วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1506

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  มกราคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 14 “บนโลกนี้

เราชอบธรรมเหมือนพระเยซูชอบธรรม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรามาต่อหนังสือ 1 ยอห์นกัน มาถึงตอนที่ 14 ชื่อเรื่องว่า “บนโลกนี้ เราชอบธรรมเหมือนพระเยซูชอบธรรม” ตกใจไหม? หลายคนฟังแล้วตกใจ ถ้าไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่ต้น เหมือนพระเยซูเลยเหรอเนี้ย  เอาอย่างนั้นเลยหรือ? ฉันเนี้ยนะ เป็นอย่างนั้น

            ชอบธรรม หมายถึงสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้บริสุทธิ์ได้ ปกติมนุษย์ไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์  คำว่า “บริสุทธิ์” เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ ทำลาย หรืออยู่ตรงข้าม เป็นศัตรูกับความบาป ความสกปรก เข้ากันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น คนบาป สกปรกแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ เขาจะถูกทำลายด้วยฤทธิ์อำนาจ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่วันนี้ เราจะเรียนหนังสือใน 1 ยอห์น  ที่แสดงให้เราได้เห็นความจริง ในโลกวิญญาณว่าขณะที่เราดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ในฐานะเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว เรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ได้ เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้

            คำว่า “ยืนอยู่ต่อหน้า” ก็คือการสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ตลอดเวลาทุกเมื่อ และยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร? ก็ต้องมีคุณสมบัติเหมือนพระเจ้า  ก็คือบริสุทธิ์เหมือนพระองค์

            คำว่า “บริสุทธิ์เหมือนพระองค์” ตามภาษาของโลกใบนี้ มนุษย์ทั้งหลายเรียกว่า “ดีพร้อม” พระเจ้าทรงแสนดี คือพระองค์ทรงดีพร้อมทุกประการ ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็เป็นผู้ที่ดีพร้อม  ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนใคร? เหมือนพระเยซูคริสต์ ว๊าวไหม? ว๊าว …

            “ฉันอยู่บนโลกใบนี้ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์”

            เชื่อไหม? เอเมนไหม? ที่ติดตามมา 13 ตอนแล้ว ต้องเอเมนแล้ว รู้แล้ว เพราะว่าเรื่องของพระเจ้า เรื่องของพระเยซูที่เรากำลังเรียนรู้กัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ มองไม่เห็น  แล้วก็บันทึกไว้ว่ามนุษย์ก็เป็นวิญญาณ  มีใจหรือจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกาย นี่เริ่มต้นของโลกวิญญาณ ต้องเรียนรู้ตรงนี้ ต้องเชื่อตรงนี้ก่อน ถ้าไม่รับรู้ตรงนี้ ไม่เชื่อตรงนี้ ก็ไม่มีทางรู้เรื่องหรอก จะเอาความคิดแบบมนุษย์ เอาแบบที่ตามองเห็น ไม่มีทางที่จะเรียนรู้ได้เลย

            “มนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกาย”

            จำไว้เลยว่าฐานตรงนี้ ต้องอยู่ในจิตใต้สำนึก อยู่ในความคิด อยู่ในทุกอณูเนื้อของเราชาวคริสเตียน ที่กำลังแสวงหาพระเจ้า ที่กำลังจะเรียนรู้ความจริงของพระเจ้า ให้ความรู้นี้อยู่ในตัวของเราตลอดเวลา ยอห์น 4:24 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

            พระเยซูเป็นผู้พูดเองว่าพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ  และผู้ที่นมัสการพระองค์ ก็คือผู้ที่เข้ามาหาพระองค์  เข้ามาพูดคุย เข้ามามีความสัมพันธ์กับพระองค์ ต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ ก็หมายถึงวิญญาณที่อยู่ภายในร่างกายของมนุษย์คนนั้น ด้วยวิญญาณและด้วยความจริง ความจริง ก็คือจากถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง ถ้อยคำของพระองค์ เป็นถ้อยคำแห่งความจริง

            จากความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกเรา สอนเรา ชี้ให้เราเห็นถึงความจริงในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็นนั้น หูไม่ได้ยินนั้น ความจริง มันคืออะไร? ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ ความจริง คือท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว  ท่านชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วขณะนี้  กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ท่านเป็นอย่างนี้เหมือนพระคริสต์เลยทีเดียว นี่คือความจริง ถ้าจะนมัสการพระองค์ ท่านก็ต้องเชื่อด้วยวิญญาณและจิตใจของท่าน ให้เป็นไปตามถ้อยคำแห่งความจริงเมื่อสักครู่นี้ ที่พูด นี่คือโลกวิญญาณ เห็นชัดเลย

            ยกตัวอย่าง อย่างเช่นหนังสือพระคัมภีร์ ท่านจะได้ยินบ่อยๆ ว่าพอถึงเรื่องสำคัญๆ ไม่ว่าเป็นพระเยซูเอง หรือสาวก อัครทูตที่เขียนพระคัมภีร์จากการทรงนำของพระวิญญาณนั้น ก็จะใช้คำนี้ว่า “จงมองให้เห็นเถิด” แปลว่าอะไร จงมองให้เห็นเถิด? ก็คือมันมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน มันจับต้องได้ จงมองให้เห็นเถิด อย่างเช่น 1 ยอห์น 3:1 บันทึกไว้อย่างนี้ …

        1 ยอห์น 3:1 “จงมองให้เห็นเถิดความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มันมากมายมหาศาลแค่ไหน ถึงขนาดได้เรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์”

