คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2024
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”
ตอน 10 “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”
โดย นคร เวชสุภาพร
หนังสือ 1 ยอห์น ต่อเนื่อง วันนี้ตอนที่ 10 เรื่อง “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”
ชื่อเรื่องนี้มันจำเป็นที่ท่านจะต้องจำให้ได้ แล้วควรอย่างยิ่งที่จะพูดจนติดปาก และควรอย่างยิ่งที่จะพูดดังๆ ให้ตัวเองได้ยิน ได้ฟัง อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ว่าเราต้องเอาความจริงที่อยู่ในใจเรา พูดให้ตัวเราเองฟังดังๆ เพื่อเราจะได้ยินด้วยตัวเราเองข้างใน เพื่อจะปรับเปลี่ยนความคิดเดิมๆ แบบโลกนี้ ความคิดที่ต่อต้านกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ความคิดที่เต็มไปด้วยความตายบนโลกใบนี้ ให้เป็นเหมือนความคิดของพระเจ้า ความคิดที่เป็นชีวิต ความคิดที่เป็นพร ความคิดที่เป็นสันติสุข ความคิดที่เป็นพระคุณเหลือล้นของพระเยซูคริสต์เข้ามาแทนที่ ฝึกให้จำให้ได้ ไม่ต้องทุกคำอย่างนี้ก็ได้ เพียงแค่ให้ความหมายเป็นลักษณะอย่างนี้
เรากำลังเรียนหนังสือ 1 ยอห์น ซึ่งพื้นฐานของหนังสือ 1 ยอห์นตรงนี้ ต้องจำไว้เสมอ เรียนรู้พระคัมภีร์ ต้องรู้ว่าพื้นฐานของหนังสือนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังทำอะไร? อาจารย์ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณจะได้ถูกชี้ให้เห็น ชี้ให้ใครเห็น? ให้พี่น้องในคริสตจักร หรือพี่น้องคริสเตียนได้เห็นถึงความจริง ความแตกต่างของคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ที่อยู่ในชุมชนที่เรียกว่าคริสตจักร และคนที่ปะปนเข้ามา ที่อ้างตัวเองเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ อาจารย์ยอห์นต้องการชี้ให้เห็นทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อจะบอกให้คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง ที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน อย่างเช่น พวกนอสติก ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปแล้ว กับพวกคริสเตียนแท้จริงที่วางใจและเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซียาห์ พระผู้ช่วยให้รอด แตกต่างกันอย่างไรในโลกวิญญาณ
ก็คือพวกนอสติก เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมซียาห์ แต่เขาคิดว่าเขากำลังมาหาพระบิดาพระเจ้า อาจารย์ยอห์นบอก นั่นไม่ใช่พระเจ้า พระบิดาตัวจริง เป็นพระเจ้าพระบิดาตัวปลอม เพราะถ้าเป็นพระเจ้าพระบิดาตัวจริง จะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรที่พระบิดาส่งมา เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด และเป็นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้เข้าไปหาพระบิดาตัวจริงนี้ได้ นึกออกใช่ไหม? ซึ่งพระเยซู คือพระมาซีฮาห์นั่นเอง พระเจ้าที่พระบิดาทรงเตรียมไว้ เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป เขาไม่เชื่อตรงนี้
เพราะฉะนั้น เขาจึงแสวงหา นมัสการพระบิดาอะไรก็ไม่รู้ อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าพวกเขาไม่รู้จักพระบิดา แต่พวกคุณรู้จัก “พวกคุณ” คือคริสเตียนที่แท้จริง ต้องรู้จักพระบิดาแน่นอน เพราะว่าท่านวางใจในพระบุตร เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
นี่คือพื้นฐานของจดหมายฝาก 1 ยอห์น ที่ยอห์นพยายามอธิบายในเรื่องโลกวิญญาณ และยังบอกว่าคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน อ้างตัวเองว่ารู้จักพระบิดา ซึ่งไม่รู้จักจริงนั้น ข้างในวิญญาณ เขาจะมีสภาพเป็นปฏิปักษ์ ก็คือเป็นศัตรูกับพระคริสต์ เป็นศัตรูกับคริสเตียน ที่มีพระคริสต์อยู่ภายใน ข้างในวิญญาณของเขาจะเกลียดชัง จะไม่ชอบพระคริสต์ เพราะเป็นศัตรูกัน ก็เลยเกลียดชังและไม่ชอบพี่น้องคริสเตียนเช่นเดียวกัน และวิญญาณของพวกเขายังคงอยู่ในความมืด ไม่ได้อยู่ในความสว่างเหมือนคนที่เป็นคริสเตียนแท้จริง และอยู่ในความเท็จ อยู่ในความโกหก ไม่ได้อยู่ในความจริง อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความเห็นแก่ตัว ไม่ได้อยู่ในความรัก ความเมตตา การให้เหมือนอย่าง คริสเตียน นี่พูดถึงภายในวิญญาณ
พระคริสต์ไม่ได้อยู่ภายในเขา เขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ จะเป็นพยานยืนยันให้กับคริสเตียนว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราชอบธรรมแล้ว เราดีพร้อมแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ นี่คือความแตกต่างในทางวิญญาณ ระหว่างคนที่เชื่อกับพวกที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์
และยังบอกอีกว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แล้วไม่ได้เป็นจริงๆ นั้น เขายังคงอาศัยอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ที่เป็นอาณาจักรของความตายและความบาป แต่คริสเตียนอยู่ตรงกันข้าม ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว จะถูกย้ายมาอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง อาศัยอยู่ในความสว่าง “อาศัยอยู่” คืออยู่ในนั้นเลย วิญญาณเขาอยู่ในความสว่าง อยู่ในชีวิต เรียกว่าอาศัยอยู่ในชีวิต อยู่ในความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์เลย ในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้น ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ อาจารย์ยอห์นบอกว่าฉะนั้น คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน เขาจะไม่มีความจริงใจอยู่ในตัวเขา ไม่มีความจริงอยู่ในเขา มีแต่ความเท็จ มีแต่ความเกลียดชัง มีแต่ความหลอกลวง ปากก็พูดว่ารักคุณๆ แต่ไม่เคยกระทำอะไรต่างๆ ตามที่ปากบอกเลย ก็คือไม่ได้ให้ความเมตตา อาจารย์ยอห์นจึงเตือน บอกคนเหล่านั้นว่านี่แหละ คือตัวแท้ๆ ของคุณข้างใน มันเป็นอย่างนั้น พูดแทงใจ ให้พวกนอสติกฟัง ว่าเป็นอย่างนั้นใช่ไหมในใจคุณ คุณไม่มีเมตตาจริงหรอก คุณบอกว่ารักพี่น้องในพระคริสต์ แต่จริงๆ คุณหวังจะเอาผลประโยชน์จากเขา คุณไม่มีเมตตาเขาจริงๆ หรอก คุณต้องการให้เขาเป็นสาวกของคุณใช่ไหม? คุณต้องการเรียกเขาออกจากที่ประชุม ไปอยู่ในความเชื่อของคุณใช่ไหม? คุณอยากให้เขาปรนนิบัติรับใช้คุณใช่ไหม? คุณอยากให้เขายกย่องคุณใช่ไหม? จะเอาผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้ให้จริง
