คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2025
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 16
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 เริ่มตั้งแต่ข้อที่ 1 …
กาลาเทีย 5:1 “พระคริสต์ทรงปลดปล่อยเราเป็นไท เพื่อเสรีภาพ ฉะนั้น จงยืนหยัด อย่ายอมตกอยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาสอีก”
อาจารย์เปาโลพูดในหนังสือกาลาเทีย เน้นย้ำถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว คือข่าวดีที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ฉะนั้น ผู้เชื่อในกาลาเทีย ซึ่งเป็นคนต่างชาติ และพวกคนยิวบางกลุ่ม เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วย แต่ส่วนใหญ่คนยิวเขาเคยชินกับการทำพิธีกรรม ในสมัยเดิมที่โมเสสสั่งไว้ เขาเลยมีความรู้สึกว่าแค่เชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ไม่พอ มันควรจะมีการทำอะไรบ้างตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เขาเลยไปแนะนำคริสเตียนต่างชาติ ซึ่งอยู่ในกาลาเทีย ให้พวกคริสเตียนเหล่านี้ประพฤติ ปฏิบัติอะไรบางอย่างที่เขาเห็นว่าสมควร
อย่างเช่น มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอ ต้องมาเข้าสุหนัตด้วยนะ การเข้าสุหนัต คือเป็นพระสัญญาของพระเจ้า สมัยพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าได้ทำกับอับราฮัม แล้วมันโยงมาถึงพระคัมภีร์มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น ยังไม่ถึงพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาใหม่เริ่มต้นที่หนังสือกิจการ ก็คือเริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว แล้วมนุษยชาติสามารถที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์ใหม่จะเริ่มต้น จากตรงนี้แหละ หมายความว่าจะมีมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ตามพระสัญญา ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เป็นผลแรก คือเป็นผู้แรกของมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย หรือกฎบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าให้โมเสสไว้
ฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้ตายจากกฎ ก็คือเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไป กฎบัญญัติเหล่านี้ ไม่มีผลในชีวิตของเราเลย แม้แต่นิดเดียว แต่ว่ามนุษย์หรือคนยิวเหล่านี้ ก็ยังคงคิดว่าเราควรจะทำตามกฎบัญญัติ และอย่างที่บอก อาจารย์เปาโลบอกถ้าใครคิดที่จะทำตามกฎบัญญัติให้ผู้นั้น ถูกสาปแช่ง ทำไมอาจารย์เปาโลพูดอย่างนั้น เพราะว่าถ้าใครคิดที่จะทำตัวเองให้รับความรอด หรือได้ไปเป็นลูกของพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์ โดยผ่านทางการประพฤติ ตามบทบัญญัติ ถูกสาปแช่งแน่นอน เพราะว่าไม่มีใครสามารถทำได้ตามที่บทบัญญัติตั้งไว้
บทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือต้องดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ต้องทำได้ทุกจุด ทุกขีด ทุกตัวอักษร ซึ่งงดเว้นไม่ได้ แล้วในขณะเดียวกันตลอดเวลาด้วย ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถทำได้ ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายบาปนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ แม้ว่าเราจะถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ พอที่พระเจ้ารับได้ แล้วเข้ามาสถิตอยู่ในเรา แต่เรายังอยู่ภายใต้กฎนี้อยู่ ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถทำได้ และถ้าใครคิดที่จะพึ่งบทบัญญัติ เพื่อไปสวรรค์ ก็หล่นพ้นจากพระคุณ พระคุณก็ไม่มีประโยชน์
