วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1508

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กุมภาพันธ์  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 15 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายนี้ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” เราเรียนกันมาแล้ว 14 ตอน วันนี้ตอนที่ 15 ชื่อเรื่องเท่ห์เลย “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายนี้ได้”  1 ยอห์น 5:1 คือข้อเริ่มต้นในวันนี้ …

        1 ยอห์น 5:1 “ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า และทุกคนที่รักพระเจ้า (พระบิดาผู้ให้กำเนิด) ก็รักลูกคนอื่นๆ ที่เกิดจากพระองค์ด้วย”

            ยอห์นก็เน้นย้ำถึงความจริงนี้ เพราะเป็นบริบทของ 1 ยอห์น ก็คือการเน้นย้ำถึงความจริง เรื่องพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซียาห์ เน้นย้ำ เพราะว่ามีพวกต่อต้านพระคริสต์อยู่ในขณะนั้นมากมายที่เกิดขึ้น ที่เราเรียกกันว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ว่าพระคริสต์ไม่ใช่พระเมซียาห์ เราได้เรียนรู้ไปหลายตอนแล้ว ใน 1 ยอห์น 5:1 คือมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซิยาห์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและความตาย

            ความเชื่ออย่างนี้จะทำให้คนๆ นั้น บังเกิดใหม่จากพระวิญญาณของพระเจ้า  กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า  และเขาคนนั้นที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขาก็จะรักพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้า  พระบิดาผู้ให้กำเนิด เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า พระบิดา เขาจะรู้จักพระบิดา รักพระบิดา

            เขาจะเริ่มอธิษฐานว่า “พ่อจ๋า”

            เขาจะเริ่มอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “พระเจ้าพระบิดา”

            สมัยก่อน เขาไม่กล้าพูดแม้กระทั่งว่าพระเจ้าด้วยซ้ำไป เขาพูดแค่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่เขายังไม่รู้จัก  แต่พอเขาเกิดใหม่ปุ๊บ  เขาจะบอกว่า “พระบิดา” หรืออาจจะเริ่มต้นเขินๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพเจ้า” แล้วต่อไปก็สนิทขึ้น  “พระบิดา ลูกขอ” นี่คือชีวิตของคริสเตียน ที่อาจารย์ยอห์นบอกว่าคือจะมีอาการนี้ออกมา ในทางฝ่ายโลกวิญญาณ สำหรับคนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นพระเจ้าที่อยู่ในร่างของมนุษย์จริงๆ ยืนยันด้วยวิธีนี้

            นอกจากนี้ การยืนยันเหล่านี้ สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยให้รอดแล้ว นอกจากจะรักพระเจ้า เป็นพยานยืนยันกับตัวเองว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเรียกพระเจ้าพระบิดาแล้ว นอกจากที่จะรักพระเจ้าพระบิดาแล้ว เขาคนนั้นก็จะรักคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระบิดาเดียวกัน ก็คือรักผู้เชื่อคนอื่นๆ ด้วย จะเป็นพยานยืนยันอย่างนี้เลย

            สมัยก่อนเรารักได้ไหม? เรารักไม่ได้ เราไม่รู้เรื่อง เราเฉยๆ เผลอๆ จะไม่ชอบด้วยซ้ำไป  1 ยอห์น 5:2 …

        1 ยอห์น 5:2 “แบบนี้สิ ​เรา​ถึง​รู้​ว่าเรา​รัก​ลูกๆ ​ของ​พระเจ้า​จริง คือ​เมื่อ​เรา​รัก​พระเจ้า ​และ​ทำ​ตาม​คำสั่ง​ (บัญญัติ) ของ​พระองค์”

            เมื่อเรารักบรรดาผู้เชื่อ หรือคริสเตียนคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้า  พระบิดาเดียวกันกับเราแล้ว  ตรงนี้เป็นการแสดงการยืนยันว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เราเป็นลูกพระเจ้าในวิญญาณจริงๆ แบบนี้สิ จึงรู้ว่าเรารักผู้เชื่อคนอื่นๆ จริงๆ ในวิญญาณของเรา ในวิญญาณใหม่ ในใจใหม่ของเรา เรารักผู้เชื่อคนอื่นๆ  เพราะเราได้รับความรัก จากพระเจ้าก่อน  และความรักจากพระเจ้าทำให้เราสามารถรักพระเจ้า แล้วรักพระเจ้าไม่พอ  ยังทำตามบัญญัติ คือคำสั่งของพระเยซูคริสต์ เมื่อเรารักพระเจ้าพระบิดา  แล้วก็รักษา ทำตามบัญญัติคำสั่ง  ไม่ได้หมายถึงบัญญัติคำสั่ง สมัยโมเสส 613 ข้อ หรือบัญญัติ ในกฎศีลธรรมต่างๆ ของศาสนาเดิมที่เราเคยอยู่ หรือกฎของประเพณีวัฒนธรรม ไม่ใช่ แต่เป็นบัญญัติคำสั่งของพระเยซูเพียวๆ เลย ที่พระองค์ทรงประทานให้กับเรา บัญญัติเดียว คือท่านทั้งหลายจะดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักซึ่งกันและกัน นั่นคือบัญญัติใหม่ ด้วยความรัก แบบอากาเป้  พอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ ในใจของเราบัญญัติมันจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราจะเป็นความรักเหมือนกับพระเจ้า พระบิดาของเรา เราจึงรักพระเจ้าได้ นึกออกไหม?  เราจึงรักพี่น้อง คริสเตียนที่เป็นลูกของพระเจ้าคนอื่นได้ เพราะเราเป็นความรักเหมือนพระเจ้า 1 ยอห์น 5:3 เป็นข้อเสริมอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:3 “เพราะนี่แหละ เป็นความรัก (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา) และพระบัญญัติของพระองค์ (ให้เรารักกันและกัน ด้วยวิญญาณและใจจริง) นั้น ไม่เป็นภาระ (หนักใจ ทุกข์ใจ เหลือบ่ากว่าแรง)”

