คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2024
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 5
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 2 …
กาลาเทีย 2:15-16 “15 เราซึ่งเป็นคนยิวโดยกำเนิด ไม่ใช่ ‘คนบาปต่างชาติ’ 16 ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยการถือรักษาบทบัญญัติ แต่เป็นได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เราเองจึงเชื่อในพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยการทำตามบทบัญญัติเลย”
อาจารย์เปาโลชัดมาก ไม่มีใครสามารถถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยการประพฤติปฏิบัติตามบทบัญญัติ เพราะบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ หมายความว่าใครก็ตามที่จะเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ ต้องรักษาบัญญัติทุกข้อที่พระเจ้าเขียนไว้ ตั้งแต่สมัยโมเสส 600 กว่าข้อ ต้องถือรักษา จุดหนึ่ง ขีดหนึ่ง ไม่สามารถที่จะพลาดได้ และก็รักษาไม่เพียงแต่เป็นเทศกาล แต่การรักษากฎบัญญัติตรงนี้ หมายความว่าทุกเวลา ทุกวินาทีตลอดชีวิตของคนๆ นั้น ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะทำได้เลย อย่างที่พระเจ้าบอก มนุษย์ไม่มีคนไหนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม โดยการกระทำ หรือโดยการรักษาบทบัญญัติด้วยตัวเองได้
ฉะนั้น นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมพระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูคริสต์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยพวกเราทั้งหลาย ให้สามารถที่จะเป็นผู้ชอบธรรม โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่มีใครสามารถทำตามกฎบัญญัติ เพื่อที่จะเป็นผู้ชอบธรรมได้ ตรงนี้ชัดเจนมาก ถ้าโดยการประพฤติ ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้พึ่งพระเจ้า หล่น พ้นจากพระคุณ ฉะนั้น การประพฤติกับพระคุณ มันต้องแยกกัน ถ้าเรารับพระคุณจากพระเจ้า หมายความว่าพระองค์ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน ที่พระเยซูประกาศว่าสำเร็จแล้ว หมายความว่าแผนการไถ่มนุษยชาติ ที่พระเจ้าพระบิดาวางไว้ ตั้งแต่ปฐมกาล ได้ถูกทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว
ฉะนั้น จากนี้ต่อไป วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์และถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย คนยิวก็ไม่สามารถที่จะทำตามกฎเดิมได้อีกต่อไป ซึ่งกฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้สำหรับคนยิว มันเป็นเงา ที่พระเจ้าให้รักษาไว้ก่อน เพื่อรอวันที่พระเจ้าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเมซิยาห์มาให้กับมนุษยชาติ เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดมาแล้ว กฎระเบียบต่างๆ ที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ตั้งแต่ยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่โมเสส อับราฮัม ยาวมาจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ กฎเหล่านั้น ได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่พระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ตั้งกฎใหม่ขึ้น
กฎใหม่ที่พระเยซูคริสต์ตั้งขึ้นมา ก็คือใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนที่ไม่มีใครนับหน้าถือตา เป็นใครก็ได้ เดินตามถนนหนทาง ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีอะไรเลย แต่คนนั้นได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนได้เข้ามาอยู่ในพระองค์ และได้เข้ามารับสถานะใหม่ในโลกวิญญาณของผู้นั้น ก็คือได้เข้ามาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้เข้ามารับมรดกกับพระเยซูคริสต์ โดยเป็นทายาทร่วมกัน ได้เข้ามานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อทุกคน ก็ได้รับพระพรนี้เรียบร้อยไปแล้วด้วย เราไม่ต้องรอว่าวิญญาณเราออกจากร่าง เราค่อยไปอยู่ในสวรรค์
