วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1504

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มกราคม  2025

เรื่อง “เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา … เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ ชื่อเรื่องพิเศษหน่อย เป็นวันเริ่มต้นปีนี้ ก็ทำให้มันพิเศษ เป็นจุดเริ่มต้นดี ใช้ชื่อเรื่องว่า “เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา … เราเผชิญพรุ่งนี้ได้” โลกเราทุกวันนี้ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทางด้านวัตถุแบบก้าวกระโดด รวดเร็วมาก เผลอแป๊บเดียว ตามเขาไม่ทันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร แต่ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นนี้ ก็กำลังย้อนกลับมาสร้างปัญหาอันใหญ่โตให้กับมวลมนุษย์บนโลกใบนี้ เราจะเห็นชัดเจน ที่เราคุยกันมาตลอดว่ามีอยู่ 2 โลก ในโลกวิญญาณเอย ในโลกวัตถุเอย แต่ยุคปัจจุบันนี้ ต้องเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง โลก เขาเรียกว่าไซเบอร์ หรือโลกออนไลน์ คือโลกที่มองไม่เห็น  แต่มีอยู่จริง และเรามีชีวิตอยู่ในนั้น

            ออนไลน์ คือพวกคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย  หรือเรียกว่าหุ่นยนต์ก็ได้  โลกออนไลน์นี่แหละที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมโลกมนุษย์ทุกวันนี้ ทุกแห่งในปัจจุบัน มันไปถึงหมดเลย ครอบคลุมโลกใบนี้หมด  แล้วน่ากลัวที่สุด คือกระทบถึงเด็กรุ่นใหม่ เด็กเยาวชนที่เริ่มเกิดใหม่ แล้วอยู่กับ 3 โลกนี้ อย่างพวกเราอายุมากแล้ว ก็ตามไม่ทัน ก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว ก็ได้สัมผัสถึงโลกไซเบอร์ โลกออนไลน์นี้บ้าง แต่เด็กๆ เขาต้องอยู่กับโลกไซเบอร์นี้ ตั้งแต่เล็กเลย แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น

            จากรายงานสถิติออนไลน์ทั่วโลก พบว่าเด็กมากกว่า 300 ล้านคนได้ตกเป็นเหยื่อของการแสวงหาผลประโยชน์ทางออนไลน์ทุกปี ซึ่งรวมถึงการเผยแพร่ภาพหรือวีดีโอ โดยไม่ได้รับความยินยอม การถูกล่อลวงทางออนไลน์  และการกระทำอื่นๆ เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ในการหลอกลวง  AI ก็คือปัญญาประดิษฐ์ พูดง่ายๆ คือหุ่นยนต์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เอาไปใช้ในสิ่งที่ดี มันก็ดี มีประโยชน์ แต่เอาไปใช้เป็นโทษ มันก็เพิ่มโทษ เพิ่มความร้ายกาจของมนุษย์มากยิ่งขึ้น  ให้มนุษย์มีการทำร้าย ทำลาย ทำชั่วเยอะขึ้นนั่นเอง

            นอกจากงานวิจัยที่ออกมารายงานแล้วว่าการใช้โซเซียลมีเดีย การสื่อสารออนไลน์มากเกินไป การใช้เรื่องราวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไซเบอร์เหล่านี้มากเกินไป ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพทางร่างกายและจิตใจของเด็กด้วย เพราะฉะนั้น เด็กตอนนี้เขาจะมีหน่วยงานที่มาคุ้มครอง ดูแลเรื่องนี้ เขาก็แนะนำให้พ่อแม่ระวัง ควบคุมดูแล ให้ตั้งแต่ทารก ตั้งแต่เด็กๆ เริ่มต้นเรียนรู้จักการใช้สื่อออนไลน์ มือถือ ไอแพค ไอโฟน หรือแม้กระทั่งในทีวีตอนนี้ เป็นแบบไซเบอร์ก็มีให้จำกัดเวลา ให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ บางราย บางสถาบันเขาถึงขนาดแนะนำว่าเด็กตั้งแต่คลอดจนถึง 3, 4 ขวบ ไม่ให้เสพออนไลน์เหล่านี้เลย  ไม่ให้ดูจอเลย  ให้เลี้ยงดูแบบธรรมชาติเหมือนเดิม แล้วค่อยๆ ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ สอนให้เขาได้เรียนรู้ เมื่อเขาโตขึ้น อาจจะ 6, 7 ขวบ หรืออะไรก็ตาม

