คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2015
เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”
ตอน 1 “อย่าเป็นทาร์ซาน”
โดย นคร เวชสุภาพร
ก่อนฟังคำบรรยายในหัวข้อวันนี้ ก็เหมือนเดิม เราต้องมาทบทวนกันนิดหน่อย จากสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 12 เมื่อครั้งที่แล้ว ผมได้เกริ่นประเด็นใหม่ คือเรื่อง … ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Identity in Christ. หรือแปลเป็นไทยว่าตัวตนที่แท้จริงในพระคริสต์ ซึ่งจากนี้ไป อีกหลายสัปดาห์ เราจะมาเรียนรู้กันอย่างละเอียดในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ครั้งที่แล้วผมได้เริ่มต้นอธิบายความหมายของคำว่าตัวตนในพระคริสต์ หรือภาษาอังกฤษบอกว่า Identity in Christ. ที่บอกว่าพวกเราทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมและได้รับการประทับตราจากพระเจ้า แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเราทุกคนในพระคริสต์ เปรียบเหมือนได้รับอะไร? จำได้ไหม? เปรียบเหมือนวิญญาณนั้น เราได้รับบัตรประชาชนในพระคริสต์ แสดงหลักฐานว่าในบัตรนั้นบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์
เรามาทบทวนถ้อยคำพระเจ้าที่ยืนยันกับเรา ในเรื่องนี้ดู ซึ่งอยู่ใน 2 โครินธ์ 1:21-22 เพื่อจะได้รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์
2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”
การรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ความสงบสุข และหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะจะทำให้เกิด 2 สิ่ง ครั้งที่แล้วเราสรุปกัน เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ รู้ชัดๆ เลยว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ดูบัตรประชาชนของเราในวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ มั่นใจในนั้น จะเกิด 2 สิ่งนี้ขึ้นมาในชีวิตของเราแน่นอน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราอย่างมาก คือ.-
- เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราก็รับรู้ถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? รักเรามากขนาดไหน? เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ทำให้พระองค์เสียพระทัย ทำให้พระองค์พอใจมากที่สุด ซึ่งเราทำสิ่งเหล่านี้ เพราะเราตั้งใจจะทำไม? ทดแทนความรัก ความเมตตาของพระองค์ ไม่ได้ทำเพราะเป็นบัญญัติสั่งให้เราทำ
อันที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นคืออะไร?
- แม้เราจะตั้งใจจริง จะดำเนินชีวิตให้เป็นที่ถวายแด่พระเจ้าอย่างจริงจังเลย แต่เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายที่มีเชื้อบาปอยู่ ก็มีโอกาสที่จะไปทำผิดพลาด ทำบาปบ้าง แต่เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่วิตก เพราะเรายังมั่นใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา บัตรประชาชนเรา บอกเราว่าตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์นั้น คือใคร? ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เป็นลูกพระเจ้า เราก็ยังเป็นเหมือนเดิม เป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป เราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนเดิมไม่มีผิด แล้วจะมีตัวตนแบบนี้ ในพระคริสต์อย่างนี้ เช่นนี้ ถึงเมื่อไร? ถึงตอนไหน? ชั่วนิรันดร์ ไปถึงตลอดกาลเลย
สรุปครั้งที่แล้ว เราก็ได้คุยเน้นกันเรื่องบัตรประชาชนในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 12 ครั้งที่แล้ว จึงมีชื่อตอนว่า “บัตรประชาชนในพระคริสต์”
อย่างที่บอกว่าจากนี้ต่อไป ผมจะค่อยๆ เจาะลึกในเรื่องของ Identity in Christ. หรือตัวตนในพระคริสต์ เราจะคุยเรื่องนี้กันอย่างละเอียด อย่างน้อยก็อีกหลายสัปดาห์ ไม่รู้จะมากกว่า 12 ตอนหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป เราจะเริ่มเปลี่ยนซีรี่ส์แล้วนะครับ จากซีรี่ส์เราเป็นใครในพระคริสต์ มาเป็นซีรี่ส์ “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1
ซีรี่ส์นี้ชื่ออะไร? “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เราจะมาเรียนตัวตนในพระคริสต์
สรุป คือซีรี่ส์ชุดที่แล้ว เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” มีทั้งหมดเท่าไร? 12 ตอน ใครที่ฟังคำบรรยายนี้อยู่ในซีดี ในเว๊บไซด์ก็ตาม มี 12 ตอนนะครับ ไปฟังดูเป็นจุดเริ่มต้นที่ท่านจะได้เรียนรู้เรื่องว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ตอนนี้เราอยู่ในซีรี่ส์ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนนี้ ตอนที่ 1 ตัวตนในพระคริสต์ หรือใช้ภาษาอังกฤษว่า Identity in Christ. เหมือนเดิมนะครับ ตอนที่ 1 ชื่อตอนว่าไม่รู้ เพราะยังไม่ฟัง จะรู้ได้อย่างไร? ตอนที่ 1 เดี๋ยวฟังจบแล้ว เดี๋ยวไปตั้งกันเอง เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเราค่อยมาตั้งด้วยกัน
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมเราถึงมาเรียนรู้เรื่องอย่างนี้ หมายถึงเรื่องนี้ เรื่องตัวตนในพระคริสต์นี้กันอย่างละเอียด ทำไมผมถึงบอกว่าการรู้จักตัวตนที่แท้จริง เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นเลย พระคัมภีร์อยากให้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ คือใครเป็นอย่างไร? ตัวตนที่แท้จริงของเรา
พระคัมภีร์ทั้งเล่มคืออะไรรู้ไหมครับ? คือหนังสือที่บ่งบอกถึงตัวตนมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะมนุษย์ที่ถูกเลือกเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้ายนี้ ยุคที่พระเยซูคริสต์มา เกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราเรียกกันว่ายุคสุดท้าย จะเน้นเรื่องนี้ จะสอนเรื่องนี้ จะบอกเรื่องนี้ทั้งหมด ในนั้นจะบอกถึงเรื่องว่าท่านเป็นใคร เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกอยู่เสมอว่าในพระคัมภีร์ เวลาท่านอ่านจงระลึกถึงว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณ โดยเฉพาะ 100% ทุกเรื่องเล็งไปที่วิญญาณ เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ ตัวตนจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณ และพระเจ้าต้องการจะบอกเราว่าเราเป็นใคร? เราเป็นวิญญาณนั่นแหละ เราเป็นใคร? นอกจากเราเป็นวิญญาณแล้ว เราเป็นใคร? ไม่ใช่ผมบอกเองว่าสำคัญ แต่พระคัมภีร์บอกว่าสำคัญ