แต่ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง บังเกิดใหม่แล้ว จริงๆ นะ วิญญาณจะดำเนินด้วยความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ มีเมตตา มีความรัก มีการให้ ฝึกฝนในชีวิต โดยการให้ตลอดเวลา ใช่ไหมคริสเตียนทั้งหลาย? อาจารย์ยอห์นคงกำลังบอกอย่างนั้นว่าพี่น้องคริสเตียน ในใจเราเป็นอย่างนั้นใช่ไหม? แล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราได้ยินอะไรที่คนลำบากลำบน อย่าว่าแต่เป็นคริสเตียนด้วยกันเลย ถึงไม่เป็นคริสเตียน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราได้ยินได้ฟังความทุกข์ยากของเขา เรายังอยากจะช่วยเหลือเลย เราอธิษฐานให้ เรามีกำลังอะไรจะช่วยเหลือได้ เราช่วยเหลือ ผมมั่นใจและแน่นอนในพระคัมภีร์ก็บอกอย่างนั้นว่าคนที่เป็นคริสเตียนข้างในใจ ในวิญญาณเขาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เขามีแต่ให้ เขากำลังเรียนรู้ ฝึกฝนที่จะให้ ตามกำลังที่เขาจะทำได้ เขาเต็มที่เลย อย่างที่เห็นชัดที่สุด ก็คือเขาอธิษฐานให้ก่อนแล้ว เขาไม่ได้ดูความเจ็บช้ำ ความทุกข์ยากของคนอื่น แล้วบอกว่าสะใจดี ดีแล้ว สมควรแล้วควรจะได้รับอย่างนี้ คริสเตียนแท้จริงจะไม่ฝึกฝนอย่างนี้
เขาจะฝึกฝนไปเรื่อยๆ ว่า … “พระเจ้าเมตตาเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป เขาหลงไปในความบาป สิ่งต่างๆ เหล่านั้น เหมือนมนุษย์ทุกคนที่หลง ประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เหมือนลูก เหมือนคนอื่นๆ เยอะแยะ จะมากจะน้อย ก็คือหลงไปนั้นแหละ ขอพระองค์ทรงเมตตาเขาด้วยเถิด”
นี่คือท่าทีภายในใจของคนที่เป็นคริสเตียนใช่ไหม? ใช่ เป็นอย่างนั้นแหละ จะไม่ไปทับถม เอาให้ตายเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น พระคริสต์เราเป็นตัวอย่าง เห็นชัดเจน ตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์ทำอะไร? เห็นชัดเจนเลย คนเขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดาตอนที่ถูกตรึงอยู่นะ ตอนที่ทุกข์ทรมานอยู่นะ ตอนที่เขาตอกตะปูตรึงที่ไม้กางเขน เลือดหลั่ง ทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน มองมาแล้วบอกพระเจ้าพระบิดาอภัยให้พวกเขาด้วย พวกเขาไม่รู้ว่าทำอะไรไป นี่ตัวอย่างที่ดี พื้นฐานตรงนี้ควรจะอยู่ภายในจิตใจ ภายในความคิดของเรา ขณะที่เราเรียนรู้ถ้อยคำในหนังสือ 1 ยอห์น
ครั้งที่แล้วเราจบกันที่หนังสือ 1 ยอห์น 3:19-20 มาทบทวนนิดหนึ่ง ก่อนที่จะต่อในวันนี้ …
1 ยอห์น 3:19-20 “19 ดังนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราเป็นของความจริง และทำให้ใจเราสงบ มั่นคง ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า 20 เมื่อใดก็ตามที่ใจของเราเป็นทุกข์ ฟ้องผิด กล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”
การที่เราได้รับรู้ความจริงว่าเราเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เราอยู่ในความจริงแล้ว คืออยู่ในพระคริสต์ และพระเยซูคริสต์ คือความจริงอยู่ในเรา เราเป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ตั้งแต่บทที่ 1 จนถึงตอนนี้ เราเรียนรู้แล้ว เรา คริสเตียน เมื่อรู้แล้ว ก็มีความมั่นใจ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกทุกข์ใจ ฟ้องผิด หรือถูกกล่าวโทษ เมื่อเราพลั้งพลาดไปกระทำบาป เราเกิดทุกข์ใจ เสียใจ แต่เรายังมีความมั่นใจ เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เรารับรู้ความจริงเหล่านี้แล้วว่าเป็นอย่างไร? หมายถึงอย่างนั้นว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ ความรู้สึกของเรา
นั่นคือความรู้สึก อารมณ์ของเรา ที่ถูกกล่าวหา พระองค์ทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเราดี รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วว่าเราได้รับการอภัยและถูกทำให้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ตลอดไปชั่วนิรันดร์แล้ว ใจของเราจึงสามารถมั่นคงได้ เพราะเรารับรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่ฟ้องผิด เพราะสถานะ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเรา ไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อชำระบาปให้กับเรา ไม่ใช่ความชอบธรรมของเรา ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง หรือขึ้นอยู่กับความรู้สึก การกล่าวโทษในใจของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจตามถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วใช่ไหม? ใช่ หลั่งพระโลหิตแล้วใช่ไหม? ใช่ เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรรับรู้และมั่นใจว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ชั่วนิรันดร์ นี่คือสิ่งที่เราได้จบในครั้งที่แล้วใน 1 ยอห์น 3:19-20
วันนี้ เราจะมาต่อข้อ 21 … 1 ยอห์น 3:21 …
1 ยอห์น 3:21 “ท่านที่รัก ถ้า (จิตใต้สำนึกใน) ใจของเรา ไม่กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจต่อพระเจ้า”
อยากถามว่าจิตใต้สำนึกในใจของท่าน มั่นใจไหมว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เหมือนหัวข้อเรื่องในวันนี้ “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”
จิตใต้สำนึกของท่าน เชื่อตามที่ท่านพูดเมื่อตอนที่เราเริ่มต้นบรรยายได้ไหมว่า …
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว”
ถามจิตใต้สำนึกตัวเองว่าฉันเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ไหม?