            เพราะนี่แหละ เป็นความรัก (แบบอากาเป้ ) ด้วยวิญญาณและความจริงใจต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งใส่ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา และพระบัญญัติของพระองค์  ตอนที่เราบังเกิดใหม่  และพระบัญญัติของพระองค์ให้กับเราไว้ คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง ก็คือแบบอากาเป้นั้น ไม่เป็นภาระหนักใจทุกข์ใจ เหนือบ่ากว่าแรงเลย  ไม่ใช่ความรักแบบมนุษย์ที่ต้องอดทนแบบมนุษย์ ที่ต้องพยายามกัดฟันรัก รักได้ไหม? ไม่ได้ เพราะวิญญาณจากข้างในไม่มีพลังของความรักแท้ คืออากาเป้ แต่นี่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักแบบอากาเป้ อยู่ข้างในแล้ว มันจึงไม่เป็นภาระสำหรับเรา  เพราะเป็นธรรมชาติของเรา ภายใน ยกตัวอย่าง เหมือนกับนก ให้นกบิน เขาสบายไหม? ไม่เป็นภาระ ไม่เหนือบ่ากว่าแรง แต่ให้นกมาเดินเหมือนไก่ มันไม่ไหว เดินๆ ไป มันรำคาญนะ หรือให้งูมาเดินเหมือนลิง มันก็พยายามยืนตรงได้สักครู่หนึ่ง มันก็ตกไป ยกเว้นว่าแขกอินเดียเป่าปี่ มันก็ขึ้น มันจะอยู่ได้นานขนาดไหน? ไม่นาน ก็ต้องลงมานอนเลื้อย เพราะว่าเป็นไปตามธรรมชาติ มันเหนื่อยไหมที่จะเลื้อย มันไม่เหนื่อย เป็นธรรมชาติของมัน  แล้วเราลองเอาลิงมาเลื้อย มันเลื้อยได้นานเท่าไร? ไม่ได้นานเท่าไร มันก็ลุกขึ้นมายืน ฉันใดฉันนั้น เราเป็นความรัก เราก็ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ไม่เป็นภาระ แล้วมันเป็นบัญญัติเดียวที่พระเจ้าสั่งให้เรารักษาเอาไว้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำได้ไหม? ยิ้มสิ

            เพราะฉะนั้น ขณะที่เราไม่มีความรัก ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่นี้ ประพฤติความเกลียดชัง ตรงกันข้ามกับความรักที่อยู่ในใจนั้น  เรากำลังฝืนธรรมชาติ  ทำไปได้นานไหม? ไม่ได้นาน เหมือนตะกี้นี้บอก งูที่ถูกเป่าปี่ พยายามลุก เดี๋ยวมันก็หล่นลงไป เลื้อยตามธรรมชาติ ของเราก็เหมือนกัน ต่อให้เกลียดอย่างไร? หรือไม่ชอบอย่างไร? หรือจับความผิดเขาอย่างไร? อิจฉาเขาอย่างไร? หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ เดี๋ยวมันก็กลับมาที่รักเขาเหมือนเดิม  เพราะว่ามันไปไม่ได้ไกล มันฝืนธรรมชาติ เพราะฉะนั้น การรักษาบัญญัติของพระเยซูคริสต์ที่บอกไว้ วิธีการคืออะไร? สำหรับคริสเตียน ฉันรักษาบัญญัติของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติให้เรารักกันและกัน ก็คือให้เราจดจ่อความคิดจิตใจของเรา ไปที่ความรักของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของเรา  เพื่อประพฤติตามธรรมชาติของวิญญาณของเราว่าฉันเป็นความรัก ฉันก็ต้องดำเนินชีวิตตามความรักนี้สบายๆ

            เป็นธรรมชาติในวิญญาณของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว มันจึงเป็นธรรมชาติของความรักนี้ จดจ่อไปที่นั่นเลย นี่แหละคือการรักษาพระบัญญัติของพระเยซูคริสต์ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ไม่ใช่รักษาบัญญัติตามที่พระเยซูคริสต์บันทึกเอาไว้ด้วยกำลังของตนเอง ไม่ใช่ แต่ด้วยธรรมชาติที่เราได้เกิดใหม่แล้ว  เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ก่อน แล้วค่อยประพฤติตามสิ่งที่เป็นนั้น

            “ได้เกิดใหม่แล้ว เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ก่อน แล้วค่อยประพฤติตาม”

            –  ไม่ใช่ประพฤติตาม เพื่อให้เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ ไม่ใช่ประพฤติตามบัญญัตินั้น เพื่อจะได้ ฉันจะได้เป็นความรักเหมือนพระคริสต์

            –  ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความรอด หรือเพื่อรักษาความรอดให้คงอยู่ ฉันไม่ได้ประพฤติความรัก เพื่อรักษาความรอดให้คงอยู่ หรือให้ได้รับความรอด  โดยการประพฤติ ความรักนี้

            –  ไม่ใช่ถูกบังคับให้รักษากฎเกณฑ์ตามคำสั่ง เพื่อจะไม่ถูกลงโทษว่าไม่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่ แต่ฉันประพฤติหรือดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติของตัวฉัน ฉันเป็นความรัก ไม่มีใครมาบังคับหรอก นี่มันเป็นอย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตด้วยความรัก มันคือผลของความรอด ผลของการบังเกิดใหม่ จากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ซึ่งดำรงบริบูรณ์ด้วยพระลักษณะของพระเจ้า คือพระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นความรักเหมือนพระองค์ เป็นความรักที่เราได้รับแล้วในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราบังเกิดใหม่แล้ว เราจึงปฏิบัติความรักนี้ได้ มิฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำความรักอย่างนี้ได้ คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือความรักแบบอากาเป้นี้ ไม่สามารถประพฤติได้เลย ถ้าเผื่อไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ ที่บังเกิดใหม่นั่นเอง 1 ยอห์น 5:4-5 …

