คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2024
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”
ตอน 7 “คนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คือปฏิปักษ์พระคริสต์”
โดย นคร เวชสุภาพร
“หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 7 วันนี้ ผมให้ชื่อเรื่องว่า “คนที่ไม่ยอมรัรบว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คือปฏิปักษ์พระคริสต์”
เรื่องนี้มีคนเข้าใจผิดเยอะมาก ในยุคปัจจุบัน ครั้งที่แล้วเราจบกันที่ 1 ยอห์น 2:18-19 วันนี้จะมาทวนนิดหนึ่ง 1 ยอห์น 2:18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”
วาระสุดท้าย คืออะไร? เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว นี่เขาพูดวาระสุดท้าย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เรากำลังอ่านเรื่องเกี่ยวกับเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ทำไมเป็นวาระสุดท้าย แล้วยังแถมบอกว่า “ลูกที่รัก บัดนี้” คือตั้งแต่เดียวนี้เป็นต้นไป เป็นวาระสุดท้าย หรือยุคสุดท้าย หรือเวลาสุดท้าย สุดท้ายของอะไร? เริ่มต้นที่ไหน? ยุคสุดท้าย
ยุคแรก คือยุคที่โลกใบนี้ยังไม่มีเลย เรียกว่าก่อนปฐมกาล พระคัมภีร์บันทึกไว้ก่อนปฐมกาล พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แล้ว 3 พระภาค ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์ ไม่มีโลกใบนี้
ยุคต่อมา คือยุคที่พระเจ้าสร้างมนุษยชาติและโลกใบนี้ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ให้มนุษย์ครอบครอง เรียกว่ายุคสวนเอเดน พระเจ้าอยู่กับมนุษย์ โลกนี้เป็นสวนเอเดน
ยุคต่อมา เป็นยุคที่มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า ทิ้งพระเจ้า ละพระเจ้าเรารู้กันอยู่แล้ว ที่เราเรียกว่าตกลงไปในความบาป ความบาป คือการไม่เชื่อพระเจ้า คือการทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ เป้าหมายของพระเจ้าที่สร้างมา เรียกว่าบาป
ยุคต่อมา ยุคตั้งแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ตกลงไปในความบาป พามนุษย์ทั้งปวงและโลกใบนี้ หล่นลงไปในคำสาปแช่ง ความบาป เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ นี่ก็อีกยุคหนึ่ง และในยุคที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปและความตาย พระเจ้าก็สัญญาว่าจะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น กลับมาเหมือนยุคก่อน คือยุคสวรรค์ ยุคสวนเอเดน สัญญาโดยบอกตั้งแต่เริ่มต้น ยุคที่ตกลงไปในความบาปว่า …
“เราจะส่งบุตรของเรามาช่วย ให้พวกเจ้า คือมนุษย์ทั้งปวง และโลกใบนี้ ได้รอดพ้นจากคำสาปแช่ง และการตกลงไปในความบาปนี้ เราจะส่งบุตรของเรามาช่วย บุตรของเรานี้จะชื่อ “เยซู” เยซูที่มาเกิดนี้ เป็นบุตรของเราที่อยู่ในสวรรค์กับเรา มาตั้งแต่เริ่มต้น เราจะส่งเขามาเกิดเป็นมนุษย์ และเมื่อเขาเกิดเป็นมนุษย์ จะมีนามว่า “เยซู”
ส่วน “คริสต์หรือไคร์ซ” หมายถึงหน้าที่ของเยซูผู้นี้ มีหน้าที่ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ก็คือผู้ที่พระเจ้าตระเตรียม จัดตั้ง มอบหน้าที่ไว้ ภาษากรีกเรียกว่า “พระคริสต์” ภาษาฮีบรูเรียกว่า “เมซิยาห์” คือผู้ที่พระเจ้าจัดตั้งเตรียมไว้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ตามที่สัญญาไว้นั่นเอง
นึกออกใช่ไหม? คราวนี้ รอมาๆ มายุคสุดท้าย คืออะไร? ยุคสุดท้าย คือยุคที่พระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ เลย มาเกิดแล้ว เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความบาป และพระเยซูคริสต์ก็เดินทางไปสำเร็จการงานของพระองค์บนไม้กางเขน ที่เราได้รู้ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว อะไรสำเร็จ ที่ตะกี้เล่ามาทั้งหมด ที่สัญญาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น สำเร็จแล้ว
นับตั้งแต่ที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว นั่นคือยุคสุดท้าย นั่นคือเวลาสุดท้าย ช่วงเวลาสุดท้ายของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่สวรรค์ พ้นจากความบาป พ้นจากคำสาปแช่ง พ้นจากกฎของความบาปและความตาย เริ่มต้นตั้งแต่ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว และจะดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นขบวนการ จนกว่าโลกใบนี้จะสูญสิ้น เพราะได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกที
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ช่วงที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว จนถึงวันนี้ที่เรานั่งคุยกันอยู่นี้ อยู่ในยุคสุดท้าย เวลาสุดท้ายแล้ว พระเจ้าไม่ทำอะไรแล้ว เพราะว่ามันจบแล้ว พระเจ้ารอเพียงเวลาที่กำหนด คือโลกใบนี้สิ้นสุดลง มนุษย์คนสุดท้ายมาเชื่อพระเจ้า และมนุษย์คนสุดท้ายได้บังเกิดเป็นมนุษย์ ตามที่กำหนดไว้ และนั่นแหละ คือหมดยุคสุดท้ายนี้ คือพระเยซูคริสต์กลับมาอีกที ก็มาหลังยุคสุดท้าย ก็คือยุคโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ ที่เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์
ท่านจะเห็นแล้วนะว่ามันมียุคอะไรต่างๆ พอหนังสือพระคัมภีร์พูดถึงยุคสุดท้ายในพระคัมภีร์ใหม่ ในจดหมายหนังสือฝาก ก็จงเห็นภาพว่าตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จแล้ว จนกระทั่งมาถึงเมื่อไรก็ตาม จนกระทั่งวันสุดท้ายที่โลกใบนี้แตก ดับสูญ พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง นั่นแหละ คือช่วงเวลาของยุคสุดท้าย เราก็อยู่ในช่วงนั้น และไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมาเมื่อไร? อัครสาวกต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่รู้ นึกว่าคงมาเร็วๆ นี้ ก็เลยบอกว่านี่ไง บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว ให้เราเตรียมตัวเลย เพราะว่าเขาไม่รู้ ถ้าเขารู้ว่าอีก 2,000 ปีเราก็เตรียมตัวอย่างนี้เหมือนกัน เขาคงไม่กระตือรือร้นมากนัก แต่เขาไม่รู้ เพราะพระเยซูบอกไม่มีใครรู้ พระองค์ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะกลับมาเมื่อไร? พระองค์จะมาเหมือนขโมยมา ก็คือเราหลับสนิท เราไม่รู้เรื่อง นี่คือที่เรารู้ว่ายุคสุดท้าย คืออะไร?
