คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2024
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 11
โดย วราพร คงล้วน
คราวที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 27 ขออ่านย้อนข้อ 26-27 อีกครั้งหนึ่ง …
กาลาเทีย 3:26-29 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์ ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา”
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงบอกเราในถ้อยคำของพระเจ้า เมื่อพี่น้องทุกคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราก็ได้บัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์
“เป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายความว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่กับวิญญาณของเรา เราไปไหน? พระเจ้าไปด้วย จะไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ที่พระเจ้าจะทิ้งให้เราอยู่เพียงลำพัง ไม่มีนะ ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าเราทำดี ไม่ว่าเราทำไม่ดี เราต้องยอมรับ อยู่ในพระเจ้าเราก็เผลอทำไม่ดี แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม ให้รับรู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่ในเราตลอดเวลา ฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท ก็คือไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ในเชื้อชาติใด สัญชาติใด หรืออยู่ในสถานะแบบไหน? เป็นคนที่มีเงินล้นฟ้า หรือเป็นคนที่ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว แต่ว่าเมื่อเขามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทุกคนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เรามีสถานะเดียวกัน
ฉะนั้น อย่าให้ใครรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราอยู่ในสถานะที่ตามความเห็น หรือตามสายตาของมนุษย์ว่าเราด้อยกว่า อาจจะการศึกษาด้อยกว่า การงานด้อยกว่า ทรัพย์สมบัติก็มีน้อยกว่า ให้เราภาคภูมิใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา ก็คือพระเจ้าให้เรามีสถานะเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือสถานะเดียวกันของพวกเราทุกๆ คน ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น พอเข้ามาถึงคริสตจักรของพระองค์ จะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใดๆ คือทุกคนเท่าเทียมกันหมด เป็นพี่น้องในพระคริสต์ร่วมกัน ให้เรามีความรู้สึกผูกพันแบบนี้ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในบ้านที่มีชื่อว่าอภิสุทธิสถานนี้ บ้านของพระเจ้า ก็คือมีทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง โบสถ์ในประเทศไทยก็มีเยอะมาก คือภายใต้ชื่ออะไรก็แล้วแต่คนจะตั้งขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่าโบสถ์เราชื่ออย่างนี้ เหมือนกับของเรา โบสถ์เราชื่ออย่างนี้นะ เหมือนบ้านเราอยู่ตำแหน่งนี้ อยู่ตรงนี้ เกิดเราอยากจะไปเชิญชวนเพื่อนฝูงมาเที่ยวบ้านเรา เราก็สามารถชวนมาได้ ระบุได้ว่าบ้านเราเป็นหน้าตาแบบนี้ ชื่อแบบนี้
แต่ว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าไม่มีแบ่งว่าโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์, ใจสมาน, กรุงเทพ หรืออะไรแล้วแต่ ไม่มี คือทุกคริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่มีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของทุกคริสตจักร ฉะนั้น คริสตจักรทุกคริสตจักรมีหน้าที่ อย่าเรียกว่าหน้าที่เลย คือพระเจ้าจะเรียกให้แต่ละคริสตจักรที่พระองค์จะใช้สอยแตกต่างกัน แต่ว่าอยู่ภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเยซูคริสต์เท่าเทียมกัน ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่กว่านั้น ฉะนั้น เมื่อเราทั้งหลายเป็นของพระคริสต์แล้ว เราก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เราคุยกันคราวที่แล้ว พงศ์พันธุ์ของอับราฮัม พระเจ้าถือว่าอับราฮัมเป็นบิดาแห่งความเชื่อ เพราะว่าเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง พระเจ้าเลยถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม
ฉะนั้น พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็จะเป็นลูกหลานของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อ ไม่ได้โดยการประพฤติใดๆ ของเรา คือไม่มีความดีงามอะไรที่เราจะไปอวดใครได้เลยว่าเราเก่งกว่าคนอื่น หรือเราทำดีได้มากกว่าคนอื่น เราประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้เยอะกว่าคนอื่น ไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าทุกคนสามารถผ่านเข้ามาในประตูสวรรค์ตรงนี้ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้นอย่างเดียว … พอมาถึงบทที่ 4 ข้อที่ 1 กล่าวว่า …
กาลาเทีย 4:1-5 “1 “สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวอยู่นี้ ก็คือตราบใดที่ทายาทยังเด็กอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับทาส แม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมด 2 เขาก็ยังอยู่ในบังคับของผู้ปกครอง และผู้ดูแลทรัพย์สิน จนกว่าจะถึงเวลาที่บิดากำหนด 3 เช่นกันเมื่อเรายังเด็ก เราเป็นทาสอยู่ใต้บังคับของหลักการพื้นฐานทั้งหลายของโลก 4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์”
ในกาลาเทีย บทที่ 4 ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับผู้เชื่อชาวกาลาเทีย เขาเชื่อแล้วนะ พูดให้เขาฟังว่าก่อนที่เขาจะเชื่อ เหมือนกับพวกเราทั้งหลายที่สมัยก่อน ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ อยู่ภายใต้กฎระเบียบต่างๆ ที่มนุษย์หรือโลกนี้เขาตั้งขึ้นมา ถ้าเป็นชาวยิวก็อยู่ภายใต้บทบัญญัติของโมเสส ถ้าเป็นคนต่างชาติ อย่างพวกเรา ถือว่าเป็นคนต่างชาติ ก็อยู่ภายใต้กฎของศีลธรรม กฎของจริยธรรมต่างๆ ก็คือในจิตใต้สำนึกของพวกเราทุกๆ คน มีกฎพวกนี้อยู่ ไม่ต้องมีคนสอน พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ ข้างในวิญญาณจะฟ้องเราเองว่าอันนี้ไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง แต่ว่าหลายครั้ง เราก็ไม่สามารถที่จะฝืนกำลังของโลกใบนี้ เราก็ยังคงทำเรื่องเหล่านี้ต่อไป แต่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากกฎเหล่านี้ ให้เราสามารถที่จะหลุดพ้น หรือสามารถมีชัยชนะเหนือกฎเหล่านี้ได้
ฉะนั้น กฎของความบาปและความตาย ตรงนี้ มันคือกฎที่มนุษย์พยายามที่จะพึ่งพาตนเอง เพื่อทำความดี พึ่งพาตัวเองที่จะพยายามรักษากฎบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พระเจ้าบอกว่ากฎบัญญัติเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์คนไหน สามารถรักษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ ฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่ยังพยายามพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ก็หล่นจากมาตรฐานของพระเจ้า ซึ่งมันไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือเป็นคนต่างชาติ ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ก็คือมรดกพระเจ้าเตรียมไว้แล้ว แต่ว่าการที่คนจะรับมรดก ก็คือผู้ที่ทำสัญญา ทำพินัยกรรม ต้องเสียชีวิตก่อน พินัยกรรมถึงจะถูกเปิด เพื่อที่ทายาทจะได้รับมรดก
ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แม้ว่าเราได้ชื่อว่าเป็นทายาทของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ผู้ที่สามารถที่จะรับทรัพย์สินต่างๆ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรา แต่ว่ายังไม่ถึงกำหนด พวกเราทั้งหลาย ไม่ว่ายิว หรือคนต่างชาติ ก็ยังคงเป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ อยู่ นี่อาจารย์เปาโลกำลังย้อนให้กับคนกาลาเทียได้รับรู้ความจริงว่าเขายังอยู่ภายใต้บังคับของผู้ปกครอง ก็คือพ่อให้มรดก ลูกยังเล็ก ก็ต้องมีคนมาดูแลมรดกก่อน ลูกเล็กๆ ก็ยังทำอะไรไม่ได้