ความมั่นใจที่เรามีต่อพระเจ้า ทำให้เราสามารถอธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้าได้ทุกเมื่อทุกเวลา เมื่อใจเราไม่ได้กล่าวโทษ ฟ้องผิดตัวเราเองว่าเราเป็นคนบาป สกปรกอยู่ เราถึงจะรู้สึกสนิทสนมไง ถ้าจิตใต้สำนึกเรายังรู้สึกฟ้องผิดอยู่เลยว่า …
“พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เราคงอธิษฐานน้อยไป พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เรายังหงุดหงิดอยู่เลย พระเจ้าไม่พอใจเรา เราเป็นคนขี้อิจฉาเขา พระเจ้าไม่พอใจเรา เพราะเรายังไม่เลิกสูบบุหรี่เลย เลิกไม่ขาดสักทีหนึ่ง สัญญากี่ครั้งแล้ว ยังสูบอยู่ พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เพราะเราไม่ค่อยจะมาโบสถ์ ขี้เกียจ”
นี่แหละคือการกล่าวฟ้องผิด แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร? เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนบาป สกปรกอยู่ เข้าไปหาพระเจ้า ก็รู้สึกไม่ชอบ ไม่อินกับพระเจ้าเลย เพราะเรารู้สึกเราสกปรก แต่ถ้าเผื่อเราไม่ฟ้องผิดอย่างนี้ เรามีความมั่นใจว่า …
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”
ความมั่นใจอย่างนี้ มาจากอะไรที่จะทำให้ความมั่นใจตรงนี้เกิดขึ้น? มาจากการเรียนรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า เรียนรู้มากๆ โดยการใคร่ครวญ ถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ หูฟัง ปากพูดถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ ให้คุ้นเคย ให้ชัดเจน อยู่ในใจ จำได้ตลอดเวลา เป็นปกติวิสัย ในใจ ทุกลมหายใจเข้าออก ถามเมื่อไร ก็ตอบได้ทันที ถามตอนนอนหลับอยู่ งัวเงียขึ้นมา ก็ตอบว่า …
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”
เมื่อกี้ เพิ่งโมโห โกรธ เขาขับรถตัดหน้าเรา หรือขับรถลงไปในโคลนกระเด็นถูกเราเลอะหมดเลย นึกขึ้นได้ …
“โอ้ พระเจ้า ลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ แต่บางครั้งอาจทำบาป”
ไม่เหมือนกันนะ “ลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม แต่บางครั้งทำบาป” … “เป็นผู้ชอบธรรม แต่บางครั้ง อาจทำบาป”
ทำบาปกับเป็น มันคนละเรื่องกันนะ เป็นคน แต่บางครั้งเดินเหมือนลิง ก็ไม่ใช่ลิง แต่เป็นคน แล้วถ้ากลับกัน เป็นลิง แล้วเดินเหมือนคน มันก็ยังเป็นลิง เราไปดูละครลิง เดิน 2 ขา เดินตีกลอง เหมือนคนเลย แต่งตัวให้เหมือนคนเลย แต่ในที่สุด เขาแค่ทำเป็นคน แต่จริงๆ เป็นลิง เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนเราเกิดจากครรภ์มารดา เราเป็นคนแน่นอนเลย ไม่มีเปลี่ยนเป็นลิงได้ ไม่มีทางเลย แต่บางครั้งอาจจะคลานเหมือนลิง
เพราะฉะนั้น ความมั่นใจในจิตใต้สำนึกอย่างนี้ ทำให้เรามีความกล้าที่จะเข้าไปสนิทสนมกับพระเจ้าอย่างมาก มากเท่าไร ก็ขึ้นกับความรู้ความจริงมากเท่านั้น ความรู้ความจริงว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว และได้รับการยกโทษบาปทั้งหมดทั้งปวง ตามที่อาจารย์ยอห์นได้บอกมาแต่บทต้นๆ ทั้งบาปในอดีต บาปที่ทำในปัจจุบัน และบาปที่จะพลาดทำในอนาคตอีกด้วยตลอดไป ได้รับการอภัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซู ไม่ได้ผ่านการกระทำดีของเรา ผ่านการกระทำของพระเยซูคริสต์ เราเลยกลายเป็นเคยเป็นคนบาป เป็นคนสกปรก มีมลทิน แต่เดี๋ยวนี้บังเกิดใหม่ ตัวตนแท้จริงของเราที่บังเกิดใหม่นั้น ไม่ได้เป็นคนบาป ก็เท่ากับบริสุทธิ์ดีพร้อมเท่าพระเยซูคริสต์ ด้วยพระคุณ ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระล้าง ลบล้างบาปทั้งสิ้นทั้งปวงของเรา และทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถบังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ได้ต่างหาก สิ่งเหล่านี้พระองค์ทรงกระทำให้เรา และเรารับแล้ว เราเชื่อและเราวางใจแล้ว เราได้รับสิ่งนี้ และเราได้รับการเปลี่ยนแปลง บังเกิดใหม่แล้ว ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้จิตใต้สำนึกของเราเกิดความมั่นคง ในการเข้าหาพระเจ้า ในการติดสนิทกับพระเจ้า โรม 8:1 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”
“ไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์” ตามบทบัญญัติใช่หรือเปล่า? ผมอ่านผิดไป จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ … อาศัยอยู่ ได้เรียนรู้แล้ว เราอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์แล้ว เราได้เป็นคริสเตียน ได้ถูกย้ายออกมาจากอาศัยอยู่ในความมืด ความบาป ความตาย ได้มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของความสว่าง อาณาจักรแห่งชีวิต ตอนนี้เราอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงไม่มีการกล่าวโทษใดๆ แม้ว่าบางครั้งเราอาจจะทำบาป ซึ่งทำแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ แต่ไม่มีการกล่าวโทษอีก ฮีบรู 10:14 ยืนยันตรงนี้อีกว่า …
ฮีบรู 10:14 “เพราะโดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ (พระเยซูคริสต์) ได้ทรงทำให้ผู้ที่กำลังได้รับการชำระให้บริสุทธิ์นั้น สมบูรณ์ตลอดไป”
หมายความว่าการเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น เพียงครั้งเดียว การสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว การหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียว เป็นการกระทำที่เพียงพอ และทำให้ผู้เชื่อ คือคริสเตียนนั้น สมบูรณ์ ตลอดไป ชั่วนิรันดร์
การรับรู้ความจริงตรงนี้ ทำให้เกิดความมั่นใจ ต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ลงไปในใจของเรา ให้มั่นคง เราจะเกิดความมั่นใจ ทำให้เราสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ในทุกเมื่อ อย่างกล้าหาญและรู้สึกสนิทสนมกับพระองค์ และทรงรู้ว่าพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน ร้องทูลของเรา อย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความรัก ความห่วงใยในฐานะที่เราเป็นลูกของพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อท่าน แม้ว่าในโลกนี้จะมีเพียงท่านคนเดียว พระเจ้าก็จะส่งพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น พอเรามั่นใจปุ๊บ ก็เกิดอะไร? ไม่ฟ้องผิด เกิดอิสรภาพ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เกิดพระคุณของพระองค์ ฮีบรู 4:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ฮีบรู 4:16 “ฉะนั้น ขอให้เราอย่ากลัว ที่จะเข้ามาใกล้พระบัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่จะช่วยเหลือเรา เมื่อถึงคราวจำเป็น”