พระคุณ คือพระเจ้าให้เราเปล่าๆ โดยเราไม่ต้องทำอะไร พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว และเราแค่มาวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น เราก็ได้รับไปเลย นี่พระคุณ ถ้าเราไขว้เขว และคิดว่าเราควรจะทำโน่นทำนี่ เพื่อที่จะให้เราได้รับความรอด เราเสร็จโลกนี้เลย คือโลกนี้พยายามล่อลวงเรา ให้หลงทางไป แต่ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ถ้าเราเกิดหลงทางไป เรายังรอดอยู่ไหม? ยังคงยืนยันว่าเรารอดอยู่ เรารอด ไม่ได้รอด เพราะการกระทำ แต่รอด เพราะวันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อวางใจ แล้วพระเจ้าถือว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่วันนั้น พระเจ้าจดชื่อเราไว้ที่สมุดทะเบียนแห่งชีวิตเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนั้น ไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหน ออกนอกลู่นอกทางขนาดไหน? เราก็ไม่หลุดจากความรอดในพระเยซูคริสต์ แต่เราก็จะทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แทนที่เราจะมีอิสรภาพในการดำเนินชีวิต เราก็ต้องถูกผูกมัดด้วยกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น เรียกว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นเยอะแยะมากมาย ให้กับผู้เชื่อ คิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะดี แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ดีแน่นอน มีวิธีเดียวที่ทำให้เรารอดได้ พระเจ้าบอกแล้ว ทางเดียวเท่านั้น ก็คือวางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น
ฉะนั้น เมื่อเราได้รับเสรีภาพแล้ว เป็นไทแล้ว ก็ให้ผู้เชื่อเหล่านี้ยืนหยัด อย่ายอมตกอยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาสอีก คือต้องไม่ยอมมัน อาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ยอม แปลว่าผู้เชื่อ มีกำลังพอที่จะยืนหยัด และมีกำลังพอที่จะไม่ยอมให้อิทธิพลของกฎต่างๆ ที่มนุษย์พยายามยัดเยียด ใช้คำว่ายัดเยียดให้เราต้องทำๆ เราสามารถที่จะปฏิเสธมันได้ เราไม่ยอมมัน สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ หลายคนคิดว่าเราไม่ยอม เราไม่ประพฤติดี แล้วคริสเตียนทำอะไร? คริสเตียนผู้เชื่อ เมื่อเราวางใจในพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในเราทุกคน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้นี้ จะประกอบกิจอยู่ภายในเรา คือทำงานอยู่ในวิญญาณของเรา ใส่ความปรารถนาในใจให้กับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ที่อยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่แล้ว มันต้องออกจากข้างในวิญญาณ ที่เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ไม่ใช่มาจากภายนอก ที่โลกนี้พยายามสร้างกฎเกณฑ์ ทำให้เรากลัว กลัวว่าถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าจะไม่รัก ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ เราจะไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า หรือถ้าเราไม่ทำแบบนี้ วันดีคืนดีเผลอๆ เราอาจจะตกสวรรค์ก็ได้ หรือความรอดเราหลุดหายไป ก็ได้ ซึ่งความเป็นจริงถ้อยคำของพระเจ้าไม่ได้บอกเราอย่างนั้น
พระเยซูคริสต์บอกเราว่าท่านรอดด้วยพระคุณ เพราะความเชื่อ เมื่อวันที่ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณท่านได้รับความรอด ได้รับการบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จะไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ สามารถแยกท่านออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ ไม่มีทาง มันทำไม่ได้ แต่ว่ามันสามารถหลอกเราได้ หลอกเราว่าถ้าเธอทำอย่างนี้ หรือถ้าเธอไม่ทำอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าไม่รัก เดี๋ยวพระเจ้าจะทิ้งเธอไป
