คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2024
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 11 “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้มาต่อ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 11 ชื่อเรื่อง “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”
ต้องพูดดังๆ ชัดๆ เพราะถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เวลาเราพูดชัดๆ ดังๆ ให้ตัวเราเองฟัง มันจะทำให้ซึมเข้าไป ไหลเข้าไปอยู่ในความคิดจิตใจเรา จำได้มากขึ้น แล้วทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต เป็นไปตามถ้อยคำนี้ได้ ก็คือ …
“พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในฉัน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”
ยอห์นกำลังอธิบายให้เราเห็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในหนังสือ 1 ยอห์นว่าสภาวะทางวิญญาณที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิงของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียน แตกต่างกับผู้ที่ไม่เชื่อ ที่ในยอห์นเรียกว่าผู้ที่ถูกหลอกลวง หรือผู้ที่ไปสอนเขา ก็คือไปหลอกเขา จะหลอกแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ แต่ว่าไปพูดความเท็จให้เขาฟัง แตกต่างกับคนที่เป็นคริสเตียนอย่างไร? เพื่ออะไร? ยอห์นต้องการชี้ให้เห็น เพื่อเราผู้เชื่อจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริง? อะไรคือความเท็จ ความหลอกลวง? อะไรคือความโกหก? อะไรคือความสว่าง? อะไรคือความมืด? อะไรคือความรัก? คือความเกลียดชัง ขโมย ฆ่าและทำลาย? ให้เราคริสเตียนได้รับรู้ความจริง สำหรับวันนี้นะ ว่า …
“พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”
2 ฝั่ง เห็นไหม? ในพระคริสต์ ในโลก พระคริสต์ผู้สถิตในท่าน ใหญ่กว่าความบาปที่อยู่ในโลก ความสว่าง ความจริงที่อยู่ในท่าน ใหญ่กว่าความเท็จที่อยู่ในโลก ความรักที่อยู่ในท่าน ใหญ่กว่าความเกลียดชังที่อยู่ในโลก พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน ใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก เอเมน
นี่คือความจริง อาจารย์ยอห์นกำลังอธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างชัดๆ ให้เราละเอียดเลย วันนี้เริ่มต้นบทที่ 4 … 1 ยอห์น 4:1 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 4:1 “ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณทุกวิญญาณ แต่จงทดสอบวิญญาณเหล่านั้นว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่าผู้เผยพระวจนะเท็จหลายคน ได้ออกไปในโลกแล้ว”
“เพราะว่าผู้เผยพระวจนะเท็จ” ผู้เผยพระวจนะเท็จ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่ตะกี้เราอ่านกันในหัวข้อเรื่องปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้เผยพระวจนะเท็จหลายคน มีจำนวนมาก ได้ออกไปในโลกแล้ว ตระเวนไปในโลก ตั้งแต่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว หรือพูดง่ายๆ ว่าตั้งแต่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระมาซีฮาห์ จนกระทั่งถึงไปตายที่ไม้กางเขน จนกระทั่งบอกงานการไถ่บาปของพระองค์สำเร็จแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปฏิปักษ์พระคริสต์ต่อต้านข่าวประเสริฐนี้ ก็เริ่มต้น ทำงานของเขาเหมือนกัน ออกไปประกาศข่าวเท็จเหมือนกัน ยอห์นก็เลยเตือนให้ระมัดระวัง และทดสอบวิญญาณ คำสอนต่างๆ ของเขา ที่เราอาจจะได้ยิน ได้ฟัง เพื่อให้คริสเตียน มีความแน่ใจว่าที่ได้ยินได้ฟังนั้น มันมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากผู้เผยพระวจนะเท็จ หรือคำสอนผิดๆ ที่นำผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ฟัง ไปสู่เรื่องไร้สาระ แทนที่คริสเตียนผู้เชื่อนั้น จะรู้ความจริงเรื่องข่าวดีว่าเขาหรือท่าน เป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้เรียบร้อยแล้วนั้น แทนที่จะรู้เรื่องนี้ กลับไปรู้เรื่องไร้สาระ คือเรื่องตรงกันข้าม เรื่องต่อต้านพระคริสต์แทน
เช่น เราได้เรียนรู้กันมาแล้วตอนต้นๆ ตั้งแต่บทแรกของ 1 ยอห์น อาจารย์ยอห์นพูดถึงเรื่องพวกนอสติก แล้วพวกที่เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ทั้งหลาย อาจารย์ยอห์น ใช้คำว่า “ทั้งหลาย” คือมันมีเยอะ ที่ตั้งตนเป็นครูสอนเรื่องข่าวดีของพระเยซูแบบผิดๆ แบบไร้สาระ อาจารย์ยอห์นใช้คำนี้ว่า “ไร้สาระ” ไม่ตรงกับความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า พวกเขาจะประกาศ สอนความจริงได้อย่างไร? อาจารย์ยอห์นบอก ในเมื่อภายในใจของพวกเขา เป็นความเท็จอยู่ พวกเขายังปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาสิฮาห์ ปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าที่มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งความจริงตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เลย คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ นี่เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวดีของพระเจ้า
ข่าวดี คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ ต้องมาเข้าส่วนร่วม เป็นพี่น้อง คือเข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ เพื่อจะไปตายที่ไม้กางเขน เป็นตัวแทนให้เรา ตาย เพื่อแบกบาปของเราไว้และตาย เพื่อว่าตัวเก่าของเรา มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นคนบาป จะได้ตายพร้อมพระองค์ไปด้วย และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 การเป็นขึ้นมาใหม่ เราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาป ก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนพระองค์ด้วย นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดในร่างกายของมนุษย์