ในนี้บอกว่า “ตามที่ได้ยินมาปฏิปักษ์พระคริสต์” ท่านรู้แล้ว ปฏิปักษ์พระคริสต์ “ปฏิปักษ์” ก็คือต่อต้าน ต่อต้านใคร? ต่อต้านพระคริสต์ พระคริสต์ คือใคร? พระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ในพระคัมภีร์ได้พูดถึง เปรียบเทียบว่าพระองค์เป็นแกะ เพื่อรับบาปให้กับมวลมนุษย์ ใช้ภาษาราชาศัพท์ว่า “พระเมษโปดก” แปลว่า “ลูกแกะของพระเจ้า” ก็คือแพะรับบาปที่เราคุ้นหูกัน พระคัมภีร์บอก พระคริสต์ หรือพระเมซิยาห์ หรือพระเมษโปดก ลูกแกะของพระเจ้า คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาว่าจะส่งพระบุตรมาช่วยให้มนุษย์ทั้งปวง รอดพ้นจากโทษของความบาปผิดทั้งปวง เพราะว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป จึงต้องมาช่วย ถ้าไม่ตก ก็ไม่ต้องมาช่วย และใน 1 ยอห์น 2:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 2:19 “พวกเขาออกไปจากพวกเรา แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่ เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาจากไป แสดงว่าในพวกเขาไม่มีสักคนเดียว ที่เป็นพวกเรา”
อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่า “พวกเขาออกไปจากพวกเรา” ก็คือพวกเขาไม่ใช่คริสเตียน ไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์นั่นเอง เพื่อต่อต้าน ไม่เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้ที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็คือปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ช้าๆ นะ ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เอาพระออกไป ปฏิเสธว่าคนนี้ที่ชื่อเยซู ที่อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้า มาช่วย ไม่เชื่อว่าเขาเป็นพระคริสต์ เขาชื่อเยซู ลูกช่างไม้เฉยๆ เป็นมนุษย์คนหนึ่งเฉยๆ เขาปฏิเสธพระคริสต์ว่าคนนี้ไม่ใช่ ที่พระเจ้าเจิมไว้ ก็คือปฏิเสธว่าคนนี้ไม่ใช่พระเมซิยาห์ สำหรับชาวยิวที่ใช้ภาษาฮีบรู ที่รอพระเมซิยาห์ คนนี้ไม่ใช่ๆ ก็คือผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ว่าไม่ได้เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ก็คือปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้าพระบิดา ข่าวดี คือพระองค์ทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูคือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ที่มาช่วยเหลือมนุษย์ตามที่สัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว
เขาเหล่านี้ คือผู้ที่ไม่ยอมรับข่าวดี ก็คือไม่ได้เกิดใหม่ ไม่ได้ร่วมสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระคริสต์ ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ ไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะว่าหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐที่ทำให้มนุษย์รอดพ้นจากความบาปนั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่การยอมรับ จำนนสารภาพว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระเมซิยาห์ เป็นพระเจ้า ที่เป็นพระบุตร ที่พระบิดาเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับมนุษย์ทั้งปวง คนยุคก่อนโน้นว่าจะส่งมาช่วย บัดนี้มาเกิดแล้ว เพื่อชำระมนุษย์ทุกคน ที่เป็นคนบาป เขาไม่ยอมรับสิ่งนี้ คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ยอมรับว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน ไม่ยอมรับว่ามาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ไม่ยอมรับว่าตัวเขาเองเป็นคนบาปและทำบาป หัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ มีอยู่แค่นี้เอง
นี่คือสรุปคร่าวๆ เมื่อตอนที่แล้ว วันนี้มาต่อ 1 ยอห์น 2:20 …
1 ยอห์น 2:20 “แต่ท่านทั้งหลายได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว และพวกท่านทุกคน ก็รู้ความจริง”
“แต่ท่านทั้งหลาย” ก็คือไม่ได้ปฏิเสธพระคริสต์ แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้ต่อต้านพระเมซิยาห์ แต่ท่านทั้งหลายยอมรับว่าเยซู ผู้นี้คือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์จริๆ วางใจในผู้นี้แหละ เมื่อวางใจในผู้นี้ ก็วางใจว่าคือผู้ที่พระเจ้าส่งมาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ รวมทั้งฉันด้วย ก็เลยต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
แต่ท่านทั้งหลายที่ต้อนรับพระคริสต์แล้ว ได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว “แล้ว” หมายถึงคริสเตียนทั้งหลายที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ของเขาแล้ว เขาได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์ องค์บริสุทธิ์นี้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า
และในนี้ต่อด้วยว่า “และพวกท่านทุกคน ก็รู้ความจริง” รู้ความจริง เพราะมันเกิดขึ้นภายในวิญญาณของเรา เราจะรู้ทันทีว่าเราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ แล้ว หมายถึงอย่างนั้น
การเจิม หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จเข้ามา บัพติศมา คือผ่าตัดในวิญญาณ ก็ได้ จุ่มเราลงไป ก็ได้ แช่อิ่มเราลงไป ก็ได้ ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อทำให้เรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อาศัยอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน
การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ การจุ่มเรา การผ่าตัดวิญญาณเราเข้าไปในตัวตนของพระเยซูคริสต์ อยู่ในโรม บทที่ 6 ไปอ่านดูได้ ทั้งหมดเลย เป็นการย้ายข้างทางฝ่ายวิญญาณของผู้นั้น ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ย้ายข้างจากการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ กลับมาเป็นอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณเข้ามาย้ายเราทันที ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เพราะว่าเรายอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะเรายอมรับว่าเราเป็นคนบาปและต้องการการช่วยเหลือ เราจึงวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระคริสต์ที่พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งไว้ จากพระเจ้า มาช่วยเราให้ได้รับความรอด เราจึงรับพระองค์ เมื่อรับพระองค์ เราก็ได้รับความรอดจริงๆ คือพระเจ้าก็ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาบัพติศมา หรือผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เรียกว่าบังเกิดใหม่ภายในวิญญาณและในใจของเราได้วิญญาณใหม่เลย ได้ใจใหม่ วิญญาณใหม่และใจใหม่ของเรา รู้จักพระเจ้า รู้จักภายในวิญญาณ รู้จักพระเจ้าพระบิดา รู้จักพระเจ้าพระเยซูคริสต์