ในฮีบรูที่กำลังอ่านนี้ เป็นหนังสือที่เขียนข่าวประเสริฐไปถึงชาวยิว โดยเฉพาะ ชาวยิวก็จะกลัวพระเจ้า กลัวการทรงสถิตของพระเจ้ามาก เพราะเขารู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่บรรพบุรุษของเขาหลายพันปีก่อน ก่อนพระเยซูคริสต์จะเสด็จมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว กลัวพระเจ้ามาก เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาป ไม่สามารถเข้าไปที่บัลลังก์ของพระเจ้าได้ เพราะว่าพลาดนิดเดียวก็ถึงตาย เพราะไม่สามารถยืนอยู่ต่อการทรงสถิตของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ เพราะกลัวมาก แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปทั้งสิ้น ทั้งปวงของมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบอกว่าชาวยิวไม่ต้องกลัวอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วกล้าเข้าไปเลย ไม่ต้องห่วง เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ พระโลหิตของพระองค์เหมือนเป็นแพะรับบาปให้กับพวกท่าน ครั้งเดียวเป็นพอ กล้าเข้าไปเถิด กล้าเข้าไปในการทรงสถิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ทรงสถิตใกล้ที่สุด ถึงขนาดเข้าไปอยู่ในตัวท่านได้เลย เมื่อท่านวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ มันหมายถึงอย่างนั้น 1 ยอห์น 3:22 …
1 ยอห์น 3:22 “และสิ่งใดที่เราทูลขอ เราก็จะได้รับจากพระองค์ เพราะว่าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และกระทำสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยพระองค์”
ชอบข้อพระคัมภีร์นี้มาก แต่ก่อนผมก็ชอบ เลยอยากถามว่าสิ่งใดๆ ที่เราอธิษฐานทูลขอ เราก็จะได้รับสิ่งนั้น ถ้าเรากระทำดี เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ใช่ไหม? จริงหรือเปล่า? ฟังใหม่อีกที ลองคิดตาม …
“สิ่งใดๆ ที่ฉันอธิษฐานทูลขอ ฉันก็จะได้รับสิ่งนั้น ถ้าฉันกระทำดี เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า”
จริงไหมหนอ? ความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้มา ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทต้นๆ ความจริง คือเพราะว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่มีนิสัยเป็นธรรมชาติ เชื่อฟังพระเจ้า โดยการกระทำสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระบิดาแล้ว นี่พูดถึงคริสเตียนนะ เรากระทำสิ่งที่พอพระทัยพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ก็คือเราได้วางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์ และดำเนินชีวิตด้วยความรักที่อยู่ภายใน ที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจ ตอนที่เราเกิดใหม่แล้ว และใส่ความเชื่อฟังไว้อยู่ในวิญญาณของเรา นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าพอใจ ที่เราได้เรียนรู้มา เราได้ทำแล้ว
ข้อความเมื่อสักครู่ที่เราอ่าน ในบริบทนี้ ข้อ 22 นี้ ต่อเนื่องมาจากข้อ 21 ได้พูดถึง ได้เน้นถึงความมั่นใจ ไม่กลัว ไม่ฟ้องผิด ไม่กล่าวโทษตนเองว่าฉันยังเป็นคนบาปอยู่ ถูกไหม? มั่นใจในตนเอง มั่นใจในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในฐานะผู้เชื่อและเป็นลูกของพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ และความปรารถนาในใจของเรา สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ ที่พระองค์ได้ใส่ไว้ในใจของเรา พูดง่ายๆ พระองค์ได้ใส่วิญญาณของพระองค์ไว้ในใจของเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าตัวตนใหม่ของเราในพระองค์ ใจใหม่ของเราในพระองค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์
ในบริบทนี้ กำลังพูดถึงตรงนี้ว่าตัวใหม่ของท่าน ใจใหม่ของท่านที่พระเจ้าประทานนั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ปรารถนาสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ตามธรรมชาติที่เกิดใหม่อยู่แล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งเราสามารถมั่นใจ ไว้วางใจว่าพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน ร้องทูลของเราแน่นอน เพราะเราเป็นคริสเตียนอยู่ มันหมายถึงตรงนั้นนะ พระองค์จะตอบคำอธิษฐานของเราอย่างแน่นอน ตามความประสงค์ของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามแผนการที่ดีที่สุดของพระองค์ที่วางไว้ ที่เตรียมไว้ สำหรับเราแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นลูกๆ ของพระองค์ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจตัวเราเอง ซึ่งเป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเราได้เรียนรู้มาแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้น จากภายนอก จากระบบของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กระตุ้นให้เราอยากได้ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าเตรียมไว้ ก็คือเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า แต่เราที่บังเกิดใหม่แล้ว เรารู้จักวิญญาณของเราว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ถ้าเราอธิษฐานทูลขอสิ่งใด ก็คือสิ่งนั้น จะเป็นสิ่งที่พระบิดาต้องการเช่นเดียวกัน และเรารู้ว่าสิ่งที่พระบิดาต้องการนั้น ที่เราอธิษฐานทูลขอตามความเห็นชอบของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ตอบเราแน่นอนเลย แต่ตอบตามวัน เวลา วิธีการของพระองค์ ไม่ใช่วิธีการที่เราคิดว่าเวลานั้น เวลานี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้
ยกตัวอย่าง เช่น เราอธิษฐานขอพระเจ้า ให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ขอให้รักษาตรงนี้ให้หาย โรคนี้ให้หาย พระเจ้าอาจจะเตรียมแผนการอะไรบางอย่างไว้สำหรับเรา แต่รู้แน่ๆ ในที่สุดวันหนึ่งต้องหายแน่ๆ คือวันที่เราหายจากโลกนี้ หายหมดเลย เพราะว่าพระองค์ทรงเตรียมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ให้กับเรา วันที่เราจากโลกนี้ไป ซึ่งดีกว่ามากนัก เราจะคิดถึงไหมว่ามันดีกว่าอย่างไร? ไม่มีทางหรอก เราเป็นมนุษย์ ก็อยากได้ในสิ่งที่โลกนี้เขาต้องการ ก็คือไม่เจ็บ ไม่ป่วย ถูกไหม? แต่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อย คือไม่เจ็บ ไม่ป่วยเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือจากโลกนี้ไปเลย ได้รับร่างกายใหม่ ไม่เจ็บป่วยแน่นอนเลย แต่ถ้ายังอยู่บนโลกใบนี้ บอกให้รักษาตรงนี้ให้หาย รักษาภูมิแพ้ให้หาย เดี๋ยวมันก็มาเป็นโรคอื่นแทน หรือว่าไม่เป็น มันต้องเป็นอยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่าโลกนี้ตกลงไปในความบาป ความตาย คำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบากในโลกนี้ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เราอยู่ในกฎของความบาปและความตาย มนุษย์ทั้งโลกนี้ อยู่ในโลกอยู่ในกฎของความเสื่อม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิด ตั้งอยู่ และดับไปแน่นอน 100% แต่ทางความรอดของเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์ และพระองค์ทรงสัญญาไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันหนึ่ง ที่เราหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และได้อยู่ในสวรรคสถานร่วมกับพระองค์ตลอดไปชั่วนิรันดร์เลย ตรงนี้ต่างหากที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ เห็นไหม?
