คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ตอน 7 “ปลูกแตงโม ได้แตงโม”
โดย นคร เวชสุภาพร
สัปดาห์ก่อน เทศน์เรื่องอะไร? ตอนที่ 5 ใช้ชื่อเรื่องว่านั่งเครื่องบิน ตอนที่ 6 ครั้งที่แล้ว ใช้ชื่อตอนว่ากระเทียมดอง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 7 วันนี้ จะตั้งชื่อเรื่องหลังจากบรรยายแล้ว
ครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันเรื่องผลของการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง และมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง? ซึ่งผมได้สรุปเป็น 2 ประเด็นหลักๆ มาย้ำกันดูนิดหนึ่ง
ประเด็นแรก คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎใหม่ได้เอาชนะกฎเก่าไปเรียบร้อยแล้ว
กฎเก่า คือกฎแห่งบาปและความตาย ถ้าใครทำผิดทำบาป แม้เพียงนิดเดียว ก็ต้องรับโทษ คือความตาย ซึ่งทุกคนที่อยู่ภายใต้กฎเก่าก็ต้องตายอย่างแน่นอน เพราะทุกคนเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกไว้ ตายในที่นี่ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? อยู่บนโลกใบนี้ ก็ตายอยู่ ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้ อธิษฐานกับพระเจ้าไม่ได้ ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ และเมื่อทิ้งร่างกายไปนี้ ทิ้งร่างกายที่เรามองเห็นนี้ คือตายจากโลกนี้ไป ก็จะไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย
ส่วนกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายไปแล้ว คือได้รับอิสรภาพจากกฎเก่าแล้ว ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป ไม่ต้องตายและตายอีกไป อยู่บนโลกนี้ ก็รู้จักพระเจ้าเลย อธิษฐานกับพระเจ้า รู้จักกับพระเจ้าพระบิดาเลย แล้วก็เมื่อทิ้งร่างกายนี้ ร่างกายที่เราอยู่อาศัยนี้ จากโลกนี้ไป ก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล นั่นแหละเรียกว่าอยู่ในกฎใหม่ หลุดพ้นจากความบาปและความตาย หมายถึงอย่างนี้นะ นี่คือประเด็นแรกนะ
ประเด็นที่สอง คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราได้กลายสภาพเป็นจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่สกปรก ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ตายอยู่”
“ตายอยู่” ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า เขาเรียกว่าวิญญาณที่ตายอยู่
เราได้กลายสภาพจากวิญญาณที่ตายอยู่นี้ กลายมาเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป เรียกกันว่ามีชีวิตขึ้นมาทันที พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มีชีวิต”
“มีชีวิต”
หันไปหาคนข้างๆ บอกว่า “เธอมีชีวิต”
ไม่ใช่ว่าเรามองเห็นว่าเขาหายใจ แล้วบอกว่า “เธอมีชีวิต”
ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ เข้าใจไหม? อยู่ในกฎใหม่แล้ว เป็นวิญญาณใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มีชีวิต ท่านทราบตรงนี้นะ แปลว่าอย่างนี้นะ เมื่อไรก็ตามได้ฟังคำบรรยาย หรือว่าอ่านเองในพระคัมภีร์ ถ้าบอกว่ามีชีวิต ท่านมีชีวิต มันหมายถึงวิญญาณนะ ไม่ใช่มาย้ำท่านว่าท่านหายใจอยู่ ท่านมีชีวิต ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เป็นเรื่องของวิญญาณ ก็คืออะไร? ก็คือสภาพเปลี่ยนใหม่ จากที่เราบอกว่าสภาพที่เป็นกระเทียมสด กลายเป็นกระเทียมดอง … ดองกับใคร? ดองกับตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเยซูพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน
และในครั้งที่แล้ว เราก็ได้อ่านพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ใช่ไหม? ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าได้ย้ำยืนยันในบทนี้ ให้กับเราอย่างชัดเจน ระหว่างความแตกต่างของการอยู่ภายใต้กฎเก่า และภายใต้กฎใหม่ใช่ไหม? ซึ่งพอจะสรุปใจความสำคัญได้อย่างนี้นะครับว่าผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า คือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์จะปักใจอยู่กับความต้องการทางเนื้อหนัง ที่พยายามจะแสวงหาความรอดจากการกระทำของตนเอง เพราะเนื้อหนังของคนเหล่านี้ ที่อยู่ภายใต้กฎเก่านั้น จะคอยกระตุก คอยย้ำเตือนว่า.-
“ต้องทำดีๆ”
เพื่อชดใช้บาปเวรกรรม ซึ่งได้ยินแว่วๆ หูตลอดเวลาว่า.-
“เมื่อไรจะชดใช้บาปเวรกรรมหมดสักทีหนึ่ง คนเราเกิดมา มันก็ต้องใช้เวรกรรม เรื่องธรรมดา”
คนที่อยู่ในวิสัยบาปจะคิดอย่างนี้ ชดใช้ก็ไม่รู้ว่าหมดเมื่อไร? เราเองสมัยก่อนก็คิดอย่างนี้ เมื่อไรมันจะหมดสักที แต่เรารู้ว่าเราต้องใช้เวรใช้กรรม ใช่ไหม?
แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ หรือตามวิญญาณ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณนั้น ก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่เป็นกระเทียมดอง เขาก็จะปักใจในสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คืออะไร? ก็คือเป้าหมายของพระเจ้าที่ต้องการให้มนุษย์เป็น คือต้องการให้เราได้ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน และพระองค์ก็ได้ประทานสิทธินั้นให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ชำระเราให้สะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งได้มาเป็นบุตรของพระเจ้า คนที่อยู่ในพระคริสต์ก็จะปักใจตรงนี้แหละ เชื่อตรงนี้แหละ อยู่ในชีวิต มีความหวังอยู่ตรงนี้แหละ ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน
ครั้งที่แล้ว เราถึงได้จบลงที่ตรงนี้ว่าให้เราย้ำเน้นกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในพระคริสต์ มันอยู่อย่างไร? ลักษณะเป็นอย่างไร? แล้วก็ให้เราดำเนินชีวิตจดจ่อในแต่ละวัน โดยให้พระวิญญาณนำ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือให้วิญญาณข้างในเราเองนั่นแหละนำ พระวิญญาณนำ ถามว่านำใคร? นำวิญญาณของเรา วิญญาณของเรา คือใคร? วิญญาณของเราที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นดองกับ 3 พระภาคนั่นเอง
เพราะฉะนั้นจะบอกว่าให้แต่ละวันเราดำเนินชีวิตให้เน้นไปที่ไหน? ที่วิญญาณของเราก็ได้ ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจไหม? หรือจะเน้นไปที่บอกพระวิญญาณนำ ก็ได้ ก็คือหนึ่งเดียวกัน เพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ท่านจะมองเห็นภาพนะ เหมือนอย่างที่เปาโลพยายามที่จะบอกเราว่าเปาโลเขาได้อะไร? แล้วเขาอยากจะให้เราเป็นอย่างไร? เมื่อเราเชื่อในพระเยซู ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 เราจะอ่านกันนะครับ เปาโลอยากให้จดจ่ออยู่ที่ในพระคริสต์ เบื้องบน ก็คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ มันสำคัญกับเราอย่างไร? โคโลสี 3:1-4 อ่านแล้วเราจะได้ปฏิบัติตาม นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่มาถึงเรา ที่บอกเราว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราควรจะทำอะไร?