            เป็นลูกของพระองค์ ก็คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูเป็นลูกของพระองค์เลย เห็นไหม? ไม่เห็น มันเกิดขึ้นที่โลกวิญญาณ ที่ตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ และใจที่ได้บังเกิดใหม่ ที่อยู่ตลอดไปนี้ มันมองไม่เห็น เพราะฉะนั้น ความจริงมันเป็นอย่างนี้ อาจารย์ยอห์นจึงใช้คำว่าจงมองให้เห็นเถิด ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้น มันมากมายมหาศาลขนาดไหน? ถึงขนาดรับเราทั้งหลายผู้เป็นคนบาป ผู้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ความประพฤติไม่ดี รับเราเป็นลูกของพระองค์ ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เลยทีเดียว ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา ถ้าเผื่อท่านเชื่อนะ  ถ้าเผื่อท่านรับรู้ ท่านต้องรู้สึกเลยว่าโอ้โห! ถ้าท่านเชื่อถ้อยคำพระเจ้านี้จริงๆ อย่างเช่นใน 2 โครินธ์ 5:17 ก็บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            “จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น” ทั้งหมด ทุกสิ่ง ก็คือวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย เป็นใหม่ทั้งสิ้น ใหม่ ก็คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์ ท่านก็สะดุ้งเลย  แต่ใช้ความเชื่อ การรับรู้ทางวิญญาณ พระเยซูตรัสเอง พูดถึงผู้เชื่อของพระองค์แต่ละคนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เรียกว่าสาวกของพระองค์ พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อแต่ละคน ผู้เชื่อ ก็คือสาวก ฟังให้ดีๆ นะ พระเยซูตรัสว่าอย่างไร?  ก่อนที่จะเสด็จเข้าสู่สวรรค์ นี่มองไม่เห็นแล้ว  เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ  พระองค์ตรัสสิ่งสำคัญไว้อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 28:20 “พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อแต่ละคนว่า “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            จงมองให้เห็นเถิดว่าเรา (ก็คือพระเยซู) อยู่กับสาวกผู้เชื่อ อยู่ในสาวกผู้เชื่อตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก  ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่เดี๋ยวนี้  บนโลกใบนี้เลย อยู่กับมนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ พระองค์จึงสามารถเข้ามาอยู่ได้ สามารถให้เรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้  ทำให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระองค์ พระองค์จึงสามารถเข้ามาในร่างกาย มาอยู่กับเราได้ เห็นไหม?

            เราจะเห็นว่าในพระคัมภีร์จะเป็นอย่างนี้หมดเลย เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ ด้วยความเชื่อทางฝ่ายวิญญาณ ส่วนระบบของโลก ที่เขาอยู่อาศัย ตามที่เราเห็น เขาอยู่อาศัยด้วยอะไร? ด้วยความรู้สึก ด้วยสิ่งที่ตามองเห็น  ถ้าไม่เห็น ไม่เชื่อ แล้วก็ชักจูงให้มนุษย์ทั้งหมด ดำเนินชีวิต ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องได้เท่านั้น  และพอมาถึงเรื่องโลกวิญญาณ ก็ไม่เชื่อ หาว่างมงาย เป็นต้น

            พระคัมภีร์โคโลสีจึงบอกว่าให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน เบื้องบน หมายถึงเรื่องโลกวิญญาณ ให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ในที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ สวรรคสถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ให้เราจดจ่อ ก็คือให้เราตั้งตา ตั้งใจ จดจ่อ ก็คือมองให้เห็นเถิด  มองเห็นวันนี้ชัดไม่ชัด จงมองเห็น ก็พยายามเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ จะเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น จงมองให้เห็นเถิด มองที่ไหน? มองที่เบื้องบน มองที่สิ่งต่างๆ ที่โลกฝ่ายวิญญาณ  ตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พระคัมภีร์จึงบอกอย่างนั้น ให้เรามองที่โลกวิญญาณ อย่าไปตามระบบของโลกนี้ อย่าไปมองที่ฝ่ายโลก ที่จับต้องมองเห็นได้ต่างๆ เหล่านั้น เมื่อเรารู้ว่าเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ เรารู้แล้วว่าพยายามให้นึกและคิดไปถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการเกิดขึ้นในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ท่านจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าคำว่าจงมองให้เห็นเถิด มันไม่สามารถเที่ยวเดียว รู้หมดเลย ได้ยิน ได้เห็นหมดเลย โลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่

            จงมองให้เห็นเถิด หมายถึงจงเรียนรู้ มองไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เพ่งไปเรื่อยๆ จะเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

            คราวนี้มาต่อจากครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วตอนที่ 13 วันนี้ตอนที่ 14 จะเริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 4:13 …

        1 ยอห์น 4:13 “เรารู้ว่าเราดำรงอาศัยอยู่ในพระองค์ และพระองค์ดำรงอาศัยอยู่ในเรา เพราะว่าพระองค์ได้มอบพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เราแล้ว”

            เห็นไหม? ชัดไหม? “เรารู้ว่า” ไม่ใช่ “เรารู้สึกว่า” ไม่ใช่  “เพราะเราเข้าใจว่า” หรือไม่ใช่ “เพราะเราจับต้องมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อของเราว่า” ไม่ใช่เลย  แต่เรารู้ว่า … รู้จากไหน? จากภายในวิญญาณของเรา เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ แต่เรารู้ว่าเพราะพระวิญญาณพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา ช่วยเราให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณนี้ว่าเป็นเช่นนั้น เรารู้ว่าอะไร? เรารู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้าดำรงอาศัยอยู่ในเรา เพราะว่าพระองค์ได้มอบพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เราแล้ว

            พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เห็นไหม? ไม่เห็น รู้สึกไหม? ไม่รู้สึก พระวิญญาณเข้ามา มันต้องมีการขนลุกนะ ต้องมีการสั่นนะ ต้องโน่น ต้องนี่นะ จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้  ไม่มีอะไรเลย ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราบังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่ในเราแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์เลย ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในเราแล้ว โรม 8:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:16 “พระวิญญาณเอง ได้เป็นพยานต่อวิญญาณของเราว่าเราเป็นบรรดาบุตรของพระเจ้า”

            ไม่ต้องมีใครมาเป็นพยานและยืนยันให้กับเราว่า “พระวิญญาณสถิตอยู่กับเธอ เธอต้องสั่น พระวิญญาณสถิตอยู่กับเธอ เธอต้องขนลุก”

