วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1465 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  เมษายน  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 1

โดย วราพร  คงล้วน

            หนังสือกาลาเทีย บทที่ 1 ข้อที่ 1 บอกว่า …

        กาลาเทีย 1:1 “จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล   ผู้เป็นอัครทูต ข้าพเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากมนุษย์หรือโดยมนุษย์ แต่โดยพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

            แค่ข้อแรกอาจารย์เปาโล ทำไมต้องแนะนำตัวถึงขนาดนี้  เหมือนกับกำลังโอ้อวดตัวเองหรือเปล่าว่า …

            “ฉันเป็นอัครทูตนะ  มาจากพระเยซูคริสต์โดยตรง”

            ความเป็นจริงในบริบทของจดหมายฉบับนี้  ก็คืออาจารย์เปาโลถูกต่อว่า ส่วนใหญ่เป็นคนยิวด้วยกัน  ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า คนยิวจะมี 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งยังคงนับถือกฎเดิมอยู่ ก็คือที่เขานับถือกฎบัญญัติที่โมเสสตั้งไว้ แล้วยังคงเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถรักษากฎบัญญัติเหล่านั้นได้ ด้วยกำลังของตัวเอง สามารถประพฤติได้เยอะกว่าคนอื่น  กลุ่มนั้น เขาจะไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์  แต่จะมีอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า  ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศ แล้วเขาก็เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ  ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับคนยิว ตั้งแต่เริ่มต้นว่าพระองค์ประทานบทบัญญัติ

            แต่อนาคตข้างหน้า พระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์ ตามพระสัญญา ก็คือพระมาซีฮาห์มาปุ๊บ  คนยิวก็ต้องเปลี่ยนจากการเชื่อวางใจในกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าส่งมา ก็คือก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์ถูกส่งมา คนยิวก็อยู่ในกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าตั้งไว้แล้ว แล้วพระเจ้าก็เลือกคนยิวให้เป็นประชากรของพระองค์

            หมายความว่า ณ เวลานั้น ก่อนพระเยซูมา คนยิวประพฤติ ปฏิบัติตามกฎที่พระเจ้าพระบิดาตั้งไว้ คนเหล่านั้นจะเป็นประชากรของพระองค์ ตามที่พระองค์ตั้งเป้าไว้ ก็คือคนยิวทุกคนจะเชื่อฟังตามที่โมเสสบอกไว้ ให้อาโรน เป็นมหาปุโรหิต แล้วคนยิวทุกคน เมื่อถึงเวลากำหนด ก็ต้องเอาเครื่องบูชามาถวาย  ปีหนึ่ง ครั้งหนึ่ง เป็นการถวายใหญ่เลย ก็คือพระเจ้าตั้งไว้  จะเป็นวันหนึ่งที่คนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องมาถวายเครื่องบูชาใหญ่ คือนำเอาแกะที่ไม่มีตำหนิ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ มาให้กับปุโรหิต แล้วมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานของพระเจ้า แค่ปีละครั้ง เข้าไปในอภิสุทธิสถานปุ๊บ ต้องรีบๆ ทำภารกิจของตัวเองให้สำเร็จ แล้วก็รีบๆ ออกจากสถานที่นั้น คืออภิสุทธิสถาน

            แล้วอภิสุทธิสถานตรงนี้ พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าจะมีม่านที่กั้นไว้  ก็คือไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเข้าไปได้เลย  ถ้าเข้าไปปุ๊บ ตาย เพราะว่าสถานที่นั้น เป็นสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด  เป็นที่สถิตของพระเจ้า พระบิดา

            สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ ก็คือมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้น ปีละครั้ง เข้าไปในอภิสุทธิสถานเพื่อที่จะนำเอาเครื่องถวายบูชา ไปถวายให้กับพระเจ้า  ก็คือนำเอาเครื่องถวายบูชาของประชากรทั้งหมดของคนอิสราเอล ที่มาถวายให้กับพระเจ้า เอาเลือดไปประพรมแท่นบูชา  เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้