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”
เบื้องบนตรงนี้ คือที่ไหน? เบื้องบนตรงนี้ ก็คือที่ในสวรรค์ ที่เราคิดว่าเป็นในสวรรค์ หรือจะบอกว่าเบื้องบน ก็คือที่วิญญาณ หรือจะบอกว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ หรือจะบอกว่าที่เกี่ยวกับวิญญาณ ทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ตรงนี้บอกให้เราจดจ่อที่ไหน? จดจ่อที่วิญญาณ คิดว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ วิญญาณพระเยซูอยู่ที่ไหน? และเรื่องเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่สติปัญญาบนโลกใบนี้
ถ้อยคำตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญของผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ควรจะทำอย่างนี้ หรือการดำเนินชีวิตโดยให้วิญญาณนำ ก็คือการดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ซึ่งจะทำให้ชีวิตบนโลกใบนี้พบกับสันติสุข ความสงบสุขมากเลยทีเดียว เหมือนที่เปาโลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ทำได้ เอเมน เรียกว่าอัศจรรย์ ชีวิตอัศจรรย์ มันเป็นไปได้จริงๆ คือในทางวิญญาณ ใครที่ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ฟังให้ดีๆ นะครับ ใครที่อยู่ในพระคริสต์แล้ว ในทางวิญญาณนะ ก็จะได้รับความรอดแล้วอย่างแน่นอน แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เราได้รับสันติสุขขณะอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ระหว่างยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่รอคอยที่วันหนึ่งพระเจ้าจะรับวิญญาณเรากลับบ้าน ทิ้งร่างเก่านี้ไป ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเยซูต้องการให้เรา มีชีวิตอยู่ที่เต็มไปด้วยสันติสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข แสดงว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ไม่อย่างนั้น พระองค์คงไม่พูดว่าให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข
นี่เป็นอะไร? นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าต้องอดทน ทุกข์ๆ ไป ไม่มีทางเลือกเลยนะ แล้วก็รอให้ไปสวรรค์ แล้วจะมีความสุข ไม่ใช่ … ใช่บนโลกใบนี้มีความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบนี้ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ตกอยู่ในความบาป ที่อาดัมและอีฟได้นำเข้ามาบนโลกใบนี้แล้วก็จริงอยู่ แต่พระเยซูบอกว่าอย่างไร? อยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราได้ชนะโลกนี้ไปแล้ว ชนะโลก ก็คือชนะสิ่งเหล่านั้น ความทุกข์เหล่านั้น ไปเรียบร้อยแล้ว ความวุ่นวาย ความวิปริต ผิดเพี้ยนของโลกใบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยพระเยซูชนะ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เราอยู่ในพระเยซู … พระเยซูชนะ เราก็ชนะด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบมีชัยชนะตรงนั้น เราจะได้มีสันติสุข เขาถึงเรียกสันติสุข เขาถึงไม่เรียกความสุข มันเรียกว่าสันติสุขไง
เปาโลจึงบอกว่าวิธีการที่จะทำให้เราได้รับสันติสุขบนโลกนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ก็คือ “จงให้ใจและความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก” ภาษาอังกฤษนะครับ อันนี้พระคัมภีร์ยอดเยี่ยม ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “จดจ่อ” เขาใช้คำว่าอะไรรู้ไหมครับ? “Set your mind above where Christ is.”
“Set your mind” คำนี้ยอดเยี่ยม เพราะอะไรรู้ไหมครับ ถ้าแปลตรงคำภาษาไทย ปัจจุบันนะ มันตรงกับคำที่กำลังฮิตเลย ต่อไปจะฮิตมากกว่านี้ เขาเรียกว่า Set your mind แปลว่าอะไรรู้ไหม? Set แปลว่าอะไรรู้หรือเปล่า? ตั้งโปรแกรมความคิดของท่านที่โลกวิญญาณ ที่ในสวรรค์เท่านั้น พอตั้งโปรแกรม คนรู้เลย นึกถึงคอมพิวเตอร์ นึกถึงไอโฟน ไอแพค ไออะไรเยอะแยะ ไอค๊อกแค๊ะ ท่านนึกถึง Set อ๋อ! กด เพราะฉะนั้นใครตอนนี้ Errorไป ก็ทำไม? เดี๋ยวก็กลับไป set ใหม่ set ไปที่ไหน? Set ไปที่โลกวิญญาณ set ไปที่สวรรค์
“ฉันเป็นใครในพระคริสต์ๆ”
Set ไปตรงนี้ นี่เปาโลบอกไว้อย่างนั้น
คำว่า “ให้ใจและความคิดของท่านจดจ่ออยู่ที่สิ่งเบื้องบน” หรือคำว่า “Set your mind above” ทำอย่างไรครับ? เราลองย้อนมาดูตัวเราเองนะครับ ที่ผ่านมา จะกี่ปี กี่สิบปีก็แล้วแต่ เคยมีไหมครับที่เรารู้สึกอยากได้อะไร หรือที่พูดกันบ่อยๆ ว่าฝันอยากได้อะไรบ้าง? นั่นแหละ คือ set your mind เคยไหม? ย้อนกลับไปสิ ท่านเคยคิดว่าอยากได้ เดี๋ยวไม่ต้องย้อนกลับไปมาก ย้อนกลับไปแค่เมื่อวานนี้ก็ได้ ท่านฝันว่าท่านอยากได้อะไร? จะคนเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็มีความฝันกันทั้งนั้น ถูกไหมครับ? หรือว่าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่มีความฝัน มี
บางคนก็บอกว่าฝันอยากจะไปเที่ยวไกลๆ พอหลับตา นึกถึงภาพตัวเอง นั่งอยู่ที่ชายหาดกว้างๆ น้ำทะเลใสๆ จนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในทะเล มีเสียงเพลงเบาๆ เพราะๆ
หลับตาลงสิ ฟังผมอย่างเดียว … ฟังเพลงเพราะๆ อยู่ริมชายทะเล ลมพัดเย็นๆ เฉื่อยๆ นึกถึงภาพเหล่านี้ ยิ้มนิดๆ แค่นี้ก็มีความสุข … พอลืมตามาอีกที โอโห้! อยู่ในรถเมล์ ผู้คนมากมายร้อนแดด โอ๊ย! ร้อนๆ วันนี้ทำไมร้อนอย่างนี้ เหงื่อแตกเลย ใช่หรือไม่ใช่?
ถามว่าตอนที่หลับตาตะกี้นี้ มันมีสุขไหม? สุข ท่ามกลางอะไร? ท่ามกลางแดดร้อน รถเมล์วุ่นวายไปหมดอะไรต่างๆ เหล่านี้ ของโลกใบนี้ ถูกไหม?
นี่คืออะไร? นี่คือความสุขที่สามารถหาได้ ไม่ใช่เฉพาะมาเชื่อพระเจ้าแล้วได้ รู้วิธียังได้เลย เขายังเอาไปใช้ในการสอนหรือว่าการรักษาคนที่เป็นโรคเครียด นี่คือหนึ่งในการรักษา เขาบอกให้หลับตา แล้วยิ้ม นึกถึงอะไรก็ตามที่สวยๆ ที่ตัวเองชอบ แล้วยิ้ม
บางคนเขาก็สอนบอกว่ารักษาด้วยวิธียิ้มไม่พอ แถมนึกถึงอะไรที่มีความสุขมากๆ แล้วหัวเราะออกไปเลย ลืมตามา เรื่องทั้งนั้น ตอนลืมตามันหัวเราะไม่ออก แต่หลับตามันหัวเราะได้ ถามว่าให้ทำอย่างนั้น เพื่ออะไรรู้ไหม? เพราะมีกฎระเบียบของพระเจ้าสร้างไว้ว่าเมื่อร่างกายมันเป็นอย่างนั้นขึ้นมา มีความรู้สึกในการ Set your mind จดจ่อที่ความคิด ความคิดท่านเป็นอย่างนั้นเมื่อไร? มันจะเกิดหลั่งสารสุขออกมา นี่ไม่ใช่เรื่องวิญญาณ เป็นเรื่องวัตถุแล้วนะ สารสุข คือสารเคมีตัวหนึ่งที่หลั่งออกมา เมื่อเราคิดแล้วมีความสุข ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นหรือเปล่า? ไม่เป็น ความจริงมีปัญหาเยอะแยะ เปิดตาออกมา นั่นก็ทวงหนี้ นี่ก็มาวุ่นวาย แถมยังป่วยอยู่ หลับตาเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต สารสุขหลั่งได้ เขายังเอาไปใช้ในโลกใบนี้เลยนะ ในการรักษาสุขภาพร่างกายของคน คือการ Set your mind คือจดจ่อไปที่ทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น เขาถึงบอกกันว่าคริสเตียน ควรจะมีการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ด้วยการหลับตา ไม่ใช่ลืมตา ถ้าคริสเตียนหลับตามีความสุข ถ้าคริสเตียนลืมตา มันลำบากนะ เพราะฉะนั้นคริสเตียนต้องหลับตา เวลาอธิษฐานส่วนใหญ่เราจึงหลับตา ถูกไหม? เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ท่านต้องหลับตาบ่อย เจออะไรไม่ชอบมาพากล หลับตาก่อนเลย แต่ยกเว้นตอนขับรถ ไม่ได้นะ
ผมนึกถึงเพลงๆ หนึ่ง ผมเอาคอนเซ็ปนี้ คือคริสเตียนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือแค่หลับตา ถูกไหม?
