดกันนั้น เป็นภาษาของมนุษย์ เพราะมีมนุษย์ฟังและเข้าใจได้  มนุษย์ที่เป็นยิวที่แยกย้ายไปอยู่ตามที่ต่างๆ  มีภาษาใหม่ๆ พูด ไม่ได้พูดภาษฮีบรู หรืออาราเมล เหมือนคนในเยรูซาเล็ม แต่ไปอยู่ประเทศอื่นๆ  และเดินทางเข้ามาในเยรูซาเล็ม ณ วันนั้น  ได้ยินคนพูดภาษาของตน  ประเทศที่พวกเขาไปอยู่ และได้ยินเข้าใจว่าคนเหล่านี้ พูดสรรเสริญพระเจ้า  พูดถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พวกเขาก็กลับใจมาหาพระเยซู มาเชื่อพระเยซู

ดังนั้น หลักการเรื่องภาษาแปลกๆ นี้ เราจะพบว่าประเด็นใหญ่ คือเป็นของประทานอันหนึ่งที่พระคัมภีร์พูดถึง  แต่ดิฉันอยากจะแยกแยะว่าการพูดภาษาแปลกๆ ได้ ไม่ว่าจะฟังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง เป็นคนละเรื่องกับการบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เพราะว่าการบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ไม่ได้ถูกระบุว่ามีหมายสำคัญ คือพูดภาษาแปลกๆ  การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการรวมเราเข้ากับพระเจ้า  เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า เป็นเหมือนพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น พวกเราผู้เชื่อ ก็ได้ถูกรวมเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าด้วย  ดังนั้น พูดง่ายๆ เหมือนกับว่าพระเจ้า 3 พระภาค มี 4 แล้ว มีผู้เชื่อเข้ามาเพิ่ม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน

ดิฉันได้พบหลายคน มีพี่น้องถามว่า …

“ท่านบัพติศมาด้วยพระวิญญาณหรือยัง? ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยการพูดภาษาแปลกๆ หรือยัง?”

ถ้าบอกว่ายัง ก็จะถูกจับให้พูดออกมา  เพราะถ้าไม่พูดก็จะไม่รอด  แต่พี่น้องให้ทบทวนข้อแม้ของความรอดว่าพระเจ้าสอนว่าผู้ใดเชื่อด้วยใจ รับด้วยปากว่าพระเยซูคริสต์ตายบนไม้กางเขน รับบาปของพวกเราไป เราก็ตายต่อบาปไปด้วย  และเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซู เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เราก็อยู่กับพระเยซูด้วย  เป็นขึ้นมาแล้ว  เป็นชาวสวรรค์ไปเรียบร้อย โดยฝ่ายวิญญาณ  แต่ร่างกายเรายังคงติดอยู่กับโลกเก่านี้  ซึ่งรอวันเวลาผุพัง สลายไป  ดังนั้น สิ่งที่ดิฉันอยากจะหนุนใจพี่น้อง  ที่บางคนอาจจะไม่ได้พูดภาษาแปลกๆ  พี่น้องไม่ต้องตกใจ เพราะพระคัมภีร์ก็พูดถึงของประทานต่างๆ ไม่ใช่ทุกคนต้องมีของประทานอันนั้น อันนี้  แต่ของประทานเป็นของที่พระเจ้าเอาไว้ให้ใช้ในการเสริมสร้างพระกายของพระเยซูคริสต์ คือพวกเรานั่นเอง เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน  ช่วยเหลือกัน ของประทานเหล่านั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพูดภาษาแปลกๆ  มีหมายสำคัญมากก็คือเป็นการประกาศเรื่องพระเยซูให้รู้จัก เพราะว่าเป็นอัศจรรย์มาก ถ้าอยู่ดีๆ มีใครสักคนหนึ่ง กำลังพูดภาษาเยอรมัน แล้วมีคนเยอรมันเดินเข้ามา คนที่พูดภาษาเยอรมันนั้น ไม่เคยเรียนภาษาเยอรมันมาก่อน แต่พูดภาษาเยอรมัน โดยที่คนในที่ประชุมพูดภาษาไทยทั้งหมด ไม่มีใครเข้าใจ แต่มีชาวต่างชาติ เป็นเยอรมันเดินเข้ามาในที่ประชุม ได้ยินคนไทย พูดภาษาเยอรมันกับเขา บรรยายถึงการช่วยให้รอดของพระเยซูคริสต์ บรรยายถึงความรัก ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พี่น้องคิดดูว่ามันจะอัศจรรย์ขนาดไหน?  มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับคนที่เข้ามาใหม่  ซึ่งเขายังไม่ได้เชื่อพระเจ้า  แต่เขาได้ฟัง ได้ยินคนพูดภาษาของเขาเอง จากปากของคนที่พูดภาษาเยอรมันไม่เป็น  ไม่เคยไปเยอรมัน

นั่นแหละประเด็นของเรื่องภาษาแปลกๆ  ในวันเพนเตคอส  เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เป็นการพูดภาษาทูตสวรรค์ แต่เป็นเรื่องของการพูดภาษาแปลกๆ ที่มีคนต่างชาติเข้าใจ  เข้าใจคำพยานที่เล่าเรื่องพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแก่มนุษย์ นั่นคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ที่เป็นประเด็นที่พระเจ้าต้องการ เป็นการขยายอาณาจักร ขยายแผ่นดิน ให้ผู้คนเข้าแผ่นดินสวรรค์มากขึ้น เพราะว่ามันเป็นเรื่องราวที่มนุษย์ทำไม่ได้  พระเจ้าเท่านั้นจึงจะทำได้ ผู้คนที่ได้ยินได้ฟัง  ก็จะตื่นเต้นมากว่า …

“ดูสิ คนไทยคนนี้ทำไมพูดภาษาเยอรมันประกาศเรื่องพระเยซูกับเขาได้  พระเจ้ามีจริงแน่นอน  พระเจ้าสามารถพูดกับเขาผ่านปากคนที่ไม่รู้จักภาษาของเขาเลย”

นี่คือประเด็นที่สำคัญของวันเพนเตคอส ส่วนจะเป็นเรื่องภาษาแปลกๆ ที่พูดกันเป็นภาษาทูตสวรรค์ หรืออื่นๆ ดิฉันจะไม่พูดถึง เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลี้ลับไป จะพูดกันเร็วๆ สั้นๆ ไม่ได้  แต่ให้เข้าใจกันโดยประเด็นหลักว่าการพูดภาษาแปลกๆ ของสาวกในวันเพนเตคอส  ไม่ใช่ภาษาที่ไม่รู้เรื่อง