คำสอนของลัทธินอสติก แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้า ในยุคนั้น เรื่องแรกนั้น พวกนอสติกเขาเชื่อว่ามีความรู้อันลึกลับและสูงสุด ที่ซ่อนไว้ ทุกคนต้องเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง จากพระเจ้า นอกจากความรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พูดง่ายๆ ว่ารู้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ยังไม่พอ จะต้องทำอะไรเพิ่มเติม เรียนรู้ความล้ำลึก แห่งข่าวประเสริฐนั้น ลึกลับอีกทีหนึ่ง พูดง่ายๆ เชื่อพระเยซูคริสต์ก็ดีอยู่ แต่ว่ายังไม่สมบูรณ์ ต้องบวกด้วยการกระทำของตนเอง จึงจะรอด ตามที่หวังไว้ เขามาแทรกซึมเข้าไป ในลักษณะอย่างนี้ และการกระทำที่ว่านี้ ก็คือแสวงหาความรู้ทางวิญญาณ ลึกลับ จากพวกเขา พวกนอสติก เขาเชื่ออย่างนี้ เขามาสอน เพื่อว่าคริสเตียนที่เชื่อแล้ว คุณจะได้เป็นคริสเตียนพิเศษ นี่คริสเตียนธรรมดา เป็นคริสเตียนที่รู้ความทางฝ่ายวิญญาณอันลี้ลับ ที่เขาจะสอนให้ คุณจะได้เป็นคริสเตียนพิเศษ ได้รับรางวัลจากพระเจ้ามากกว่าคนที่เป็นคริสเตียนธรรมดา อะไรประมาณนี้ มันเป็นอย่างนั้น
อัครทูตยอห์น จึงเตือนพี่น้องคริสเตียน ให้รู้จักสังเกตวิญญาณว่าคำสอนนั้น ถ้อยคำนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือมาจากวิญญาณที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ถ้าไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ข้อความความจริงของข่าวประเสริฐ ก็ให้ปฏิเสธ อย่าไปรับฟัง ถ้าไม่ตรงกับข่าวประเสริฐ ข่าวดีมีอยู่แค่นั้น ถ้ามีอะไรมาเสริม เติมแบบแปลกๆ ก็ไม่ต้องฟัง
ปฏิปักษ์พระคริสต์ คือใคร? ในบริบทที่กล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงคนที่หลง อุปโลกน์ตัวเอง ตั้งตนเองเป็นพระคริสต์ เป็นพระเมสิยาห์ ซึ่งมีคนไม่เข้าใจถ้อยคำนี้ ไปแปลว่าตรงนี้หมายถึงคนที่ตั้งตนเองเป็นพระคริสต์ แล้วก็สุ่มเอาว่าคนนี้ๆ คือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่จะขึ้นมา ไม่ใช่ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ตรงนี้ หมายถึงคนที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาสิฮาห์ ใครก็ตามที่ปฏิเสธ หมายถึงคนที่ปฏิเสธ และไม่เชื่อว่าพระคริสต์ เป็นพระมาสิฮาห์ คือพระเจ้าที่ลงมาเกิดในเนื้อหนัง ในร่างกายของมนุษย์
และคนเหล่านี้ ก็จะสอนผู้คนด้วยความเชื่อที่ผิดๆ ในเรื่องของข่าวดีของพระเยซู โดยปฏิเสธความจริงในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ บิดเบือนความจริงของข่าวดี เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านความจริงของพระคริสต์ อาจารย์ยอห์นจึงใช้คำว่าพวกนี้เป็นพวกปฏิปักษ์พระคริสต์ … ปฏิปักษ์พระคริสต์หมายถึงอย่างนี้นะ ไม่ใช่มีคน สองคนเท่านั้น มีเต็มไปหมดเลย ซึ่งปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ มีทั้งแบบไม่เชื่อเลย ไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย จนถึงที่เป็นคริสเตียนแล้ว แต่ไม่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด เพราะได้รับคำสอนต่อๆ มาอย่างผิดๆ จึงมีความเชื่ออย่างผิดๆ ต่อข่าวดี ซึ่งเท่ากับต่อต้านพระคริสต์ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ โดยไม่รู้ตัว นึกให้ดีๆ ตรงนี้ก็มีเยอะกว่า
มีทั้งปฏิปักษ์พระคริสต์ พูดง่ายๆ รุนแรง ที่เราเห็นชัดๆ จนกระทั่งถึง ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์แบบสุภาพ นึกภาพออกนะ ตั้งแต่ตอนนั้น มาถึงตอนนี้ 2,000 ปี มีแค่นี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์มีเยอะแยะเลย มีรุนแรง จนกระทั่งอ่อนที่สุด แบบสุภาพ แบบรุนแรง ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เลย เมื่อ 2,000 ปี ก่อนนั้นชัดเจนที่สุดเลย ก็คือพวกชาวยิวด้วยกัน เขากล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนหลอกลวง และดูหมิ่นพระเจ้าของเขา ดูหมิ่นศาสนายิว ต้องฆ่าให้ตาย รุนแรงที่สุด
แล้วก็มีคนยิวต่อต้านเหมือนกัน แต่รองความรุนแรงลงมา รุนแรงน้อยลง ก็คือกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นผู้เผยพระวจนะเฉยๆ เชื่อนะว่าพระเยซูมาจากพระเจ้า แต่ไม่ได้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ เชื่อว่าพระองค์เป็นเหมือนอิสยาห์ เอลียาห์ ก็คือเป็นคนธรรมดา เป็นผู้รับใช้พระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็รองลงมาอีก สุภาพขึ้นอีก อันนี้ไม่ใช่ยิวอย่างเดียวแล้ว คนธรรมดาทั่วไป ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็คือพระเยซูเป็นคนดีคนหนึ่ง มีเมตตา มีความรัก ต่อเด็กๆ ต่อสังคม ใน 2,000 ปีจะมีอย่างนี้เยอะแยะ นี่คือเหล่าผู้ปฏิปักษ์ หรือต่อต้านพระคริสต์ทั้งนั้น
ถึงในปัจจุบัน เราก็ได้ยินบ่อยๆ พระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ใช่ พระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ แต่พระเยซูเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ นี่คือแบบสุภาพ
มีคนเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง เหมือนกับชาวยิว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ยังเชื่ออย่างนั้น ในปัจจุบัน ก็ยังมีคนเชื่ออย่างนั้นอยู่ จนกระทั่ง ในสุดท้าย สุภาพแบบรุนแรงลึกๆ ก็คือตั้งแต่ต้น มาถึงปัจจุบัน 2,000 ปี มีคนกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนเสียสติ เหล่านี้ทั้งหมด คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่อาจารย์ยอห์นกำลังพูดถึง คือปฏิปักษ์พระคริสต์ แอนตี้ไคร์ซ พูดง่ายๆ ก็คือต่อต้านพระคริสต์ เป็นศัตรูกับพระคริสต์ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่านี่คือกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐ กระดุมเม็ดแรกของต้นเหตุของปัญหาการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ทั้ง 2 รูปแบบ คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ นี่คือกระดุมเม็ดแรกเลย เพราะเขามีความเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์นั้น ต่ำต้อย เป็นบาป มีมลทิน พระเจ้ารังเกียจและขยะแขยง นี่คือความเชื่อของพวกนอสติก ซึ่งหมายถึงถ้าเราเชื่อตามนอสติกเหล่านี้ว่าร่างกายเป็นที่น่าขยะแขยง เป็นสิ่งสกปรกโสโครก พระเจ้าไม่มาสถิตอยู่ด้วย มันก็หมายถึงเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนด้วย
