วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1496

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 12 “พระเจ้าอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 12 “พระเจ้าอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก” ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้ถึง 1 ยอห์น 4:1-6 อาจารย์ยอห์นสอนถึงเรื่องการสังเกตวิญญาณ  เพื่อจะได้รู้ว่าวิญญาณใดมาจากพระเจ้า เป็นของจริง วิญญาณใดมาจากปฏิปักษ์พระคริสต์ เป็นของปลอม เป็นของเท็จ ปฏิปักษ์ ก็คือเป็นศัตรู ต่อต้าน วิธีการสังเกต ก็คือให้ดู ฟัง วิเคราะห์จากคำสอน คำพูด และหลักข้อเชื่อของคำพูดเหล่านั้น ของผู้ที่พูด ผู้ที่สอน ผู้ที่บรรยายว่าถ้อยคำเหล่านั้น เชื่อหรือไม่ว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระเจ้ามาเกิดในร่างกายแบบมนุษย์ หัวข้อใหญ่ที่สุดของการเป็นพระเมสิยาห์ ก็คือพระเจ้ามาเกิดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นความเชื่อ ที่สำคัญที่สุดของคนที่เป็นคริสเตียน เชื่อตรงนี้ได้ไหมว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

            ข้อสำคัญที่สุดเป็นกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับร่างกายของมนุษย์ที่เขาเชื่อกันว่ามันสกปรก โสโครก มีแต่การทำบาป แต่พระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับร่างกายนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ถ้าเชื่อได้ว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับพระเยซูในร่างกายแบบมนุษย์ได้ ก็จะสามารถเชื่อได้ว่าตัวเราเอง หรือผู้เชื่อ หรือคริสเตียนเอง ก็สามารถเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในร่างกายเรา เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสุดยอดของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และเราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระองค์เหมือนกัน

            นี่ไง จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเริ่มต้นเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ซึ่งความเชื่อนี้ อย่างที่บอก เป็นกระดุมเม็ดแรก ถ้าตรงนี้ไม่เชื่อ ทุกอย่างก็จะเพี้ยนไปเรื่อยๆ

            การสอนเท็จไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผิดไปจากความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่วันคริสต์มาสไปจบเอาวันอีสเตอร์ จำได้ไหม? วันคริสต์มาส ก็คือเน้นที่พระเจ้ามาเกิดในร่างกายของมนุษย์ แล้วมาจบวันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ 2 อันนี้ คือบทสรุปของข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนบริบูรณ์

            เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พระเยซูเกิดเป็นแบบมนุษย์ อยู่ในร่างกายมนุษย์ จนกระทั่ง วันที่เป็นขึ้นจากความตาย มนุษย์สามารถจะเป็นขึ้นจากความตาย และพระเจ้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขาได้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงเป็นหัวข้อสำคัญมากในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งแต่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ได้ครองโลกทั้งใบ ทั้งหมด ในวันที่สิ้นสุดโลกใบนี้ เราได้อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เราดำเนินชีวิตในโลกใบนี้แล้ว มันก็เป็นอย่างนี้ ถึงจะครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ตามที่พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ครั้งเดียวเป็นพอ คือเกิดครั้งเดียว แล้วสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว หลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว  เป็นขึ้นมาจากความตายเพียงครั้งเดียวพอ สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น พวกต่อต้าน เขาก็จะต่อต้าน เริ่มตั้งแต่อย่างที่บอกไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ แล้วก็อื่นๆ อีกมากมาย จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป    พระเยซูก็จะถูกทำให้เสียหายไป   ทำให้คริสเตียนไม่มั่นใจเต็ม 100% ว่าคริสเตียนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขา ตั้งแต่ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วจริงๆ อาจารย์ยอห์นจะเน้นย้ำตรงนี้ จริงๆ

            พวกต่อต้าน หรือปฏิปักษ์พระคริสต์นี้ ทำให้ข่าวประเสริฐเหล่านี้เสียหาย ทำให้เกิดเป็นผล ทำให้คนเป็นคริสเตียนเอง คนที่เชื่อแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ไม่มีความมั่นใจเต็ม 100% ว่า …

            “ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้า ฉันได้อยู่อาศัยในพระคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เป็นพลเมืองของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรคสถาน และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปชั่วนิรันดร์ รอวันที่ได้รับร่างกายใหม่ หลังจากความตายเท่านั้น เอเมน”

            อย่างที่บอกปฏิปักษ์พระคริสต์เขาจะพยายามลบล้างความจริงเหล่านี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าลบได้หมด ปิดบังได้หมด ก็จะปิดบังให้หมดเลย ถ้าไม่ได้ ก็ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ในเมื่อปิดบังไม่ได้ เขาได้รับความรอดไปแล้ว เขาเชื่อพระเยซูไปแล้ว โอเค ปิดบังต่อไป เป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ได้รับความรอดแล้ว แต่ได้รับความรอดแบบกระท่อนกระแท่น ไม่ได้รับพระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็ไม่สามารถที่จะสำแดงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเขา ออกมาจากใจ วิญญาณของเขาที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วได้ ในชีวิตของเขา ก็ไม่ได้สามารถเป็นพยานได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

            ครั้งที่แล้วเราจบลงตรงที่ 1 ยอห์น 4:4-6 ซึ่งวันนี้จะขออธิบายเพิ่มเติมใน 3 ข้อนี้ ตามบริบทนี้ว่าหมายถึงอะไรให้ละเอียดขึ้น เพราะมีผู้เข้าใจผิดเยอะพอสมควร เราลองอ่านดูก่อน 1 ยอห์น 4:4-6 …

        1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ 5 พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้ 6 แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            เริ่มจาก 1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น”

            “พวกเหล่านั้น” คือพวกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์

            “ลูกๆ เอ๋ย” ก็คือผู้เชื่อ ก็คือคริสเตียน

            พวกคุณเป็นของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า ได้มีชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น พวกปฏิปักษ์พระคริสต์ “พวก” หมายถึงเยอะ มีมาก  เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ก็คือพวกคริสเตียน ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก ตามบริบทนี้ คริสเตียนเป็นของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเขา แล้วพระเจ้าเป็นความจริง ความจริงอยู่ในตัวเขา อยู่ในใจเขา ซึ่งความจริงนี้มีชัยชนะอยู่เหนือความเท็จ ซึ่งเป็นความเท็จที่มาจากมาร ซึ่งถูกครอบงำ ล่อลวง โดยมารที่ทำงานอยู่ในโลก ก็คือพวกคนเหล่านั้น ที่หลงเชื่อมาร หลงเชื่อคำเท็จ มีคำเท็จอยู่ในตัวเขา ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านั้น เยอะแยะมากมาย แต่ตามบริบทนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังจะเน้นถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วตั้งตนเป็นคนสอนด้วย เฉพาะบริบทนี้นะ

            พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าความมืด อาจารย์บอกอย่างนี้ ให้รู้ถึงโลกวิญญาณว่า คริสเตียนแท้ๆ จริงๆ เป็นอย่างไร? ถ้าไม่ใช่คริสเตียนเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ ผู้สถิตอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามาร พ่อแห่งการมุสา ต้นกำเนิดของความบาป ความชั่วร้ายที่อยู่ในโลก การงานของมาร คือการเป็นศัตรูต่อต้านพระคริสต์ ด้วยการโกหก หลอกลวงมนุษย์ให้หลงเชื่อ ต่อต้านความจริงของพระเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ หรือต่อไม้กางเขน นี่คือการงานของมาร ที่หลอกล่อ หลอกลวงมนุษย์  ความชั่วร้ายของมาร มีอิทธิพลต่อมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของมันที่อยู่ในโลกเท่านั้น แต่คริสเตียนผู้เชื่อเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้เป็นทาสมารที่อยู่ในโลก

            เพราะฉะนั้น ความจริง ก็คือคริสเตียนนั้น แม้ว่าดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ ตามที่ตามองเห็น แต่เขาไม่ได้เป็นของโลก คริสเตียนเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ เราได้ถูกย้ายจากการอยู่ในโลก มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้มีการย้าย เปลี่ยนมาจากอยู่ในโลก เป็นของมาร ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ เป็นของพระเจ้า เป็นคนของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว เราไม่ได้เป็นของโลก  ไม่ได้เป็นทาสมาร

            เราเป็นของพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นพลเมืองของสวรรค์ เป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ

            เราได้บังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อวิญญาณของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ วิญญาณเราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า เต็มด้วยพระลักษณะของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ขณะนี้

            เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเจ้า

            พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราในร่างกายนี้ ขณะนี้ เราเดินไปไหน 3 พระภาคก็ไปกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เอเมน

            เหล่านี้ คือความจริง ซึ่งมองไม่เห็น เพราะอยู่ในโลกวิญญาณ แต่พระเจ้าชี้ให้เราเห็น อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณนี้เป็นอย่างนี้

        1 ยอห์น 4:5 “พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้”

            พวกคนเหล่านั้น ก็คือพวกผู้เผยพระวจนะ พวกสอนเท็จเหล่านั้น พวกที่สอน ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านั้น เป็นของมาร มารมีอิทธิพลอยู่ในโลกนี้ เป็นของโลกนี้ หมายถึงโลกวิญญาณนะ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขา คือพวกผู้เผยพระวจนะเท็จ ผู้ที่สอน เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ สอนต่อต้านความจริงของข่าวประเสริฐของพระคริสต์ สิ่งที่เขาพูดนั้น สิ่งที่เขาสอนนั้น ก็มาจากโลกนี้ เห็นไหม? เพราะเขาเป็นของโลกนี้ เป็นของมาร สิ่งที่เขาพูด ก็มาจากมารนั่นเอง มารหลอกลวง ล่อลวงให้เขาเชื่อตามนั้น เขาก็เลย พูดตามมารบอก

            และในนี้บอกว่าผู้ซึ่งอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก เห็นหรือยัง ผู้ที่อยู่ในเรา อยู่ใน คริสเตียนผู้เชื่อนั้น ก็คือความจริงที่อยู่ในเรา ที่ตะกี้นี้ที่ได้พูดถึงเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เป็นใหญ่กว่า ซึ่งมันเป็นจริง มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ใหญ่กว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ในโลก คือใหญ่กว่าคนที่สอนเท็จ สอนผิด สอนต่อต้านพระคริสต์ ที่อยู่ในโลก ที่เป็นทาสของมารอยู่ ซึ่งเป็นพวกที่ถูกหลอกลวง ล่อลวงด้วยการโกหกของมาร ให้ต่อต้านความจริง ไม่ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ต่อต้านกับเรา เพราะว่าข้างในวิญญาณมันคนละขั้วเลยใช่ไหม? ข้างในวิญญาณของคริสเตียนนั้น มีพระคริสต์ แต่สำหรับคนที่กำลังสอน ไม่เชื่อเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่เชื่อข่าวประเสริฐ เขาเป็นของโลก เป็นของมาร เขาต่อต้านข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์

            มาร คือใคร? ในพระคัมภีร์บอกว่ามารเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง ตั้งใจฟังตรงนี้ จะได้รู้ จะได้ไม่กลัว รู้ความจริง มารเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง เจ้าแห่งความเท็จ ที่มีอิทธิพลอยู่ในโลก เมื่อตะกี้เราบอกว่าเราเป็นคริสเตียน เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลก แต่เราไม่ได้เป็นของโลก เราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เราอยู่ในพระคริสต์ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ ต้องช้าๆ ค่อยๆ จะได้เห็นชัดเจน มารเป็นเจ้าแห่งความเท็จ หลอกลวง มีอิทธิพลอยู่ในโลก หลอกให้มนุษย์ในโลก หลงเชื่อคำเท็จต่อต้านความจริงข่าวดีของพระคริสต์ ปิดบังตาฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ไม่ให้รู้เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างที่ตะกี้นี้บอกตั้งแต่ต้นว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่คริสต์มาสจนกระทั่งถึงวันอีสเตอร์ วันเป็นขึ้นจากความตายว่ามีผลอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์บ้าง? พยายามปิดบังตาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

        มาข้อสุดท้าย 1 ยอห์น 4:6 “แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            “แต่พวกเรา” คือใคร? อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดถึงอะไร? แต่พวกเรา คือพวกอัครทูต ในบริบทนี้ อาจารย์ยอห์นพูดถึงว่าอัครทูตผู้ประกาศข่าวดี ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูบอกว่า “ให้พวกเธอออกไปประกาศข่าวดีนี้” แต่พวกเราอัครทูต ผู้ประกาศความจริงของข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ เป็นของพระเจ้า มาจากพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราพูด คนที่เป็นคริสเตียน ที่มีวิญญาณเหมือนกับพวกเรา เรียกว่าคริสเตียนผู้เชื่อ ก็จะฟังเรา ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น เขาก็จะฟังเรารู้เรื่อง แต่คนที่ไม่เชื่อ ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ พวกนั้น เขาก็จะไม่ฟัง ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นชัดเจนเลย