แล้วอาจารย์เปาโลก็พูดเสมอว่าการที่ใครจะพูดภาษาแปลกๆ นั้น ต้องมีคนแปลได้  ถ้าแปลไม่ได้ ก็อย่าพูด เพราะจะทำให้ที่ประชุมนั้นเลอะเทอะ ส่งเสียงไม่เป็นโล้เป็นพาย เหมือนคนเมาเหล้า เหมือนคนทะเลาะกัน  บางคนพูดภาษาจีน บางคนพูดภาษาอินเดีย บางคนพูดภาษาสวิส บางคนพูดฝรั่งเศส บางคนพูดเยอรมัน พูดกันทั้งที่ประชุม วุ่นวายไปหมด  ไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไร?  เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้การประชุมไร้ค่า ไม่มีประโยชน์  เป็นเรื่องเลอะเทอะ แต่ถ้ามีใครสักคนหนึ่งแปลได้  ต้องมีประโยชน์แน่นอน  เพราะจะทำให้คนได้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มีของประทานที่เป็นฤทธิ์เดช ที่มนุษย์คนหนึ่งพูดได้ และคนที่เป็นเจ้าของภาษานั้นเดินเข้ามาได้ยิน ก็จะตื่นเต้น และเชื่อ  เพราะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ

อาจารย์เปาโลได้เตือนการใช้ภาษาแปลกๆ ว่าให้เราอย่าไปสนใจมากนัก ให้เราพยายามเรียนรู้ถึงสิ่งที่เราเข้าใจได้ ด้วยสมองของเราด้วย  ให้เราจดจำและเพ่ง ไตร่ตรองกับถ้อยคำพระเจ้า กับสิ่งที่พระเจ้าสอน กับที่เป็นชีวิตของเรา  ก็จะสร้างเสริมเรา  เพื่อให้เราเติบโตขึ้น ในความเชื่อศรัทธา ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรา เชื่อสมบูรณ์หมดแล้ว ได้รับหมดแล้ว แต่ร่างกายของเราต้องถูกฝึกให้ไปด้วยกันกับวิญญาณด้วย

ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนที่ดิฉันเชื่อพระเยซู ในวันที่เดินออกไปรับเชื่อ ดิฉันพบความรู้สึกที่ประหลาดมาก  คือตื้นตัน ซาบซึ้งและอะไรอีกมากมายหลายอย่าง  ไม่รู้เหมือนกัน บรรยายไม่ถูก ดิฉันร้องไห้ สามี (ซึ่งตอนนั้นยังเป็นแฟนกันอยู่) ก็ออกมารับเชื่อพร้อมกัน  แล้วก็นั่งร้องไห้กันอยู่ 2 คน ในที่ประชุม หลังจากที่ทุกคนเลิกประชุมแล้ว ออกไปหมดแล้ว ดิฉันกับแฟนก็ยังนั่งร้องไห้ เป็นชั่วโมงๆ และหลังจากวันนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป  โดยที่ยังไม่ได้พูดภาษาแปลกๆ เลย  บางคนอาจจะบอกว่าชีวิตไม่เปลี่ยนแปลงหรอก แต่ว่าคนมากมายในโลกนี้ เป็นพยานได้ว่าคุณพูดภาษาแปลกๆ แล้วคุณเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นประสบการณ์ แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น  ที่พระเจ้าจะทำให้เรา ไม่เกี่ยวกับภาษาแปลกๆ  อย่างที่ดิฉันพูดให้ฟังประเด็นแรก  ภาษาแปลกๆ เป็นภาษา เพื่อประโยชน์ในการประกาศข่าวประเสริฐ แต่การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการให้ชีวิตใหม่กับเรา  ทำให้เราเป็นคนใหม่  เปลี่ยนผ่าตัดหัวใจของเรา เปลี่ยนใจหิน ให้เป็นใจเนื้อ  เป็นหัวใจที่รับรู้พระเจ้า  เป็นหัวใจที่รักพระเจ้า  เป็นความจริงที่เข้ามาในชีวิตจิตใจของเรา  เหมือนที่เราร้องเพลงว่าเรารู้ว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว  เรารู้ เพราะพระองค์อยู่ในใจ ท่วมล้นอยู่ในใจ  ความรักของพระเจ้านั้นท่วมท้นหลั่งล้นอยู่ในหัวใจของเรา

ยกตัวอย่าง ถ้าพี่น้องต้องการการเจริญเติบโต  ที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ ก็ต้องรับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว โดยโลหิตไถ่ของพระเยซู ชำระเราให้พ้นบาป หมดบาปหมดเวร เราเป็นลูกของพระเจ้า และพระเยซูได้ถูกตรึง เพื่อเราทั้งหลายจะได้ตายต่อบาป คือไม่มีบาป  ไม่อยู่ใต้อำนาจของบาป แต่เราอยู่ในความชอบธรรม ถูกต้องของพระเจ้า นั่นก็คือ 1 เปโตร 2:24 ที่ดิฉันเคยให้หลายๆ คนที่มาเชื่อพระเยซูใหม่ๆ ให้พูดด้วยความเชื่อด้วยใจ  ด้วยปากของเขา ในถ้อยคำเหล่านี้  ยังไม่รู้เรื่องอื่นในพระคัมภีร์ไม่เป็นไร แต่ให้รู้แน่อันนี้เลยว่าตัวของพระเยซูคริสต์เองได้แบกบาปทั้งหลายของเรา ไว้ในร่างกายของพระองค์ บนต้นไม้นั้น ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องบูชา  และพระเยซูได้ถวายตัวเอง  เป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า  เพื่อให้พวกเราได้ตายต่อบาป คือไม่มีบาป ไม่อยู่ใต้อำนาจของบาป

คุณแม่ดิฉันเมื่อมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ  ทันทีนั้น คุณแม่ก็ไม่ได้รับรู้เรื่องอะไรได้ เพราะว่าป่วยหนัก แต่พระเจ้าทรงรักษาให้หาย  คุณแม่ก็ไม่ได้พูดภาษาแปลกๆ เลย แต่ดิฉันก็เขียนให้คุณแม่พูดถ้อยคำนี้  และคุณแม่ก็เปลี่ยนเป็นคนใหม่  ลืมทุกสิ่งที่เป็นของเก่าหมดเลย  แล้วมารับเชื่อพระเยซูคริสต์ อย่างเต็มใจท่านเอง โดยที่ดิฉันไม่ได้ไปบีบบังคับ หรือข่มขู่ หรืออ้อนวอนใดๆ ทั้งสิ้น

ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือการรวมเราเข้ากับพระเจ้า บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือการรวมเราเข้ากับพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า บรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชาติใดก็ตาม เป็นกรีก เป็นไทย ก็แล้วแต่ ฐานะใดก็ตาม เราได้เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นร่างกายอันเดียวกันของพระเยซูคริสต์