            ไม่ต้อง เพราะเราเชื่อในถ้อยคำ ถ้อยคำบอกอย่างไร? เป็นอย่างนั้น “พระวิญญาณเอง ได้เป็นพยานต่อวิญญาณของเรา” ข้างใน มันเกิดขึ้นข้างใน เป็นพยานว่าอย่างไร? “ว่าเรารู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า” ต่อด้วย “ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์” เรารู้อยู่ข้างใน เพราะพระวิญญาณบอกเรา

            คราวนี้มาถึงคำว่า “ดำรง อาศัยอยู่” ที่ผมใส่คำว่าดำรง อาศัยอยู่ในข้อความนี้ เพื่อให้เห็นชัดเจนถึงกิริยานี้  แปลตรงนี้ให้มันชัดๆ ทั้ง 3 คำนี้เลย  อยู่ อาศัย ดำรง … ดำรงอาศัยอยู่ หมายถึงอย่างไร? หมายถึงการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน แยกกันไม่ได้ เหมือนพระเยซูยกตัวอย่าง เหมือนลำต้นกับกิ่งไม้ ลำต้นองุ่น ก็คือเถาองุ่นกับกิ่งองุ่น เชื่อมกันอย่างไร?  ดำรงอาศัยอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า วิญญาณของเราเป็นอย่างนั้น เรากำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ต้องจำไว้นะ มันแยกกันไม่ได้เลย วิญญาณของผู้เชื่อกับวิญญาณของพระเจ้า 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกันเลย

            ถ้ายกตัวอย่าง พยายามให้สามารถพอที่จะเข้าใจได้ ตามความคิดของมนุษย์ จริงๆ เราใช้ความเชื่ออย่างเดียวก็พอแล้ว แต่ต้องยกตัวอย่างนิดหนึ่ง พระเยซูยังยกตัวอย่างเลย เหมือนกับเถาองุ่นกับกิ่งองุ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน กิ่งองุ่นดำรงอาศัยอยู่ในเถาองุ่น เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร?

            ผมจะยกตัวอย่างของผมบ้างในปีพ.ศ.นี้ 2,000 ปีผ่านมาแล้วว่าการเป็นหนึ่งเดียวกันตรงนี้ การดำรงอาศัยอยู่ในพระเจ้าตรงนี้ พระเจ้าดำรงอาศัยอยู่ในเรา เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไร? ท่านรู้จักน้ำชาใช่ไหม? น้ำชาสีอะไร? น้ำชาสีชา สมมติว่าเราเป็นน้ำ พระเจ้านำเราเป็นน้ำหยดหนึ่งใส่ไปในแก้วน้ำชา ถามว่าท่านเห็นตัวเองไหม? ท่านกลายเป็นน้ำชาไปด้วย แล้วท่านแยกออกจากกันได้ไหมว่าจากนี้พยายามไปเอาตัวท่านออกมา เรียกว่าท่านอยู่ที่ไหน? ไม่ได้แล้ว ท่านอยู่ในน้ำชานั้น แล้วน้ำชานั้นแยกออกได้ไหมว่าน้ำชาอันนี้เป็นชาพระบุตร อันนี้เป็นชาพระวิญญาณ อันนี้เป็นชาพระบิดา  ทั้ง 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน  เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคมันเป็นอย่างนี้ นี่พยายามอุปมา ยกตัวอย่างให้เรา พอที่จะใช้ความคิดอันต่ำต้อยแบบมนุษย์ของเรา พอจะเห็นภาพบ้าง ในหนังสือเอเฟซัส 1:13-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        เอเฟซัส 1:13-14 “และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ ผู้เป็นมัดจำค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

            เหมือนกันเลยเห็นไหม? “ท่านทั้งหลาย ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็ได้ร่วมอยู่ ก็ได้ร่วม ดำรง อาศัยอยู่ในพระคริสต์” อยู่ในน้ำชานี้ ท่านผู้เชื่อทั้งหลาย ท่านได้ดำรงอาศัยอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน  เมื่อท่านฟังถ้อยคำพระเจ้า และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือในอดีตเราฟังข่าวประเสริฐของพระเยซู แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซู ทันทีทันใด บนโลกใบนี้นั้น เราได้บังเกิดใหม่  พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราเข้าไปดำรงอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นน้ำหยดหนึ่งที่ใส่ลงไปในแก้วน้ำชา 1 ยอห์น 4:14 …

        1 ยอห์น 4:14 “เราได้เห็นและยืนยันว่าพระบิดาได้ส่งพระบุตรให้เป็นผู้ช่วยโลก ให้รอดพ้น”

            อัครทูตยอห์นได้ย้ำยืนยันว่าเขาเองและอัครสาวกเพื่อนๆ อีก 11 คน ได้เห็น อันนี้ได้เห็นจริงๆ ด้วยตาเนื้อเลย และยืนยันว่าพระบิดาส่งพระบุตร คือส่งพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ คือย้ำยืนยันอีกทีหนึ่ง ตะกี้โลกวิญญาณ ตอนนี้ ในโลกวัตถุบอกว่าตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ อยู่กับพระเยซูเขาได้เห็นว่านี่ พระองค์จริงๆ เห็นตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  เห็นตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เห็นพระเยซูตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  อยู่กับพระองค์ตอนเป็นขึ้นจากความตาย ปรากฏให้เห็นและอยู่ด้วยกันอีก 40 วัน เขาได้เห็นและยืนยันจริงๆ ว่ามันเป็นเช่นนั้น

            เกิดอะไรขึ้นในวิญญาณ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ก็คือต้อนรับข่าวดีของพระเยซู มันเกิดอะไรขึ้น 1 ยอห์น 4:15 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:15 “ถ้าผู้ใดยอมรับและรับรู้ในวิญญาณว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงอาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขาก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า”

