คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2015 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 2 “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วน ในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  พฤศจิกายน  2015

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 2 “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วน

ในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ยังจำกันได้ไหมครับว่าช่วงนี้เราอยู่ในซีรี่ส์ของการบรรยาย “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 2

สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เริ่มอธิบายความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Identity in Christ”  และได้เน้นย้ำเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ว่าในการดำเนินชีวิตของพวกเรา ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา และให้รู้ตัวตนของตัวเองอยู่เสมอว่าตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้ เมื่อเรามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้  หรือตามกระแสของโลกนี้ ตามสังคมหรือผู้คนรอบข้างที่พูด หรือบอกมา เข้าหูเรามา แต่ตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ได้ถูกกำหนด โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ ต้องจำตรงนี้ให้แม่นเลยนะ เราจะได้รู้ ถ้าเรากำหนดผิดไปปุ๊บ เหมือนกลัดกระดุมเสื้อผิด เม็ดแรกเท่านั้นเอง เสร็จสุดท้าย ผิดหมด เสียเวลาเปล่าๆ

เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นหัวใจ เราคือใคร? ตัวตนจริงๆ คือใคร? ต้องไปดูที่การทำงานของพระเยซูคริสต์เพื่อเรา? ทำอะไรเพื่อเราบ้าง? ตรงนี้สำคัญที่สุด อย่าไปฟังโลกใบนี้ ที่เขาบอก เราอาจจะถูกหลอกได้

จำได้ใช่ไหมครับว่าครั้งที่แล้ว ผมได้อธิบายความแตกต่างของข้อมูลของตัวตน 2 ประเภท คือ.-

  1. ข้อมูลตัวตนที่แท้จริง ที่เรียกว่า True identity
  2. ข้อมูลตัวตนที่เป็นเท็จ ข้อมูลตัวตนปลอมนั่นเอง ที่เรียกว่า Liedentity

Liedentity ก็คือการปลอมแปลงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อหลอกคนอื่นบ้าง? หรือบางทีเราได้รับข้อมูลมาหลอกตัวเองบ้าง? ตั้งใจให้เขาหลอกบ้าง? หรือยินดีให้เขาหลอก ก็มี เพราะอยากได้อย่างอื่นแทน ความโลภ ทำให้เราถูกหลอก ซึ่งหมายถึงการหลอกลวงต่างๆ ชนิดต่างๆ นั่นเอง

ซึ่งบนโลกนี้ เราถูกรายล้อมไปด้วยข้อมูล Liedentity การหลอกลวงอย่างนี้เยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบัน  ยุคของข่าวสารข้อมูลผ่านกันง่ายๆ ทางอินเตอร์เนต ไลน์ เฟสบุ๊ค โกหกหลอกลวงเต็มไปหมดเลย ถือโอกาสเตือนท่าน เวลาใช้สื่อเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นไลน์ก็ตาม  เป็นเฟสบุ๊คก็ตาม หรือเป็นอินเตอร์เนตอะไรก็ตาม เวลาจะโพสต์อะไร? คิดให้ดีๆ ก่อนจะโพสต์ บางครั้งเรานึกว่าโพสต์เล่นๆ โพสต์ง่ายๆ ก็ส่งต่อ ดีนะ เรารู้ไหมว่าข้อมูลนั้น มันจริงหรือไม่จริง เวลาเราส่งไป มันไปแล้ว … แล้วคนอื่นส่งไปเรื่อยๆ ก็นึกว่าจริง เราก็ต้องรับผิดชอบนะ บางครั้งรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย แต่บางครั้ง ถึงแม้ไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย เราควรจะรับผิดชอบในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่ควรจะทำให้สังคมมันเสื่อมทราม หรือสกปรก ด้วยข้อความหลอกลวงเหล่านี้ ถูกเขาหลอกต่อมา เราก็ใส่ลงไปเลย เห็นไหม? เพราะฉะนั้นต้องพยายามคิดก่อนนะ คิดก่อนที่จะโพสต์ คิดก่อนที่จะกด ไม่ว่าจะ like กดอะไรแล้วแต่ สิ่งเหล่านี้สำคัญมากๆ เพราะว่าจะได้ช่วยกันลดขยะ ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องสังคมโลกนี้  ให้มันน้อยๆ หน่อยอย่างนี้ มีค่ามากยิ่งกว่า ที่เราเดินบนถนน เราเห็นขยะ แล้วเราหยิบเศษขยะนั้น ใส่ถังขยะนั้น อันนั้นก็ดีนะครับ แต่ตรงนี้ ตอนนี้ต้องช่วยกันเก็บ วิธีเก็บก็คือง่ายนิดเดียว ถ้าใครส่งมา เราอ่าน แล้วข้ามไปเลย ถ้าเราไม่รู้ความเป็นจริง ว่ามันจริงไหม? มันสำคัญไหม? แล้วมันเป็นจริงตามนั้นหรือเปล่า? เป็นประโยชน์ต่อผู้คนไหม?

คือจริงๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้ บางครั้งที่มันมาบอกเรา หรือเข้ามาในตัวเราเอง จริงๆ เราไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เราฟังบ่อยๆ เราได้ยินบ่อยๆ เราก็นึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ และในที่สุด พอเรานึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็นึกว่าตัวตนเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็เลยไปทำมัน ก็เลยเสียหายใหญ่โต  ทั้งตัวเราเอง ทั้งสังคมด้วย เรียกกันว่าถูกหลอกด้วยข้อมูลรอบข้าง นึกออกใช่ไหม? ข้อมูลรอบข้างบอกเรา  สัปดาห์ที่แล้วเราเรียนกันเรื่องนี้ไปนะ พอหลงเชื่อ แล้วมันจะเกิดปัญหาขึ้น พอถูกหลอก แล้วก็ผิดตัวตน แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้น

ครั้งที่แล้ว ผมยกตัวอย่างหลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้  เพื่อให้ท่านได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น ตัวอย่างลูกเศรษฐี จำได้ใช่ไหมครับ? ที่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วก็ถูกเลี้ยงเป็นขอทานใช่ไหมครับ จนในที่สุด ตัวเอง ก็นึกว่าตัวเองเป็นขอทานจริงๆ แล้วก็เลยปฏิบัติตัวเองเป็นขอทาน จนกระทั่งพ่อซึ่งเป็นเศรษฐีมาพบทีหลัง นี่เรื่องจริงนะ

หรือในทางกลับกัน ครั้งที่แล้วก็ยกตัวอย่าง ในฐานะของบางคน ที่เคยรวย เคยร่ำรวย แล้ว เกิดเป็นคนยากจน ติดหนี้ ติดสินมากมาย ไม่กล้าบอกลูก พอไม่กล้าบอกลูก … ลูกก็นึกว่าตัวเองยังเป็นลูกเศรษฐีอยู่ ก็ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไป ทำตัวเป็นเศรษฐี มันก็ลำบาก อันนี้ก็เรื่องจริงนะ อันนี้เรื่องจริงในสังคม ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเขาเอง และต่อสังคม ต่อผู้คนรอบข้างมากมายไปหมด เกิดความเดือดร้อน นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งลูกเขาก็ไม่เข้าใจ เห็นไหมครับ? ถามว่าเขาไม่เข้าใจเพราะอะไร? เพราะพ่อแม่ปิดบังความจริงไว้ พ่อแม่หลอกเขา โดยที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันเป็นการหลอกลวงไปแล้ว