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญ ก็คือตรงนี้ ไม่อยากให้พี่น้องต้องเอาเรื่องที่เป็นรองมาตั้งเป็นเรื่องหลัก เรื่องหลักของเรา คือพระเยซูคริสต์พาเราตายร่วมกับพระองค์ และเมื่อพระองค์เป็นขึ้น เราเป็นขึ้นกับพระเยซูด้วย และเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นกำลัง เป็นฤทธิ์เดช นำพาชีวิตของเรา ให้ชีวิตของเราสมบูรณ์แบบ เป็นชาวสวรรค์แล้ว แต่ในขณะที่เรายังเดินอยู่ในโลกนี้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บัพติศมาเราคลุมเราไว้ในพระเจ้า  ก็มีฤทธิ์เดชที่จะสอนเรา นำพาเราให้เรียนรู้จักความรัก ความกว้าง ความลึก ความยาว ความสูงของความรักของพระเจ้า  ให้เราซาบซึ้งในคุณงามความดีของพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ และรังเกียจ สิ่งที่พระเจ้าเกลียด แต่รักสิ่งที่พระเจ้ารัก ขอพระเจ้าเมตตา เอเมน

 

**********************

 

คำหนุนใจ จาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์สำคัญอย่างไร?” วันที่ 15 เมษายน 2020

คำหนุนใจ จาก Ps.เทพิน  ชาติผดุง

เรื่อง “การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์สำคัญอย่างไร?”

วันที่ 15 เมษายน 2020

            สวัสดีพี่น้องในพระคริสต์ทุกท่าน สัปดาห์นี้ เราพึ่งผ่านวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันระลึกถึงการเป็นขึ้นจากความตาย  เราจะมาคุยกันว่า “การเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์สำคัญอย่างไร?” และสำคัญกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ติดตามพระองค์อย่างไร?  เรามาดูในหนังสือมัทธิว อันนิดหนึ่ง พระเยซูคริสต์พยากรณ์ล่วงหน้า ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเรื่องการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระองค์ ในมัทธิว 20:17

มัทธิว 20:17-19 “17 ขณะพระเยซูกำลังเสด็จไปเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาสาวกสิบสองคนเลี่ยงออกมาและตรัสว่า 18 “พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกทรยศและมอบให้พวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหารพระองค์ 19 และจะมอบพระองค์ให้คนต่างชาติเยาะเย้ยโบยตีและตรึงตายบนไม้กางเขน แล้วในวันที่สามพระเจ้าจะทรงให้พระองค์คืนพระชนม์!”

 

อันนี้เป็นคำพยากรณ์ล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูจะถูกทำร้าย ถูกนำไปประหาร นี่เป็นครั้งที่ 3 ที่พระเยซูทำนายถึงพระองค์เอง เพราะฉะนั้น การที่ใครบางคนบอกล่วงหน้าได้ว่าเขาจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องเผชิญกับอะไร? แล้วมันเป็นความจริง ก็เป็นเรื่องที่น่าทึ้งมาก เราคงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมีคนเชื่อถือพระเยซูคริสต์ ผ่านมาแล้ว 2,000 ปี ไม่น้อยลงเลย  แต่เพิ่มพูนมากขึ้น  ในยามทุกข์ยากลำบากทุกครั้ง ก็จะมีคนมาเชื่อพระเยซูคริสต์มากขึ้น แต่จะย้ำให้ฟังว่าไม่ใช่ เพราะพระเจ้าทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบาก แต่ว่ามารวางไว้ ต้องการบีบคั้น ทำร้ายผู้คน  มนุษย์ที่พระเจ้าส่งมา ก็พยายามทำทุกวิถีทาง ให้มนุษย์พ่ายแพ้ ให้มนุษย์เลวทราม ให้มนุษย์เจ็บปวดทรมาน  แต่พระเจ้าหยุดและมองดู

ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าของเรา ไม่เหมือนพระเจ้าอื่นใด  พระเจ้าของเรา พระเกียรติสิริของพระองค์ อยู่เหนือฟ้าสวรรค์ และพระองค์ทรงทอดพระเนตรดูฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์อยู่เหนือสวรรค์ อยู่เหนือท้องฟ้า อยู่เหนือสวรรค์ชั้นล่าง เพราะพระองค์อยู่สูงขึ้นไปอีก แต่พระองค์ไม่ได้อยู่เฉยๆ  เสวยสุขของพระองค์ตามนั้น ไม่ใช่ พระองค์โน้มพระองค์ลงมาทอดพระเนตรฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์คอยดูมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมาตลอดเวลา ดังนั้นเราไม่ต้องห่วงว่าพระเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง

ให้เราเห็นชัดว่าพระเยซูตั้งใจ ที่พระองค์จะยอมตาม โดยการตายที่ไม้กางเขน  เป็นค่าไถ่ของผู้คนที่พระเจ้าทรงรัก ความหวังของเราจึงขึ้นอยู่กับพระเยซู เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ตายแล้วตายเลย  ดิฉันก็ไม่มีเวลามานั่งอ่านถ้อยคำเป็นข้อๆ  แต่จะให้ข้อพระคัมภีร์ไว้  ให้พี่น้องไปตามอ่านได้

เราจะดูว่าประโยชน์การที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย มีประโยชน์อะไรบ้าง?

(1) เมื่อพระเยซูเป็นจากความตาย  พระองค์เป็นปุโรหิตนิรันดร์  พี่น้องถ้าอ่านพระคัมภีร์ ก็จะพบว่าพระเยซูไม่ใช่ปุโรหิตที่มาตามเชื้อสายปุโรหิตในสมัยพระคัมภีร์เดิม  ไม่ใช่ตามบทบัญญัติของโมเสส