อาจารย์ยอห์นบอกว่าอาณาจักรที่เราอยู่ในพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นอาณาจักรที่มีแต่ความจริง ไม่มีความโกหกอยู่ในนั้น ไม่มีความมืด ไม่มีความเท็จอยู่เลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี เพราะว่าเป็นสถานที่สถิตของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นสถานที่บริสุทธิ์จริงๆ เราได้ไปอยู่ตรงโน้นแล้ว โดยการรับเชื่อเท่านั้นเอง ใน 2 เปโตร 1:3-4 ได้บอกไว้ตรงนี้ เราได้รับตรงนี้แล้วจริงๆ ผมจึงยกมาให้ท่านได้อ่านดูว่าเมื่อเราได้บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ กับพระบิดาเจ้าแล้ว เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั้น มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเราบ้าง เราได้รับอะไรไปแล้ว ในโลกวิญญาณบ้าง มันเป็นเช่นไร? …
2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรม และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วม ในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทาน พระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”
นี่คือสถานะที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ในวิญญาณของท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เชื่อแล้ว มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ มันเป็นอย่างนี้แล้ว คือท่านได้เข้าส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดา ผู้บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ท่านคิดดูท่านบริสุทธิ์ขนาดไหน? ท่านมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า
พระลักษณะของพระเจ้า คือธรรมชาติของพระเจ้า ท่านเข้าไปมีส่วนเลย เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า รอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ก็คือถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เป็นความมืด ที่ตกอยู่ในความบาปและคำสาปแช่ง ย้ายออกมาอยู่ในความสว่าง อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระเจ้า
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว เราคริสเตียนได้มีทุกสิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างในโลกวิญญาณแล้ว เราได้รับจากพระเจ้าแล้ว นี่คือคำยืนยันจากพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เราไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว ในโลกวิญญาณ ไม่ต้องมีใครมาหลอกเราว่าต้องไปเติมอันโน้นอันนี้ ไม่ต้องเติมแล้ว เราครบถ้วนบริบูรณ์ ในพระเยซูคริสต์แล้ว อย่าให้ใครมาหลอกเราว่าเราเป็นคริสเตียน ยังขาดตกบกพร่องในโลกวิญญาณตรงโน้นตรงนี้ ต้องอธิษฐานเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้ตรงนี้มา ต้องไปสัมมนาที่นี่ ที่นั่น เพื่อจะได้รับพระวิญญาณมากขึ้น พระวิญญาณอยู่กับท่านอยู่แล้ว ก็คือพระวิญญาณเป็นบุคคล ไม่ใช่เป็นแก๊สมาส่งทีละถังๆ ไม่พอ ไปเติมถังใหม่ เป็นบุคคล เป็นหนึ่งคน เข้าไปอยู่กับท่าน คืออยู่กับไม่อยู่เท่านั้นเอง อยู่ก็คืออยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่แค่ครึ่งคน เข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาหลอก
เรารู้ความจริงเหล่านี้ โดยจากภายในวิญญาณเรา เรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเรา เราจึงรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ความคิดเราอาจจะต่อต้านว่าเราไม่รู้เรื่อง แต่ข้างในใจเรารับรู้ว่าเหล่านี้เป็นจริง เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ เรารับจริงๆ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และยืนยันสิ่งเหล่านี้ให้กับเราจริงๆ เพราะฉะนั้น จงรับรู้และอย่าให้ใครมาหลอกท่านว่าท่านขาดตกบกพร่องในสิ่งใด ท่านไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนได้รับการเจิมครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โดยเราอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา และเรากับพระคริสต์อยู่ในพระบิดา เราทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน 1 ยอห์น 2:21 …
1 ยอห์น 2:21 “ที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้ และเพราะไม่มีความเท็จใดๆ มาจากความจริง”
อาจารย์ยอห์นบอกว่าที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง ผมเขียนมา เพราะท่านรู้อยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว ท่านรู้อยู่แล้ว ท่านรู้เพราะอะไร? เพราะความจริงอยู่ในท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในท่าน วิญญาณที่อยู่ในเรา ไม่มีการโกหกหลอกลวงเลย เพราะไม่มีใครโกหกหลอกลวงได้ เพราะวิญญาณแห่งความจริง คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา ในยอห์น 16:13 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …
ยอห์น 16:13 “แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน ไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่าน ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกนี้ ที่ประกาศข่าวดี ตอนที่จะทำให้สำเร็จที่บนไม้กางเขนนั้น พระองค์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เสด็จมาสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระวิญญาณจะเอาความจริงบอกเราข้างใน
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเยซูส่งสาวกออกไปประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ โดยมอบสิทธิอำนาจพิเศษให้เฉพาะตอนนั้น ตอนที่พระองค์ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ให้ออกไปประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ อัครสาวกเหล่านี้ก็ออกไปประกาศ ประกาศเสร็จแล้ว กลับมารายงานพระเยซู
พระเยซูถามว่า … “เขาว่าเราเป็นใคร?”
เวลาท่านไปประกาศ แล้วคนเขาตอบว่าเป็นใคร? สาวกคนโน้นคนนี้ก็ตอบว่า …
“เขาตอบว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ พระองค์เป็นเอลียาห์ พระองค์เป็นรับบี”
แล้วพระองค์ก็ถามเปโตร “เปโตร ท่านว่าเราเป็นใคร?”