ซึ่งความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย แล้วพระเจ้าได้ชำระร่างกายของเรา ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือร่างกายยังเป็นร่างกายเดิม ที่วันหนึ่ง ก็ต้องตาย ต่อให้เราแข็งแรงขนาดไหน ถึงเวลา เราก็ต้องตายจากโลกนี้ไป วิญญาณเราออกจากร่าง เราต้องไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว
ฉะนั้น ความหวังใจของผู้เชื่อขณะนี้ ก็คือพวกเรารอคอยว่าเมื่อไรที่พระเจ้าจะบอกว่า …
“วราพร งานเธอสำเร็จแล้ว กลับบ้านได้”
ทุกคนรอคำนี้ และเมื่องานเราสำเร็จแล้ว พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็จะมารับวิญญาณของเรา ไปอยู่กับพระองค์ ไปสวมร่างกายใหม่ นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน เมื่อเราชัดเจนในเรื่องนี้ปุ๊บ เราเป็นผู้ชอบธรรมตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป ตรงนี้หลายคน ยังคิดว่าตัวเองยังเป็นคนบาปอยู่ มีใครคิดว่าตัวเองยังเป็นคนบาปอยู่ไหม? ถ้าเราไม่เป็นคนบาป แล้วทำไมเรายังทำบาปอยู่ล่ะ เราเป็นคนบาปแน่ๆ เลย
ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่เราเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งเผลอไปทำบาป มันต่างกันมากเลยนะว่าเราเป็นคนบาป เกิดมาเป็นคนบาปตั้งแต่ก่อนเชื่อพระเจ้า พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม
การเป็นผู้ชอบธรรม หมายความว่าเรามีโอกาสเผลอไปทำบาปได้ แต่ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำบาปมากน้อยขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเรา จากการเป็นผู้ชอบธรรมไปกลายเป็นคนบาปได้ อันนี้ต้องชัดเจนเลย ถ้าไม่ชัดเจน เราก็จะถูกหลอก เวลาเราเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เวลาเผลอไปนินทาใคร? หรือเวลาเราเผลอไปโกรธใคร? เราเผลอไปตวาดใคร? หรือเผลอแอบคิดไม่ดีกับใคร? เราก็จะ …
“แย่แล้ว เราเป็นคนบาป เราทำผิดตรงนี้ เราต้องสารภาพบาปกับพระเจ้า”
ซึ่งเมื่อก่อนเราถูกสอนมา ดิฉันก็สอนด้วย ดิฉันสอนถ้อยคำของพระเจ้ามา 30 กว่าปี แล้วเราก็สอนว่าคริสเตียนต้องสารภาพบาป นั่นเป็นความเชื่อ ที่เมื่อก่อนคิดว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ เราไม่ชัดเจนในความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าพระเจ้าปลดปล่อยเราให้เป็นไทแล้ว คนบาปคนเดิมที่อยู่ในอาดัมของเราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เมื่อเราไม่ได้เป็นคนบาป เราจะเอาบาปตรงไหน? ไปสารภาพกับพระเจ้า พี่น้องคิดดีๆ ว่าถ้าเราไม่ได้เป็นคนบาป มันไม่มีบาป
พระเจ้าบอกว่า … “เธอไม่มีบาป เธอเป็นเหมือนฉัน เธอสะอาด เธอบริสุทธิ์ เธอชอบธรรม”
แล้วเราก็บอกว่า … “พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคนบาป ขอยกโทษให้ลูกด้วย”
มันขัดไหม? ขัดกับถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งเมื่อเราอธิษฐานแบบนั้นปุ๊บ
พระเยซูก็คงนั่งงง … “ทำอะไรลูก ฉันยกโทษให้เธอหมดแล้ว ไม่ต้องมาสารภาพบาป”
แต่คริสเตียน ถ้าคิดว่าอยากจะสารภาพ มันเกิดความเคยชิน เมื่อก่อนดิฉันสอน แล้วดิฉันก็อธิษฐานด้วย … “พระองค์เจ้าข้า ขอยกโทษความผิดบาปให้กับลูก เมื่อกี้ลูกลืมไป ลูกไปตวาดคนโน้น”
พอตกกลางคืน ดิฉันก็จะอธิษฐาน … “พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือ ยกโทษความผิดบาปให้กับลูกด้วย ทั้งความผิดที่ลูกตั้งใจทำ และไม่ได้ตั้งใจทำ หรือความบาปบางอันที่ลูกลืมไปแล้ว ตั้งแต่ตอนเช้าว่าลูกทำอะไรไป ตลอด 16 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง ทำอะไรไปบ้าง นึกไม่ออก นึกไม่ทัน จำไม่ได้ อันที่จำไม่ได้ขอพระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”
เมื่อก่อนอธิษฐานแบบนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่อธิษฐานคนเดียว ไปสอนคนอื่นอธิษฐานด้วย ซึ่งมันขัดกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เราขอบคุณพระเจ้า เมื่อพระองค์เปิดตาใจ ให้เราเห็นความจริงตรงนี้ เราจะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป คริสเตียนจะสารภาพได้อย่างเดียว ไม่ใช่สารภาพบาป เราสารภาพบาปวันแรกที่เราเข้ามาหาพระเจ้า …
“พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคนบาป ลูกต้องการการช่วยเหลือ ขอเมตตา ช่วยเหลือลูกด้วย”
แล้วเมื่อเราอธิษฐานอย่างนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะวิ่งเข้ามา ทำขบวนการของพระองค์ ซึ่งเราไม่รู้เรื่องเลย วันที่เราอธิษฐานรับเชื่อพระเจ้า มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่ามันมีขบวนการหนึ่งที่มหัศจรรย์มากเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา ซึ่งเราไม่รับรู้ เราสัมผัสไม่ได้ เราจับต้องไม่ได้ แต่ความจริง คือพระเจ้าทำการงานของพระองค์ พระวิญญาณของพระเจ้าได้นำเอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราอยู่ในอาดัม เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ และได้นำไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ตามที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …
“ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ชีวิต ณ เวลานี้ ที่เราเป็นอยู่ ก็คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ชีวิตเก่าเราตายไปแล้ว”
เมื่อชีวิตเก่าของเราที่เป็นบาปตาย เราปลุกมันขึ้นมาไม่ได้ มันตายแล้ว ปลุกขึ้นมา เพื่อที่จะทำบาป มันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าบอกว่า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคน มีวิญญาณใหม่ ที่เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า วิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสถานะที่พระเจ้ารับได้ ถ้าเรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเจ้ารับเราไม่ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเราไม่ได้ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ อยู่กับความบาปไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ แปลว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรม พระเยซูคริสต์ได้ถวายเราเป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว แล้วเราไม่จำเป็นที่จะถูกหลอกอีกต่อไปว่าทุกวันเรายังคงต้องสารภาพบาปอยู่
ถ้าอย่างนั้น เมื่อเราทำผิดทำบาป เราทำอย่างไร? ทุกคนคงอยากจะถามว่า … “ถ้าสารภาพไม่ได้ แล้วถ้าฉันทำผิด ฉันจะอธิษฐานกับพระเจ้าแบบไหน?”
เราอธิษฐานได้ ถ้าเกิดเราทำผิดพลาดไป เราก็อธิษฐาน … “พระองค์เจ้า ลูกขอโทษ”
ขอโทษนะ เพราะเรารู้สึกผิด ขอโทษที่เราเผลอทำไป … “ลูกขอโทษ ขอพระเจ้าเมตตาให้กำลังลูกด้วย ที่คราวหน้า ถ้าลูกเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ลูกจะระวังมากขึ้น ลูกจะสำแดงความรักที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่พระเจ้าได้ให้กับลูกแล้ว ออกไปมากขึ้น”
ถ้าเราสามารถสำแดงตัวตนจริงๆ ของเรา ออกไปมากขึ้น เราก็จะทำผิดน้อยลง เอเมนไหม? มันเป็นความจริง รับรู้ความจริงมากเท่าไร? เราก็ถูกหลอกน้อยลง รับรู้ความจริงน้อย เราก็ถูกหลอกเยอะ ถ้าเราไม่อยากให้ถูกหลอก โดยระบบของโลกนี้ ผ่านทางมาร มันไม่ต้องการให้คริสเตียนรู้ความจริง ทำไมมันไม่ต้องการ เพราะพระเยซูบอกว่าถ้าท่านทั้งหลายรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท คือเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่โลกนี้พยายามส่งเข้ามา พยายามที่จะยัดเหยียดเข้ามาให้เรา ต้อง ต้อง และต้อง
แต่พระเยซูบอกว่า … “ไม่ต้องแล้ว เธอเป็นอิสระแล้ว ฉันทำให้เธอเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยหมดแล้ว”