ที่บอกว่าการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะว่าการดำเนินชีวิตของเรา ทุกวันนี้ บนโลกใบนี้นะ เราต้องอยู่ท่ามกลางระบบของโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยภาพลวงตา จริงๆ สมัยก่อนก็มีภาพลวงตา แต่เดี๋ยวนี้มันมากขึ้น เป็นภาพลวงตาที่คอยจะ เบี่ยงเบนตัวตนที่แท้จริงของเรา คือระบบของโลกนี้จะคอยชี้นำให้เรามองตัวตนของเรา ตามทิศทางและกระแสของโลกใบนี้ ตามเชื้อบาปที่มันคลุมอยู่บนโลก มันจะโกหกเราอยู่เรื่อยๆ ไม่อยากให้เรารู้ความจริงว่าเราเป็นใครนั่นเอง
โลกนี้เขามักกำหนด Identity in Christ. หรือเรียกว่าตัวตนที่แท้จริงของคน ถามว่าจากอะไร? ในโลกนี้ เขากำหนดตัวตนของแต่ละคนจากอะไร? จากตำแหน่ง หน้าที่ หรือความสำเร็จในการงาน จากความมั่งคั่ง ทางเศรษฐกิจ จากรูปลักษณะภายนอก จากชื่อเสียงเกียรติยศ และจากการกระทำอะไรต่างๆ ถูกต้องไหม? ในโลกนี้เขาจะบอกว่าตัวตนเราเป็นใคร? บอกด้วยวิธีอย่างนี้
ตัวอย่างนะครับ กำหนดตัวตนตามตำแหน่งหน้าที่การงาน อย่างเช่น เป็นผู้บริหาร เป็นนักธุรกิจ เป็นนักวิชาการ หรือตัวอย่างการกำหนดตัวตนตามความมั่งคั่ง ชัดเจนเลยนะครับ ตั้งแต่อภิมหาเศรษฐี … เศรษฐี … เศรษฐีธรรมดา ไปจนถึงระดับพอกิน พอใช้ หาเช้ากินค่ำ แล้วก็ยากจนแร้นแค้น เห็นไหมครับ นี่คือตัวตนที่โลกวัตถุ โลกนี้กำหนดให้คนเป็นอย่างนี้
กำหนดตัวตนจากรูปลักษณะภายนอก ก็คือพวกหน้าตาดี อย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าตาดี หน้าตาพอใช้ได้ อย่างนี้เรียกว่าหน้าตาพอใช้ได้ หน้าตาขี้เหล่ เป็นต้น ใครเป็นคนบอกว่าคนนี้ขี้เหล่? เพราะว่าเขาว่ากันใช่ไหม? เขานี่คือใคร? ไม่รู้ เขาว่ากันในสังคมนี้ ว่าแบบนี้เรียกว่าหล่อ แบบนี้เรียกว่าสวย
หรือกำหนดตัวตนจากชื่อเสียง ที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เช่นพวกไฮโซ พวกเซเลบ … เซเลบแปลว่าอะไรก็ไม่รู้นะ เขาพูดกัน รู้หรือเปล่าว่าเป็นอะไร? ผมก็ไม่รู้ ไม่ต้องอธิบายให้ละเอียดก็แล้วกัน ไปถามกันเองแล้วกัน
หรือกำหนดตัวตนจากการกระทำ ในโลกนี้เขากำหนดอย่างนี้ เช่นเป็นคนใจบุญสุนทาน เป็นคนมีเมตตา หรือเป็นคนมีบาปหนา อะไรอย่างนี้? ผู้ที่กำหนด คือใคร? เขากำหนดกัน? เขาคือใคร? ไม่รู้ แต่สังคมพูดอย่างนี้
ใครเอาเศษข้าวไปให้สุนัขจรจัดกินข้างถนน เป็นคน รู้สึกมีเมตตากรุณา เห็นวันนี้ในหนังสือพิมพ์ลงนะครับ อย่าไปทำอย่างนั้นนะ เพราะว่ามันเป็นการส่งเสริมเชื้อโรคหมาบ้าขึ้น มันต้องจัดระเบียบของมัน ไม่พูดละเอียดนะ เอาเป็นว่ากำลังจะเน้นเรื่องนี้ว่าใครเป็นคนกำหนดเหล่านี้ ก็คือไม่รู้ … รู้แต่ว่าสังคมโลกนี้เขาว่ากันอย่างนั้น ตัวตนเราเป็นอย่างนั้น ตัวตนนี้เป็นอย่างนั้น เขากำหนดกันเอง ถูกไหม?
สิ่งเหล่านี้ คืออะไรครับ? คือภาพลวงตา ที่คอยหลอกล่อเราให้เบี่ยงเบนจากการรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นอย่างไร? ซึ่งเมื่อไรเราต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ พอนานๆ เข้า เราก็จะเริ่มคุ้นเคย และคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันคุ้นเคย เรานึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันนึกว่าการที่ตะกี้นี้ยกตัวอย่างง่ายๆ คุ้นเคยว่าดูรู้สึกว่าเป็นคนมีเมตตากรุณาต่อสัตว์เหลือเกิน สุนัขข้างถนน เราเห็น ก็สงสารมัน แทนที่จะพามันกลับบ้าน ไปเลี้ยงดูที่บ้านอย่างนี้ เราก็เอาเศษอาหารไปให้มันข้างทาง
คนก็บอก “คนนี้ ดูสิมาทุกวันเลย เป็นคนดีมีเมตตา”
เราก็รู้สึกภูมิใจว่าเรากลายเป็นคนมีเมตตากรุณา แต่ปรากฏว่าเราไม่เคยช่วยใครสักคนหนึ่งเลย พอเข้าใจไหม? เราไม่เคยช่วยใคร? ไม่เคยแบ่งปันให้ใครเลยสักคนหนึ่ง อาหารที่กินอยู่ แบ่งเหลือให้สุนัขได้ แต่อาหารที่กินอยู่ ที่ยังดีๆ อยู่ เราไม่เคยให้ใคร? ให้เด็กคนไหนกินเลย แม้แต่คนหนึ่ง นี่สมมติให้ฟัง ยกตัวอย่างให้ฟัง เพื่อท่านจะได้เห็นความแตกต่างว่าพอคุ้นๆ ไป เราเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นภาพลวงตา อย่างนี้เรียกว่ามีเมตตาจริงๆ ไหม? ไม่ใช่แล้ว ผิดปกติอะไรบางอย่าง
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนเรื่องนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาย้ำกันบ่อยๆ ในเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นใคร? เพื่อให้เราจะได้ไม่ถูกหลอกโดยสังคม โดยโลกใบนี้ ไม่ให้เราหลงเชื่อไปกับข้อมูลหลอกลวงที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย รอบตัวเรา รอบข้างเรา เพราะเมื่อเราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตัวตนที่แท้จริง หรือ Identity in Christ. ของเราในพระคริสต์นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดโดยระบบของโลกนี้อีกต่อไป
ให้ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”
“ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่ผู้บริหาร แม้ว่าข้างนอกจะดูแล้วเหมือนผู้จัดการใหญ่ ดูเป็นผู้บริหาร แต่ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่ผู้บริหาร ไม่ใช่นักธุรกิจ หรือไม่ใช่ลูกจ้าง ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ใช่เศรษฐีครับ ไม่ใช่คนยากจนด้วย ในพระคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ใช่คนหล่อ สวย หรือขี้เหล่ ไม่มี”
ในพระเยซูคริสต์ไม่มีนะครับ ไม่มี
“ในพระคริสต์ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่คนใจบุญ หรือเป็นคนบาปหนา”
พอจะเห็นภาพหรือยังว่าความจริงคืออะไร?
“เพราะตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้ หรือการกระทำของฉัน แต่ถูกกำหนดโดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ต่างหาก”
จริงหรือไม่จริง? นี่คือพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ แค่นี้เราก็อึ้ง นี่ยังไม่ทันเรียนนะ นี่พึ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้นเองนะ ก็อึ้งแล้วนะ ความจริง แค่พูดเรื่องเล็กๆ แค่นี้ เราชัดแล้ว
“อ๋อ! ถูกหลอกมาตั่งเยอะ เห็นเขาบอกว่าเราเป็นคนขี้เหล่ที่สุดในบ้าน ที่แท้เราก็ไม่ได้ขี้เหล่อย่างที่เขาบอกสักหน่อย”
เพราะฉะนั้น ในทางตรงกันข้าม ใครๆ เขาบอกว่าเราสวยที่สุดในบ้าน จริงๆ เราก็ไม่ได้สวยสักหน่อย ในพระคริสต์เท่ากันหมด เอเมน ทุกคนทำไม? สวยเหมือนกัน สวยแบบของเรา แบบที่พระเจ้าสร้าง แบบที่เป็นการฝีมือ ชิ้นยอดเยี่ยมของที่พระเจ้าสร้างเรา พระคัมภีร์บันทึกไว้นะ เราทุกคนถูกสร้างมาด้วยการฝีมือที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย ไม่มีใครเหมือนเลย เหมือนอะไรรู้ไหม? เหมือนศิลปินใหญ่ เหมือนไมเคิล แองจิโล่ ที่วาดรูป เขาไม่เคยวาด แล้วออกมาพิมพ์เป็นหมื่นๆ ชิ้น ไม่ใช่ มีอันเดียวในโลก มีภาพโมนาลิซ่า ภาพเดียวในโลก ไม่วาดโมนาลิซี่อีกแล้ว ไม่มี นี่คือศิลปินแท้จริง แล้วมันจะมีค่า
ในงานวิจัยทางวิชาการบอกว่าข้อมูลรอบข้าง จะมีผลมากที่สุด ต่อการรับรู้และยอมรับในตัวตนของตนเอง
อีกครั้งหนึ่ง งานวิจัยทางวิชาการบอกว่าข้อมูลรอบข้างเรา จะมีผลมากที่สุดต่อการรับรู้และยอมรับในตัวตนของตัวเอง ซึ่งข้อมูลรอบข้างนี้ จะมีความเป็นไปได้ 2 ทาง
ทางแรก คือข้อมูลตัวตนที่แท้จริง ที่เรียกว่า True identity คือตัวตนที่แท้จริง
ทางที่สอง คือข้อมูลตัวตนที่เป็นเท็จ หรือเรียกว่าตัวตนปลอม หรือเรียกว่า Liedentity ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอย่างนั้น
คือมีข้อมูลรอบๆ เรา มีข้อมูลอันหนึ่งเป็นจริง ตัวเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ อีกอันหนึ่งทำไม? มันโกหก มันปลอม
ความหมายของตัวปลอม หรือ Liedentity การปลอมแปลงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด อันนี้เห็นชัด เห็นกันเยอะแยะในโซเซียลมีเดียในปัจจุบัน ปลอมตัวเป็นคนอื่นเยอะแยะ ปลอมเป็น อย่างเช่น มีอยู่บ่อยๆ เป็นระยะๆ ล่อคนที่โลภมาก เสียเงินไปเยอะแยะ หลอกว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่โต มีมรดก หรือมีอะไร? มีเงินเยอะแยะมากมายใหญ่โต แต่ขาดเงินแค่หมื่นเดียว ขอให้ส่งเงินมาหมื่นเดียว มาช่วยเขา หลังจากที่เขาทำเอกสารเสร็จแล้ว เขาได้มรดกแล้ว ได้เงินเป็นหมื่นๆ ล้าน เขาจะส่งเงินกลับมาให้เยอะแยะ แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง คนก็ถูกล่อลงไปได้ ไปเชื่อเขา ส่งเงินไปให้เขาหมื่นหนึ่ง คิดดูสิ เพราะความโลภ หลงไปเชื่อความปลอม ความโกหก นี่คือข้อมูลรอบข้าง
หรือข่าวที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เรื่องหลอกลวงทางไลน์ นี่แชทมาแชทไป ถูกเขาโกงไป ก็เยอะแยะไปหมด บางคนแชทไปแชทมา หลอกลวง ทั้งที่ตัวเองเป็นคนตกงาน บอกว่าตัวเองเป็นนายตำรวจ ยศนายพันบ้าง นายพลบ้าง มาหลอกชาวบ้านเขา แล้วถามว่าหลอกได้ไหม? ได้ หลายคนก็ถูกหลอก อย่างนี้ เป็นต้น นี่คือตัวอย่างของความหมาย คำว่า Liedentity หรือตัวตนปลอม ตัวปลอม
แล้วอีกประเภทหนึ่ง คืออะไร? อีกประเภทหนึ่งยิ่งชัด แต่ชัดแบบเจ็บๆ คืออะไร? คือในการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้นะ เราจะถูกรายล้อมไปด้วยข้อมูลที่เป็นตัวตนปลอม หรือว่าความโกหก Liedentity เต็มไปหมด รอบข้างเราเลย คือจริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก แต่ข้อมูล … ข้อมูลนะ ข่าวสาร ข้อมูลรอบข้าง บอกว่าเราเป็น แล้วเราก็หลงเชื่อ เข้าใจว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่าให้ระวังๆ อย่าซี้ซั่ว ระวัง … ระวังอะไร? พระเยซูบอกว่า.-
“ระวังคำโกหก หลอกลวงท่าน มารมา เพื่อขโมย ลัก ฆ่า และทำลาย แต่เรามาเพื่อให้ท่านมีชีวิตอยู่ และมีชีวิตอยู่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์” เอเมน
พระเยซูจึงบอกว่าถ้อยคำของพระองค์เน้นอยู่เรื่อยๆ เน้นอยู่บ่อยๆ สำคัญ พระองค์ทรงพูดอยู่บ่อยๆ
พระเยซูตรัสว่า “ถ้อยคำที่เราพูดนะ เป็นความจริง และความจริง จะทำให้ท่านเป็นไท”
บางครั้งพูดขึ้นมาว่า “นี่นะ จะบอกให้นะ จริงๆ นะ จริงๆ เราจะบอกให้ท่านฟัง”
พระเยซูจะพูดเริ่มต้นอย่างนี้เสมอ ใน 3 ปีที่รับใช้บนโลกใบนี้ ลองดูนะครับ ยอห์น 8:32 ดูสิพระเยซูพูดว่าอย่างไร?
ยอห์น 8:32 “พวกคุณจะรู้จักความจริง และความจริง จะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ”
ยอห์น 14:6 “พระเยซูบอกว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครไปถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา”
พวกคุณจะรู้จักความจริง เพราะว่าพระเยซูเป็นอะไร? เป็นความจริง พระเยซูไม่ได้บอกเราจะพูดความจริงให้ท่านฟังอย่างเดียวนะ แต่พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็น … มีบุคคลเดียวในโลกนี้ ในมหาจักรวาลนี้เลย ที่พูดคำนี้นะครับ
ทุกคนบอกว่า “เดี๋ยวเราจะมาเล่าความจริงให้ฟัง”
สมมติว่าผมรู้ความจริงมา ผมก็จะบอกว่า “เดี๋ยวจะเล่าความจริงให้ฟัง” ถูกไหม?
แต่มีไหม? มีใครที่มาบอกว่า “ตัวเรา เป็นความจริง อยากรู้ความจริงไหม? มาหาเราสิ รู้จักเรา ก็รู้จักความจริง” ลึกซึ้งมาก
เช่นพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นสายเลือดของอาดัมและเอวา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ทั้งหมด เป็นของพระเยซูทั้งสิ้นนะ พระเยซูเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระเจ้าพระบิดาสร้างทุกสิ่ง ทั้งหลาย ทั้งปวง ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเยซู ก็คือพระคัมภีร์ ความจริงบอกว่าอย่างนี้ บอกว่าเรา มนุษย์ทุกคน เป็นสายเลือดของอาดัมและเอวา … อาดัมและเอวามีอยู่จริงๆ นะ ถูกไหม? นี่เป็นถ้อยคำแห่งความจริง ในพระคัมภีร์ ถ้อยคำพระเจ้าที่ บอกเราว่าเราเป็นใคร? พระเจ้าบอกมนุษย์ทุกคนว่าญาติโกโหติกาของเราเป็นใครมาจากไหน? พอเข้าใจใช่ไหมครับ
อาดัมและเอวามีอยู่จริงๆ เพราะในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าเล่าให้เราฟังว่าอาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา มีอยู่จริงๆ และเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รวมทั้งตัวเราด้วย และอาดัมและเอวาก็ตกลงไปในความบาป หลังจากที่กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และก็ได้รับคำสาปแช่ง ได้รับโทษเป็นคำสาปแช่ง และเราทั้งหลายที่เป็นลูกของอาดัม ก็พลอยได้รับคำสาปแช่งนี้ไปด้วย นี่คือความจริงที่พระคัมภีร์ พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใคร?