        1 ยอห์น 5:4-5 “4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก (แห่งความบาปและความตาย) และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจ ที่เอาชนะโลก (แห่งความบาปและความตาย) แล้ว 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตาย ตรงนี้สำคัญมาก  คนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  ก็คือเป็นพระมาซีฮาห์ ก็ได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะอยู่เหนือโลกแห่งความบาปและความตาย ก็คือคริสเตียนมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายแล้ว เพราะว่าความเชื่อของเขาในพระเยซูคริสต์ ทำให้เขา คือคริสเตียนมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง แต่คริสเตียนก็ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่

            คริสเตียนเราชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ชนะการหลอกลวง ชนะความเท็จในโลก เกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ปิดบังตาเรามาตั้งนาน จนกระทั่งเราชนะ ก็คือเราเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ข่าวดีของพระเจ้า เรารับไว้ เราจึงชนะโลกก่อนเลย ก็คือชนะการหลอกลวงและความเท็จของโลกนี้ ด้วยความเชื่อ ถูกไหม? เป็นคริสเตียนด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ แต่ด้วยความเชื่อ เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าเกี่ยวกับข่าวดีในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เชื่อว่าข่าวดีในพระเยซูคริสต์ที่เราได้ยินนั้น เป็นจริง ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเราได้รับการอภัยโทษในบาปผิดทั้งสิ้น ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตนิรันดร์เลย และได้เข้าอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคและเข้ามาอยู่ในเรา นี่สั้นๆ ของข่าวดีนี้ เราเริ่มเปิดใจเชื่อในความจริงเหล่านี้ เรารับเข้ามาแล้ว นั่นแหละ เราเริ่มต้นมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายทันที ด้วยความเชื่อไม่ใช่ด้วยความประพฤติ หรือการกระทำใดๆ ที่เราจะชนะความบาปและความตายบนโลกใบนี้ได้ ไม่มีทางอื่นเลย ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเลย ทำอย่างไร เราก็ไม่มีทางชนะความบาปและความตายที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูบอกมีทางเดียวเท่านั้น คือวางใจในเรา คือวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมา ก็คือพระมาซีฮาห์

            เพราะฉะนั้น การชนะโลก จึงไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ทั่วๆ ไปคิด หรือคริสเตียนอาจจะคิดอย่างนี้ หรือถูกหลอกให้คิดอย่างนี้ การชนะโลก ไม่ได้หมายถึงการที่เราไม่ต้องเผชิญปัญหาอุปสรรค หรือการไม่ต้องมีความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้หมายถึงไม่เจ็บป่วย ไม่ยากจน ไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับเราบนโลกใบนี้ ซึ่งบางครั้งเราถูกหลอกว่าเราชนะโลกนี้ สิ่งเหล่านี้ต้องไม่เกิดขึ้น พอมันเกิดขึ้น เราก็รู้สึกไขว้เขว

            “ถ้อยคำพระเจ้าจริงไหม? พระเจ้าอยู่ด้วยหรือเปล่า?” … อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            การชนะโลก จริงๆ แล้ว หมายถึงการมีชีวิตที่มีชัยชนะในพระคริสต์ คือเราไม่ถูกครอบงำ เป็นทาสบาป ความชั่ว ตามระบบของโลกนี้ ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว แต่เรามีชีวิตใหม่ในพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ และสามารถดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตภายในเราตลอดเวลา นี่คือชัยชนะ แต่ขณะเดียวกันยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตายบนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งมารใช้ในการโกหกหลอกลวงมาตลอด  เรายังคงสามารถถูกล่อลวง จากระบบของโลกให้ทำบาปได้ หมายถึงเราคริสเตียนนะ ผู้ที่เชื่อ ที่มีชัยชนะเหนือโลกแล้ว เรายังคงสามารถถูกล่อลวง หลอกลวง ไม่เชื่อความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงเรา ที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอาจจะไม่เชื่อทั้งหมด เพราะว่าระบบของโลกนี้มันยังปิดบังตาเราต่อไปอยู่ ไม่ให้เรารู้ความจริงทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ปิดบังตาเราต่อไปว่าเรายังไม่ชนะ 100% นะ เราไม่เป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ ตามที่ถ้อยคำพระเจ้า เป็นความจริงที่บอกเรา เห็นไหม? เรายังต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี ให้พร้อม  เพื่อให้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้นกว่านี้ นี่คือการถูกหลอก แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้ เราได้รับไปเรียบร้อยแล้ว  เราชนะ 100% แล้วจริงๆ

            ชนะโลก หมายถึงชนะโลกแห่งความบาปและความตายฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่ฝ่ายวัตถุ คนส่วนใหญ่จะเอาไปใช้ในเรื่องฝ่ายวัตถุว่าเราเป็นคริสเตียน เราเป็นลูกของพระเจ้า เราชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่ยากจน ไม่มีทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นกับเรา สิ่งชั่วร้ายต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น เราอยากได้ อยากได้ไม่เป็นไรนะ แต่อย่าเคลมว่ามันต้องเป็นของเรา เพราะเราชนะโลกนี้แล้ว