ซึ่งโลกนี้ พยายามส่งข้อมูลแบบนี้เข้ามาในความคิดของเรา ซึ่งพระคัมภีร์ถึงบอกเราว่าให้เรารับรู้ความจริง ผู้เชื่อทำอย่างเดียว คือรับรู้ความจริง ไม่ต้องทำอะไรเยอะกว่านั้น เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร? ถ้าเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นเจ้าหญิง พี่น้องนึกออกไหม? เราเป็นเจ้าหญิง และความเป็นจริงในโลกวิญญาณเราเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายของพระเจ้าจริงๆ พระเจ้าพระบิดาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้าผู้ครอบครองกัลปจักรวาลนี้ เป็นพระเจ้าผู้ทรงควบคุมทั้งหมด แล้วพระเจ้าองค์นี้เป็นพ่อของเรา ซึ่งขณะนี้ วิญญาณของพวกเราทุกคน เป็นบุตรที่รักของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ก็คือเราเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงของพระเจ้า
เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงของพระเจ้า ท่าทีข้างในวิญญาณเราก็จะเปลี่ยน เราไม่ได้เป็นเด็กโกโรโกโส ขอทานตามท้องถนนที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไม่ใช่ แต่เรามีศักดิ์ศรี ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เรามีเกียรติที่พระเจ้าให้กับพวกเรา แล้วเราก็จะดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นบุตรที่รักของพระองค์ สมกับที่เราได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราก็จะเริ่มระมัดระวังการดำเนินชีวิตของเราโดยอัตโนมัติ มันออกมาโดยอัตโนมัติ จากข้างในวิญญาณจะส่งออกมา แล้วทำให้เราประพฤติตาม อาจารย์เปาโลบอกว่าให้ท่านดำเนินชีวิตตามแบบพระเจ้า เมื่อท่านได้เป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว
การดำเนินชีวิตตามแบบของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ข้างในจะเป็นผู้นำเรา แล้วมันจะออกมาโดยอัตโนมัติ พี่น้องไม่ต้องรู้สึกว่าเราจะทำได้ไหม? ท่านทำได้หรือไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นปัญหา เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในท่านจะเป็นผู้ผลักดัน เป็นผู้กระทำในชีวิตของพวกท่าน แล้วเราก็จะสามารถ บางวันเราทำได้เยอะ บางวันเราทำได้น้อย บางวันเราอาจจะทำไม่ได้เลย ก็ไม่เป็นไร มันไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลย
อย่างที่บอก ถ้าลูกของเรา บางวันเป็นลูกน่ารักเชื่อฟัง เราก็มีความสุข เราก็ยิ้ม เราก็ปลื้ม แล้วถ้ายิ่งมีคนอื่นมาชมลูกเราอีก ยิ่งปลื้มใหญ่เลย เป็นไหม? พ่อแม่ทุกคนเป็น
“ทำไมลูกถึงน่ารักอย่างนี้ มีมารยาทจังเลย ทำไมขยันขันแข็งอย่างนี้ มือไม้อ่อนจังเลย เจอใครก็สวัสดีๆ ทำไมน่ารักอย่างนี้”
นี่คือความภาคภูมิใจ เช่นกัน พระเจ้ามีความภาคภูมิใจในชีวิตของพวกเรา เมื่อเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเป็นจริงในถ้อยคำของพระองค์ว่าตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นแบบนี้แล้วนะ แล้วเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกัน แต่ถ้าเราไม่ดำเนินชีวิตตามนั้นล่ะ ถ้าลูกเราไม่เชื่อฟัง เป็นเด็กดื้อ เป็นเด็กที่ไปถึงไหนก็วีนชาวบ้านทั่วเลย คนเขาเจอหน้าปุ๊บ สั่นหัวแล้ว ไม่เอา เด็กคนนี้มา ฉันไปดีกว่า อะไรแบบนี้ แล้วเรารู้สึกอย่างไร? เราไม่ได้โกรธเกลียดลูกเรานะ เขายังคงเป็นลูกเรา เราก็ยังคงรักเขาเหมือนเดิม แต่เราแค่เสียใจ เราไม่สามารถตัดขาดแล้วบอกว่า …
“นิสัยอย่างนี้ ไปเป็นลูกคนอื่นไป”
ต่อให้เราพูดแบบนั้น เขาก็ยังไม่สามารถไปเป็นลูกคนอื่นได้ เพราะว่าเขาได้เป็นลูกของเราเรียบร้อยไปแล้ว นึกออกไหม? เกิดจากท้องของเราเรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณเหมือนกัน เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว แม้ว่าการประพฤติของเราบางวันอาจจะหัวทิ่มหัวตำ ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าก็ยังคงรักเราอยู่ วันที่เราอ่อนแอ พระเจ้าก็จะเสริมกำลังเรา พระเจ้าจะคอยบอกเรา เตือนเรา ในสิ่งต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของเรา นี่คือพระคุณ นี่คือความรักที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักและห่วงใย เป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
กาลาเทีย 5:2 “จงจดจำคำพูดของข้าพเจ้า! ข้าพเจ้าเปาโลขอบอกท่านว่าหากท่านยอมตัวเข้าสุหนัต พระคริสต์จะไร้ค่าสำหรับท่านอย่างสิ้นเชิง”