            สรุปแล้ว โลกวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง  แห่งหนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรแห่งความจริง ที่เป็นอาณาจักรแห่งความสว่างกับอีกแห่งหนึ่ง คืออาณาจักรแห่งความเท็จ  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด มีคนของพระเจ้า และมีคนของมาร มีพวกของพระเจ้าและมีพวกของมาร นี่พูดถึงในโลกวิญญาณนะ  มีคนที่อาศัยอยู่ในโลก และมีคนที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์

            ท่านคิดดูว่าท่านเป็นใคร? ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ในโลกวิญญาณ ท่านอยู่ในโลก หรืออยู่ในพระคริสต์ มารที่กระทำการงานอยู่ในโลก ไม่มีอำนาจเหนือมนุษย์เลย  เพราะฉะนั้น มันจึงต้องใช้การหลอกลวง ล่อลวงด้วยคำชักชวน คำโกหก เหมือนกับที่มันเคยทำกับบรรพบุรุษของมวลมนุษย์มาก่อน คืออาดัมและเอวาตั้งแต่เริ่มต้น ถ้ามันมีอำนาจจริง มันคงไม่หลอกลวง ล่อลวง มันได้แต่หลอกลวง ล่อลวงมนุษย์ คอยพูดไปเรื่อยๆ ยุแหย่ ชักจูงให้ต่อต้านพระเจ้า ให้หลงเชื่อ คำพูดของมัน แล้วก็ทำตาม ก็คือต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของพระเจ้า ละเมิดกฎของพระเจ้า คือการทำบาป เหมือนดังอาดัมและเอวาได้ตกลงไปในการทำบาป เพราะไปเชื่อมัน แล้วก็เก็บเกี่ยวเอาความทุกข์ ซึ่งเรียกว่าคำสาปแช่ง ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  แล้วพอได้รับคำสาปแช่ง มันก็ซ้ำเติม …

            “เพราะแกเป็นคนทำ”

            จริงๆ มาจากมันแหละ มันเป็นต้นเหตุ

            เห็นชัดเจนเลยว่ามารไม่มีอำนาจเหนือ มนุษย์ ไม่สามารถที่จะมีอำนาจบังคับมนุษย์ เว้นแต่มนุษย์ยินยอม หลงเชื่อ กระทำตามมันเท่านั้น อย่าหลงเชื่อทำตาม ก็แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย สิทธิอำนาจอยู่ที่มนุษย์นั่นเอง ถ้าเราไม่ทำสักอย่าง มันทำอะไรเราไม่ได้ นอกจากหลอกล่อต่อไป ล่อลวงต่อไป ชักนำต่อไป เพราะมันไม่มีอำนาจ

            แล้วมันหลอกล่อด้วยวิธีใด? ด้วยวิธีครอบงำ ครอบครอง ฟังให้ดีๆ นะ ด้วยวิธีครอบงำ ครอบครอง ความคิดจิตใจของมนุษย์ มันสามารถส่งข้อมูลเข้ามา ในความคิดของมนุษย์ได้ ด้วยข้อมูลที่เป็นคำพูด การได้ยินได้ฟัง การรับรู้ของมนุษย์ ทุกสื่อ ตา หู จมูก จมูกก็รับรู้นะ ได้กลิ่น มันส่งมาทางกลิ่นอะไรต่างๆ  แต่ที่ชัดๆ ก็คือตาและหู  คำพูดก็ได้ยินว่ามันพูดว่าอะไร?

            ข้อมูลเหล่านี้ที่มากระทบกับตาและหูของมนุษย์ ก็คือคำพูด ข้อมูลข่าวสารที่แย้งกับความเป็นจริงของเรื่องของพระเจ้าที่บอกเราว่าจริงๆ เป็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าบอกเราว่าในโลกนี้ มีโลกวิญญาณจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว พระเจ้าของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  แต่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นเยอะไปหมดเลย พระเจ้ามีเต็มไปหมดเลย พระเจ้าโน่นพระเจ้านี่ หลายสิบล้าน นั่นก็พระเจ้า นี่ก็พระเจ้า พระเจ้าของคริสเตียน ก็เป็นหนึ่งในพระเจ้าเยอะแยะ นี่ไง นี่คือยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้

            ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกไว้ว่ามารมันมีหน้าที่ทำอะไร? ฟังให้ดีๆ วันนี้มาเปิดเผยแผนการชั่วร้ายของมาร ซึ่งไม่มีอำนาจเลย มันคอยกล่าวหามนุษย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น งานของมาร คือคอยยุแหย่ กล่าวหามนุษย์ โทษมนุษย์ ว่ามนุษย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวดูว่ามันทำอย่างไร? ทั้งกลางวันและกลางคืน กล่าวหาว่าอย่างไร? กล่าวหาว่ามนุษย์เป็นคนบาป มีมลทิน สกปรก โสโครก พระเจ้ารังเกียจ ไม่เอาไหน? พระเจ้าไม่เอาเธอแล้วล่ะ เธอสกปรก เธอเป็นหนี้ ต้องชดใช้ บาปเวรกรรม ไม่รู้กี่ชาติจะหมด เธอสมควรตกนรก

            พูดง่ายๆ แกมันเลว  ในโลกนี้ มีเสียงของมารตลอดเวลา ให้กับมนุษย์ทุกคนเลยนะ “แกมันเลวๆ” เพื่อมนุษย์จะได้อยู่ห่างจากพระเจ้า และมองดูพระเจ้าของเขา มีความรู้สึกต่อพระเจ้าของเขา ผิดไปจากความเป็นจริง พระเจ้าเป็นความรัก เลยเป็นพระเจ้าแห่งความเกลียดชัง พระเจ้ารักเราจะตาย กลายเป็นพระเจ้าเกลียดเราจะตาย พอเกิดสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งเป็นผลของคำสาปแช่ง ของการทำผิดกฎ ตั้งแต่อาดัมและเอวาทำไว้ โลกใบนี้เสียหายแล้ว  พอเกิดสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา  มันก็ซ้ำเติมว่า …

            “นี่พระเจ้าลงโทษ เพราะเธอมันเลวเอง เธอมันไม่ดีเอง เพราะเธอก่อกรรมทำเข็ญไว้ เพราะฉะนั้น พระเจ้ากำลังตีเธอ กรรมเก่ายังไม่หมดเลย กรรมใหม่ยังทำอีก  เพราะฉะนั้น พระเจ้าตีเธอ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอมันเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” อะไรประมาณนี้ นึกออกใช่ไหม?

