คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2024
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”
ตอน 8 “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว”
โดย นคร เวชสุภาพร
“หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 8 “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว”
เชื่ออย่างนี้จริงหรือเปล่า? ที่พูดมั่นใจไหม? นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยอห์น อัครสาวกได้เขียน ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เขียนเป็นข้อพระคัมภีร์ อธิบายความจริงเหล่านี้ให้เราฟัง ในหนังสือพระคัมภีร์ ได้เรียนรู้ว่าโลกวิญญาณมันได้เป็นอย่างนี้จริงๆ จงมองให้เห็นเถิด เป็นอย่างนี้จริงๆ มันต้องอาศัยความเชื่อ จะรู้มากเท่าไร? ไม่มีทางเข้าใจหมด จะพยายามเท่าไร ก็ไม่เข้าใจ ความคิดมนุษย์จะไม่สามารถหยั่งถึงได้ จึงต้องใช้ความเชื่อ เหมือนหนังสือฮีบรู 11:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ฮีบรู 11:3 “โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้น สิ่งที่มองเห็น จึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น”
นี่คือหัวใจหลักของการที่จะมาแสวงหาพระเจ้า ที่แท้จริง การที่จะเรียนรู้จักพระเจ้าที่แท้จริง และเราทั้งหลายที่เรียนรู้จักพระเจ้า ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว มันก็ต้องยืนยันอยู่บนความเชื่ออย่างนี้ เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น และรู้ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ใหญ่ที่สุด คือรวมคำว่า “พระเจ้า” การมาหาพระเจ้าต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น อย่าใช้ความรู้สึก การมองเห็น การจับต้องอะไรได้ อย่างนี้มันของโลก อาจถูกหลอกได้ เพราะฉะนั้น เราต้องเชื่อในพระเจ้า เชื่อในถ้อยคำของพระองค์ว่าไว้อย่างไร? อันดับแรกของการเรียนรู้ต้องเป็นอย่างนั้น
ก่อนเป็นคริสเตียน ก่อนเราเปิดใจรับเชื่อ สิ่งแรกเราต้องเรียนรู้อะไรก่อน เราเชื่ออะไรก่อน เราบอกเราเชื่อพระเยซู ถูก เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถูก เชื่อว่าพระเยซูช่วยได้ ถูก แต่หัวใจของความเชื่อ เกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากเราเชื่อใช่ไหมว่าเราเป็นมนุษย์วิญญาณ เราเป็นวิญญาณใช่ไหม? เราเชื่อพระเยซู เราวางใจในพระเยซูอะไรก็ตาม แต่เพราะว่าเราเชื่อว่าโลกวิญญาณมีจริงๆ ถึงแม้จะเลือนลางเต็มที เพราะว่ามีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณก่อนที่เราจะรับเชื่อ มนุษย์ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเริ่มต้นเชื่อว่ามีโลกวิญญาณ และตัวฉันเป็นวิญญาณ พระคัมภีร์บอกเลย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่เป็นวิญญาณ มีความคิด จิตใจ ที่อยู่กับวิญญาณนั้น และอาศัยอยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว
เราต้องเรียนรู้อย่างนี้ก่อนเลยว่า “ฉันเป็นวิญญาณ มีใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ต้องมีพื้นฐานความรู้ตรงนี้ ไว้เป็นรากฐานในการแสวงหาความจริงจากพระเจ้าต่อไป เพราะทั้งหมด มันจะเป็นเรื่องนี้เท่านั้น ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือเรื่องของชีวิตทางวิญญาณ คือมองไม่เห็นด้วยตา สัมผัสแตะต้องด้วยร่างกายไม่ได้ ใช้ความคิดแบบมนุษย์ไม่ได้ ใช้ปัญญา ใช้วิชาการ ใช้ตรรกะเหตุผล แบบโลกนี้ไม่ได้ ต้องใช้ความเชื่อ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น
อาจารย์ยอห์น ก็เลยเขียนในหนังสือ 1 ยอห์น ที่เรากำลังเรียนรู้กัน เจาะลึกกัน เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าเราไปอ่านและไปเรียนรู้ โดยผสมเอาความคิดแบบมนุษย์ ความรู้สึกแบบมนุษย์ ความเข้าใจแบบมนุษย์ ตรรกะเหตุผลแบบมนุษย์ เราจะไม่เข้าใจ เราจะอ่านแล้วงง ไม่ค่อยรู้เรื่องเลย แต่พอสับสวิทส์มา เริ่มต้นว่า …
“ทางวิญญาณๆ ฉันเป็นวิญญาณ ชีวิตฉันเป็นวิญญาณ”
พูดถึง “ฉัน” เมื่อไร? พูดถึง “ท่าน” เมื่อไร? ในพระคัมภีร์นี้ คือ “ฉันเป็นวิญญาณ” กำลังพูดถึงวิญญาณของเรา ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ พูดปุ๊บ หมายถึงวิญญาณของท่าน เวลาอ่านจะได้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันก็จะง่ายขึ้น ชัดเจนมากขึ้น เข้าใจแล้ว หมายถึงเข้าใจแบบฝ่ายวิญญาณ เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร? อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นถึงอะไร? ให้มนุษย์คนที่เชื่อแล้ว คนที่เป็นคริสเตียน ให้เขารู้ว่าในทางวิญญาณ มันแตกต่างกับคนที่ไม่เชื่ออย่างไร? ในโลกวิญญาณเป็นลักษณะอย่างไร? คริสเตียนมีหน้าตา อุปนิสัย ใจคอ มีชีวิตอย่างไรในโลกวิญญาณ แล้วคนไม่เชื่อเป็นอย่างไร? นี่คือความแตกต่างที่อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วเราได้เรียนรู้มา 2-3 บทแล้ว
สรุปรวมนะ คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณของพวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ย้ายมาจากการที่เขาอยู่ในอาดัม อาดัมคือบรรพบุรุษของเรา ที่เป็นคนบาป เห็นไหม? เราฟังปุ๊บ เราต้องคิด เราอยู่ในพระคริสต์ ดำรงอยู่ในพระคริสต์ ทางวิญญาณ เราอยู่ในประเทศไทย นั่นมาทางวัตถุ ทางสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้ แต่ในทางวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราอาศัยอยู่ต่อติดอยู่ มีชีวิตอยู่ หรือเป็นชีวิตที่อยู่ในพระคริสต์ เข้าใจไหม? ความคิดแบบมนุษย์ไม่มีทางเข้าใจหรอก ต้องใช้ความเชื่อ