สมัยของโมเสสนั้น จะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าเผ่าเลวี คนพวกนี้เท่านั้นที่จะเข้าไปอยู่สถานนมัสการของพระเจ้า แล้วได้รับเลือกตั้งเป็นปุโรหิต พวกเขาทำหน้าที่ แล้วก็ตาย แล้วก็เปลี่ยนคนใหม่ แล้วก็ทำหน้าที่ แล้วก็ตาย แล้วก็เปลี่ยนคนใหม่  แล้วประชาชนก็ต้องมาทุกปี เอาเลือดแพะเลือดแกะมาบูชาทุกปี เพื่อลบบาปของพวกเขา แล้วไม่สามารถจะลบบาปได้อย่างถาวรนิรันดร์ แต่พระเยซูมาครั้งเดียว ตายหนเดียว  ลบบาปนิรันดร์ และเมื่อพระองค์ตายนั้น พระองค์ก็พาพวกเรา ซึ่งมาเชื่อในพระองค์ ตายร่วมกับพระองค์ด้วย  เป็นภาพเหมือนกับว่าพระเจ้าทรงยกเราจากอาณาจักรของมนุษย์อาดัม มาเป็นอาณาจักรของมนุษย์พระเยซู มนุษย์ในพระเยซู พอเราตายกับพระองค์ที่ไม้กางเขน ถึงแม้ว่าพระองค์ทำการนี้สำเร็จไป 2,000 กว่าปีแล้ว  แต่ว่าสำหรับพวกเราที่มาเชื่อ ก็ ณ วันที่เรามาเชื่อนั่นเอง  ตัวเก่าของเรา ชีวิตเก่าของเรา  ที่อยู่ใต้อิทธิพลของอาดัม คือโลกและความบาปทั้งหลาย 6.12

**************************

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ความประพฤติของเราบนโลก มีผลตอบสนองแก่เรา” วันที่ 2 เมษายน 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “ความประพฤติของเราบนโลก มีผลตอบสนองแก่เรา”

วันที่  2  เมษายน  2020

            สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซู เรามาคุยกันต่อในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้  ก็ให้เราใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น  เรียนรู้วิถีทางของพระองค์ที่ชัดเจนมากขึ้น

ครั้งที่แล้วเราคุยกัน เราได้รับความรอด สมบูรณ์ทางฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องของฝ่ายวิญญาณนี้ ไม่มีอะไรที่พระเยซูต้องทำเพื่อเราอีกแล้ว เพราะว่าถ้าตายวิญญาณก็ไปอยู่กับพระเจ้าได้เลย แต่ร่างกายเราที่ต้องอยู่ในโลกที่เสียหาย โลกแห่งความบาป  โลกที่ผู้คนมากมาย ก็ต้องอยู่ใต้อิทธิพลของมาร  รับใช้มาร เพื่อจะทำร้ายผู้อื่น  อันนี้เราก็ต้องพึ่งพระเจ้า  เพราะว่าพระคัมภีร์สอนเราแล้วว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับมนุษย์ เราไม่ได้ต่อสู้กับเลือดเนื้อ แต่เราสู้กับวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ ซึ่งเขาก็ใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ  เขาต้องการจะทำลายมนุษย์ของพระเจ้า  ลูกๆ ที่พระเจ้ารัก ไม่ว่าใครจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่?  ให้เรารับรู้ว่าในช่วงเวลาแห่งยุคพระคุณที่พระเยซูทำแทนเราสำเร็จแล้ว เป็นยุคที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ  แต่อยากให้มาถึงความรอด และได้ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเจ้า เอาไปเป็นของเขาเลย  แต่ในขณะซึ่งร่างกายของเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลก ทั้งโลกที่เสียหาย  มนุษย์ก็แปลกมากตรงที่ว่าอะไรเสียหาย อะไรเกิดไม่ดีขึ้น ก็บอกว่าพระเจ้าลงโทษ  โทษพระเจ้าไปหมดเลย  แต่ในพระคัมภีร์บอกพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ แต่ต้องการให้มาถึงความรอด เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่พระเจ้าแน่นอนเลย

พระเจ้าก็บอกแล้วว่าพระองค์มาเพื่อให้ชีวิต แต่มารมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย  เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ไม่ได้มาจากพระเจ้า  ต้องแยกแยะให้ชัดเจน  วิญญาณเราสมบูรณ์ได้รับความรอด  เราสามารถมั่นใจในความรอด ที่พระเจ้าให้ แต่ร่างกายเรายังอยู่ในโลกนี้  พระเจ้าก็สอนเรา พาเราให้เติบโต ร่างกายนี้ คือสิ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน ไม่ใช่เนื้อหนัง เนื้อหนังคือความคิดที่บาป  ความคิดที่ไม่ถูกต้อง  ความคิดที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า  แล้วพระเจ้าบอกว่าให้เราควบคุมมันให้ดี ซึ่งเอาไว้เรามีโอกาสจะคุยกันต่อไปในวันข้างหน้า แต่วันนี้อยากให้ข้อพระคัมภีร์ที่พี่น้องจะได้ยึดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เราไปดูใน 1 เธสะโลนิกา 5:16-24 พระคัมภีร์บอกเราว่า …

1 เธสะโลนิกา 5:16-24 “16 จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ 17 จงอธิษฐานอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด 23 ขอพระเจ้าเองผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์หมดจด ขอให้ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไร้ที่ติ เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา 24 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์จะทรงกระทำตามที่ตรัสไว้”

 

เรามีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในกายแล้ว เราต้องรับทราบตรงนี้ เราไม่ต้องวิ่งไปหาพระวิญญาณที่ไหน? ไม่ต้องวิ่งไปหาผู้รับใช้ที่ประกาศว่ามารับพระวิญญาณ ตัวท่าน เมื่อเชื่อในพระเยซู รับรู้การสถิตอยู่ของพระเยซูที่ตายเพื่อท่าน  ชุบชีวิตของท่านให้เป็นขึ้นมาร่วมกับพระองค์แล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่แน่นอน

แล้วพระคัมภีร์บอกด้วยว่าไม่ใช่พระวิญญาณอย่างเดียว  แต่ทั้งพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตร่วมกันในตัวท่าน เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งได้  รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระองค์ไม่เหมือนมนุษย์ ที่มองออกไปผ่านกำแพง ก็ไม่รู้แล้วหลังกำแพงมีอะไร? แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระคัมภีร์สอนในหนังสือ  1 เธสะโลนิกานี้ คือให้เราชื่นบานในพระเจ้า ไม่ได้ชื่นบานในโควิด-19 ไม่ได้ชื่นบานในคนตาย  ไม่ได้ชื่นบานในความทุกข์ยาก ที่หิวโหยอดอยาก ผู้คนเสียหาย ไม่ใช่  แต่ชื่นบานในพระเจ้าผู้ทรงช่วยเราได้ ผู้ทรงควบคุมทุกสิ่งอยู่

ถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าไม่ทำลายกิจการชั่วทั้งหลายไป  เพราะมันยังไม่ถึงเวลา มันมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง มีวาระสำหรับทุกอย่าง  เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลานี้  สิ่งที่เราควรทำ ก็ชื่นบานในองค์พระผู้เป็นเจ้า  ชื่นบานอยู่เสมอ  อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ  ขอบพระคุณในทุกกรณี  เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การช่วยเหลือของพระเจ้าในยามวิกฤต ได้ชัดเจนกว่าในยามที่สบาย เป็นเรื่องจริงๆ  ดิฉันได้พยายามที่จะฝึกตัวเอง โดยขอพระเจ้าว่าให้สอนด้วย  ที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ในตอนที่มีความยากลำบาก  หรือคับแค้นเกิดขึ้น  พระเจ้าก็สอนจริงๆ  ก็อยากจะให้พี่น้องรับทราบว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดู  ท่านอาจจะไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนเดิม แต่พระเจ้าไม่ทิ้งแน่นอน  และพระเจ้าก็จะสอนให้ท่านใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า  อย่างสมกับเป็นลูกของพระเจ้า  ขอบพระคุณในทุกกรณี

ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่บ้านดิฉัน เป็นสวน ก็จะมีผลไม้ออกบ้าง มีผักออกบ้าง  เราก็จะแบ่งปันเพื่อนบ้าน แจกจ่ายให้ทานโดยทั่วกัน บ้านไหนไม่มี เราก็เอาไปให้ แล้วเขาก็มีอย่างอื่นที่เราไม่มีให้มา เมื่อวานเราเอามะละกอไปให้น้องที่ร้านกาแฟ เขาก็ใส่ตะกร้ากลับมาให้ยัดสั่นแน่นพูนล้นจริงๆ มีอาหารเพี๊ยบ มีผลไม้  มีทุกอย่างเลยที่จะสามารถอิ่มและอร่อย และชื่นบานได้ด้วย  เป็นอะไรที่พี่น้องจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ แบบบ้านๆ  ที่มีน้ำจิตน้ำใจ ไมตรีต่อกัน แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ แต่เราอธิษฐานขอบคุณในทุกกรณี เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกเรา

ข้อที่ 19 สำคัญมาก อย่าขัดขวางพระวิญญาณ  อย่าดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ”

นี่หมายความว่าอะไร? ขัดขวางพระวิญญาณเป็นอย่างไร?  พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา  พระองค์ประสงค์ให้เราทำอะไร? ประสงค์ให้เราทำ ย้อนไปดูข้อ 15 บอกว่า …

“อย่าให้คนใดทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงตอบแทนความดีเสมอ ต่อตัวท่านเอง  และต่อคนทั่วไปด้วย”

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเรารอดฝ่ายวิญญาณแล้ว วิญญาณเราปลอดภัย ขึ้นสวรรค์แน่นอนแล้ว  เราจะใช้ชีวิตอะไรก็ได้ สนุกสนานอะไรไปก็ได้  ไม่ใช่ เพราะการกระทำของท่านบนโลกนี้ มีผลตอบสนอง เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านหว่านข้าว ท่านก็เก็บเกี่ยวข้าว  ถ้าท่านหว่านวาจาที่หยาบคาย ไม่น่าฟัง ท่านก็ได้รับกลับมา  ท่านขับรถไปฝ่าไฟแดง

“ฉันไม่สน วิญญาณฉันได้รับความรอดแล้ว  ฉันเป็นชาวสวรรค์แล้ว  เพราะฉะนั้นฝ่าไฟแดงเลย จะรีบไป”

ไม่ได้นะ  ท่านก็จะได้รับจดหมายจากกรมการขนส่งทางบก ให้ไปจ่ายค่าปรับ เพราะมีกล้องวงจรปิด  ถ่ายไว้ชัดเจน รถเบอร์ที่ท่านขับอยู่ เห็นหน้านิดหนึ่งด้วย

เพราะฉะนั้น มันมีผลทั้งสิ้น  มันไม่หายไปไหน?  แต่ว่าขณะซึ่งเราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ พระวิญญาณจะนำพาเรา สอนเรา เช่น ถ้าเราพูดไม่ดี  เราจะรู้สึกสะอึกเลย นี่แหละเป็นการดับพระวิญญาณ  พระวิญญาณประสงค์ให้เราทำสิ่งที่ดี ทำดีอย่างไร? ทำดีต่อพวกเราเอง ผู้เชื่อทุกคนและต่อคนทั่วไปด้วย ทำดี เพื่อให้เขาได้เห็นพระเจ้า ในชีวิตของเรา  ผู้คนมากมายที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็ยังทำดีกันมากมายเลย

ดิฉันได้อ่านเรื่องหนึ่งเมื่อเช้านี้ คือมีรองกงสุลใหญ่เบลเยี่ยม ได้ช่วยคนไทยที่ติดอยู่ที่สนามบินที่เยอรมัน แล้วก็ช่วยจนกระทั่งได้กลับบ้าน  ถ้าพี่น้องมีเฟสบุ๊คก็ไปหาอ่านได้ในเฟสบุ๊คของดิฉันนะคะ ดิฉันได้แชร์ไว้ แล้วคนไทยถามว่า …

“ทำไมถึงช่วย”

รองกงสุลเขาบอกว่า … “ตอนก่อนนั้นเขาอยู่ญี่ปุ่น แล้วมีคนญี่ปุ่นช่วยเหลือเขา เขาเลยตั้งใจไว้แน่นอนเลยว่าถ้าเห็นใครที่ต้องการความเชื่อเหลือ เขาจะช่วย”

พี่น้องค่ะ เรายิ่งกว่านั้นอีก  เรามีพระเจ้าอยู่ในใจ  อยู่ในชีวิตเรา  เราควรจะทำได้มากกว่านั้น

มีพี่น้องคนหนึ่งที่เบลเยี่ยม  หญิงชราอายุ 90 กว่าปี เขายอมปฏิเสธเครื่องช่วยหายใจ  เพื่อให้คนหนุ่มสาว  คนที่อายุน้อยกว่าได้ใช้  เพราะเธอบอกว่าเธอเห็นโลกมาเยอะแล้ว จึงพร้อมที่จะจากไปแล้ว ในเมื่อเครื่องมือไม่พอ  ก็ให้คนอื่นที่ยังจะสามารถมีชีวิตอยู่ ทำประโยชน์ให้กับแผ่นดิน ให้กับโลกได้มากกว่าเธอ