            พูดไปทั้งกลางวันกลางคืน ผ่านทางสื่อต่างๆ ยิ่งปัจจุบันเยอะไปหมด ในอดีต คือผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้ที่มาสอนเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า และในชีวิตประจำวันอีก พูดไปเรื่อยๆ โกหกไปเรื่อยๆ ตำหนิไปเรื่อยๆ  กล่าวหาไปเรื่อยๆ จนมนุษย์ไม่รู้สึกรู้สา ไม่รู้ถึงคุณค่าชีวิตของตัวเองว่าพระเจ้าสร้างขึ้นมา และทรงรักและหวงแหนมนุษย์อย่างมาก ดูแล้วน่ารักทุกคน แล้วรักทุกคนด้วย มนุษย์จึงแสวงหาพระเจ้าของตน ตามที่มารโกหกหลออกลวงไว้ ก็คือเมื่อเชื่อมาร

            มนุษย์ก็เลยแสวงหาพระเจ้าของตัวเอง พระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ ด้วยท่าทีของการเป็นคนบาป สกปรก มีมลทิน ต่ำต้อย นี่คือมนุษย์ตั้งแต่แรก เป็นอย่างนี้ มาถึงปัจจุบันเลย จะเข้าไปหาพระเจ้า หรือเข้าไปหาวิญญาณอะไรต่างๆ ที่ถูกหลอกลวงไปแล้ว ไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่ามีโลกวิญญาณอยู่จริงๆ จะเข้าไปหา แสวงหาโลกวิญญาณจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ต้องเข้าไปแบบรู้สึกตัวเองด้อย ตัวเองแย่มาก ต่ำกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก ต้องหมอบกราบเข้าไป คลานเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตในโลกฝ่ายวิญญาณที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ ที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ด้วยความกลัว นี่ถูกบิดเบือน  ไม่ว่าเขาจะแสวงหาเป็นวิญญาณพระเจ้าแท้ๆ ก็คือวิญญาณของพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ หรือวิญญาณที่หลอกลวงอื่นๆ ที่ไม่ใช่พระเจ้าแท้ พระเจ้าเที่ยงแท้มีแต่เพียงพระองค์เดียว พระคัมภีร์บันทึกไว้ พูดง่ายๆ ว่าคริสเตียนถูกหลอก  ก็เข้าไปหาพระเจ้าพระบิดาผู้เที่ยงแท้เหมือนกัน เข้าไปแบบท่าทีที่มันไม่ใช่ เข้าใจพระเจ้าผิด เข้าไปแบบกลัวๆ เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยิ่งแย่ใหญ่เลย เข้าไปหาในโลกวิญญาณ เป็นพระเจ้าปลอม หรือความเชื่ออะไรต่างๆ มีความรู้สึกกลัว

            อย่างเช่น คำพูดนี้เห็นชัดเลยว่ามารล่อลวงมนุษย์ไปเท่าไร? คนไทยชอบพูดว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” แปลว่าอะไร? จริงๆ ไม่เชื่อ มันถูกหลอก ไม่น่าเชื่อเลยๆ แต่อย่านะ คือกลัว มันขู่ไง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ …

            “เข้าป่าต้องไหว้เจ้าป่าเจ้าเขานะ”

            “ไหว้ทำไม เราเป็นคริสเตียนแล้ว”

            ไม่ต้องคริสเตียนก็ได้ “เราอยู่นี่มาตั้งนานแล้ว มาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ไม่เห็นมีใครเขาทำอะไรเลย”

            “ไม่ได้ ไหว้สักหน่อย ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”

            แต่อย่าลบหลู่ เพราะอะไร?  เพราะกลัวว่าลบหลู่แล้วมันจะทำร้ายเรา มันทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับเรา นี่ไง มันหลอกลวง มันโกหก ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ตรงกันข้ามกับข่าวดีจากพระเจ้า ท่าทีที่แท้จริงของพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว คือพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อเรา มวลมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ทนุถนอมมาก ร่างกายเรา พระองค์ทรงเตรียมไว้เป็นพระวิหารของพระเจ้า นึกออกไหม? ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า สะอาดหมดจดเลย พระองค์ทรงรักมาก หวงแหนมากเลย แต่มารมันใส่ความหลอกลวงเราว่า ร่างกายเราสกปรก มือก็เคยไปตบเขา มือก็เคยไปตีเขา ปากก็เคยไปด่าเขา สมองก็เคยไปคิดชั่ว

            สิ่งเหล่านี้มันมาจากมารทั้งสิ้น มันไม่ได้มาจากตัวเราเลย ร่างกายเราเป็นเหมือนกับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง เหมือนเครื่องใช้สอยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลางๆ มันขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ จะเอามีดไปสับหมู ทำกับข้าวให้เขากิน มีความสุข หรือจะเอามีดไปไล่ฟันเขา เพราะโมโห มีดเดียวกันนั้นแหละ ความผิดไม่ได้อยู่ที่มีด ความผิดอยู่ที่ความคิดของคนๆ นั้น ที่หยิบมีดไปทำ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกใบนี้ เมื่อถูกหลอกจากมาร คือหลอกที่ความคิดของเรานั่นเอง

            ซึ่งความจริง พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนมีค่าเท่ากันในสายพระเนตรพระเจ้า พระองค์ทรงรักทุกคนเท่ากัน แต่มารก็จะคอยยุแหย่ให้มนุษย์เปรียบเทียบกัน นี่คือความจริงกับความเท็จ เปรียบเทียบกัน ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาปุ๊บ ก็เริ่มเปรียบเทียบแล้ว เปรียบเทียบทั้งชีวิต เพราะว่าความเท็จเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในโลกนี้ เป็นระบบของโลกนี้ รับอิทธิพลมาจากมาร มันก็ทำให้มนุษย์เป็นอย่างนี้แหละ แทนที่จะมีความรู้สึกเท่ากัน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดีกว่าเรา เริ่มความคิดแล้วว่าเขาดีกว่าเรา