            ดังนั้น เป็นหนึ่งอย่างที่ถูกกำหนดไว้ อย่างที่พระคัมภีร์บอก ถ้าไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการอภัยโทษบาป ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เลือด คือชีวิต” ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ถ้ามนุษย์คนหนึ่งเลือดไหลจนหมดตัว มนุษย์คนนั้นตาย ถ้าร่างกายเราไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว  ก็คือตาย  ฉะนั้น พระคัมภีร์ใช้คำว่าเลือด คือชีวิต แล้วชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ตามที่พระเจ้าบอกกับอาดัม เอวา ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ถ้าเจ้าขืนกินผลไม้ที่เราห้าม เจ้าจะตาย ก็คือไม่มีชีวิต

            ทันทีที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ชีวิตนิรันดร์ ที่ได้ประทานให้กับมนุษย์คู่แรก ชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ชีวิตที่สะอาด บริสุทธิ์ ชีวิตที่ไร้เดียงสามาก เมื่อความบาปนั้นเข้ามา ชีวิตนั้นมันหายไป  เท่ากับว่าความบริสุทธิ์ ความสะอาด ความชอบธรรมของพระเจ้าหลุดไปจากมนุษย์ ตั้งแต่วินาทีแรก ที่มนุษย์ตัดสินใจที่จะพึ่งในการกระทำของตัวเอง

            ทำไมเรารู้ว่ามนุษย์ตัดสินใจแบบนั้น เพราะพระเจ้าบอกกับอาดัม เอวา ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเจ้าเป็นเหมือนเราเลย  เราสร้างเจ้าดีมาก  เป็นพระฉายของเราเลย  เจ้าไม่ต้องทำอะไร เจ้าทำอย่างเดียว ก็คือไปชื่นชมยินดีกับสิ่งที่เราสร้างไว้ให้ ก็คือสวนเอเดน ทุกอย่างเลย สิงห์ สาราสัตว์ เจ้าไปคลุกคลีตีโมงได้เลย ก็คือสัตว์สมัยที่มนุษย์ยังไม่ล้มลงในความบาป  มนุษย์สามารถเล่นได้กับสัตว์ทุกตัว สิงโตก็ไม่ดุร้าย ทุกอย่างเป็นเพื่อนกันหมดเลย แต่เมื่อความบาปเข้ามาในโลกปุ๊บ สถานะเปลี่ยนไป สัตว์ทุกตัวที่ดูเหมือนเชื่อง มันกลายเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเรียบร้อยไปแล้ว มนุษย์ไม่สามารถที่จะไปเล่นหัวกับสิงโตได้เลย โดนงับพอดี

            นั่นคือภาพที่พระเจ้าให้เราเห็น  เห็นถึงความรุนแรงในคำสั่ง ที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ทำ ถ้ามนุษย์คู่แรกเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าบอก ก็จะไม่เกิดผลตรงนี้  แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือพระเจ้าให้อิสรภาพกับมนุษย์ ให้อิสรภาพกับผู้ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ให้เขามีสิทธิที่จะตัดสินใจเอาเองว่าจะเชื่อฟังใคร?  พระเจ้าบอกไว้เท่านั้นเองว่า …

            “อันนี้เธอกินได้หมดเลยนะ ยกเว้นต้นนี้ อย่ากินนะ  กินเมื่อไรเธอตาย”

            แล้วพระเจ้าก็ให้อิสระว่าจะเชื่อฟังดีหรือไม่เชื่อฟัง แต่ว่าเอวาถูกหลอก งูบอกว่า …

            “พระเจ้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก ถ้าเธอกินผลไม้นั้น  เธอไม่ตายหรอก แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือตาเธอจะสว่าง แล้วเธอจะมีความสามารถทำทุกอย่างได้เทียบเท่าพระเจ้า  เธอจะสามารถรู้เรื่องความดีและความชั่ว เธอจะสามารถที่จะทำดีได้มากกว่านี้”