            การชนะโลก หมายถึงการหลุดพ้น การเป็นอิสระจากการถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งให้พินาศตายฝ่ายวิญญาณ  เพราะเป็นบาป นี่คือตามบริบท ที่อาจารย์ยอห์นเน้น ชี้ให้เราเห็นถึงในโลกฝ่ายวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้น เราชนะโลกหมายถึงอะไร? ชนะโลกของความบาปและความตาย  ชนะการเป็นคนบาป ก็คือหลุดพ้นจากการเป็นคนบาป เป็นอิสระจากการเป็นคนบาป มาเป็นคนชอบธรรม และมีชัยชนะอยู่เหนือความตายนิรันดร์ เป็นคนชอบธรรม  และมีชัยชนะอยู่เหนือความตายนิรันดร์ในวิญญาณ  ก็คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ กลายเป็นมาอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ได้ นี่คือชัยชนะเหนือโลก

            ชนะ หมายถึงการหลุดพ้น การเป็นอิสระจากความบาป ความชั่ว ชนะการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ชนะการเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ คือเป็นอิสระจากการอยู่ภายใต้เป็นทาสของมาร การอยู่ในอาณาจักรของความมืด ในโลกฝ่ายวิญญาณก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเจ้า ซึ่งชัยชนะเหนือโลกนี้ เกิดขึ้น โดยความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ ที่กระทำบนไม้กางเขน ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวดี และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ทำให้มนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนที่กลับคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า และจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้นิรันดร์ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว เป็นความจริง

            แต่โลกนี้ปกคลุมไปด้วยความบาปและความตาย ก็คือปกคลุมไปด้วยความเท็จ นี่บริบทของอาจารย์ยอห์นจะพูดอย่างนี้เสมอ นี่มีแต่ความเท็จทั้งนั้นเลย  ทุกคนอยู่ในความเท็จ จนกว่าเมื่อไรเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นั่นแหละ มีชัยชนะอยู่เหนือโลก อยู่เหนือความเท็จทั้งหลายเหล่านี้

            อาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร? อาจารย์ยอห์นได้เล่าให้เราฟังแล้ว ชี้ให้เราได้เห็นแล้ว อาณาจักรของพระเจ้า คือตัวของพระเยซูคริสต์เอง ก็คือผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ผู้เชื่อนั้น ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ “ได้เข้าไปอยู่” ก็คือได้ดำรงอยู่ อาศัยอู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ได้เข้ามาอาศัย ดำรงอยู่ในผู้เชื่อคนนั้น  เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นอาณาจักรของพระบิดา ที่ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้ว เริ่มต้นตั้งแต่วันแรก วันเพ็นเตคอสที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา หลังจากที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้ว  คือสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  หลังจากนั้น 40 วัน วันที่พระองค์ปรากฏพระองค์เองกับบรรดาสาวกและเสด็จขึ้นสวรรค์ อีก 10 วัน เป็นการประกาศเริ่มต้นยุคใหม่ ที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว มันเป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และข่าวดีมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือเป็นวันที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์เป็นครั้งแรก และจากนั้นต่อมาจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นมาตลอดเลย คือสวรรค์มาตั้งอยู่ที่ร่างกายของมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์เป็นสวรรค์แล้ว คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันทีปุ๊บ เป็นสวรรค์ทันทีเลย ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตภายในเขา  เขาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เสร็จแล้วเขาผู้เชื่อกับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าทั้ง 2 นั้นอยู่ในพระบิดา นึกภาพออกไหม? ทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงให้กับเขา สรุปแล้วก็คือทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสร้างบ้าน สร้างที่อยู่อาศัยในผู้เชื่อ คริสเตียนคนนั้น นี่แหละ คือชัยชนะเหนือโลก ตามบริบทนี้ ไม่ได้หมายถึงอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่มนุษย์อยากได้

            พอผู้เชื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วทันทีนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะย้ายเขาออกจากโลกนี้ โลกแห่งความบาปและความตายนี้ ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  หรือเรียกว่าในสวรรค์ทันที พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ ทำบ้านอยู่ในตัวเขาทันที  โคโลสี 1:13-14 ไม่ต้องรอตาย มันเกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้แหละ  แต่เป็นในฝ่ายวิญญาณ …

        โคโลสี 1:13-14 “13 พระเจ้าได้ช่วยชีวิตเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และนำเรา เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ซึ่งก็คือพระบุตรที่พระเจ้ารัก 14 พระองค์ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย”

            เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ก็คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์อย่างที่บอก ย้ายเขาเข้าไปอยู่ในบ้านของพระเจ้า

            บ้านของพระเจ้า ก็คือพระองค์มาสร้างบ้านของพระองค์ ก็คือสวรรค์มาตั้งอยู่ในร่างกายของผู้เชื่อนั่นแหละ ทั้งวิญญาณ ใจและร่างกายของเขา เป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ ทั้ง 3 พระภาค ไปไหน ไปด้วยกัน ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วเกิดขึ้น  เห็นหรือยังว่านี่คือความจริง ซึ่งมารก็พยายามปิดบังความจริงบนโลกใบนี้ ด้วยระบบของโลกใบนี้ว่าถ้าไม่เห็น อย่าไปเชื่อ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ มันมองไม่เห็นหรอก แต่มันเป็นความจริงตามถ้อยคำพระเจ้า

            “ไหนล่ะ เชื่อพระเจ้าแล้วอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ยังเจ็บป่วยอยู่เลย อยู่ในสวรรค์เจ็บป่วยได้อย่างไร? นี่คือระบบของโลกที่พยายาม ที่จะหลอกลวง มดเท็จ ต่อต้านความจริงของพระเจ้า มารและโลกที่เราเห็นอยู่นี้ และทุกสิ่งในโลก สรรพสิ่งทั้งหลายในโลก พระคัมภีร์บอกว่าตกอยู่ภายใต้คำพิพากษา  กำลังอยู่ในคำพิพากษา คำสาป ให้พินาศ  อยู่ในความสูญสิ้น เข้าสู่การสำเร็จโทษ คือตัดสินไปแล้วว่าให้สูญสิ้น ถูกลงโทษไปแล้ว แต่ว่ายังไม่สำเร็จโทษนั่นเอง มารจึงพยายามพามนุษย์ลงไปกับมัน ไปอยู่ที่เดียวกันกับมัน ที่ไหน? ก็ที่ที่ไม่มีพระเจ้า ก็คือบึงไฟนรก อย่างที่เราเคยเรียนรู้กัน