            ถ้าใครก็ตาม หรือมนุษย์ผู้ใดก็ตามยอมรับ หรือรับรู้ในวิญญาณของเขาว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า  ก็คือใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขนให้กับมวลมนุษยชาติ  และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ก็เหมือนกับเราทั้งหลายที่เชื่อไปแล้ว นี่สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ สามารถทำตรงนี้ได้ เมื่อทำแล้วเกิดอะไรขึ้น  มันก็จะเกิดความเชื่อในข้อมูลข่าวดีนี้ เริ่มต้น ค่อยๆ เชื่อมากขึ้น แล้วก็จริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่หยุด ที่จะรับฟังข่าวดีนี้  ยอมรับข่าวดี แล้วก็รับไปเรื่อยๆ อย่างจริงๆ ในใจ  ก็จะเกิดความเชื่อขึ้นในวิญญาณของเขา วิญญาณภายในที่เป็นคนบาป  เป็นบาปอยู่นั้น ก็จะเกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ที่เรียกว่าความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ผลที่เกิดขึ้น ก็คือวิญญาณของคนๆ นั้น ก็จะได้รับการชำระให้พ้นจากมลทินบาปทั้งปวง ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เหมือนพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะได้สามารถเข้ามาดำรงอาศัยอยู่ในเขาผู้นั้นตลอดไป นี่ขบวนการที่เกิดขึ้น 1 ยอห์น 4:16 …

        1 ยอห์น 4:16 “เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้เราได้มารู้จักสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และได้เชื่อศรัทธาอย่างมั่นใจลึกซึ้งในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าเป็นความรักผู้ใดดำรงอาศัยอยู่ในความรัก ก็ดำรงอาศัยอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าดำรงอาศัยอยู่ภายในผู้นั้นตลอดเวลา”

            เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และพระเจ้าเข้ามาดำรงอยู่ในผู้นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ผู้นั้นหรือเราที่ได้เชื่อและได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้มารู้จัก สนิทสนม เป็นการส่วนตัวกับพระเจ้า

            รู้จัก ไม่ได้หมายถึงมารู้ว่าได้ยินเรื่องพระเจ้า เขาพูดกัน แล้วได้รู้จัก ไม่ใช่รู้จักอย่างนั้น

            รู้จักในที่นี้ หมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน การอยู่ด้วยกัน การเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน  ค่อยๆ ศึกษานิสัยใจคอ ได้มารู้จักสนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวเลย  และได้เชื่อศรัทธาอย่างมั่นใจ ลึกซึ้งในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา หมายถึงความเชื่อที่มันเกิดขึ้นจากการบังเกิดใหม่ เป็นความเชื่อที่เป็นของประทาน มันเกิดขึ้นมาในวิญญาณของเรา  ทันทีเลย เพราะเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีความเชื่อติดตัวมาเลย ความเชื่อที่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นความรัก เชื่อว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  เชื่อในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าบอกกับเรา

            ผู้ใดอาศัยดำรงอยู่ในความรัก ก็จะดำรงอาศัยอยู่ในพระเจ้า ก็จะรู้จักภายในว่าพระเจ้าเป็นความรัก และเราก็เป็นลูกแห่งความรักเหมือนพระเจ้า เราก็จะเริ่มต้นฝึกฝนการดำรงชีวิต จากความรักที่อยู่ภายใน  เพราะรู้ว่าพระเจ้าดำรงอยู่กับเราตลอดเวลานั่นเอง รู้จากภายใน 1 ยอห์น 4:17 …

        1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

            “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์นี้” ก็คือการบังเกิดใหม่ การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เกิดขบวนการนี้ขึ้นมา เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นส่วนหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์อะไรเกิดขึ้น ความรัก ที่ผมเน้น แปลให้ท่าน จากภาษาเดิม ความรักนี้ ไม่ใช่ความรัก “ฉันรู้สึกว่ารัก” ไม่ใช่ แต่เป็นความรักที่เป็น ไม่ใช่มีความรัก แต่เป็นความรัก คือวิญญาณเป็นความรักแบบพระเจ้า

            ความรักแบบอากาเป้ คือความรักที่เป็นแบบพระเจ้าเป็นอยู่ ไม่ใช่พระเจ้ามีความรักแบบอากาเป้  พระเจ้าทรงเป็นความรัก แบบอากาเป้  เราก็เป็นความรักแบบอากาเป้  ความรักแบบอากาเป้นี้จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในเรา  คือความรักที่สมบูรณ์ครบถ้วนบริบูรณ์ มนุษย์ไม่สามารถทำได้เลย จะรักขนาดไหน ไม่มีทางได้รักเท่านี้ เพราะนี่เป็นความรักของพระเจ้า ความรักแบบสมบูรณ์ ก็จะเกิดขึ้น คือเข้ามาอยู่ในตัวของผู้เชื่อ คือเป็นตัวตนของเรา  เป็นความรัก  เราจึงมีความมั่นใจในคำพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจ เต็มเปี่ยมล้น  เพราะวิญญาณ จิตใจของเรานั้น เป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์