กระทบถึงเราด้วย เพราะเราคริสเตียนผู้เชื่อ ได้บังเกิดใหม่ ดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายแบบนี้ เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตามหลักพระคัมภีร์ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเลยว่าเมื่อเรารับเชื่อแล้ว เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซู พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ถ้าเผื่อกระดุมเม็ดแรก หัวใจของข่าวประเสริฐ เชื่อผิดไป พระเจ้าไม่ได้มาสถิตกับพระเยซู อยู่ในร่างกายของมนุษย์ เราที่เป็นร่างกายของมนุษย์ที่เป็นคริสเตียน พระเจ้าก็ไม่สถิตอยู่ภายในเรา คริสเตียนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหัวใจหรือสาระสำคัญของการเป็นคริสเตียน ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถึงขนาดพระเจ้าเผยพระวจนะมาตั้งหลายพันปี ก่อนจะเกิดเหตุการณ์จริงขึ้น คือพระเจ้าบอกว่าพระเยซูจะมาเกิด จะให้ชื่อว่าอิมมานูเอล … อิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ
ยอห์นแนะนำวิธีสังเกตวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ต่อไปนี้ สังเกตวิญญาณอย่างนี้นะ จะได้รู้ว่าคนที่พูด ถ้อยคำที่สอน มาจากพระเจ้าหรือมาจากปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านความจริง ต่อต้านข่าวประเสริฐกันแน่ อย่าฟัง แล้วเชื่อเลย นี่เป็นเพราะว่าอยู่ในโบสถ์ มีชื่อว่าศิษยาภิบาล มีชื่อว่าผู้สอน ต้องเชื่อ เพราะว่าผมหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ต้องเชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เชื่อ โดยคำพูดที่พูดออกไปนี้ สังเกตตรงไหน? มาดูที่ 1 ยอห์น 4:2-3 อาจารย์ยอห์นแนะนำวิธีสังเกตวิญญาณ คำสอน …
1 ยอห์น 4:2-3 “2 ท่านจะทราบพระวิญญาณของพระเจ้าได้ ก็คือทุกวิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิดเป็นร่างกายมนุษย์ เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้า 3 แต่วิญญาณใด ที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งท่านได้ยินได้ฟังแล้วว่ากำลังมา และขณะนี้อยู่ในโลกแล้ว”
ท่านจะรับรู้ได้ว่าถ้อยคำนั้น เป็นความจริง มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเป็นความเท็จ มาจากวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เป็นของโลก ก็คือคำสอนนั้นยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์หรือไม่?
ขณะที่ฟังผมพูดทุกวัน ฟังอาจารย์วราพร ฟังอาจารย์ธิดารัตน์บรรยายทุกวัน ฟังแล้วก็คิดตามนี้ พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์หรือเปล่า? เขาเชื่อตรงนี้ไหม? เพราะความสำคัญที่สุดของความจริงของข่าวดี ก็คือพระเยซู คือพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ สำคัญที่สุดของข่าวดี … ข่าวดีของพระเจ้ามีอยู่แค่นี้เอง คือเริ่มต้นที่วันคริสต์มาส มาจบลงที่วันอีสเตอร์ แค่นี้เอง นอกนั้นมันไม่ใช่ นอกนั้น มันเรื่องไร้สาระ ต้องเชื่อวันคริสต์มาส และไปจบลงที่วันอีสเตอร์ ถ้าไม่เชื่อวันคริสต์มาส ไม่มีวันอีสเตอร์แน่นอน พอนึกออกไหม?
พวกนอสติกเขาไม่เชื่อทั้ง 2 อันเลย แต่เขาเริ่มต้นจากการไม่เชื่อเบอร์แรกเลย คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะไม่มีวันอีสเตอร์ คือพระเจ้าในร่างกายของมนุษย์ ตายแทนมวลมนุษย์ทั้งปวง รับบาปเอาไว้ นึกภาพออกใช่ไหม? นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ มันคือกระดุมเม็ดแรกของการปฏิเสธพระเยซู การบิดเบือนข่าวดีของพระเยซู
พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว อะไรสำเร็จ วันที่พระองค์มาเกิด คริสต์มาส จนไปจบที่ไม้กางเขน วันอีสเตอร์ พระองค์จบคำว่าสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ก็คือไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว มาเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาทั้งหมด จากอดีตมา ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่คนไม่เชื่อ ก็บอกมันยังไม่สำเร็จ มันยังไม่เกิดขึ้น ให้รอไปก่อน นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ และสามารถสังเกตได้ว่ามันตรงหรือไม่ตรง เพราะฉะนั้น รู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ ทุกคนทราบแล้วนะว่าถ้าผมขึ้นมาพูด หรืออาจารย์วราพร หรือครูหนุ่ยขึ้นมาพูด แล้วพูดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ท่านเอ๊ะ! ไม่ได้เชื่อในพระเยซู เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ ท่านไม่ต้องฟังเลย ท่านมาฟ้องได้เลย ฟ้องใครก็ได้ ฟ้องพระเจ้า หรือท่านก็ไปหาคนอื่นฟัง ไม่ต้องรับฟัง นี่อาจารย์ยอห์นบอก ไม่ใช่ผมบอกนะ ก็อย่าไปรับฟัง
เพราะมันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่มนุษย์เราจะเชื่อว่าพระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้อย่างไร? มันเชื่อยาก แต่ข่าวประเสริฐมันเป็นอย่างนี้จริงๆ มันง่ายเกินไป ทำให้มนุษย์เชื่อยาก ความจริง คือพระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ไม่ได้รังเกียจร่างกายของมนุษย์ว่าสกปรก แต่ทรงรักร่างกายของมนุษย์อีกต่างหาก เพราะเป็นร่างกายที่พระองค์ก็เป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งสิ้น เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น นี่คือความจริง
พระเยซูทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นแบบอย่างให้กับเราคริสเตียน คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ได้จริงๆ ความจริงตรงนี้ จึงเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ อาจารย์เปาโลบอกว่า …
“พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวัง แห่งเกียรติสิริ” ในโคโลสี 1:27 ได้บันทึกไว้
ความหวังของคริสเตียน คือพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน สถิตเมื่อไร? เดี๋ยวนี้ เมื่อเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน เดี๋ยวนี้ พระคริสต์สถิตอยู่ในฉันแล้ว จริงๆ เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน แล้วจะสถิตอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ นี่คือความจริงของข่าวประเสริฐ นี่คือความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่อาจารย์ยอห์นบอก
อาจารย์ยอห์นบอกว่าขณะนี้เลย เดี๋ยวนี้เลย บนโลกใบนี้เลย ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า วิญญาณของท่าน ใจของท่าน มาจากพระเจ้า ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในร่างกายของท่านอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว
หนังสือโรม อาจารย์เปาโลก็ได้พูดอย่างนี้ โรม 12:1 ลองอ่านดู …
โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่าน ให้สมกับที่พระเจ้า ได้ทรงชำระท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้) และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”
นี่คือความจริงในข่าวประเสริฐพระเจ้า ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของท่าน ท่านมีสิทธิ์ พระเจ้าไม่ได้บังคับ พระเจ้าให้สิทธิกับท่าน ในการตัดสินใจ ให้อิสระ แต่อาจารย์เปาโลแนะนำให้ท่านว่าท่านควรจะยอม
ยอมอะไร? ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย มอบร่างกาย จำคำว่า “ร่างกาย” นี้ไว้ พร้อมสมอง ความคิด สติปัญญาของท่าน ให้สมกับ “สมกับ” แปลว่าเป็นแล้ว ถูกไหม? ทำตัวให้สมกับเป็นคนหน่อย ก็คือเป็นคนหรือยัง? เป็นแล้ว โอเค มอบร่างกายนะ ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่านแล้ว ก็คือได้ทรงชำระร่างกายของท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ก็คือด้วยพระเยซูคริสต์ ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นแหละ คือพระคุณ ทำให้คุณที่เชื่อได้ร่างกายที่จะอ่านต่อไปนี้ “ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่” พระเจ้าได้ทรงชำระร่างกายของท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระองค์ ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้ และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ พูดง่ายๆ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่เข้ามาสถิตอยู่
เพราะฉะนั้น ท่านได้เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของท่าน ไม่ได้พูดถึงวิญญาณ ใจใหม่ที่ได้ไปเรียบร้อยแล้ว เห็นชัดๆ ร่างกายที่ท่านกำลังคิดว่าไม่ดี หรือว่ามีคนกล่าวหาว่าสกปรก มีมลทิน ทำบาปอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พระเจ้าบอกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านกลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า และร่างกายของท่านสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เอเมน
เพราะฉะนั้น ทุกส่วนที่เป็นตัวเรา หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ ใจใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้เกิดใหม่ ร่างกายเรา ก็เป็นใหม่หมดทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้ และโปรดปรานด้วย ไม่ใช่รับได้เฉยๆ ชอบอีก พระองค์จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่ด้วย จึงไม่มีสิ่งใดๆ ในตัวท่านสักนิดเดียวเลย ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าของท่าน เป็นบาปเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เพราะฉะนั้น ท่านก็สามารถสังเกตได้ว่าผมขึ้นมาบรรยาย อาจารย์วราพรขึ้นมาบรรยาย อาจารย์ธิดารัตน์ขึ้นมาบรรยาย พูดว่าร่างกายของเราที่รับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแล้วหรือไม่? ถ้าเผื่อไม่ อย่ารับฟัง ถ้าแม้กระทั่งผมพูดเอง แล้วเอาพระคัมภีร์ขึ้นมาบอก แล้วบอกว่าเขาพูดมาอย่างนี้ ไม่เชื่อ แปลผิด พูดผิด ไม่ใช่แล้ว เพราะว่าความจริง คือใจใหม่ วิญญาณใหม่ ร่างกายบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าโปรดปรานใหม่ เป็นของฉันเดี๋ยวนี้ ยืนยันความจริงในข่าวประเสริฐ เป็นแบบนี้ เอเมน ท่านลองคิดในใจ เดินออกไป เมื่อถูกโจมตีเข้ามา ท่านคิดในใจ ถ้าท่านไม่พูดออกจากปากว่าเป็นอย่างนี้ หรือถ้าท่านพูดออกจากปาก เพื่อนที่ยังไม่รู้ความจริง ได้ฟังว่าวิญญาณ จิตใจฉัน และร่างกายฉันสะอาด หมดจด บริสุทธิ์เลย
เขาก็จะบอกว่า “อ้าว! แต่ฉันยังเห็นเธอทำบาปอยู่เลย”
แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? เดี๋ยวฟังตรงนี้ ท่านก็จะได้รู้ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไร? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้แล้วว่าเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ชัดๆ เลย เป็นอย่างนั้น แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งบนโลกนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่ามีทั้งพลังของความบาปยังอยู่ มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มีความชั่วร้าย ซึ่งมารควบคุมอยู่ มีอิทธิพล คอยชักจูง ผลักดัน ล่อลวงให้เราหลงทำตามมัน มันซึ่งเป็นความบาป มันไม่ใช่ตัวเรา หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเลย มันก็เป็นเหมือนปรสิตหรือพยาธิที่แอบอาศัยอยู่ในเรา แต่มันไม่ใช่ตัวเรา เราต้องยึดพระคัมภีร์เอาไว้อย่างแน่นเลย นี่คือสิ่งที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่บอกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็จะพูดตรงกันข้าม นึกออกใช่ไหม?