นี่คือความจริง แต่ก็มีข้อมูล ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาบอกมาว่า … ซึ่งข้อมูลนี้มาจากใครก็ไม่รู้ เขาบอกว่าข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่เรียกว่าข้อมูลปลอม เป็นตัวตนปลอม เป็น Liedentity ปลอม ของโกหก บอกว่าอย่างไร? บอกว่ามนุษย์เรามีต้นกำเนิดมาจากสัตว์ หรือมีวัฒนาการมาจากลิง รู้จักลิงไหม? เหมือนเราไหม? หรือข้อมูลบางแห่งก็บอกว่ามนุษย์มาจากไหนก็ไม่รู้ เรื่องอาดัมกับเอวา ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก เป็นเรื่องนิทาน เห็นไหม? เห็นไหม? นี่คือข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่ง ซึ่งเราได้รับมาจากบนโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเราก็เคยเชื่อข้อมูลนี้ ตอนที่เรายังไม่รู้จักพระเยซู เราก็เคยเชื่อข้อมูลนี้ เวลาเขามาเล่าถึงพระเยซูให้เราฟัง ไม่มีทางที่เราจะฟังข่าวประเสริฐได้ หรือมีใครที่จะประกาศข่าวประเสริฐได้ โดยไม่เล่าถึงบรรพบุรุษ (สายพันธุ์ของมนุษย์) ว่ามาจากไหน? พอถึงตรงนี้ปุ๊บ เราก็หัวเราะ เคยดูการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เราก็หัวเราะเยาะเขา ก็คือเราไม่เชื่อ เมื่อไรที่เราไม่เชื่อ ก็เท่ากับเราไปเชื่ออีกข้างหนึ่ง ถูกไหม? มันไม่มีหรอก ที่บอกว่าเราไม่เชื่อ แล้วเราไม่เชื่อทั้งสองข้าง ไม่มี เราอาจจะไม่เชื่อว่ามีอาดัมและเอวา และเราก็ไม่เชื่อว่ามาจากลิงด้วย แต่ขณะเดียวกัน เราต้องเชื่ออะไรบางอย่าง
รวมสรุปแล้ว ก็คือเราไม่เชื่อในข้อมูล ความเป็นจริงว่าตัวตนของเรา เป็นใครมาจากไหน? ต้นตระกูลเราเป็นใคร?
หรือบางข้อมูลบอกว่าเราทำบาปเวรกรรมเยอะ ทั้งชาติที่แล้ว ชาตินี้ด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องลบล้างบาป เวรกรรมของเราเอง ไม่มีใครสามารถลบล้างให้เราได้หรอก เราต้องสะสมบารมีและล้างมันให้ได้ ไม่รู้อีกกี่ปี กี่ชาติ เราก็ต้องล้างให้มันหมด มาจากใครก็ไม่รู้อีก เราก็เคยเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน
นี่คือข้อมูลเห็นไหม? พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเรา ซึ่งเมื่อเราเชื่อความจริงตรงนี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเราจริงๆ เรารู้ว่าเราเกิดมาจากอาดัมจริงๆ นี่สมมตินะ เราก็จะมีชีวิตที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงกับการเชื่อในคำโกหก ตัวตนปลอมๆ เมื่อตะกี้นี้ ถูกไหม? พอเรารู้ว่าเรามาจากพระเจ้าจริงๆ เปลี่ยนไปเลยนะ กับรู้ว่าเรามาจากลิง มันต่างกันเยอะ ถูกไหม? ซึ่งถ้าเรายืนหยัด หรือยืนอยู่บนข้อมูลที่หลอกลวงเหล่านั้น ชีวิตเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง มันทุกข์เหลือเกิน นี่คือที่บอกว่าเราต้องเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร มันถึงจะเกิดประโยชน์กับเรา มากถึงมากที่สุด
และเราจะรู้ความจริงได้อย่างไร? เราก็ต้องเริ่มต้นที่พระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความจริง มีผู้เดียวในโลก ที่บอกว่าพระองค์เป็นความจริง แล้วก็อยากจะรู้ว่าความจริงนี่คืออะไร? อะไรจริง ลองศึกษาสักหน่อย อะไรประมาณนั้น เพราะพระเจ้าบอกพระองค์เป็นความจริง เราต้องเริ่มต้นจากความเชื่อตรงนี้เสียก่อน
อ้าว! เชื่อสิว่าพระเจ้าเป็นความจริง เชื่อตรงนี้ และเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และเชื่อว่าถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์เป็นจริง นี่แหละ มันถึงจะเกิดขึ้นได้ พิสูจน์ได้ว่าความจริงนี่เป็นเช่นไร? เราจะได้รู้ว่าตัวตนเราเป็นใคร? เราไม่ยอมฟังคนอื่นเขาเลย แล้วเราจะรู้ได้เหรอว่าตัวเราเป็นใคร? สมมติให้ฟัง
มีคนมาบอกว่า “คุณเป็นใคร?”
แล้วเราบอกว่า “ไม่ฟังๆ”
แล้วเราจะรู้ไหมเนี้ยว่าเราเป็นใคร? สมมติว่าเราลืมตัวไปแล้วนะ สมมติ และเมื่อเรามีความเชื่อว่าถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์เป็นจริงแล้ว เราก็จะได้ศึกษาและเรียนรู้พระคัมภีร์ ถึงตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเมื่อเราได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรานั่น เป็นใคร? เราเป็นอย่างไร? มีสิทธิอะไรบ้าง? เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา จากการได้รับรู้ข้อมูลจริงๆ ตรงนี้นั่นเอง ถูกไหม? มันสำคัญมากใช่ไหม? สามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ ตัวตนเราเป็นจริงๆ เป็นอะไร? เราจะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ไม่ถูกหลอก และไม่เสียผลประโยชน์ไป ไม่ถูกทำให้หลงไปเชื่อในตัวตนปลอมที่ตะกี้นี้ยกตัวอย่างให้ฟัง
ตัวอย่างให้เห็นชัดอีกอันหนึ่งว่ามันอันตรายขนาดไหน? ถ้าเราไปเชื่อข้อมูลผิด มันอันตรายขนาดไหน? ตัวอย่างที่เห็นชัดเลยนะครับ เด็กที่เกิดในตระกูลเศรษฐี ที่ร่ำรวย แต่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วถูกเลี้ยงในครอบครัวขอทาน แล้วตั้งแต่เล็กจนโต ก็มีชีวิตแบบขอทาน อดๆ อยากๆ ถูกสอนให้ออกไปขอทานทุกวัน นอนริมถนนทุกวัน เด็กคนนี้จึงรับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองมีสถานะเป็นขอทาน ไม่ใช่เศรษฐี อยู่ในครอบครัวยากจน เพราะข้อมูลรอบข้างเขา มันบอกว่าเป็นอย่างนั้น ถูกไหม รอบข้าง ซึ่งข้อมูลตรงนี้ ก็คือข้อมูลตัวปลอมของเขา ถูกไหม? ตัวตนปลอมของเขา หรือภาษาอังกฤษที่เราบอก เป็น Liedentity มันเป็นตัวตนปลอมของเขา ที่ถูกยัดเหยียดใส่เข้าไปในตัวเขา แต่เด็กคนนี้ ก็เชื่อว่าที่เขายัดเหยียดมา มันเป็นจริงไปด้วย เพราะรอบๆ เขามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นึกให้ดีๆ นะ
จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กคนนี้ คือคนที่เป็นเศรษฐี ก็เกิดได้พบกับเด็กคนนี้ หาจนเจอ ก็ดีใจมาก รีบรับตัวกลับบ้าน แต่ปรากฏว่าเด็กคนนี้ กลับไม่เชื่อความจริง เพราะตัวเองรับรู้ตัวตนของตนเองมาตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นขอทาน ครอบครัวยากจน ยังไม่เชื่อกับข้อมูลใหม่ที่เศรษฐีบอกว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองเป็นลูกเศรษฐี จนกระทั่งต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์กันยกใหญ่เลย พิสูจน์ๆ กว่าเด็กคนนี้จะยอมเชื่อ และยอมกลับไปพบกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เป็นลูกเศรษฐีนั้น แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านใหญ่โตนั้น ใช้เวลานานเลยนะครับ แล้วปรากฏว่าหลังจากนั้น ปรากฏว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กคนนี้ เมื่อได้มาอยู่ในบ้านของครอบครัวเศรษฐีที่แท้จริงของตนเอง มาอยู่จริงๆ แล้ว เขาเรียกตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเลย บ้านเราจริงๆ แล้ว กลับกลายเป็นทำไมรู้ไหมครับ? ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ทั้งๆ ที่สิ่งนี้ ก็คือตัวจริงของเขา แต่เขาไม่ชินแล้ว ชินกับของปลอมเยอะ
ตอนกลางคืน ก่อนนอนต้องหอบผ้า หอบหมอน ไปนอนระเบียบหน้าบ้าน เพื่อให้ได้บรรยากาศใกล้ๆ เหมือนเดิม เหมือนจะหลับ ต้องนอนริมถนนไง ไปนอนข้างบนไม่ได้ ต้องออกมานอนข้างนอก ซึ่งพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา ที่เป็นเศรษฐีต้องเริ่มต้นสอนใหม่ สอนบ่อยๆ เพื่อให้เด็กคนนี้ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเองว่าเขาเป็นลูกเศรษฐี ควรจะวางตัวอย่างไร? จะใช้ชีวิตในบ้านหลังใหญ่อย่างไร? ต้องเข้าสังคมอย่างไร?
เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเมื่อได้รับข้อมูลตัวตนของเรา ที่ไม่เป็นความจริง ที่โกหกมา ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไปอะไรก็ไม่รู้ เข้ารกเข้าพง เข้าป่าไปเลย และเมื่อได้มารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราจริงๆ อีกทีหนึ่ง ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อย่างมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน เอเมน
ทำไมถึงเอเมน เหมือนอะไร? เหมือนเราในพระคริสต์ไหม เหมือนไหม? เหมือน … เหมือนเราในพระคริสต์ไหม? เหมือน ตอนนี้ท่านเป็นลูกใคร? ลูกพระเจ้า ตอนท่านเป็นลูกพระเจ้ารวยไหม? มหาเศรษฐีไหม? แล้วท่านจนหรือเปล่า? ไม่กล้าพูด ใช่ไหม? แม้อยู่บนโลกใบนี้
“คนอื่นจะบอกว่าฉันยากจน แต่นั้นมันของปลอมครับ แม้บ้านฉันยังเช่าเขาอยู่”
ขึ้นรถเมล์ สังคมเขาบอกคนจน
“โทษทีครับ นั่นคือข้อมูลปลอม ข้อมูลโกหก ตัวจริงๆ ของฉัน คือฉันเป็นลูกเศรษฐี มหาเศรษฐี เจ้าของ ที่ดิน บ้านฉัน คือโลกนี้ทั้งใบ”
แล้วจริงหรือเปล่า? จริงหรือไม่จริง? จริงนะ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริง ตามพระคัมภีร์เป๊ะเลย
อีกตัวอย่างหนึ่ง อันนี้อีกมุมหนึ่ง อันนี้มุมใกล้ตัวเราหน่อย เมื่อกี้ลูกเศรษฐีใช่ไหม? ต้องใช้ชีวิตเป็นลูกขอทานใช่ไหม? คราวนี้ลองฟังอีกตรงกันข้ามกัน คือถูกหลอก ด้วยข้อมูลตัวตนที่ไม่เป็นความจริงเหมือนกัน แต่ในทางตรงกันข้าม เช่น จริงๆ แล้ว ครอบครัวยากจน เป็นหนี้สินมากมาย แต่ถูกหลอกด้วยข้อมูลต่างๆ ว่าเป็นคนมีฐานะดี ใช้เงินเกินตัว ก็เลยกลายเป็นโทษ ลำบาก ลำบน มีไหม? มีหรือไม่มี? ถูกหลอกอย่างนี้มีหรือไม่มี? ไม่กล้าพูดเหรอ อ้าว! พูดดังๆ มีหรือไม่มี? มี เยอะไหม? เยอะ เคยเห็นไหม? ท่านเคยถูกหลอกอย่างนี้ไหม? โดนหรือเปล่า? ไม่โดนเหรอ?
อ้าว! เมื่อ 2 – 3 ปีที่แล้ว ใครซื้อรถคันแรกบ้าง? ตอนนี้ใครจะไปผ่อนบ้านหลังแรกบ้าง? นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น การที่เขาจะให้โปรแกรมอย่างนี้ว่ารถคันแรก บ้านหลังแรก เขามีไว้เพื่อคุณต้องรู้ตัวคุณเองด้วยว่าคุณไหว มันเหมาะสมกับคุณ ไม่ใช่ให้ แล้วทุกคนยากได้ นึกว่าตัวเองทำได้ นึกว่าตัวเองมี แล้วเป็นไง ถูกเขายึด เป็นหนี้เป็นสินเขา กลายเป็นคนล้มละลายไปแล้ว รถคันแรกก็คืนเขาไป แถมรถคันก่อนคันแรก เขาก็เอาไปด้วย บ้าน ทุกอย่าง กลายเป็นคนล้มละลาย นี้มันเป็นอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าถูกหลอกหรือเปล่า? ถูกหลอก
อยากได้ ลืมคิดไปว่าฐานะอย่างเรา มันมีรถส่วนตัวได้ไหม? ตอบว่าไม่ได้ แต่ว่าแบงค์บอกว่าได้ พยายามทุกอย่าง เพื่อจะให้ได้ แล้วในที่สุด ได้มาจริงๆ แล้วไปรอดไหม? ไม่รอด เพราะมันลืมตัวไป นี่ถูกหลอก ตัวตนผิดไป
หรือบางคนถูกข้อมูลหลอกว่าอันนี้สำคัญทางวิญญาณนะ หรือบางคนถูกข้อมูลหลอกลวงว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เป็นผู้วิเศษ … วิเศษกว่าคนอื่นๆ เขา สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้เพียงผู้เดียว วิเศษกว่าคนอื่นมากมายนัก สามารถเข้าใจเรื่องของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง คนเดียวเลย ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเขาเรียกว่านั่งทางใน ทำอภินิหาร ทำอัศจรรย์ต่างๆ สามารถติดต่อกับโลกฝ่ายวิญญาณได้ แบบพิเศษเลย มนุษย์ทุกคนต้องไปพึ่งเขา อย่างนี้เป็นต้น ถูกหลอกอีกเหมือนกัน
พระเจ้าบอกมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด ที่ผมพยายามบอกอยู่เรื่อยๆ ทุกวันนี้ สำคัญที่สุด ที่ไหนก็ตาม ที่บอกมนุษย์ไม่เท่ากัน ท่านรีบออกมาไกลๆ เลย มนุษย์ต้องเท่ากันหมด เมื่อมนุษย์เท่ากัน เพราะอะไร? เพราะพระคัมภีร์พูดอย่างนั้น มนุษย์เท่ากันหมด เพียงแต่ไม่เท่านั้น หมายถึงตำแหน่งหน้าที่การงานบนโลกใบนี้ หน้าที่คนนี้เป็นผู้รับใช้ คนนั้นเป็นศิษยาภิบาล หน้าที่นี้เป็นอาจารย์ หน้าที่นี้เป็นแม่บ้าน ก็ว่ากันไปตามหน้าที่ … หน้าที่นี้นักธุรกิจ เขาเป็นหัวหน้าเรา … เราก็เชื่อฟังเขา ไม่ใช่เขาใหญ่กว่า เพราะว่าฐานะตัวตนเขาใหญ่กว่านั้น อย่างนั้นไม่ใช่ เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านเข้าไปหาพระเจ้าได้พอๆ กันกับเปาโล และเปโตรเข้าไปหาพระเจ้าได้ มีค่าเท่ากัน ท่านมีสิทธิ์เท่ากันเลย เอเมน ปรบมือขอบคุณพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้ ความจริงมันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ความจริงอย่างนี้ นึกในใจว่ามีอะไรเพี้ยนๆ แล้ว อย่าเข้าไปยุ่งๆ ถ้าเมื่อไรมีคนยกตัวตนเองขึ้นมาสูงกว่าชาวบ้าน ระวังๆ สูงในที่นี่ หมายถึงวิญญาณอย่างนี้นะ