เปโตรเป็นผู้เดียวที่ตอบว่า “พระองค์ คือพระคริสต์”
พระคริสต์ หมายถึงพระเมซิยาห์
พระเยซูตอบกลับให้กับเปโตร “ไม่ใช่ท่านพูดหรอก ที่ท่านพูด เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ให้ความจริงนี้กับท่าน”
ขณะนั้นเปโตรยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ แต่พระวิญญาณที่อยู่ภายนอก ได้ส่งความจริงนี้ให้กับเปโตรได้รู้ว่าพระองค์ คือพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้จะรู้ได้โดยโลกวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น 1 ยอห์น 2:22-23 …
1 ยอห์น 2:22-23 “22 ใครเล่าคือคนโกหก ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนเช่นนี้แหละ คือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร 23 ผู้ใดปฏิเสธพระบุตร ก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดรับพระบุตร ก็มีพระบิดาด้วย”
คนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระคริสต์ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซิฮาห์ ก็แสดงว่าในใจของเขาไม่มีความจริงอยู่ เมื่อไม่มีความจริงอยู่ ก็เหลืออยู่อย่างเดียว ก็คือความไม่จริง คือความเท็จ คือเป็นคนโกหก จากข้างใน เพราะว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ คือผู้ที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับข่าวดี ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านั่นเอง นี่คือความจริง และเขาไม่เชื่อ แสดงว่าในใจของเขามีแต่ความเท็จอยู่
ฉะนั้น หัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คืออย่างที่บอก ต้องยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้มนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากบาป ได้รับชีวิตนิรันดร์ ตามยอห์น 3:16 ก็คือหัวใจของข่าวประเสริฐนั้น
ยอห์น 3:16 ที่บอกว่า “พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลงมาบนโลกใบนี้ คือพระเยซูคริสต์ คือพระเมซิยาห์”
เพื่อผู้ที่วางใจในพระองค์ คือวางใจในพระบุตรนี้ว่าเป็นพระเมซิยาห์ จะไม่พินาศ คือถูกตัดสินให้พินาศ หลังจากความตาย ลงนรกนั่นเอง แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เหมือนพระเจ้า 1 ยอห์น 2:24 …
1 ยอห์น 2:24 “ให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก ดำรงอยู่ในท่าน หากสิ่งนี้ ดำรงอยู่ในท่าน ท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตร และในพระบิดาด้วย”
“ให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก” ผมตัดคำว่า “จง” ออกไป เพราะว่าพอมีคำว่า “จง” เรามักจะเข้าใจผิด คิดว่าพระคัมภีร์หรืออาจารย์ยอห์นกำลังสั่งให้เราพยายามทำให้มันเกิดขึ้น แต่มันไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้ว โดยพระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น เพราะฉะนั้น ก็ควรจะบอกว่าให้ท่านรับรู้ว่านี่มันเกิดขึ้นแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ให้รับรู้ความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้น และอยู่ในตัวท่านแล้ว คือเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์ เป็นพระคริสต์ เรื่องการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านได้รับบัพติศมาด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ คือความจริง คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ในพระคริสต์นั่นเอง ให้ท่านรับรู้
“ดำรงอยู่” หมายถึงอาศัยอยู่ เป็นอยู่ในท่าน เป็นสภาวะทางฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าดำรง คงอยู่ เป็นอยู่ ไม่ใช่ทำให้มันดำรง ไม่ใช่ มันอาศัยอยู่ มันเป็นอยู่อย่างนั้นแล้ว พระคริสต์อาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในวิญญาณของท่านแล้ว คิดตามนะ …
“พระคริสต์ คือพระเยซูคริสต์ดำรงอยู่ อาศัยอยู่ในวิญญาณของฉันแล้ว”
ต้องทำอะไรเพิ่มไหม? อธิษฐานให้มากขึ้น จะได้พระเยซูคริสต์มากขึ้นไหม? ไม่ใช่ พระองค์อยู่ก็คืออยู่ ไม่อธิษฐาน แล้วยังอยู่ไหม? ก็อยู่ ไม่ไปไหน? ก็อยู่แล้วอยู่เลย แล้วเข้ามาอยู่ได้อย่างไร? ก็โดยที่ฉันเปิดใจยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซิฮาห์ ฉันวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้นั้น ที่พระเจ้าส่งมา และฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉันถึงต้อนรับพระเยซูคริสต์หัวใจของข่าวประเสริฐ แค่นี้
พอต้อนรับปุ๊บ ทุกอย่างเหล่านี้ ก็เกิดขึ้นทันที พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในฉันทันที เพราะฉะนั้น มันก็มีอยู่แค่ 2 อันเท่านั้นเอง คือจะอยู่หรือไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่แค่ครึ่งเดียว และอีกครึ่งหนึ่งเราต้องปฏิบัติตัวเอง ทำดีเยอะๆ ประพฤติตัวดีๆ เยอะๆ มาโบสถ์เป็นประจำ ถวายเยอะๆ ออกไปประกาศเยอะๆ จะได้พระเยซูเพิ่มขึ้นในตัว ไม่ใช่เลย พูดไปพูดมาอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของเราเลย พูดไปพูดมาอย่างไร สิ่งเหล่านี้เราได้รับมา โดยความเชื่อในการกระทำ ในความประพฤติของพระเยซู ซึ่งได้ทำให้เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว
พระเยซูดำรง อาศัยอยู่ในตัวท่าน หรือตัวเรา และเราก็อาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในพระบุตร คือในพระคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และพระคัมภีร์บันทึกว่าและเราก็อยู่ในพระบิดา เข้าส่วนร่วมสามัคคีธรรมในวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพอย่างสมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยเลย อาจารย์ยอห์นเลยชี้ให้เห็นว่าจงรับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้แล้ว …
“ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเยซูคริสต์ เกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ เอเมน”
1 ยอห์น 2:25 “และนี่คือสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์นั่นเอง”
อาจารย์ยอห์นบอกว่า “ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าผู้ใดที่วางใจในพระบุตรที่เราส่งมาว่าเป็นพระเมซิยาห์ ช่วยให้ท่านรอดได้ ผู้นั้น ก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ แทนที่จะถูกพิพากษาให้พินาศ กลายเป็นได้รับชีวิตนิรันดร์ ตรงกันข้ามกันเลย”
เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าให้รับรู้ ถ้าท่านไม่ตัดคำว่า “จง” ออก ก็ใส่คำว่า “รับรู้” เข้าไปเพิ่มเติมก็ได้ จงรับรู้ว่าท่านได้รับชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม สมัยปฐมกาลแล้ว จนถึงปัจจุบันนี้
“จงรับรู้”
เวลาพระคัมภีร์เขียนคำว่า “จง” เมื่อไรให้เข้าใจตรงนี้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว …
1 ยอห์น 2:26 “ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่าน เกี่ยวกับบรรดาผู้พยายามชักจูงให้ท่านหลงผิด”
ทำไมเตือนเราให้เราจงรับรู้ เพราะว่าพยายามชี้ให้เราเห็นถึงความจริงในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นในวิญญาณและให้เรารับรู้ จะได้ไม่ถูกหลอก แค่นั้นเอง หลอกให้อะไรก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามความจริงนี้ ก็คือเอาความเท็จมาหลอกเรา อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าเรา ซึ่งเป็น คริสเตียนที่เกิดใหม่ในโลกวิญญาณแล้ว เราอยู่ในกลุ่มใด กลุ่มที่มีความจริงอยู่ในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกลุ่มที่มีความโกหกอยู่ มีความหลอกลวงอยู่ในวิญญาณที่ตกลงไปในความบาปและความตายอยู่ เราอยู่ในกลุ่มไหน? กลุ่มที่เป็นความจริง หรือกลุ่มที่ถูกหลอก
ถ้าเราอยู่ในกลุ่มที่เป็นความจริง ก็คือจงรับรู้ความจริงเหล่านี้ และยึดมั่นเอาไว้ นิ่งๆ เอาไว้ มั่นคงเอาไว้ อย่าหวั่นไหว อย่าให้ใครมาหลอกท่านได้ มันหมายถึงอย่างนี้
หลงผิด คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ นี่คือหลงผิด เข้าใจผิด หรือรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเฉยๆ แต่ไม่รับว่าพระองค์เป็นมนุษย์ อย่างนี้ก็ไม่รับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ ถ้ารับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ ต้องมั่นหมายว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาป และเป็นขึ้นจากความตาย ครบถ้วนบริบูรณ์เหล่านี้ ถึงเรียกว่าไม่ปฏิเสธ ถ้าต่อต้านสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านี้ ถือว่าปฏิเสธ เพราะมันโยงกันหมดเลย เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มีไหม? มี แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ก็แสดงว่าไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ถูกส่งมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ก็ไม่รอด นึกภาพออกใช่ไหม? ฉะนั้น หลงผิด เป็นการเข้าใจผิด เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ระวังที่จะรับการสอนเหล่านี้เข้ามาในชีวิตของท่าน
“ท่าน” ในที่นี้ หมายถึงท่านที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์จริงๆ เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว ระวังคำสอนเหล่านี้ ที่แปลกๆ เป็นข่าวดีที่ผสมผสานความคิดของมนุษย์เข้าไปในความจริง ทำให้เราหลงผิด ซึ่งปัจจุบันก็มีเยอะแยะ เพื่อทำลายความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ เพื่อจะทอนฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐนี้ แต่มันทอนไปไม่ได้เยอะหรอก เพราะว่าความจริง คือความจริง ความจริง คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช ยังไงมันทะลุมาถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้ อย่างที่เห็น 2,000 ปีนี้ เต็มไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ปฏิปักษ์พระคริสต์ ใน 2,000 ปีนี้เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายไปหมดเลย
ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ทั้งหลายนั่นเอง
เพราะฉะนั้น อย่าให้ผู้ที่ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า กลายเป็นข่าวดีที่ผสมผสานความคิดของมนุษย์ และระบบของโลกใบนี้เข้าไป ก็คือไม่เชื่อในความจริงทั้งหมดของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่เชื่อในผลทางฝ่ายวิญญาณของข่าวดีในพระคริสต์ว่าคืออะไร? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไว้ชัดเจน ที่บอกว่าวางใจในพระบุตรเท่านั้นและรับชีวิตนิรันดร์แค่นั้นเองจริงๆ อย่ามาบวก
สอนผิดๆ คือวางใจในพระบุตรของพระเจ้าและบวกด้วยความประพฤติที่ดีๆ ด้วย ไม่ใช่ ความจริง คือวางในพระบุตรว่าเป็นพระคริสต์เท่านั้น ได้รับความรอดแล้ว อย่างนั้นมันก็ง่ายเกินไปสิ อย่างนี้ใครๆ ก็ไปทำบาปกันหมดสิ นี่แหละ คือคำสอนที่ผิด มันดูเหมือนดี แต่มันไม่ตรงกับความเป็นจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า
การเป็นคริสเตียนแล้วของเรา เราได้รับความรอดแล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ให้เราเชื่ออย่างนั้น แต่คนที่มาสอนผิด คืออะไร? เพราะมันมี 2 ลักษณะ สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เราถูกสอนให้หลงผิด คิดว่าความเชื่ออย่างนั้น การประพฤติอย่างนั้น การปฏิบัติอย่างนั้น เราได้รับความรอด อย่างนั้นเรียกว่าคนไม่เชื่อเลย ก็คือปฏิเสธพระเยซูเลย ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบเลย อย่างนั้นมันง่าย สังเกตง่าย แต่ที่สังเกตยาก ก็คือเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว แล้วมีคนมาสอนว่าเรายังไม่เกิดใหม่ สิ่งที่เราพูดมา สิ่งที่อาจารย์ยอห์นพูดมาทั้งหมดนั้น ไม่เป็นความจริง ต่อต้าน นั่นสังเกตยาก
อาจารย์ยอห์นจึงมาชี้ให้เห็นว่าเราวางคำสอนอย่างนี้ เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราบังเกิดใหม่จริงๆ แล้ว มันได้รับเรียบร้อยไปแล้ว อย่าให้ใครมาสอนสิ่งที่ผิดไป เช่น ไม่เชื่อว่าเรามีวิญญาณที่เกิดใหม่แล้วจริงๆ วิญญาณที่เกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าจริงๆ เป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าที่มาอยู่ในวิญญาณของเราจริงๆ เป็นจริงๆ เลย เราได้มีธรรมชาติใหม่แล้วจริงๆ เลย
คำสอนเหล่านี้ ที่ว่าไม่จริง เราไม่ได้เกิดใหม่ มันเต็มไปหมดเลย ในหมู่ของคริสเตียน ฟังให้ดีๆ ในหมู่ของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แล้วเป็นคริสเตียนจริงๆ ด้วย แต่เขาหลงผิดไป หลงผิดตรงนี้ ทำให้เขารอดไหม? เขาก็ยังรอดอยู่ดี แต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันไม่ครบ รอดเหมือนรอดด้วยไฟ รอดด้วยความทุกข์ยากลำบาก ข่าวประเสริฐก็ถูกทำให้เสียหาย
เขาไม่เชื่อว่าคริสเตียนมีธรรมชาติในวิญญาณที่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ไม่มีบาปหลงเหลืออยู่เลยจริงๆ ในวิญญาณของเขา ทั้งๆ ที่ยังทำบาปอยู่ แต่เขาดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์ ตามถ้อยคำพระเจ้าแล้ว แม้ว่ายังถูกล่อลวงให้ทำบาปอยู่ นี่เป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็เลยไปสอนให้คริสเตียนด้วยกัน หลงผิดไปว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์แล้ว ยอมรับพระองค์แล้ว ยอมรับตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือแล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว บังเกิดใหม่เรียบร้อยไปแล้ว กลายเป็นชักเขว …
“ฉันรอดหรือยังเนี้ย? แล้วฉันทำดีหรือยังเนี้ย? เมื่อวานนี้ฉันยังทำไม่ดีอยู่เลย ประพฤติไม่ดีอยู่ แล้วฉันรอดอยู่หรือเปล่า? ฉันสารภาพบาปพอไหม? แล้วสรุปสุดท้าย คือตายไป ฉันได้รับความรอดไหม?”