ที่พูดนี้ ถามว่าเข้าใจหมดไหม? ไม่เข้าใจหมดหรอก แต่เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่พูดไว้ สัญญาไว้ และเมื่อใคร่ครวญ คิดถึงถ้อยคำ ความจริงเหล่านี่บ่อยๆ มันจะเกิดความเชื่อขึ้นมาในความคิดของเราเอง มันจะปรับเปลี่ยนไปเอง
เราอาจจะอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเรา ตามใจเราต้องการ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่น้ำพระทัย ไม่ได้ตามจิตใต้สำนึกที่เป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า แต่เป็นไปด้วยกันกับความคิดแบบกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง อิทธิพลของโลกนี้ เข้ามาซึมซับ อย่างเช่น ความโลภ อยากจะมี อยากจะได้ อยากจะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นทุกวันๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ต้องเป็นอย่างนั้น แต่เราแบ่งความไว้วางใจตรงนี้ มาอยู่ที่ความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ดี ไว้สำหรับเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ แต่ให้เราวางใจ และเชื่อในพระองค์ เราอาจจะอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ตะกี้นี้บอกว่าไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า หรือเราคิดว่ามันน่าจะอยู่ มันน่าจะใช่นะ แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่ามันไม่ได้เป็นแผนการที่ดีที่สุด สำหรับเจ้า แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่สำหรับเจ้า เรามีแผนการที่ดีกว่านี้ ที่วางไว้ให้กับเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าน้ำพระทัย
เพราะฉะนั้น การรู้จักความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไม่มีการฟ้องผิดในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา เราก็จะเกิดความเชื่อในน้ำพระทัยของพระองค์มากขึ้น ไว้วางใจได้มากขึ้น ก็จะเกิดสันติสุขและพระคุณล้นเหลือ ในจิตวิญญาณของเรานั่นเอง
คำสอนที่ผิดๆ ที่แพร่หลายในวงการคริสเตียน ก็คือเขาเอาข้อความนี้ ถ้อยคำตรงนี้ไปสอนว่า …
“คุณจะสั่งอะไรก็ได้ในนามพระเยซู แล้วคุณจะได้รับ ถ้าคุณมีความเชื่อพอ”
เอาข้อความที่อธิบายไปเมื่อตะกี้ 1 ยอห์น 3:22 มาบอกว่า …
“นี่ไง คุณอธิษฐานไป คุณจะได้รับสิ่งนั้นแน่นอน ถ้าคุณเป็นคริสเตียนนะ คุณเชื่อในนามพระเยซู สั่งไปเลย ถ้าคุณเชื่อพอ ถ้าคุณไม่ได้ตามที่คุณสั่ง เพราะว่าคุณยังไม่เชื่อพอ”
“แล้วต้องทำอย่างไร?”
“ก็ต้องเชื่อให้มากขึ้น”
“แล้วต้องทำอย่างไร?”