            แล้วใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกที่ถูกสาปแช่งนี้ได้ ในเมื่อโลกมันกำลังถูกสาปแช่ง  มันต้องสูญสิ้นไป มันจะไปอยู่บึงไฟนรกแล้ว ทั้งหมด ทั้งโลกนี้ แล้วใครกันล่ะ 1 ยอห์น 4:4 ที่เราได้เรียนรู้มา ตอนที่แล้ว …

        1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือโลก คือเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้”

            เห็นไหม? “พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้” พูดง่ายๆ พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ก็คือสวรรค์ที่อยู่ในคุณ สวรรค์ที่อยู่ในตัวเรา ยิ่งใหญ่กว่า สวยงามกว่ามารที่อยู่ในโลก ก็คือโลกที่ถูกสาปแช่ง โลกแห่งความบาปและความตาย โลกที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ โลกแห่งความทุกข์ยากลำบากนิรันดร์ พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ คือสวรรค์ที่อยู่ในเราใหญ่กว่า ใครกันล่ะ ในข้อ 5 บอกว่า …

        1 ยอห์น 4:5 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลก ที่ถูกสาปแช่งแล้วนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            เห็นไหม? เน้นเรื่องนี้อีกแล้ว เน้นเรื่องพระเมซิยาห์ คนที่จะชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ชนะโลกที่ต้องสูญสิ้นไป ชนะโลกที่กำลังตกลงไปในความตาย อยู่ในนรกนิรันดร์นั้น คือคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะว่ามีคนจำนวนมากตั้งตัวขึ้นมาสอน ความเชื่อแบบเก่าๆ ในสมัยนั้น ต่อต้านพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า พระองค์ไม่ใช่พระมาซีฮาห์

            อาจารย์ยอห์นก็เลยพยายามเน้นตรงนี้อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นพระเมซิยาห์จริงๆ  และถ้าท่านเชื่อนะ ท่านก็จะชนะโลก ชนะความเท็จเหล่านั้น ท่านจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ท่านจะเริ่มต้นรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจะสอนท่าน ท่านจะรักพระเจ้า ท่านจะเห็นพระองค์ในทางวิญญาณ ท่านจะชนะการหลอกลวง ล่อลวงของมารบนโลกนี้ นี่คือคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาดำรงอาศัยอยู่ในร่างกายของเขา เขาก็ชนะบาป ที่มันเคยอยู่มาก่อน ในใจของเรา ในใจของมนุษย์ ตอนนี้ผู้ที่เข้ามาอยู่แทน ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และความชอบธรรมของพระองค์ก็เป็นของเรา มาแทนที่ความบาป ที่เป็นคนบาปในอดีต

            ความจริงที่สำคัญมาก ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้เรียนรู้ ได้รับรู้ ก็คือโลกและทุกสิ่งบนโลก หรือสรรพสิ่งในโลกนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ จะต้องสูญสิ้นไปในวันหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไร แต่สูญสิ้นไปแน่นอน แต่โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มันอยู่ตลอดไป พระคัมภีร์จึงพยายามเน้นให้มนุษย์สนใจโลกฝ่ายวิญญาณมากกว่าเยอะ เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องให้ความสนใจ ให้ความเรียนรู้

            ซึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ก็ได้บอกแล้วว่ามี 2 แห่งเท่านั้นเอง และมันจะเป็น 2 แห่งอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีแห่งที่ 3 แห่งที่ 4 ไม่ว่ามันจะเป็นแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่าสวรรค์ ที่มีพระเจ้าอยู่ ที่เรียกว่าสุขนิรันดร์ หรืออีกที่หนึ่งที่เรียกว่าบึงไฟนรก ที่เรียกว่าที่มืด ที่มีแต่ความเจ็บปวด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มีแต่ความทุกข์ตลอดนิรันดร์ ไม่ใช่ 80 ปี 100 ปี เหมือนโลกใบนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ แต่มันเป็นนิรันดร์ของสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่าวิญญาณของมนุษย์ มารพยายามพามนุษย์ให้สนใจ จดจ่อในโลกแห่งวัตถุที่มองเห็น ที่บนโลกใบนี้ เพราะมันจะหลอกเราได้ ล่อลวงเรา ให้เราหลงอยู่ในโลกที่มองเห็นนี้ ส่วนพระเจ้าพยายามให้เราสนใจ จดจ่อในโลกที่มองไม่เห็นสำคัญมากกว่า สิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งดี ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับผู้ที่แสวงหา ผู้ที่รักพระองค์ พระองค์ตรัสไว้อย่างนั้น ผู้ที่มาแสวงหาพระองค์ ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น จับต้องในโลกวัตถุนี้ แต่มารบอกว่าถ้าไม่ได้มองเห็นด้วยตา จับต้องด้วยตัว ไม่ได้อะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่าไปเชื่อนะ มันคนละขั้วกันเลย

            โลกและมนุษย์ทั้งโลกได้ถูกพิพากษา ตัดสิน ถูกลงโทษ  ถูกสาปแช่งให้พินาศไปแล้ว อยู่ในที่มืด ที่ซึ่งไม่มีพระเจ้า เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่แล้ว  เพียงแต่รอการสำเร็จโทษในวันข้างหน้า สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือวันที่หมดลมหายใจบนโลกใบนี้