ต่อแต่นี้ไป สิ่งที่เราทำได้ ก็คือยอมพระเจ้า ยอมพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเรา ให้พระองค์ทำงาน
“พระองค์เจ้าข้า ลูกอยู่ตรงนี้ ได้โปรด ขอพระเจ้าทรงเมตตา กระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์”
แต่แม้ว่าเราจะอธิษฐานแบบนี้ แต่บางทีเราก็ดื้อกับพระเจ้าเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เราจะดื้อกับพระเจ้าน้อยลง เราจะยอมให้พระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่สุภาพ เราอาจจะคิดว่าพระเยซูซื้อชีวิตของเราแล้ว ตอนนี้พระเยซูเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเราแล้ว พระองค์จะทำอะไรกับชีวิตเราก็ได้ ความเป็นจริงมันได้นะ แต่พระองค์ไม่ทำ เพราะพระลักษณะของพระเจ้า พระองค์เป็นความรัก ความรักไม่มีการบังคับ เรียกว่าพระองค์รัก พระองค์ก็เลี้ยงเราเป็นลูก ไม่ใช่เลี้ยงเราเป็นทาส ถ้าเลี้ยงเราเป็นทาส ก็ล่ามโซ่เราไว้ ไม่ให้ทำอย่างนี้ใช่ไหม? ล่ามเอาไว้ …
“เธอจะได้ไม่ออกไปทำ”
แต่ไม่ใช่ พระเจ้าเลี้ยงเราเป็นลูก พระเจ้าให้อิสรภาพกับลูกของพระองค์ ที่จะตัดสินใจว่าเราจะทำตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในนำเรา หรือวันนี้เราจะทำตามระบบของโลกนี้ ที่ส่งเข้ามาผ่านความคิดของเรา เราอยู่ตรงกลาง เรามีสิทธิ์เลือกได้
ความคิดตรงนี้แหละ เป็นจุดศูนย์กลางว่าพอระบบความคิดเราเปลี่ยน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ความคิดมันนจะสั่งการลงมาที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเรา ก็จะทำตามความคิดนั้น ถ้าความคิดเราถูกหลอก โดยระบบของโลกนี้ อย่างเช่น โลกนี้เขาส่งอะไรมา แค้นนี้ต้องชำระ …
“เขาเหยียบขาเธอ เธอยอมไม่ได้ ไปเหยียบตอบ เขาเหยียบเบาๆ เราเหยียบแรงๆ จะได้สะใจ”
โลกนี้เขาจะส่งมาแบบนี้ แต่ข้างในวิญญาณที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก ความรักมันอยู่ในเราแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเตือนเรา บอกเรา …
“ลูกเอ๋ย ลูกเป็นความรักนะ”
ให้อภัยเขาซะ แต่ ณ เวลานั้น เราได้ยินหรือเปล่า? บางที ณ เวลานั้น เลือดขึ้นหน้า เราไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า แต่เราได้ยินเสียงของโลกนี้ ที่ส่งเข้ามา ต้องแก้แค้นๆ ต้องทำให้สะใจ ไม่อย่างนั้น มันเสียเปรียบมากเลย ไม่ได้
แต่พระเจ้าบอกว่า … “อย่าเลยลูก มันเหนื่อย”
เราแก้แค้นไป เรามีความสุขไหม? ไม่มีความสุขหรอก ทำไมเรารู้ว่าไม่มีความสุข เพราะว่าข้างในวิญญาณของเราเป็นความรัก พอเราทำอะไรที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในใจของเรา เราไม่มีความสุข …
“ไม่น่าเลย”
พี่น้องเคยเป็นไหม? พอทำออกไปแล้ว … “ไม่น่าเลย” สะใจแค่เสี้ยววินาที มานั่งเสียใจ ตั้งเป็นวัน …
“พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่น่าทำแบบนี้เลย ไม่น่าเลย”
อะไรแบบนี้ มันเป็นธรรมชาติใหม่ที่มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน ฉะนั้น พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเรา เรียนรู้ความจริง หรือสอนแต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เราเหมือนกับมาส่งเสริมให้ผู้เชื่อไปทำบาป เป็นอย่างนั้นไหม? มันไม่มีทางอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ส่งเสริมได้อย่างไร? ในเมื่อธรรมชาติใหม่ของเราไม่มีบาปแล้ว ไม่มีการส่งเสริม คือความเป็นจริง ตัวตนแท้ๆ ของเรา ไม่อยากทำบาปอยู่แล้ว เหมือนปลาอยู่ในน้ำ มีปลาตัวไหนอยากกระโดดออกนอกน้ำ ถ้ากระโดดออกมานอกน้ำ คือปลาที่ถูกจับขึ้นเขียง แล้วก็ถูกฆ่า นั่นแหละ ภาพที่พี่น้องเห็น ปลาอยู่ในน้ำ เป็นเรื่องจริง
ฉะนั้น ผู้เชื่อที่ได้กลับใจใหม่ ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ก็มีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย คือเป็นธรรมชาติ ที่เรียกว่าตามแบบอย่างพระเจ้าเลย สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า นี่คือธรรมชาติใหม่ แล้วธรรมชาติที่พระเจ้าใส่เข้ามา คือความรัก พระเยซูเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าใส่เข้ามา คือความรักชนิดเป็นแบบของพระเจ้า ความรักนี้ ที่พระเยซูบอกว่า …
“เราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้า ก็คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เหมือนอย่างที่เราได้รักเจ้า”
ก็คือไม่เป็นภาระ ทำไมบอกไม่เป็นภาระ? เพราะมันเป็นธรรมชาติของเรา มันเป็นปกติวิสัยของเราอยู่แล้ว ที่พระเจ้าใส่เข้ามา ความรัก เหมือนเขาบอกคริสเตียนทำดี มันเป็นธรรมชาติของเราอยู่แล้ว ทำดี แล้วเรายืด ภาคภูมิใจ …
“เปล่า ไม่ใช่ ธรรมชาติฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว จะให้ฉันไม่ทำดี มันก็คงไม่ได้”
หรือเป็นคน ธรรมชาติ ก็คือพอหัดเดินได้ เราก็อยากจะเดิน เราเดินไปไหนมาไหนได้ ไม่ใช่ ธรรมชาติเราเป็นคน เดินได้ กินได้ หยิบจับอะไรได้
“วันนี้ฉันไม่อยากทำตามธรรชาติ ฉันไม่อยากเดิน ฉันไม่อยากหยิบของ ฉันไม่อยากกิน ฉันไม่อยาก”
มันเป็นไปไม่ได้ คือธรรมชาติมันจะออกมาเอง ตื่นเช้าขึ้นมา เราก็ทำความสะอาดร่างกายของเรา เราจะแปรงฟัน นอกจากเด็กเท่านั้น เด็กๆ จะไม่ชอบแปรงฟัน พ่อแม่ก็ต้องเคี่ยวเข็ญ แต่พอเขาโตขึ้นไม่ต้องเคี่ยวเข็ญแล้ว มันเป็นธรรมชาติของเขา ที่เขารู้ความจริงว่า …
“ฉันต้องแปรงฟัน ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวฟันผุ เดี๋ยวฉันจะกินอาหารไม่อร่อย”
เด็กก็เลยตื่นขึ้นมา โตระดับหนึ่ง รู้ความจริง เขาก็จะแปรงฟัน โดยธรรมชาติ เด็กต้องถูกจับอาบน้ำตอนที่เขายังเล็กอยู่ แต่พอเขาโตระดับหนึ่ง เขาก็ไม่ต้องถูกจับอาบน้ำ ถึงเวลา เขาก็ถือผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ออกมามีความสุข ออกมาก็มานั่งโต๊ะ รอคุณพ่อคุณแม่เอาข้าวมาให้กิน นั่นคือปกติ ธรรมชาติ
นั่นเป็นภาพเดียวกับธรรมชาติของผู้เชื่อ พระเจ้าได้ทำให้เราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว มันจะออกมา โดยธรรมชาติ
กาลาเทีย 2:17-19 “17 “ถ้าขณะที่เรามุ่งจะให้พระเจ้าทรงนับเรา เป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์ ก็ปรากฏชัดว่าเราเองเป็นคนบาป นั่นหมายความว่าพระคริสต์ส่งเสริมบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! 18 หากข้าพเจ้าสร้างสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำลายลงแล้วขึ้นใหม่ ก็แสดงว่าข้าพเจ้าเป็นคนละเมิดบทบัญญัติ 19 เพราะโดยทางบทบัญญัติ ข้าพเจ้าได้ตายต่อบทบัญญัติแล้ว เพื่อว่าจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า”
อาจารย์เปาโลพูดชัดเจน ผู้เชื่อทุกคนได้ตายต่อบทบัญญัติเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ภายใต้ บทบัญญัติอีกแล้ว เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายที่พระเจ้าตั้งขึ้นอีกแล้ว แต่เราเข้ามาอยู่ภายใต้กฎใหม่ ที่พระเจ้าได้ตั้งให้กับพวกเรา คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราตายจากกฎเก่าเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือตัวเก่าที่เป็นบาปของเราตาย ไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อแต่นี้ไป กฎของความบาป ไม่มีอำนาจ เหนือเราอีกแล้ว
ถ้าพูดอีกนัยหนึ่ง ให้ชัดเจน ก็คือเราอยู่ในประเทศไทย เราอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเราทำผิดกฎ เราก็จะถูกลงโทษ จริงไหม? ถ้าเราไปฆ่าคนตาย เราถูกจับ เราก็จะถูกลงโทษ ประหารชีวิต แต่ว่าวันหนึ่ง เมื่อเราตายจากโลกนี้ไป ตายจากประเทศไทย ก็คือวิญญาณเราออกจากร่าง ตายไปปุ๊บ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทยแล้ว มีใครทำแบบนี้บ้าง …
“คนนี้ เมื่อก่อนเคยทำไม่ดี แต่ตอนนี้เขาอยู่ในโลงแล้ว ไม่ได้ เราต้องไปขุดเขาขึ้นมา เพื่อที่จะรับโทษ”