ตัวอย่างข้อมูลปลอมที่อันตรายอีกเรื่องหนึ่ง คืออะไรรู้ไหมครับ? คือบางคนยกตัวอย่างถ้อยคำในพระคัมภีร์มาใช้แบบไม่ถูกต้อง อย่างนี้เรียกว่าอะไรรู้ไหมครับ? เรียกว่าเป็นการถูกหลอกแบบลึกซึ้ง เขาเรียกว่าตลบท้ายอีกทีหนึ่ง เพราะว่าถูกหลอก โดยใช้ถ้อยคำพระเจ้ามาหลอกเรา เข้าใจใช่ไหม? ถ้อยคำพระเจ้าเป็นความจริง ขณะเดียวกัน คนสามารถใช้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นความจริงมาบิดพลิ้ว เอาถ้อยคำพระเจ้ามาหลอก ก็ได้เหมือนกัน
อย่างเช่นพระคัมภีร์บอกว่าในพระคริสต์ เราเป็นผู้มั่งคั่ง มั่งมี … มีไหม? พูดอย่างนั้นมีไหม? ใช่ ซึ่งความหมายจริงๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้ หมายถึงมีความมั่งคั่งทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงความมั่งมี ความร่ำรวยทางโลกเลย แต่ถ้าเชื่อข้อมูลที่หลอกลวงนั้น แล้วเข้าใจผิดว่าเมื่อมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ตัวตนของเราจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยขึ้น ทางโลก ซึ่งถ้าเราดำเนินชีวิตบนตัวตนที่ผิดอย่างนี้ เป็นเท็จอย่างนี้ ชีวิตเราก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างมหาศาล จริงหรือไม่จริง? ถูกไหม? มันคนละเรื่องกัน นี่คือการหลอกลวงทั้งสิ้น ทำให้เราไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร? และเราก็จะดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่ไม่เป็นความจริง ที่เป็นเท็จนั้น คือดำเนินชีวิตอยู่บน Liedentity หรือตัวตนปลอม แล้วเราอาจจะพลาดไปทำอะไรที่เป็นพิษ เป็นภัยกับตัวเอง และเป็นพิษเป็นภัยกับผู้คนรอบข้างมหาศาลเยอะเลย แม้กระทั่งเกิดสงครามยังได้เลย เพราะเข้าใจผิดไป ถูกหลอกไป นึกว่าตัวตนเราเป็นอย่างนั้น
ในพระคัมภีร์ใช้คำนี้เลยว่านึกว่าเราทำด้วยความรักในพระเจ้า พลีชีวิตของเรา ให้เขาเผาไฟเลย ในพระคัมภีร์บอกเป็นศูนย์เลย ไม่มีประโยชน์อะไรเลย 1 โครินธ์ 13 บอกไว้ใช่ไหม? ความรักคืออะไร? ความรักไม่ใช่อย่างนี้ วันนี้ไม่ได้จะมาพูดเรื่องนี้ เอาเป็นว่าข้ามอันนี้ไปก่อนนะ เพื่อจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ ว่าตัวตนของเราจริงๆ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเรา ถ้าเราไม่รู้ตัวตนในชีวิตของเรา แล้วเราถูกเขาหลอกไปเป็นตัวตนปลอม มันอันตรายมาก … มากน้อย ถึงมากๆ ถึงมากมหาศาล ถึงมากที่สุด ทำลายโลกนี้ยังได้เลย เพราะตัวตนปลอม นึกว่าเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ มันไม่ใช่
อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องสุดท้าย ที่เห็นชัดที่สุด เพราะใครๆ ก็รู้จักเลย ใครเคยดูหนังเรื่องทาร์ซานบ้าง?
ทาร์ซานถูกเลี้ยงโดยฝูงลิงกอริล่า ตั้งแต่เป็นทารก และได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิก เป็นหนึ่งในฝูงลิง เมื่อทาร์ซานเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็มีสัญชาตญาณเหมือนกับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง เขาอยู่สิ่งแวดล้อมนี้ทั้งหมด แล้วรับรู้ตัวตนของตัวเองมาตลอดว่าตัวเอง ก็คือสัตว์ตัวหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตในป่า จนกระทั่ง เขาได้มีโอกาสได้พบกับมนุษย์ และรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ พ่อแม่มาหาเจอเหมือนกัน พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ค้นเข้าไปในป่าเจอใช่ไหม? ไปเจอ เรียกลูกกลับมา แล้วพยายามที่จะบอกลูกว่าลูกเป็นใคร? เมื่อทาร์ซานได้รับรู้ความจริงเหล่านั้นที่พ่อแม่และผู้คนรอบข้างพยายามเล่าให้เขาฟัง แต่ก็ยังไม่ยอมรับในตัวตนจริงๆ ของตัวเองว่าตัวเองเป็นมนุษย์ แม้จนได้มาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ เข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ทาร์ซานก็ยังปรับตัวได้ยากกับการที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขานั่นเอง ถูกไหม? เหมือนไหม? ทาร์ซานเข้ามาอยู่บ้านหลังใหญ่ คฤหาสน์ของพ่อแม่ มาอยู่แล้ว เรียนรู้ไป กินข้าว รู้จักนอนแล้ว พอตอนเช้าขึ้นมา ตื่นเช้า 6 โมงเช้า รู้แล้วต้องไปกินข้าว มันหิวแล้ว แทนที่จะเดินลงบันไดมา ปีนหน้าต่างออก ปีนคล่องเลย จากหน้าต่าง สมมติชั้น 5 ชั้น 6 ปีนลงมา เกาะรางน้ำฝน ลงมา โดดตุ๊บๆ เข้าหน้าต่างห้องกินข้าว พ่อแม่นั่งรออยู่ มาแปลก แค่นั้นไม่พอ พ่อแม่ตกใจ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรลงมาเลย ทั้งๆ ที่เสื้อผ้าก็ซื้อมาให้หมดแล้ว สอนวิธีใส่แล้ว แต่ทาร์ซานทำไม? ยังไม่เคยชิน ลืมตัวไป ไม่เคยชิน หิวข้าว รีบลงมา นี่เปลี่ยนไปเยอะแล้วนะ ทาร์ซานมาอยู่หลายปีแล้วนะ แต่มันเผลอไปไง มันหิว มันเผลอ พอหิวปุ๊บ สัญชาตญาณเก่ามันออก มันเคยอยู่อย่างนั้นมาก่อน มันก็โดดลงมา แก้ผ้าอะไรต่างๆ ลงมา นึกว่าอยู่ในป่า อยู่เหมือนเดิม นี่คือทาร์ซาน น่าขำไหม?