            แต่ความจริงในถ้อยคำพระเจ้า คือพระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ โดยการอภัยโทษให้เรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วก็เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เป็นการเริ่มต้น ปีแห่งความโปรดปราน ปีแห่งการอภัยโทษ ปีแห่งการประกาศอิสรภาพ ปีแห่งพระคุณแก่มวลมนุษย์ทั้งปวง 2,000 ปีมาแล้ว และมีคนมากมายได้รับชัยชนะ ได้รับสิทธินี้ไปแล้ว จนถึงปัจจุบัน  แต่ก็ยังมีคนถูกล่อลวงด้วยระบบของโลกนี้ ถูกปิดบังตา ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป ในโลกวิญญาณจึงมีการย้ายสถานที่เกิดขึ้น เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีการย้ายในโลกฝ่ายวิญญาณ ย้ายตำแหน่งที่อยู่อาศัยของผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือโลกแห่งความบาปและความตายนี้  ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเขาอีกต่อไป พระคัมภีร์บอก ในโลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราเป็นคริสเตียน โลกไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของเรา  ผู้เชื่อไม่ได้อยู่ในโลกที่ถูกพิพากษา ถูกสาปแช่ง เพราะความบาปอีกต่อไป แต่เขาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในสวรรคสถานแล้ว นี่คือความจริง

            เราเคยกล้าพูดอย่างนี้ไหม? แม้เราจะเชื่อพระเจ้ามาหลายปีแล้ว เราเคยกล้าพูดอย่างนี้ว่า …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ”

            ในขณะที่เจ็บป่วยอยู่ ในขณะที่เป็นโควิด ในขณะที่ติดเชื้อ กำลังรักษาอยู่ ในขณะที่ทนทุกข์ ขัดสนอยู่ ในขณะที่ PM.2.5 ปกคลุม เกิดอาการแพ้ ในขณะที่ไฟไหม้ป่า ลามมาถึงบ้านเรา

            “พระเจ้าอยู่ไหนๆ ทำไมไม่ช่วยดับไฟป่า” แล้วเราก็บอก “นี่หรือสวรรค์”

            ขอพระเจ้าช่วยเรื่องไฟไหม้ป่าได้ไหม? ได้ แต่ถ้ามันจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม เราไม่สามารถมาลบล้างความจริงของพระเจ้าได้ว่า …

            “เราอยู่ในสวรรค์แล้วนะลูกเอ๋ย”

            แล้วเราจะมาบอกว่า … “อยู่ในสวรรค์แล้ว ทำไมเป็นแบบนี้”

            ในโลกนี้ มันไม่ใช่สวรรค์ โลกสวรรค์อยู่ในทางวิญญาณ แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้อยู่ที่นั่นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างแท้จริง

            ถ้าอยู่ในโลกนี้ คนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถ้ายังอาศัยอยู่ในโลกแห่งการถูกสาปแช่ง โลกแห่งความบาปนี้อยู่ เขาก็ต้องสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้  ในวันหนึ่ง  เพราะโลกและทั้งหมดที่อยู่ในโลกนี้  ถูกตัดสินไปแล้ว ถูกลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว ให้พินาศไป และกำลังเดินทางไปสู่ความสูญสิ้นนี้ ถ้าใครคนใดคนหนึ่งยังไม่ย้ายฝั่งมาอยู่ในพระคริสต์ ยังอยู่ในโลกนี้อยู่  ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วยกันกับโลก เรียกว่าถูกลงโทษให้พินาศ เพราะว่าเป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้  เคมีไม่เข้ากัน บาปและความบริสุทธิ์มันเข้ากันไม่ได้ ความชั่วและความดีไม่สามารถเข้ากันได้ ขาวและดำอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระเจ้าและความบาปอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่ใช่ไม่รักเรา ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษเรา  เราถูกกฎลงโทษอยู่แล้ว จากความบาปตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่บรรพบุรุษเราเอาเข้ามา  มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ ซึ่งเป็นกฎทางวิญญาณที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนา ดูแลให้เป็นไปตามกฎ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลที่ยุติธรรม และเที่ยงตรงที่สุด ไม่ลำเอียง

            เพราะฉะนั้น มนุษย์จำเป็นต้องย้ายสถานที่อยู่ทางวิญญาณ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เพื่อมาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ก่อนหมดลมหายใจ มารก็พยายามหลอกว่าสวรรค์รอไว้ เมื่อหมดลมหายใจ แต่พระเจ้าบอกว่าต้องตัดสินใจ ก่อนหมดลมหายใจนะ มันคนละขั้วกันเลย การโกหกมดเท็จกับความจริงของพระเจ้า คนละเรื่องกันเลย  เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเกิดแล้ว เราต้องเชื่อว่าเราอยู่อีกฝ่ายหนึ่งแล้ว อยู่ในฝ่ายความจริง  เราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ ซึ่งมันเป็นความเชื่อ ซึ่งประกาศข่าวประเสริฐไปในตัวด้วย สำหรับคนที่เขายังไม่เชื่อ เขาจะได้รู้ว่าสวรรค์มันต้องตัดสินใจตอนนี้เลย เดี๋ยวนี้ทันที ในโลกใบนี้ ถ้ารอให้ตายก่อน มันสายไปแล้ว