ตรงนี้ในหนังสือกาลาเทีย คนยิวพยายามที่จะรบเร้าผู้เชื่อต่างชาติ ให้ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ซึ่งพิธีเข้าสุหนัตนี้ ถูกกำหนดมาสมัยของอับราฮัม ที่พระเจ้าให้อับราฮัมทำพิธีนี้ เป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นเครื่องหมายการทำสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แล้วใครก็ตามที่ทำพิธีนี้ พระเจ้าถือว่าเขาเป็นคนของพระองค์ ซึ่งพิธีนี้มีทำในชนชาติยิว ชนชาติเดียวเท่านั้น ชนต่างชาติไม่มีสิทธิ์ทำพิธีนี้เลย เพราะว่าพระเจ้าไม่ถือว่าเขาเป็นประชากรของพระองค์
ฉะนั้น คนยิวก็พยายามที่จะรบเร้าให้คนต่างชาติที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้มาทำพิธีเข้าสุหนัตเหมือนเขา อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าท่านมาเชื่อพระเจ้า ท่านได้เข้าสุหนัตแล้วหรือ! ท่านก็ไม่ต้องไปลบรอยสุหนัตออก หรือท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัตหรือ! ท่านก็ไม่ต้องไปพยายามเข้าสุหนัต เพราะว่าท่านเป็นไทในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าไถ่ท่านแล้ว ท่านมาหาพระเจ้าลักษณะไหน? ก็ให้อยู่ในลักษณะนั้นแหละ ท่านมาแบบซอมซอ เสื้อผ้าขาดวิ่นมาหาพระเจ้า พระเจ้าก็รับท่านเป็นบุตร ที่รับท่านเป็นบุตร ไม่ใช่เพราะท่านแต่งตัวดี หรือเพราะท่านเป็นคนดี
พระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา แปลว่าตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ไม่ใช่เพราะเราเป็นคนดี แต่ในขณะที่เราเป็นคนบาป ฉะนั้น ไม่ว่าท่านเข้ามาหาพระเจ้าด้วยลักษณะแบบไหน? พระเจ้าบอกว่าให้เข้ามาเลย แล้วให้อยู่ในลักษณะแบบนั้นนั่นแหละ เป็นตัวตนของเราเอง แล้วพระเจ้ายอมรับเรา ยอมรับทุกคนในสภาวะที่เขาเป็นอยู่
แต่พี่น้องเชื่อเถอะ ในขณะที่เราเข้ามาหาพระเจ้า เราอาจจะมีอะไรกะรุ่งกะริ่งแล้วแต่ แต่เมื่อเรามาหาพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงดูแลชีวิตของเรา ชีวิตเราจะดีขึ้น พี่น้องเคยสังเกตตัวเองไหม? ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เป็นแบบไหน? แล้ว ณ เวลานี้ เราเป็นแบบไหน? ชีวิตเราดีขึ้นไหม? ถ้าฐานะเราไม่ดีขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่วิญญาณข้างใน เราดีขึ้น เรามีสันติสุขมากขึ้น ดำเนินชีวิตแบบมีความสุขมากขึ้น เป็นไหม? มันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในชีวิตของพวกเรา แล้วพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นเหมือนลูกกำพร้า
คำว่า “ผู้เลี้ยงที่ดี” หลายคนอาจจะคิดว่าพระเจ้าคงจะอวยพรให้เราร่ำรวยมหาศาล มีเงินทองเก็บไว้ในแบงค์ เป็นร้อยล้านพันล้านแน่ๆ เลย มันไม่เกี่ยวกัน ผู้เลี้ยงที่ดี คือพระเจ้าจะดูแลเรา ตามที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม และสมควร พระเจ้าจะนำพาย่างเท้าของพวกเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาวะไหน? บางคนมาเชื่อพระเจ้า เขาทุกข์ยากลำบากมาก แต่พระเจ้าดูแลเขาทุกวัน ไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหน? เขาก็สามารถผ่านมาได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า หลายคนสามารถเป็นพยานได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลเราแบบไหน? นั่นคือความเมตตาของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงดูแลพวกเราอย่างสุดๆ เลย เราสามารถยืนยันได้ แม้ว่าบางครั้งดูเหมือนว่ามันไปไม่ไหว แต่พระเจ้าก็ยังคงสามารถทำให้เราผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า
กาลาเทีย 5:3 “ข้าพเจ้าขอประกาศอีกครั้ง แก่ทุกคนที่ยอมตัวเข้าสุหนัตว่าเขาจำเป็นต้องทำตามบทบัญญัติทั้งหมด”
คนที่ยอมตัวเข้าสุหนัต ก็คือเขาต้องทำตามบทบัญญัติทุกอย่างทั้งหมด เพราะว่าเขาเริ่มต้นที่จะไม่พึ่งในพระเยซูคริสต์ แต่คิดจะพึ่งในการกระทำของตัวเอง เมื่อพึ่งการกระทำของตัวเองปุ๊บ เขาก็ต้องทำทุกอย่างที่พระเจ้าได้บอกไว้