            ล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ออสเตรเลียได้ประกาศ เป็นประเทศแรกได้ผ่านร่างกฎหมายควบคุมเข้าถึงโซเซียลของเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี หมายถึงให้เหตุผลว่าโซเซียลมีเดียเป็นอันตรายต่อลูกหลานของเรา และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องยุติมัน  คือกฎหมายนี้ออกมา ไม่ให้เด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เปิดบัญชีเข้าไปใช้ เข้าเป็นบุคคลหนึ่งในโลกของไซเบอร์  ในโลกของวิญญาณที่เป็นไซเบอร์ ที่บอกว่าเป็นวิญญาณ คือมันมองไม่เห็น มันมีอยู่จริง ก็คือไปเป็นสมาชิก เป็นตัวตนคนหนึ่งในเฟสบุ๊คบ้าง ในยูทูปบ้าง ในออนไลน์อะไรต่างๆ ไม่ให้เลย มันต้องมี ID ต้องเป็นสมาชิก ก็คือเป็นบุคคลคนหนึ่งอยู่ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ที่เรียกว่าไซเบอร์นี้

            ที่พูดถึงข่าวนี้ขึ้นมา เพื่อย้ำให้เราเห็นถึงถ้อยคำพระเจ้าที่ว่าอยู่บนโลกนี้ เราต้องเผชิญกับการหลอกล่อ หลอกลวงของมาร มาทุกรูปแบบ ในพระคัมภีร์หมายถึงถูกล่อลวง โดยมารซาตาน ผ่านทางมนุษย์บนโลกใบนี้นั่นเอง ไม่ใช่เป็นผีอะไรที่ไหนหรอก คือวิญญาณเหล่านี้ ที่มีหัวหน้าเป็นมาร ทำงานผ่านระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกคน ผ่านทางอิทธิพลของมันที่อยู่บนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือการถูกหลอก ถูกล่อ ถูกลวงด้วยระบบของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มารเป็นผู้วางระบบไว้ว่าโลกใบนี้มันเป็นอย่างนี้ๆ ต้องแข่งกัน ต้องทำร้ายกัน ต้องเห็นแก่ตัวอะไรต่างๆ เหล่านี้ โดยผ่านทางมนุษย์

            เพราะฉะนั้น การถูกหลอกโดยมาร ก็คือผ่านทางมนุษย์ มนุษย์มาหลอกเราอีกที แล้วก็ใช้ไซเบอร์เหล่านี้ ใช้ออนไลน์เหล่านี้  ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการมาหลอก ในยุคปัจจุบัน คือเทคโนโลยีของ AI คือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ เหมือนหุ่นยนต์ เอาหุ่นยนต์มาใช้งาน ไปหลอกเขา นึกออกใช่ไหมว่ามันหนักขนาดไหน? แล้วชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงแค่นี้อย่างเดียว  แต่ยังพูดถึงความทุกข์ลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องผจญกับอะไร? ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทุกคน โรคภัยไข้เจ็บ ก็เยอะแยะมากมายไปหมด อะไรแปลกๆ ก็เข้ามาเยอะแยะไปหมด และไหนจะอุบัติเหตุที่แบบแปลกๆ ก็มี การล่อลวงของระบบของโลกใบนี้ โดยผ่านทางมนุษย์ ที่บอกไปเมื่อสักครู่นี้ ไหนจะเรื่องการทำมาหากิน เรื่องปากท้อง ลำบากขึ้นทุกวัน ภัยธรรมชาติอีก อันตรายที่เกิดจากมนุษย์ทำร้ายกันเอง หรือเกิดสงคราม ขัดแย้งกันเอง และเป็นผลพวงทำให้คนที่ไม่ได้ขัดแย้งก็ทุกข์ไปด้วย เหล่านี้ มันเกิดขึ้น ณ โลกใบนี้ในปัจจุบัน อย่างเห็นได้ชัด

            แล้วเราถามตัวเราเองสิว่าแล้วใครเล่าจะช่วยเราได้  กฎหมายที่ออกมาจะช่วยเราได้แค่ไหน?  บอกว่าประเทศออสเตรเลียประกาศกฎหมายนี้ออกมาแล้ว จะช่วยเด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ได้มากน้อยเพียงใด? ถ้าเป็นลูกหลานของเรา จะช่วยเขาได้อย่างไร? มากน้อยเพียงใด? ในอนาคตอันใกล้นี้ ลูกหลานของเรา ต้องเผชิญกับสิ่งที่เราพูดมาเมื่อสักครู่นี้ ทั้งหมด มากขึ้นเรื่อยๆ เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากกับโลกใบนี้ที่เกิดขึ้นได้อย่างน่ากลัวที่สุดเลย แล้วเรารู้สึกกังวลหรือเป็นห่วงไหม?  เราดูลูกหลานของเรา เป็นห่วงไหม? อายุ 1 ขวบ 2 ขวบ 3 ขวบ เจริญเติบโตมาอยู่ในท่ามกลางที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ แล้วมันจะหนักขึ้นทุกวัน หลอกล่อ หลอกลวง ไม่ว่าคนแก่ คนเฒ่า คนหนุ่ม คนสาว ถูกหลอกหมดเลย  เรากังวลไหม? เรามีความรู้สึกไหมว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร?  ใครคือคำตอบของเรา

            หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ก็คือคำตอบที่ถามมาเมื่อสักครู่นี้ว่าใครเล่าจะช่วยเราได้ พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้  ลูกหลานของเราเผชิญพรุ่งนี้ได้ เพราะว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเขาทั้งหลาย

            เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา นำทางเรา เราจึงเผชิญทุกสิ่งได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง นี่คือความจริงที่จะมาเปิดเผยจากถ้อยคำพระเจ้า ในเช้าวันนี้  เพื่อเป็นเครื่องมือ เป็นกำลัง เป็นสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้กับเราทั้งหลายในยุคนี้ ในวันปีใหม่นี้ เราจะเริ่มต้นจากมัทธิว 28:18-20 ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างนี้ …

        มัทธิว 28:18-20 “18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น ในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน”

            เรามาเจาะลึกกันดูว่าหมายถึงอะไร? เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อชำระบาปและช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากการเป็นคนบาป  และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ พระองค์ก็ปรากฎตัวของพระองค์ในลักษณะของกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย ปรากฏให้กับสาวก 40 วัน เดินกับสาวก 40 วัน ให้สาวกจับ แตะเนื้อต้องตัว ทานอาหารกับสาวก พูดคุยกับสาวก เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พระองค์ทรงบอกไว้ให้วางใจในพระองค์  พระองค์เป็นพระเมซีฮาห์ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปนั้น เป็นจริง พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ พอครบ 40 วัน พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เข้าไปในโลกวิญญาณ  แล้วก็ให้สาวกออกไปประกาศ  ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้

            ข้อ 18 “พระเยซูทรงเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” กำลังจะขึ้นไปบนสวรรค์ ลอยขึ้นไป จากนี้ต่อไป พวกสาวกที่เชื่อในพระองค์ จะไม่เห็นพระองค์แล้วนะ จะต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อแล้วนะ จะต้องใช้วิญญาณเดินแล้วนะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงพูดนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีการปรากฎตัวอีกแล้วนะ ต้องใช้ความเชื่อเอา สิ่งที่พระองค์ทรงพูดจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเลย  เพราะจะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของเหล่าสาวกทั้งหลาย พระองค์บอกเลยว่าสิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกที่มองเห็น หรือโลกที่มองไม่เห็น ทั้งหมดเลย ได้ถูกมอบไว้ที่พระองค์แล้ว ใครมอบ แน่นอน ก็ต้องเป็นพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าพระบิดาได้มอบสิทธิที่มองเห็น ทั้งในโลกที่มองไม่เห็น อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าอยู่ที่ไหนพระเยซูคริสต์ ลอยขึ้นไปอยู่ในสวรรคสถาน นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

            การที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวา ก็หมายถึงสิทธิอำนาจทั้งหมดของพระเจ้า พระบิดาที่ครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ และโลกที่มองไม่เห็นทั้งหมดนั้น ได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้สำเร็จราชการ พูดง่ายๆ  เป็นผู้ใช้อำนาจนี้ทั้งหมดเลย อยู่ที่พระองค์ผู้เดียว ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย แล้วพระคัมภีร์ยังบันทึกไว้ เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ ที่เป็นสาวก ที่พระองค์กำลังพูดกับสาวกเหล่านี้  สาวกของพระองค์ หรือผู้ที่เชื่อของพระองค์เหล่านี้  ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานด้วย แม้จะมองไม่เห็น แต่นี่เป็นความจริง พระเยซูกำลังจะพูดอย่างนั้น

            ในข้อ 19 “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            รับบัพติศมา คืออะไร? เราเรียนรู้ไปแล้วว่ารับบัพติศมา หมายถึงจุ่มลงไป ไปเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ จุ่มเข้าไป ใส่เข้าไป ใส่วิญญาณของเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ใน 1 โครินธ์ 6:17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:17 “ผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (บัพติศมาในพระคริสต์) ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์”