            แปลตรงนี้ก่อน … “เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา” ก็คือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และอยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว ต้องลงบึงไฟนรก  ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลังความตาย ก็ถูกสำเร็จโทษ ถูกพิพากษาลงโทษให้ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้าตลอดไปชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าเปลี่ยนใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว  สิ่งนี้เกิดขึ้น ก็คือในใจเขาดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้  ก็ไม่กลัวการพิพากษาแล้ว ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวหลังความตายว่าจะเกิดอะไรขึ้น  เพราะมั่นใจ 100% ว่าหลังความตาย เราไม่ได้เป็นคนบาป เราไม่กลัวการพิพากษา เราหลุดพ้นจากการพิพากษาตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว พระคัมภีร์ตรงนี้จึงเขียนว่า ไม่กลัว เพราะว่าวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น เป็นวิญญาณและเป็นใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วไง บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราบริสุทธิ์และดีพร้อมแล้ว  ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตแบบผิดๆ ถูกๆ บ้าง ตกๆ หล่นๆ เดี๋ยวทำบาป เดี๋ยวทำดี เดี๋ยวทำไม่ดี แต่อยากจะบอกว่าจงมองให้เห็นเถิด ท่านเห็นตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ดี รู้สึกตัวเองยังทำไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าตัวเองยังทำบาปอยู่ มันเห็น มันรู้สึกได้ มันมองได้ ยังโกรธเขา ยังเกลียดเขา ยังอิจฉาเขา มองได้ รู้สึกได้ แต่จงมองให้เห็นเถิด ไปมองในสิ่งที่มองไม่เห็น ในโลกฝ่ายวิญญาณสิ จงมองให้เห็นเถิดว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ ความจริงจากพระเจ้า คือท่านหรือเรากำลังดำรงชีวิต อาศัยอยู่ในพระคริสต์ เราชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้วตลอดไป ไม่ว่าตาเราจะเห็นอะไรอย่างไรก็ตาม จงยอมรับด้วยความถ่อมใจ พระคัมภีร์บอกให้ถ่อมใจ นี่คือความถ่อมใจที่แท้จริง ถ่อมใจทำไม? รับความจริงจากพระเจ้า แม้จะไม่เข้าใจ แม้จะขัดแย้งกับความคิดและความรู้สึกของตนเองก็ตาม ขัดแย้งกับระบบของโลกนี้ ขัดแย้งกับบรรดาผู้คนรอบข้างที่เขาพูดว่าเราต่างๆ เหล่านั้น เพราะเขามองเห็นภายนอก ซึ่งเรียกว่าความถ่อมใจโดยแท้จริง ตามพระคัมภีร์บอก พระคัมภีร์บอกถ่อมใจ หมายถึงตรงนี้ คือถ่อมใจยอมรับความจริงจากพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าบอกว่า

            “มันเป็นอย่างนี้จริงๆ เธอชอบธรรม บริสุทธิ์และดีพร้อมแล้ว ก็รับไว้สิ”

            ไม่ใช่ความชอบธรรมแบบมนุษย์คิดเอง ตั้งขึ้นมาเอง ไปหาพระเจ้าทีหนึ่งต้องถ่อมใจนะ …

            “ลูกยังชั่วอยู่เลย ลูกไม่ดีพร้อมเลย ลูกยังอิจฉาริษยาเขาอยู่ ลูกยังทำบาปอยู่เลย ลูกสกปรก มีมลทิน โอ๊ย! พระเจ้าเมตตาลูกด้วยเถิด”

            หรือไม่ ก็คิดในใจว่า  … “โอ๊ย! เป็นไปไม่ได้หรอก เราจะชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์เป็นไปไม่ได้เลย เรายังทำบาปอยู่เลย  เรายังสกปรกอยู่เลย  ไม่มีทางที่จะชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่มีทางที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ได้  เป็นไปไม่ได้เลย  เป็นการลบหลู่พระเจ้ามาก”

            คิดอย่างนี้ คือคิดแบบมนุษย์ ซึ่งความคิดอย่างนี้  ความรู้สึกอย่างนี้ จะบอกให้ว่ามันเป็นอะไร? มันเท่ากับกำลังต่อต้าน ปฏิเสธความจริงในพระคริสต์ ถูกไหม? ก็ในเมื่อพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเองได้ตรัสความจริงของพระองค์ว่าเราเป็นอะไร? อย่างไรในพระคัมภีร์แล้ว แล้วเราบอกว่าเราไม่เป็น ด้วยความรู้สึกและความคิดของเราเอง

            ความจริงในพระคริสต์คืออะไร? ความจริงในพระคริสต์ คือท่านอยู่ในพระคริสต์เป็นชีวิตที่ทรงสร้างใหม่ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ทั้งกาย ใจ และวิญญาณทั้งหมด ใหม่ทั้งสิ้น สำเร็จ เสร็จสิ้นแล้ว  เหมือนตะกี้เราเริ่มต้น 2 โครินธ์ 5:17  ที่บอกว่า “จงมองให้เห็นเถิด ทั้งสิ้น เป็นใหม่หมดเลย”

            ทั้งสิ้น คือวิญญาณ จิตใจและร่างกายเป็นใหม่เอี่ยมเลย ใน 1 โครินธ์ 6:19-20 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่กับท่าน”

            ซ้ำ 2 ครั้งเลยนะ บอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ? ท่านไม่ยอมรับรู้หรือ? ท่านควรที่จะรู้นะว่าในโลกวิญญาณท่านเป็นอะไร? ท่านบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน  ถ้าท่านไม่สะอาด สกปรกอย่างที่ท่านคิดหรือรู้สึก พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ในท่านได้อย่างไร?  เป็นไปได้ไหม? พระเจ้าอยู่กับท่านไม่ได้หรอก ถ้าอย่างนั้น แต่นี่พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านจริงๆ”

            โรม 12:1 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 12:1 “พี่น้องเพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมความคิดและสติปัญญา (สมอง) ของท่าน ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่านแล้วด้วยพระคุณให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้) และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”

            “สมกับที่พระเจ้าได้ทำให้กับท่านแล้ว” ทำอะไร?  “ได้ทรงชำระท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้ และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า เอเมน”

            เชื่อไหม? ถ้าเชื่อ มันก็เป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ถ้าเชื่อ มันก็เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควรในวิญญาณของเรา เมื่อเรารู้ มันเป็นกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ที่ทำให้กับเรา ในวิญญาณของเรา ที่เราได้รับรู้ว่าเราได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณของพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริงนั่นเอง