กาลาเทีย 5:4 “ท่านที่ขวนขวายจะให้พระเจ้าทรงนับว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมโดยบทบัญญัติ ก็ขาดจากพระคริสต์ ท่านได้หล่นพ้นจากพระคุณไปเสียแล้ว”
แปลว่าถ้าจะพึ่งตัวเอง ก็ไม่สามารถพึ่งพระเจ้าได้ ถ้าจะพึ่งพระคุณของพระเจ้า ก็อย่าคิดที่จะพึ่งตัวเอง ง่ายๆ แค่นี้เอง ส่วนใหญ่เราก็ขอพึ่ง 2 อย่างได้ไหม? พึ่งพระคุณพระเจ้า แล้วก็ขอพึ่งตัวเองนิดหนึ่งเถอะ อยากทำ มนุษย์ชอบทำ แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าไม่ต้อง ให้พึ่งพระองค์อย่างเดียว แล้วจากนั้น ชีวิตของเรา พระองค์จะเป็นผู้นำเราเอง บอกเราเองว่าเราควรจะทำอะไรแบบไหน? อย่างไรในชีวิตประจำวัน ในแต่ละวันที่เราดำเนินชีวิตอยู่กับพระเจ้า พระองค์จะนำเราเอง พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา จะบอกเราเองว่าแต่ละวัน พระองค์จะนำเราไปไหน? ซึ่งอย่างที่บอก ชีวิตเรา เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละวันเราจะเจออะไร? เราไม่สามารถบอกได้เลย
อย่างที่พระคัมภีร์บอกมีเศรษฐีคนหนึ่ง เขาคิดเองว่า …
“ของฉันเยอะมากเลย ฉันได้รับกำไรเยอะแยะ เดี๋ยวฉันจะไปสร้างยุ้งฉาง เก็บของไว้ เพื่อเป็นเสบียงไว้เลี้ยงตัวเองจนแก่เฒ่า”
แต่พระคัมภีร์บอกว่าเศรษฐีคนนี้ไม่รู้เลยว่าคืนนี้ชีวิตของเขาจะไม่อยู่แล้ว คือพระเจ้าจะเอาเขากลับบ้าน ทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ ก็เอาไปไม่ได้ ฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะรู้เลยว่าชีวิตของเราแต่ละคนจะอยู่ได้แค่ไหน? อย่างไร? อย่างง่ายๆ แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ใครจะไปรู้ว่าญาติของเรา เดินทางออกไปทำงาน ตอนเย็นเขากลับมาไม่ได้แล้ว เขาได้ตายจากเราไปแล้ว ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนเลย พระเจ้าจึงหนุนใจให้คนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดว่าอย่ารอถึงวันนั้น วันนั้นอาจจะมาไม่ถึงท่านก็ได้ ถ้าคิดว่า …
“รอนิดหนึ่งๆ ไม่เป็นไรหรอก เรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ยังอีกยาวนาน เดี๋ยวไว้ค่อยมาเชื่อพระองค์แล้วกัน”
แต่ว่าวันนั้นอาจจะมาไม่ถึงเราก็ได้ เราขอบคุณพระเจ้าที่พวกเราได้ทำเรียบร้อยไปแล้ว ทำสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตของพวกเรา ก็คือเปิดใจยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วดิฉันก็เชื่อว่าในวันที่แผ่นดินไหว คนที่อยู่ในตึกที่ถล่มอาจจะมีคนที่เชื่อพระเจ้าก็ได้ เราไม่รู้ แต่ถ้าในนั้นมีคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันเฮเลยนะ ฮาเลลูยา เราได้พักแล้ว ถ้าเราไปก่อน คือเราได้พักก่อน เพราะเราไม่ต้องไปหวาดหวั่นว่าจากโลกนี้ไป แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน? เพราะเรามั่นใจได้เต็ม 100% ที่พระเจ้าสัญญาว่าวิญญาณเราเมื่อออกจากร่างปุ๊บ เราไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน แล้วได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นั่นคือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน
ดังนั้น ถ้าบังเอิญเราอยู่ในเหตุการณ์ แล้วเราเป็นผู้เชื่อ แล้วเราไปเจอลูกหลงด้วย ถล่มลงมา ตายคาที่เลย คือวิญญาณเราจะชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าๆ เราได้พักยาวๆ แล้วก็ได้ไปรอพี่น้องของเราที่จะค่อยๆ ทยอยกลับบ้าน สวรรค์ ไปอยู่กับพวกเรานิรันดร์กาล นี่คือความหวังใจของพวกเรา ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญ คือเราได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ในวันที่เราไปหาพระเจ้า พระเยซูคริสต์จะไม่พูดว่า …
“เราไม่เคยรู้จักเจ้า”