มีใครทำแบบนี้ไหม? มันไม่มีแน่นอน เมื่อเขาตาย ทุกอย่างจบ จบวันที่เขาตายไป กฎหมายอะไรต่างๆ ที่บังคับเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีผลบังคับใช้ในชีวิตของเขาแล้ว ภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ เมื่อวิญญาณเก่าเราตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วเราบังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายของวิญญาณเก่า กฎเก่า กฎบัญญัติที่ตั้งไว้อีกต่อไป แต่เราเข้ามาอยู่ในกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว มีใครบนโลกใบนี้ที่จะสามารถเอาเรากลับไปเป็นคนอธรรมได้อีก ไม่มีทางมันเป็นไปไม่ได้ เราเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้ว เป็นเลย พี่น้องต้องจำคำนี้ให้ดี ไม่ใช่วันนี้เป็นลูกพระเจ้า พรุ่งนี้เผลอไปด่าใครเข้า …
“วันนี้ฉันยังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ไหม? สงสัย ฉันตกกระป๋องไปเป็นลูกอาดัมเหมือนเดิมแล้ว”
เป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย สถานะนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะ เป็นลูกของพระเจ้า ของเรา กลายเป็นอื่นได้เลย ไม่มีทาง เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ อย่างที่ดิฉันบอก เราเป็นลูกของพระเจ้าที่บางครั้งเผลอ ถูกหลอก ถูกล่อ โดยโลกนี้ ที่กรอกหูเรา “แค้นนี้ต้องชำระๆ” แล้วเราเผลอ ชำระสักหน่อย ก็แล้วกัน นั่นแหละ เราเป็นผู้ชอบธรรมที่โดนหลอก โดยไม่รู้ตัว โดยอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าต่อให้เราถูกหลอก เราจะรับผล ไม่ใช่หมายความว่าพอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำอะไรบนโลกใบนี้ ก็ได้ โดยที่เราไม่ต้องเก็บเกี่ยวผล เรายังคงต้องเก็บเกี่ยวผลของโลกนี้อยู่ หมายความว่าเราไปฆ่าคนตาย ผลของโลกนี้ ก็คือถูกพิพากษาลงโทษ ให้ถึงตาย ร่างกายเราจำเป็นจะต้องไปติดคุก ไปถูกลงโทษให้ตาย แต่วิญญาณของเรายังอยู่กับพระเจ้าอยู่ วิญญาณของเรายังนั่งอยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์อยู่
ฉะนั้น พี่น้องอย่าคิดว่าถ้อยคำของพระเจ้า กำลังสอนเราให้ทำอะไรก็ได้ ทำไปเถอะ พระเจ้าไม่ลงโทษแล้ว แน่นอน ด้านวิญญาณพระเจ้าไม่ลงโทษ แต่ด้านของร่างกายนี้ เรายังต้องเก็บเกี่ยวผล ฉะนั้น พระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อเรารู้ความจริง รู้ถึงพระคุณของพระเจ้า ก็ให้เราปรับปรุง เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา เมื่อเปลี่ยนแปลงความคิดของเราได้มากเท่าไร? เราก็จะสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราออกไปมากเท่านั้น
พระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่า … “เราเป็นแสงสว่าง”
“เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” เมื่อเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นแสงสว่าง พระเจ้าจุดตะเกียงดวงนี้แล้ว ให้ความสว่างเรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีใครเอาถังมาครอบไว้ได้
ดังนั้น ความสว่างตรงนี้ พระเจ้าเป็นผู้จุด แล้วแต่พระเจ้าจะนำพาเราแต่ละคนไปวางไว้ที่ไหน? เพื่อให้แสงสว่างที่พระเจ้าจุดนั้น ได้ฉายแสงให้คนรอบข้างแถวนั้น เราไม่รู้ตรงไหน? เขาได้เห็นแสงสว่างในชีวิตของเรา ฉะนั้น เราเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราสามารถที่จะสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเรา โดยการยอมให้พระเจ้าเป็นผู้ขับเคลื่อนในชีวิตของเรา และให้สิ่งนั้นถูกสำแดงออกไป
ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่ใส่ความปรารถนาในใจให้กับพวกเราทุกคน เพื่อเราจะยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าตัวช่วยเยอะมาก คือช่วยเราทุกอย่างเลย เพื่อให้เราสามารถที่จะสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ..
กาลาเทีย 2:20-21 “20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มา โดยทางบทบัญญัติ พระคริสต์ก็วายพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์!”