            ซึ่งมารมันหลอก หลอกเอวา แล้วเอวาก็เชื่อตามนั้นด้วย ที่เอวาตัดสินใจกินผลไม้อันนั้น เพราะว่าเขาอยากจะทำดี ไม่ได้อยากจะทำชั่วนะ พี่น้องอย่าคิดว่าเขาอยากจะทำชั่ว เขาอยากจะทำดี ด้วยกำลังของตัวเอง เพื่อให้พระเจ้าภูมิใจในตัวเขา เหมือนกับลูกๆ ในปัจจุบัน อยากจะทำสิ่งที่ดี เพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ ลักษณะเดียวกัน  ฉะนั้น เอวาก็ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า  แต่ไปเชื่อฟังการล่อลวงของมาร กินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม

            พระเจ้าตั้งกฎไว้เรียบร้อย กินเมื่อไร เธอตายเมื่อนั้น คำว่า “ตาย” คือตายจากพระเจ้า  พระสิริของพระเจ้าที่เคยปกคลุมอยู่เหนืออาดัมกับเอวา มันหลุดหายไป  เท่ากับมนุษย์คู่แรก กำลังบอกกับพระเจ้าว่าขอพึ่งพาตัวเอง ขอพึ่งการทำดีของตัวเอง  ตอนนี้ขอลองสักตั้งหนึ่ง ทำดีด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพระเจ้าแล้ว  แล้วพระเจ้าก็บอกชัดเจน

            พระเจ้า คือความดีงาม  เมื่อความดีงามหลุดไปจากมนุษย์ปุ๊บ มนุษย์ทำดีไม่เป็น มันไม่มีทาง ที่อาดัมกับเอวาเป็นคนดี  พระเจ้าบอกเขาเป็นคนดี ถูกสร้างมาดีเลย มีพระสิริของพระเจ้าอยู่ในเขา เมื่อความดีงามของพระเจ้าหลุดหายไป ความชั่วร้ายมันเข้ามาแทนที่ทันที ความบาปเข้ามาแทนที่ พระสิริของพระเจ้าหายไป  มนุษย์ไม่สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้าได้แล้ว เพราะว่ามนุษย์ทำบาปแล้ว

            นี่คือที่มาที่ไปที่มันเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้  แล้วประวัติศาสตร์นี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อพระเจ้าเขียนไว้แล้วว่าถ้าเจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายกับตาย  มนุษย์ก็เลยต้องรับผิดตรงนี้ ตายอันดับแรก คือวิญญาณตายจากพระเจ้า ความดีงามของพระเจ้าตายจากมนุษย์ ความชอบธรรมของพระเจ้า ก็ตายไปด้วย ก็คือไม่อยู่กับมนุษย์แล้ว มนุษย์ก็เหลืออะไร ถ้าไม่มีความชอบธรรม  ก็เหลือแต่ความไม่ชอบธรรม คือความเลวร้ายทั้งหมด สิ่งที่เหลืออยู่ ณ เวลานี้

            เราเห็นภาพที่พระเจ้า เตรียมแผนการที่ล้ำเลิศให้กับมนุษย์ ภาพจากในปฐมกาล บทที่ 3  ที่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าให้ความช่วยเหลือทันที ไม่รอช้าเลย  ทันทีที่พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์ ล้มลงในความบาป  จริงๆ พระเจ้ารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ มีสิทธิ์ที่จะล้มลงในความบาป