หรืออีกอันหนึ่งที่ยกตัวอย่างครั้งที่แล้ว ซึ่งเป็นกรณีที่สำคัญมาก ที่ผมย้ำครั้งที่แล้วว่าอันนี้เป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดเลย  คือกรณีที่ถูกหลอกด้วยข้อมูลต่างๆ หรือแม้กระทั่งตั้งใจให้เขาหลอก เพื่อต้องการผลประโยชน์ต่างๆ ก็คือกรณีของพวกที่อ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษกว่าคนอื่นเขา สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ สามารถติดต่อกับโลกฝ่ายวิญญาณได้ หรือหนักกว่านั้น บางคนถึงขั้นอุปโลกน์ตัวเองว่าตัวเองเป็นพระเจ้าก็มี นี่เราก็ได้ยินบ่อยๆ ตัวเองเป็นพระเจ้าก็มี เหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างข้อมูล Liedentity

หรือตัวปลอมเข้ามาสู่ชีวิตของคนเหล่านั้น ซึ่งบางคนไม่รู้ตัวจริงๆ ถูกหลอกจริงๆ แต่บางคนรู้ว่ามันหลอก แล้วเลยสวมรอยหลอกไปเลย เพราะว่ามันได้ผลประโยชน์ มันได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญเข้ามา อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งการดำเนินชีวิต ตามข้อมูลประเภทหลอกๆ เหล่านี้ จะทำให้เราเกิดพลาดพลั้งในชีวิต การดำเนินชีวิต เกิดการเสียหาย ตั้งแต่ตัวเอง ครอบครัว ผู้คนรอบข้าง ไปจนถึงสามารถที่จะเกิดความเสียหายให้ใหญ่โต สำหรับโลกนี้ได้เลยทั้งโลก รับข้อมูลหลอกๆ เหล่านี้ เห็นไหม? ท่านเห็นไหม? ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมยกขึ้นมา จนถึงเรื่องใหญ่ๆ ท่านเห็นไหมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ รู้ตัวตนจริงๆ ของเรา มันเป็นประโยชน์ต่อคนๆ นั้นอย่างมากมายมหาศาล

และตัวอย่างที่ผมคิดว่าเห็นภาพชัดเจนที่สุด  เพราะทุกคนรู้จักกันดี ครั้งที่แล้วจำได้ไหมว่าผมยกเรื่องอะไร? ทุกคนรู้จักกันหมดเลย นี่ยกมาตั้งหลายเรื่อง จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่เรื่องนี้น่าจะจำได้ คือเรื่องของใคร? เรื่องของทาร์ซานไง จำไม่ได้เลยเหรอ ครั้งที่แล้วยกเรื่องทาร์ซาน

ทาร์ซานเป็นมนุษย์ที่ถูกเลี้ยงโดยฝูงลิงตั้งแต่เกิด ก็เลยคิดว่าตัวเป็นลิงไปด้วย เป็นสัตว์ไปแล้ว จนพ่อแม่ไปหาจนเจอ ได้กลับมาอยู่ในเมือง มาอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของตนเอง มารู้จักครอบครัวของตัวเองจริงๆ ก็ยังไม่วายที่จะทำอะไร? ความเคยชิน ทำตัวเป็นลิงเหมือนเดิม ตามที่ตัวเองคุ้นเคย เห็นไหม? ถูกหลอกจนกระทั่งมันฝังเข้าไปในหัว นี่คือครั้งที่แล้วที่ได้เรียนรู้กันไปนะครับ

เพราะฉะนั้น ชื่อตอนของการบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 จึงมีชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน” ดีไหม? เพราะว่ามีคนเอาไปล้อกัน หลังจากที่บรรยายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีคนเอาไปล้อกัน

ล้อกันอย่างไร? “เธออย่าทำอะไรน่าเกลียดนะ ทำเป็นทาร์ซานไปได้”

ทาร์ซานทำอย่างไร? ทาร์ซานแก้ผ้าลงมากินข้าวเช้า ทาร์ซานปีนหน้าต่างลงมาตอนเช้า สำหรับคนที่ไม่ได้มาสัปดาห์ที่แล้ว ปีนหน้าต่างลงมา เพื่อจะมากินอาหารเช้ากับพ่อแม่ในห้องอาหารเช้าของบ้านเศรษฐี แทนที่จะลงบันไดมาดีๆ ไม่  ปีนลงมาไม่พอ ยังแถมแก้ผ้าลงมาอีกต่างหาก ลืมตัวไป นึกว่าตัวเองเป็นลิง

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายในที่นี่ เราเป็นลูกของพระเจ้า หลายครั้ง เราก็ทำเหมือนลูกของ … ไม่บอก เราก็ทำตัวแปลกๆ เพราะฉะนั้น เมื่อไรเราเห็นใคร ข้างๆ ทำตัวแปลกๆ เราก็บอกอย่าทำตัวเป็นเหมือนทาร์ซาน

บอกคนข้างๆ สิ ทดลอง ฝึกดูๆ “อย่าทำตัวเป็นทาร์ซาน”

เวลาทำอะไรน่าเกลียดๆ หันกลับไปเลย บอกจะเป็นทาร์ซานหรือไง? สมมติว่าสามีขับรถอยู่ แล้วเกิดหงุดหงิดอยู่ข้างๆ บอกเลย

“จะเป็นทาร์ซานหรือไง บินไปเลยไหม?”

กล้าพูดไหม? กล้าพูดหรือเปล่า? ถามจริง กลับไปเมียหงุดหงิด จ้ำจี้จ้ำไซ ไม่มีเหตุผล หันกลับไปเลย ผู้ชายหันกลับไปเลย บอก

“จะเป็นทาร์ซานเหรอ”

เอ๊ะ! ทาร์ซานผู้หญิงไม่มีหรอก เอ๊า! เป็นทาร์ซานก็ได้ หยวนกันไป

และครั้งที่แล้ว เราก็ได้สรุปทิ้งท้ายกันว่าถ้อยคำในพระคัมภีร์ ที่บอกเราว่าเรามีตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์เป็นอย่างไร?  “Identity in Christ” ว่าเราเป็นใคร? มีลักษณะอย่างไร?  และมีสิทธิอะไรบ้างในพระคริสต์? ถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าตัวตนเราเป็นอย่างไร? จำนวนหนึ่งที่ผมเอาออกมา ที่เราได้อ่านกัน พูดกัน พร้อมๆ กันตอนท้ายๆ เยอะแยะ วันนี้เรามาทวนนิดหนึ่ง อย่างเร็วๆ นะครับ

ยกตัวอย่าง ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใคร? ซึ่งทั้งหมด ที่ย้ำกันไปนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกเราทั้งสิ้นนะ ไม่ใช่ผมมาบอกนะครับ เพราะมันอยู่ในพระคริสต์ทั้งสิ้น  ซึ่งผมยก ก่อนจะพูด ผมก็บอกอยู่ตรงไหน? หนังสืออะไร? ข้อที่เท่าไร? บทอะไร? จำได้ใช่ไหมครับ? วันนี้จะไม่เอาบทนั้นนะ เอาแค่พูดเฉยๆ ว่าในพระเยซูคริสต์ ตัวตนของเราในพระเยซูคริสต์ จำนวนหนึ่งที่พระเจ้าบอกเรา จดบันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

“ตัวตนเราเป็นอย่างนี้นะลูกเอ่ย”

บอกไว้อย่างนี้ว่า.-

–  เราเป็นลูกของพระเจ้า

–  เป็นผู้ชอบธรรม

–  เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

–  เราได้คืนดีกับพระเจ้า

–  เป็นผู้บริสุทธิ์

–  ปราศจากตำหนิ

–  มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

–  เราเป็นพลเมืองสวรรค์

–  เราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว

–  เราเป็นผลงานของพระเจ้า

–  เราเป็นวิหารของพระเจ้า

และยังมีอื่นๆ อีกมากมายในพระคัมภีร์อีกเยอะแยะมากมายไปหมดเลย กลับไปท่องหรือเปล่า?