            เขาดีกว่าเรา มันเกิดอะไรขึ้น เห็นนิดเดียวนะ เขาประสบความสำเร็จ เขาเก่งกว่าเรา เขาประพฤติดีกว่าเรา เราฟังดูอย่างนี้ รู้สึกไม่เป็นอันตรายอะไร? แต่พระคัมภีร์บอกว่าพอคิดอย่างนี้ปุ๊บ ก็คือเริ่มต้นยอมให้มารมันเริ่มหลอก แทนที่จะเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้ารักเราเท่ากันหมด แต่มันบอกว่าพระเจ้ารักไม่เท่ากันหรอก เขาดีกว่า พระเจ้าอวยพรเขามากกว่า หรือไม่ก็ เขาดีกว่าเรา มันก็เริ่มต้นอิจฉา นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ก็เริ่มอิจฉา เริ่มคิดตามมันต่อไป เริ่มคิดทำลายเขา เพื่อยกตัวเองขึ้นมาแทน มันก็คือนิสัย สันดานของมาร ตั้งแต่ตอนที่เป็นทูตสวรรค์แล้ว อิจฉาพระเยซูคริสต์ แล้วก็ยกตัวเองขึ้นมาทำหน้าที่แทนพระเยซูคริสต์ ก็คือกบฏ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้

            แล้วในที่สุด ยอมมันอีก ยกตัวขึ้น พยายามที่จะแข่งกับเขาว่าตัวเราเองก็ดีกว่าเขาได้ ถึงขั้นถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็คือฆ่า กำจัดเขาออกไปเลย นี่คือเส้นทางของมารที่หลอกมนุษย์ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เกิดจากความคิดน้อยเนื้อต่ำใจว่าเขาดีกว่าเรา เราแย่ เขามันดี มาจากไหน? ก็มาจากมารส่งข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในความคิดของมนุษย์นั่นเอง พระเยซูจึงตรัสว่าถ้าด่าคนอื่นว่าไอ้โง่ ไอ้เลว เท่ากับฆ่าเขาตาย ก็คือมันเกิดขึ้นแล้ว พอบอกไอ้โง่ ไอ้เลว ก็คือเราโกรธ กำลังเคืองเขา  ถ้าเราไม่รู้จักหยุดตรงนี้ มันก็จะใส่ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดเรามีโอกาสถึงขั้นฆ่าเขาตายได้ นี่คือเสียงของมาร

            อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เราเห็นว่าเสียงของมารที่มาจากโลกนี้ สังเกตตรงนี้ คือมันจะต่อต้านความจริงของพระเจ้า และมันจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของมนุษย์ลงไป พยายามเหยียบมนุษย์ลงไป ยกตัวอย่างเช่น …

            “แกมันเป็นคนเลวโดยสันดาน ไม่มีทางจะกลับเนื้อกลับตัวได้แล้ว แกมันเลวที่สุด ให้อภัยกี่ครั้งแล้ว ก็ยังทำอยู่เลย ไปตายซะ ตายไปก็ดีแล้ว”

            นี่ไม่ใช่เสียงของพระเจ้าเลย

            หรือไม่ก็ความคิด … “อย่างแกสังคมรังเกียจ พ่อแม่ก็ไม่รัก ลูกแกยังไม่รักแกเลย พระเจ้าก็ไม่รัก ก็ไม่ชอบ แกจะอยู่ไปทำไม?”

            นี่แหละมันเป็นอย่างนี้ ก็คือความเครียด ความซึมเศร้า การคิดจะทำร้าย ทำลายตัวเอง ก็มาจากการขโมย ฆ่า และทำลายของมารทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เป็นกลเม็ดของมาร ที่ทำงานอยู่ในโลกนี้ รวมหมดนะ ทั้งคริสเตียนและไม่คริสเตียน โดนอย่างนี้ทั้งหมด เป็นระบบของโลก คือให้เปรียบเทียบ ให้ไม่พึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าให้ ไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ไม่พึงพอใจ ก็เกิดความอิจฉาริษยา และเกิดการเปรียบเทียบขึ้น ถ้าเป็นเสียงจากพระเจ้า คือ …

            “จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ พระเจ้าอยู่ด้วยนะ เราอยู่ด้วยนะ เรารักเธอ” นี่แหละมาจากพระเจ้า

            เสียงจากมาร … “ดูคนอื่นสิ เขาสำเร็จทุกด้านของชีวิตเลยนะ ทั้งเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว สุขภาพ ดีหมดเลย แล้วดูตัวเธอสิ ดูสารรูปสิ ล้มเหลวทุกอย่างในชีวิต ครอบครัวก็ล้มเหลว การงานก็เจ๊งแล้วเจ๊งอีก”

            สิ่งเหล่านี้เป็นการทับถม ที่พระคัมภีร์บอกมาทั้งกลางวันและกลางคืน แสดงว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีลมหายใจอยู่ แม้เรานอน มันก็พูดใส่เราตลอดเวลา อย่างที่บอกใส่ตามไหน? เรารู้เอง ข้อมูลในโลกนี้ มันจะเข้ามาอยู่เรื่อยๆ มารก็นำเสนอข้อมูล ที่ให้เราใช้ระบบของมันในการดำเนินชีวิตของเรา เพื่อให้สมอยากตามที่มันต้องการ คือนำเสนอความสำเร็จในชีวิต แบบระบบของโลกนี้ ความสำเร็จแบบระบบของโลกนี้ ก็คืออยาก ต้องการ สรุปรวม คือลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งตรงกันข้ามกับพระเจ้า ด้วยความเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี โลภ เห็นแก่ตัว โกง เอาเปรียบผู้อื่น ขโมย ฆ่า และทำลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ วิสัยสันดานของมาร มันเอานิสัยของมันมาใส่

            สำหรับความจริงของพระเจ้า คริสเตียน ก็คือเมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าจะเอาความสามารถ เอานิสัย ธรรมชาติของพระองค์ที่เป็นความรัก เป็นการให้ มาใส่ในเรา ในโลกวิญญาณ มีอยู่แค่นี้เอง

            เสียงของพระเจ้าบนโลกใบนี้ มันมี แต่มันริบรี่มาก เพราะว่าเป็นเสียงมาจากวิญญาณ  เพราะในโลกวัตถุมันมองเห็นชัดกว่า แต่ในโลกวิญญาณ มันมองไม่เห็น พระเจ้าจึงบอกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นและหูไม่ได้ยิน คือวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ คือในโลกวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับผู้ที่รักพระองค์

            เสียงของพระเจ้า คือพร้อมเสมอที่จะให้อภัย ช่วยเหลือเสมอ  … “ไม่ว่าเธอจะทำบาปอะไรอีกกี่ครั้ง ฉันก็อภัยให้เธอเสมอ มีความหวังในตัวเธอเสมอ ไม่ต้องห่วง อภัยให้เธอเสมอ รักเธอเสมอ แม้ว่าเธอจะเลวขนาดไหน? ฉันก็ส่งพระบุตรองค์เดียวของฉันลงมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเธอ แม้จะมีเธอคนเดียวอยู่บนโลกใบนี้ ฉันก็จะส่งพระเยซูลงมาช่วย” เอเมนไหม?