ทั้งๆ ที่เขาได้รับความรอดแล้ว เขาอยู่เหมือนคนที่ไม่มีความรอด พอนึกออกไหม? …
1 ยอห์น 2:27 “ส่วนท่านทั้งหลาย การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ ก็ดำรงอยู่ในท่าน จึงไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่าน แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง และเพราะการเจิมนั้น จริงแท้ ไม่ปลอมแปลง จงดำรงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิม ได้สอนท่านไว้แล้ว”
“จงดำรงอยู่ในพระองค์” เห็นไหมอีกแล้ว “ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้แล้ว คือท่านรู้แล้ว มันอยู่ข้างในท่านแล้ว ให้ท่านเรียนรู้ รับรู้เอา รับตัวเองอย่างนั้นตามถ้อยคำพระเจ้า ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า
“Be it unto be according to your words”
“โอ้ พระเจ้าขอให้เป็นไปตามนั้น ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บันทึกเอาไว้เถิด ขอให้เป็นอย่างนั้น ใช่มันเป็นอย่างนั้น เอเมนๆ”
ไม่ใช่ “เอ๊ะ แต่ว่า”
พระเจ้าบอก “ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว” … “เอ๊ะ แต่ว่า”
พระเจ้าบอก “เราเป็นผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว” … “เอ๊ะ แต่ว่า”
แทนที่จะ “แต่ว่า” เป็น “เอเมน” ได้ไหม? เอเมนไหม?
อาจารย์ยอห์นบอกให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เตือนตัวเอง วิธีเตือน คือพอได้ยินอะไรต่างๆ เหล่านี้ รู้สึกมันตรงกับในหัวใจของเรา บอก “เอเมน” ใช่ พอมันไม่ใช่ ก็เกรงใจคนที่เขาพูด ก็นึกในใจ ไม่เอเมน แล้วก็เดินหนีเลย อย่าไปฟัง ใครที่บอกท่านว่ายังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านต้องรับการเจิม เจิมๆ มันทุกวันๆ เอเมนไหม? ไม่เอเมน ถ้าใครบอกท่านว่าการเจิมท่านครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ครบถ้วน พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูแล้ว ทั้งหมดนี้สมบูรณ์แบบอยู่ในท่าน ท่านก็บอกว่าเอเมนดังๆ เลย
“ส่วนท่านทั้งหลาย” ก็คือคริสเตียน “การเจิมที่ท่านได้รับ” เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ท่านได้รับเรียบร้อยแล้วจากพระองค์ อยู่ที่ไหน? ก็ดำรงอยู่ในท่าน อยู่ในท่านอยู่แล้ว คริสเตียน ที่ท่านได้รับจากพระองค์ ก็คือได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บัพติศมาท่าน และสถิตอยู่กับท่านตอนนี้ ดำรงอยู่ในท่านแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนท่านอีก
“ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนฉันว่าฉันได้รับการเจิมพอหรือยัง?”
ไม่ต้องมาสอน ไม่ต้องมาชี้แนะว่าอันนี้ขาด อันนั้นขาด
“ฉันไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว ในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน ฉันต้องแสวงหา รับรู้สิ่งเหล่านี้ว่ามันอยู่ในตัวฉันแล้ว”
แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง เพราะว่าอยู่ในใจ ไม่ใช่มาต่อต้านเรื่องการสอน เรียนพระคัมภีร์ไม่ใช่ ถ้อยคำพระเจ้ายังสำคัญอยู่ แต่ควรเป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นไปตามความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า อนุโลมเรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า ก็หมายถึงถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจริง ของปลอมนั้น เราไม่เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้าหรอก เราเรียกว่าถ้อยคำแห่งความเท็จ แต่อ้างว่าถ้อยคำพระเจ้า มันเป็นความเท็จ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ในวิญญาณเราจะรู้ว่ามันไม่ใช่ เรายึดมั่นอยู่แค่นี้ …
“ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นพระมาซีฮาห์ของฉัน เป็นพระคริสต์ของฉัน ฉันวางใจ ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ฉันไม่มีบาปหลงเหลืออยู่เลย อาจารย์ยอห์นบอกฉันได้ถูกลบบาปออก หมดสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตนิรันดร์เลย ฉันอยู่ในพระคุณของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ฉันไม่ฟังอย่างอื่นแล้ว อะไรที่มาแย้งกับตรงนี้ ฉันไม่รับทั้งสิ้น เอเมน”
หนังสือเยเรมีย์ 31:34 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ตามพระสัญญาของพระเจ้า ก่อนที่พระเยซูจะทำให้สำเร็จ และพระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว …
เยเรมีย์ 31:34 “ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”
ก็หมายถึงทุกคนจะรู้จักความจริงเหล่านี้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในของท่าน การที่ผมสอนเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง หรือท่านได้ยินถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง แล้วท่านรู้ว่ามันใช่ ไม่ใช่เพราะผมสอน ผมเพียงแต่พูดให้ท่านได้ฟัง แล้วท่านได้รับการยืนยันจากข้างในวิญญาณของท่านว่ามันเป็นจริง ท่านลองสังเกตดู หลายเรื่องเรารู้อยู่แก่ใจ หลายเรื่องบางทีเราฟังถ้อยคำพระเจ้าจากคำสอน หรือเราเดินออกไปข้างนอก เราได้ยินถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ได้ยินคำพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐบ้าง แล้วเรามีความรู้สึก เหมือนเราได้รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ไม่มีใครสอน ไม่มีใครเคยพูดให้เราฟัง แล้วเราไม่เคยอ่านมาจากไหน? แต่ข้างในมีความรู้สึกเหมือนคุ้นๆ เราก็เชื่ออย่างนี้ เราก็รู้อย่างนี้เหมือนกัน นั่นแหละ ก็มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเราเหมือนกัน หลายเรื่องเราเอเมนเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอก เราเอเมนอยู่ในใจ ใช่ เป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังสอนเรา
อย่างเช่นพระคัมภีร์เมื่อตะกี้ ที่บอกว่า “เพราะเราจะอภัยในความบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาอีกเลย”
พระเจ้าบอกไม่จดจำความบาปของเขาอีกเลย แสดงว่าไม่มีบาปอีกเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ท่าน ก่อนตาย ทำบาป พอวิญญาณออกจากร่าง พระเจ้าก็จำไม่ได้ว่าท่านทำบาปไปเมื่อตะกี้นี้ เกิดหงุดหงิดไปโกรธ ไปด่าพยาบาล หมอ เพราะมันเจ็บ หงุดหงิด สมมติ แล้วก็สิ้นลมไปพอดีเลย พระเจ้าก็จำไม่ได้ พระเจ้าบอก …
“เราจะไม่จดจำความบาปของเจ้าอีกเลย”
แล้วเราไปจดจำทำไม? คนมาสอนให้เราจดจำ ถูกไหมล่ะ ก็ต้องบอกไม่เอเมน ถ้าบอกพระเจ้าไม่จดจำ แล้วเราไม่จดจำด้วย ก็ต้องบอกว่า “เอเมน” ไปจดจำทำไม มันก็จบ ไปแล้ว ไม่ต้องมีคำว่า “แต่”
“แต่ว่าถ้าไม่จดจำ แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร?”