ด้วยความเชื่อ คือไม่ใช่ด้วยตามองเห็น พระคัมภีร์บอกว่าเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ผมก็เลยเอาคอนเซ็ปนี้ไปให้ไก่ สุธี เขาแต่งเพลงๆ หนึ่ง อยากให้แต่งเพลงนี้ แล้วเขาก็แต่งออกมาได้ดีด้วยนะ … หลับตาแล้วเราจะได้อยู่ใกล้ๆ พระเยซู พอเราหลับตาปุ๊บ เราไปนั่งอยู่ที่ไม่ใช่ข้างๆ พระเยซูนะ แต่นั่งอยู่ในหัวใจของเธอเลย เคยได้ยินไหม? ถ้าเป็นแบบมนุษย์เขาเรียกว่าเลี่ยน แต่ทางพระเจ้ามันใช่เลย
ในพระคัมภีร์บอกในพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับใคร? ร่วมกับพระเยซูคริสต์ “In” เลยนะ ไม่ใช่นั่งข้างๆ In ในพระเยซู เรานั่งตรงนั้น ที่ไหน? ทางฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้น ทางฝ่ายวิญญาณเรามองไม่เห็น แต่หลับตาแล้วเห็น เพราะฉะนั้น หลับตาแล้วเราก็นั่งอยู่ในหัวใจพระเยซู ซึ้งกันทั้งคู่เลย นี่ขนาดเขาเอาไปจีบกันได้เลย
พระเยซูจึงบอกว่า.-
“นี่แหนะ เราเคาะอยู่ที่หัวใจของเธอ เปิดออกสิ แล้วเราจะได้เข้าไป”
เปิดหรือยัง? เปิดด้วยวิธี Set your mind ตั้งโปรแกรมในความคิดใหม่ ตั้งโปรแกรมไว้ที่วิญญาณ พระคัมภีร์บอกในวิญญาณเป็นอย่างไร? Set ไปตรงนั้นเลย พระคัมภีร์บอกวิญญาณของเรา นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า Set ไปตรงนั้น ให้เห็นว่าเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เพลงว่าอย่างนี้นะ
“แค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ
จะมีฉันและเธอเท่านั้น ลำพังไม่มีผู้ใด
แม้โลกจะสับสน ผู้คนจะมากมาย
แค่หลับตา เปิดหัวใจ ให้เราได้พบกัน”
โอ๊ย! ซึ้ง แค่ฟังก็ซึ้งไปหมดเลย นี่คือพระเยซูกำลังร้องเพลงนี้กับเรา พระเยซูกำลังบอกเราว่าดูสิ แค่หลับตา เราก็สามารถอยู่ใกล้ๆ เวลาคิดถึงพระเยซู เราจะทำอย่างไร? จะใกล้พระเยซูได้ ถ้าเราบอกว่าพระเยซูอยู่ในสวรรค์ และอยู่ไกลกันเหลือเกิน แล้วจะรอให้วันที่จากโลกนี้ไปเจอกับพระเจ้า ถามว่าทำได้ไหม? ทำได้ แต่ไม่มีอะไรที่ดีกว่านั้น แล้วเหรอ?
“เมื่อไรเธอจะกลับมาจากอเมริกาสักที ฉันรอเธอตั้งนาน ไม่มีอะไรดีกว่านั้นแล้วเหรอ ต้องเรียนจบถึงจะเจอกันเหรอ”
“อ๋อ! มีสิ”
“ทำอย่างไร?”
“แค่หลับตาเธอยังมีฉันข้างเธอเสมอ”
เห็นไหม? คิด แล้วทำไม? หลับตาลง คิดถึงพระเยซูก็หลับตา คือผมกำลังอยากจะบอกว่าแค่ยกตัวอย่างพวกนี้ เราก็พอจะบอกเห็นภาพแล้วว่าการที่เราจดจ่อ ปักใจ หรือ Set your mind หรือว่า Set mind หรือ Set ตั้งความคิดของเรา หรือความฝันของเรา ที่เราอยากจะได้ หรืออยากจะให้เป็น อยากจะให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราเลย แค่เพียงเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้นบนโลกใบนี้ เรายังได้ประโยชน์จากมันมากมาย ได้รับความสุข นั่งยิ้มอยู่คนเดียวได้ เหมือนเมื่อตะกี้นี้ ท่านลองคิดดูสิ และมากกว่าสักเท่าใด สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เชื่อพระเยซูแล้ว เป็นกระเทียมดองแล้ว ที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมให้กับเรา โดยการเรียนรู้แล้ว คือพระเจ้าได้เตรียมชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา และเราจะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์ เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องมีความบาปติดตัวอีกแล้ว นิรันดร์กาล สวรรค์ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา
ท่านคิดว่าคนที่คิดอย่างนี้ Set mind หรือตั้งความหวังไว้ตรงนี้ได้ ตลอดเวลาควรจะมีความสุข สันติสุข พักผ่อนในชีวิตมากขนาดไหน? ตอบสิ มากขนาดไหน? มาก เยอะเลย นี่แหละคือที่เป็นเคล็ดลับที่เปาโลอยากให้เราได้รับ นี่แหละคือสิ่งนั้น ถ้าทำไม่ได้ เปาโลคงไม่บอก และสำหรับคนทั่วไป ที่มีความฝัน หรือมีใจจดจ่ออยู่กับความฝันบนโลกนี้นะ นึกให้ดีนะ อาจมีความสุขได้ ในขณะที่กำลังนึกฝันอยู่ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราว ชั่วแป๊บเดี๋ยวเท่านั้น พอลืมตามาเจอปัญหากันหมดแล้ว แต่ในทางพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตลอดนิรันดร์ หลับตาเมื่อไรเห็นอย่างนั้น หลับตาเมื่อไรเห็นตรงนั้น แล้วมันเป็นพันธสัญญาจากพระเจ้า ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนที่ตะกี้เราหลับตาๆ ว่าเราจะไปภูเก็ต หลับตาว่าเราจะไปอันดามัน หลับตาแล้วเราจะไปมัลดิฟอะไรอย่างนี้ เราอาจจะไม่ได้ไปก็ได้นะ ถูกไหม? แต่ในทางพระเจ้า เราได้ไปแน่ๆ เห็นไหม? แล้วมันจะมีความสุขมากกว่ากันขนาดไหน ท่านคิดดูสิ คนที่เป็นคนยืนยันกับเราว่าเราได้ไปนั้น คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรค์สิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสิ่งสารพัดทุกสิ่งเลย ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ควบคุมอยู่ ตื่นมาตอนเช้า เราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เหมือนเดิม เราก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียวว่าที่เราฝัน ที่เรา Set your mind ที่เรา Set mind ตั้งใจ จดจ่อไว้เบื้องบนที่ว่าวันหนึ่ง เราจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น มันเป็นจริงครับ เพราะว่าผู้ที่สัญญานั้น คือผู้เดียวกันกับผู้ที่สั่งดวงอาทิตย์ขึ้นนั่นแหละ มันขึ้นที่เดิมตลอดเลย ใช่ไหม? เอเมน
แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เปาโลสอนว่าอย่างไร? เปาโลสอนบอกว่าให้เราเอาใจจดจ่อ ให้เอาความคิดของเราจดจ่อไว้กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่ฝ่ายเนื้อหนังบนโลกใบนี้ แต่ให้จดจ่อกับที่ฝ่ายวิญญาณของเรา ฝ่ายวิญญาณๆ ไม่ใช่เรื่องสวรรค์อย่างเดียว แต่รวมทั้งหมดเลย แต่ถ้าเราบอกสวรรค์ บางทีเราคิดแค่เพียงสวรรค์ที่ว่าเป็นสวรรค์ แต่ถ้าเราบอกว่าทางฝ่ายวิญญาณ เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าไม่ใช่สวรรค์ก็ได้ บนโลกใบนี้ ก็มีวิญญาณ ทางฝ่ายวิญญาณ และฝ่ายวัตถุสิ่งของที่จับต้องได้
ลักษณะนี่แหละ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้เราคิดว่าอะไรที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็กก็ตาม ให้เราคิด ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกใบนี้ คืออย่างนี้ ยกตัวอย่าง สมมติในขณะนี้ วิญญาณท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ อยู่กับพระเจ้า ในไหน? ในสวรรค์ ร่างกายท่านอยู่ที่ไหน? ร่างกายท่านอยู่ที่โบสถ์โฮลี่ นั่งอยู่ ให้ท่าน Set อย่างนี้ ไปที่ไหนให้ท่านรู้ตลอดเวลา รู้ตัวตลอดเวลา อยู่ที่ไหน? ตอบสิ แล้วแต่คนถาม ถ้าคนถามเข้าใจตรงนี้ ท่านก็สามารถตอบได้ ท่านอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้านิรันดร์กาล ใช่ไหม? เจ้านายไม่รู้จักพระเจ้าถามท่าน
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
“อ๋อ! ฉันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน”
เจ้านายบอก “เดี๋ยวมาเอาเงินเดือนสุดท้ายไปเลย ไม่ต้องมาทำอีกแล้ว จะส่งไปโรงพยาบาลด้วย”
ท่านเข้าใจไหม? ให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ใช่คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ท่านสามารถพูดจริงด้วย ถามว่าจริงด้านไหน? ท่านจำเป็นต้องพูดด้านไหน? ถ้าท่านจำเป็นต้องพูดในเรื่องฝ่ายโลกวัตถุนี้ ก็ต้องพูดไป
“ท่านอยู่ที่ไหน?” เจ้านายถาม
“ตอนนี้อยู่ที่โบสถ์โฮลี่ ตรงกรุงเทพกรีฑา เดี๋ยวเลิกตอนเที่ยง เดี๋ยวไปเจอได้ครับ”
อะไรอย่างนี้ แต่ถ้าผมอยู่บนนี้ถามท่าน กำลังเทศน์อยู่ ถามท่านว่า.-
“ขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหน?”
สามารถตอบได้ “วิญญาณฉันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เอเมน”
ถ้าเรา Set ตั้งความคิดของเราบนโลกวิญญาณอย่างนี้ตลอดเวลา ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป เอาง่ายๆ นะ สมมติว่าขับรถอยู่ มีคนตัดหน้า ท่าน Set ความคิดท่านอยู่ที่ในสวรรค์ ท่านจะตอบโต้เขาว่าอย่างไร?
“พระเจ้า เอาอย่างไรดี อภัยให้มันแล้วกัน พระเยซูเอาไงดีล่ะ”
พระเยซูบอก “อภัยให้เขาแล้วกัน”
“โอเค”
แต่ถ้าท่าน Set ตั้งความคิดท่านบนโลกใบนี้ ท่านจะทำอย่างไร? คิดเอาเองแล้วกัน
สัปดาห์ที่แล้วผมยกตัวอย่างหิวข้าว จะไปกินข้าว เข้าไปถึง เข้าไปก่อน สั่งก่อน ได้หลัง ท่านก็ต้อง Set อะไร? Set วิญญาณของท่าน … ท่านก็จะปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง ถูกไหม? เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ทำดีที่สุด ก็ได้แค่นี้ ป่วยๆ ออดๆ แอดๆ Set ไปที่วิญญาณ ปรับตรงไปที่วิญญาณ ตั้งโปรแกรมไว้ที่วิญญาณ มันเจ็บป่วยอะไรขึ้นมา ทำดีที่สุดแล้วนะ ไปหาหมอ กินยาอะไร ดูแลสุขภาพ แล้วมันได้แค่นี้เอง Set กดไปที่วิญญาณ พุ่งไปที่ … จดจ่อไปที่วิญญาณ สันติสุขมันก็สามารถมาได้ ท่ามกลางความเจ็บป่วย
นี่คือความหมายของการให้เอาใจและความคิดจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน คือฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายโลก หรือเรียกว่าเนื้อหนัง ต่อไปนี้ ต้องจำไว้ให้ได้นะครับว่าจากนี้ต่อไป พระคัมภีร์จะมีอยู่แค่ 2-3 คำนี้ จะต้องจำให้ได้ว่าถ้าเป็นเบื้องบน ก็คือสวรรค์ ถ้าเป็นเบื้องล่าง ก็คือนรก ถ้าเป็นเบื้องบน ก็เป็นเบื้องบนสวรรค์ ในวิญญาณ ถ้าเป็นฝ่ายโลก ก็เรียกว่าเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง วิสัยบาปของเนื้อหนัง มันมีอยู่แค่นี้ ท่านจะต้องนึกเห็นภาพเหล่านี้ ท่านจะสามารถเข้าใจในถ้อยคำพระเจ้าได้มากขึ้นว่ามันคืออะไร? กำลังคุยถึงเรื่องอะไร? ซึ่งตอนนี้หลายท่านก็เข้าใจมากขึ้นเยอะนะครับ ซึ่งครั้งที่แล้ว เราได้จบกันไปเมื่อตะกี้นี้ ที่สรุป
ที่ตะกี้นี้ เพิ่งแค่สรุปตอนแรกนะ เพิ่งสรุปสัปดาห์ที่แล้ว ที่เทศน์มา นี่ยังไม่ได้เริ่มต้นของวันนี้เลย วันนี้จะเริ่มต้นแล้ว เทศน์มา 4-5 ตอน ครั้งที่แล้ว บางคนก็ไปคิดอีกแบบหนึ่ง ผมก็กลัว ต้องรีบมาแก้ มาบอกว่าให้เราคิดอย่างไร? บางคนไปฟังคำเทศนามา 6 ตอนแล้ว พอได้ฟังทั้งหมดแล้ว เกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราได้อยู่ในพระคริสต์ เราได้เป็นกระเทียมดองกับพระคริสต์ไปแล้ว ไม่สามารถกลับเป็นอย่างอื่นได้อีกแล้ว เราได้รับความรอด เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ไม่สามารถกลับเป็นคนบาปได้อีกแล้ว
ทุกคนตอบว่า “เอเมน”