คริสเตียนก็ควรจะมีท่าทียิ่งกว่านี้อีก  คือสามารถให้ได้มากกว่าที่คนอื่นเขาทำได้ เพราะว่าพระเยซูให้ชีวิต มอบให้ไปเลย แลกให้เลย เพื่อให้พวกเรา ได้ปลอดภัยจากการพิพากษาลงโทษ แล้วในโลกที่ชั่วร้าย นี้ แน่นอนว่ามีแต่เรื่องเสียหาย  มีแต่เรื่องทุกข์ยากลำบาก  มันไม่ดีขึ้นหรอก ไม่ต้องไปคิดเรื่องนั้น  คิดว่าเรามีพระเจ้า เราทำอะไรได้ดีกว่าเป็นประโยชน์มากกว่า ที่จะช่วยเหลือคนอื่น ที่จะแบ่งปันให้คนได้เห็นว่าความรักของพระเจ้าอยู่กับพวกเรา   ความดีงามของพระเจ้าอยู่กับเรา แล้วเราทำด้วยความขอบพระคุณว่าไม่ใช่ เพราะว่าเราอยากจะไปสวรรค์ เราได้ขึ้นแน่นอนแล้ว  ทำไมเรารู้ล่ะ เพราะว่าพระเยซูบอกเราว่าเราจะได้ไปอยู่กับพระเยซูในแผ่นดินสวรรค์ อาจารย์เปาโลก็สอนว่าร่างกายเรารอคอยความรอด ตอนที่พระเยซูจะมารับเราไป มันถึงจะไปประกบกัน  แต่ ณ ตอนนี้ ร่างกายเรายังอยู่ ยังเคลื่อนไหว ยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน ทั้งที่รู้จักพระเจ้าและไม่รู้จัก ทั้งที่ดี ทั้งที่น่ารัก ทั้งที่ไม่น่ารัก เยอะแยะไปหมด ก็คือให้เราทำตามถ้อยคำและน้ำพระทัยพระเจ้า

“อย่าดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ” คืออะไร?  ถ้อยคำสั่งสอน ผู้เผยพระวจนะสอน “จงทำดี” อย่าเหนื่อยล้าในการทำดีเลย เพราะท่านจะได้รับการเก็บเกี่ยว เมื่อถึงเวลาอันควร  และเว้นเสียจากสิ่งที่ชั่วทุกอย่าง

ทั้งหมดนี้ จะเป็นกำลังที่มาจากพระเจ้า โดยพระวิญญาณจะช่วยท่าน อะไรที่ทำไม่ได้ …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกไม่ผ่านตรงนี้ ขอกำลังให้ลูกสามารถผ่านได้ ทำได้”

พระเจ้าต้องการให้ท่านเป็นแสงสว่างในโลก และเมื่อท่านมีพระเยซู ก็คือมีความสว่างแล้ว อย่าเป็นตะเกียงที่ถูกถังครอบไว้ ให้เราเป็นความสว่างของพระเจ้า ที่ส่องไปในโลก ให้เห็นคุณงามความดีของพระเจ้า  ผ่านตัวของเราที่กระทำอยู่ทุกๆ วัน

ในข้อ 23 บอกว่า … “ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุข ทรงชำระท่านทั้งหลาย  ให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจดและทรงรักษาทั้งวิญญาณ  จิตใจ และร่างกายของท่าน ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเสด็จมา พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นซื่อสัตย์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ”

พี่น้องไม่ต้องอึดอัดใจว่า … “ยากจัง ฉันจะทำอะไรได้”

ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องทำ เหนื่อยยาก เหนื่อยใจ เพราะว่าการมาเชื่อพระเยซู ทำให้เราหายเหนื่อย เป็นสุข ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำอะไร?  เราจะชื่นชมยินดี เราจะมีความสุข และอยากทำ และมีกำลังจากพระเจ้า ถ้ายังไม่มีอะไรขับเคลื่อนมา  เราก็นมัสการ อธิษฐาน ขอบพระคุณ ทำสิ่งที่ปกติในชีวิตประจำวัน  พระเจ้าบอกพระวิญญาณดลใจให้เราไปช่วยใคร ก็ไป พระองค์จะให้กำลัง จะให้เรี่ยวแรงกับเราเอง  ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยากเลย  ไม่ใช่บัญญัติ ไม่ทำ ก็ไม่ตกนรกอีกต่อไป แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ตามถ้อยคำพระเจ้า  ผู้คนก็จะได้ชื่นชมยินดีในพระเจ้าของเราด้วย ได้รับความเมตตาผ่านเรา  และพวกเราขอบคุณพระเจ้า เขาก็จะได้ขอบคุณด้วย

ก็ขอให้พี่น้องได้มีความหวังใจ  และไม่ต้องห่วงกังวล เพราะชีวิตเราปลอดภัยในพระหัตถ์พระเจ้า พระเยซูแล้ว ยังไงก็ได้ไปสวรรค์แน่ ถ้าวันนี้ เขาบอกว่าให้เสียสละอะไรสักอย่าง ก็เดินออกไปได้เลย  ไม่มีปัญหา ขอพระเจ้าทรงเมตตา  ให้เรามีความกล้าหาญ มีจิตใจเหมือนพระเยซูที่รักมนุษย์  ขอพระเจ้าเมตตา  เอเมน

 

************************

 

 

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “เราได้รับความรอด สมบูรณ์ทางฝ่ายวิญญาณ” วันที่ 24 มีนาคม 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “เราได้รับความรอด สมบูรณ์ทางฝ่ายวิญญาณ”

วันที่  24  มีนาคม  2020

            สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระคริสต์ทุกท่าน ตอนนี้เรื่องที่เราเผชิญกันอยู่ และเป็นทุกข์กันมากมาย ก็อยากจะมาหนุนใจ ให้กำลังใจกัน บางคนอาจจะมีคำถามหรือการได้รับคำสอนว่าพระเจ้าลงโทษ ก็อยากให้พี่น้องทราบว่าในช่วงเวลานับแต่พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งตายบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระองค์ทำสำเร็จ แล้วพระองค์ไม่สาปแช่งใคร  การสาปแช่งซึ่งควรจะมี พระเยซูได้รับไปทั้งหมดแล้ว  แต่ใครจะได้เป็นเจ้าของ ใครจะได้รับตามพระสัญญา ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่จะรับเอาเข้ามาในชีวิต  แต่ถามว่าในโลกนี้ มันเป็นโลกที่เสียหาย  มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความบาป  แต่เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป  เพราะว่าพระเยซูได้ไถ่เราเรียบร้อยแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์ และเราเป็นลูกของพระเจ้า  เราไม่ได้เกี่ยวกับการที่ถูกสาปแช่งอะไร

ดังนั้น เหตุการณ์ไวรัสโควิด หรือว่าภัยธรรมชาติอะไรก็ดี บอกว่าพระเจ้าลงโทษ อันนี้ก็ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ อันนั้นเป็นตามยุคสมัยของพระคัมภีร์เดิมที่ผิดบัญญัติ  ก็ถูกลงโทษ ก็มีการสาปแช่ง มีการพิพากษา แต่ถึงวันเวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้รับให้เราไปหมดแล้ว  และแบกทุกอย่างให้เราแล้ว เราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการถูกสาปแช่ง หรือถูกลงโทษอะไรอีกต่อไป พี่น้องลองดูที่หนังสือฮีบรู 10:14 แล้วเราจะรู้ว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้นจริงๆ …