เอ้อ! น่า ไม่จดจำแล้วกัน เดี๋ยวมันจะแก้ไขอย่างไร? เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำเราอย่างไร? เอเมนไหม? มันมีวิธี คิดให้มันเป็นทางบวก คิดให้มันเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า คิดให้มันเป็นทางเดียวกับพระเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องไปคิด สิ่งที่มันตรงกันข้าม สิ่งที่มาต่อต้าน แล้วบอกว่าจะช่วยเรา ให้เราประพฤติดี ไม่มี ความเท็จ ก็คือความเท็จ มันหลอก มันเหมือนดี แต่มันส่งผลไม่ดีกับเรา พระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน จะเป็นพี่เลี้ยงคอยสอน และเป็นพยานยืนยันว่าถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นจริงหรือไม่? ถามข้างใน เดี๋ยวท่านจะรู้เองว่าใช่หรือไม่?
สมัยก่อนไม่มีเครื่องมือ ไม่มีวัสดุอุปกรณ์ในการสอนถ้อยคำพระเจ้าแบบนี้ ท่านลองคิดดู 2,000 ปีก่อน เขาอยู่อย่างไร? ข่าวประเสริฐจึงมาถึงปัจจุบันได้ ตั้ง 2,000 ปีแล้ว เจริญเติบโตด้วย เขาอยู่ได้อย่างไร? เขาแข็งแรงได้อย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าไม่มี พระคัมภีร์ไม่มี มีแต่หนังสือจดหมายฝาก ฉบับหนึ่ง สองฉบับ อ่านวนไปวนมา แล้วหลายคนก็อ่านหนังสือไม่ออก หลายคนก็ไม่รู้จักตัวหนังสือ แล้วเขาอยู่กับข่าวประเสริฐอย่างไร? ก็อยู่ด้วยวิธีนี้แหละ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะสอนเขาเอง บอกเขาเอง บอกหัวข้อที่เป็นข่าวประเสริฐของพระเจ้านิดเดียว ให้เขาตัดสินใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในตัว แค่นั้นเอง จบ พระวิญญาณจะเป็นผู้นำเขาเองว่าอะไรเป็นอะไรต่อไป เอเมนไหม? ปัจจุบันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ ปัจจุบัน พอต้อนรับพระเยซูคริสต์มาแล้ว เต็มไปหมดเลย ภาระ ต้องไปอ่านตรงนี้ ต้องไปค้นคว้าตรงนี้ ต้องไปอย่างโน้น ต้องไปอย่างนี้ ผมไม่ได้ต่อต้านการค้นคว้าถ้อยคำพระเจ้า ผมชอบ สนุกด้วย แต่มันคนละเรื่องกันกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าทั่วๆ ไป ทั้งหมด
คนส่วนใหญ่จะต้องเหมือนผมอย่างนี้หรือ? กว่าจะได้รับความรอดที ค้นคว้าข่าวประเสริฐ ฮีบรูเขาว่าอย่างไร? ภาษาอังกฤษเขาว่าอย่างไร? ภาษาไทยแปลผิดว่าตรงนี้ ตรงนี้ควรจะต้องแปลว่าอย่างนั้น ต้องรู้อย่างนี้หรือ? ไม่ต้อง เพียงหัวใจที่อยู่ในวิญญาณของเขา ที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แรกๆ นั้น รับว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรมาก พระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? โลกนี้จะสูญสิ้นเมื่อไร? ไม่ต้องรู้ ในอดีต เขาก็ไม่รู้อะไรมากมายขนาดนั้นหรอก …
1 ยอห์น 2:28 “และบัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอาศัยอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่หลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา”
เดี๋ยวนี้ ก็หมายถึงขณะนี้ ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้นะ คริสเตียนทั้งหลาย มาอีกแล้ว “ให้รับรู้เถิดว่า” ก็คือจงรับรู้เถิดว่าท่านกำลังอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูคริสต์อาศัยอยู่ในท่าน ท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หมดบาปเรียบร้อยแล้ว จนถึงนิรันดร์เลย เอเมน มีใครในใจไม่เอเมนบ้าง? มีใครในใจบอกว่า “แต่ว่า เดี๋ยว ถ้าไปทำบาปอีก” มีใครคิดอย่างนี้ไหม? กลับใจใหม่ซะ
จงรับรู้ความจริงนี้ จะได้มีใจกล้า ก็คือจะได้ไม่กลัว กลัวอะไร? กลัวความตาย เพราะว่ากลัวการพิพากษา หลังความตาย เพราะฉะนั้น ฝากถึงคริสเตียนควรรับรู้ความจริง ไม่กลัวหลังความตาย เพราะว่าฉันรอด 100% อยู่แล้ว ไม่ว่าฉันจะประพฤติอะไรก็ตาม จากนี้ต่อไป เอเมน ต้องกล้าพูดคำนี้ ไม่ใช่มาพูดอย่างนี้ พอมีคนมาบอก อ้าว! อย่างนี้พยายามพูด สอนให้เห็นว่าทำบาปได้สิ คุณอยากไปทำบาปหรือเป็นคริสเตียนแล้ว เอาง่ายๆ
อย่าหลงไปเชื่อคำสอนผิดๆ ที่ทำให้ท่านเกิดความกลัว แต่ท่านต้องรักษาความประพฤติอันดี จนกระทั่ง ถึงวันสุดท้าย จากโลกใบนี้ เพื่อว่าท่านจะได้รับความรอด ไม่ถูกพิพากษา เนี้ย กลัวไหม? กลัวสิ ใครจะไม่กลัว ฟังไปบ่อยๆ อย่างนี้ ทั้งๆ ที่เกิดใหม่แล้ว กลัว มีหลายคนที่เป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วมาปรึกษา มาถาม เราก็ได้แต่พูดความจริงให้เขาฟัง สิ่งที่จะแก้ให้เขาได้ ก็คือหยุดรับข้อมูลของคนที่หลงผิด และสอนผิดๆ เหล่านั้น แล้วหันมารับข้อมูลที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ มันธรรมดา มันง่ายๆ ไม่ได้ยากอะไรเลย มนุษย์เราเก่งมากเลยเรื่องนี้ กระทำสิ่งที่ง่ายให้ยาก …
1 ยอห์น 2:29 “ถ้าท่านรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกๆ คน ที่ฝึกฝนการกระทำความชอบธรรม ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณนั้น ได้เกิดมาจากพระองค์ด้วย”
ก็หมายถึงพูดง่ายๆ ต่อจากเมื่อตะกี้นี้ คือรอดแล้ว ท่านรอดเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียความรอด เพราะท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พูดง่ายๆ คือธรรมชาติของคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์แล้วเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว
“ธรรมชาติ” แปลว่าอะไร? ธรรมชาติ ก็แปลว่าธรรมชาติ แปลว่าการเกิดมา แล้วเป็น ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเป็นไปตามที่เกิด เพราะฉะนั้น มีได้แค่ธรรมชาติเดียวเท่านั้น ถูกไหม? เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เป็นทาร์ซาน รู้จักทาร์ซานไหมครับ? ต่อให้ทาร์ซานไปอยู่กับลิงเท่าไร? ทำท่าทางเหมือนลิง กินอาหารเหมือนลิงเท่าไร? อยู่กับลิงให้เยอะๆ เลย จนกระทั่งถึงแก่เฒ่า จนตายเลย เขาก็เป็นมนุษย์ ทาร์ซานเป็นมนุษย์ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าและได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ตัวตนที่แท้จริงของเรา จากธรรมชาติเก่า ที่เป็นธรรมชาติแห่งวิสัยบาป เป็นคนบาป มาเป็นธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า
และเมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเราเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะสามารถมาเปลี่ยนได้อีก เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะธรรมชาติใหม่ของเราเป็นธรรมชาติ ที่เป็นพระลักษณะของพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า
ผมจึงใช้คำว่า “ฉันเป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์” ไม่ใช่ “ฉันมีชีวิตนิรันดร์”
“มี” มันอาจจะหายได้ ผมจึงใส่คำว่า “ฉันเป็น” เป็นอะไร? เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า DNA ของพระเจ้า คริสเตียนจึงมีธรรมชาติของวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า ตัวตนเก่าที่เป็นคนของบาป ได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูบนไม้กางเขน ไม่มีอีกแล้วธรรมชาติ วิสัยบาปในตัวเรา ไม่มี เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป
ถามว่าคริสเตียนมีธรรมชาติเหมือนพระเจ้าแล้ว ยังทำบาปอีกไหม? ตอบพร้อมกันว่า “ทำ” ทำแน่นอน ยังทำบาปอีก แต่เป็นการทำบาป ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ วิสัยตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณ ไม่ได้มาจากวิญญาณของเรา และมาจากไหน? พระคัมภีร์บอกให้ชัดเจนเลย โรม 6:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 6:6 “เรารู้แล้วว่าคนเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้น จะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”
“คนเก่าของเรา” คือตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวเก่าที่เป็นบาปนั่น จะถูกทำลายให้สิ้นไป สูญไปแล้วนะ คนเก่าของเรา ก็คือตัวตนเก่าของเรา ที่เป็นธรรมชาติ วิสัยบาป ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เปลี่ยนธรรมชาติ วิสัยบาปแล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติ วิสัยของพระเจ้าได้อยู่ในตัวเรา เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า ธรรมชาติ วิสัยของพระเจ้า ที่อยู่ในเราคืออะไร? คือเราสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป และไม่ทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อไรเราทำบาป ก็แปลว่าเรากำลังฝืน ธรรมชาติในวิญญาณของเรา เราไม่ได้ทำออกมาจากในวิญญาณของเรา เหมือนทาร์ซานถูกช่วยออกมาจากป่าแล้ว มาอยู่บ้าน มาอยู่กับพ่อแม่ที่เป็นคนแล้ว ตื่นขึ้นมา ยังเผลอทำเหมือนลิงอยู่ แต่เขาไม่ได้เป็นลิง เขาเป็นคน
คริสเตียนจึงมีธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า แต่ยังคงทำบาปอยู่ เพราะยังมีเนื้อหนัง พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เนื้อหนัง” เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ที่ยังคงฝังอยู่ในความคิด ในสมอง ความเคยชินในร่างกาย ซึ่งเคยเป็นทาสของมันอยู่ในอดีต ก่อนที่เราจะรับเชื่อ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน ความเคยชิน อิทธิพลของโลกนี้ มันยังอยู่ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เนื้อหนัง” มาจากคำว่า “Sarx” หรือ “Fresh” มันไม่ใช่ธรรมชาติ ลักษณะของเราเลย ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเหมือนกับพยาธิ ปรสิต กาฝากที่แอบซ่อนอยู่ คอยกระตุ้นล่อลวงให้เรากระทำตามมัน พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มัน” นะ มัน แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา
เพราะฉะนั้น มาถึงตรงนี้เรา ก็พอสรุปได้จากข้อความที่อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา มีธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ และข้อสำคัญ คือมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้รับความรอด ได้อยู่ในสวรรค์แล้วแน่นอน 100% ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว
ต้องรับตรงนี้ เอาความจริงตรงนี้อยู่ในใจ จงให้ความจริงเหล่านี้ อยู่ในใจของท่านตลอดเวลา รับรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น แค่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และได้ทำบาป และให้เราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ และรวมทั้งฉันด้วย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ช่วยฉันได้ แค่นั้น ทุกสิ่งเหล่านี้ ที่เราคุยกันในวันนี้ ก็เป็นของท่าน หรือของเรา หรือของใครก็ตาม ที่ยอมรับความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์นี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเจ้าได้ให้คำสัญญาและสาบานกับมวลมนุษย์หลายพันปี ก่อนทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์ คำสัญญาและสาบานนั้นคือ?
เอเสเคียล 36:25-27 … “25 เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”
มนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตัวตนจริงๆ ของเราคือวิญญาณ และใจที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้
มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป
เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ด้วยวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์
ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า
วิญญาณและใจใหม่ของเรา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ จากเดิมกลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว พระวิญญาณของพระองค์ ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้นได้ทันที
เราจึงกลายเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า และเป็นวิหารของพระเจ้า แม้กระทั่งร่างกายของเรา ก็ได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ให้บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้ว เดี๋ยวนี้จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้
พระเจ้าอวยพรครับ