ไม่ใช่ แต่พระเยซูคริสต์ได้รู้จักเราแล้ว ตั้งแต่ที่เรามีชีวิตอยู่ เป็นๆ มีลมหายใจอยู่ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์รู้จักเรา แล้วพระองค์บอกว่าเราเป็นลูกที่รักของพระเจ้า พระบิดา เป็นพี่น้องของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรบนโลกใบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แป๊บเดียวเอง หายใจเข้าหายใจออก เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว ทุกข์ยากขนาดไหน พระเจ้าก็จะพาเราผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า ฉะนั้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้เราเต็มล้นไปด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี ซึ่งสิ่งนี้พระเจ้าใส่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องไปหาที่อื่น ไม่ต้องไปวิ่งหา มันอยู่ในวิญญาณเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่เราเอามันออกมาใช้เท่านั้นเอง นำเอาความชื่นชมยินดี ความพึงพอใจ
พระคัมภีร์บอกว่าให้เราพึงพอใจกับสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับพวกเรา คำว่า “พึงพอใจ” สำคัญสำหรับพวกเรามากๆ เลย เมื่อเราพอใจเมื่อไร? มีความสุขเมื่อนั้น ทันที แต่ถ้าเราไม่พอใจ ความสุขไม่มี เราก็จะทุกข์ เราทุกข์มาก เพราะว่าเราไม่พอใจ เราไม่พอใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา แต่ถ้าเราพอใจ เราเอเมน ขอบคุณพระเจ้า เรารู้ว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ล้ำเลิศ สำหรับพวกเรา ตอนนี้เราเป็นมนุษย์ เราไม่เข้าใจว่าทำไมพระองค์อนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรา? ทำไมพระองค์ต้องให้เราป่วยด้วย? ทำไมพระองค์ต้องให้เราขัดสนด้วย? ทำไมๆ แต่ความเป็นจริง พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ทำ ที่เราเป็น เพราะว่าโลกนี้มันเสียหายไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่บรรพบุรุษเรา ขายพวกเราไปเป็นทาส โลกนี้ค่อยๆ เสื่อมทรามไป แล้วบังเอิญเราอยู่ในโลกนี้แล้ว ฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ มันจะเกิดขึ้นกับเราแน่นอน พระเยซูบอกไว้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะท่านชนะโลกแล้ว พระเยซูที่อยู่ในเราชนะแล้ว ฉะนั้น เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ด้วยความสุขที่เราได้มีพระเจ้า ด้วยสันติสุขที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว
กาลาเทีย 5:5-7 “5 แต่โดยความเชื่อเราจดจ่อรอคอย ที่จะได้รับความชอบธรรมผ่านทางพระวิญญาณตามที่เรามุ่งหวังไว้ 6 เพราะในพระเยซูคริสต์การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต ก็ไม่มีค่าอันใด สิ่งเดียวที่สำคัญ คือความเชื่ออันแสดงออกด้วยความรัก 7 ท่านกำลังวิ่งแข่งด้วยดีอยู่แล้ว ใครมาขัดจังหวะทำให้ท่านเลิกเชื่อฟังความจริง?
นี่อาจารย์เปาโลกำลังต่อว่าคนกาลาเทียอยู่นะว่าเดินมาอยู่ดีๆ แล้ว ใครทำให้สะดุดหัวทิ่มล่ะ เดินมาด้วยความเชื่อ ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าได้รับความรอด โดยพระคุณ พระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว ชื่นชมยินดี มีความสุขมากเลย วันดีคืนดี คนมาแนะนำแนวทางใหม่ ทำเพิ่มๆ คนเหล่านี้ก็หัวทิ่มหัวตำไปคล้อยตาม ซึ่งทำให้อาจารย์เปาโลเคือง เคืองตรงที่ว่าท่านควรจะมีความสุข ท่านควรจะชื่นชมยินดี ท่านควรจะไชโยโห่ฮิ้วเลยกับพระคุณ พระพรที่พระเยซูคริสต์ทำให้แล้ว แต่ท่านกลับยอมตัวเป็นทาส ไปยอมเชื่อหลักการพื้นฐานบนโลกใบนี้ หรือเชื่อฟังกฎระเบียบต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อที่จะมากดดันให้ท่านทำตามมัน ทำไป ก็ทำให้ตัวเองเหนื่อย พอเหนื่อยมากๆ ทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ท้อใจ ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำให้เราเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน การตายของพระเยซูคริสต์ได้รับเอาโทษทัณฑ์ของพวกเราทุกคนไปไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้ทำให้กฎบัญญัติทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราไม่ต้องทำเองแล้ว รับเอาอย่างเดียว