“ท่องหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ?”

“ฟังหรือเปล่า?”

“ก็กลับไปฟังบ้างนิดๆ หน่อย”

ก็กลับไปฟังเรื่อยๆ แล้วกัน ผมรู้ เรื่องนี้ไม่สำคัญ หมายความว่าไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไซ แต่ถึงวันหนึ่งท่านจะเข้าใจว่าตรงนี้ มันสำคัญอย่างไร? ที่เราจะต้องรู้ตัวตน แล้วจะรู้ได้อย่างไร? มันต้องฟังเยอะๆ ฟังว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร? ไม่ใช่ฟังวิทยุบอก ไม่ใช่ฟังทีวีบอก หนังสือพิมพ์บอก เพื่อนเราบอก คนข้างๆ บอก  ไม่ใช่ ไม่ใช่ฟังจากไลน์ ที่ส่งมา บอกว่าเราเป็นใคร? ไม่ใช่ แต่ฟังจากฟังพระคัมภีร์ พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร?  บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราต้องไปอ่าน พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร?  นั่นแหละคือความจริงของตัวตนของเราจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ เราจะได้รู้ เราจะได้ดำเนินชีวิตถูกต้อง ให้เป็นไปตามตัวจริงของเรา  มันจะเกิดประโยชน์อย่างมากมาย

แล้วอย่างที่ผมได้เกริ่นไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนนะครับว่าจากนี้ไป ซีรี่ส์การบรรยายชุดนี้  ผมก็จะค่อยๆ อธิบายเพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้น ในความหมายของคำว่าตัวตนในพระคริสต์ หรือ “Identity in Christ” ในทุกๆ หัวข้อเรื่องที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมดว่าพระคัมภีร์ บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เอาตรงนั้นแหละมาเจาะทีละอันๆ ที่มีเยอะแยะมากมาย เพื่อเราจะได้ทำอะไรรู้ไหม? จะได้ฟัง จะได้ข้อมูล จะได้อธิบายกัน ไซซอนกันอย่างลึกซึ้งถึงว่าพระเจ้าบอกเราว่าตัวตนเราในพระคริสต์เป็นอย่างนี้ๆ แล้วมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ยังไงๆ เพื่อเราฟังให้เยอะ ฟังคำอธิบายให้เยอะ เราก็จะมั่นใจในตัวตนของเราจริงๆ ในพระคริสต์ แล้วจะเกิดประโยชน์ต่อเรา ชีวิตของเราอย่างมากมาย และไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของเราคนเดียว แต่ผู้คนรอบข้างด้วย งานของพระเจ้าด้วย

วันนี้ เรามาเริ่มต้น “ตัวตนในพระคริสต์” ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ใน 2 เปโตร 1:4 ซึ่งเราคุ้นกันดีว่าในพระเยซูคริสต์ เราได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า วันนี้เราจะมาไซซอนอธิบายตรงนี้ ให้มันลึกซึ้ง จบวันนี้นะ ท่านจะลอยเลย  ถ้าท่านมั่นคงในนี้นะ ชีวิตท่านจะเต็มไปด้วยสันติสุข สงบสุข ความพอเพียง พักเหนื่อย แล้วหายเหนื่อยจริงๆ นะครับ 2 เปโตร 1:4 พระเจ้าตรัสกับพวกเราอย่างนี้ว่า.-

2 เปโตร 1:4 “พระองค์ได้ประทานพระสัญญา อันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์ แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

 

มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไร? จำได้ไหม?  ที่เราได้ฝึกกันไปครั้งที่แล้ว 2 ครั้ง เราพูดอย่างนี้กัน จนกระทั่งบอกจำได้แล้วไง ธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ภาษาอังกฤษบอกว่า Divine Nature

เอ้า! พูดตามสิ “Divine Nature”

พูดไปเถอะ ให้พอจำได้ มันจะเข้าสู่ยุค AEC แล้วนะ

การได้มีส่วนใน Divine Nature การได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ธรรมชาติ พระลักษณะของพระเจ้า  คือมีส่วนใน Divine Nature มีความเป็นไปมาอย่างไร? ความหมายว่าอย่างไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? คือสิ่งที่เราจะมาคุยอย่างละเอียดในวันนี้ ให้ท่านเห็นชัดเจนว่าเราเข้าไปมีส่วนใน Divine Nature อย่างไร? เดี่ยวนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ได้อย่างไร?  ตอนนี้ท่านฟัง ท่านเชื่อเอา แต่วันนี้เขามาเจาะเข้าไปลึกๆ เพื่อจะใส่ข้อมูลเล่านี้ลงไปในจิตวิญญาณของเรา เพื่อเราจะได้มั่นคงในความเชื่อตรงนี้ เยอะขึ้นนะครับ ตัวตนของเราจริงๆ ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างนี้ และหนึ่งในนั้น คือเราเข้าไปมีส่วนใน Divine Nature

ซึ่งถ้าจะอธิบายความหมายของคำว่า Divine Nature หรือธรรมชาติ พระลักษณะของพระเจ้าในบริบทนี้ เราต้องย้อนกลับไปดู การทรงสร้างของพระเจ้า ตั้งแต่เมื่อสมัยปฐมกาล พระคัมภีร์ปฐมกาล บทที่ 1 ได้บรรยายเหตุการณ์ การทรงสร้างของพระเจ้าไว้ตั้งแต่วันแรก จนถึงวันที่ 6 เริ่มต้นความจริงของพระเจ้า บันทึกตรงนี้ไว้เลย  เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกของพระองค์ทุกคนได้รู้ถึง เขาเรียกว่าอะไร? รากวงศ์ตระกูลของเจ้าว่ามาจากใคร? เป็นปู่ย่าตาทวดของเจ้าเป็นใคร? เจ้ามาจากไหน? สำคัญมาก ใส่ในบทแรก หน้าแรก บรรทัดแรก ไล่มาเลยนะครับ

ใน 6 วันนี้ โดยพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสร้างตั้งแต่ความสว่าง ท้องฟ้า ผืนน้ำ แผ่นดิน ต้นไม้และพืชนานาชนิด ดวงดาวต่างๆ สัตว์ต่างๆ จนถึงทรงสร้างมนุษย์ ในวันสุดท้าย คือวันที่ 6 แล้วในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า ที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้า คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่อยู่ในพื้นน้ำและบนพื้นดิน สามารถแยกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ อย่างนี้ ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้าง แยกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  1. แร่ธาตุต่างๆ ที่รวมกันเป็นดิน หิน กรวด ทราย มองไปก็เห็นเลย
  2. ต้นไม้และพืชต่างๆ พืชนานาชนิด มองไปก็เห็น ถูกไหม? นี่คือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
  3. สัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มองไปก็เห็น บางตัวเล็กๆ มองไม่เห็น แต่มันก็มีอยู่จริงๆ ต้องใช้กล้องไปส่องให้มันใหญ่ๆ ก็จะเห็น

ทรงสร้างทั้งหมด 3 ประเภทแล้ว ประเภทที่ 4 ที่พระเจ้าทรงสร้างคือใคร?

  1. มนุษย์ คือฉันเอง คือมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้

ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนี้ จะมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เริ่มจากกลุ่มแรก คือดิน หิน กรวด ทราย ซึ่งมีแร่ธาตุและมีพลังงาน แต่ไม่มีชีวิตในลักษณะของการหายใจ ทำไมพูดอย่างนี้ เพราะในพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ก็สรรเสริญพระเจ้า แต่เรารู้ว่าไม่ได้หายใจ แต่มีพลังงานอยู่ในนั้น นี่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบมาทีหลังนี่เอง ตอนที่พระคัมภีร์บันทึก ไม่มีใครรู้หรอกว่ามีพลังงานอยู่ในนั้นอยู่แล้ว มีแร่ธาตุอยู่ในนั้น รู้แต่ว่ามันเป็นก้อนเฉยๆ อยู่นิ่งๆ ไม่หายใจ ถูกไหมครับ?