            ท่านก็ต้องคิดแล้วว่าแล้วที่ทำผิด ทำบาปนั้นเป็นอะไร? อาจจะฝังไว้ตามความจริง พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? พระเจ้ารู้ว่าท่านจะคิดอะไร? ก็คือมนุษย์จะเป็นอย่างนี้บนโลกใบนี้  เพราะโลกใบนี้มีศัตรูที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่ คือระบบของโลกนี้ ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ที่ครอบงำโดยมารซาตาน เขาเรียกว่าความบาปและคำสาปแช่ง  กฎในระบบของโลกนี้ ที่มีอิทธิพลอยู่ คอยชักจูงและนำพาให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ส่วนที่ท่านทำบาปต่างๆ ที่ใจของท่านเหมือนพระเยซู ไม่ต้องการทำ ในพระคัมภีร์พูดอย่างนั้น ท่านไม่ต้องการทำนะ  แต่ที่ท่านทำ เพราะถูกหลอก ถูกอิทธิพลชักจูง ใจท่านไม่ต้องการทำ  แสดงว่ามันมีตัวกลางแอบซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นต้นเหตุ เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดของท่าน ที่อยู่บนโลกใบนี้  มันคอยชักจูงให้ท่านหลงเชื่อ ทำตามมัน “มัน” คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น คือระบบของโลก ฝ่ายโลก ซึ่งมันไม่ใช่ตัวท่านเอง  มันเป็นศัตรูอยู่ภายนอกร่างกาย ตัวตนของเรา มันคอยทำลายชีวิตเรา  โดยการชักจูงเรา ให้เราดื้อต่อพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในเรา ให้เราไม่เชื่อฟังต่อพระวิญญาณ ให้เราไม่สามารถที่จะทำตามความปรารถนาในใจของเรา  ที่ต้องการทำตามพระเจ้าผู้ทรงใส่ความปรารถนาในใจของเรา

            พูดง่ายๆ ว่าภายนอก ระบบของโลกนี้ ตามกาลาเทียบอกไว้ว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในเรา ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเรา 2 อันนี้เป็นศัตรูกัน มันไม่ได้เกี่ยวกับเรา เห็นชัดไหม? พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ ก็คือรับรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เพื่อที่จะฝึกฝน ดำเนินตามความจริงนี้  โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงที่อยู่ในใจของเรา ให้รู้ว่าที่พลาดไป เพราะถูกชักจูงให้ทำอย่างนี้นะ แต่ไม่ใช่ตัวเจ้าหรอก ที่อยากทำ มันหลอกลวง เพราะฉะนั้น มาพึ่งในพระวิญญาณ มาอธิษฐานของกำลังจากพระเจ้า และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ นำพาเราไป  อย่างนี้แหละ คือนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง คือการเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา … ความคิดของเราถูกชักจูงไปในทางระบบของโลกนี้ พลาดไปเมื่อไร พระวิญญาณค่อยๆ เตือนเรา แล้วก็ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดนั้นใหม่ ด้วยถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า  แล้วเราก็สามารถดำเนินชีวิตตามความคิดใหม่ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ อย่างนี้แหละเรียกว่านมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถวายแด่พระเจ้า ตรงนี้แหละ คือความถ่อมใจที่แท้จริง ใน 2 เปโตร 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:3 “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรม และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเรา ด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์)”

            “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ด้วยพลังอำนาจของพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า  ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา  ที่จำเป็นแล้ว”

            คนเอาไปใช้ผิด ที่จำเป็นแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เอาไปใช้ผิด …

            “ได้จัดเตรียมให้แก่เราแล้ว ในเรื่องโลกวัตถุ เราจะไม่ขัดสนเลย  เราไม่มีทางขัดสน ไม่มีทางยากจนเลย”

            ใครบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ไม่มีทางยากจน ยากจนได้ แต่เราพึงพอใจในสิ่งที่พระองค์ทรงนำ  เราเพียงพอในนั้น เราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสามารถพาเราผ่านไปได้ ในความทุกข์ยากลำบากนั้น ตรงนี้หมายถึงโลกวิญญาณ ได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว ในเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องโลกวัตถุ เราอ่านต่อไปชัดเจน

            “ได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นให้แก่เราแล้ว ในการมีชีวิตอยู่ที่ชอบธรรม” คือจัดเตรียมทุกสิ่งเกี่ยวกับโลกวิญญาณให้พร้อมเลย สำหรับเราที่ดำเนินชีวิต เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระเยซูแล้ว  ก็คือไม่มีบาปแล้ว เราพ้นจากบาปแล้ว บาปได้รับการชำระแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนนั้น ได้ตายเพื่อเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั้น พระโลหิตได้ชำระบาปให้กับเราทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตต่อไปนิรันดร์ นี่แหละคือความจำเป็นของเราในการเป็นผู้ชอบธรรม  ก็คือมีบาปไม่ได้เลย  เราไม่มีบาปแล้ว

            “อ้าว! ไม่มีบาปแล้ว ยังทำบาปอยู่”

            ก็ทำบาปนั้น พระโลหิตพระเยซูชำระให้ตั้งแต่อยู่บนไม้กางเขนแล้ว เพราะฉะนั้น มาทำบาปในอนาคต มันก็ถูกลบล้าง ออกไปหมด ด้วยการสิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  นี่คือความหมายเป็นอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า จากถ้อยพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ เพราะฉะนั้น เราไม่ขัดสน ไม่ขาดแคลนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นลูกพระเจ้าเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีขาดอะไรเลย แม้ว่าเราจะประพฤติบางอย่างไม่ถูกต้อง แม้ว่าเราทำบาปอยู่ แต่ขณะที่ทำไปนั้น มันได้ถูกลบออกไปหมดสิ้น ก่อนล่วงหน้า ตั้งแต่ในอดีตแล้ว เอเมน มันยากที่จะเข้าใจใช่ไหม? ผมเข้าใจนะ แต่จงมองให้เห็นเถิด แล้วค่อยๆ เรียนรู้จากความจริงในถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ

            “ได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้วในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า” เห็นไหม?