กาลาเทีย 5:8-10 “8 การโน้มน้าวแบบนั้น ไม่ได้มาจากพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน 9 “เชื้อขนมนิดเดียว ทำให้แป้งดิบฟูขึ้นทั้งก้อน” 10 ข้าพเจ้ามั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ว่าท่านจะไม่ยอมรับทัศนะอื่นๆ ผู้ที่มาทำให้ท่านสับสนวุ่นวายนั้นจะต้องรับโทษ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม”
อาจารย์เปาโลพูดแรง ใครมาทำให้ชาวกาลาเทียสับสน เลิกเชื่อในพระคุณของพระเจ้า แล้วพยายามพึ่งพาในตัวเอง ให้คนนั้นได้รับโทษ ฉะนั้น เป็นอะไรบางอย่างที่อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ทนไม่ไหวที่เห็นผู้เชื่อ เดินอยู่ดีๆ แล้วไปให้คนอื่นชักจูงให้พยายามดิ้นรนด้วยกำลังของตัวเอง ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกอยู่แล้วว่ากำลังตัวเองท่านทำไม่ได้หรอก พระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว
กาลาเทีย 5:11 “พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ายังประกาศให้เข้าสุหนัต ทำไมข้าพเจ้ายังถูกข่มเหงอยู่อีก? ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องไม้กางเขนก็ไม่ถูกต่อต้านแล้ว”
ที่อาจารย์เปาโลถูกต่อต้าน เพราะว่าอาจารย์เปาโลถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ แล้วอาจารย์เปาโลประกาศเรื่องความจริงในพระเยซูคริสต์ว่าใครก็ตามที่จะได้รับความรอดนั้น ได้รับมาอย่างเดียว คือโดยพระคุณ โดยความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสุหนัต ไม่ว่าจะเป็นการไปถวายเครื่องบูชา หรือไปทำพิธีกรรม 108-1009 อย่างที่ถูกกำหนดไว้ ไม่สามารถทำให้เขารอดได้เลย โดยการประกาศเรื่องนี้ ทำให้อาจารย์เปาโลถูกข่มเหง ถูกไล่ล่า ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกอะไรสารพัดสารเพ เอาไปติดคุก เอาไปอยู่ในถ้ำมืด อะไรก็แล้วแต่ เพราะอาจารย์เปาโลประกาศความจริงของพระเจ้าว่าโดยพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขาได้รับความรอด
แล้วอาจารย์เปาโลพูดในข้อที่ 11 ว่าถ้าฉันประกาศเรื่องการเข้าสุหนัต เรียกว่ายอม เขาบอกเข้าสุหนัตสักหน่อย หยวน ไปทำตามเขาแล้วกัน แปลว่าอาจารย์เปาโลยอมอ่อนข้อ ถ้ายอมอ่อนข้อกับคนกลุ่มนี้ ก็เท่ากับทำให้พระคุณของพระเจ้าด้อยค่าลง ทำให้ผู้เชื่อไขว้เขว อย่างนี้ เราเอาทั้ง 2 อย่างแล้วกัน อยากได้ทั้งพระคุณ อยากทำเองด้วย มันน่าจะดี แต่มันไม่ใช่ อาจารย์เปาโลไม่ยอม อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าถ้าอาจารย์เปาโลยอมนิดหนึ่ง ก็คงถูกยกย่อง เพราะว่าอาจารย์เปาโลความรู้เยอะ ในเรื่องเกี่ยวกับบทบัญญัติ ก็ไม่ถูกต่อต้านแน่นอน เพราะว่าเป็นคนที่น่าเชื่อถือมาก แต่อาจารย์เปาโลไม่ยอม และยืนยันความจริงในพระวจนะของพระเจ้าว่าถ้าใครอยากได้รับความรอด ต้องมาทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ต้องมาเปิดใจต้อนรับเอาความจริงนี้เท่านั้น ถึงจะได้รับความรอด
กาลาเทีย 5:12-13 “12 สำหรับนักก่อกวนพวกนั้น ข้าพเจ้าอยากให้เขาตอนตัวเองเสียเลย! 13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก”
เราไม่มีวิสัยบาปแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว ความหมายตรงนี้ คือเมื่อเราได้รับเสรีภาพแล้ว อย่าปล่อยตัวให้ทำตามอิทธิพลของเนื้อหนัง หรืออิทธิพลของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา พยายามดึงเราออกนอกลู่นอกทาง ก็คืออย่ายอมมัน พูดจนเสร็จ ก็คือเราสามารถต่อต้านได้ สามารถขัดขืนได้ สามารถไม่ยอมมันได้ ถ้าเราไม่ยอมมัน ก็คือเราจะเป็นผู้ที่สามารถดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า
กาลาเทีย 5:14 “บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
เห็นไหม พระเยซูคริสต์สรุปเหลือข้อเดียว แต่บทบัญญัติของคนยิวทั้งหมด 613 ข้อ แล้วก็ต้องทำจนหัวบาน ทำจนหัวแตกก็ทำไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็รู้ว่า …
“อย่างไรเธอก็ทำไม่ได้ ฉันทำให้เธอเรียบร้อยแล้ว แล้วเธอจะกลับไปทำมันทำไม?”