“ก็ต้องอธิษฐานให้หนักขึ้น”
ซึ่งต้องพึ่งตนเอง ทำด้วยตนเอง ซึ่งไปรอดไหม? ก็ไม่รอดอยู่ดี อย่างเช่น พูด อธิษฐาน สั่งด้วยความเชื่อในนามพระเยซู ให้รวย ไม่เจ็บป่วย ไม่มีปัญหาในครอบครัว ไม่มีปัญหาในการทำมาหากิน ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีความทุกข์ ไม่ประสบความล้มเหลวใดๆ เลย มีแต่ความสำเร็จทุกประการในชีวิต และคิดดูสิ มันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นการหลอกลวง ล่อลวงของโลกใบนี้ กิเลสตัณหาของเนื้อหนังของโลกใบนี้ต่างหาก ที่มันล่อลวงให้หลุดออกไปจากทางของพระเจ้า ไม่มีชีวิตอยู่ในพระคริสต์นั่นเอง
ชีวิตในพระคริสต์ คือชีวิตที่พอเพียง … พอเพียง คือวางใจในพระเจ้า แล้วแต่พระเจ้า วางใจในพระองค์ … วางใจในพระองค์ได้ด้วยวิธีใด ด้วยการเชื่อมั่นว่าฉันบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงรักฉันขนาดนั้น เพราะว่าเราสอนผิดๆ อย่างนี้ มันก็เลยก่อเกิดชัดๆ ที่สุด ก็คือก่อเกิดความโลภ ความไม่พอในชีวิตของคริสเตียนเอง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับชีวิต ที่พอเพียงและไม่โลภ เต็มไปด้วยความรักในใจ ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ ชีวิตไม่มีสันติสุขในพระเยซูคริสต์
เรามาดูตัวอย่าง อย่างเช่น อาจารย์เปาโล รู้จักพระเจ้า สนิทไหม? สนิท สนิทสนมมากเลย มากถึงขนาดเป็นผู้สอนเราในเรื่องนี้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่เราแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ยืนยันแล้ว ยืนยันอีก เสร็จแล้ว อาจารย์เปาโลอธิษฐานกับพระเจ้า ถึงความทุกข์ยากลำบาก อุปสรรค ปัญหาในชีวิต หนักเลย หนักถึงขนาดอาจารย์เปาโลบอกว่ามันเป็นหนามในเนื้อตลอดเวลา มันคงจะเจ็บปวดตลอดเวลา เจ็บปวดอย่างไร? เราไม่รู้ และอาจารย์เปาโลผู้ซึ่งสนิทกับพระเจ้าขนาดนั้น มีความเชื่อขนาดนั้น อธิษฐานกับพระเจ้าบอกว่า …
“ข้าพเจ้าอธิษฐานถึง 3 ครั้ง ขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า ให้เอาอันนี้ออกไป”
สมมติว่าเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ก็บอกว่า … “ช่วยรักษาให้หายหน่อยเถอะ ไม่ไหวจริงๆ เลย”
แสดงว่ามันหนักมาก อธิษฐานถึง 3 ครั้ง แต่พระเจ้าตอบอาจารย์เปาโลว่า … “พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า”
พระคุณ คือตะกี้นี้ที่บอกว่า … “เราให้เจ้าบังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เจ้าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดไปชั่วนิรันดร์แล้ว นี่คือพระคุณที่เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย พระคุณตรงนี้ มันเพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว”
แล้วตอบว่าอย่างไรอีก ตอบว่า … “ฤทธิ์เดชอำนาจของเรา การทรงสถิตของเรา จะสำแดงออกมาอย่างชัดเจน เป็นทวีคูณ ท่ามกลางความอ่อนแอ การทุกข์ยากลำบากของเจ้า”
หมายถึงว่า … “เมื่อเจ้าประสบอุปสรรคปัญหาเหล่านั้น การช่วยเหลือของเรา ซึ่งเป็นการอัศจรรย์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจว่าเราสถิตอยู่กับเจ้า อยู่ภายในเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้านั้น ผู้คนรอบข้างจะได้เห็นชัดเจน” มันหมายถึงอย่างนั้น ตอนที่เราลำบาก ตอนที่เราประสบปัญหา พระเจ้าจะถูกทำให้เห็นชัดเจนเลย ในชีวิตของเรา ในชีวิตของเปาโล
เปาโลเลยตอบใน 2 โครินธ์บอกว่า … “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความปิติยินดีในความทุกข์ยากลำบาก”
อ้าว! กลายเป็นอย่างนั้นอีก เห็นไหม? “ข้าพเจ้าจึงมีความปิติยินดีในความทุกข์ยากลำบาก” ก็คือ “ข้าพเจ้ามีความปิติยินดีในหนามในเนื้อนั่นแหละ เพราะเมื่อไรที่ข้าพเจ้าทุกข์ลำบาก ในหนามในเนื้อนั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าก็ปรากฎในชีวิตของข้าพเจ้ามากขึ้นอย่างนั้น คือเมื่อไรที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เจ็บปวด ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง เพราะว่าพระองค์มาช่วยให้เห็นชัดๆ ชื่นใจว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย ข้าพเจ้ามีความมั่นใจมากขึ้นว่าพระเจ้าอยู่ในตัวข้าพเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”
ไม่ใช่ตัวเองเห็นอย่างเดียว คนรอบข้างก็ได้เห็นว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับเขาจริง จึงเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าสำแดงตัวพระองค์เองว่าอยู่กับคริสเตียนนั้น สำแดงตอนที่คริสเตียนตกทุกข์ได้ยาก ตอนที่ลำบาก ไม่ใช่แสดงตอนที่คริสเตียนมีความสุขดี สบายดี ไม่ใช่ เมื่อพระเยซูก่อนจะเดินไปที่ไม้กางเขน ก่อนจะถูกตรึง อธิษฐาน 3 ครั้งเหมือนกัน สรุปจบว่าอย่างไร? จบว่า …
“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”
คือเป็นไปตามแผนการของพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ ขอให้เป็นไปอย่างนั้น และถามว่าดีกว่าไหม? พระเยซูขอพระเจ้าบอกว่าเปลี่ยนแผนได้ไหม? ไม่ต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน ไม่ต้องสิ้นพระชนม์ ไม่ต้องยอมเสียสละชีวิต ตายบนไม้กางเขนได้ไหม? เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม? เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้ ขอ 3 ครั้ง พระเจ้าบอกไม่ได้ ยืนยันตามแผนการเดิม พระเยซูก็บอกโอเค ปรากฏว่าออกมาแล้ว ดีกว่าเดิมมากมาย ซึ่งพระเยซูไม่ทราบว่าจะดีขนาดนี้
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเราได้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นข้อพระคัมภีร์ที่หนุนจิตชูใจคริสเตียนเป็นอย่างมากว่าให้เราสนิทสนมกับพระเจ้า ให้เรารับรู้ว่าเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก และให้เรารับรู้ว่าเมื่อเราไม่มีความฟ้องผิดในจิตใจเราอย่างนี้แล้ว เรามีความมั่นคงว่าเราเป็นผู้เชื่อ เราชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เป็นวิญญาณเดียวกันเลย สิ่งที่เราทูลขอ ถ้าเผื่อว่ามันตรงกันกับน้ำพระทัยพระเจ้า พระองค์ทรงให้เราแน่นอน 100% เลย แต่ถ้าไม่ใช่ พระองค์กำลังนำพาเราไปสู่ทางที่ดีกว่า เรายังเป็นเด็ก เรายังไม่เข้าใจหรอก เหมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก โดยเฉพาะช่วงโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ๆ เห็นชัดเลย พาลูกเล็กๆ เข้าโรงเรียนใหม่ๆ เด็กอนุบาล ร้องห่มร้องไห้ กระจองอแงกันทั้งห้อง ทั้งโรงเรียนเลย 30 คน ร้องไห้กันหมด เพราะเด็กๆ มีความรู้สึกว่าพ่อแม่เอาเขามาทิ้ง วิงวอนขอพ่อแม่ …