            “ดีได้อย่างไร? เมื่อวานยังโกหกอยู่เลย”

            มันไม่ใช่ท่าน และมันได้ถูกลบล้างด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านยังดีงามเหมือนพระเจ้าอยู่ในพระเยซูคริสต์ เอเมนไหม? ต้องเอเมนนะ เดี๋ยวออกไปข้างนอก มีคนมาเฉี่ยวรถเราอะไรต่างๆ เกิดหงุดหงิดขึ้นมา บาปไหม? บาป แต่ในขณะเดียวกัน ในจิตวิญญาณของเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม ดีงามเหมือนพระเจ้าแล้ว เอเมน

            บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม ในนี้บอกเหมือนพระเจ้า ผ่านทางอะไร? ผ่านทางความประพฤติของเราหรือ? ไม่ใช่ ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ในพระคริสต์  ก็คือผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์  เพราะฉะนั้น เราดีพร้อมเหมือนพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ทำให้กับเรา ไม่ใช่การประพฤติ การกระทำของเราเอง เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะอย่างนี้แหละ มั่นใจ เพราะว่าขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว  เราจึงไม่กลัวการพิพากษาหลังความตาย  เพราะเราก็อยู่ในสวรรค์แล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อยู่กับพระเจ้าตลอดไปนิรันดร์ 1 ยอห์น 4:18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:18 “ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไป จนหมดสิ้น”

            เมื่อเราเชื่อและเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรักแบบอากาเป้ ในความรักแบบอากาเป้นี้ ไม่มีความกลัว … ความกลัว หมายถึงไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเองว่าจะได้อยู่ในสวรรค์หลังความตาย ไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ ก็คือสมัยเราในอดีตที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ยังไม่เชื่อ วิญญาณเป็นบาปอยู่ เรารู้ตัวเอง จิตสำนึกเราบอกเองว่าเราต้องชดใช้หนี้ เวรกรรม ไม่รู้เมื่อไรจะหมดสิ้น นั่นแหละ คือความกลัว จะแสดงออก หรือไม่แสดงออกก็ตาม แต่พระคัมภีร์บอกว่าจิตใจของเราเต็มไปด้วยความบาป ความกลัว กลัวว่าตายแล้วจะไปไหน?  และกลัวว่าไปไม่รอดแน่ ไม่ได้อยู่ในสวรรค์แน่

            เพราะความกลัว ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิดว่าถูกตัดสินลงโทษ ในจิตใต้สำนึกบอกว่าเราเป็นคนบาป  เรายังไม่ได้เกิดใหม่ เรายังไม่ได้เชื่อพระเยซู ในจิตใจก็เต็มไปด้วยความกลัวว่าจะถูกตัดสิน เมื่อวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป  เราต้องชดใช้บาปเวรกรรม ดังนั้น พระคัมภีร์ตะกี้นี้จึงบอกว่าผู้ที่ยังอยู่ในความกลัว ผู้ที่กลัวอย่างนี้  คือไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวถูกพิพากษาในวันพิพากษา กลัวถูกลงโทษสำเร็จโทษในวันพิพากษา หลังความตายนั้น ก็คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก แบบอากาเป้ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา ก็คือผู้ที่ยังไม่เกิดใหม่ วิญญาณยังไม่ได้เป็นความรัก วิญญาณยังเป็นความเกลียดชัง อยู่ในความมืด เป็นวิญญาณบาปอยู่ เขาก็กลัวสิ

            เมื่อไม่บังเกิดใหม่ ก็กลัว เพราะรู้ว่าต้องไปชดใช้เวรกรรมในอนาคต หลังความตาย แต่ก็ยังมีผู้ที่ถูกหลอก ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เรื่องจริง คือวิญญาณและจิตใจ ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว หลังความตาย เขาไม่ได้รับการพิพากษาใดๆ เลย เขาได้รับความรอดแล้ว  แต่เขาไม่รู้ เขานึกว่าเขาต้องพึ่งการกระทำของตนเอง ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนตาย เพราะฉะนั้น จึงเกิดความกลัวอยู่ ทั้งๆ ที่ความรักแบบอากาเป้อยู่ภายในวิญญาณของเขาแล้ว เขาเป็นแล้ว  แต่เขาไม่รู้ความจริง จากถ้อยคำของพระเจ้านั่นเอง เขาก็อยู่ด้วยความกลัว ทั้งๆ ที่เขาได้รอดแล้ว ก็มีอยู่เหมือนกัน ก็ไม่มีสันติสุขในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ไม่เกิดความปิติยินดี ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตไปแบบกลัวๆ

            กลัวว่าหลังความตายจะไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า หลังความตายจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ หลังความตายจะอยู่ในสวรรค์แบบครึ่งๆ กลางๆ หลังความตายอาจจะต้องถูกพิพากษา ได้รับรางวัลน้อย หลังความตายอาจจะได้แมนชั่นห้องเล็กๆ เอง ไม่ได้ห้องใหญ่ มันไม่ใช่เลย มันได้เท่ากันทุกคน 1 ยอห์น 4:19-21 …

        1 ยอห์น 4:19-21 “19 เรารัก ก็เพราะพระองค์ได้รักเราก่อน 20 ถ้าผู้ใดกล่าวว่าข้าพเจ้ารักพระเจ้า แต่ก็ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นเป็นคนโกหก ด้วยว่าผู้ไม่รักพี่น้องที่ตนมองเห็น ผู้นั้นก็ไม่สามารถรักพระเจ้าที่ตนไม่เคยเห็นได้ 21 และเราได้ข้อบัญญัติที่มาจากพระองค์ คือผู้ใดที่รักพระเจ้า ก็ต้องรักพี่น้องของตนด้วย”

            ชัดเจน  เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ก็คือเราเป็นความรักได้ ก็เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก และรักเราก่อน ก็คือมอบพระเยซูคริสต์ให้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเรา  จะได้บังเกิดใหม่ เป็นความรัก พอเราเป็นความรักเหมือนพระองค์ เราก็เลยสามารถที่จะรักพระองค์ได้ พอเข้าใจใช่ไหม? ถ้าเราไม่ได้บังเกิดใหม่เป็นความรักเหมือนพระองค์ เรารักพระเจ้า ไม่มีทางได้หรอก เราจะเกลียดพระเจ้าด้วยซ้ำไป เราไม่ชอบพระเจ้า อย่ามาพูดถึงเรื่องพระเจ้า อย่าพูดถึงเรื่องพระเยซูคริสต์เลย  เพราะว่าไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร? ไม่รู้