            พูดง่ายๆ ก็คือผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้เชื่อที่ได้รับบัพติศมาในพระคริสต์ ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์

            บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้หมายถึงบัพติศมาในน้ำเพียงอย่างเดียว แต่เล็งไปถึงโลกวิญญาณว่าบัพติศมาในพระคริสต์ คือวิญญาณเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เน้นถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ่ง ระหว่างผู้ที่เชื่อในพระองค์ คริสเตียนและพระเจ้า ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคของพระเจ้า  ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายความว่าเราได้อยู่ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดแล้ว  ไม่มีใกล้ชิดได้กว่านี้อีกแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า สถานะที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ชั่วนิรันดร์ จะอยู่อย่างนี้ อยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์

            ในข้อที่ 20 “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้”

            สอนผู้เชื่อให้ถือรักษาสิ่งสารพัด สิ่งสารพัดที่พระองค์ทรงสั่ง คืออะไร? ใครจำได้บ้าง? สอนผู้เชื่อให้วางใจในพระองค์และรักซึ่งกันและกัน ก็คือบัญญัติที่พระองค์ทรงให้ไว้ ที่เราได้เรียนรู้มา ที่พระองค์ทรงบอกว่า

            “นี่คือบัญญัติที่เราให้กับพวกเจ้าทั้งหลายและสาวกของเราทั้งหลายทุกคน ก็คือจงวางใจในเรา และดำเนินชีวิตด้วยความรัก คือรักซึ่งกันและกัน”

            พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อ นี่กำลังพูดกับคนที่เชื่อแล้วแต่ละคนเลยว่าให้วางใจในพระองค์และรักซึ่งกันและกัน และที่สำคัญกว่านั้น พระองค์ตรัสไว้ตอนท้ายสุดของข้อนี้ว่า “ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน” หมายถึงพูดกับคนที่เชื่อในพระองค์  คือสาวกของพระองค์ คือคริสเตียนแต่ละคน ไม่ใช่พูดถึงรวมนะ แต่กำลังพูดกับท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว พูดว่าอย่างไร? …

            “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน”

            ซึ่งตัวนี้สามารถแปลได้ในพระคัมภีร์ใหม่ว่า “อยู่ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเยซูตรัสกับท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ตั้งแต่วันโน้น  จนถึงวันนี้ ก็ได้ตรัสว่า “จงมองให้เห็นเถิด” เพราะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น เพราะฉะนั้น จึงบอกคริสเตียนว่าท่านทั้งหลาย ควรจะมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ คือให้รับรู้เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ รับรู้ว่าอย่างไร? จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่ในท่าน อยู่กับท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก

            คำว่า “จนกว่าจะสิ้นโลก” หมายถึงจนกว่าพระองค์จะกลับมาใหม่  เพื่อพิพากษาโลกนี้ จนกว่าวันที่โลกนี้ ถูกกำหนดไว้ ที่ถูกพิพากษาไปแล้ว ให้จบลง ให้สิ้นสุดลง เพื่อพระเจ้าจะได้สร้างโลกใหม่ให้กับพวกเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ครอบครองต่อไป จนกว่าถึงวันนั้น เราอยู่กับท่าน หมายถึงอยู่กับ คริสเตียนผู้เชื่อในยุคไหนก็ตาม  ไม่ว่าจะ 2,000 ปีที่แล้ว  พระองค์ก็อยู่ในผู้เชื่อตลอดเวลาเสมอไป คือต่อให้ผู้เชื่อที่จะมาเชื่อ ในวันพรุ่งนี้ หรือปีหน้า หรืออีก 10 ปีหน้า หรืออีก 100 ปีหน้า ถ้าพระเยซูยังไม่กลับมาใหม่ ยังไม่สิ้นโลก เขาผู้นั้นที่เป็นคริสเตียน ที่เป็นผู้เชื่อนั้น พระเยซูก็สัญญาว่าพอเขาเชื่อปั๊บ พระเยซูก็จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาตลอดเวลา

            “พระเยซูตรัสว่าจงมองให้เห็นเถิด  เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พูดกับเราทุกคนแต่ละคน เป็นส่วนตัวเลย พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ จึงเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ในพันธสัญญาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ และกระทำสำเร็จแล้ว ในโลกมนุษย์ เรียกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ซึ่งแสดงถึงความลึกซึ้ง ในความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เหมือนที่พระเยซูได้ยกอุปมาว่าสนิทสนมกัน เหมือนเราเป็นกิ่งก้านขององุ่น แล้วพระองค์เป็นลำต้น ต่อกันสนิทอย่างนั้น เหมือนกับที่พระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอกว่าเราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซู ซึ่งพระเยซูเป็นศีรษะ เราเป็นส่วนหนึ่งในร่างของพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันขนาดไหน? แล้วถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าขณะนี้มันเป็นอย่างนี้ในวิญญาณภายในของเรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้วิญญาณของเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไร?  ก็โดยความเชื่อ  เพราะสิ่งเหล่านี้เราได้มาโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติ ใน 2 โครินธ์ 13:5 ได้บอกถึงวิธีทดสอบดูว่าท่านรู้ได้อย่างไร? ดูสิว่าอาจารย์เปาโลว่าอย่างไร? …

        2 โครินธ์ 13:5 “จงสำรวจตนเองว่าท่านตั้งมั่นในความเชื่อหรือไม่ จงทดสอบตัวเอง ท่านไม่รู้ (ไม่เห็น) หรือว่าพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในตัวท่าน แน่นอนนอกจากว่าท่านไม่ผ่านการทดสอบ”

            ถ้าท่านผ่านการทดสอบ ก็หมายถึงท่านเชื่อ ท่านรู้และเห็นว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวท่านนั่นเอง คำว่า “ท่านไม่รู้” ก็คือ “ท่านไม่เห็นเหรอ” “ไม่รู้เหรอ” มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ หรือว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่าน ก็พระองค์บอกว่าจงมองให้เห็นเถิด เพราะว่ามันอยู่ในโลกวิญญาณ เราอยู่ในท่านที่เป็นความจริง แต่ท่านสามารถทดสอบได้ว่าท่านมีความเชื่อหรือไม่? ก็คือท่านเห็นไหม? ท่านรู้ไหมว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่านจริงๆ ความจริงนี้ท่านรับรู้หรือไม่? สำรวจตัวเองว่าเราได้เชื่อในข่าวดีจริงๆ หรือเปล่า? ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์ขณะนี้แล้วจริงๆ หรือไม่? ด้วยวิธีการ คือเห็นไหม? รู้ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา  และพิสูจน์ตอนไหน? ทั้งตอนมีความสุขและมีความทุกข์ แน่นอนท่านก็รู้อยู่แล้วว่าตอนไหน? ทดสอบง่ายกว่ากัน

            ก็คือเมื่อเผชิญกับการทดลองต่างๆ การทดลองความเชื่อว่าตอนนี้ท่านรู้ไหม? ท่านเห็นไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่กับท่าน ทดลองอย่างไร? เมื่อยามเราทุกข์ เมื่อยามเราเจ็บป่วยในร่างกาย เมื่อยามเราวิตกกังวล อยู่ในความเครียด ในการทำมาหากินฝืดเคือง ที่ดูเหมือนยากขึ้นทุกวัน ทุกข์มากขึ้นทุกวัน ความขัดแย้งในสังคม ในครอบครัว  เมื่อยามพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อยามวันคืนแห่งความเหนื่อยล้า ในการดำเนินชีวิตอยู่ในแต่ละวันบนโลกนี้ กลับไปถึงบ้าน ก่อนนอน ลำบาก เหนื่อยเหลือเกินพ่อ หรือในแต่ละวันต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ของระบบของโลกนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาป ซึ่งมีอิทธิพลชักจูงให้เราทำบาป กระทำในสิ่งที่วิญญาณและจิตใจไม่อยาก ไม่ต้องการจะทำเลย โกรธ หงุดหงิด กลัว เราไม่อยากกลัว แต่มันก็กลัว เราไม่อยากหงุดหงิด แต่มันก็ทำไปแล้ว เราไม่อยากทำอย่างนี้เลย แต่มันก็ทำไปแล้ว อธิษฐานก็อธิษฐานไม่ออก เราอยากจะร้องเพลง ก็ร้องเพลงไม่ได้ เราอยากมาโบสถ์ แต่เราก็ขี้เกียจ