“เธอเป็นคนทำ ก็ต้องเป็นตัวเธอสิ” … นี่คือปฏิปักษ์พระคริสต์
แต่ถ้ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผย 2 โครินธ์ 5:17 ไว้อย่างนี้ว่า …
2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”
ปฏิปักษ์พระคริสต์ ตะกี้บอกเรา “เธอยังทำบาปอยู่เลย เธอสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ได้อย่างไร ร่างกาย เห็นตะกี้ยังหงุดหงิดใส่ลูก ใส่สามี ใส่ภรรยาอยู่เลย เห็นชัดๆ อยู่เลย แล้วในนี้บอกตัวเองศักดิ์สิทธิ์”
“ไม่รู้ล่ะ ฉันจะบอกให้เธอฟัง ใน 2 โครินธ์ 5:17 ถ้าท่านจำไม่ได้ ไม่เป็นไร พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ว่าผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เป็นคริสเตียน เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ บังเกิดใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว ตัวเก่า จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”
พูดให้ใครฟัง? พูดให้ตัวเองฟัง ไม่ต้องพูดให้คนที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ฟัง เขาไม่เข้าใจหรอก เพราะว่าวิญญาณเขาและเรามันคนละเรื่องกัน คนละอย่างกัน แต่ถ้าเรามาพูดกับพี่น้องที่เป็น คริสเตียนด้วยกัน ที่รู้ เข้าใจเรื่องนี้ด้วยกัน เอเมน ถูกต้องแล้ว ทุกสิ่งใหม่หมด ทั้งวิญญาณ ใจและร่างกาย พระเจ้าไม่ได้ให้เรามาบังเกิดใหม่ ด้วยความสกปรก โสโครกในร่างกาย ท่านคิดดู พระเจ้าให้ท่านบังเกิดใหม่ ใช้คำนี้เลย “บังเกิดใหม่ในพระคริสต์”
พระองค์ไม่ได้มาทำให้ท่านบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพื่อมาเป็นคนบาป หรือมีส่วนใด ส่วนหนึ่งเป็นบาป มีมลทิน สกปรกเหมือนเดิม แล้วจะมาทำให้ท่านบังเกิดใหม่ทำไม? พระคัมภีร์ย้ำอยู่หลายๆ ตอนเลยบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ?” ก็แสดงว่าท่านควรจะรู้ รู้อะไร? ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านจะสกปรกได้อย่างไร? สกปรกแม้แต่นิดหนึ่ง ท่านก็ตายแล้ว พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้หรอก
อัครทูตยอห์นบอกว่าคริสเตียนนั้นแพ้ เหมือนกับคนที่แพ้อาหารทะเล แพ้ปลาหมึก คริสเตียนแพ้ความบาป คนที่แพ้ปลาหมึก กินปลาหมึกอาการปางตายนะ คริสเตียนแพ้บาป คือทำบาปไม่ได้ ทำบาปแล้วดิ้นพลั๊กๆ แตะไม่ได้เลย เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น คริสเตียนไม่สามารถกระทำบาปได้ อาจารย์ยอห์นพูด นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่ได้สามารถทำบาปจากใจของเขาได้ เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สถิตอยู่ภายในเขา และเขาก็บริสุทธิ์เหมือนพระองค์เลย ในพระองค์ไม่มีบาป ในวิญญาณเราก็ไม่มีบาป นึกออกไหม? พระเจ้าไม่ทำบาป เราก็ไม่ทำบาป เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า พูดถึงวิญญาณ ใน 1 ยอห์น 3:9 ที่เราได้เรียนรู้เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ลองอ่านดูอีกทีหนึ่ง …
1 ยอห์น 3:9 “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้า ดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า”
คนที่เป็นคริสเตียน ได้บังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้อของพระเจ้า ก็คือวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า บริสุทธิ์ ไม่มีบาปในวิญญาณ และในใจเลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติภายในได้เลย นอกจากพลั้งพลาด ถูกหลอก เผลอจากภายนอก ก็คือจากโลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า
สรุปแล้ว คริสเตียนจึงเป็นผู้ชนะความบาป แต่แพ้การทำบาป คริสเตียนชนะความบาป แต่แพ้การทำบาป แบบตะกี้แพ้ปลาหมึก แล้วอาจจะมีคนถามท่าน แล้วเวลาเราไปทำบาปล่ะ เป็นอย่างไร? พระคัมภีร์ว่าอย่างไร? เวลาคริสเตียนไปทำบาป ท่านควรจะรู้ จะได้รู้ตัวว่าเราอยู่ในสภาวะใดในวิญญาณ ขณะที่เราทำบาปอยู่ ใครควรรับผิดชอบตรงนั้น
พระคัมภีร์บอกว่าการทำบาปของคริสเตียนนั้น เป็นการกระทำของคริสเตียน ของเรา “การกระทำ” นึกภาพนะ ไม่ได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นการกระทำ แต่ไม่ได้ “เป็น” ตัวตน เหมือนมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนลิง การกระทำเขาทำเหมือนลิง แต่ตัวตนเขาเป็นคน เป็นมนุษย์
เปาโลพูดอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตัวตนจริงๆ ไม่ต้องการทำ มันไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไปที่ทำ แต่มันเป็นบาป ที่กำลังอาศัยอยู่ในตัวข้าพเจ้า เป็นผู้กระทำ”
เห็นไหม? ก็คือที่ปวดหัว ไม่ใช่ฉันอยากจะปวดหัว ฉันไม่อยากจะปวดหัวหรอก แต่ที่ปวดหัวนี้ เพราะว่าตัวจี๊ด มันอยู่ในนั้น ตัวจี๊ด คือพยาธิ
ดังนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกนี้ มันมี 4 สิ่ง ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่า 4 สิ่งที่คอยชักจูง และแนะนำ ผลักดันให้คริสเตียน หรือมนุษย์ทั่วๆ ไป ทุกคนทำบาป คือระบบของโลก กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มารและพลังของความบาป 4 สิ่งนี้มีอิทธิพล กำลังทำงานอยู่ในความคิด ในสมองของเรา ของมนุษย์ทุกคน ตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ในโรม 7:17-20 เปาโลได้กล่าวอย่างนี้ว่าการต่อสู้ภายในระหว่างความปรารถนาของเขา ที่จะทำดี มันต่อสู้กับอำนาจของความบาป ที่ยังคงอยู่ในเนื้อหนังของเขา หรือของคริสเตียนนั้น เปาโลบอกว่าแม้ว่าเขาหรือคริสเตียนจะมีความปรารถนาที่จะทำดี ตามในใจของเขา ที่เป็นอยู่ แต่บาปที่อยู่ในเนื้อหนังของเขา ก็ยังคงทำให้เขาทำสิ่งที่เขาไม่อยากจะทำ เห็นไหม นี่อย่างชัดเจน เพราะสิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงฐานะของคริสเตียนว่าในธรรมชาติใหม่ของคริสเตียน มันเป็นอย่างนี้ คือบริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอาจถูกหลอกลวงให้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เรียกว่าบาปได้ ซึ่งได้รับการอภัยจากพระเจ้าอยู่เสมอ เพราะว่าคริสเตียนเป็นสิ่งที่ทรงสร้างใหม่ในพระคริสต์ เกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น คริสเตียนจึงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เหมือนพระเยซู ที่ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เหมือนกันไม่มีผิดเลย
พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สะอาด หมดจดทั้งร่างกายและวิญญาณ เพียงแต่ว่าเราเคยมีประสบการณ์ จากการเป็นคนบาป ในสมองเรายังมีโปรแกรมเดิมอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นโปรแกรม อย่างที่ตะกี้บอก เป็นพยาธิ ความเคยชิน เพราะฉะนั้น ในโลกนี้ มีอะไรมากระตุ้นให้เรา ทำตามมัน เราอาจจะเผลอไปทำตาม แต่เผลอไปทำตามเมื่อไรก็ตาม วิญญาณข้างในจะทนไม่ไหว เขาเรียกว่าแพ้ เดี๋ยวก็ต้องหยุด ไปไม่รอด จะถูกหลอกไปไม่ได้นาน
ส่วนพวกปฏิปักษ์พระคริสต์ พวกสอนเท็จ ต่อต้านความจริง มักจะสอนว่าอย่างนี้ ฟังให้ดีๆ นะ จะได้รู้ แยกแยะได้ว่ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือมาจากวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ผลิตคำสอน คำบรรยาย ถ้อยคำเหล่านั้น
พวกปฏิปักษ์พระคริสต์ สอนเท็จ ต่อต้านความจริง ต่อต้านพระเยซูคริสต์ มักจะสอนว่าพระเยซูไม่ได้มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เพราะร่างกายของมนุษย์เป็นบาป สกปรก ซึ่งเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐบอกว่าร่างกายมนุษย์สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ดีพร้อม พระเจ้าเข้ามาอยู่ได้ นี่คือกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ กระดุมเม็ดแรกของการต่อต้าน ไม่จริง ไม่ใช่ พระเจ้าไม่มาสถิตกับเธอหรอก ไม่มาสถิตกับมนุษย์หรอก เพราะมนุษย์สกปรก ร่างกายนี้สกปรก
นี่คือต้นเหตุของความเท็จทั้งหลาย ที่นำมาต่อต้านความจริงของพระเยซูในข่าวประเสริฐ และเป็นต้นเหตุของความเท็จอีกมากมาย ที่จะตามมา หลังจากนี้ และมันก็ตามมาตลอด จนถึงทุกวันนี้ ก็อย่างนี้ เม็ดแรกปุ๊บ เสร็จแล้วก็บานออกไป เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นนั่น ไล่ย้อนกลับไป ต้นเหตุก็มาจากไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเกิดในร่างกายของมนุษย์
ก็เลยทำให้เชื่อว่า … “ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันก็ยังสกปรกอยู่ พระเจ้าไม่สถิตอยู่กับฉันหรอก”
หรือไม่ก็ … “ฉันยังเป็นคนบาป สกปรกอยู่ พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันบางครั้งเท่านั้น ที่ฉันทำดีๆ พอฉันทำบาป พระเจ้าอยู่ไม่ได้ ก็ไป” … นี่มันเป็นอย่างนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเลย ไล่มาถึง 2,000 ปี มันก็จะเป็นอยู่แค่นี้ ไม่มีอะไรใหม่เลย ตัวอย่างเช่น เขาปฏิเสธว่า (เขา คือปฏิปักษ์พระคริสต์นะ) เขาก็จะสอนในลักษณะนี้ว่าแม้เป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังสกปรกอยู่ในร่างกายนี้อยู่ รอวันพิพากษาหลังความตายอีกครั้งหนึ่งว่าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมหรือไม่? พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่ในร่างกายของคริสเตียนผู้เชื่อได้ เพราะยังทำบาปอยู่
นี่ถ้าฟัง แล้วเชื่ออาจารย์ยอห์น ตามที่เราได้เรียนรู้นี้ ฟังถ้อยคำจากที่ไหนก็ตาม ที่มีการสอน เรื่องของไบเบิ้ล ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เรากำลังฟังปฏิปักษ์พระคริสต์ เรากำลังต่อต้านความจริงของข่าวประเสริฐ
อีกอันหนึ่ง ฟังให้ดีๆ สอนว่าคริสเตียนเมื่อเปิดใจรับเชื่อพระเจ้าแล้ว ความรอดนิรันดร์ยังขึ้นอยู่กับการประพฤติ การกระทำ การรักษาความบริสุทธิ์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ต้องรักษาอยู่จนกระทั่งถึงวันตาย ถ้ามีอย่างนี้เมื่อไร? สังเกตดู ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่พระวิญญาณ
พระวิญญาณบอกว่าอย่างไร? อาจารย์ยอห์นบอกว่าเราได้รับการอภัยโทษ ความบาปและความตาย อภัยทั้งบาปในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต จนถึงนิรันดร์เลย อภัยหมดเรียบร้อยแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวบนไม้กางเขน อย่างนี้เป็นต้น
หรือตัวอย่างต่อไป เป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ได้รับความรอด แล้วดีใจ ปิติยินดี แต่คุณต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ บัญญัติของโมเสสด้วย นี่มาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนแล้ว คุณต้องเข้าสุหนัต คุณต้องถวายสิบลด คุณต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้
และในปัจจุบัน คนที่ไม่ได้เป็นชาวยิว ก็ไม่มีกฎของโมเสส แต่มีกฎของศีลธรรม ก็เอากฎของศีลธรรมมาอ้างว่าแต่คุณต้องเป็นคนดีด้วยนะ คือฟัง แล้วมันใช่หมด มันดีตามระบบของโลกใบนี้ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอย่างนั้น ถ้าเรายังคงพึ่งกฎของศีลธรรม ความดี ความชั่วอะไรต่างๆ เหล่านี้อยู่ เราอาจจะได้รับความรอด แต่เราทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย
ข่าวประเสริฐบอกว่าไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม มันไม่ได้เกี่ยวกันกับการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เราได้รับความรอด โดยพระคุณ คือไม่ใช่โดยการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เราต้องยึดตรงนี้ไว้ให้ดีๆ ปฏิปักษ์พระคริสต์มาอย่างแนบเนียน
“คุณเป็นคริสเตียน คุณไม่รักษาการมีศีลธรรม ความดีงามหรือ?”