นั่นเป็นภาพเดียวกันในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าก่อนหน้าพระเยซูคริสต์จะทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้บังคับของกฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น ในอดีต คนต่างชาติมีกฎที่อยู่ข้างในวิญญาณทุกคน แล้วคนยิวมีตัวอักษรที่โมเสสเขาเขียนขึ้นมา จากเดิมอันแรกที่พระเจ้าให้ศิลา 2 ก้อนกับโมเสส ก็คือบัญญัติ 10 ประการ นั่นในพระคัมภีร์เขาเขียนว่าพระเจ้าเป็นคนเขียนด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วศิลา 2 ก้อนแรกที่โมเสสเอาลงมาจากภูเขา พี่น้องจำประวัติศาสตร์ได้ใช่ไหม? เอาลงมาจากภูเขา ถ้าเราเคยดูหนัง บัญญัติ 10 ประการ โมเสสก็จะอุ้มศิลา 2 ก้อนแบบใหญ่ๆ เดินลงมาจากภูเขา พอเดินลงมา เห็นคนอิสราเอล จากไปอดอาหารอธิษฐาน 40 วัน คนอิสราเอลให้อาโรนทำรูปเคารพขึ้นมา คือเอาทองมาปั้นเป็นรูปวัวทองคำ แล้วก็เต้นรำร้องเพลงแบบยกย่อง สรรเสริญว่าวัวทองคำนั้น คือพระเจ้า พี่น้องนึกภาพความโกรธของโมเสส กำลังเอาบัญญัติ 10 ประการลงมาให้กับชนชาติอิสรเอล มาถึงทนไม่ไหว โมเสสทำอย่างไร? เอาศิลา 2 ก้อน ซึ่งเป็นนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า ขว้างลงไปแตกกระจายเลย ถ้าเป็นความคิดของมนุษย์ โมเสสต้องโดนพระเจ้าทำโทษแน่ๆ กล้าดีอย่างไรเอาศิลาที่พระเจ้าเป็นผู้เขียนเอง มาทุ่มทิ้งขนาดนี้ แต่ความโกรธของโมเสสตรงนั้น พระเจ้าถือว่าชอบธรรม ทำไมถึงชอบธรรม เพราะว่าโกรธแทนพระเจ้าว่าคนอิสราเอลทำไมถึงนิสัยแบบนี้ แค่ 40 วันเอง ก็เปลี่ยนใจไปร้องรำทำเพลง ถวายเครื่องบูชากับวัวทองคำแล้ว
เมื่อพระเจ้าจะทำลายชนชาติอิสราเอล เพราะว่ากบฏกับพระเจ้า โมเสสขึ้นไปใหม่ ไปอธิษฐานอดอาหารอีก 40 วัน 40 คืน แล้วก็ได้ศิลาแผ่นที่ 2 ลงมา แล้วจากนั้น เราจะเห็นประวัติศาสตร์พูดถึงเรื่องราวของชนชาติอิสราเอล มันจะเป็นคล้ายๆ กับมนุษยชาติที่อยู่ในความบาป มนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป เป็นคนบาป จึงทำบาป นี่เป็นความจริง เป็นคนบาป จึงทำบาป ฉะนั้น ไม่ยกเว้นชนชาติอิสราเอล
ชนชาติอิสราเอลในยุคก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาก็ยังเป็นคนบาป แต่เป็นคนบาปพิเศษที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ แยกตัวออกมา เป็นประชากรของพระองค์ แต่พื้นฐานจริงๆ ก็คือในวิญญาณเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ แค่มีสิทธิพิเศษที่พระเจ้าให้ทำพิธีกรรมต่างๆ ที่ถวายเครื่องบูชาปีต่อปี วันต่อวันที่ทำผิด ก็เอาเครื่องบูชามาถวายให้กับพระเจ้า ก็ลบล้างความผิดไปเรื่อยๆ จนกว่าวันหนึ่งข้างหน้าพระองค์จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา เรียกว่าพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อว่าเมื่อพระบุตรลงมาแล้ว พระองค์จะทำให้สำเร็จ คือจากนั้นต่อไป พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษยชาติทั้งหมด ไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าครั้งเดียวพอ
มนุษย์ถวายเครื่องบูชาด้วยสัตว์ที่ไม่มีมลทิน แต่พระเยซูคริสต์ถวายเครื่องบูชา โดยเอาตัวพระองค์เองมาถวายให้กับพระเจ้า ชีวิตของพระองค์ เลือดของพระองค์เองมาถวายให้กับพระเจ้า ฉะนั้น ในพระคัมภีร์เขียนว่าพระเยซูคริสต์ถวายครั้งเดียว ขบวนการทั้งหมดจบสิ้น การไถ่ถาวรก็จบสิ้นด้วย ฉะนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ 2,000 ปี มนุษย์คนใดก็ได้ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด อยู่ในประเทศใดก็ตาม อยู่ในหลืบตรงไหนก็ได้ เมื่อเขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้สิทธิตรงนี้เลย ได้เป็นทายาทของพระเจ้า ได้เป็นลูกของพระเจ้าอย่างชอบธรรม แล้วได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ ได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ ได้นั่งอยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์