ซึ่งมันเป็นจริง แต่ผมก็เป็นห่วง ตอนนี้ทุกคนรู้ตอนนี้ ในนี้ ตั้งแต่เรียนมา รู้กันหมดแล้วว่าเราเป็นกระเทียมดอง เราเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาดใหม่เอี่ยม เป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีบาป ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว ไม่สามารถกลายมาเป็นคนบาปได้อีกแล้ว ที่ผมห่วงก็คืออะไร รู้ไหมครับ? ก็คือเมื่อทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ เมื่อสอนมาอย่างนี้ คือผมเกรงว่าอาจจะมีบางคนฟังเรื่องนี้ แล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมากเลย ถามว่าสบายใจ เพราะอะไร? มั่นใจว่าได้รับความรอดแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ของพระเจ้าว่าต้องการให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ แล้วผมก็บอกตามที่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ทุกคนก็สบายใจ อันนี้มันสบายใจมากเกินไป เลยเป็นห่วง กลัวว่าจะมีคนสบายใจอย่างนี้ว่า.-
“ต่อไปนี้ จะทำผิดทำบาปอะไรก็ได้แล้ว ไม่ต้องเกรงกลัวต่อบาปอีกแล้ว ยังไงๆ ฉันก็ได้รับความรอดอยู่ดี ได้อยู่ในพระคริสต์อยู่ดี ได้ไปสวรรค์อยู่ดี”
ใช่หรือไม่ใช่? บางคนอาจจะคิดอย่างนี้ไง นี่แหละ เพราะว่าอะไร? เพราะเรายังอยู่ในเนื้อหนัง ถึงแม้เราจะได้รับความรอดแล้วก็ตาม ถึงแม้เราจะข้างในสะอาดบริสุทธิ์ก็ตาม แต่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ อยู่ในความคิดเก่านี้ มันก็จะอย่างนี้แหละ ก็คิดอย่างนี้ได้
วันนี้ ผมเลยจะมาปิดรูให้หมดเลย เอาให้เสร็จเลย หนีไม่พ้นเลย คนที่คิดอย่างนี้ ตั้งใจฟังหน่อยนะ เพราะฉะนั้นวันนี้ จะตั้งใจอธิบายตรงนี้ให้ฟัง ก่อนอื่น คืออย่าลืมนะครับว่าทั้งหมด ที่เราฟังกันมาในเรื่อง “อยู่ในพระคริสต์” เป็นอย่างไร? เราเป็นใครในพระคริสต์นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณทั้งนั้น ผมย้ำแล้วย้ำอีก เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าเมื่ออยู่ในพระคริสต์แล้ว จะทำบาปแค่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ อันนี้ขอยืนยันว่าไม่ใช่นะครับ เพราะใครที่ทำบาป ฟังให้ดีนะ ก็ยังคงต้องรับผลของความบาปอยู่ดี ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับทางวิญญาณครับ เยาะเย้ยนิดหนึ่ง คำละเรื่องกันครับ
พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าใครทำสิ่งใด ก็จะต้องรับผิดชอบในผลจากการกระทำสิ่งนั้น เปรียบเหมือนการหว่านเมล็ดพืช เราหว่านอะไรลงไป ก็จะได้รับผลจากสิ่งที่หว่านนั้น เคยได้ยินสุภาษิตจีน เขาบอกว่าอย่างนี้
ปลูกแตงโม ได้อะไร? มันก็ต้องได้ถั่ว เอ้อ! ไม่ใช่ ปลูกแตงโม ก็ต้องได้แตงโม ปลูกถั่วก็ต้องได้อะไร? ท่านเข้าใจหมดแล้ว ไม่ต้องเทศน์แล้ว ท่านรู้แล้วเนี้ยว่าปลูกถั่ว ต้องได้แตงโม ไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ท่านยังรู้เลย มันเป็นไปไม่ได้ ปลูกถั่ว ต้องได้ถั่ว ทำอะไรก็ต้องได้อันนั้น จะมาบอกว่า.-
“อยู่ในพระคริสต์ ฉันปลูกถั่ว จะได้แตงโม”
ได้ไหม? ไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน กาลาเทีย 6:7-8 บันทึกไว้นะ ให้ท่านอ่าน
กาลาเทีย 6:7-8 “7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ”
ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ค่อนข้างขู่ท่านนิดหนึ่งว่าให้ท่านตั้งใจฟัง เพราะว่ามันต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ แต่มันไม่ยากนัก ท่านจะเห็นชัด สว่างเลย
ไม่ว่าเราจะเป็นกระเทียมดอง หรือกระเทียมสด ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม
ให้เราพูดพร้อมกัน “ไม่ว่าฉันจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่ฉันหรือเรากระทำไป ที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า”
ซึ่งภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบาป … บาป ก็คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Miss the target ซึ่งผมเคยอธิบายบ่อยๆ ว่าบาปแปลว่า Miss the target แปลว่าผิดเป้าหมาย ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้ มันผิดเป้าหมาย เรียกว่าบาป พระเจ้าตั้งใจให้เราไปทางซ้าย เราไปทางขวา เรียกว่าเรากำลังทำบาป เข้าใจนะ
เมื่อเราทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้ ซึ่งพวกเราเรียกกันว่าทำบาป เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน เราต้องเก็บเกี่ยวผลของมันตามที่พระคัมภีร์บอกว่าหว่านอะไร ก็ได้อย่างนั้น ฟังให้ดีนะ หว่านอะไรก็ได้อย่างนั้น ไม่ว่าทางฝ่ายโลก หรือฝ่ายวิญญาณก็ตาม เราก็ต้องเก็บเกี่ยว มันมี 2 อัน ทั้งฝ่ายโลก เราก็ต้องเก็บเกี่ยว ฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องเก็บเกี่ยว ขึ้นอยู่กับว่าที่เรากระทำนั้น มันเกี่ยวข้องไปทางด้านไหน? ไปทางด้านฝ่ายโลก หรือฝ่ายวิญญาณ
สำหรับถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านในกาลาเทีย ตะกี้นี้ ในบริบทนี้ เล็งถึงทางฝ่ายวิญญาณครับ เมื่อตะกี้เราอ่านเล็งถึงทางฝ่ายวิญญาณ หมายถึงรวมๆ นะ เล็งถึงฝ่ายวิญญาณก็จริง แต่ก็สามารถนำมาใช้ทางฝ่ายโลกได้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นกฎที่พระเจ้าวางเอาไว้เช่นเดียวกัน เดี๋ยวฟังต่อไป
ในนี้บอกว่าอะไร? ตะกี้เราอ่านพร้อมกันบอกว่าอะไร?
“อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้าได้ … อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า”
เราไม่สามารถที่จะปิดบังพระเจ้าได้เลย พระองค์ทรงทราบหมดทุกสิ่ง แม้ว่ามนุษย์บนโลกใบนี้มอง จะเห็นว่าเขาเป็นคนดี หรือเราเป็นคนไม่ดี หรือเรากำลังทำดี หรือเรากำลังทำไม่ดี ก็ตาม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนที่พูดคนนั้นเลย แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่กำลังมองเรา พระองค์ทรงทราบดีว่าเนื้อแท้ข้างในวิญญาณของเรานั้น เราเป็นอย่างไร? คิดอะไร? ตั้งใจอะไร? เราหลอกลวงคนได้ แต่เราหลอกพระเจ้าไม่ได้ นั่นหมายความตรงนี้ ตรงนี้มันหมายความอย่างนี้ เข้าใจแล้วนะ
ต่อไปบอกว่า “ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศ จากวิสัยบาปนั้น” ฟังให้ดีนะ
หมายถึงผู้ที่จดจ่อในวิสัยบาปของตัวเอง จากวิญญาณข้างในนี้ ที่มีบาปติดอยู่ ฟังให้ดีๆ บาปที่มันยังติดอยู่ ในวิญญาณข้างใน ก็คือยังไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ถูกไหม? จากวิญญาณข้างในที่มีบาปติดอยู่ ที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง กบฏต่อพระเจ้า ต้องการพึ่งตัวเอง ไม่ต้องการพึ่งพระเจ้า ไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเรียกกันตามธรรมชาติว่าบาปในวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำนี้
“มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป” หมายถึงตรงนี้ ข้างในนะ ข้างในวิญญาณ ต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งถ้าเขาหว่าน ฟังให้ดีนะ ถ้าเขาหว่านความไม่เชื่อในวิญญาณนี้ลงไป หว่านก็คือจดจ่อตรงนี้ จดจ่อๆ จดจ่อที่ความบาป ก็คือไม่เชื่อ เขากำลังทำอะไร? เขากำลังทำบาป ก็คือไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า เขากำลัง Miss the target เขากำลังพลาดเป้า วางไว้สำหรับเขา คือเขาไม่เชื่อในพระเยซู ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเขาว่าเขาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็ยังอยู่ในภายใต้บาปเหมือนเดิมอยู่ดี แล้วยังต้องเก็บเกี่ยวความพินาศจากบาปทางวิญญาณตามนั้น เอเมน เข้าใจไหม? มันแปลว่าอย่างนี้ แค่นั้นเอง
ส่วนผู้ที่หว่านในพระวิญญาณ หรือในวิญญาณ ตอนนี้ท่านรู้แล้ว วิญญาณหรือพระวิญญาณ คนที่หว่านเข้าไปในทางเรื่องด้านวิญญาณ ก็คือผู้ที่จัดจ่อในทางวิญญาณ จดจ่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซู อยู่ภายใต้กฎใหม่ในพระคริสต์ เชื่อและพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เขารู้ตัวตลอดเวลา เขาตั้งจิตใจจดจ่อในนี้ เขารู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้รอดได้ ตัวเองต้องพึ่งพาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์เจ้า ต้องการพึ่งในพระเยซู ต้องการพระองค์ Need เลยล่ะ จำเป็น
“ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันไม่รอด” พูดง่ายๆ
คนนั้นก็จะได้เก็บเกี่ยวผลของการหว่านอย่างนี้ ผลคืออะไร? ในพระคัมภีร์บอกชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้วิญญาณใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นอิสรภาพจากการถูกลงโทษ เนื่องจากความบาปนั่นเอง เอเมน แค่นี้เอง ตะกี้นี้ที่อ่านมาทั้งหมด เป็นอย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานี้ แน่นอน ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ เห็นไหม? ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ หลอกมนุษย์ ไม่ตั้งใจหลอก แต่มนุษย์อาจจะเข้าใจผิด แต่พระเจ้าไม่เข้าใจผิดหรอก ชัดเจน ในกฎที่พระองค์ทรงวางไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะเชื่อข่าวประเสริฐในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือไม่? ไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวประเสริฐอย่างจริงใจหรือไม่? ฟังให้ดีนะ ไม่ใช่เชื่อข่าวประเสริฐอย่างเดียว ท่านเชื่ออย่างจริงๆ หรือเปล่า? ไม่มีใครรู้ คนข้างๆ ท่านก็ไม่รู้ ถามว่ามีผู้รู้ไหม? มี ใคร? พระเจ้ารู้ พระองค์ทรงเห็นลึกเข้าไปในวิญญาณของเราว่าเราเชื่อจริงหรือเปล่า?
เช่น เอาง่ายๆ นะ บางคนอาจจะมาโบสถ์เป็นประจำ แต่มาเพราะว่าเขามีกิจกรรมที่โบสถ์ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ หรือคนมาเป็นประจำ มาเพราะครอบครัวมาทั้งหมด เลยตามมาด้วย หรืออาจจะแม่บังคับให้มาก็ได้ หรือแฟนอาจจะบังคับให้มาก็ได้ มาเพื่ออยากได้แต่งงานก็ได้ ใครจะรู้ ใครจะไปรู้ ใช่ไหม?
กับอีกคนหนึ่ง อาจจะไม่ค่อยได้มาหรอก มาขาดๆ หายๆ เพราะว่าเขาติดธุระ มีภารกิจจำเป็นที่ต้องทำ มาไม่ได้จริงๆ แต่จิตใจเขา เขาเชื่อพระเยซูอย่างจริงๆ เลย จดจ่ออยู่ที่พระองค์อยู่ตลอดเวลาเลย
ตาเราอาจจะมองเห็น 2 คนนี้ไม่เหมือนกัน ถูกไหม? เราอาจจะพิพากษาตามสายตาของเรา จะพิพากษาว่าคนที่ไม่ค่อยได้มานั้น ซวยแน่เลย เราพิพากษาเขาไปแล้ว ตามสายตาเรา ก็ต้องคิดว่าคนที่มาโบสถ์เป็นประจำ ต้องเชื่อจริงๆ แน่ๆ เลย แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หลุดรอดจากการตัดสินของพระเจ้า จากสายพระเนตรของพระเจ้าไปได้เลย ไม่มีใครหลอกพระเจ้าได้เลย แม้แต่คนเดียว เอเมน
และถ้าเรานำข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อพระคัมภีร์ตะกี้นะ มาใช้ในทางโลก เช่นเดียวกันกับที่บอกว่าผู้ที่หว่านวิสัยบาปของเขา ก็คือผู้ที่ทำ Miss the target ถูกไหม? ตะกี้ที่ผมบอก ผู้ที่หว่านวิสัยบาป ก็คือผู้ที่กระทำ Miss the target ก็คือทำบาป ทำผิดน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ตรงตามเป้าหมายพระเจ้า แม้ว่าวิญญาณของเขานะ จะได้รับการสร้างใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนที่จริงๆ เลย เป็นกระเทียมดองแล้วจริงๆ สะอาดหมดจดแล้วจริงๆ และวิญญาณของเขา ข้างในของเขา ก็ไม่อยากทำบาปแล้วจริงๆ ด้วย แต่เพราะเขาอาจยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ที่มีความสกปรก มีเชื้อของความบาปอยู่ มันไม่อาจหรอก มันเป็นเลย แต่เขายังอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้ ที่มีเชื้อบาปอยู่แน่ๆ เหมือนกับเราที่นั่งอยู่ในขณะนี้ ก็เลยถูกล่อลวงด้วยวิสัยบาป ในเนื้อหนังนั้น ในร่างกายที่เป็นร่างกายเก่านั้น คือพูดง่ายๆ คือสู้ไม่ไหว แพ้เนื้อหนัง อาจจะล้มลงในการทดลอง อาจทำบาปเข้า จะทำนานๆ ที หรือทำเป็นประจำก็ตาม เขาก็ยังจะยังต้องเก็บเกี่ยวความพินาศ หรือเรียกว่าความเสียหาย จากการกระทำนั้น คือยังต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีเข้าไปในชีวิตเขาอย่างแน่นอน เอเมน ไม่ใช่พอมาเชื่อพระเจ้า ก็ยกเว้น ไม่ได้ มันเป็นกฎของพระเจ้า พระเจ้าควบคุมดวงดาวต่างๆ ขึ้นตามที่พระองค์บอกทั้งหมดได้อย่างไร? ถ้าพระองค์บอกอันนี้เอา อันนี้ไม่เอา แล้วกฎคืออะไร? ไม่รู้ แต่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความเที่ยงธรรม … เที่ยงธรรมตรงนี้ หมายถึงตรงนี้ด้วย แต่ทั้งนี้ เป็นคนละเรื่องกันกับทางวิญญาณนะครับ ในสิ่งที่เขาได้รับตะกี้นี้ เข้าใจไหมครับ? เขาเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป มันคนละเรื่องกับเรื่องทางวิญญาณ เพราะวิญญาณได้รับความรอดไปเรียบร้อยแล้ว ย้ำอีกที วิญญาณเขาได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว แต่ทางโลกเขาต้องเก็บเกี่ยวผลของสิ่งที่เขาได้กระทำไป ไม่มีทางหนีได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะมันเป็นกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกระเทียมดองหรือกระเทียมสดก็ตาม ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งนั้น