            อันดับแรกที่พระเจ้าทำ คือฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง ถ้าพี่น้องยังไม่เคยอ่านหนังสือปฐมกาล กลับไปอ่านดูอีกครั้งหนึ่งได้  ก็คือทันทีที่อาดัมกับเอวากินผลไม้ต้นนั้น พระสิริของพระเจ้าหายไปปุ๊บ อาดัมกับเอวามองหน้ากัน 2 คน ทำไมเธอไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ เธอโป้อยู่ ก่อนหน้านั้นมีพระสิริของพระเจ้า เป็นเครื่องนุ่งห่ม ไม่รู้สึกว่าตัวเองโป้  พอพระสิริของพระเจ้าหายไป โป้ แล้วทำอย่างไร?  อายไง เวลาโป้ มันรู้สึกอาย เมื่อก่อนบริสุทธิ์ สะอาด หมดจดเหมือนพระเจ้า อายไม่เป็น เกิดความอาย ก็เลยต้องไปใช้วิธีที่มนุษย์ใช้ ไปเอาใบไม้มาห่อหุ้มร่างกายไว้ เพื่อปกปิดความอาย  พี่น้องลองคิดดูว่าใบไม้เอามาห่อหุ้มตอนเช้า ตอนเย็นก็เหี่ยวเรียบร้อยแล้ว ก็คือมนุษย์ไม่สามารถใช้ความดีของตัวเอง ที่จะมาปกปิดร่างกายของตัวเองได้เลย แต่พระเจ้าใช้วิธีแรกเลย ตั้งแต่เริ่มต้นที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ก็คือฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต แล้วก็เอาหนังสัตว์นั้นมาห่อหุ้มร่างกายให้กับมนุษย์ ก็คือปกปิด ความน่าอายของมนุษย์คู่แรก  เป็นภาพที่พระเจ้าทำให้เห็นว่าอนาคตข้างหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมา พระองค์จะให้ทำพิธีกรรมนี้ ก็คือมนุษย์ต้องเอาสัตว์มาถวาย

            พี่น้องเคยได้ยินคำว่าแพะรับบาปไหม? ก็คือเอาสัตว์ตัวหนึ่งซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เป็นสัตว์ที่ไร้ตำหนิ เอามาฆ่า ถวายให้พระเจ้า เพื่อเอาเลือดของสัตว์ตัวนั้นมาประพรม ที่แท่นบูชา แล้วก็ปกปิดความบาปให้กับมนุษย์คนนั้น 1 ปี แค่ 1 ปี ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อันนั้น คือภาพที่พระเจ้าเตรียมการไว้แล้ว แล้วพระเจ้าก็เลือกมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่าคนยิว จริงๆ ในพระคัมภีร์จะมีมนุษย์อยู่แค่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือคนยิว  กลุ่มที่  2 คือคนต่างชาติ  … คนต่างชาติ ก็คือพวกเราทั้งหลาย ไม่ว่าประเทศไหน? อังกฤษ อเมริกา อิตาลี ประเทศอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่อิสราเอล เราเรียกว่าคนต่างชาติ แล้ว ณ เวลานั้น สมัยที่พระเจ้าเลือกคนยิวมา เรียกว่าประชากรของพระองค์ คนยิวมีความภาคภูมิใจในการเป็นประชากรของพระองค์ แล้วคนยิวเหล่านี้ก็จะเหยียดคนต่างชาติ คือไม่เห็นคนต่างชาติในสายตา ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน ก็คือเหมือนหมู เหมือนหมา คือคนต่างชาติไม่มีระดับ ห้ามมายุ่งกับเราเลย เพราะเราเป็นคนของพระเจ้า  แล้วคนยิวก็ทำพิธีกรรมนี้มาตลอด ตามที่พระเจ้าสั่งไว้ ก็คือ 1 ปี เอาสัตว์มาถวายบูชา

            แล้วในระหว่างปีล่ะ พี่น้องลองคิดดูนะ ในระหว่างปี ก็ยังมีการทำผิดพลาดตลอดเวลา จริงไหม? เมื่อผิดปุ๊บ กฎบัญญัติที่พระเจ้าเขียนไว้ในหนังสือเลวีนิติ จะเขียนไว้ว่าถ้าคนยิวทำผิดเรื่องนี้ จะต้องเอาอะไรมาถวายให้พระเจ้า สมัยก่อนกฎเยอะนะ สมมติว่าไปด่าคน ไปเอาแป้งมากี่เท่าไร? มาถวายให้พระเจ้า หรือถ้าทำรุนแรงกว่านั้น ต้องเอาเครื่องบูชาอะไรที่พระเจ้ากำหนด มันเยอะมาก แต่ว่าคนยิวต้องทำ  แล้วถ้าไปทำอะไรนิดหนึ่ง เป็นมลทิน เข้ามาในวิหารของพระเจ้าไม่ได้ ต้องไปกักตัว