ขบวนการเหล่านี้มันเสร็จสมบูรณ์ ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราต้องเรียงลำดับใช่ไหม? แต่ในโลกวิญญาณ มันเป็นก้อนหนึ่งที่ทันทีที่ใครก็ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ขบวนการการบังเกิดใหม่ มันจะเกิดขึ้นทันที เรียงลำดับ เราก็เรียงไม่ค่อยถูก แต่พระเจ้าจะกระทำให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทันทีทันใด เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็จะได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติอีกต่อไป แล้วได้เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามขบวนการ นี่คือพระพร นี่คือข่าวดีที่พระเจ้าได้ประกาศ ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดีด้วยตัวพระองค์เอง ในสมัย 2,000 กว่าปีที่แล้ว ประกาศกับคนยิวว่าแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์กำลังจะทำให้สำเร็จ แล้วมาจนถึงพระองค์ทำสำเร็จ จากนั้น พระองค์ก็เข้ามาอยู่ในใจมนุษย์ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เริ่มต้นจากยุคแรกเลย ก็คือกลุ่มสาวก แล้วการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ถูกประกาศออกไปเรื่อยๆ ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็จะเข้ามาอยู่ในคนๆ นั้น
พวกเราทุกคน ณ ปัจจุบัน ที่นั่งอยู่ตรงนี้ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในท่าน ท่านจงมั่นใจเถิดว่าพระเจ้าอยู่ในท่าน และพระเจ้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหน ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร? พระเจ้าก็ยังคงอยู่ในตัวท่าน ที่ไม่หนีหายไปไหน แล้วพระองค์ก็จะทรงนำพา จูงมือท่าน เดิน ให้สติปัญญา ให้กำลังให้กับท่าน ในแต่ละวันที่เราจะดำเนินชีวิต ไม่ว่าเราจะทำอะไร? พูดอะไร? คิดอะไร? พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในเราตลอดเวลา ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้ มันได้เกิดผลสำเร็จตั้งแต่วันแรก ที่เราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว
พอหลังจากนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ เราอาจจะดำเนินชีวิตแบบไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ได้ อันนี้ พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ หลายคนอาจจะมอง เชื่อพระเจ้าแล้วทำไมนิสัยยังแบบนี้อยู่ล่ะ ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้วยังทำอย่างนี้อยู่ล่ะ เราก็จะตั้งคำถาม ซึ่งคำถามนี้ถูกตั้งมาทุกยุคทุกสมัย จนถึงพวกเรา ทุกวันนี้ บางทีเราชำเลืองมองคริสเตียนคนอื่นที่ทำตัวไม่ดี หรือนิสัยไม่ดี มีไหม คริสเตียนนิสัยไม่ดี มีบางทีดิฉันแอบนิสัยไม่ดี พวกท่านไม่เห็นหรอก เราแอบนิสัยไม่ดี คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้เองว่าเราแอบนิสัยไม่ดีอยู่ อะไรอย่างนี้ แต่ไม่ว่าเราแอบนิสัยไม่ดี หรือนิสัยไม่ดีแบบโจ่งแจ้ง ให้คนอื่นๆ เห็น ขัดหูขัดตา ขัดใจ อะไรอย่างนี้ แต่พระเจ้าไม่ถือสานะ เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรามีโอกาสที่จะเผลอไปประพฤติ ปฏิบัติไม่ตรงตามความเป็นจริง ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ที่พระเจ้าบอกว่าเธอเป็นแบบนี้แล้วนะ
อยากรู้ไหมว่าตอนนี้เราเป็นแบบไหน? ณ เวลานี้ พี่น้องทุกคน …
– เป็นคนดี ดีมากๆ ด้วย ดีแบบไม่มีที่ติเลย พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น ในพระคัมภีร์ ในโลกวิญญาณ เราเป็นแล้ว
– พี่น้องเป็นลูกของพระเจ้า ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์เลย ไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหนที่ดูเหมือนไม่สมบูรณ์ แล้วมารหรือระบบโลกนี้ มันพยายามส่งข้อมูล มาหลอกเราว่า …
“เห็นไหม? เธอจะสมบูรณ์ได้อย่างไร? ยังนิสัยแบบนี้อยู่เลย”
เราก็บอก … “นิสัยอย่างไร ฉันไม่รู้ แต่พระเจ้าบอกว่าฉันสมบูรณ์ แล้วพระเจ้าบอกว่าฉันดีเลิศด้วย ฉันสุดยอดแล้ว”
นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้น อย่าให้ใครหลอกนะ