“ไม่ไป”
แล้วไปไหม? ไป เพราะแม่บังคับให้ไป เหมือนไหมล่ะ แล้ววันรุ่งขึ้น ไม่ไปๆ ไม่รู้กี่วัน? แต่ในที่สุด เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะรู้ ถ้าวันนั้น ไม่ไป แล้วพ่อแม่บอกไม่ไปก็ไม่ไป ช่างมัน ป่านนี้จะเป็นอย่างไร? นี่แหละ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ความมั่นใจในความชอบธรรมของเรา ที่ไม่มีความกลัวและฟ้องผิดในใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ใน 1 ยอห์น 5:14-15 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า
1 ยอห์น 5:14-15 “14 นี่คือความมั่นใจที่เรามี เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือถ้าเราทูลขอสิ่งใด ที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา 15 และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์”
“จะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์” ถ้าเผื่อมันเป็นไปตามน้ำพระทัย เห็นไหม? เพราะในบริบทนี้ มันเป็นตรงนี้ ถ้าเราเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็จะรู้ว่าเราขออะไร ก็ได้หมดแหละ แต่ได้ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหมาย คาดคิดนะ อาจจะได้ในวันเวลาที่เราไม่ได้กำหนดไว้ให้พระเจ้า สมมติว่าเราบอกว่าสิ้นเดือนนี้ พระเจ้าอาจจะให้เรา 10 ปีข้างหน้าก็ได้ ดีกว่า อะไรแบบนี้
ข้อความเมื่อสักครู่นี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้าว่าพระเจ้าบอกว่า …
“ดีมากเลย เธอทำอย่างนี้ดี ฉันเลยให้เธอ”
ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ที่มาจากการกระทำของตัวคริสเตียนเอง การกระทำ ยกตัวอย่างเช่น อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าไม่ใช่มองเรา แล้วมีความโปรดปรานให้เรา ในสิ่งที่เราทูลขอ เพราะว่าเรารบเร้า ร้อนรน ทูลขอไม่หยุดเลย ด้วยความเชื่อ ด้วยความต้องการของเรา อธิษฐาน อดอาหารไม่หยุดหย่อน ที่เขาเรียกว่าเขย่าบัลลังก์พระเจ้า อธิษฐานโต้รุ่งเลย มันไม่ใช่ เพราะเป็นอย่างนั้น แต่มันเป็นการดำเนินชีวิต ตามความจริงในจิตวิญญาณของเราว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตของพระคริสต์ดำเนินอยู่ในเรา ทุกวันนี้ เราเดินไป ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา นั่นคือชีวิตของพระคริสต์
เพราะฉะนั้น อะไรที่ทำไปแล้ว รู้สึกว่าไม่เป็นที่พอใจของเรา แต่ให้เราแน่ใจว่าพระคริสต์นำพาเราอยู่ ทุกสิ่งที่เราทำ ถ้าไม่ใช่การทำบาป เป็นการกระทำภายใต้การนำของพระคริสต์ทั้งสิ้น เราต้องเชื่อตรงนี้ เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว
ถ้าเรากำลังทำอาหารให้ลูก ให้สามี ดูแลบ้าน ดูแลทุกสิ่งอย่างนี้ เรากำลังทำในนามของพระคริสต์ ไม่ใช่ว่าเราต้องมาโบสถ์ มาประกาศข่าวประเสริฐ ไปช่วยประกาศข่าวประเสริฐ เราถึงจะทำเพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่ ทุกลมหายใจเข้าออก แม้กระทั่งนอนหลับ เรานอนหลับ เราก็ทำในนามพระคริสต์ กำลังให้พระคริสต์ทำ ให้ใช้ร่างกายของเรา ยกเว้น ตอนที่เราทำบาป ตอนที่เรากำลังอิจฉา ริษยา โกหกเขา เรากำลังทำตามระบบของโลกนี้ ไม่ได้ตามพระคริสต์ เราถูกล่อลวงออกไป แต่ถ้าเรากำลังเดินผิวปากอยู่ เรากำลังผิวปากในนามของพระคริสต์
และพระองค์ประสงค์สิ่งใด น้ำพระทัยของพระองค์เป็นเช่นใด วิญญาณข้างในของเราก็ประสงค์สิ่งนั้น นี่ข้อความตรงนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น เพราะว่าเราเป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น พระคริสต์ประสงค์สิ่งใด เราเป็นเหมือนพระคริสต์ เราก็ประสงค์สิ่งนั้นเหมือนกัน โดยมีความรักในใจ ที่พระเจ้าใส่ลงมา เป็นฐานให้เราดำเนินชีวิต เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เชื่อและวางใจในพระองค์เสมอ ในทุกสถานการณ์ ด้วยความรัก โดยการสำแดงออก โดยการให้ออกไป เหมือนพระคริสต์ ดำเนินชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้ เหมือนกัน คือเรากับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ นั่งอยู่ขณะนี้ ก็นั่งอยู่ในพระคริสต์กับพระคริสต์ เป็นชีวิตของพระคริสต์ ไม่มีตรงไหนเลย ที่เป็นตรงกลางว่าท่านกำลังทำด้วยตนเอง ท่านกำลังทำด้วยพระคริสต์ ท่านก็ทำด้วยระบบของโลกนี้ กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มีตัวเองหรอก มีแต่พระคริสต์ เชื่อพระคริสต์ เชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัว หรือจะเชื่อระบบในโลกนี้ กระแสของโลกนี้ ความคิดเก่าๆ ความคิดของระบบโลกนี้ ที่ส่งมา จะเชื่อตรงไหนเท่านั้น ข้อ 23 ต่อมา …
1 ยอห์น 3:23 “พระบัญชาของพระองค์ คือให้เชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่ทรงบัญชาเราไว้”
พระบัญชาตรงนี้ หลายคนก็เข้าใจผิด นึกว่าพระบัญชานี่คือบทบัญญัติต่างๆ ที่ให้เราทำตาม พระบัญชานี้ไม่ได้หมายถึงบทบัญญัติของโมเสส หรือกฎต่างๆ ที่ต้องทำตาม ที่พระเจ้าวางไว้ ตอนนี้ไม่มีกฎระเบียบอีกต่อไป ให้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่สิ่งที่พระเจ้าพระบิดาต้องการอย่างเดียว คือต้องการให้เราวางใจ เชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ เพราะว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษย์หรือเรานั้น ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตามที่พระองค์ต้องการได้ และทำให้เราสามารถรักซึ่งกันและกัน ในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์
การรักษาบัญญัติในข้อพระคัมภีร์นี้ คือรักษาความจริงตรงนี้ไว้ในใจว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ด้วยความเชื่อในใจว่า …
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ฉันอาศัยอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ในความรักเหมือนพระคริสต์แล้ว”