ชัดเจน ถ้าใครยังคิดจะพึ่งการกระทำของตัวเอง พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป คำว่า “พระคุณ” ที่พระเจ้าให้กับเรา หมายความว่าพระองค์ให้เราเปล่าๆ แล้วพระองค์ทำให้สำเร็จแล้ว
พระเยซูคริสต์บอก … “ฉันทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอแค่ทำอย่างเดียว คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”
ซึ่งพวกเราได้ทำเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนั้น เราก็แค่ให้พระเจ้าใช้เรา ส่วนใหญ่เราชอบใช้พระเจ้าเนอะ เป็นไหม? ตอนเราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราชอบใช้พระเจ้ามาก …
“พระองค์เจ้าข้า วันนี้ เราจะมีงานนะ อย่าให้ฝนตกเลยนะ” เรากำลังสั่งพระเจ้าอยู่เนอะ
“พระเจ้าอย่าให้ฝนตกเลย เดี๋ยวเดินทางลำบาก”
อะไรแบบนี้ เราก็สั่งพระเจ้า เราเผลอ เราลืม แต่ความเป็นจริงแล้ว เรียกว่าถ้าเรายอมให้พระเจ้าใช้ พระองค์จะมีน้ำพระทัยเยอะแยะมากมาย ที่จะสามารถใช้เราแต่ละคนตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ว่าใช้เราแบบไหนอย่างไร?
บางคนคิดว่า “ฉันเป็นแม่บ้านเฉยๆ อยู่บ้าน แล้วพระเจ้าจะใช้ฉันได้อย่างไร?”
เป็นแม่บ้าน พระเจ้าก็ใช้ได้ เราเป็นแม่บ้าน เรามีลูก มีสามี พระเจ้าก็ใช้เราเลี้ยงดูลูกเราให้รับรู้ความจริงของพระเจ้า ดูแลปรนนิบัติพัดวีสามี นั่นคืองานรับใช้ หลายคนคิดว่ามันไม่ใช่ เราอยู่บ้าน ปรนนิบัติสามี ดูแลลูก มันไม่ใช่งานรับใช้ มันไม่จริง นั่นคืองานรับใช้
หรือบางครอบครัวมีคุณพ่อคุณแม่ที่มีอายุเยอะ เราก็ดูแลท่าน นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของงานรับใช้ ซึ่งงานรับใช้เหล่านี้ พระเจ้าจัดเตรียมให้กับพวกเรา สามารถที่จะเป็นพรให้กับคนอื่นมากมาย
หรือบางคนอาจจะคิดว่าเราเจ็บป่วยอยู่ เราจะไปรับใช้พระองค์ได้อย่างไร? บางคนเจ็บป่วย แต่สามารถที่จะหนุนใจคนอื่น เวลาเราไปเยี่ยมคนป่วย เราไม่ได้หนุนใจเขา แต่เขากลับเป็นคนหนุนใจเรา คือเขาเจ็บป่วยอยู่ แต่เขาสามารถที่จะเข้มแข็ง เราเห็นความรัก พระคุณที่พระเจ้าให้กับเขา เขาสามารถยืนหยัด เขาสามารถที่จะหนุนใจเรา ไปถึงแทนที่เราจะไปหนุนใจเขา เขากลับหนุนใจเรามากเลย ทำไมเขาเจ็บถึงขนาดนี้ เขายังสามารถที่จะมีกำลังใจที่จะยืนหยัดต่อไป นั่นแหละ พระเจ้าก็จะใช้เขาได้ คือทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าสามารถหยิบจับมาใช้ได้หมด ขึ้นอยู่กับว่าเรายอมให้พระเจ้าใช้หรือไม่? แค่นั่นเอง
จริงๆ เราขอพระเจ้าได้ อย่างที่ดิฉันบอก เราสามารถขอได้สารพัดสิ่ง แต่มันจะจบลง “แล้วแต่น้ำพระทัย” เราขอ ถ้าพระเจ้าให้ ก็เอเมนนะ ขอบคุณพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน อย่างที่ใจเราขอ เราก็เอเมนเหมือนกัน ตามน้ำพระทัย
เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง เราจำได้ใช่ไหม? ที่สวนเกทเสมเน
พระเยซูคริสต์บอกว่า … “ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปได้ไหม? มันทรมาน พระองค์เป็นพระเจ้า รู้ทุกสิ่ง แล้วพระองค์รู้ว่าจะไปเจออะไรบ้าง? ขอได้ไหม?”