– พระเจ้าบอกว่า ณ เวลานี้ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ต้องกลัวว่าหลังความตาย เราจะถูกระเห็ดไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ไม่ต้องกลัว เพราะว่าพระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย และ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ในโลกวิญญาณ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ ไม่เห็นด้วย แต่พระคำของพระเจ้าบอกเราอย่างนั้น แล้วเราก็ต้องบอกว่าเอเมน คำว่า “เอเมน” คือยอมรับไง ถ้าเราไม่เอเมน แปลว่าเราไม่ยอมรับ เราไม่เชื่อว่าตอนนี้ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ว่าพี่น้องจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ ท่านนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้นั่งอยู่เฉยๆ แล้ววิญญาณท่านออกจากร่างปุ๊บ ท่านก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้านั่นแหละ ก็คืออยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง เปลี่ยนมิติ คือไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว ได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเกาะความจริงตรงนี้เอาไว้ เพราะว่าโลกนี้ ศัตรูของพระเจ้า คือมาร มันพยายามที่จะหลอกล่อ ผู้เชื่อทั้งหลายไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา และสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา มันคือความจริงทั้งหมด แต่พอเราไม่เชื่อ คำว่าไม่เชื่อ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าเราก็อยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก
แทนที่เราจะมีความสุข จริงๆ ทุกวันนี้ ผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ เราชื่นชมกับผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มีความสุขทุกวัน ความสุขตรงนี้มันเกิดจากข้างในวิญญาณ ไม่ได้เกิดจากสภาวะรอบข้าง สภาวะรอบข้างของเราอาจจะไม่สุขก็ได้ เราต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ ต้องทำงาน ต้องเดินทาง บางวันก็ถูกเจ้านายด่า บางวันก็ถูกเพื่อนร่วมงานเขม่น อันนั้น ไม่เกี่ยวกัน อันนั้นอยู่บนโลกใบนี้ ท่านเจอแน่ๆ อย่างที่พระเยซูบอก ท่านทั้งหลายจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะเราชนะโลกแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เราชนะขาดลอย
ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าเทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเจ้าให้กับเรา มันเทียบไม่ติดเลย มันเหมือนกับขี้เล็บ พี่น้องเคยมีขี้เล็บ แล้วแคะออกไหม? นิดเดียว เทียบไม่ได้เลย ก็คือความทุกข์ยากที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ อันนี้อาจจะเป็นความทุกข์ยากเรื่องของการงาน เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของสุขภาพร่างกาย บางคนทุกข์ยาก เพราะตอนนี้เป็นมะเร็งอยู่ ตอนนี้ต้องไปผ่าตัด ตอนนี้ต้องไปพักฟื้น ตอนนี้ลูกเต้าไม่เชื่อฟัง อะไรต่อมิอะไร? คือความทุกข์ยากในโลกใบนี้ ที่เราเผชิญอยู่ แต่พระคัมภีร์บอกว่าเทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรคสถาน มันเทียบไม่ติด อันนั้นแป๊บเดียวเอง เหมือนกับหายใจเข้าหายใจออก มันก็จบแล้ว โลกนี้เราอยู่ไม่นาน พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้น สำหรับมนุษยชาติ เมื่อโลกนี้ผ่านไป ก็คือวาระของเราจบ เราก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนวาระจบแค่ไหน? ตรงไหน? อย่างไร? ถ้าดิฉันเลือกได้ ดิฉันก็อยากจะจบๆ ตอนนี้ เพราะว่าจบปุ๊บ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า มีความสุข เหมือนกับความหวังใจของผู้เชื่อ เราก็มองไปที่พระเจ้า อยู่ก็อยู่ให้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ สำแดงให้คนอื่นเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา ถ้าตาย กำไรทันที