ตรงนี้ต่างหากที่ให้เราเก็บรักษาไว้ นี่คือความจริง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ารักษาไว้ ด้วยความคิดใคร่ครวญถึงข้อความเหล่านี้ อยู่เสมอๆ ถ้าฟังถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ตรงกับความจริงตรงนี้ เป็นข้อความที่แย้งเข้ามา ต้องอย่าฟัง ถ้าฟังไปแล้ว มันจะไขว้เขว ทำให้เราไม่มั่นใจในสิ่งที่เป็นความจริงตรงนี้ต่างหาก 1 เปโตร 4:8 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ …
1 เปโตร 4:8 “เหนือสิ่งอื่นใด จงรักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้ โดยการให้อภัย”
ตรงนี้กำลังบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา ก็คือเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ นอกจากเราจะเป็นวิญญาณเดียวกันแล้ว เรายังเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจในวิญญาณของเรา ชีวิตของเราจึงเป็นความรัก ดำเนินชีวิตด้วยความรัก โดยธรรมชาติ เราจึงอภัยให้กันและกัน แบบเสมอ ไม่มีความโกรธ เกลียดอยู่ในวิญญาณอีกเลย แม้แต่นิดเดียว 1 ยอห์น 3:24 สุดท้าย …
1 ยอห์น 3:24 “ผู้ใดเชื่อฟังพระบัญชา ผู้นั้นก็อยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่ในผู้นั้น เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา คือเรารู้โดยพระวิญญาณ ที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา”
เห็นไหมว่าอาจารย์ยอห์นเน้นตรงนี้อีกแล้ว ว่านี่คือสถานะทางวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ แท้ๆ สถานะทางวิญญาณ เป็นอย่างนี้ “เชื่อฟังพระบัญชา” คือวางใจในพระเยซู คนที่เป็น คริสเตียนเชื่อฟังพระบัญชา คือเขาวางใจในพระเยซู เพราะว่าพระบัญชา คือจงวางใจในพระบุตร และรักซึ่งกันและกัน พระบัญชา หรือกฎระเบียบ คำสั่งของพระเจ้า สำหรับคริสเตียน ก็คือวางใจในพระเยซู จงวางใจในพระบุตร และดำเนินชีวิตด้วยความรักซึ่งกันและกัน เชื่อฟังพระบัญชา คือวางใจในพระเยซู และดำเนินชีวิตอยู่ในความรักของพระคริสต์ เป็นความรักที่เหมือนพระคริสต์
เพราะฉะนั้น เราสามารถขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ ได้ว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้ เราอยู่ในพระคริสต์ พระองค์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เป็นความรัก และเราก็เป็นความรักเหมือนพระองค์เลย ต้องมั่นใจตรงนี้ให้ได้ พระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม บริสุทธิ์ เราก็เหมือนพระองค์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเช่นเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ได้เริ่มต้นการงานดีในชีวิตของเราเรียบร้อยแล้ว คือให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระองค์ ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับเชื่อพระเยซู พระองค์ได้เริ่มต้นการงานดีในเราเรียบร้อยแล้ว พระองค์สัญญาว่าจะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จในชีวิตของเรา คือเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา ทั้ง 3 พระภาคเลย แล้วก็ดำเนินชีวิตไปกับเราทุกลมหายใจเข้าออก พระองค์จะกระทำชีวิตเราให้สำเร็จ โดยดี ตามแผนการของพระองค์ที่วางไว้ สำหรับเราในแต่ละคน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงวางแผนการที่ดีไว้ สำหรับเราเรียบร้อยแล้ว โดยการเข้ามานำชีวิตของเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่ามันเป็นแผนการที่ดีที่สุด และเราเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงกระทำได้สำเร็จ จนกว่าจะถึงวันนั้น วันนั้น คือวันแห่งชัยชนะ วันแห่งการสิ้นสุด การดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ก็คือวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง ได้รับร่างกายใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน
เพราะฉะนั้น จิตใต้สำนึกของท่าน คิดเหมือนอย่างนี้หรือไม่? จิตใต้สำนึกของท่าน ควรจะคิดแบบนี้แหละ พระเจ้าอวยพรครับ
*******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คริสเตียน! จงมองให้เห็นเถิด! “ความรักของพระคริสต์ได้ท่วมท้นอยู่ในใจของท่านแล้ว”
เอเฟซัส 3:16-19 … “16 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าจากความไพบูลย์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ภายในท่าน 17 เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจของท่านโดยทางความเชื่อ และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านหยั่งราก และตั้งมั่นคงในความรักแล้ว 18 ตัวท่านพร้อมกับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า จะได้สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด 19 และซาบซึ้งในความรักนี้ ซึ่งเหนือกว่าความรู้ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า”
คริสเตียนผู้เชื่อได้รับความรักจากพระเจ้าแล้ว เพื่อส่งต่อให้ผู้อื่น ไม่ใช่พยายามรักผู้อื่นด้วยตัวเราเอง แต่เราเป็นผู้ที่ได้รับความรัก
จากพระเจ้า เข้ามาในวิญญาณและใจ และปล่อยให้ความรักที่อยู่ภายในนั้น ไหลผ่านออกมาเป็นการกระทำผ่านทาง การสั่งการของความคิดจิตใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นความคิด ที่เหมือนพระคริสต์เหมือนพระเจ้า
เพราะฉะนั้น ความคิดจิตใจที่ได้รับอิทธิพลการเปลี่ยนแปลง เป็นความคิดเดียวกันกับพระเยซูคริสต์มากเท่าไหร่ เราก็สามารถปลดปล่อยให้ฤทธิ์อำนาจความรักของพระเจ้าหลั่งไหลออกมา สั่งการบงการให้ร่างกายอวัยวะทุกส่วน สำแดงความรักของพระเจ้าที่เป็นความรักแท้นี้ออกไปในการดำเนินชีวิต ได้มากเท่านั้น
ปัญหา คือแทนที่เราจะเป็นฟองน้ำซึมซับรับเอาความรักจากพระเจ้า เรากลับไปเป็นหนูถีบจักรที่จะปั่นเอาความรักแบบพระเจ้าออกมา ด้วยการพึ่งพาตนเอง ซึ่งเป็นภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย
เคล็ดลับ คือให้ความคิดจิตใจของเราที่เหมือนแก้วน้ำ ได้ถูกเติมเต็มด้วยความรักของพระเจ้าในพระคริสต์เติมได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถเทออกไปได้มากเท่านั้น
อย่าลืมว่าเราเป็นเพียงแค่ภาชนะให้พระเยซูคริสต์ใช้งาน อย่างนี้หายเหนื่อยและเป็นสุข
พระเจ้าอวยพรครับ