“ในพระคริสต์ ฉันมีชีวิตอยู่ ในวิญญาณ ฉันอยู่ในพระคริสต์”
อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าในโลกวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น คือในพระคริสต์ หรือในอาดัม จะอยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ ถ้าอยู่ในพระคริสต์ ก็อยู่ในพระเจ้า อยู่ในความสว่าง อยู่ในความจริง ถ้าอยู่ในอาดัม ก็อยู่ในความดำ อยู่ในความมืด ความไม่จริง ความเท็จ ความหลอกลวง ไม่ได้มีพระเจ้าอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้น มีอยู่แค่ 2 ที่เท่านั้นเอง ไม่มีตรงกลาง เลือกเอา จะอยู่ที่ไหน? แค่นี้เอง ก็เข้าใจง่าย ไม่ต้องไปเขียนตำราเยอะแยะ กว่าจะหาเจอว่าเราเป็นใคร? มาจากไหน? จะไปไหน? โน้น วุ่นวายไปหมดเลย จริงๆ มีอยู่แค่นี้เอง
ในภาษาอังกฤษ คำว่า “อาศัยอยู่” มันทำไม่ได้ หมายถึงมนุษย์ไม่สามารถปฏิบัติตน ให้อาศัยอยู่ อาศัยอยู่ มันเป็นลักษณะของวิญญาณ ที่เรียกว่าชีววิทยาทางวิญญาณ สภาวะของชีวิตทางฝ่ายวิญญาณว่าเราอยู่ที่ไหน? มันไม่สามารถที่จะประพฤติว่า …
“ฉันจะพยายามทำตรงนี้ให้มันอยู่ในพระคริสต์มากยิ่งขึ้น”
ไม่ได้ มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่นั่น แล้วอยู่ที่พระคริสต์ได้อย่างไร? อยู่ที่พระคริสต์ได้ โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Abide” เป็นภาษาโบราณ Abide แปลว่าดำรงอยู่ อาศัยอยู่ อยู่ข้างใน อยู่ร่วมกัน อย่างนี้เขาเรียกว่า Abide ไม่สามารถที่จะประพฤติ เป็นอาศัยอยู่นี้ได้ แต่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้น
อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้าเรา Abide ผมพยายามใช้ภาษาไทยให้เยอะๆ ตามข้อพระคัมภีร์เขียนไว้ในภาษาไทย ถ้าเราได้อาศัยอยู่ หรือดำรงอยู่ หรือต่อติดอยู่ ฟังให้ดีๆ สิ่งเหล่านี้จะเขียนในพระคัมภีร์ ถ้าเราได้อาศัยอยู่ ได้ต่อติดอยู่ ได้ดำรงอยู่ในพระคริสต์ เราก็เป็นเหมือนพระคริสต์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ แล้วท่านอยู่ในพระคริสต์หรือยัง? อยู่แล้ว เห็นหรือยัง?
ท่านอยู่ เพราะอะไร? ท่านอยู่ เพราะท่านประพฤติหรือ? ไม่ใช่ ท่านอยู่ เพราะว่าท่านเชื่อ วางใจในพระเยซู และพระเยซูกระทำทั้งหมด ทั้งสิ้นให้ท่าน ได้เข้าไปอยู่ในพระองค์ ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อไหม? ถามจริง? เชื่อด้วยอะไร? ด้วยเหตุผลหรือ? ที่อธิบายเมื่อตะกี้นี้ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่เข้าใจ คิดออกไหมว่าตะกี้ที่พูดคืออะไร? คิดไม่ออก แต่ฟัง แล้วได้ยินไหมถ้อยคำพระเจ้า ได้ยิน ชัดเจนเลยว่าผู้ที่ Abide ผู้ที่อาศัย ดำรงอยู่ ต่อติดอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์นั้น เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เอเมน
ผมจึงให้ท่านลองพูดดู ลองพูดใหม่อีกที พูดกับคนข้างๆ … “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว เหมือนพระคริสต์”
เชื่อไหม? เชื่อที่ตัวเองพูดหรือเปล่า? นี่แหละ คือหัวใจ มันมีแค่นี้เองจริงๆ นึกถึง 2,000 ปีที่แล้ว ที่ข่าวประเสริฐเริ่มต้น ที่ไม่มีตัวหนังสือมากมายถึงขนาดนี้ ไม่มีอุปกรณ์อะไรต่างๆ ที่จะมาเรียนรู้จักมากขนาดนี้ ไม่มีความรู้ พูดภาษาอื่นๆ ภาษาต่างประเทศอะไรเยอะแยะมากมาย คนอ่านหนังสือไม่ออกเยอะแยะไปหมด 80, 90% แล้วเขาถ่ายทอด หรือรับรู้เรื่องข่าวดีนี้ จนมาถึงปัจจุบัน เติบโต ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ใหญ่ที่สุดในโลก ผ่านมาถึงเราได้อย่างไร? ก็มาแค่นี้ที่บอก พระวิญญาณยืนยันให้เขาทุกวันๆ ว่า …
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว เดี๋ยวนี้ๆ”
แล้วเขาพูดให้ใครฟัง? พูดให้ตัวเองฟังว่า “วิญญาณฉันเป็นเช่นนั้น” และในจดหมายฝาก ในพระคัมภีร์ อัครสาวกก็ย้ำยืนยันตรงนี้ ให้เขาอ่าน ให้เขาฟังทุกวันสะบาโต ทุกวันอาทิตย์ ทุกวันที่เขามารวมตัวกัน อ่านข้อความที่เขาอ่านไม่ออก ในหนังสือจดหมายฝากที่อัครสาวกเขียนนั้น สรุป ก็คือท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ท่านดีพร้อมแล้วๆ เหมือนพระเยซูเลย เดี๋ยวนี้ๆ เลย ไม่ต้องไปคิดมาก เอเมน
ครั้งที่แล้ว เราจบลงที่ 1 ยอห์น บทที่ 2 เราเรียนมา 2 บทแล้ว จบบทที่ 2 ข้อที่ 28 กับข้อที่ 29 เรามาทวนนิดหนึ่ง ที่บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ …
1 ยอห์น 2:28 “และบัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอาศัยอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่หลบพระพักตร์พระองค์ ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา”
เห็นไหม อย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ “จงอาศัย” ก็คือดำรงอยู่ Abide ต่อติดอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่กับพระองค์ พระองค์ คือพระคริสต์ ที่เราเรียนรู้ลึกไปกว่านั้น ก็คือพระคริสต์อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ 3 พระภาคอยู่ในเรา เราอยู่ใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน
และในนี้ ที่ตะกี้นี้อ่านบอกว่า “และบัดนี้” แปลว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เมื่อตอนเขียนใหม่ๆ นั้น 2,000 ปีที่แล้ว ก็คือขณะนี้ คือตอนนั้น ตอนที่พระเยซูเพิ่งเป็นขึ้นจากความตาย และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ไม่กี่ปี จนมา 2,000 ปีนี้ ขณะนี้ ก็คือเดี๋ยวนี้ เป็นจริงอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนจริงๆ คืออาจารย์ยอห์นถือโอกาสประกาศเลยว่าคริสเตียนจะได้รับอย่างนี้เป็นประสบการณ์ของเขา เขาจะเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนจริงๆ ท่านจงรับรู้ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น ท่านกำลังอาศัย ดำรงอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านกำลังอยู่ในพระเยซูคริสต์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านเดินอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อาศัยอยู่ในท่าน ดำรงอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หมดบาปจนถึงนิรันดร์
เราได้เรียนรู้ไป เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่าง ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เหมือนน้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาล สมมติ เป็นพระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ แล้วเราเป็นกระเทียม อยู่นอกโหล คือยังไม่เชื่อ เดี๋ยวมันก็เน่า ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณก็เอากระเทียม คือตัวเรา ใส่เข้าไปในโหล เข้าไปจุ่มอยู่ในน้ำส้มสายชู เกลือ และน้ำตาล จุ่มปุ๊บ เขาเรียกว่าดองกัน พอดองปุ๊บ กระเทียมก็จะดูดซับเอา 3 สิ่งนี้เข้าไปในตัวเนื้อกระเทียม นึกออกหรือยัง? กระเทียมอยู่ใน 3 สิ่งนี้ 3 สิ่งนี้ท่วมอยู่ในกระเทียม ชีวิตท่านเป็นอย่างนั้น หลับตาให้เห็นก่อน ชีวิตท่านเป็นกระเทียมที่ดองไปแล้ว ไม่มีวันแม้แต่เศษนิดเดียวของกระเทียมนั้น ไม่มีวันที่จะกลับกลายเป็นกระเทียมสดได้อีกต่อไปแล้ว มันเป็นกระเทียมดอง แม้สะกิดนิดเดียว ออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง มันก็เป็นกระเทียมดอง
นิ้วก้อยของท่านก็เป็นชีวิตของพระเจ้าสถิตอยู่ นี่คืออย่างนั้น เส้นผมท่านทั้งหมด (ที่ยังไม่ร่วง) ร่วงแล้ว ก็เป็นของโลกนี้ไปแล้ว ที่ยังไม่ร่วง ก็ปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า 3 สิ่งนี้ปกคลุมอยู่เหนือท่าน รวมทั้งวิญญาณท่านก็เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เอเมน เชื่อไหม? ต้องคุยอย่างนี้บ่อยๆ เชื่อไหม?
อาจารย์ยอห์นพูดถึงตะกี้นี้บอกว่าให้ท่านรับรู้ความจริงเรื่องนี้ เรื่องที่เราอธิบายไปนี้ว่าท่านเป็นกระเทียมดองแล้ว ไม่มีทางเป็นอื่นแล้ว ท่านจะได้ไม่กลัววันพิพากษา ไม่ละอาย คือท่านไม่ได้เป็นคนบาป คำว่า “ละอาย” ภาษาเดิม หมายถึงการเป็นคนบาป อยู่ต่อหน้าพระเจ้าไม่ได้ ละอาย ไม่ได้หมายถึงขี้อาย อยู่ต่อหน้าพระเจ้าไม่ได้ เขาเรียกว่าละอาย ไม่สามารถ ไม่กล้าอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพราะว่าอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์ และเราเป็นคนบาป อยู่ด้วยกันไม่ได้เลย อยู่ด้วยกัน ถูกเผาผลาญเรียบร้อย ทั้งกลัว ทั้งละอาย หมายถึงอย่างนี้ พูดง่ายๆ ว่าเราก็ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นกระเทียมดองแล้วอย่างนี้ อย่าหลงไปเชือคำสอนอื่นๆ อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นตรงนี้ อย่าไปเชื่อคำสอนอื่นๆ ที่มาบอกท่านเป็นอย่างอื่น ท่านเป็นอย่างนี้แล้วจริงๆ
1 ยอห์น 2:29 “ถ้าท่านรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกๆ คนที่ฝึกฝนการกระทำความชอบธรรม ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณนั้น ได้เกิดมาจากพระองค์ด้วย”
และก็บอกต่อว่าธรรมชาติของคนที่บังเกิดใหม่ คริสเตียนในวิญญาณเป็นอย่างไร? ถือโอกาสประกาศต่อเลยว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านก็จะได้รับรู้เองและมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านจะรู้อยู่ภายในของท่านว่าพระเยซูเป็นอย่างนี้
เมื่อท่านรู้แล้ว ท่านจงรับรู้เถิดว่าวิญญาณของท่านได้เกิดใหม่จากพระองค์ เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระองค์ มีพระลักษณะของพระองค์อยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านจึงมีตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของท่าน ในใจของท่าน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมด้วยเช่นเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ นี่ยืนยันหมายถึงอย่างนั้น
และผลออกมา ก็คือและท่านก็จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยการฝึกฝนความประพฤติที่ชอบธรรม ฝึกฝนตามปกติ ตามธรรมชาติ ภายในที่เกิดใหม่นั้น ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณของท่าน ที่เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฝึกฝน โดยการนำของพี่เลี้ยงที่อยู่ในวิญญาณของเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พี่เลี้ยงก็จะนำเรา นำโดยที่เราไม่รู้สึก นำโดยที่เราคิดไม่ถึง นำเรา โดยที่เราไม่รู้เลยว่ากำลังนำอยู่ เพราะทรงนำอยู่ตลอดเวลา เอเมนไหม?
และการนำนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น ท่านลองคิดดู วิญญาณของท่านเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยง นำพาท่าน กำลังจูงมือท่านเดิน และเกิดอะไรขึ้น ท่านก็เกิดความเชื่อฟัง ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวเลย สะอาด บริสุทธิ์ ท่านก็เหมือนเด็กๆ เตาะแตะๆ กับพี่เลี้ยง ไปด้วยกัน มีพระบิดา เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ดูแลอยู่ และให้พี่เลี้ยงนำพาเรา เราก็เหมือนเด็กในวิญญาณ พยายามฟังพี่เลี้ยงของเรา และก็เชื่อฟังเขา
นี่คือความเป็นจริงชีวิตของท่าน แม้ว่าเมื่อตะกี้ท่านอาจจะบอกว่าฉันยังทำบาปอยู่ ฉันยังโมโห ไม่เชื่อฟัง นั่นท่านกำลังฝึกฝนอยู่ ในนี้บอกว่าเรากำลังฝึกฝนที่จะทำตาม ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เขาจึงเรียกว่าการฝึกฝน กระทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่ภายใน มันต้องฝึกฝน คือบางครั้งถูกหลอกให้ดื้อ ให้ไม่ทำตามบ้าง อย่างนี้เขาเรียกว่าถูกหลอก แล้วพระวิญญาณก็จะฝึกเรา บอกเราว่าอย่างนี้ถูกหลอกนะ อย่างนี้ ไม่ดี ก็แก้ไขใหม่ ก็เปลี่ยนใหม่ เหมือนพี่เลี้ยงที่เลี้ยงเด็กที่บ้านของเรา เหมือนเราเลี้ยงลูก เด็กๆ เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น มั่นใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม พร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เด็ดขาด และพร้อมที่จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ให้สมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้วนั้น นี่คือตัวตนแท้ๆ ของเรา ส่วนที่เราดื้อนั้น เราไม่อยากทำหรอก แต่เราถูกหลอก เชื่อไหม? ก็ไม่เชื่อ
“ไม่จริงหรอก ต้องรับผิดชอบสิ คุณเป็นคนตัดสินใจ”
พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ แล้วจะเอาอย่างไร? ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน
นี่คือความจริง อาจารย์ยอห์นจึงมาชี้ให้เห็นความจริง อย่าไปถูกเขาหลอกว่า …
“ฉันแย่ ฉันเลว”
“พระเจ้าอภัยให้กี่ครั้งแล้ว ยังทำอยู่นั่นแหละ”
ไม่จริงเลย วิญญาณของฉัน และใจของฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยคิดจะละเมิดกฎของพระเจ้า หรือทำบาปเลย เพราะฉันเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่มีความบาปอยู่ในตัวฉันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่คิดและพลาดไปอย่างนั้น เพราะฉันถูกหลอกให้ทำ
หลอกอะไรตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่รู้จักเปลี่ยนสักที เนี้ย สติปัญญามนุษย์ ก็จะอย่างนี้แหละ แล้วก็จะฝืนกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า
วันนี้เรามาต่อ บทที่ 3 วันนี้ยิ่งเห็นชัดขึ้นอีกเลยว่าที่ตะกี้นี้ อธิบายมาหมด ที่เราเรียนมาตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 จนถึงเดี๋ยวนี้ มันชัดมากเลยในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้แล้วจริงๆ ฟังมากๆ เพื่อจะให้ความจริงนี้ลงไปในวิญญาณของเรา เปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ ให้เป็นความคิดที่เป็นไปกับถ้อยคำพระเจ้า ที่เรียกว่านมัสการพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริง ไม่ถูกหลอก …
1 ยอห์น 3:1 “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์”
“จงมองให้เห็นเถิด” แปลว่าในโลกวิญญาณ ถ้าในโลกวัตถุ ก็ไม่ต้องบอกว่า “จงมองให้เห็น” มันเห็นอยู่แล้ว อันนี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจึงบอกว่าจงมองให้เห็นเถิด ในภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า Behold แปลว่ามันมองไม่เห็น แต่มองทางฝ่ายวิญญาณให้เห็น และนี่คือความจริง
ความจริง คือความรักของพระเจ้าอัศจรรย์เพียงใด ตรงนี้ความหมายลึกซึ้ง ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนี้ ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? มหัศจรรย์เพียงใดในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ทำให้เกิดขึ้นอย่างนี้ ก็คือมอบของขวัญให้กับมนุษย์ ให้กับท่าน
ของขวัญ คือการยอมรับเรา เป็นลูกของพระองค์ ทำให้เราได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ นี่คือของขวัญ อัศจรรย์ที่พระเจ้าประทานให้ อัศจรรย์จริงๆ และยิ่งต่อด้วยคำนี้ ยิ่งอัศจรรย์ใหญ่เลย …
“และเราก็เป็นลูกของพระองค์จริงๆ”
ภาษาเดิมตรงนี้ มันแปลว่าอย่างนี้ ที่ตะกี้นี้อ่านบอกว่า “และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น” จริงๆ ตรงนี้ คือ “จริงๆ เราก็ได้เป็นอย่างนั้น” เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ อาจารย์ยอห์นบอก จริงๆ ต้องเน้น เพราะมันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ “เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วจริงๆ เดี๋ยวนี้เลย” เดี๋ยวนี้ คือขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่ยังเลิกบุหรี่ไม่ได้เลย เลิกเหล้าก็ได้บ้าง ไม่ได้หมด ยังเลิกหงุดหงิดไม่ได้เลย แต่ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้วจริงๆ เดี๋ยวนี้ หมายถึงอย่างนั้น
“เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา ไม่ยอมรับเราที่เป็นคริสเตียน ก็เพราะว่าคนเหล่านั้น เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนเหมือนกัน” เห็นไหม? เห็นในโลกวิญญาณแล้วหรือยัง? เพราะว่าเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรเดียวกับเรา เขาอยู่ในอีกด้านหนึ่ง เขาไม่รู้จักเราหรอก เขาอยู่ในอาดัม เพราะเขาแสวงหาพระเจ้าผิดองค์ พระเจ้าไม่จริง พระเจ้าไม่เที่ยงแท้ เขาไม่รู้จักพระเจ้าของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว เป็นพระเจ้าของพระบิดาของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา
เห็นภาพหรือยัง? อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นในโลกวิญญาณว่ามี 2 แห่ง เขาเลยไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักเรา แปลว่าในวิญญาณเขาไม่ได้มาสามัคคีธรรมกับเรา เขาไม่รู้จักเราหรอก แต่เราทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เรารู้จักกันหมด เพราะว่าในวิญญาณ เราเป็นวิญญาณเดียวกัน รู้จักกัน มันหมายถึงอย่างนี้
1 ยอห์น 3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”
เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ก็คือในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ โลกวัตถุนี้ ก็คือในโลกวิญญาณ ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่จริงๆ
“ก็จริง” หมายความว่ามันก็จริงอยู่นั่นแหละที่เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ท่านยังสงสัยใช่ไหม? อาจารย์ยอห์นก็เลยบอกว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริงอยู่นะ แต่ในโลกวัตถุ เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร? ตรงเป๊ะ เราเชื่อ เรารู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราในวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า แต่อนาคตเราจะเป็นอย่างไร? ร่างกายเราจะเป็นอย่างไร? เราตายไปแล้วเราจะเป็นอย่างไร? เรามีความหวัง แต่เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้ว่าพระองค์เสด็จมาปรากฏ เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์
อาจารย์ยอห์นเลยบอกให้ฟังว่าถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้า ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว เราก็ต้องรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ มาแทนร่างกายเดิม เห็นไหม?
“ฉันเป็นวิญญาณ มีใจใหม่ มีวิญญาณใหม่ แต่อยู่ในร่างกายชั่วคราว ร่างกายชั่วคราวนี้จะหมดสิ้นไป สูญสิ้นไป จะตายไป ฉันจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์”
“เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์” คือเราจะสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น คือวิญญาณออกจากร่างไปปุ๊บ ทุกวันนี้ วิญญาณและใจของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ ร่างกายเดิม ไม่มีความสามารถด้อยคุณภาพ ไม่สามารถมองเห็นทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณได้ มิติฝ่ายวิญญาณยังเห็นไม่ได้ แต่วันหนึ่งข้างหน้า วิญญาณเดิม ใจเดิม แต่สวมร่างกายใหม่ที่มีคุณภาพดียอดเยี่ยม เป็นคุณภาพแบบพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ พอสวมเข้าไปปุ๊บ ปิ๊ง มีตาฝ่ายวิญญาณ เห็นโลกฝ่ายวิญญาณ ตามความเป็นจริง ก็คือเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองตามความเป็นจริงด้วย เอเมน ในฟิลิปปี 3:20-21 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …
ฟิลิปปี 3:20-21 “20 เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอด จากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”
ตอนนี้เราเป็นพลเมืองสวรรค์ ตอนนี้เราเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่เรารอคอยร่างกายใหม่ อย่างที่ตะกี้นี้พูดไว้ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยพระสิริ พระเกียรติของพระองค์ เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ โดยฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเรา ขณะนี้
เมื่อถึงเวลานัด เราจะได้รับการผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง คือเปลี่ยนร่างกายใหม่ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เราเป็นคริสเตียน เต็มไปด้วยความหวังอย่างนี้แหละ ใครที่เป็นคริสเตียนก็เต็มไปด้วยความหวังอย่างนี้ คือหวังว่าจะได้รับร่างกายใหม่ในไม่ช้านี้ และจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เอเมน …
1 ยอห์น 3:3 “และทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ในพระองค์ ก็ชำระตนให้บริสุทธิ์ เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์”
“ทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้” รู้แล้วว่า …
“ฉันเป็นวิญญาณ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ มีใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วขณะนี้”
รอเพียงตายเมื่อไร? … “ฉันจะออกจากร่างกายนี้ แล้วไปรับร่างกายใหม่ในสวรรค์ ฉันมีความหวังอย่างนี้ ในพระองค์ ฉันก็เลยดำเนินชีวิต ชำระตนให้บริสุทธิ์ สมกับที่เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ที่เหมือนพระองค์ ที่บริสุทธิ์แล้ว”
อย่าเข้าใจผิดว่าหนังสือนี้กำลังสอนให้เราต้องรักษาความบริสุทธิ์นั้นไว้ เพื่อจะได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ได้รับร่างกายใหม่ ไม่ใช่ ในนี้หมายถึงให้ชำระตนให้บริสุทธิ์ รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ ให้สมกับที่บริสุทธิ์แล้ว เป็นลูกแล้ว มันต่างกัน
การชำระตนให้บริสุทธิ์ ที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่การพยายาม ด้วยความพยายามของตัวเราเอง แต่เป็นผลจากตัวตนใหม่ เขาเรียกว่าอัตลักษณ์ใหม่ ตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์ ในวิญญาณของเรา ที่เป็นเหมือนพระองค์แล้ว คือวิญญาณเราได้รับการเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมผ่านการเสียสละของพระองค์ การงานของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน
เพราะฉะนั้น บทบาทของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าวางไว้ ก็คือให้เราดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงในถ้อยคำพระเจ้านี้ โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำทางเรา ในการแสดงความบริสุทธิ์ ความดีพร้อม ความชอบธรรมนี้ ที่มันเป็นของเรา อยู่ในวิญญาณของเราแล้ว ในพระคริสต์ ไม่ได้หมายถึงว่าให้เราทำความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น มากขึ้นกว่าที่พระองค์ทรงกระทำ เพราะไม่มีทางบริสุทธิ์มากกว่านี้แล้ว เราบริสุทธิ์ เพราะว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิต และได้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เพื่อเราทั้งหลาย และเราได้รับเชื่อ ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะการงานของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราทำเพิ่มเติม แต่ที่เราทำ และพระวิญญาณนำเราทำนั้น ทำให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว เอเมน
ในโรม 12:2 ก็ได้บอกอย่างนั้นว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ เปลี่ยนแปลงคืออะไร? แทนที่จะพยายามทำสิ่งที่ดีงามอะไรต่างๆ เพื่อจะเพิ่มพูนความดีงามของตัวเอง เพื่อจะเพิ่มพูนความสมบูรณ์ดีพร้อมของตัวเอง ซึ่งมันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าว่าเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยแล้ว เราเชื่อเท่านั้น จบแล้ว เข้าใจใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจตรงนี้เสียใหม่ ขบวนการการเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ คือการปรับความคิด และการกระทำของเรา ให้ความคิดและการกระทำของเราสอดคล้องกับความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราได้เป็นแล้ว ให้เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว ถ้าเราไม่สม ก็แสดงว่าเราถูกหลอก ให้ทำในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงของตัวเรา ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้คิดสอดคล้องไปกับความเป็นจริงว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์
การเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ คือการฝึกฝนความชอบธรรม การแสดงออก ซึ่งตัวใหม่ของเรา คือวิญญาณใหม่ ใจใหม่ของเรา ให้มันออกมาเป็นความประพฤติ มันต้องใช้การฝึกฝนในการวางใจในพระเจ้าว่าเราเป็นอย่างนั้น เราจึงจะผลิตออกมาเป็นอย่างนั้นได้ ถ้าเราไม่เชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่สามารถผลิตอย่างนั้นได้ เรายังเชื่อว่าเราเป็นคนบาป เราก็ผลิตแต่สิ่งที่เป็นบาป แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว พระวิญญาณอยู่กับเราแล้ว มันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดของเราเป็นอย่างนั้น เป็นความบริสุทธิ์ ดีพร้อม แล้วเราก็จะประพฤติออกมา เป็นความบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซู ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ …
1 ยอห์น 3:4 “ทุกคนที่ทำบาป ย่อมละเมิดบทบัญญัติ อันที่จริงบาป ก็คือการละเมิดบทบัญญัติ”
บทบัญญัติ คือกฎหมายของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความชอบธรรม กฎหมายของพระเจ้า ก็คือให้ทำความชอบธรรมเหมือนพระเจ้านั่นเอง นี่คือกฎ ก็คือให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า โดยการกระทำด้วยตัวเอง นี่คือกฎ ซึ่งมีใครทำได้ไหม? ไม่มี เพราะว่าทุกคนตกเป็นทาสของความบาป เป็นคนบาป ไม่สามารถรักษากฎของพระเจ้า ก็คือไม่สามารถรักษาศีลธรรมตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ ไม่มีทาง รักษาอย่างไรก็ไม่ครบหมด มันหมายถึงอย่างนั้น กฎศีลธรรม ก็คือกฎหมาย หรือกฎบัญญัติของพระเจ้านั่นเอง
“ศีล” แปลว่าละเว้น งดเว้น จากการละเมิดกฎของพระเจ้า ศีล คือละเว้น อย่าทำ
“ธรรม” คือให้ทำตามกฎของพระเจ้าที่วางไว้ พระเจ้าบอกให้ทำอย่างนี้ ให้ทำ และทำได้ไหม? อันที่อย่าทำ เราก็ทำ อันที่บอกให้ทำ เราก็ไม่ทำ นี่คือมนุษย์ทั่วๆ ไป ตกลงไปในความบาป และอยู่ใต้อิทธิพลของความบาป เราไม่สามารถทำให้ดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ได้เลยแม้แต่นิดเดียว คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระลักษณะของพระเจ้าที่ดีพร้อม บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำ ก็คือทำเหมือนพระองค์ คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ ซึ่งมนุษย์ไม่มีทางทำได้ นอกจากพระเจ้ามาช่วย คือส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยเรา เอาบาปออกไปจากเรา เพื่อให้เราบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม โดยไม่ต้องทำ พระเยซูคริสต์ทำให้เสร็จ นี่ชัดเจนเลย พระเจ้าจึงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาช่วยเหลือ รักษาให้มนุษย์หายจากความอ่อนแอนี้ คือไม่สามารถประพฤติตามกฎศีลธรรมตามมาตรฐานของพระเจ้าได้
ให้พระเยซูคริสต์มา เพื่อให้ตัวบาปเก่าของเราได้ตายไป เพื่อว่าเราจะได้บังเกิดใหม่ พร้อมพระเยซูคริสต์ มาเหมือนพระเยซูคริสต์ และเข้ามาอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาป และความตาย กฎแห่งศีลธรรม เราเป็นอิสระทันที เพราะเราได้เกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ในข้อ 5 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์ไม่มีบาป”
แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน คริสเตียนทั้งหลาย ท่านได้เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณของท่าน ท่านก็รับรู้ด้วยความจริงว่าท่านได้อยู่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ และในพระคริสต์นี้ ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือไม่มีบาป ในตัวของเราเลย คือในวิญญาณของเรา ไม่มีบาป เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วจริงๆ นั่นเอง วนเวียนอยู่ตรงนี้ พยายามอธิบายอยู่ตรงนี้ ให้เราคริสเตียนได้เห็นภาพชัดเจน …
1 ยอห์น 3:6 “คนใดที่อาศัยอยู่ในพระองค์ คนนั้นไม่ได้มีปกติกระทำบาป ผู้ใดที่มีปกติกระทำบาป ผู้นั้นยังไม่ได้เห็นพระองค์ และยังไม่ได้รู้จักพระองค์”
ในภาษาเดิมตรงนี้ หมายถึงว่า “คนใดที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์” คนใด ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และอาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว คนนั้นไม่ได้มีปกติการทำบาป ไม่ได้มีการฝึกฝนปฏิบัติการกระทำบาปอย่างต่อเนื่อง ตามธรรมชาติวิสัยใหม่ พูดง่ายๆ ว่าตามปกติวิสัย ก็คือตามธรรมชาติ ชีวิตของเขา เขาจะไม่ทำอย่างนั้น “เป็นปกติวิสัย” ก็คือเป็นธรรมชาติ ในชีวิตของคริสเตียน ที่เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ได้เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ จะมีธรรมชาติปกติวิสัย ฝึกฝนในการกระทำสิ่งที่ไม่ได้เป็นบาปเลย คือเขาไม่มีบาปอยู่ในตัวนั่นเอง ไม่มีธรรมชาติบาปอยู่ในตัวของเขา …
1 ยอห์น 3:7 “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรมจากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”
นี่แยกให้เห็นชัดเจน อย่างที่บอกในโลกวิญญาณ มี 2 ทาง ข้างหนึ่งเป็นความมืด ข้างหนึ่งเป็นความสว่าง “อย่าให้ใครมาหลอกลวงท่าน” ก็คือคำสอนผิดๆ “และนำคุณให้หลงทาง” คือไม่เข้าใจในเรื่องโลกวิญญาณ ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว จะบอกให้ฟังว่าในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรมตามธรรมชาติ ภายในที่เป็นผู้ชอบธรรม จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ ก็แสดงว่าถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นเหมือนพระองค์แล้ว เขาคนนั้น ข้างในวิญญาณเขาจะฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ตามธรรมชาติภายใน ซึ่งเป็นผู้ชอบธรรม เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว ยังไงๆ ก็ต้องเป็นอย่างนี้
นี่คือลักษณะชีวิตในโลกฝ่ายวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียน เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นหน่อเชื้อฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์
ชีวิตนิรันดร์มาจากพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์เป็นของพระเจ้า พระเจ้าแบ่งชีวิตนิรันดร์ให้เราได้เกิดใหม่ในพระองค์ วิญญาณของเราจึงมีพระลักษณะของพระเจ้า เป็นลักษณะชีวิตของเรา มันไม่มีบาป เราเป็นลูกของพระเจ้าที่มีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเดิม นึกออกไหม? บนโลกนี้ ซึ่งบนโลกนี้ ปกคลุมด้วยอิทธิพลของความบาป ผู้คนยังมีบาปเยอะแยะ และโลกนี้ยังปกคลุมอยู่เหนือความบาป ต่อต้านความดีงามของพระเจ้า คอยหลอกล่อหลอกลวงให้เราคริสเตียนประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้วนั้น นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ
แล้วพระเจ้า ผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงได้เข้ามาสถิตอยู่ภายในเราแล้วนั้น ทั้ง 3 พระภาค ก็จะคอยฝึกฝน ฝึกสอนเรา ด้วยความอ่อนโยน ด้วยความรักดังแก้วตาดวงใจ ให้รู้จักการโกหก หลอกลวงของโลกนี้ ให้เรารู้จักปฏิเสธ ไม่ประพฤติตามอิทธิพล การชักจูงการล่อลวง การหลอกลวงของศัตรูบนโลกนี้ ทุกฝีก้าว สอนเรา เราจะรู้หรือไม่รู้ จะรู้สึกหรือไม่รู้สึกไม่รู้ แต่ในโลกวิญญาณ พระองค์กำลังทำอย่างนี้อยู่ ในทิตัส 2:11-12 ได้บันทึกไว้ …
ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเรา ที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลส โลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ตามพระวิญญาณ) ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า)”
สมกับเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พระคุณนี้สอนเรา คริสเตียนทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์ ที่ได้รับการเป็นลูกจากพระคุณของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์นี้ พระองค์จะฝึกฝนให้เราปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลสตัณหาโลกียตัณหาของโลกนี้ และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ทรงนำเราให้กระทำ สมกับที่เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม …
1 ยอห์น 3:8 “ผู้ที่กระทำบาป ก็มาจากมาร เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏ ก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของมาร”
อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นอีกแล้วว่าในโลกฝ่ายวิญญาณแบ่งออกเป็น 2 ข้าง เด็ดขาด ผู้ที่กระทำบาป ก็หมายถึงผู้ที่ฝึกฝนประพฤติบาป ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณ ก็เป็นของมาร มาจากมาร ฝั่งดำ ฝั่งอาดัม ฝั่งมืด ไม่ใช่ฝั่งสว่าง ฝั่งความเท็จ เห็นไหม? เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มต้น เป็นฝั่งของมาร เพราะว่าบาป คือการต่อต้านพระเจ้า ละเมิดกฎของพระเจ้า เริ่มต้นบนโลกใบนี้ ไม่ใช่มาจากพระเจ้า บาปไม่ได้มาจากพระเจ้า บาปมาจากตัวของมารเอง ที่เคยสอนมาแล้วตั้งแต่ครั้งก่อนๆ
พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏ ก็เพราะเหตุนี้แหละ เพราะมนุษย์ถูกหลอก ตกลงไปในความบาป ไปเชื่อมาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความบาป ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมาเพื่อเหตุนี้ เพื่อทำลายกิจการของมาร ก็คือเพื่อพามนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป อยู่ในอาณาจักรของความมืดพาเขาออกมาสู่อาณาจักรของความสว่าง ออกมาสู่อาณาจักรของพระเจ้า มาอีกฟากหนึ่งนั่นเอง …
1 ยอห์น 3:9 “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้า ดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า”
มาดูอีกฝั่งหนึ่ง เห็นไหม? อันนี้ฝั่งสว่าง ฝั่งพระเจ้า บอกว่าผู้ใดที่บังเกิดจากพระเจ้า คือคริสเตียน ผู้นั้นไม่กระทำบาป แน่นอน ไม่มีทางทำเลย เพราะสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่กับเขา ก็คือสภาพของตรีเอกานุภาพ สภาพของน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลืออยู่ในกระเทียมนี้แล้ว ไม่ได้เป็นอื่นเลย ดำรงอยู่กับเขาแล้ว สภาพของพระเจ้า 3 พระภาค ดำรงอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เขาจะไม่ทำบาปเลย เขาทำบาปไม่ได้ ไม่มีทางทำบาปได้เลย เพราะเขาเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า
“ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า”
พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา ให้เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า …
1 ยอห์น 3:10 “เช่นนี้แหละ จึงได้ปรากฏว่าใครเป็นบุตรของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร คือว่าคนใดที่ไม่ได้ประพฤติตามความชอบธรรม และไม่ได้รักพี่น้องของตน คนนั้นก็ไม่ได้บังเกิดมาจากพระเจ้า”
อาจารย์ยอห์นบอกว่าที่พูดมาทั้งหมดนั้น ก็รู้แล้วใช่ไหม? เช่นนี้แหละ อย่างที่อธิบายมาทั้งหมดนั่นแหละ ก็รู้แล้วว่าใครเป็นฝั่งไหน? ท่านอยู่ฝั่งไหน? ท่านอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง อยู่ในความจริงของพระเจ้า หรืออยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด อยู่ในความเท็จ ท่านอยู่ฝั่งไหน? ท่านอยู่ในพระเจ้า อยู่ในความรัก หรืออยู่ในความเกลียดชัง คนใดที่ไม่ได้ประพฤติตามความชอบธรรม ก็คือคนใดที่ไม่ได้ฝึกฝน ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในของเขา เป็นผู้ชอบธรรม ก็คือเขายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังอยู่ฝ่ายมืด ฝ่ายอาดัม ฝ่ายเท็จอยู่ คนนั้น เขาจะไม่ได้รักพี่น้องของตน คำว่า “พี่น้อง” หมายถึงเขาจะไม่รู้จักคริสเตียน เขาจะไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา เขาไม่ได้รักเรา พอเขาได้ยินว่าเราเป็นคริสเตียน เขารังเกียจเรา เขาไม่ชอบเรา แต่พอเราอยู่ฝั่งตรงข้าม เราอยู่ฝั่งสว่าง เราอยู่ฝั่งพระเจ้า เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใด? อยู่เมืองไหน? พอเรารู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน เรารักเขา เรารู้ว่าเขาบังเกิดใหม่ เรารักเขา เรารู้ว่าเขากลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพวกเรา เราดีใจ ทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าเลย
นั่นแหละ มันหมายถึงการแยกออกจากกันเด็ดขาด ในโลกฝ่ายวิญญาณ ระหว่างคนเชื่อที่เป็น คริสเตียนแล้วกับคนไม่เชื่อ และคนไม่เชื่อ ก็มีสิทธิ์มาเป็นคริสเตียนได้ไม่ยาก ง่ายนิดเดียว ตามที่ยอห์นบอกมาตั้งแต่แรกแล้ว ก็คือสารภาพ ยอมจำนนว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการความช่วยเหลือ และวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือให้มนุษย์หลุดพ้นออกจากความบาป และเข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า ในแสงสว่างของพระองค์ พระเจ้าอวยพรครับ
*******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเจ้าประกาศเชิญมนุษย์ทั้งปวง!
“สำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้ว! เราทำสำเร็จแล้ว! มาเร็วๆ มารับสิทธิในการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพ่อในพระเยซูคริสต์เร็วๆ พ่อกำลังรอเจ้าอยู่”
1 เปโตร 1:3-5 … “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู) พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”
คริสเตียน ท่านได้บังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อบริสุทธิ์ของวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย
และเพราะท่านได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อและด้วยพระคุณ ความรัก ความช่วยเหลือ จากพระเจ้าล้วนๆ เปล่าๆ ฟรีๆ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติการกระทำของท่านเลย การกระทำของท่านไม่ว่าก่อนหรือหลังจากบังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีผลกระทบอะไร ต่อสถานะการเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเลย
ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในท่านแล้ว และเป็นใหญ่กว่าเขาทั้งหลายที่อยู่ในโลก อย่าให้มารใช้ระบบของโลกและสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ โกหก หลอกลวง ข่มขู่ท่านให้กลัวสูญเสียความมั่นใจในสถานะการเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ซึ่งพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ
โรม 8:37-39 … “37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเรา ไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
เมื่อท่านได้เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว
ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าอวยพรครับ