กลุ่มที่ 2 คืออะไร? ต้นไม้ และพืชต่างๆ มีชีวิตไหม? ต้นไม้ มี พืชมีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ ไหมครับ ถามจริง คิดให้ดีๆ พืชมีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ ไหม? มีหรือไม่มี? มี พืชหายใจไหม?  เห็นไหม? แตกต่างแล้วนะ พืชหายใจด้วย และพืชเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์หรือมนุษย์อย่างไร?  เรามาดูกันต่อว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? มาดูกลุ่มที่ 3 นะครับ

กลุ่มที่ 3 คือสัตว์ต่างๆ ทุกชนิดที่ตะกี้เราพูดมา ซึ่งแน่นอน สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต เรารู้ ที่มีร่างกาย มีอวัยวะและมีลมหายใจ เหมือนกับพืชเลย แล้วมันแตกต่างกันตรงไหน? เหมือนกับ ไม่ใช่พืชอย่างเดียว แถมเหมือนกับคนด้วย คนก็มี 3 อย่างนี้เหมือนกัน แต่สัตว์ มีสิ่งที่พืชไม่มี คืออะไร? คือสัตว์ทุกชนิดมีความคิด จิตใจ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Soul” หมายถึงมันสามารถคิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีการตัดสินใจ สัตว์ทุกชนิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีการตัดสินใจ เช่นเดียวกับมนุษย์เหมือนกัน แม้จะไม่สูงเหมือนมนุษย์ แต่มีเหมือนกัน ถูกหรือไม่ถูก?

เตะสุนัข มันก็ทำไม? ไม่ว่าจะหมาหรือสุนัข มันก็ร้อง เอ๋งๆ เหมือนกัน  ถ้าไม่ชอบมาพากล เรารู้สึกว่าเราไม่รักมัน … มันก็จะทำไม? มันจะยืนอยู่ตรงนั้นไหม?  มันทำอย่างไร? มันก็เดินหนีเราไป

แต่ต้นไม้ มันไม่ชอบเรา มันทำอย่างไร? มันก็ต้องยืนอยู่ตรงนั้น

“เกลียดแก มาฉี่รดฉัน”

แล้วมันทำได้อะไร? มันทำไม่ได้ เราไปฉี่รดหมา … หมามันเดินหนีไปเลย อย่างนี้เป็นต้น มันมีความรู้สึกเหมือนกับอย่างนี้ ตรงนี้ เขาเรียกว่าความคิดจิตใจ … ความคิดจิตใจนี้เป็น ภาษาอังกฤษเรียกว่า Soul สัตว์ต่างๆ ก็มีสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับมนุษย์เหมือนกัน มีอารมณ์โกรธ รู้สึกดีใจ เสียใจ เจ็บปวด ถามว่าถ้าเช่นนั้น สัตว์มีอะไรแตกต่างจากมนุษย์เล่า ตอนนี้เราเห็นแล้วนะ ตั้งแต่ต้นมา หิน แตกต่างจากพืช … พืชแตกต่างกับสัตว์ ตอนนี้มาถึงสัตว์กับมนุษย์แล้ว

กลุ่มที่ 4 คือมนุษย์ … มนุษย์มีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ มีลมหายใจ อันนี้ไม่ต้องถามล่ะนะ มีหรือไม่มี?  แล้วก็มีอะไร?  มีความคิดจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์มี แต่พืชและสัตว์ไม่มี ก็คือวิญญาณ … ถูกต้องแล้วครับ มารับรางวัลเลย ทุกคนตอบถูกหมดเลย เพราะมนุษย์มีวิญญาณที่พิเศษกว่าเขา พืชเป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีร่างกาย มี Body สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและมีความคิดจิตใจด้วย  มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทั้งร่างกาย  ความคิดจิตใจ  และวิญญาณ … วิญญาณหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Spirit คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ทั้งปวง ทั้งสิ้น ที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง เพราะเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่มีหรือเป็นวิญญาณ เป็นสิ่งเดียวเท่านั้น สิ่งนี้พิสูจน์ได้นิดเดียวเลยว่าจริง ถามว่าท่านเคยเห็นก้อนหิน … ก้อนหินยกตัวอย่างไปแล้ว ท่านเชื่อแล้วว่าไม่ใช่ ท่านเคยเห็นต้นไม้ หรือสัตว์ที่ไหน?  รวมตัวกัน จุดธูปหาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไหม? ท่านเคยเห็นสัตว์มารวมตัวกัน เพื่อแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักแห่งหนึ่งไหม? ไม่เคย ท่านเคยเห็นสัตว์มารวมตัวกันอธิษฐาน หรือสวดมนต์มีไหม?  ไม่มี   สิ่งเหล่านี้ที่ตะกี้ผมพูดมา เป็นอาการของการแสวงหาทางฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เรารู้ดีว่ามันเป็นอย่างนั้น ถูกไหม? นี่แหละ เห็นอย่างชัดเจน

มาดูว่าพระคัมภีร์มีบันทึกไว้อย่างไร? ยืนยันว่าพระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมบอก ว่าเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงสร้างบรรดาสัตว์ทั้งหลาย เป็นอย่างนี้ พระคัมภีร์บันทึกไว้ ไม่ใช่ผมพูดนะ ปฐมกาล 2:19 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

ปฐมกาล 2:19 “พระเจ้าได้ทรงปั้นสัตว์ และนกทุกชนิด ขึ้นจากดิน พระองค์ทรงนำมายังชายผู้นั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกมันว่าอย่างไร สัตว์เหล่านั้น ก็ได้ชื่อตามที่เขาเรียก”

 

นี่ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์นะ คราวนี้มาดูเหตุการณ์ตอนที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ ลองดูนะครับว่ามีอะไรที่แตกต่างกับเมื่อตะกี้นี้ สร้างสัตว์บ้าง อยู่ในปฐมกาล 1:26 เลย

ปฐมกาล 1:26 “พระเจ้าตรัสว่า ‘ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบเรา ตามอย่างเรา’”

 

“สร้างมนุษย์ ตามอย่างเรา” คือตามอย่างใคร? ตามอย่าง ก็คือเหมือนใคร? เหมือนพระเจ้า นี่ผมไม่ได้พูดเลย นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาล บทที่ 1 เลย เริ่มต้น มาดูข้อ 27 อีก ปฐมกาล 1:27 มาดูสิว่าพระเจ้าบันทึกว่าต้นตระกูลของเรา … เราเกิดอย่างไร? ใคร? อย่าไปฟังคนอื่น ฟังพระเจ้าพูดดีกว่าว่าบันทึกเราเป็นใคร? ปฐมกาล 1:27

ปฐมกาล 1:27 “ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ตามพระฉายของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้น พระองค์ทรงสร้างทั้งผู้ชายและผู้หญิง”

 

“ตามพระฉายของพระองค์” ก็คือตามพระฉายของพระเจ้า รู้ไหมว่าพระฉาย คืออะไร? พระฉาย คือรูปเหมือน ตามความเหมือน ใช้ภาษาอังกฤษว่า Image ใช่ไหม? Image ก็แปลว่าเป็นภาพ ความลักษณะเหมือนพระเจ้า ปฐมกาล 2:27 อีกอันหนึ่ง

ปฐมกาล 2:27 ““แล้วพระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ จากธุลีดิน และทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิต เข้าไปทางจมูกของเขา มนุษย์จึงมีชีวิต”

 

“และทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปทางจมูกของเขา มนุษย์จึงมีชีวิต” นี่คือสิ่งที่แตกต่างกับการทรงสร้างทั้งหมดก่อนหน้านี้ ทุกชนิดของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง

ในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ตามแบบความเหมือนอย่างพระองค์ หรือเรียกว่าพระฉายาหรือตามพระฉายของพระองค์ และทรงให้มี หรือให้เป็นวิญญาณด้วย

ในบทที่ 2 ข้อ 27 ที่บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ว่า “ทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิต” ลมหายใจแห่งชีวิตตรงนี้ ก็คือ Spirit of life. ซึ้งหมายถึงวิญญาณนั่นเอง วิญญาณที่อยู่ในตัวของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณมีชีวิต วิญญาณชีวิตๆ ซึ่งมีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่เป็นสิ่งนี้ ไม่อยากจะบอกว่ามีเลย  เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้เป็นวิญญาณ … เป็นวิญญาณที่เรียกว่าชีวิต วิญญาณที่มีชีวิต พูดง่ายๆ คือถ้าอ่านตรงนี้  ก็คือพระเจ้าระบายลมหายใจ ก็คือพระเจ้าแบ่งส่วนชีวิตของตนเอง  คือของพระองค์เอง เปรียบเหมือนผู้เป็นพ่อ แบ่งชีวิตให้กำเนิดลูก นึกออกหรือยัง? เห็นภาพไหม? แบ่งชีวิตของตัวเองออกมา เหมือน คือเหมือนอย่างนี้ คือมาจากเรานั่นเอง สายเลือด เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ แบ่งชีวิตของเขา มาเป็นลูกของเขา … เขาเรียกว่าลูกในสายเลือด เรามนุษย์ทุกคนเป็นสายเลือดของพระเจ้า โดยทางวิญญาณ เพราะพระเจ้าเป็นวิญญาณ พระเจ้าแบ่งมา ให้กำเนิดมนุษย์ เป็นลูกของพระองค์ เป็นวิญญาณ

และตรงนี้ ก็คือสิ่งที่อธิบายถ้อยคำใน 2 เปโตร 1:4 ที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ตอนต้น ที่บอกว่า

“พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า”

ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ท่านได้เข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า จริงๆ แล้วพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ให้มีส่วนในพระลักษณะของพระองค์ ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว มนุษย์ได้รับลมหายใจแห่งชีวิต จากพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มนุษย์ถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มนุษย์ได้สวมใส่พระสิริของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาลแล้ว แต่หลังจากนั้น เมื่ออาดัมและเอวา ก็คือมนุษย์เริ่มต้นคู่แรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ได้ล้มไปในความบาป คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องได้รับผล คือคำสาปแช่ง ซึ่งโทษนั้น ก็คือการหลุดออกจากพระสิริของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า … พระสิริของพระเจ้าหายไปในมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา การเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือจากที่ถูกสร้างตั้งแต่เริ่มแรก ให้มีพระฉายเหมือนพระเจ้า ก็กลายเป็นไม่เหมือนแล้ว ลมหายใจแห่งชีวิต หรือวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า ที่ได้มาจากพระเจ้า ก็ไม่เหมือนอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างถูกเปลี่ยนไปหมด พระสิริหายไป ความตาย ความมืดเข้ามาปกคลุมแทนที่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

สรุปง่ายๆ ก็คือคุณลักษณะของมนุษย์ ที่บอกว่ามี 3 สิ่ง คือมีร่างกาย มีความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ ตามแบบเหมือนของพระองค์ทั้งหมดเลยนั้น และพระองค์ทรงตรัสไว้ในนั้นว่า “พระองค์ทรงเห็นว่าดี”

ให้พูดพร้อมกันว่า  “พระองค์ทรงเห็นว่าดี”

ตอนสร้างมานั้น เห็นว่าดีทั้งหมด แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่าดีทั้งหมดนั้น หลังจากที่มนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็กลายเป็นตรงกันข้าม ไม่ดีอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามหมดเลย ร่างกายต้องตาย จากที่ต้องอยู่ ไม่ต้องตายเลย ก็ต้องตาย จากที่ไม่ต้องเจ็บป่วยเลย ก็ต้องเจ็บป่วย ความคิดจิตใจ ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  จากความคิดเหมือนพระเจ้า ดีงามบริสุทธิ์ กลายเป็นมีแต่ชั่วร้าย วิญญาณก็ต้องตาย

จำได้ไหมตะกี้นี้ผมบอกว่าวิญญาณพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณที่มีชีวิต วิญญาณที่เป็นแบบชีวิต กลายเป็นวิญญาณที่เป็นแบบตาย  เห็นไหม? ตายนี้หมายถึงไม่ใช่สูญสิ้นไป ไม่ใช่นะ ชนิดลักษณะตายอยู่  กับลักษณะเป็นชีวิตแบบพระเจ้า มันต่างกันมาก

และสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็คือถูกตัดขาดจากพระเจ้า ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ เพราะจากที่เคยสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นสายเลือดพระเจ้า กลายเป็นสกปรก ไม่ใช่สายเลือดพระเจ้าอีกต่อไป ถูกตัดไป กลายเป็นไปอยู่กับมารแทน เพราะฉะนั้น  เลยเข้าหาพระเจ้าไม่ได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อย่าเพิ่งเศร้าสิ นั่งเครียดกันหมดเลย  นั่นมันคืออดีตครับ แต่ว่าเลยมาเร็วๆ เลยนะ เดี๋ยวไม่จบ กดฟอร์เวิร์ดอย่างเร็วเลย กาลเวลาล่วงเลยมานานเหลือเกิน จนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมตัวตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปนั้น วันที่มนุษย์ถูกตัดขาดออกจากพระสิริของพระเจ้า … พระเจ้าเตรียมตัวแล้วว่า.-

“วันหนึ่งฉันวางแผนไว้ว่าจะส่งพระบุตรองค์เดียวของฉัน ซึ่งอยู่กับฉันมาตั้งนาน ก่อนฉันจะสร้างมนุษย์อีก ลงมาเกิดบนโลกใบนี้ เขาจะมีชื่อว่าเยซู ซึ่งแปลว่าผู้ช่วยให้รอด เขาจะมาช่วยมนุษย์เหล่านี้แหละ ลูกของฉันกลับมา”

กาลเวลาล่วงเลยมา จนถึงวันที่พระเยซูได้มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ และมาไถ่มนุษย์ ด้วยการเสียสละพระชนม์ชีพของพระองค์เอง  หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน

ถามว่าที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์นั้น มนุษย์มาไถ่ทางไหน? ร่างกาย ความคิดจิตใจหรือวิญญาณ พระองค์มาไถ่บาปทางไหน? ทางวิญญาณ แน่ใจ? แน่ใจ พูดดังๆ เท่านั้น ทางไหน? 1, 2, 3 ทางไหน?  พูดดังๆ  ทางวิญญาณ พระองค์มาไถ่บาป ทางวิญญาณ ความหมาย คือในทางวิญญาณ เราได้กลับสู่สภาพเดิม คือสภาพเริ่มต้น  ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างเรา  ตามพระฉายของพระองค์ และทรงระบายลมหายใจเข้ามาในตัวเรา ในปฐมกาลที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ กลับมาเหมือนเดิม

เพราะฉะนั้น หลังจากที่พระเยซูได้มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คืออะไรครับ? คือสิ่งที่หายไปทั้งหมด ทางวิญญาณ เกลี้ยงเลยที่หายไปแล้ว ตั้งแต่ที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  ได้กลับมาสู่ที่เดิม ยืนยันด้วยพระองค์อธิบายให้เราฟังเอง ไม่ใช่ผมอธิบาย พระเยซูอธิบายให้เราฟังเอง พระเจ้าอธิบายให้เราฟังเอง ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ในโรม 5:8-11 ฟังและอ่านให้ชัดๆ จำใส่