แต่พระเจ้าไม่ตอบ ไม่ตอบแปลว่า “ไม่ได้” แล้วพระเยซูก็อธิษฐานอีก พอถึง 3 ครั้ง พระเยซูรู้ว่าอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะว่าแผนการนี้ พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วมีเพียงพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้แผนการนี้สำเร็จได้ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น แต่ถ้าพระองค์ไม่ยอม พระเจ้าก็ไม่บังคับ เราขอบคุณพระเจ้า พอพระเยซูอธิษฐานครั้งที่ 3
พระองค์บอก … “โอเค ถ้ามันเลื่อนไม่ได้ ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด”
นี่คือสิ่งที่พวกเรารับรู้ และพวกเราสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ เหมือนเราอธิษฐานอะไรก็ได้ พี่น้องอธิษฐานไปเถอะ อยากจะขออะไร? ก็ขอไปเถอะ แต่ว่าตบท้ายด้วยคำว่า “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า” ถ้าพระเจ้าตอบตามคำอธิษฐานของเรา เรา เฮ! ไหม? เฮ! ขอบคุณพระเจ้า แต่ถ้าพระเจ้าไม่ตอบตามคำอธิษฐานของเรา เรายังจะขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ขอบคุณพระเจ้า
เวลาดิฉันไปยืนรอรถเมล์ ดิฉันก็อธิษฐานทุกครั้งแหละ … “พระองค์เจ้าข้า ขอรถคันนี้มาเร็วๆ ลูกไม่ต้องรอนาน”
แล้วก็นั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ ดิฉันก็ร้องเพลงในใจ ไม่เป็นไร เราก็ขอนั่นแหละ ปรากฎว่าบางครั้งนั่งไปหนึ่งชั่วโมง ที่เราขอ มันยังไม่มาเลย ไม่เป็นไร? มีบางครั้ง 1 ชั่วโมง ขี้เกียจไปแล้ว เดินกลับโบสถ์ดีกว่า อะไรประมาณนี้ ก็คือมันโอเคไง เราสามารถที่จะโอเค แล้วมีความสุขกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ซึ่งเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา พระองค์ไม่เคยให้ร้ายเรา พระองค์ไม่เคยโยนอะไรที่แย่ๆ มาใส่เรา ไม่มีทาง พระองค์คอยดูแล คอยช่วยเหลือ คอยปกป้องคุ้มครองเรา เพราะว่าโลกนี้มันอยู่ภายใต้คำสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว ตราบใดที่เรายังมีร่างกาย มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เราหนีไม่พ้นหรอก
อย่างที่พระเยซูบอก … “บนโลกใบนี้ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจเถิด ท่านชนะโลกนี้แล้ว”
โลกนี้ทำอะไรท่านไม่ได้ ตายเป็นตาย ถ้าวันไหนทุกข์ทรมานจนตาย เราก็สบาย อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก … “อยู่เพื่อรับใช้ ตายก็ได้กำไร” เราก็ได้พักผ่อน
ฉะนั้น พระเจ้ามีวิธี มีแผนการ มีกำลังให้กับพวกเราเสมอ แม้ว่าบางครั้ง เราดูเหมือนไม่ไหว …
“พระองค์เจ้าข้า มันไม่ไหว ตายแน่ๆ”
แต่พระเจ้าก็ยังอุ้มเราไว้ กอดเราไว้ แบกเราไว้ แล้วให้เราเดินไป ให้น้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตของเราสำเร็จแน่นอน เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
******************************
จากใจศิษยาภิบาล
คริสเตียน! … “พระเจ้าผู้สถิตอยู่ภายในท่านนั้น ใหญ่กว่าอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากที่อยู่ในโลก”
1 ยอห์น 4:4 … “ลูกที่รัก ท่านมาจากพระเจ้าและได้ชนะคนพวกนั้น เพราะพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้น ซึ่งอยู่ในโลก”
นี่คือคำสัญญาและสาบานจากพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ คำสัญญาจากพระเจ้า คือพระเจ้าทั้งสามพระภาคสถิตอยู่ด้วยเสมอภายในท่าน และพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก ใหญ่กว่าอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ที่อยู่บนโลก พระองค์จะจูงมือเรา นำพาเราผ่านอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา และต้องเกิดขึ้นกับทุกคนบนโลกนี้ ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกนี้ ยังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ที่เต็มไปด้วยความสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษให้อยู่ในความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เราหนีไม่พ้นกับความทุกข์ยากลำบาก ที่บางครั้งเกินกว่าที่เราจะมีแรงรับได้ แต่พระเจ้าได้สัญญาว่าจะเสริมกำลังให้กับเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา นำพาเราผ่าน ให้เราวางใจในพระองค์ ผู้ทรงสถิตอยู่ภายในเรา
พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าชีวิตที่ดำเนินบนโลกนี้ จะสุขสบาย ราบรื่น เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง ตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว แต่จะทรงอยู่ด้วยเสมอ ไม่ทอดทิ้งให้เป็นเด็กกำพร้า ไม่ปล่อยเราให้อยู่ลำพัง แต่จะทรงดูแลใกล้ชิด ด้วยความรักอยู่ตลอดเวลาจนถึงนิรันดร์ เพราะเราได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
โรม 8:35-39 … “35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเรา ไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
พระเจ้าอวยพรครับ