            แล้วสมัยก่อน ถ้าในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ผู้ชาย” คือไม่มีนับผู้หญิงนะ ก็แสดงว่าต้องมีผู้หญิงพ่วงมา ก็ไม่มีการนับ แต่เป็นการรู้กันโดยปริยายว่าถ้ามีผู้ชาย เราบวกไปเลย ผู้หญิง ภรรยาย 1 คน ลูกอีก 2 คน ก็คือตอนที่พระเยซูเลี้ยงคน 5,000 คน เขียนว่านับผู้ชายได้ 5,000 คน หมายความว่า ณ ตรงนั้น จะมีคนไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ที่ได้กินขนมปังอิ่ม นี่เป็นภาพ เรื่องปลีกย่อยฝอย จริงๆ แล้วไม่ได้สำคัญหรอก แต่เล่าให้ฟัง เพื่อเราจะได้รับรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้นะ

            แล้วคนยิวก็ต้องมาถวายเครื่องบูชา  เวลาทำผิดนิดผิดหน่อย เป็นมลทิน เข้าวิหารไม่ได้ ต้องไปกักตัว 5 วัน 7 วัน 14 วันก็แล้วแต่ แต่ว่าการที่ทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ฝอยๆ นี้ ไม่ต้องถึงมหาปุโรหิต ปุโรหิตธรรมดา เขาก็จะถวายเครื่องบูชารายวัน ในแต่ละวัน ก็คือเข้าไปในอภิสุทธิสถานไม่ได้ อยู่แค่ลานชั้นกลาง ก็คือวิสุทธิสถานเท่านั้น

            นี่เป็นภาพที่เราจะมองเห็น พอเราเห็นภาพพวกนี้ เราจะขอบคุณพระเจ้ามากๆ เลย ที่เราเกิดในยุคปัจจุบัน แล้วเราก็ไม่ได้เป็นคนยิวด้วย  ถ้าเราเกิดในยุคของสมัยพระเยซูคริสต์ ก่อนหน้าพระเยซูคริสต์ แล้วเป็นคนยิว เราต้องเข้าไปในกฎเกณฑ์เยอะแยะ มากมาย มหาศาลมาก

            ฉะนั้น กฎตรงนี้ พระเจ้าบอกวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มาให้ และเมื่อพระมาซีฮาห์มาปุ๊บ  พระองค์จะเป็นแกะถวายบูชา  ในพระคัมภีร์หนังสือวิวรณ์จะเรียกพระเยซูคริสต์ว่าพระเมษโปดก เป็นแกะที่ถูกนำไปฆ่า เป็นแกะตัวเดียว บนโลกใบนี้  ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ มาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อมารีย์ แล้วก็คลอดออกมา ตามธรรมชาติ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ไม่เหมือน คือพระองค์ไม่มีเชื้อบาป  เลือดของพระเยซูคริสต์เป็นเลือดที่บริสุทธิ์ เป็นเลือดของคนผู้เดียวเท่านั้น ที่จะสามารถชำระล้างความผิดบาปให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ได้

            แล้วพระเจ้าก็เตรียมแผนการมาหลายพันปี ส่งคนแล้วคนเล่า ผู้เผยพระวจนะมาบอก เดี๋ยววันหนึ่งข้างหน้าพระมาซีฮาห์จะถูกส่งมา ถูกส่งมาแบบไหน? เป็นพระกุมาร จะเกิดในรางหญ้า จะเจริญเติบโตแบบไหน?  พระเยซูเกิดที่เบธเลเฮม แต่เขาไม่ได้เรียกพระเยซูว่าพระเยซูชาวเบธเลเฮม แต่เขาเรียกพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เพราะว่าพระเยซูไปเจริญเติบโตที่นาซาเร็ธ