            ทั้งในยามทุกข์และยามสุข  เราทดสอบตัวเราเองว่าฉันยังรับรู้ ยังเห็นอยู่ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ภายในฉัน ท่านยังรับรู้ ยังเห็นอยู่ไหมว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่าน ตอนที่ท่านเจ็บปวด เจ็บป่วย ตอนที่ท่านกระทำในสิ่งที่ท่านไม่อยากทำ แล้วก็ทำไปแล้ว แล้วก็บอกว่าจะไม่ทำอีก แต่มันก็ทำอีกจนได้ วนเวียนอยู่นั่นแหละ ท่านเหนื่อย ตอนนั้น ตอนที่ท่านทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ ตอนที่ท่านอธิษฐานไม่ออก ตอนที่ท่านเจ็บปวด เจ็บป่วย แล้วบอกพระเจ้าอยู่ไหน? ปากบอกว่าพระเจ้าอยู่ไหน? แต่ใจจริงของท่านทั้งๆ ที่รู้ใช่ไหมว่าพระคริสต์ พระเจ้าสถิตอยู่ภายในท่าน นั่นแหละ คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าท่านเชื่อหรือไม่? ท่านเชื่อจริง มันจะออกมาอย่างนี้แหละ  มันจะออกมาขัดแย้งกับความคิด ความรู้สึก คำพูด กิริยาท่าทาง พูดง่ายๆ ว่าทั้งๆ ที่รู้ว่า …

            “พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ แต่ฉันก็อดที่จะพูด หรือคิดไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน?  ขณะที่ลูกเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน พระเจ้าอยู่ไหน?  ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานสักที พระเจ้าทอดทิ้งแล้วหรือ?”

            มันไม่ได้หมายความว่าเรามีจิตใจที่ไม่เชื่อ ในใจยังเชื่ออยู่ แต่เราอ่อนแอเกินไป ที่จะดำเนินกิริยาท่าทางต่างๆ ให้เป็นไปกับความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเอง เรายังเชื่อพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ตาฝ่ายวิญญาณของเรา ยังเห็นพระเจ้าอยู่ ถ้าทดสอบดู ยังเห็นอยู่ไหม? ถ้ายังเห็นอยู่ เราทดสอบ เราผ่าน แต่ถ้าเราบอกพระเจ้าอยู่ที่ไหน? แล้วไม่เห็นเลย ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้เลยว่าพระเจ้าอยู่กับเรา อย่างนี้เขาเรียกว่าสอบไม่ผ่าน

            การทดสอบตนเองในบริบทของ 2 โครินธ์ 13:5 ที่เรากำลังพูดถึง ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นการผ่านการทดลองในการทุกข์ยากลำบาก เพื่อพิสูจน์ ยืนยันความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ความเชื่อของเรา เพราะว่าความเชื่อของเราเป็นของประทานจากพระเจ้า แต่เป็นการตรวจสอบภายใน เพื่อยืนยัน ย้ำเตือนให้เรารู้ และเห็นความจริงว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้วจริงๆ เป็นการยืนยันว่าเรารู้

            ความเชื่อของเราไม่อยู่กับการผ่านการทดสอบความเชื่อหรือไม่?  อย่างที่ตะกี้บอก การทดสอบเราอาจจะไม่ผ่าน  แต่เรารู้อยู่ข้างในว่าพระคริสต์สถิตอยู่กับเรา การผ่านการทดสอบหรือไม่? หรือท่าทีต่อการตอบสนองต่อการทุกข์ยากลำบากจะเป็นอย่างไร? ผ่านหรือไม่ผ่านนั้น ไม่สำคัญ  คือพูดง่ายๆ ความประพฤติไม่สำคัญ  การมีปฏิกิริยาอะไรออกมาทางร่างกาย มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนั้น แต่มันขึ้นอยู่กับการยอมรับ และการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ในการงานของพระองค์ที่ทำที่ไม้กางเขน ตรงนี้มากกว่า และก็รู้ว่าความเชื่อที่เราบังเกิดใหม่ต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นของประทาน ไม่ใช่ตัวเราเอง โอ้อวดตัวเราเอง ตัวเราเองอาจจะอ่อนแอ แต่ความเชื่อที่เท่าเมล็ดมัสตาร์ดอยู่ข้างใน ซึ่งมันจะเกิดผลอย่างมากมาย ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันเป็นเพียงเครื่องที่สามารถเป็นโอกาสที่พระเจ้าจะใช้ให้เราเติบโตในความเชื่อ และพึ่งพาพระเจ้าได้มากขึ้น ฝึกฝนเรา ไม่ได้เกิดจากพระเจ้า เกิดจากความวิปริตบนโลกใบนี้อยู่แล้ว  แต่พระเจ้าถือโอกาสใช้ให้มันเป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา อุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวด ช่วยให้เราผู้เชื่อเห็นตามที่พระเยซูบอกว่าจงมองให้เห็น  มันจะเห็นชัดเจน เมื่อเราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ใช่เห็นอย่างชัดเจนเมื่อยามที่เรามีความสุขดี เมื่อยามที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเรา เป็นไปตามที่เราอธิษฐานเป๊ะเลย อัศจรรย์เกิดขึ้น นั่นเราไม่เห็นหรอก เรามีกิริยาที่ดูเหมือนเห็น แต่ข้างในใจไม่ได้ช่วยอะไรเรามากเท่าไร? แต่มันจะช่วยเรามาก ตอนที่เราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก  และภายนอก ความคิด การกระทำของเรา ดูเหมือนไม่เชื่อ แต่ข้างในนั้น เต็มไปด้วยความเชื่อ ที่แท้จริง  และเป็นความรู้ถึงการทรงสถิตของพระคริสต์ในชีวิตเรา นี่แหละคือประโยชน์ของอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวด

            การยืนยันมั่นคง ความรู้ ในความเชื่อของเรา ตามที่พระเยซูบอกว่าให้เราเห็น ให้เรารับรู้ เราจะยืนยันได้ โดยความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ตลอดเวลา เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ รู้สึกหรือไม่? คิดตามความจริงนี้หรือไม่?  หรือจะปฏิบัติตัวอย่างไร? จะตอบสนองอย่างไรก็ตามความจริงว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา มันก็เป็นความจริงอย่างนั้นตลอดไป โคโลสี 1:27 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:27 “สำหรับพวกเขา พระเจ้าได้ทรงประสงค์ที่จะสำแดงความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริของข้อล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาติ คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            “ความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริ” หมายถึงของที่มีค่าอย่างมากมาย ก็คือมีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระคริสต์ เต็มด้วยสง่าราศี นี่พูดถึงเราผู้เชื่อ และตรงนี้เป็นแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่าจะให้มนุษย์ได้เกิดใหม่ แล้วเป็นอย่างนี้ ปิดซ่อนไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม  และเปิดเผยเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นข้อความล้ำลึก ก็คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เห็นไหม?

            เพราะฉะนั้น เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราต้องมีความหวังอยู่ในพระคริสต์อย่างเดียว ความหวังไม่ได้อยู่ที่คำตอบคำอธิษฐาน  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเราด้วยซ้ำไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรเลย ขึ้นอยู่อย่างเดียว คือจงรับรู้ และจงเห็นเถิดว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา เสมอไป นิจนิรันดร์ กาลาเทีย 2:20 …

        กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            อันนี้เห็นชัดเลย เราต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นเลยว่าพอเจริญเติบโต เข้าไปในความจริงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ พระคริสต์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา และเราก็ได้บังเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา ชีวิตที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ทุกวัน เป็นชีวิตที่พระคริสต์นำหน้าเรา มันหมายถึงอย่างนั้น  แสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้เชื่อ ถูกเปลี่ยนแปลงโดยมีพระคริสต์อยู่ภายใน  เราไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเองเพียงลำพังอีกต่อไป แต่เรามีพระคริสต์นำหน้า  เหมือนการจูงมือกัน แต่เป็นการจูงมือที่แนบแน่นกว่านั้น ก็คือลำต้นจูงมือกิ่ง  ไม่ใช่จูงมือเอามือแตะกันเฉยๆ แต่เชื่อมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับศีรษะจะไปไหน? หน้าอกไปด้วย มือไปด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนั้น  ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสว่า …

        ยอห์น 14:23  “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาคำของเรา  และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

            “เราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา” คำว่า “อยู่กับเขา” ตรงนี้หมายถึงอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา เราจะมาหาเขา และอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา  “เขา” คือผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เป็นการยืนยันถึงการทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์ในชีวิตของผู้เชื่อ

            การที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรานั้น เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกกันได้เลย คือเป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างพระเยซูคริสต์กับผู้เชื่อ คือคริสเตียน และเป็นการรับรองถึงความสมบูรณ์ ความบริบูรณ์ในพระองค์ ความเหมือนพระองค์ ถ้าศีรษะมีเซลล์ เป็นเช่นไร? ข้อเท้าก็มีเซลล์เป็นเช่นนั้น ถ้าศีรษะมีเซลล์เป็นคุณนคร หัวแม่เท้าก็มีเซลล์เป็นคุณนคร มันหมายถึงอย่างนั้น โคโลสี 2:10 …

        โคโลสี 2:10 “และท่านมีชีวิตที่บริบูรณ์ในพระองค์ และพระองค์เป็นประมุขเหนือการปกครอง และสิทธิอำนาจทั้งปวง”