“เอเมน” พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ๆ ขอบคุณพระเจ้า
เพราะฉะนั้น ถามว่าคนไม่เชื่อ ทางวิญญาณ ในทางวิญญาณ คนไม่เชื่อ ในวิญญาณเขาไม่เชื่อเรื่องพระเยซู ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ถูกหรือเปล่า? ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ยังเป็นกระเทียมสด เป็นคนบาปอยู่ เป็นวิญญาณบาปอยู่ ถามว่าถ้าเขาหว่านหรือทำ เรียกว่าทำก็แล้วกัน เพราะทำกับหว่านอันเดียวกัน ถ้าเขาหว่านหรือทำในสิ่งที่ดี เขาก็จะได้ดีไหม? ถามอีกที ได้ดีไหม? เขาไม่เชื่อนะ กฎนี้ เป็นกฎตายตัว ทุกคนทำตาม ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เห็นไหม? แม้ว่าเขาจะอยู่ในความบาป แม้ว่าวิญญาณเขาจะอยู่ในความบาป แต่ถ้าเขาทำสิ่งดี เขาได้รับสิ่งดีกลับตอบไหม? ได้รับ และมีไหม? เป็นไปได้ไหมที่คนที่ยังไม่ได้กระเทียมดอง แล้วทำดี มีไหม? มีหรือไม่มี? คิดให้ดี มีเยอะแยะเลย ท่านจะเห็นภาพหรือยัง? เห็นเยอะแยะเลย
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ยังเป็นกระเทียมสด ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังเป็นวิญญาณบาปอยู่ เขาบริจาคถวายเงินสร้างโบสถ์ได้ไหม? ได้หรือไม่ได้? และการสร้างโบสถ์เขาถวายคนเดียวหมดเลย ทั้งที่ดินด้วย สามารถทำให้เขาเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ได้ไหม? เป็นวิญญาณที่ไม่มีบาปอีกต่อไปได้หรือไม่ได้? ไม่ได้ แต่เขาจะได้รับพระพรทางฝ่ายโลกใบนี้ เห็นไหม? ท่านจะเห็นภาพเลยนะ ถูกไหม? ซึ่งสิ่งที่เขาทำ มันไม่ได้เกี่ยวกับทางวิญญาณ มันไม่ได้กระทบถึงฝ่ายวิญญาณเขาเลย เขาทำดี แต่ความดีนั่นไม่สามารถมาทำให้วิญญาณเขากลับกลาย หรือมีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย
ในทำนองเดียวกัน คนที่เป็นกระเทียมดองแล้ว เกิดใหม่ ในวิญญาณของเขาข้างในแล้ว ถามว่าเขามีโอกาสไปทำไม่ดีไหม? มีหรือไม่มี? มี และการกระทำที่ไม่ดีของเขา ทำให้กลับกลายเป็นกระเทียมสดไหม? กลับกลายเป็นวิญญาณบาปเหมือนเดิมไหม? เป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ เห็นไหม? ท่านตอบเองหมดแล้ว ผมกลับบ้านดีกว่า ท่านตอบเองหมดแล้ว
เพราะว่าอะไร? ทำไมถึงไม่ได้ เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกเรียบร้อยแล้ว ทางฝ่ายวิญญาณมีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับเปลี่ยนตรงนั้นได้ ก็คือทางพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถไปจัดการกับทางวิญญาณได้ว่าวิญญาณจะได้กลับมาใหม่ กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดในพระเจ้าได้ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ ติดต่อกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด พ้นจากบาปได้ ก็โดยผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์เท่านั้น มีทางเดียวเท่านั้น คือทางพระเยซูเท่านั้น แต่ถ้าเขาหว่านในสิ่งที่เป็นโลกใบนี้ จะหว่านดี เขาก็ได้ดี หว่านไม่ดี เขาก็ไม่ได้ดี มันก็ยังคงอยู่ตลอดไปนั่นแหละ
นี่จึงเป็นการสนับสนุนพระเจ้าเรายิ่งใหญ่จริงๆ ดูแลหมดทุกกฎ ทุกระเบียบ พูดไปแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน ไม่มีการบิดพลิ้ว ไม่มีการลำเอียง เห็นแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่บอกว่า.-
“ดีใจจัง ต่อไปนี้ทำบาปได้เยอะๆ”
ก็เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน ก็ไปหว่านก็แล้วกันเถอะ ท่านจะได้เก็บเกี่ยวแตงโมเยอะๆ ถ้าอยากได้แตงโม ก็เก็บเกี่ยวเข้าไป ถ้าอยากได้ถั่ว ก็ใส่ถั่วเข้าไป อยากได้ดีๆ ก็ใส่ดีๆ เข้าไปเยอะๆ ถ้าอยากได้ไม่ดี ก็ใส่เข้าไปสิ เดี๋ยวได้เองแหละ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราโลภ เราก็ไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าใช่ไหม? ซึ่งเรียกกันว่าทำบาปใช่ไหม? พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราเป็นคนโลภใช่ไหม? เรากำลังทำผิดเป้าหมายพระเจ้าทำไว้ ก็คือทำบาป คือถ้าเราแปลตรงๆ อย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดว่าเราไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนาเลย เรากำลังมาพูดถึงเรื่องกฎ เหมือนวิทยาศาสตร์เลย มันธรรมดา เหมือนธรรมชาติ ที่เขากำลังค้นหาวิทยาศาสตร์เรื่องไฮโดรเจนอะไรต่างๆ ไม่มีอะไรเลย ทำบาป ก็คือทำบาป ทำไม่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า … ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า Miss the target เรียกว่าเมื่อไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าวางไว้แล้ว ถ้าทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีๆ ทั้งโลกนี้ ทั้งวิญญาณด้วย ดีทั้งสองอย่าง แต่ถ้าเราไม่ทำตาม เราฝืนมัน เราก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี
พระเจ้าบอกให้เรานอนหัวค่ำ เราไปนอนดึก เราก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน
พระเจ้าบอกกินพอดีๆ เรากินเยอะ เราก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน
พระเจ้าบอกให้เราหุ่นดีๆ เราไปหุ่นไม่ดี ก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน
พระเจ้าบอกน้ำหนักควรจะประมาณนี้ เราไปน้ำหนักเกินมาก ก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน
มันเป็นเหตุและผลทั้งนั้น
เรื่องถ้าเราโลภ ก็เท่ากับทำบาป เรากำลังทำไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อเราไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าไม่ทำตาม มันได้คำสาปแช่ง เหมือนอาดัมและอีฟ ตัวเขาเองไม่ทำตามพระเจ้า พอไม่ทำตามพระเจ้า อะไรเข้ามา คำสาปแช่ง ทุกคนอ่านใหม่ๆ ตกใจ พระเจ้าสาปแช่ง … สาปแช่ง นี่ก็คือได้สิ่งที่ไม่ดีไง เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป แค่นั้นเอง เหมือนเรากินเยอะเกินไป ท้องอืดนั่นแหละ พอเรากินเยอะเกินไป เกิดอะไรขึ้น เกิดคำสาปแช่งในท้องของเรา คือท้องของเราจะเกิดความอืด พอเรากินอะไรที่ไม่สุก มีพยาธิเข้าไป เราก็จะท้องเสีย … ท้องเสีย คืออะไร? คือถูกสาปแช่ง แต่พอเราบอกถูกสาปแช่ง แล้วไม่อธิบาย คนกลัว
“สาปแช่งฉัน”