            ซึ่งการจะอยู่ในสวรรค์มันง่ายนิดเดียว ย้ายเดี๋ยวนี้เลย ตอนหายใจอยู่นี่แหละ คือต้องบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ สะอาด เข้ากับพระเจ้าได้ จึงสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ซึ่งการทำตัวให้บริสุทธิ์ สะอาด เข้ากับพระเจ้าได้ พระคัมภีร์บอกแล้วว่าไม่สามารถกระทำได้ด้วยการประพฤติของตนเอง ด้วยการกระทำของตนเอง กระทำดี สะสมไว้ ทำไม่ได้หรอก ที่บอกกระทำ สะสมไว้ชาติหน้า ไม่มีชาติหน้า  ตายไป ก็ต้องถูกตัดสินเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระเยซูเท่านั้นที่เป็นทางเดียวที่คนจะสามารถบังเกิดใหม่ได้ ย้ายเข้ามาอยู่กับพระเจ้าได้ ในขณะที่มีลมหายใจ พระองค์ทรงเตรียมพระเยซูไว้ด้วยความรัก ให้กับมนุษย์ทั้งปวงแล้ว

            หลังจากย้ายแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ก็เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันทีเลย ไม่ต้องรอ และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดไป ไม่ใช่อยู่เฉพาะเดี๋ยวนี้ แต่อยู่ตลอดไป  ไม่ใช่มาอยู่สวรรค์เดี่ยวนี้ แล้วก็นึกว่าตอนอยู่ในสวรรค์เดี่ยวนี้ แล้วทำอะไรผิด ไม่ดีเพิ่มขึ้น หรือเยอะขึ้น หรือน้อยลง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ไม่เกี่ยวกันอีกแล้ว ที่อยู่ในสวรรค์ก็อยู่เลย อยู่ตลอดไปเลย ไม่ว่าท่านจะประพฤติอะไรจากนี้ต่อไปอีกก็ตาม  ท่านได้รับการอภัยโทษเรียบร้อยไปแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้ พระเจ้าไม่จดจำความบาปของท่าน พระองค์เอาออกไป ลบออกไป ความบาปไม่ได้อยู่กับท่านอีกต่อไป

            ห่างกันเท่าไร? ตะวันออกห่างจากตะวันตกเท่าไร? พระองค์ทรงเอาความบาปผิดของท่านออกไปห่างเท่านั้น  ไม่มีได้เจอกันอีกแล้ว อยู่ตลอดไป พระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดไป ไม่มีใครเอาเราออกจากพระเจ้าได้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้าอยู่อาศัย แล้วพระเจ้าก็จะใช้ร่างกายเรานี้  ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ทำงานให้พระองค์ คือประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ฉายแสงสว่างของพระองค์ นำพาความรักของพระองค์ ไปยังบรรดาผู้คนรอบข้าง  โดยเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายาม พระเจ้าพาไปเอง  เอเมนไหม? ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? สวรรค์ก็อยู่ในตัวท่าน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน? 3 พระภาคก็อยู่ในตัวท่าน ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน? ท่านไม่ได้ไปคนเดียว 4 วิญญาณเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และวิญญาณของท่านเองไปพร้อมกัน เอเมนไหม?

            แล้วชีวิตหลังความตายล่ะ พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนี้ ชีวิตหลังความตาย พระเจ้าก็จะทรงสร้างโลกใหม่ คือโลกที่เราเห็นอยู่ปัจจุบันนี้ ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว มันมีแต่แย่ลงๆ ทุกวัน มลภาวะ มลพิษอะไรต่างๆ จะมากขึ้นทุกวัน ในที่สุดมันจะล่มสลายไป พระเจ้าจะสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่ ในโลกใหม่หมด ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ใหม่ด้วย ร่างกายของเราจะเป็นร่างกายใหม่ที่มีลักษณะเหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับหลังความตายนี้ ก็จะไม่มีโควิด ไม่มีมะเร็ง ไม่มีเบาหวาน  ความดัน หัวใจ โรคภัยไข้เจ็บใดๆ ที่มันจะทำร้าย ทำลายร่างกายเราได้อีก ไม่มีเชื้อโรคที่จะทำให้เราป่วย ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการทำร้ายกันและกัน ไม่มีแก่งแย่ง ไม่มีความเศร้าโศก เสียใจ เพราะการสูญเสียอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป นี่เรื่องจริงๆ เลย ทั้งโลกวิญญาณและโลกที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นโลกใหม่ ไม่มีสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว

            และข้อสำคัญที่สุด ที่ไม่มีในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระองค์ทรงสร้าง ที่เราจะอยู่หลังความตาย นั่นก็คือไม่มีมารมาล่อลวงให้เราทำบาปอีกต่อไปแล้ว ที่มันมาล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำบนโลกใบนี้มันเหนื่อยนะ มันลำบากนะ เป็นคริสเตียนยังโดนอยู่ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกแห่งความบาปและความตายนี้  มันยังถูกล่อลวงอยู่ แต่ในโลกใหม่ไม่มีมาร ไม่มีอิทธิพลของความบาป  มาล่อลวงให้เราทำบาป  หรือล่อลวงให้เราเป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอีกแล้ว ก็โดนอีก ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกแห่งความบาปและความตายนี้ ยังอยู่ในโลกเดิมอยู่ แต่ในโลกใหม่ไม่มีมาร ไม่มีอิทธิพลของความบาป  มาล่อลวงให้เราทำบาป หรือล่อลวงให้เราเป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอีกแล้ว  เราไม่ต้องใช้ความเชื่อ ไม่ต้องมีความหวังอีกต่อไป  เพราะว่าสิ่งที่เราหวังไว้ มันได้แล้ว เห็นแล้ว เห็นต่อหน้าต่อตา จับต้อง มองเห็นแล้ว เพราะเราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง เราได้อยู่ในความรัก ในสวรรค์กับพระเจ้า สืบไปนิรันดร์ แบบจับต้องมองเห็นได้เลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            และเหล่านี้ที่พูดมาทั้งหมด ที่เรากำลังตื่นเต้นนี้ ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น จากความจริงของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้  ทั้งก่อนตายและหลังตายเป็นอย่างนี้  และนี่คือชัยชนะนิรันดร์ เหนือโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกสาปแช่งให้สูญสิ้นไปแล้วนั่นเอง ตามชื่อเรื่อง ก็คือใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ที่ถูกพิพากษานี้ได้ ใครกันล่ะ? ตอบสิใคร? ก็คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า