ฮีบรู 10:14 “โดยการถวายบูชาครั้งเดียว พระองค์ก็ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์เป็นนิตย์”

 

เห็นไหมค่ะว่าไม่ใช่ว่าพระเยซูตายบนไม้กางเขนให้เราแล้ว เป็นขึ้นมาจากความตาย  ให้เรามีชีวิตใหม่กับพระองค์ ไม่ใช่ว่าเป็นชั่วครั้งชั่วคราว  หรือว่าค่อยๆ ไป แต่พระคัมภีร์ฮีบรู 10:14 บอกว่า ที่พระเยซูทำ ที่ถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียว  พระองค์ก็ทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป

แต่แน่นอนในฝ่ายเนื้อหนังที่มองไม่เห็น พี่น้องก็ไม่ทราบว่ามันสมบูรณ์อย่างไร?  เพราะว่ามันยังติดอยู่กับธรรมชาติของโลกนี้  ธรรมชาติหรือสิ่งที่มองเห็นในโลกนี้ เป็นเรื่องที่เสียหาย และเอากลับคืนมาไม่ได้  แต่ที่พระคัมภีร์พูดถึง หมายถึงฝ่ายวิญญาณ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา เราเป็นคนที่ชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เพราะเรายอมรับเอาการกระทำของพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเรา ดังนั้น สิ่งที่พระเยซูกระทำ จึงเป็นของเรา ที่พระเยซูบอก ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงทำให้คนทั้งหลายได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป คือสมบูรณ์ในการเป็นลูกพระเจ้า สมบูรณ์ในความบริสุทธิ์ สะอาด สมบูรณ์ในชีวิตที่เป็นแบบเดียวกับพระเจ้า  เพราะว่าพระองค์ทรงเข้ามาอยู่ในเรา ทั้งพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาอยู่ในทุกคนที่เชื่อ ในพระเยซู เชื่อด้วยปาก รับด้วยใจ และขอพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับเรา พระองค์เข้ามาอยู่ทั้ง 3 พระภาค แล้วเป็นกำลังของเรา  นำพาเรา การที่เราบังเกิดใหม่แล้ว  มีชีวิตสมบูรณ์ทางฝ่ายวิญญาณตลอดไป ไม่ใช่ค่อยๆ มาสมบูรณ์  แต่ภายนอกที่มองเห็นนั้น เป็นการต้องเจริญเติบโต โดยวิถีทางที่พระเจ้าจะนำพา

ถ้อยคำพระเจ้า อาจารย์เปาโลบอกว่าการเติบโตนั้น มาจากพระเจ้า  ก็มีคนสอนถ้อยคำ มีคนปลูก มีคนรดน้ำ  แต่การเติบโตนั้น พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เติบโต และพวกเราก็เติบโตในความเชื่อ ในความรัก ในชีวิตที่พัฒนาขึ้นฝ่ายจิตใจ  ฝ่ายวิญญาณนั้นสมบูรณ์ครบถ้วนหมดเลย  ไม่มีอะไรบกพร่อง ไม่มีอะไรเสียหายเลย  แต่ว่าความคิดจิตใจของเรา  มันถูกครอบงำด้วยเรื่องของโลก ด้วยเรื่องเก่าๆ ที่คิดว่าพระเจ้าทำร้าย พระเจ้าสาปแช่ง พระเจ้าทำให้เกิดโน่นนี่นั่น  แท้จริงพระเจ้าไม่ใช่นะ ไม่ได้เป็นผู้ทำอย่างนั้นเลย  เรามั่นใจได้ เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้  บอกว่าไม่ใช่ พระเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ  ไม่ได้ทำให้มันเกิด  เราต้องมาเข้าใจตรงนี้  แต่ว่าใครทำให้เกิด? มาร  ซึ่งมนุษย์ไปยอมให้เขามาเป็นนาย ในโลก ในตัวของผู้ที่ไม่เชื่อ  เขาก็สำแดงไปตามเรื่องของเขาที่ไม่ดี ทั้งสิ้น  แล้วก็โทษว่า …

“นี่เห็นไหม? พระเจ้าทำ  พระเจ้าโกรธ พระเจ้าตัดสิน พระเจ้าพิพากษา”

พี่น้องคงจำได้ในมัทธิว บทที่ 24 พระเยซูก็บอกสาวกว่าจะบังเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา  จะมีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มีการกันดารอาหาร มีสงคราม มีโรคระบาด นั่นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทำให้เกิด แต่พระเยซูเล่าให้เราฟังว่าคือเรียกว่าความชั่วร้ายของโลก ที่มารทำให้ยับเยิน มันจะมาเข้มข้นในตอนสุดท้าย ที่พระเยซูจะมา เพราะพระเยซูกำลังจะมา มารรู้ไหม? มันก็รู้เหมือนกัน ดังนั้น ก่อนที่เขาจะต้องสูญเสียทุกอย่างไป เขาก็ต้องทำลายมัน ให้มันยับเยินไปเลย  และวิธีที่เขาจะทำให้พระเจ้าเสียใจที่สุด ก็คือวิธีทำร้ายมนุษย์  เพราะว่าพระเจ้ารักมนุษย์ รักพวกเราทุกคน จึงยอมให้พระเยซูคริสต์มาตายแทนเรา

เราดูใน 2 เปโตร 3:9  บอกว่า … “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้าที่จะทำตามพระสัญญาอย่างที่บางคนคิด แต่ทรงอดทนต่อท่าน เพราะพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่”

 

เห็นไหม พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ทำให้เกิดทุกข์ภัยเหล่านี้  แต่ทุกข์ภัยเหล่านี้มาจากมาร มาจากวิญญาณชั่วที่ดลใจให้ผู้คนทำร้ายกัน  ดลใจให้มนุษย์ทำร้าย ธรรมชาติ โลก ทำลายสิ่งที่จะทำให้ชีวิตอยู่ดีมีสุข ก็ทำให้มันเละเทะไป แล้วตัวเองก็รับผลของมัน  แล้วก็บอกว่าพระเจ้าลงโทษ

ในเวลานี้ พระเจ้ายังไม่ลงโทษ ถ้าพี่น้องอ่านพระคัมภีร์ทั้งหมด ก็จะทราบว่ายุคนี้เป็นยุคพระคุณ ยุคคริสตจักร ไม่มีการลงโทษ  มีเป็นเรื่องของธรรมชาติของโลกนี้ ที่เสียหายไป มันก็ออกลูกมาเป็นความเสียหายต่างๆ มากมาย  ถ้าจะพูดถึงพระเจ้าลงโทษ ก็ต้องไปวิวรณ์โน้นเลย ตอนที่มีตรา มีแตร เป็นเวลาที่พระเจ้ารับคริสตจักรไปแล้ว  จึงส่งการลงโทษมาถึงโลก มาถึงมนุษย์ที่ดื้อไม่เชื่อฟัง