            นี่คือเสียงให้เลือกเอา อยู่บนโลกใบนี้ มันลำบากหน่อยหนึ่ง ตรงที่บอกว่าในโลกใบนี้ เราดำเนินชีวิตตามที่ตามองเห็น มันชัด มันง่าย ง่ายที่จะเชื่อ เขาได้ยินมา เขาได้ฟังมาอย่างนี้  แต่ในโลกวิญญาณ เราต้องเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงการเป็นขึ้นจากความตาย  ทั้งหมดนี้  กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับทางด้านวัตถุเลย  เพียงแต่วันนี้เอามาเปรียบเทียบให้ท่านเห็นว่าทางโลกวัตถุ มันเป็นอย่างไร? มันไม่มีอำนาจหรอก มันอยู่ในอิทธิพลของการหลอกลวงของมาร ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ตามตามองเห็น เสร็จมันแน่เลย

            ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่พูดมานี้ ในพระคัมภีร์เรียกว่า “สงครามฝ่ายวิญญาณ” คุ้นๆ นะ เพราะฉะนั้น สงครามฝ่ายวิญญาณ เราจะรู้แล้ว จากการที่เราวิเคราะห์มาเมื่อสักครู่นี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า สงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือจะเชื่อพระคริสต์ หรือจะเชื่อคำโกหกหลอกลวงของมาร ให้ต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของพระคริสต์ นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์เอง ยอมเชื่อฝ่ายใด  ก็เป็นทาสฝ่ายนั้น ตรงนี้ คือความจริงที่สำคัญมากเลย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิญญาณ แม้แต่วิญญาณพระเจ้าเอง พระเจ้ายังบังคับเราไม่ได้เลย  แล้วมารมันจะทำอะไรเราได้ เห็นไหม? ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา และการตัดสินใจของเรา ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับข้อมูลข่าวสารที่มันมา ขนาดอาดัมกับเอวาเจอพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันๆ ยังโดนมันหลอก พูดไปเรื่อยๆ ไม่รู้พูดไปกี่วัน? กี่พันวัน? กี่หมื่นปีไม่รู้ จนกระทั่งเชื่อมัน นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ

            มันไม่ใช่สงครามฝ่ายวิญญาณ ตามที่เราถูกหลอกอีกนั่นแหละ ให้เราคิดว่าสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องภูตผีปีศาจ เป็นตัวตน ต้องไปไล่ผี ผีมันแอบซ่อนอยู่ อาศัยอยู่ในก้อนหิน ต้นไม้ ภูเขา วัตถุสิ่งของ รูปเคารพต่างๆ เพราะฉะนั้น มันมีอำนาจเหนือเรา มันจะทำร้ายเรา อะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่มันถูกหลอกอีกแล้ว จริงๆ มันคือสงครามของความคิด ข้อมูลความจริงจากพระเจ้า หรือความเท็จจากมาร ที่ส่งเข้ามาในความคิดของมนุษย์ ที่อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราตั้งใจสังเกตดู ก็คือสังเกตวิญญาณอย่างนี้ ไม่ใช่ไปสังเกตวิญญาณว่านี่ผีเข้าหรือเปล่า? นี่ผีอยู่ในต้นไม้นี้ไหม? ผีอยู่ในรูปเคารพนี้หรือเปล่า? มันไม่ใช่อย่างนั้น ผีมีอำนาจ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เราต้องอดอาหารอธิษฐานไล่ผี มีอำนาจนี้ มนุษย์เลยกลัวไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ผีมันกลัวไฟฟ้า เปิดไฟ แสงสว่างมาปุ๊บ ผีหายไปแล้ว  ถ้ามันมีอำนาจจริง มันคงไม่แพ้เนชั่นแนล หรืออ๊อดแลม นี่เอาอ๊อดแลมหรือเนชั่นแนลไป ผีหนีเลย  เราอดอาหารแทบตาย ซื้อนีออนมาเสียบดวงหนึ่ง ไปแล้ว ใช่ไหม? ต้องพูดอย่างนี้ชัดๆ

            บางคนเป็นคริสเตียนแล้วยังไล่ผี ถ้าไม่เป็นคริสเตียนยังพออะลุ่มอล่วย มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ไม่มีที่พึ่งของแท้จริงที่อยู่ในตัวเรา ไม่มีความจริงอยู่ แต่ถ้าเป็นคริสเตียน มีความจริงอยู่ บังเกิดใหม่ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก  ใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก อย่างนี้ แล้วเรายังไปไล่ผี คิดดูสิ บางคนไม่ใช่ไล่ครั้งเดียว ไล่มันทุกอาทิตย์ ไล่วันนี้ไปแล้ว อาทิตย์ต่อมาบอกว่า …

            “มันมาอีก อาจารย์ช่วยไล่ที”

            อาจารย์ก็ไล่ อาจารย์บอก … “เที่ยวนี้หนักขึ้นนะ”

            “เพราะอะไร?”

            “เพราะว่ามันเป็นผีที่หัวดื้อ”

            พอบอกเป็นผีที่หัวดื้อปุ๊บ สมาชิกที่มาให้วางมือ พอได้ข้อมูลว่าเป็นผีหัวดื้อปุ๊บ  ทำไมรู้ไหม? อ๊วก  ครั้งที่แล้วไม่อ๊วก ครั้งนี้มันดื้อ ต้องอ๊วกออกมา

            อาจารย์บอก … “ไปอ๊วกข้างนอก เดี๋ยวโบสถ์สกปรก อ๊วกแล้ว ค่อยเข้ามา”

            “อ๊วกหรือยัง?”