ในพระเยซูคริสต์เราก็ทำอย่างนั้น แต่เราไม่เห็นขำเลย ในพระคริสต์เราเป็นใคร? เสร็จล่ะ คราวนี้ ยุ่งแล้วสิ ในพระคริสต์เราเป็นใคร? ดูสิว่าจะมีใครแก้ผ้าลงมาบ้าง? ในพระคริสต์เราเป็นใคร? เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว … แล้วทำไมเวลาเขาเสิร์ฟอาหารช้า ทำไมเราโกรธเขาล่ะ แล้วทำไมเราเห็นแก่ตัว เราอยากได้ของคนอื่นเขา ทั้งๆ ที่เราร่ำรวยมหาศาล เหมือนไหม? เหมือนทาร์ซาน ที่ลงมาจากห้องนอนไหม? พอกัน พระเจ้ามองมา
“ลูกฉัน ทำไมทำอย่างนี้”
นิดเดียวเอง จะเอาเปรียบเขา ถูกเขาเอาเปรียบนิดหนึ่งไม่ได้ๆ ตัวเองเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติมหาศาล อยู่บนสวรรค์เยอะแยะไปหมด
“ฉันบอกเธอแล้วไง เธอเป็นมหาเศรษฐี แล้วดูสิเนี้ย ไปโลภอะไร? ของเล็กๆ น้อยๆ แค่หมื่นกว่าล้านเอง เอาไปทำไม ฉันมีเยอะแยะไปหมด”
ทีอย่างนี้ไม่หัวเราะ … หัวเราะไหม? เหมือนกับทาร์ซานเมื่อตะกี้นี้ เสื้อผ้าเยอะแยะ ซื้อให้ใส่ ไม่ใส่ โป๊ลงมา มันชินใช่ไหม? เหมือนเราก็ชินใช่ไหม? ความโลภมันโผล่ออกมา ชิน ความเห็นแก่ตัวมันโผล่ออกมา มันชิน มันอยากได้ เพราะอะไร? เพราะมันชิน แต่พอพระเจ้าเขี่ยหน่อย สมมติคนที่เชื่อพระเจ้าชัดๆ แล้วเข้มข้น คือมีความเชื่อเข้มแข็ง พอพระเจ้าเขี่ยหน่อย มาฟังคำอธิษฐาน หรือฟังคำบรรยาย ที่โบสถ์ปุ๊บ ได้ยินปุ๊บ ไม่ใช่ๆ ไม่เอาๆ เราโลภเกินไปแล้ว อยู่บนโลกใบนี้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องอยู่บนโลก แบบที่โลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา ไม่โลภๆ ไม่เห็นแก่ตัว ต้องเป็นคนใหม่ ก็โอเค ก็ทำไม? ก็เหมือนทาร์ซานกับขึ้นไปข้างบน ไปใส่กางเกงลงมา ไม่นั่งกินข้าวแบบนั้น เห็นแก่พ่อแม่ ผมเปรียบเทียบได้ดีมาก เห็นชัด ตรงที่มันไม่ใส่เสื้อผ้า จะเห็นชัดที่สุด มันน่าเกลียดใช่ไหม? มันโป๊ มันอายเขา มันอายไปถึงใคร? อายไปถึงวงศ์ตระกูล อายไปถึงพ่อแม่เขา ถึงญาติพี่น้องเขาทุกคน
เพราะฉะนั้น คริสเตียน เมื่อเห็นแก่ตัว เป็นคนโลภ ไปโกรธเขา ทำท่าทางที่ไม่ดี มันอายถึงพระเยซู และรวบทั้ง อายถึงศิษยาภิบาล อายถึงใครอีก เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่น้องที่เป็นคริสเตียน อายเขาหมดเลย ไปทำอย่างนั้นทำไม? ใช่หรือไม่ใช่? แต่เราอภัยให้กันอยู่แล้ว พระเจ้าบอก แต่บางครั้งเราก็ทำ เขาก็ทำ
บอกคนข้างๆ สิ “อย่าอาย”
อย่าอาย หมายถึงบางครั้ง มันเข้าใจ “เราเข้าใจเธอดี ไปใส่เสื้อผ้าลงมาแล้วกัน”
วันหลัง ก็คุยกันอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครทำอะไรไม่ดี เราบอกไม่ต้องอายหรอก ไปใส่เสื้อผ้าลงมา ก็แล้วกัน เวลาเราโลภ เราเห็นแก่ตัว หรือทำอะไรไม่ได้เป็นด้วยความรัก จงจำไว้ เราเหมือนแก้ผ้าทำอยู่ มันน่าอาย ในสายตาของคนที่อยู่ในพระคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย วิญญาณเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ คิดดู เราเป็นเหมือนพระเยซู … พระเยซูสะอาดหมดจด พระเยซูจะทำอย่างนั้นเหรอ เราคิดดู พระเยซูมีแต่ให้ๆๆๆ พระเยซูจะไปโลภ หมื่นล้านเหรอ อย่าว่าแต่หมื่นล้านเลย หมื่นบาทท่านก็เอาแล้ว ถ้าเขาตกทองหมื่นบาท ท่านลุกเป็นโพรงแล้ว แค่เขาหลอกท่านมาขาย ลักษณะการขายต่อๆ อะไรแบบนี้ ท่านถูกหลอกไป เพราะอะไร? เพราะเราอยากได้เงิน อดทนไว้ ถึงแม้จะหิวข้าว นึกถึงทาร์ซานไว้ เข้าใจไหม? คือบางทีเราอยากได้ อดทนไว้ อดทนไว้ เดี๋ยวพระเจ้าจัดการให้ พระเจ้าสอนให้ใส่เสื้อผ้า ก็ใส่เสื้อผ้าไป อดทนไว้ ใจเย็นๆ ใส่เสื้อผ้าดีๆ แล้วค่อยๆ เดินลงบันไดมา ฝึกๆ ลงบันได ไม่ต้องปีน รีบลงมา น่าเกลียด อายเขา โอเค
ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”
เรามาดูนะครับว่าคราวนี้พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เอาแค่สั้นๆ ผ่านไปก่อน แล้วค่อยมาเจาะลึกกันทีหลัง ดูนะครับว่าเป็นใครในพระคริสต์ ผมเอามาให้ท่านดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งพูดข้อความว่ามันอยู่ที่ไหนในพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นใครในพระคริสต์? พระเยซูบอกท่านเป็นใครในพระคริสต์? พระเจ้าบอกว่าท่านเป็นใคร? ตัวตนจริงๆ ท่านเป็นใคร? พระคัมภีร์บันทึกไว้จริงๆ ผมจึงได้เริ่มต้นจากข้อพระคัมภีร์ก่อน ท่านจะจดไว้ก็ได้ ฟังดีกว่า แล้วเดี๋ยวท่านเอากลับบ้านไปฟังทีหลัง ฟังในเว๊บไซด์ก็ได้ สดเขาก็มี แล้วเขาก็บันทึกไว้ แล้วก็อัพลงยูทูป สามารถดูได้ทุกวัน ทั้งวัน ยกตัวอย่างเช่น .-
ยอห์น 1:12 บอกว่า “เราเป็นลูกของพระเจ้า”
ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “ใครบอก”
“พระเจ้าบอก”
ถ้าผมถามว่าใครบอก ท่านตอบว่าพระเจ้าบอกนะ
“พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
โรม 5:1 บอกว่า “เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อแล้ว”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
1 โครินธ์ 6:17 บอกว่า “เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้านะ แน่ใจเหรอ พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ใหญ่มากนะ แต่ก่อนอยู่ห่างมากนะ บริสุทธิ์มาก ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เลย”
“สนิทกันเป็นหนึ่งเลย ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
1 โครินธ์ 12:27 บอกว่า “เราเป็นส่วนหนึ่งของกายของพระคริสต์”
คือเรากับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกัน
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“น่าเชื่อไหม?”
“เชื่อ”
เอเฟซัส 1:1 “เราเป็นประชากรของพระเจ้า ผู้สัตย์ซื่อในพระเยซูคริสต์”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“อ้าว! ท่านเป็นประชากรของประเทศไทยไม่ใช่เหรอ”
“สองอย่างเลย ทางโลกนี้ เราเป็นประชากรของประเทศไทย แต่ในวิญญาณ ฉันเป็นประชากรของพระเจ้า ในพระคริสต์
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
เห็นไหม? ไม่ใช่เรื่องปรัมปรามาจากไหน? ใครบอกก็ไม่รู้ เขาบอก เขาว่ามา ไม่ใช่เลย พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ
เอเฟซัส 2:18 “เราทั้งหลายสามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
ผมเข้าได้คนเดียว ท่านไม่บริสุทธิ์พอหรอก ท่านไม่ค่อยได้อธิษฐานด้วย ผมรู้ อธิษฐานน้อยใช่ไหม? ถวายก็น้อยใช่ไหม? เชื่อพระเจ้ามากี่ปี? บางคน 2-3 ปี ท่านจะเข้าไปหาพระเจ้าได้เท่ากับผมได้อย่างไร? ผมกี่ปีแล้ว ท่านรู้ไหม? ผมอธิษฐานเท่าไรแล้ว? แล้วผมอดอาหารมากเท่าไร? ท่านเข้าใจไหม? เชื่อผมไหม? อย่าไปเชื่อผมเลย พระคัมภีร์บอกว่าเราทั้งหลาย สามารถเข้าถึงพระบิดาได้ ด้วยพระวิญญาณองค์เดียวกัน มีความสามารถไปหาพระบิดาได้เท่ากันหมด
ถามว่า “ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“แล้วเชื่อไหม?”