นึกภาพออกไหม? มันจะเป็นลักษณะแบบนี้
ฉะนั้น อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันว่าบทบัญญัติมีข้อเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าให้มา คือจงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดของท่าน และจงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง แล้วความรักตรงนี้มาจากไหน? พระเจ้าให้มา พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก เคยร้องเพลงนี้ใช่ไหม?
“พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก”
แค่นี้เอง พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าผู้เป็นความรัก ขณะนี้ สถิตอยู่ในเรา เราก็เลยเป็นความรักด้วย เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน “เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” มีความรัก อาจจะวันดีคืนดี มันถูกขโมยไป มันหายไป แต่เป็นมันหายไปไม่ได้ ตัวตนแท้ๆ ของเรา เป็นความรัก เราสามารถผลิตความรัก โดยที่ไม่ต้องออกแรง พระเจ้าให้เครื่องไม้เครื่องมือเรียบร้อยไปแล้ว แค่หยิบมาใช้เท่านั้นเอง ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามี เราก็ไม่รู้ว่าเราจะหยิบอย่างไร? เหมือนในครัวเรามีหม้อ ไห กะละมัง ชาม แล้วเราไม่รู้ว่ามันมี พอคนเอาของมาให้ เอาหม้อมาใส่ของให้หน่อย วิ่งวุ่นเลย ไปเอาตรงไหนมาใส่ของ แล้วเราจะได้เอาหม้อคืนเขา หาไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมี
คริสเตียนส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นความรัก ไม่รู้ว่าความรักมีอยู่ในตัวแล้ว แค่อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในชีวิตของเรา สำแดงมันออกไป แค่นั้นเอง ง่ายไหม? ง่ายนิดเดียว แล้วพระเยซูก็บอกว่าคำสั่งของพระองค์ไม่เป็นภาระ มันเป็นภาระได้อย่างไร? เราไม่ต้องทำเอง พระเจ้าให้วัสดุทุกอย่างมาเรียบร้อยแล้ว วัสดุดิบก็ให้มาแล้ว ทุกอย่างให้มาครบถ้วนแล้ว แค่รู้ไหมว่ามี ถ้ารู้ว่ามีคิดอยากจะทำอะไร? ก็เดินเข้าไปเลย ไปหยิบจับทุกอย่างที่เราต้องออกมาใช้ แค่นั้นเอง ใช้ออกไป แล้วเราก็จะเห็นพระคุณของพระเจ้า ชีวิตของเราก็จะมีความสุข เราจะเป็นอิสรภาพ เราจะไม่ต้องถูกบังคับด้วยกฎเกณฑ์อะไรก็ไม่รู้ ที่พยายามให้เราเป็นทาส พระเยซูบอกว่าเราไม่ได้เป็นทาสแล้ว เราเป็นไทในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คริสเตียน! พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเหมือนพระเจ้า เพราะเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้วในพระคริสต์
1 ยอห์น 3:1 … “ดูสิ ความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มันมากมายมหาศาลแค่ไหน ถึงขนาดได้เรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์ และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ ซึ่งเป็นเหตุที่โลกไม่รู้จักเราเหมือนกัน”
1 ยอห์น 4:15-18 … “15 ถ้าผู้ใดยอมรับ และรับรู้ในวิญญาณว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็เข้าไปอาศัยอยู่ในวิญญาณผู้นั้น และเขาก็อาศัยอยู่ในพระเจ้า 16 เช่นนี้เราจึงได้มารู้จักสนิทกับพระเจ้า เป็นการส่วนตัว และได้เชื่อศรัทธาอย่างมั่นใจลึกซึ้ง ในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณผู้ใดอาศัยอยู่ในความรัก ก็อาศัยอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าอาศัยอยู่ภายในวิญญาณของเขาตลอดเวลา 17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ ที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”
2 เปโตร 1:3-4 … “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เราที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”
พระเจ้าอวยพรครับ