กำไรแรกเลย ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้บนโลกใบนี้อีกแล้ว ไม่ต้องมาวันนี้ปวดหลัง วันนี้ปวดหัว วันนี้ต้องไปหาหมอ อะไรก็แล้วแต่มันมีทุกวันนั่นแหละ ความทุกข์รายวัน พี่น้องเคยได้ยินคำนี้ไหม? ความทุกข์รายวันของแต่ละคนมันมีหมด อยู่ตรงที่ว่ามีมาก มีน้อย แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้ขนาดแต่ละคนตามความเหมาะสม ใครทนได้เยอะ ก็เอาไปเยอะหน่อย ใครทนได้น้อย ก็เอาไปน้อยหน่อย ดิฉันเชื่ออย่างนั้นนะ
เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่เป็นความจริง คือพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์จะทรงพาเราผ่านไป โดยพระคุณของพระเจ้า ผ่านไปด้วยวิธีไหนเราไม่รู้ สมมติว่าเราเจ็บป่วยอยู่ ก็อธิษฐานขอ มีใครเจ็บป่วยแล้วขอให้พระเจ้าช่วยให้มันไม่หายๆ มีไหม? ไม่มี เจ็บป่วย ก็ …
“พระองค์เจ้าข้า มันทุกข์ทรมานมาก มันเจ็บโน่นเจ็บนี่ ขอพระเจ้าอวยพรรักษาลูกให้หายโรค ให้ลูกแข็งแรง”
นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนแม้แต่เราเป็นผู้เชื่อ เราก็ยังคงอธิษฐานแบบนี้ มันไม่ผิดไม่บาป ไม่อะไร? คือธรรมชาตินั่นแหละ พระเจ้าสามารถที่จะรักษาเราให้หายป่วยได้ไหม? ได้ พระเจ้าอาจจะพาเราไปเจอหมอดีๆ ที่สามารถดูแลรักษาเราได้ หรือพระเจ้าอาจจะทำให้ใจเราสงบ แต่ยังเจ็บป่วยต่อไปนั่นแหละ แต่เรารู้สึกโอเค รับได้ อะไรอย่างนี้ คือสถานการณ์ทุกอย่าง พระเจ้าสามารถทำได้ อยู่ตรงที่ว่าเราจะทำใจได้ไหม? เราจะยอมรับมันได้มัน ถ้าเรายอมรับมันได้ เราก็อยู่กับมันได้ อยู่อย่างมีความสุข มีความชื่นชมยินดี ลุกขึ้นมา “โอ๊ย” ก็ไม่เป็นไร บางวันดิฉันลุกเร็วขึ้นไปหน่อย ซ่าส์ ลืมตัวว่าแก่แล้ว ลุกปุ๊บ หัวเกือบทิ่ม บางทีลุกจากเตียงปุ๊บ ไม่นั่งรอ ลุกขึ้นมายืนเกือบเซ เราลืมตัวว่าเราแก่แล้ว เราต้องค่อยๆ อันนี้เราต้องปรับปรุงตัวเองทุกคนนะ อย่าซ่าส์ เพราะว่าอายุเยอะแล้ว ตกแล้วไม่คุ้ม กระดูกหัก แล้วเยียวยาไม่ได้ มันก็คือความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ประจำวัน
ฉะนั้น ความทุกข์เหล่านี้ มันแป๊บเดียวเอง ชั่วคราวเอง เดี๋ยวเราก็จากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ใช้ชีวิตที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ให้มีความสุข รับพระพรจากพระเจ้าแล้ว ให้พระพรนั้นส่งออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง ที่เขาเห็นชีวิตของเรา เขามีความสุขด้วยกับเรา คือ …
“ขอบคุณพระเจ้านะ คริสเตียนสุดยอดเลย ทำไมเขาสามารถมีความสุขแบบนี้ได้”
เราก็สามารถตอบเขาได้ … “ที่ฉันสามารถมีความสุข เพราะฉันมีพระเจ้าไง พระเจ้าอยู่ในฉัน อย่าคิดว่าฉันสบายนะ อย่าคิดว่าฉันไม่มีปัญหานะ ปัญหา 108-1009 แต่ฉันมีพระเจ้า ฉันจึงสามารถมีความสุขแบบนี้ได้”
นั่นคือเราสามารถเป็นพยานกับคนอื่นได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรในหนังสือนี้ ที่อาจารย์เปาโลพยายามบอกให้เราฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมการไว้หลายพันปี แล้วก็สำเร็จเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และจนทุกวันนี้ ก็ยังสำเร็จในชีวิตของพวกเรา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา อยู่กับเรา และพาเราเดินทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เหมือนในหนังสือโคโลสีบอกว่าความล้ำลึกที่พระเจ้าเตรียมไว้ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริของผู้เชื่อทุกๆ คน แค่นี้เอง ถ้าพี่น้องเจอทุกข์ยากลำบากอะไร? …
“ไม่รู้ล่ะ ฉันนึกอยู่อย่างเดียว พระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในฉัน พระองค์จะพาฉันผ่านไปได้ ถ้าผ่านโลกนี้ไปไม่ได้ ก็ผ่านไปโน้น ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์”
นั่นคือความหวังใจของผู้เชื่อทุกๆ คน