โรม 5:8-11 “8 พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เอง แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้ เราได้ถูกนับ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เรา คืนดีกับพระเจ้าแล้ว

 

เอเมน … ชัด ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? ชัด  ขอแถมนิดหนึ่งได้ไหม? พูดตามผมดังๆ ขอนิดหนึ่งสุดท้ายแล้วกัน

พูดตามผมนะครับ “แต่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า  โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) คืนดีกับพระเจ้าแล้ว เอเมน”

การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ โดยการหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน  ทำให้เราได้กลับเข้าไปสู่ที่เดิม ได้รับกลับไปคืนดีกับพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว เอเมน

ก็คือทางวิญญาณเราได้กลับมาเหมือนเดิม เหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ เลย ผมเลยทำตารางเปรียบเทียบให้ท่านดู … ท่านดูไปด้วย แล้วก็ผมจะอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะเห็นภาพ นี่คือจำนวนหนึ่งที่ผมพยายามคิดว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไรบ้าง?  มันเหมือนวางเป็นตาราง แต่ก่อนนี้ ตอนเดิมที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ฐานะเราเป็นอย่างไร?  พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป มันเกิดอะไรขึ้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? แล้วพอพระเยซูมาไถ่บาป มันกลับมาคืนดีเหมือนเดิมอย่างไร?

คือตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ชอบธรรม พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป  เกิดอะไรขึ้น สกปรก มีมลทิน ตรงกันข้ามทั้งหมด พอพระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ … มนุษย์กลับมาคืนดีสู่สภาพเดิม คือสะอาดบริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนเดิม เห็นหรือยัง? ตอนเดิม พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในปฐมกาลนั้น มนุษย์ปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระสิริหายไป พอพระเยซูมาไถ่บาป ให้กับมนุษย์ … มนุษย์ก็กลับมาเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าเหมือนเดิม ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์ติดต่อกับพระเจ้าได้ คุยกับพระเจ้าได้ พอมนุษย์ล้มลงในความบาป  มนุษย์เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดกับพระเจ้า ด่าว่าพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า แต่พอพระเยซูมาไถ่บาป ให้กับมนุษย์ … มนุษย์กลับคืนมาใหม่ กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ไม่ได้เป็นศัตรูกันแล้ว ตอนที่มนุษย์ถูกสร้างใหม่ๆ พระเจ้าสร้างให้มีชีวิตนิรันดร์ แต่มนุษย์ล้มลงในความบาป  ต้องตายนิรันดร์

 

เดิม มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเยซูมาไถ่บาป
สะอาด บริสุทธิ์

ปกคลุมด้วยพระสิริ

ติดต่อพระเจ้าได้

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

ตาและหู เปิด

วิญญาณครบบริบูรณ์

พระพรจากพระเจ้า

สกปรก มีมลทิน

พระสิริหายไป

เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ตายนิรันดร์

อยู่ในอาณาจักรความมืด

อยู่ในความพินาศ (นรก)

ตาบอด  หูหนวก

ป่วยทางวิญญาณ

ถูกสาปแช่ง

สะอาด บริสุทธิ์

เต็มไปด้วยพระสิริ

คืนดีกับพระเจ้า

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

มองเห็น  ได้ยิน

วิญญาณหายป่วย

หลุดพ้นจากคำสาป

 

          พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมามีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์อยู่ในความสว่าง แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ตกลงไปในอาณาจักรของความมืด พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา มนุษย์ถูกย้ายกลับไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างเหมือนเดิม  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์ใหม่ๆ อยู่ในสวนเอเดนเรียบร้อย เรียกว่าสวรรค์กับพระเจ้า แต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  โดนลงโทษ  มนุษย์ต้องถูกอัปเปหิออกไปอยู่ข้างนอกสวรรค์ เรียกกันว่าที่พินาศ หรือเรียกกันว่านรก แต่พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน แล้วทำให้มนุษย์สามารถทางพระเยซู ในความเชื่อของพระองค์นั้น สามารถกลับมาอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม

 

          ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตาและหูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เปิดออก ได้ยินเสียง ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย  พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป ตาวิญญาณของมนุษย์ หูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เสียหายไปทั้งสองอย่างเลย ทั้งไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงพระเจ้าเลย พระเจ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้มัวไปหมด แสวงหาอะไรก็ไม่รู้ อันนั้นก็พระเจ้า อันนี้ก็พระเจ้า อันนี้ก็ใช่ มันเป็นไปหมดเลย มันใช่ ไปแล้ว ทางวิญญาณ แต่พอพระเยซูมาไถ่บาปให้มนุษย์ และถ้ามนุษย์เชื่อในข่าวประเสริฐนั้น มนุษย์ก็กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิมทางฝ่ายวิญญาณเห็นแล้ว รู้แล้วว่านี่คือเสียงของพระเจ้า  รู้แล้วนี่คือใคร?  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์มีวิญญาณที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ป่วยเลย แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป เรียกกันว่าป่วยทางวิญญาณ พิการทางวิญญาณ พระเยซูมาไถ่มนุษย์

 

          พระคัมภีร์บันทึกว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายป่วยทางวิญญาณแล้ว”

          หายพิการแล้ว อีกต่อไปแล้ว ในทางวิญญาณ สุดท้าย คือตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่กับพระเจ้า มีแต่พระพร จากพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งเลวร้ายเลยสักนิดเดียว แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป มนุษย์ถูกสาปแช่ง แต่พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเยซูมาช่วยให้เราหลุดพ้นจากคำแช่งสาป … คำสาปแช่งทั้งหลายแล้ว ทุกอย่างที่พูดมานี้ เป็นมาแล้วทั้งหมดเลยนะ เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ผมพูดนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าเริ่มต้นที่วิญญาณก่อน  เริ่มต้นแล้วที่วิญญาณก่อน อะไรที่เคยเสียหายทางด้านวิญญาณ ณ วินาทีที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้ว ณ ขณะนั้น ณ วินาทีนั้น วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด ทันทีเลย ณ นาทีนั้นเลย ท่านเชื่อในข่าวดีนี้ เมื่อไหร่? เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรพระเจ้า  มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต มาไถ่บาปให้กับท่านเมื่อไร? ทันทีทันใด มาเชื่อปั๊บ เกิดอันนี้ขึ้นทันทีในวิญญาณของท่าน 100% ทันที

 

2 โครินธ์ 5:17-18 “17 ดังนั้น ใครก็ตามที่มีส่วนในพระคริสต์ ก็เข้าสู่โลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้ว สิ่งเก่าๆ หายไปหมดแล้ว ดูสิ สิ่งใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น 18 ทั้งหมดนี้ ก็เกิดมาจากพระเจ้า พระเจ้าทำให้เรากลับมาคืนดีกับพระองค์ใหม่ โดยผ่านทางพระคริสต์ และพระเจ้าได้มอบหมายงาน ให้กับเราทำ คือไปนำคนอื่นๆ กลับมาคืนดีกับพระองค์ด้วย”

 

เอเมน … ตัวตนของเรา คือใคร?  “ดังนั้น นครที่มีส่วนในพระคริสต์ ก็เข้าสู่โลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้ว สิ่งเก่าๆ หายไปหมดแล้ว ดูสิ สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ เกิดจากพระเจ้า”

ตัวท่านก็เป็นอย่างนี้ ตอนนี้เลย ไม่ต้องรอไปตายแล้ว เกิดใหม่ ตอนนี้วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย

ใหม่เอี่ยม 100% ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

ส่วนความคิดจิตใจ หรือ Soul ของเรานั้น ก็เริ่มต้นเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทันทีเหมือนกัน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลง แบบเป็นกระบวนการ เริ่มเปลี่ยนๆ ไปเรื่อยๆ อาทิตย์ที่แล้ว วันนี้ก็เปลี่ยนมากขึ้น เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา ค่อยๆ สอนเรา ให้รู้จักพระเจ้าอย่างไร? เดินกับพระเจ้าอย่างไร?  คิดอย่างไร? ให้เหมือนพระเจ้าคิด รู้สึกอย่างไร? มีความต้องการอย่างไร? ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เริ่มต้น ตั้งแต่วินาทีแรกในการรับเชื่อ ในข่าวประเสริฐเหมือนกันเลย แต่จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

คราวนี้สุดท้าย ฝ่ายร่างกาย เป็นอย่างไร? ส่วนทางฝ่ายร่างกาย อยากรู้ใช่ไหม? ทางฝ่ายร่างกายเป็นอย่างไร? ส่วนทางฝ่ายร่างกาย ซึ่งเรายังคง แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ฝ่ายร่างกายเรา ก็ยังคงต้องซี่แหงแก๋ ต้องตาย จากโลกนี้ไป เหมือนกันนะครับ ร่างกายนี้ยังต้องเน่าเปื่อยอยู่เหมือนกัน พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น  แต่พระเจ้าก็ทรงได้เตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้กับเราแล้วในสวรรค์สถาน แต่เราจำเป็นต้องอยู่ในร่างกายนี้ก่อน อย่าเพิ่งรีบไปไหนนะ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะเป็นกฎของพระเจ้า วางไว้ว่าไม่มีมนุษย์คนใดอยู่บนโลกใบนี้ แล้วอยู่ตลอดไป ไม่ตาย เพราะมันเป็นกฎวางไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องอยู่ในร่างกายเก่านี้แหละ เป็นกฎวางไว้แล้ว  ตัวพระเจ้าเอง  พระองค์เองก็ไม่ละเมิดกฎของพระองค์เอง เพราะฉะนั้น  พระองค์วางกฎไว้แล้วว่ายังอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังอยู่ในร่างกายนี้แหละ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้  เราก็จำเป็นต้องอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งพระองค์จะทรงใช้เรา ในขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์บนโลกใบนี้แหละ ผมพูดอยู่เสมอๆ ถ้าพระองค์ไม่ใช้ท่าน จบแล้วนะครับ พาท่านกลับบ้านแล้ว สบายแล้ว คิดถึง (แย่) อยู่แล้ว อยากพาท่านไป รู้ว่าท่านทุกข์ทรมาน รู้ว่าท่านไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว

“แต่มันต้องอยู่ต่อลูกเอ่ย เพราะงานยังไม่เสร็จ ในชีวิตลูก พ่อเตรียมไว้ให้งานเจ้า”

คำว่าออกไปประกาศข่าวดี นำพาผู้คน กลับมาคืนดีกับพระเจ้า มิได้หมายถึงท่านต้องออกไปเคาะตามบ้าน แล้วก็เอาใบปลิวไปแจก เพียงแค่นั้นอย่างเดียว มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันอาจจะหลายๆ อย่าง ติดต่ออะไรต่างๆ เอาว่าถ้าพระเจ้ายังใช้ท่านอยู่ ตราบใดที่ท่านอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ?  พระเจ้าจะใช้เราได้ ก็คือเรายอมอยู่บนโลกใบนี้ต่อ

เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ แม้เราจะทุกข์ทรมานเท่าไร? เราอยากจะไปเท่าไร? จงรับรู้ว่าพระเจ้ายังจะใช้เราอยู่นะ เราจะได้มีกำลัง อดทนต่อไป เปาโลก็ไม่อยากอยู่นะ เขาทรมานเหมือนกัน เขาก็ทุกข์เหมือนกันนะ แต่เขามีสันติสุข มีความสงบ เพราะเขายังรู้ว่าพระเจ้าทรงใช้เขาอยู่ วันหนึ่งที่พระเจ้าบอกเขา

“หมดหน้าที่แล้ว ไปเที่ยวนี้ประกาศครั้งสุดท้ายแล้ว เจ้าจะถูกตัดคอ ถูกประหารชีวิต กลับไปอยู่กับเรา”

ดีใจเลย

เราจำเป็นต้องรู้ตัวตนของเราที่แท้จริง เราจึงจะเป็นอิสระ สิ่งเหล่านี้ไง เราจะได้ไม่มีความรู้สึกกลับกัน จะตาย ก็กลายเป็นกลัว อยากอยู่ต่อ ก็เป็นอย่างนี้อีก มันควรจะอยากจะไปมากกว่านะ แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้ายังใช้งานท่านอยู่ ท่านต้องอดทน พระเจ้าจะยังใช้งานท่านอยู่ ไม่ใช่อยู่โลกนี้ ท่านจะสบายๆ ไม่ใช่อย่างนั้น มันอาจจะมีความทุกข์ แต่ในความทุกข์นั้น พระองค์จะทรงใช้เรา เอเมน

 

          เมื่อเราทิ้งร่างนี้ วิญญาณเราก็ออกจากร่างไปใช่ไหม? ตะกี้นี้เห็นภาพแล้วใช่ไหม? วิญญาณเราได้ไถ่กลับมาที่เดิมใช่ไหม? วิญญาณก็ออกจากร่างไป แล้วก็ไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว ในสวรรค์สถาน เป็นร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เหมือนกับตอนที่พระเจ้าทรงเริ่มต้นสร้างมนุษย์ ในปฐมกาลเลยทีเดียวเชียวล่ะ ฝันสิ  นึกสิ นี่คือความจริงเหล่านี้ทั้งหมด เห็นภาพสิ นี่คือความจริง นี่คือความหวังใจทั้งหมดของเรา ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์  สิ่งที่สำคัญที่สุด  คือเราต้องรู้ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์  เหมือนชื่อเรื่อง  ตอนซีรี่ส์นี้แหละ เราต้องรู้ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์ว่าเป็นใคร? เป็นอย่างไร?  นี่คือสำคัญที่สุด  เมื่อเรามาเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้เข้าไปสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ เรียบร้อยไปแล้ว เราได้อยู่ในพระคริสต์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า  กลับมาเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม  เหมือนจริงๆ เลย  เหมือนทันทีเลย เมื่อเรารับเชื่อในพระองค์ วิญญาณเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ทุกวันก็นั่งอยู่ที่นี่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับเรา ณ ขณะนี้ จริงๆ ในวิญญาณเรา ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ วิญญาณก็อยู่กับเราตรงนี้แหละ อยู่ในวิญญาณของเรานั่นแหละ

 

นี่คือความเป็นจริง ในตัวตนของเราในพระคริสต์ ที่พระคัมภีร์บอกเราแล้วว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราต้องย้ำกับตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าตัวตนจริงๆ ของเราเป็นอย่างนี้  เหมือนทาร์ซานที่ต้องบอกตัวเองอยู่เรื่อยๆ

“ฉันอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ ฉันไม่ได้เป็นลูกลิงๆ ฉันอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ ฉันอยู่ที่นี่ ฉันต้องใส่กางเกง ใส่อะไรลงไปกินข้าว ฉันต้องใส่กางเกงๆ อย่าเผลอถอดกางเกงลงไป”

เราก็ต้องย้ำยืนยัน “ฉันเป็นลูกของพระเจ้านะ ฉันเป็นอย่างที่พูดมาเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด มันหนีไม่พ้นเลย”

นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ที่เราเอามาพูดกันในวันนี้ ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น เราก็ได้อยู่กับพระเจ้า ในขณะที่เรากำลังเดิน ไม่ใช่บนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ พร้อมๆ กันเลย  เรากำลังอยู่กับพระเจ้า อยู่ในครอบครัวพระเจ้า ที่เรียกว่าในพระคริสต์นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพาเราเดินบนโลกใบนี้ ตลอดเวลา หลับพระองค์ก็ไม่หลับ เคยได้ยินไหม? เมื่อเราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ พระองค์ไม่เคยหลับใหล พรองค์อยู่กับเราตรงนั้น ดูแลเราตรงนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพาเราเดินตลอดเวลา พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาเป็น … พระคัมภีร์บอกมาเป็นอะไรรู้ไหม? เป็นพี่เลี้ยง น่ารักขนาดไหน? เป็นพี่เลี้ยงเรา  เพื่ออะไร? เคยช่วยดูแลเรา  เพราะเราเพิ่งเกิดใหม่ เหมือนลูกของพระองค์ที่เกิดใหม่ๆ ซึ่งพระองค์ทรงรักและทะนุถนอมมาก เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์คลอดลูกออกมา แล้วตัวเองก็ดูด้วย แล้วก็มีพี่เลี้ยงมาช่วยดูตลอดเวลาเลย ทะนุถนอมตลอดเวลาเลย เราก็เป็นเช่นนั้นในพระคริสต์ เช่นเดียวกันแหละ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

และวิญญาณของเราก็จะค่อยๆ ต๊อกแตะๆ เจริญเติบโตขึ้น ควบคุมไปกันกับความคิดจิตใจ หรือว่า Soul ของเรา  เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์สถานนิรันดร์นั่นเอง ส่วนในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เรารู้ รับรู้ ตระหนักอยู่ตลอดเวลา  ถึงความจริงตรงนี้แหละว่ามันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ มันเป็นลักษณะอย่างนี้ อย่าให้ไปหลอกเรา อย่าให้ทีวีมาหลอกเรา อย่าให้หนังสืออื่นมาหลอกเรา  อย่าให้หนังสือพิมพ์มาหลอกเรา  อย่าให้วิทยุมาหลอกเรา อย่าให้แม้กระทั่งพระคัมภีร์ที่ใครมาแปล มันผิดไปกว่านี้ มาหลอกเรา … เราไม่เชื่อ นี่คือความเป็นจริงในถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้าบอกเรา มันเป็นอย่างนี้  เราก็เป็นอย่างนี้ มันจบแล้ว ชีวิตเรา จบในทางดีนะ มันจบในทางดีแล้ว พระเยซูจึงบอกเลย บนไม้กางเขน It is finish. มันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว  มันครบแล้วไง เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตนเองอีกต่อไปแล้ว เข้าใจไหม?  ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู มันจบแล้ว

มันจบแล้ว มันบริบูรณ์ เขาเรียกว่า Happy ending แล้ว เมื่อวันที่ท่านเชื่อในพระเยซู เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่าน มันจบแล้ว Happy ending แล้ว

พระเจ้าจึงไว้ใจเราไง ว่าพระองค์มาสถิตอยู่กับเรา แค่นั้นพอแล้ว เดี๋ยวพระองค์จัดการทั้งหมดเอง

พักผ่อนได้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองอีก แล้วเมื่อวันที่เราเข้ามาเชื่อในพระเจ้า ก่อนเชื่อในพระเจ้า ทำไปเถอะ ถึงบอกไม่ให้ทำ ท่านก็ทำ เพราะท่านไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใคร? พึ่งคนนั้น ก็ไม่ได้ พึ่งคนนี้ ก็ไม่ได้ ตรงนั้นก็หลอก ตรงนี้ก็หลอก ก็ไม่ใช่ แล้วก็ไม่อิ่มใจสักที จนมาเจอพระเยซู มันหยุดตรงนั้น มันถูกแล้ว มันหยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ควรจะพึ่งพระองค์ไปตลอดเลย เราสามารถพึ่งพระเจ้า และวางทุกอย่างไว้ที่พระองค์ได้ทั้งสิ้น

“ทุกอย่าง ทุกเรื่อง”

ไม่ใช่เรื่องฝ่ายวิญญาณอย่างเดียว ทุกอย่าง ทุกเรื่องบนโลกใบนี้  ที่ท่านเดินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับท่าน ให้ท่านรับรู้ว่าตัวตนของเราเป็นใครอยู่ในพระคริสต์ เป็นอย่างไร?  และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉันด้วย อยู่กับเราด้วย พระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างอยู่ … อยู่ในทุกสถานการณ์ ไม่เคยมีการทอดทิ้งเราเลยแม้แต่หนึ่งวินาที พอใจหรือยัง? มันต้องย้ำยืนยัน มันต้องอย่างนี้  มันต้องย้ำอย่างนี้  พระองค์สามารถที่จะนำพาเรา ผ่านพ้นทุกปัญหาไปได้ ในทุกสถานการณ์ ด้วยวิธีการและแผนการของพระองค์ที่ทรงวางไว้ ในชีวิตของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ที่พระองค์เรียกเรามาทำงานพระองค์ เมื่ออยู่บนโลกใบนี้ต่อไป นี่มันหมายถึงอย่างนี้

พระคัมภีร์จึงบันทึกว่าเมื่อเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือเชื่อในพระเยซูแล้ว เราได้บังเกิดในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวผมจะยกข้อพระคัมภีร์ขึ้นมา ท่านจะได้เห็น และไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องกลัวใครอีกเลย ไม่ต้องกลัวทุกข์ยาก ไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เพราะมันจบไปแล้ว เราชนะเรียบร้อยไปแล้ว อ่านดูเองแล้วกัน ท่านจะได้สบายใจ ท่านจะได้รู้สึกพักผ่อนสักทีหนึ่ง ท่านจะได้ไม่ต้องกลัว  เอาถ้อยคำเหล่านี้ไปอ่าน

“ไม่ว่าสถานการณ์ใดเกิดขึ้นกับฉัน ไม่ว่าฉันจะหวาดกลัวขนาดไหนก็ตาม พระเจ้าอยู่กับฉันเสมอ และฉันชนะแน่นอน เพราะมันชนะไปแล้ว”

โรม 8:37-39 “37 แต่ในทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เราก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ ผู้ได้แสดงความรักกับเรา 38 เพราะผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตาย หรือชีวิต ทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ฤทธิ์อำนาจต่างๆ ของวิญญาณ 39  สิ่งที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตาม ที่ถูกสร้างขึ้นมาพวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า ที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

พูดตามผมดังๆ เลยนะครับ “แต่ในทุกสิ่งทุกอย่างนี้ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ ผู้ได้แสดงความรักกับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ฤทธิ์อำนาจต่างๆ ของวิญญาณ สิ่งที่อยู่เหนือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่านคร … (ใส่ชื่อท่าน) หรืออะไรก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกนคร … (ใส่ชื่อท่าน)  ออกจากความรักของพระเจ้า ที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้ เอเมน”

จำไว้เลย พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เดินไปกับเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราเกิดในพระองค์แล้ว จวบจนวันตาย บนโลกใบนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์นำหน้าเรา  พระคริสต์นำหน้าเรา  พระหัตถ์ของพระองค์นำหน้าเรา  ในทุกพื้นที่ชีวิต ในทุกวินาที เราไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่มีสถานการณ์ใด หรืออะไร ทำอะไรเราได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น จงพักผ่อน หายเหนื่อย และเป็นสุข ปล่อยให้พระองค์ทำการงานของพระองค์ นำพาเราไป จนถึงวันสุดท้ายของเราแต่ละคน ที่พระองค์วางไว้ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์เถิด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************