            “ฉันไม่เคยทำอะไรให้เธอเลย”

            “ไม่รู้ ฉันไม่ชอบชื่อนี้”

            ก็เพราะข้างในยังไม่ได้เป็นความรักแบบอากาเป้ ยังไม่ได้เกิดใหม่ พิสูจน์ได้ ก็คือเมื่อคนที่บังเกิดใหม่และเป็นความรักแล้ว เขาจะรักจากภายใน  แตกต่างจากเมื่อตะกี้นี้ที่เกลียดจากภายใน เขาจะรักจากภายใน เห็นชัดเจนเลย ได้ด้วยวิธีใด? พิสูจน์ด้วยวิธีใด?  ก็คือเขาจะรักพระเจ้า แล้วรักพระเจ้าไม่พอ เห็นชัดเจน คือเขาจะรักคริสเตียนด้วยกัน  เขาจะรักมนุษย์ทั้งหมดเลย จากวิญญาณข้างในเขา เขาจะรักมนุษย์ และรักคริสเตียนด้วยกัน เพราะเขาเป็นความรักจากข้างใน

            นี่คือการสามารถมองเห็น ได้ว่าเราเป็นผู้ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ หรือไม่? สังเกตตัวเอง ก็รู้ พอเรารู้ว่าคนนี้เป็นคริสเตียน เราดีใจแทบตาย ดีใจมากเลย ใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักกัน แต่เรารู้ว่าเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราดีใจมาก เราไปเจอคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  เราก็อยากจะอธิษฐานให้เขา อยากให้เขารู้จักพระเจ้า เราก็เป็นพยาน พูดคุย แล้วก็ถูกต่อต้าน ถูกด่า ถูกอะไรต่างๆ ถูกดูถูกบ้าง เราก็อดทนเอา เราอยากจะให้เขาเชื่อ อยากจะให้เขารู้จัก จริงหรือไม่จริง พิสูจน์ได้อย่างนี้  เพราะว่าความรักตรงนี้มันบังเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา มันจึงเป็นของประทานจากพระเจ้า ใส่เข้ามาในวิญญาณเราที่บังเกิดใหม่  และพระเจ้าให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยใช้ใจเดิน โดยดำเนินชีวิตด้วยวิญญาณ ด้วยจิตใจ ทำอะไรก็ทำมาจากใจ ก็คือทำจากวิญญาณตรงนี้ ซึ่งเป็นความรัก เป็นของประทานจากพระเจ้า ซึ่งท่านจะมีลักษณะอย่างนี้ ท่านจะเห็นชัดเลยว่านี่คืออาการของวิญญาณแห่งความรัก แบบอากาเป้ที่จะสำแดงออกมา เป็นการกระทำบนโลกใบนี้ 1 โครินธ์ 13:4-8 …

        1 โครินธ์ 13:4-8 “4 ความรักเป็นการอดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักเป็นการไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6 ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักเป็นการทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”

            พระองค์ต้องการให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ในวิญญาณเราเป็นอย่างไร? ตัวจริงๆ ของเราเป็นใคร? รับรู้ความจริงนี้ แล้วซึมซับรับเอาความรักของพระเจ้า ตรงนี้ ที่พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา ภายในวิญญาณของเรา และฝึกฝน โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ที่จะยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว ในร่างกายของเรา ให้พระเจ้าใช้เป็นเครื่องมือ ปลดปล่อยจากวิญญาณในใจของเรา สำแดงออกมาเป็นการกระทำภายนอก ฝึกฝน บางครั้งมันก็ไม่ได้ ผิดพลาดบ้าง เขาถึงเรียกฝึกฝน พระเจ้าถึงบอกว่าให้พระวิญญาณฝึกเรา  บางทีมันพลาดบ้าง ก็อย่าไปสนใจมันมากนัก ให้มอง เพ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ เพ่งไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เป็นพี่เลี้ยงเรา ที่อยู่ภายใน และให้เรามั่นใจในการเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ก่อนเชื่อ … เป็นลูกน้อยหลงทางพินาศอยู่ในโลกอันชั่วร้าย

            หลังเชื่อ … ได้กลับสู่สวรรค์บ้านของพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ แล้วทันที

            พระเยซูอธิบายให้ฟังว่าพระเจ้าเป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความรักมวลมนุษย์ทั้งหลาย ดังแก้วตาดวงใจ เป็นพ่อที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา อภัยให้ลูกๆ เสมอ ไม่ว่าจะความผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม

            ลูกา 15:3-10 … “พระเยซูจึงตรัสคำอุปมาให้พวกเขาฟังว่า “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัวและตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้น จนกว่าจะพบหรือ? เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดี และกลับบ้าน จากนั้น เขาก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านว่าทำนองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีในคนบาปคนหนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่าในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน ซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่” “หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ? และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียวซึ่งกลับใจใหม่”

            ลูกา 15:11-24 …  “คำอุปมาเรื่องบุตรที่หลงหาย 11 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน 12 บุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอยกสมบัติส่วนของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’ ดังนั้น บิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตนให้บุตรทั้งสอง 13 “ต่อมาไม่นาน บุตรชายคนเล็กนี้ก็รวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนแล้วไปเมืองไกล และผลาญทรัพย์ของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล 14 พอเขาหมดตัว ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน 15 ดังนั้น เขาจึงไปรับจ้างชาวเมืองคนหนึ่ง และคนนั้นใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกิน แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน 17 “เมื่อเขาคิดขึ้นได้จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่เรากำลังจะอดตาย! 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเราและกล่าวกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชายแล้วสวมกอดและจูบเขา 21 “เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้วและได้พบกันอีก’ ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”

            พระเจ้าเป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ที่เตรียมแผนการดีดีสิ่งดีดีให้กับมวลมนุษย์ ที่ตัดสินใจ กลับสู่สวรรค์บ้านของพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ผ่านทางความเชื่อในพระคริสต์ เพราะรักมนุษย์ยิ่งนัก

            พระเจ้าอวยพรครับ