ก็อยากขอบคุณพระเจ้าสำหรับตลอดปีที่ผ่านมา ที่พี่น้องอยู่ด้วยกันกับเรา จะบอกว่าอยู่ด้วยตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้ ก็ไม่ได้ เพราะบางท่านอยู่กับเราหลายสิบปีแล้ว 30, 40 ปี เราก็ยังผูกพันกันอยู่ อาจจะอยู่ห่างไกลกันบ้าง ก็คิดถึงกัน เดี๋ยวนี้ก็ขอบคุณพระเจ้า คิดถึงกันก็ไลน์ ส่งข้อพระคัมภีร์บ้าง อะไรบ้าง คุยกันบ้าง อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นการสื่อสาร ที่เรารับรู้ว่าเรายังมีกันและกันอยู่นะ เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องทุกท่าน ที่ถูลู่ถูกกังกับเราจนถึงทุกวันนี้ คริสตจักรอาจจะไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสร้างเราทุกคนสมบูรณ์แบบมากที่สุด ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า
เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ้นปีนี้ อีก 2 วันก็สิ้นปีแล้ว ถ้าพี่น้องท่านใดวางแผนที่จะออกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด หรือไปเยี่ยมญาติ อะไรก็แล้วแต่ ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้พี่น้องทุกท่านเดินทางอย่างปลอดภัย แล้วก็กลับมาด้วยสวัสดิภาพ
ขอพระเจ้าอวยพรในปีหน้า เราเจอกันอีกทีปีหน้าแล้วนะ เริ่มต้นศักราชใหม่ ปีใหม่ ก็คือปี 2025 เราก็จะมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งในอาทิตย์แรกของต้นปี ก็อยากจะเห็นพี่น้องทุกคน ถ้าไม่ได้ไปต่างจังหวัด ก็มานมัสการด้วยกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับพวกเราทุกๆ คน ขอบคุณที่ผูกพันเรา ให้เรามาอยู่ด้วยกันในสถานที่แห่งนี้ ขอบคุณสำหรับการจัดเตรียมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อุปกรณ์ทุกสิ่งอย่างที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ก็คือค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ มาทีละอย่างสองอย่าง พี่น้องไม่ต้องคาดหวังว่าทุกอย่างจะครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้นๆ อดทนกันนิดหนึ่ง วันนี้เครื่องเสียงก็มีรวนนิดหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร เราก็ผ่านไปได้ พอจิตใจเราแฮปปี้ มีความสุขกับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา เราก็สามารถมีความสุขได้ เราจะสามารถมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ฝอยๆ ผ่านไปได้ เมื่อเรามองข้ามได้ปุ๊บ ข้างในวิญญาณเราจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
before and after ตอน 8
คริสเตียน!
ก่อนเชื่อ … อยู่ในกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)
หลังเชื่อ … อยู่ในกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต (คือกฎแห่งการพึ่งพาในการกระทำดีของ
พระเยซูคริสต์)
โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”
ในโลกวัตถุที่มองเห็น มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จนกระทั่งค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลกได้
เช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีละชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้
จนกระทั่ง 2000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาสถาปนากฎใหม่ ที่มีชื่อว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย คือกฎในการพึ่งพาการกระทำดี ละชั่วของตนเอง เรียกว่า “กฎแห่งพระคุณ”
ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกการดำเนินชีวิต อยู่ในกฎใดกฎหนึ่งนี้ได้แล้ว แต่จะตัดสินใจด้วยตนเอง คือจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ หรือถ้าไม่แน่ใจ หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงประทาน ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ
พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ กฎแห่งพระคุณนี้ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เปิดประตูเข้าสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคน นี่คือข่าวดีสำหรับมวลมนุษย์ทุกคน โปรดเลือกพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เถิด! พระเจ้าอวยพรครับ