            พระองค์ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นประมุขสูงสุดของการครอบครองทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นโลกใบนี้ หรือโลกที่มองไม่เห็น สิทธิอำนาจทั้งปวง ทั้งโลกนี้และโลกที่มองไม่เห็น มันอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น และเราอยู่ในพระองค์ บริบูรณ์ในพระองค์ หมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฟีลิปปี 4:13 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ สำหรับคริสเตียน …

        ฟิลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าดีหรือร้าย โดยฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

            เมื่อพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสิทธิอำนาจทั้งปวง สถิตอยู่ในข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเผชิญทุกอย่างได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย ตามสายตาที่เราเห็น เพราะฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์อยู่ในเรา เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา   เราจึงสามารถเผชิญทุกสิ่งทุกอย่าง  เผชิญวันพรุ่งนี้  ก็คือเผชิญอนาคตได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย สำหรับเรา คริสเตียนที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ สำหรับเราดีเสมอ ตลอดเวลา  เพราะพระเจ้าผู้ทรงควบคุมสถานการณ์ อยู่ภายในเรา รักเรา จูงมือเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราชบนโลกใบนี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ด้วยความรักของพระองค์ที่เป็นนิรันดร์ เราจึงไม่กลัว และในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าพระเยซูคริสต์ตรัสว่า …

            “เรายืนเคาะประตูอยู่ ใครได้ยินเสียงเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปข้างใน และกินอาหารร่วมกับคนนั้น”

            ทุกวันนี้พระเยซูคริสต์ยังคงพูดผ่านทางผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้ที่เชื่อแล้ว  ไปยังบรรดามนุษย์ทั่วๆ ไปที่ยังไม่ได้รู้จักพระเยซู ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูพูดว่าอย่างไร? พูดว่าพระองค์ทรงเคาะประตู พระองค์อยากเข้าไปอยู่ในท่าน มนุษย์ทุกคน เราจะเข้าไปข้างใน เราจะเข้าไปอยู่ในท่าน เหมือนกับที่ข้อพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้

            นี่คือข่าวดีที่พระเยซูให้สาวก คริสเตียนทุกคนประกาศ  สั่งสอนให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ คือพระองค์ทรงเคาะประตูอยู่ อยากจะเข้าไป เข้าไปทำอะไร ก็อย่างที่ตะกี้นี้ เราได้เรียนรู้กันมาวันนี้ เข้าไปนำพาชีวิตท่าน แล้วท่านได้ยินแล้ว ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์หรือไม่? ถ้าเปิดใจเมื่อไร? ทันที พระองค์ก็เข้าไปอยู่ในท่าน และชีวิตคนๆ นั้น ก็จะเปลี่ยนไป

            เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้ มีบทเพลงอยู่บทเพลงหนึ่งดีมาก …

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา ความกลัวสิ้นไป

                        เพราะเราแน่ใจ แน่ใจ พระองค์ทรงอยู่ในเรา และทรงนำหน้า

                        ชีวิตมีค่า เพราะรู้ว่าองค์พระคริสต์ ทรงอยู่ในเรา

            ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บของเราจะหายหรือไม่หายก็ตาม ไม่ว่าสถานะของเราจะขัดสนหรือมีมากล้นก็ตาม  จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม แค่รู้เพียงว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราด้วยตลอดเวลา อยู่ภายในเรา ก็เพียงพอแล้ว สันติสุขอันยิ่งใหญ่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะเข้าปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเราในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงอยู่ในเรา พระเยซูคริสต์จึงตรัสย้ำยืนยันเรื่องนี้หลายตอนเลย  ซึ่งสรุปได้ว่า …

            “ท่านจงมองให้เห็นเถิด เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ แต่มันเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเยซูตรัสว่า … “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 9

            ก่อนเชื่อ … ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า พ่อผู้แสนดีอยู่ด้วย

                                นิรันดร์

            หลังเชื่อ … รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ได้กลับมาอยู่กับพระเจ้า พ่อผู้แสนดี

                               ในสวรรค์นิรันดร์

            “18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นประตูสวรรค์ให้กับมนุษย์ ที่จะบังเกิดใหม่ จากการเชื่อและวางใจในพระองค์ได้เข้าสู่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ซึ่งพิสูจน์ได้ทันทีเดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะประสบการณ์ในการเข้าอยู่ในสวรรค์นี้ เริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากเปิดใจรับเชื่อในข่าวดีนี้ ไปจนถึงชีวิตนิรันดร์ หลังความตายจากร่างกายนี้

            ยอห์น 3:16-17 … “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ  (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าอวยพรครับ