            “ใครกันล่ะที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกพิพากษานี้ได้”

            “ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            คราวนี้เราตอบแบบสั้นๆ เพื่อให้โลกที่โกหกหลอกลวงนี้รู้ว่าเรารู้ความจริงแล้ว

            “ใครกันล่ะที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกพิพากษานี้ได้”

            “ก็ฉันนะสิ”

            เพราะว่าพระเยซูคริสต์จะเข้าไปดำรงอาศัยอยู่ในเขา และเขาจะดำรงอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และทั้งสองวิญญาณจะเป็นหนึ่งเดียวกัน  และทั้งสองวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกันนี้จะซ่อนอยู่ในพระบิดา ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ และทั้ง 3 พระภาคก็สถิตอยู่ในเขาเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดนิรันดร์ เอเมน

*******************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            วิญญาณของท่านอยู่ที่ใด?

                        ในเชื้อสายอาดัม

                                    หรือ …

                        ในเชื้อสายพระคริสต์?

            อาดัมตาย ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลาน คือคำสาปแช่งความพินาศ

            พระเยซูคริสต์ตาย ทิ้งมรดกไว้ให้กับลูกหลาน คือสวรรค์และชีวิตนิรันดร์

            มรดกจากอาดัม ต้นตระกูลแรกเริ่มของมวลมนุษย์ คือคำสาปแช่งหนี้บาปและความพินาศ

            มรดกจากพระเยซู ต้นตระกูลใหม่ของมวลมนุษย์  คือความรอดความบริสุทธิ์ชอบธรรมและชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์

            โรม 5:19 … “เพราะการไม่เชื่อฟัง (ความบาป)  ของมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม  ต้นประกูลเดิมเผ่าพันธุ์มนุษย์) ทำให้คนเป็นอันมาก  เป็นคนบาปคนอธรรม  (ติดเชื้อบาป) ฉันใด  การเชื่อฟัง (ยอมทำตามพระเจ้า ยอมตายบนกางเขน) ของมนุษย์คนเดียว (คือพระเยซู ต้นตระกูลใหม่เผ่าพันธุ์มนุษย์)  ก็ทำให้คนเป็นอันมาก  เป็นผู้ชอบธรรม (ได้รับการรักษาให้หายจากเชื้อบาป) ฉันนั้น”

            สดุดี 37:28-29 … “28 เพราะพระเจ้าทรงรักความยุติธรรม พระองค์จะไม่ทอดทิ้งผู้ชอบธรรม ของพระองค์ จะทรงสงวนคนเหล่านั้นไว้เป็นนิตย์ แต่ลูกหลานของคนอธรรม (อาดัม) จะถูกตัดออกไปเสีย 29 คนชอบธรรมจะได้แผ่นดินสวรรค์นั้นเป็นมรดก และจะอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป”

            มาย้ายจากการอยู่ในเผ่าพันธุ์เดิม ต้นตระกูลอาดัมมาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ต้นตระกูลพระเยซูคริสต์กันดีกว่า

            มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกนี้พร้อมกับมรดกตกทอด จากอาดัมบรรพบุรุษต้นตระกูล  คือคำสาปแช่งหนี้บาปและความพินาศ

            วิญญาณ คือตัวตนแท้ๆ ได้อยู่ในความพินาศ ในโลกวิญญาณในสถานที่ที่เรียกว่าความมืด ไม่มีพระเจ้าและจะอยู่ที่นี่ตลอดไปนิรันดร์ ถ้า ไม่มีใครช่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ย้ายสถานที่อยู่ก่อนหมดลมหายใจ

            พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ทุกคนด้วยการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อลบล้างความผิดบาป ใช้หนี้ความบาปและแบกรับเอาคำสาปแช่งของมนุษย์ทุกๆ คนแล้ว

            พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระองค์และแต่งตั้งให้พระเยซูคริสต์นี้เป็นต้นตระกูลของมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือเป็นพันธุ์ที่บริสุทธิ์สะอาดชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้นิรันดร์

            ซึ่งพระพรนานัปการในวิญญาณเหล่านี้ เรียกว่ามรดกในพระเยซูคริสต์ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ได้มรดกนี้ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงใช้สิทธิของตนเองเท่านั้น จึงเรียกว่าข่าวดีมาถึงมวลมนุษยชาติทุกคนแล้ว

            ใครที่เชื่อข่าวดี ที่เปิดใจต้อนรับสิทธินี้ ก็จะได้รับการ ย้ายตระกูลที่อยู่อาศัยในโลกวิญญาณ คือได้บังเกิดใหม่  ย้ายจากความพินาศมาสู่ชีวิตนิรันดร์  ย้ายจากความมืดมาอยู่ความสว่าง  ย้ายจากการเป็นคนบาปมาเป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า  ย้ายจากคำสาปแช่งมาสู่พระพรนานัปการในสวรรคสถานในพระเยซูคริสต์

            ก็คือย้ายจากการอยู่ในเผ่าพันธุ์เดิม ต้นตระกูลอาดัมมาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ ต้นตระกูลพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เงื่อนไขเดียวที่ต้องทำ คือเชื่อในข่าวดีและเปิดใจต้อนรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตนี่แหละ คือการใช้สิทธิ์ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อมนุษย์ทุกคนบนไม้กางเขน

            พระเจ้าอวยพรครับ