ใครบอกไม่รักษา รักษามากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะว่าแต่ก่อนนี้ทำบาปไป เฉยๆ หรือสำนึกไม่ค่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้แพ้บาป ทำนิดหนึ่ง ก็ตายแล้ว
เห็นหรือยังปฏิปักษ์มันคืบคลานเข้ามา มันดูเนียนมากเลย ดูดีมาก ต้องปฏิบัติตามนี้สิ เป็นคริสเตียนต้องเป็นคนดีด้วย มันใช่ ถูกต้อง แต่การเป็นคนดีของฉัน ไม่ใช่ เพื่อฉันจะได้รอดจากนรก จากความพินาศหลังความตาย จากการได้ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่ ฉันทำความดี เพราะวิญญาณของฉันเป็นความดี วิญญาณของฉันเป็นธรรมชาติของความดี ฉันทำตามธรรมชาติ ไม่ได้คิดว่าทำดีด้วยซ้ำไป ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เหมือนคนเดินได้ ไม่ใช่ดีใจจัง ฉันเดินได้ ถ้าเป็นงู เดินได้ มันคงดีใจ ฉันเดินได้ เราเป็นคน เดินได้อยู่แล้ว บางครั้งจะลงไปเลื้อย ท่านจะเลื้อยได้นานขนาดไหน? ท่านเป็นคน ท่านไปเลื้อยๆ เหนื่อย ไม่ไหวแล้ว ท่านก็ลุกขึ้นยืน เดิน ฉันใดฉันนั้น
หรือมาสอนว่านอกจากเชื่อในการเป็นคริสเตียนแล้ว คุณต้องทำดีมากๆ เพราะยิ่งคุณทำดี คุณจะได้รับพระพรจากพระเจ้ามากขึ้นด้วย เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตาย ไปอยู่ในสวรรค์ แล้วคุณจะได้รางวัลมากกว่าคนอื่นเขา ยิ่งคุณทำดีๆ ตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ ตามกฎศีลธรรมต่างๆ บนโลกใบนี้ คุณก็จะได้พรอย่างมากมาย จากพระเจ้า ถูกหรือไม่ถูก พระเจ้าต้องการให้พรทุกคนแหละ แต่เราทำดี แล้วเราได้ดี มันก็เป็นไปตามกฎของโลกใบนี้ หว่านอะไร ก็เก็บเกี่ยวอย่างนั้น ทำดี ก็ได้สิ่งดี ถูกต้อง ทำสิ่งชั่ว ก็ได้สิ่งชั่ว ถูกต้องเลย แต่ถูกต้อง เฉพาะโลกใบนี้ ทำดี ท่านก็ได้สิ่งที่ดี การอยู่บนโลกใบนี้ แต่เรื่องโลกวิญญาณ ความรอดนั้น ได้เท่ากันหมดเลย คือรอด โดยการเชื่อว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นมนุษย์ๆ เป็นตัวแทนฉัน ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับฉัน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรสักนิดหนึ่ง ฉันแค่เชื่อเท่านั้นเอง ฉันก็ได้รับความรอดแล้ว เอเมน รางวัลจากพระเจ้าในสวรรค์ มีรางวัลเดียว ก็คือความรอด จากการพินาศเนื่องจากบาป ก็คือนรกนั่นเอง หรือจะให้ชัดอีกนิดหนึ่ง รางวัลจากพระเจ้า ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว ท่านจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์จริงๆ วิญญาณกับใจใหม่ ได้รับเรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้ แต่ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในวันหนึ่ง เมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะได้รับการสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า และจะร่วมครอบครองในสวรรค์ ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นร่วมกับพระเยซูคริสต์ และร่วมกับธรรมิกชนทั้งหลาย เป็นนิรันดร์ นั่นแหละคือรางวัล เท่ากันทุกคน เพราะทุกคนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับโดยพระคุณ เท่าๆ กัน
ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ก็คือทำตามกฎศีลธรรมไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าทำบาปนั่นแหละ ปฏิบัติได้น้อย ตามสายตามนุษย์ ไม่ได้ดีขึ้น ซึ่งฟังดู แล้วมีเหตุผลทั้งสิ้น ถ้าทำไม่ได้ หรือปฏิบัติได้น้อย ปรับปรุงตัวได้น้อย วันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป สู่โลกวิญญาณ พระเจ้าอาจจะบอกว่า …
“จงไปให้พ้น เราไม่รู้จักเจ้า” … โอ๊ย! คริสเตียนขนหัวลุก
แล้วทำอย่างไร ถึงจะทำได้อย่างนี้? มันถูกไหม? ฟังดูเหมือนถูก แต่มันก็ผิดอีกแหละ …
“ฉันรอด รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ”
“อย่างนี้ ก็ส่งเสริมให้เขาทำบ่อยๆ สิ”
ก็กลับมาที่เดิม ก็บอกแล้วไง? บอกว่าแพ้บาป ยังพยายามยัดเยียดให้เราเป็นอย่างนั้นอีก จะเห็นไหมเนี้ย? สิ่งที่มันเกิดขึ้นในวงการคริสเตียนในขณะนี้ มันทำลายความจริงของข่าวประเสริฐ มันทำร้ายข่าวประเสริฐ ทำให้ข่าวประเสริฐอ่อนฤทธิ์ลง อ่อนกำลังลง ด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์ ด้วยการดูดีแบบมนุษย์ แต่มันก็คือบาป ปฏิเสธความจริงของพระเยซูคริสต์ ก็คือบาป เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ แต่ดูดี มีปฏิปักษ์พระคริสต์ แบบดูไม่ดี แบบเห็นเลย กับปฏิปักษ์พระคริสต์ แบบดูดี อย่างนี้ดูดี
หรือมาเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ปิติยินดีมาก ไม่พอๆ เธอต้องได้รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าตอนที่เธอรับเชื่อไป ยังไม่เต็มล้น เธอต้องมารับการเจิม ต้องมาโบสถ์ เดี๋ยวมีคนมาวางมือเจิมให้ เธอจะได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น พระวิญญาณกลายเป็นสิ่งของ
พระคัมภีร์บอกพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูก็เข้ามาแล้ว เข้ามาครึ่งตัวเอง เพราะฉะนั้น เธอต้องไปเติมอีกครึ่งตัว นี่พระวิญญาณกลายเป็นสิ่งของ กลายเป็นวัตถุ กลายเป็นไฟ กลายเป็นอะไรก็ตามที่ต้องเติมเข้าไป มาอยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ พูดง่ายๆ ว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ทันทีปุ๊บ พระเยซูเข้ามาอยู่ครึ่งตัว แล้วเธอต้องไปโบสถ์บ่อยๆ เดี๋ยวไปรับการเจิม เดี๋ยวพระเยซูจะได้เข้ามาอีกครึ่งตัว เพื่อจะได้ชีวิตคริสเตียนครบถ้วนบริบูรณ์ เขาว่าอย่างนั้น แล้วเธอต้องพูดภาษาแปลกๆ ด้วย ต้องรับบัพติศมาในน้ำด้วย ถึงจะรอดนะ เหล่านี้ ต้องทำมหาสนิทบ่อยๆ และเวลาทำมหาสนิทต้องระมัดระวังนะ เผลอเอาให้เด็กกินไม่ได้ เด็กกิน เด็กโดนสาปแช่งนะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันอยู่ในวงการคริสเตียนเยอะแยะ ต้องสารภาพบาปทุกวัน อย่าลืมนะ ถ้าลืม บาปมันติดตัวเธอไปถึงวันพิพากษา นี่ชัดเจนมาก
ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ การสอนเท็จเหล่านี้ ล้วนเกิดมาจากความไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของข่าวดี ที่พระเจ้าทรงส่งพระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป ซึ่งข่าวดีนี้ เริ่มต้น จากที่ผมบอก เริ่มต้นจากวันคริสต์มาส มาจบเอาวันอีสเตอร์ แค่นั้นเอง
และผลของปฏิปักษ์พระคริสต์ ตะกี้นี้ ที่เราพูดมาทั้งหมด ที่ยกตัวอย่างทั้งหมด ผลมันทำให้ไม่สามารถรับรู้ความจริง เรื่องพระคุณของพระเจ้าได้ ทำให้มนุษย์ไม่รู้จักเรื่องพระคุณ เรื่องข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเจ้า ไม่รู้เรื่องพระคุณยิ่งใหญ่ ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้แล้ว เราสามารถเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ ทั้ง 3 พระภาคได้แล้ว เดี๋ยวนี้ ในพระเยซูคริสต์ ก็คือวันอีสเตอร์นั่นเอง
ถ้าเราไปถูกสอนไร้สาระต่างๆ เหล่านี้ ที่ยกตัวอย่างมา มันก็ทำให้ตรงนี้เสียไปเลย เพราะการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า คือเป็นหนึ่งแล้ว มันก็จะแย้งกับตะกี้นี้ที่ยกตัวอย่างมา การสอนเท็จทั้งหมด และกระทำให้มนุษย์ไม่สามารถเชื่อและรับได้ว่าเขาสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ได้ทันทีเลย เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ง่ายๆ เท่านั้นเอง มันสำคัญถึงขนาดนี้ 1 ยอห์น 4:4-6 …
1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะ เหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ 5 พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้ 6 แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าจะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหน เอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”
พูดง่ายๆ อาจารย์ยอห์นก็สรุปอย่างนี้ ในข้อนี้ว่าถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายมนุษย์ และพระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตในพระเยซูได้จริงๆ เราก็สามารถเชื่อได้ว่าเราที่เกิดในร่างกายของมนุษย์นี้ สามารถได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระองค์ พระเจ้าก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา ผู้เชื่อได้เช่นเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงเน้นให้ชัดๆ เลยว่าพี่น้อง บัดนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ขณะที่ท่านนั่งอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่ ขณะนี้ ยังทำบาป ยังคิดอะไรต่างๆ ไม่ดี หรืออะไรต่างๆ ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน จะบอกให้ว่าท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์แล้วจริงๆ และพระองค์ คือพระเจ้า 3 พระภาค อยู่กับเรา อยู่กับท่านแล้วจริงๆ ขณะนี้ ยืนยัน โดยบอกว่าพระคริสต์หรือพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน ซึ่งเป็นใหญ่กว่าการโกหก ปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลกนี้ ที่มันพยายามจะต่อต้านกล่าวหาท่าน พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก
“พระคริสต์ผู้สถิตในฉัน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่อยู่ในโลก”
พระเจ้าอวยพรครับ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริงๆ จริงมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ และเป็นนิรันดร์ด้วย
โรม 8:9 … “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง ในอาดัม แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”
ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริง จริงกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ
พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากครรภ์มารดา ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ แต่วิญญาณภายในอยู่ในโลกวิญญาณ อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ในความบาป ในเนื้อหนัง ในอาดัมบรรพบุรุษ อยู่ภายใต้กฎแห่งการทำดีละชั่ว พยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งพระเยซูตรัสว่ามันไม่มีทางดีพร้อม 100% ได้เลย ต้องบังเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย จึงจะสามารถบริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ของพระเจ้าได้
ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้ เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์ จะเข้าไปในร่างกายของท่าน ทำอัศจรรย์ ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ย้ายวิญญาณของท่าน ออกจากความบาปในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ในสวรรค์ทันที และท่านจะอาศัยอยู่ในสวรรค์นี้ชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
พระเจ้าอวยพรครับ