            “อ๊วกแล้ว”

            “ผีออกไปแล้ว”

            อาทิตย์ต่อไป มาอีกแล้ว มาให้อธิษฐาน … “อาจารย์มันยังมีเลย”

            “อ๋อ! มันยังมีผีตัวอื่นอีก ตัวนั้นมันไปแล้ว นี่มันตัวใหม่ ไปดูที่บ้านสิ มีวัตถุอะไรที่เก่าๆ แก่ๆ ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ รูปภาพเก่ามีไหม? บางทีมันอาจจะอยู่ในรูปภาพเก่านั้นนะ ไปดู”

            กลับไปที่บ้าน หารูปภาพเก่าๆ … “รูปนี้แน่นอนเลย”

            ถามว่าทั้งหมดนี้คืออะไร? คือข้อมูล เข้ามาในสมอง มีข้อมูล มันก็ขุดคุ้ยข้อมูลนี้ขึ้นมา เอามาหลอกเรา สังเกตได้ง่ายๆ ชาวตะวันตก พวกฝรั่ง เขาเลี้ยงลูกอีกแบบหนึ่ง คนไทยก็เลี้ยงลูกอีกแบบหนึ่ง ผมสังเกตเห็นว่าลูกฝรั่งส่วนใหญ่ไม่กลัวผีนะ ไม่กลัวความมืด แต่ลูกคนไทย ตั้งแต่เล็กแล้ว พอเขาเดินไปที่บันได แทนที่จะบอกว่าเดินไปแถวบันไดเดี๋ยวตก แล้วเจ็บตัว ก็บอกว่าอย่าไปๆ นะ ผีมาแล้ว พอตรงไหนมืดๆ หน่อย อย่าไปนะ ผีมันอยู่ตรงนั้น มันก็ข้อมูลเข้าไปเรื่อยๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้มาจากไหนรู้ไหม? มาจากสื่อต่างๆ พ่อแม่เองก็ได้รับมา  และมันสามารถมาจากทางไหนได้อีก? มาจากทางสายเลือดก็ได้  คือเด็กอยู่ในครรภ์  แม่คิดอะไร? แม่เศร้า เด็กก็รับไปด้วย แม่กลัวผี เด็กก็กลัวไปด้วย เพิ่งคลอดมา ยังไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลย ทำไมเด็กเริ่มกลัว ก็แม่เป็นอะไรล่ะ มันก็มีสิทธิ์เป็นอย่างนั้น ข้อมูลมันอยู่ในความคิดทั้งหมดเลย

            เพราะฉะนั้น มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ เริ่มต้นเปลี่ยน เปลี่ยนได้มากเท่าไร ก็เป็นอิสระได้มากเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ครบหมดหรอก อย่างนี้เป็นต้น

            มันเป็นสงครามเกี่ยวกับข้อมูลความจริงของพระเจ้า  หรือจะเอาความเท็จที่ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นสงครามเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์ทุกคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่คริสเตียนต้องเผชิญ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเผชิญกับสิ่งนี้แน่นอน แต่สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง พึ่งตนเอง ด้วยจิตใต้สำนึกของตนเอง ซึ่งถูกครอบงำด้วยคำหลอกลวง คำเท็จของมาร ดังทาส ในพระคัมภีร์บอก เพราะไม่มีตัวช่วยอื่น เขาต้องพึ่งพาตัวเอง เพราะเขาเป็นคนบาป เห็นไหม? ข้างในเป็นบาปอยู่ มารไม่สามารถครองได้หรอก แต่ข้างในมันเป็นบาปอยู่ มันไม่มีกำลัง ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน

            เช่น เขาไม่อยากจะทำชั่วเลย นี่มนุษย์ทั่วๆ ไป เราในอดีต ก็เป็นอย่างนี้ เราไม่อยากทำชั่ว เรารู้ว่าทำอย่างนี้ไม่ดี  แต่ในที่สุด สิ่งที่เราไม่อยากทำ เราก็ทำ สิ่งที่เราอยากจะทำดีตรงนี้ เราก็ไม่ได้ทำ ในพระคัมภีร์ ในหนังสือโรมบอกว่า …

            “โอ๊ย! ข้าพเจ้าน่าสมเพชอะไรเช่นนั้น ใครจะช่วยข้าพเจ้าได้”

            พระคัมภีร์ก็ตอบว่า … “ขอบคุณพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว”

            หมายถึงอย่างนี้ … “ข้าพเจ้ามีพระเจ้ามาสถิตอยู่ภายในแล้ว ข้าพเจ้ามีกำลังที่จะต่อต้าน ต่อสู้กับมัน” เห็นไหม? มันอยู่ข้างนอก มันไม่ใช่ข้างในตัว “ข้าพเจ้าไม่น่าสมเพชอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้ามีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายใน”

            เพราะฉะนั้น สำหรับคริสเตียน ต่อสู้สงครามนี้ด้วยความจริง ด้วยพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ภายในเรา

            ยกตัวอย่างให้อันหนึ่ง เพื่อจะพิสูจน์ว่ามารมันไม่มีอำนาจจริงๆ เอาเริ่มตั้งแต่ปฐมกาลเลย จะได้รู้ว่าตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว มาถึงทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรเลย นอกจากมันหลอกชาวบ้านเขา เรามาดูตัวอย่างฆาตกรคนแรกของโลก และดูการงานของมารสิว่ามันมีอำนาจไหม? เรื่องของคาอินกับอาเบล คือมนุษย์รุ่นแรกของโลก มนุษย์ถูกสร้าง อาดัมและเอวา รุ่นแรกเลย ที่เขามีลูกหลาน ก็คือคู่นี้ คาอินกับอาเบล และดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เริ่มโลกที่มีมาร เป็นตัวหลอกลวง ล่อลวง มีอิทธิพลต่อมนุษย์ที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ปฐมกาล 4:3-7 …

        ปฐมกาล 4:3-7 “3 อยู่มาวันหนึ่ง คาอินได้นำเอาพืชผลที่เกิดจากผืนดิน มาถวายให้กับพระยาห์เวห์ 4 ส่วนอาเบลก็เอาพวกแกะหัวปีจากฝูงของเขา โดยเฉพาะส่วนไขมัน มาถวายให้กับพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ยอมรับอาเบลและเครื่องบูชาของเขา 5 แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา ทำให้คาอินโกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้งอยู่ 6 พระยาห์เวห์พูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม เจ้าหน้าบึ้งทำไม 7 ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่ถูก เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด ความบาปก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ครอบงำมัน”

            2 คน ลูกของอาดัมและเอวา พระเจ้าสั่งอาดัมกับเอวาว่าให้ทำอย่างนี้ เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้  เพื่อจะได้ติดต่อกับพระเจ้า ให้เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือให้นำแกะหัวปี สัตว์เลี้ยงหัวปี ที่ไม่มีตำหนิ ที่ดีที่สุด มาถวาย เพราะแกะมีเลือด ให้ทำอย่างนี้ อาดัมและเอวาก็คงเล่าให้ลูกทั้ง 2 คนฟัง ลูกคนน้อง อาเบลก็เชื่อ เชื่อพระเจ้าไม่มีเหตุผล  ไม่ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องอย่างนั้น  เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือทำตาม เอาลูกแกะฆ่า เพื่อชำระบาป  ตามที่พระเจ้าบอก  แต่ส่วนพี่ชาย คือคาอิน เอาพืชผลจากการเกษตรมาให้ ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามกฎ พระเจ้าก็ไม่รับ มันมีเหตุมีผลของมัน พระเจ้าไม่รับ ไม่ใช่เพราะว่าเกลียดชัง นึกภาพนะว่าขณะที่กำลังพูดอยู่นี้ มีศัตรูกำลังทำสงครามอยู่ คอยยุแหย่ คือมาร