“เชื่อ”
ไม่เชื่อพระเจ้า แล้วจะไปเชื่อใครล่ะ
โคโลสี 1:14 “เราได้รับการไถ่บาป คือได้รับการอภัยโทษบาปของเรา”
“พระเจ้าบอกอย่างนั้น เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
“เชื่อ”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
โคโลสี 1:22 “เราได้คืนดีกับพระเจ้า ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ”
“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
“เชื่อ”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
โคโลสี 2:10 “เราได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์แล้ว”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
“เชื่อ”
“อ้าว! ไหนบอกวันนี้ยังขาดเงินอยู่เลย ตะกี้ยังเห็นจะยืมเงินกัน จะยืมกันอยู่ ครบบริบูรณ์ได้อย่างไร? ไม่เห็นมีครบเลย แล้วหมื่นหนึ่งมีครบหรือยัง? ที่อยากได้หมื่นหนึ่งครบหรือยัง?”
“ยังไม่ครบ พึ่งจะ 7,000 เอง”
“แล้วตะกี้บอกครบแล้ว”
“มันคนละเรื่องกันบอกสิ นี่มันเรื่องฝ่ายวิญญาณ ตัวตนฉันในวิญญาณ เป็นอย่างนี้จริงๆ”
โรม 8:1 “ไม่มีการลงโทษแก่เรา ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
ฟีลิปปี 3:20 “เราเป็นพลเมืองสวรรค์”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“เป็นพลเมืองสวรรค์แน่นะ”
“แน่”
โคโลสี 3:3 “เราตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”
“เชื่อไหม?”
“เชื่อ”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“อ้าว! เราตายแล้วได้ไง นั่งอยู่นี้ บอกว่าตายแล้ว อ้าว! แล้วตายอย่างไร?”
“ไม่รู้ ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องเข้าใจ ฉันเชื่อ”
“ไม่ต้องเข้าใจเลย เชื่อ บอกมาอย่างไร ฉันเชื่อ พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ฉันก็เชื่อแล้วว่าชีวิตฉันถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์”
มัทธิว 5:13 “เราทั้งหลายเป็นเกลือของโลก”
“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
“เชื่อ”
“เราเป็นเกลือนะ เราไม่มีความสามารถ คนบอกเราจบ ป.4 แต่เราเป็นเกลือ”
หมายถึงไปช่วยโลกนี้นะ
“เป็นไปได้เหรอ”
“ได้ เพราะพระเจ้าบอกเราเป็นอย่างนั้น”
ยอห์น 15:1 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา”
“เอเมนไหม?”
“เอเมน”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“เพราะฉะนั้น ใครที่ดูแลเราอยู่ตอนนี้”
“พระเจ้า”
“แล้วทำไมกังวล กลัวอดล่ะ ทำไมไม่มีงานทำ กังวลใหญ่เลย”
“หางานไม่ได้ ไม่มีเงินเลย ลำบากลำบนอย่างนี้”
“ทำไมบ่นล่ะ”
กิจการ 1:8 “เราได้รับฤทธิ์อำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“ตัวท่านเต็มไปด้วยฤทธิ์ ท่านเชื่อไหม?”
“เชื่อ”
“เป็นไปได้ไหม?”
“เป็นไปได้”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
ตัวเราเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย
2 โครินธ์ 5:17 “เราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป นี่แน่ะ! เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้นเลย”
“วิญญาณเราใหม่เอี่ยมเลย เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
“เชื่อ”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“เข้าใจไหม?”
“ไม่เข้าใจ ใหม่อย่างไรก็ไม่รู้ แต่เชื่อ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ฉันเชื่อ”
ทาร์ซานก็ไม่ต้องเข้าใจนะ รอทาร์ซานเข้าใจ ทาร์ซานตายก่อน ไม่ต้องทำอะไร? กลับไปอยู่ป่าเหมือนเดิมแน่ ทาร์ซานไม่ต้องเข้าใจ ทาร์ซานต้องเชื่อพ่อแม่เขา
เอเฟซัส 2:6 “เราได้เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และได้นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ตอนนี้ เรียบร้อยไปแล้ว”
เอเมน
“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
“เชื่อ”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
“อ้าว! แล้วทำไมนั่งอยู่ที่นี่ล่ะ จะบ้าเหรอ”
สมมติคนเขาทักท่าน
“ท่านจะบ้าเหรอ คนนี้มันบ้าไปแล้วเนี้ย อยู่ดีบอก ‘ฉันนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรค์สถาน’ ก็นั่งอยู่ที่นี่ แกจะไปไหน? แล้วยังเชื่อไหม? ถ้าเขาพูดอย่างนั้น”
“เชื่อ”
เพราะมันคนละเรื่องกัน นี่มันเรื่องโลกวิญญาณ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เป็นโลกวิญญาณ
“ฉันนั่งอยู่ที่นั่น ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ฉันไม่ต้องเข้าใจ ฉันไม่ต้องรู้ว่ามันเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ฉันเชื่อตามนั้น เอเมน”
เอเฟซัส 2:10 “เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี”
“เชื่อไหมว่าท่านทำการงานดีได้ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ เชื่อไหม?”
“เชื่อ”
“อ้าว! เห็นใครๆ บอก ท่านเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ เชื่อเขาหรือจะเชื่อพระเจ้า?”
“เชื่อพระเจ้า”
เห็นไหม? ท่านต้องเชื่อในพระเจ้า … พระเจ้าบอกพระเจ้าทำได้ ท่านจะถูกใครเข้าว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าบอกเมื่อท่านมาอยู่ในพระคริสต์ พระองค์สามารถทำให้ท่านทำการดีได้ เพราะท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า
1 โครินธ์ 3:16 “เราเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในเรา”
“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”
“เชื่อ”
“ใครบอก?”
“พระเจ้าบอก”
ท่านเดินไปที่ไหนตอนนี้ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเชื่อไหม? ท่านรู้ไหมว่าวิหารของพระเจ้า คือพลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้นมาสมัยก่อนนี้ ที่พระเจ้าให้สร้าง ท่านเชื่อไหมว่าตอนนี้ที่ท่านนั่งอยู่ ตัวท่าน ร่างกายท่าน เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า ท่านเชื่อไหม?
ถ้าท่านรู้ทั้งหมดนี้ แล้วเอาทั้งหมดนี้ ไปท่อง ไปคิดอยู่ตลอดเวลา ชีวิตท่านจะเปลี่ยนเลย จะเปลี่ยนไปอีกอันหนึ่ง มากขึ้นเลย ถูกหรือไม่ถูก?
นี่แหละคือความสำคัญที่ทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่อง “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใคร? แล้ววิธีที่จะเรียนรู้ได้มากที่สุด คือพระเจ้าบอกเรา ผู้ที่สร้างเราบอกเราว่าเราเป็นใคร? มันถึงถูกต้อง ไม่ใช่ไปฟังจากใครก็ไม่รู้ ต้องฟังจากผู้ที่สร้างเรา ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ มือของพระองค์ แล้วบอกให้เรารู้ว่าเราเป็นใคร? อันนี้แท้จริง แล้วมีหลักฐานยืนยันอยู่ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลนี้
นี่แหละ เราจึงต้องมาเรียนเรื่องนี้ และเราจะเรียนกันไปเรื่อยๆ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
************************