มันก็คือผลนั่นแหละ ผลไม่ดี เขาเรียกสาปแช่ง แต่ถ้าผลดี เขาเรียกพระพรไง เรียกว่าพร
โอเค! เรารู้แล้วว่าทำไม่ดี ทำผิดตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรียกว่าทำบาป
ท่านทราบไหมครับว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย ความโลภ ถือว่ามีพิษรุนแรงมากที่สุด ตัวหนึ่ง เพราะเป็นต้นเหตุหลักที่นำไปสู่บาปตัวอื่นๆ และเป็นบาปที่นำไปสู่ความชั่วอีกมากมายเลย มีคำกล่าวเกี่ยวกับความโลภไว้ว่าเราควรกลัวความโลภ ซึ่งเป็นบาป เพราะมันจะนำไปสู่การกระทำที่เลวร้ายที่สุด
ความโลภเปรียบเสมือนรูปเคารพ ที่ทำให้มนุษย์มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ แทนที่จะเห็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณว่ามีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าสำคัญกว่าตั้งเยอะ ใช่ไหมครับ? เราเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ เรื่องความโลภ นำไปสู่ความชั่วเยอะแยะมากมายไปหมด ทำให้คนฆ่ากันตายได้ เพราะความโลภนี้ แม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกัน ฆ่ากันได้ เพราะความโลภ
นี่ก็เป็นตัวอย่างของคนที่หว่านความโลภ ซึ่งเป็นวิสัยของบาป ไม่ตรงตามน้ำพระทัย ก็ต้องได้รับผลของความโลภ ที่พูดมาตะกี้ทั้งหมด เห็นไหมครับ? พี่น้องฆ่ากันหมดเลย ก็เพราะความโลภ เห็นไหม? ไม่เกี่ยวเลย เขาหว่านสิ่งนี้ เขาก็ต้องได้สิ่งนั้น แม้คนที่เชื่อพระเยซูเอง หว่านตรงนี้ เขาก็ได้เก็บเกี่ยวตรงนี้
ผมเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม? มีผู้รับใช้ที่ต้องขังอยู่ในคุก ผู้รับใช้คนนั้น เขาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทนกับความล่อลวงไม่ได้ เขาต้องการใช้เงิน มีปัญหาจำเป็น ต้องใช้เงินในครอบครัว พอดีมีโอกาสผ่านเข้ามา ในการที่จะขายของเถื่อน ของที่หนีภาษี ของที่ผิดกฎหมาย เขาเลยอธิษฐานกับพระเจ้าว่าเขาขอทำครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็ทำ แล้วเขาก็ได้เงินมาจริงๆ จำนวนมาก แล้วก็เอาไปใช้หนี้ ใช้อะไรต่างๆ หมดไป ปรากฏว่าในที่สุด ผ่านไประยะหนึ่ง เขาเดือดร้อนอีกแล้ว เขาก็เลยบอกกับพระเจ้าว่าขออีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จะเลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว แล้วเขาก็ไปขายของเถื่อน คราวนี้ถูกจับได้ แล้วติดคุกเลย
นี่ยกตัวอย่างให้ท่านฟังเท่านั้นเอง ที่ยกตัวอย่าง เพื่อให้ท่านเห็นว่าไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าเรายังฝืนทำอยู่ เดี๋ยวมันโดน ถ้าเรารีบเลิก มันอาจจะโดนน้อยหน่อย หรืออาจจะรอดจากหนักเป็นเบา
เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเก็บเกี่ยว หรือแม้กระทั่งความโกรธก็ตาม ความโมโห พระเจ้าบอกให้เราสงบนิ่ง ให้อภัย แต่เราฉุนเฉียวๆ คนอื่น ขับรถเฉี่ยว ไม่เบื้องขวาพระเจ้าแล้ว บนโลกนี่แหละ วิ่งเข้าไปสู้กับเขา ไปด่าเขาอย่างนี้ เขาเปิดประตูออกมา เอาปืนยิง ไม่ตาย แต่อาจเป็นอัมพาต คุ้มไหม? ก็มันเกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างนี้
ผมพยายามอธิบายให้เราฟังบ่อยๆ ว่าเมื่อพระเจ้าเตือนแล้ว มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราจริงๆ ทั้งทางฝ่ายวิญญาณ และทางฝ่ายเนื้อหนังเช่นเดียวกันทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราทำ ในทางด้านไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายโลกก็ตาม เราจะต้องเก็บเกี่ยว ถ้าเผื่อมันไม่ดี เราต้องเก็บเกี่ยวแน่นอน ในทางตรงกันข้ามนะครับในการทำบาปกับวิสัยบาป กับการทำ Miss the target เราทำอีกด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่ง คือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ด้วยความเมตตา ด้วยความเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจผู้อื่น จิตใจเราก็สบาย ไม่มีศัตรู ใครเขาจะมายิงเราเหรอ ถูกไหม? เรานิ่งซะ มันก็สงบ มันก็ไม่เกิดเรื่อง หรือเกิดน้อยหน่อย
เพราะฉะนั้น บอกตรงๆ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเราหรอก หลายคนชอบบอก พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าไม่มานั่งลงโทษหรอก เพราะอะไรรู้ไหม? พระเจ้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเรา แต่มันจะเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ตำรวจเขาไม่มาจับท่านหรอก แต่ใครจับรู้ไหม? กฎหมายจับท่าน ตำรวจเขาไม่ได้ปรับท่านหรอก แต่ใครปรับ กฎหมายปรับท่าน ตำรวจไม่ได้จับท่านติดคุกหรอก ใครจับท่านติดคุก ศาลก็ไม่ได้สั่งให้ท่านติดคุกหรอก ใครสั่งให้ท่านติดคุก กฎหมายที่ตราไว้ว่าคุณฆ่าคน คุณต้องติดคุก ไม่ใช่ศาล … ศาลแค่ทำตามอะไร? ทำตามคำสั่งในนั้น มันเป็นตามนั้นอยู่แล้ว ในยอห์น 3:17-18 อ่านตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ามันกฎของมันอยู่แล้ว ถ้าใครทำตาม ก็ได้ ถ้าใครไม่ทำตาม ก็เสร็จ
ยอห์น 3:17-18 “17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษมนุษย์ผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์
อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษ ลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์นะ พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระองค์ … พระองค์เป็นผู้ไถ่บาปนะ … พระองค์ไม่ได้มาลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านะ เปล่าเลย คือเขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว นี่พระคัมภีร์ที่เราอ่านตะกี้นี้ เขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว ด้วยกฎของความบาปและความตายที่มีอยู่ดั่งเดิม ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดอีก ถูกไม่ถูก?
เพราะฉะนั้น ใครทำอะไร ก็จะได้อย่างนั้น ทุกสิ่งที่เรากระทำ ต้องเกิดผลอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในทางโลกหรือทางวิญญาณก็ตาม และผลที่จะเกิดขึ้น เป็นไปตามเวลาของพระเจ้า ไม่ใช่ตามเวลาที่เราคิด หรือเราต้องการ เราหว่านในวิญญาณ แล้วก็ได้ทางวิญญาณ หว่านทางโลก ก็ได้ทางโลก
เพราะฉะนั้น ให้ทุกคนหว่านในสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ทุกคนเรียกกันว่าความดี หว่านความดี ทั้งความดีในวิญญาณ และดีในทางโลก ท่านจะได้เก็บเกี่ยวผลดีในทางวิญญาณและในทางโลกด้วย กาลาเทีย 6:9-10 จึงบอกต่อมาว่าให้ทำอย่างนี้ อ่านเอง
กาลาเทีย 6:9-10 “9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บ ในเวลาอันสมควร 10 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ”
เอเมน เห็นไหม? เราจะได้รอดทั้งวิญญาณด้วย และในขณะเดียวกัน อยู่บนโลกนี้ ก็มีสันติสุข มีความสุข เท่าที่มันควรจะเป็น ที่พระเจ้าให้ไว้ และสัปดาห์หน้าก็มาเรียนรู้กันต่อไปว่าจะดำเนินกันอย่างไรต่อไป อย่าลืมตั้งชื่อเรื่องที่ผ่านมานี้ จะเรื่องอะไรนะ ส่งจดหมายไปที่บ้าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*********************