ดังนั้น รายการโควิด-19 หรือไวรัสโควิด-19 ไม่ได้มาจากพระเจ้า เราอย่าไปรับข้อมูลนี้ว่าพระเจ้าลงโทษ มันเลยได้มา เพื่อสั่งสอนให้รู้ซะบ้าง ไม่ใช่นะ พระเจ้ารักมนุษย์ เมื่อกี้เราก็รู้แล้ว  อ่านพระคัมภีร์ไปแล้ว พระเจ้าไม่ได้ช้า หรือมาช่วยเราเร็วๆ  เพราะว่าทรงอดทนกับพวกเรา  พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย  แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ ดังนั้น การที่พระองค์จะให้เรากลับใจใหม่ พระองค์ทำด้วยความเมตตา  เข้ามาด้วยความเมตตา ให้เราเห็นความดีงามของพระองค์ ความรักของพระองค์ ไม่ใช่ฟาดเราจนเละ มารฟาดเราจนเละ  แต่พระเจ้ามาช้อนเราให้กลับคืนดี มารทำให้เรือแตก แต่พระเจ้าต่อเรือเราให้สมบูรณ์แล่นได้ต่อไป เป็นอย่างนี้มากกว่า

ส่วนท่าทีที่เราจะมีในขณะนี้ ซึ่งจะดำเนินชีวิตในเหตุการณ์ขณะนี้  ดิฉันก็อยากจะยกตัวอย่างอันหนึ่ง  คงจะจำได้ในสมัยของดาเนียล มีเพื่อนของดาเนียลชื่อ ชัดรัด เมชาค และอาเบดเนโก ถูกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะโยนไปในเตาไฟ เพราะไม่ยอมนมัสการรูปปั้นที่กษัตริย์ตั้งเอาไว้ เขาพูดว่าพระเจ้าจะทรงช่วย  แต่ถ้าพระเจ้าไม่ช่วย เขาก็จะปรนนิบัติพระเจ้า แต่ผู้เดียวเท่านั้น  จะไม่ปรนนิบัติผู้อื่น  คือตายก็เป็นตายแหละ เชื่อพระเจ้าองค์นี้ ตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะว่าตายแล้ว ก็ไปอยู่กับพระเจ้าสบาย  ไม่ต้องลำบากอยู่ในโลกนี้

ดิฉันก็คิดว่านี่เป็นข้อคิดที่ดีสำหรับคริสเตียน คือผู้เชื่อพระเยซูทุกคน  ไม่ว่าจะอยู่หรือจะตาย  จะหัวเราะหรือร้องไห้ เราขอบคุณพระเจ้าได้ว่าเรามีความรอด เรามีแผ่นดินสวรรค์รอคอย  เราก็จะพูดเหมือนอาจารย์เปาโลว่าตายก็ได้กำไร เราอยู่ เราก็เป็นพยาน เพื่อพระเจ้า ไม่ว่าจะเจอทุกข์ลำบากอย่างไร? เราก็ยังยืนยันในความเชื่อของเรา เรายังมั่นใจว่าพระเจ้าองค์นี้แหละ ที่เชื่อได้ ไว้ใจได้  สัญญาไว้แล้วต้องเป็นความจริงว่าเราจะมีแผ่นดินสวรรค์อยู่ มีบ้านใหม่ ถนนทำด้วยทองคำ  เราจะกลับไปอยู่แผ่นดินของพระเจ้า ที่ไม่มีร้องไห้ ไม่มีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีกต่อไป

ก็หวังว่าพี่น้องจะได้รับกำลังใจ  และตั้งใจของท่านอยู่ที่เบื้องบน  เพราะว่าทุกคนบนโลกนี้ ก็ประสบความทุกข์ยากลำบาก  ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ พระเยซูก็พูดแล้ว ไม่ได้บอกว่า …

“มาเชื่อฉันนะ เธอจะได้สบาย เธอจะไม่เจ็บป่วย เธอจะรวย”

ไม่มี มีแต่บอกว่า … “ท่านได้รับการยกโทษ ได้บังเกิดใหม่ ได้ชีวิตใหม่ ได้สนิทกับพระเจ้า มีพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัว พาสเตอร์เราก็บอกว่าองค์ลง คือพระเจ้าเองมาอยู่กับเรา เป็นกำลังใจของเรา คอยบอก คอยปลอบใจ คอยสอน คอยหาทางออกให้ แล้วให้เรามั่นใจว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่แค่ 60 ปี  70 หรือ 80 หรืออย่างมากร้อยนิดหน่อย  ไม่นานกว่านั้น ซึ่งเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่เรื่องที่เราจะอยู่กันยาว เป็นอมตะ นิรันดร์กาล ในแผ่นดินสวรรค์ ที่มีแต่ความสุข  มีแต่สิ่งสวยงาม มีแต่เรื่องบันเทิงใจ มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งสิ้น ก็ไม่ได้บอกว่าเราจะร้องไห้ไม่ได้ เราจะเสียใจไม่ได้  หรือตกใจไม่ได้ แต่ถ้าเราตกใจกลัว ก็ให้เรารีบเข้ามาหาพระเจ้า  เพื่อให้ถ้อยคำของพระองค์นั้น ล้างความกลัวออกไป พระเจ้าไม่ได้ให้วิญญาณแห่งความกลัว  แต่ให้วิญญาณแห่งความกล้าหาญ

วิญญาณแห่งความกลัวมาจากมาร  แล้วมารก็พยายามที่จะให้กลัว เพื่อที่เขาจะได้ควบคุมท่านได้  ฉะนั้น พระเจ้าถึงได้ตรัสว่า “อย่ากลัวเลย” ตลอดเวลา พูดว่าอย่ากลัวเลย เพราะรู้ว่าเราต้องกลัว แต่การที่บอกว่าอย่ากลัวเลย  ก็เพราะว่าพระเจ้าช่วยได้  มั่นใจได้  ถ้าร่างกายนี้ต้องเสื่อมสลายไป ซึ่งมันต้องเสื่อมอยู่แล้ว ไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง  แต่วิญญาณของเรา ซึ่งเป็นนิรันดร์กาล  จะนิรันดร์แบบไหน? นิรันดร์ในบึงไฟนรก หรือนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ ที่สวยงามของพระเจ้า เราก็เลือกเอา

ขอบคุณพระเจ้า ก็ขอให้พี่น้องได้มีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*********************