            พระยาเวห์ยอมรับเครื่องบูชาของเขา เพราะว่ามันเป็นไปตามกฎ พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา  เพราะมันไม่ได้อยู่ในกฎ เพราะอาเบลเอาเงินสดไปซื้อรถ เขาก็ให้ เพราะคาอินเอาทุเรียนเป็นลังๆ ไปแลกกับรถ เขาไม่ให้ เพราะที่ร้านนี้เขาขายเงินสดเท่านั้น เป็นกฎ

            แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินและเครื่องบูชาของเขา ทำให้เขาโกรธมาก  เห็นหรือยัง? โกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้ง อยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ เริ่มความคิดแล้ว โกรธเพราะอะไร? เพราะมีข้อมูลเข้ามาแล้ว เริ่มเปรียบเทียบ …

            “ทำไมไม่รับของเรา ของเราก็ดี ก็เอาพืชผลที่ดีมาให้เหมือนกัน  เราทำงานตั้งเยอะนะ  ทำไมไม่ให้”

            คิดไปเรื่อยๆ ไม่พอใจ พระยาเวห์ พระเจ้าพูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม?”

            “เจ้าทำหน้าบึ้งทำไม? เจ้าไปคิดอย่างนั้นไม่ได้นะ ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ถูก” เห็นไหม? คือถูกกฎ

            “ลูก ลูกทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาแต่ใจตัวไม่ได้ มันมีกฎของมันอยู่ เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด”

            คำว่า “สิ่งที่ผิด” นี้ไม่ได้หมายถึงการกระทำบาปชั่วช้าอะไรต่างๆ ยังไม่ได้ทำเลย ยังไม่ได้ฆ่าน้องเลย

            “ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด” หมายถึงผิดกฎ กฎบอกแล้วไงว่าให้ใช้เลือดสัตว์ มาใช้อย่างนี้ได้อย่างไร?

            “ความบาป ก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่”

            เห็นไหม? ความบาป ก็คือมารเป็นผู้ควบคุมความบาป ตัวบาปมันก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ แสดงว่าอยู่ข้างนอก ถูกไหม? แต่มันส่งอะไรเข้ามา ส่งความคิด เข้าไปที่คาอิน

            “มันหมอบอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า”

            มารมันหมอบที่ประตู ประตู คืออะไร?  ประตูความคิดของเจ้าไง มันตั้งใจจะเข้ามาครอบงำเจ้า ยอมไหม? มันอยากครอบคลุมเจ้า แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายครอบงำมัน  ก็คือเจ้าต้องครอบคลุมมัน มันไม่มีอำนาจ ถ้าเจ้าแข็งขึ้นมา มันก็แพ้ มันอยากควบคุมเจ้า  เหมือนมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้ มันอยากควบคุมมนุษย์  โดยให้ความคิดหลอกลวงเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย ถ้าเผื่อยอมมันมากๆ ก็เหมือนมันมากๆ ที่เรียกว่าถูกครอบงำด้วยผี ก็คือด้วยมาร มนุษย์ทั่วไป ถึงแม้มีส่วนน้อยที่ยอมมันถึงขนาดนั้น  ถูกหลอก แต่ไม่ยอมมันถึงขนาดนั้น เพราะว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ยังมีความรู้สึกผิดชอบอยู่บ้าง แต่สำหรับคริสเตียนสบายกว่า เพราะเรามีพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราภายใน  เราสามารถปฏิเสธมันได้ มันไม่ใช่ตัวเรา

            เพราะฉะนั้น บางครั้ง เราถูกข้อมูลเก่าๆ ที่เคยอยู่ก่อนเป็นคริสเตียน  แล้วเรากระทำสิ่งนั้น ตามข้อมูล  มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นมูลต้นเหตุให้กระทำ  แต่มันเป็นเพราะความคิดข้อมูลเก่า ที่ยังอยู่ นี่คือสงคราม แล้วเราก็ไปทำมัน ผิดพลาดไป นี่คือสงครามทางฝ่ายวิญญาณ เราต้องรู้ว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรานั้น เป็นใหญ่กว่าข้อมูลของมาร  อิทธิพลของมาร ที่อยู่ในโลก ซึ่งเราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ยังมีโอกาสอยู่ภายใต้อิทธิพล การหลอกลวง ล่อลวงของมันได้อยู่ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 1

            วิญญาณของคริสเตียน อยู่ที่ไหนทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ?

            มาดูความจริงในข้อพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสถานะที่อยู่อาศัยทางวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ

            โรม 8:9 … “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาปอยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ

            เนื้อหนังนี้  ไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของเรา  ไม่ได้เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของวิญญาณ จิตใจหรือร่างกายของเราเลย   แต่เป็นเหมือนปรสิต  หรือกาฝาก  ที่แอบซ่อนอยู่

            ความหมายในโลกฝ่ายวิญญาณของคำว่า “Sarx” (ซาร์ซ) หรือ “Flesh”  หรือเนื้อหนังนี้ คือหลักการสำคัญของระบบ ที่ปกคลุม ครอบครองอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านความดี ต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าความบาปชั่ว ความมืดที่มีพลัง อิทธิพลในการผลักดัน ให้มนุษย์กระทำตาม

            ซึ่งพลังอิทธิพลของตัณหาของเนื้อหนัง ความบาปชั่ว ความมืดนี้ควบคุมโดยมาร ที่คอยส่งกระแสพลังอิทธิพลของความบาป และความตายนี้ มาหลอกลวง ผลักดัน ชักจูงให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และตัดสินใจกระทำบาปชั่วตามมัน คือกระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเป้าหมาย ความประสงค์อันดีงามของพระเจ้า เรียกว่าบาป (แปลว่าผิดเป้าหมาย)

            ซึ่งหลายครั้งแยบยล ดูดีงามมาก ดูไม่ออกว่าเป็นเนื้อหนังหรือความบาปชั่ว หรือไม่ตามสายตามนุษย์ ที่ดูแค่ภายนอก เช่นการให้ทรัพย์สิ่งของออกไป เพื่อจะได้รับชื่อเสียง หรือผลประโยชน์เข้ามาหาตนเอง ซึ่งก็คือบาป คือความโลภและการเห็นแก่ตัวนั่นเอง

            พระเจ้าอวยพรครับ