            ฉะนั้น พวกนี้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์หมดเลยทุกอย่าง เพื่อจะได้ให้คนยิวรับรู้ว่าสิ่งนี้พระเจ้าเตรียมการไว้แล้ว ถ้าเกิดมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น มนุษย์คนนั้นเกิดขึ้น ให้รู้ว่าคนนั้นแหละ คือพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าส่งมา  แต่พอถึงวันที่พระมาซีฮาห์มา คนยิวก็ไม่รับรู้ว่าพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์  ไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าพระองค์มาจากพระเจ้า นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

            เมื่อคนยิวไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ ข่าวดีของพระเจ้า ก็เลยถูกประกาศออกไปถึงคนต่างชาติ มาถึงเราแล้วนะ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเป็นอัครทูตคนเดียวที่พระเจ้าเลือกไว้ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ก็คือพวกเรานั่นแหละ ที่ไม่ใช่ยิว  จดหมายฝากฉบับนี้  ที่อาจารย์เปาโลต้องพูดแบบนำเสนอตัวเองว่า …

            “ฉันเป็นอัครทูตนะ ฉันไม่ได้มาจากมนุษย์นะ แต่ว่าพระเยซูคริสต์เองเป็นผู้แต่งตั้งฉันมาเอง”

            เพราะเหตุว่าคนยิว เขาเหมือนดูถูกอาจารย์เปาโลว่าไม่ใช่อัครทูตหรอก อาจารย์เปาโลไม่ได้เดินกับพระเยซู คำว่า “อัครทูต” คือคนที่ได้เดินกับพระเยซู เจอหน้าพระเยซู ได้รับข่าวสาร โดยตรงจากพระเยซู แล้วอัครทูตถูกใช้เฉพาะพวกสาวก 12 คนกับบวกมาอีกคนหนึ่ง คืออาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลไปเจอพระเยซูตอนหลังจากที่พระเยซูได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว คือไม่ได้ติดตามพระเยซูตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ไม่เหมือนกับเหล่าสาวก 12 คน ฉะนั้น พวกคนยิวเขาเลยบอกว่าอาจารย์เปาโล ไม่ใช่อัครทูตแน่นอน จะมาสอนเรื่องของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? จะมาประกาศข่าวดีของพระเจ้าได้อย่างไร?

            อาจารย์เปาโลก็เลยมายืนยันตัวของท่านเองว่า … “ฉันเป็นอัครทูตจริงๆ ฉันได้เจอกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า แล้วข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ ที่ฉันได้รับ ไม่ได้ได้รับจากมนุษย์เลย ไม่ได้รับจากเปโตร หรือใครต่อใครที่เป็นอัครทูต แต่ฉันได้รับจากพระเยซูคริสต์โดยตรง”

            เราจำตอนที่อาจารย์เปาโลเดินทางไปที่ดามัสกัสได้ใช่ไหม? ตอนช่วงที่พระเยซูคริสต์ประกาศข่าวดีอยู่ อาจารย์เปาโลเป็นตัวต่อต้าน อาจารย์เปาโลอยู่กลุ่มของพวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี ซึ่งต่อต้านอย่างหนัก เพราะว่าเขารักพระเจ้ามาก เขานับถือบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ผ่านทางโมเสสมากเลย ทุกกระเบียดนิ้ว แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์มาประกาศว่าให้มาเชื่อพระองค์อย่างเดียว เราจะหลุดพ้นจากกฎบัญญัติเลย ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในพระคุณของพระเจ้าปุ๊บ บทบัญญัติก็ไม่ต้องใช้แล้ว

            อาจารย์เปาโลเคือง ไม่ได้ ต้องจัดการ เพราะว่าพระเยซูคริสต์กบฏกับพระเจ้า แล้วแถมยังมาอ้างตัวเองว่าเป็นลูกของพระเจ้าอีก แล้วใครก็ตามที่ติดตามพระเยซูคริสต์ก็กบฏกับพระเจ้าหมด ไม่ได้ เราต้องจัดการ เพราะอาจารย์เปาโลรักพระเจ้ามาก  คือรักมาก ก็เลยต้องจัดการ

            แต่ตอนที่อาจารย์เปาโลขอทหาร นั่นคือช่วงที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์แล้ว เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อยู่กับสาวก 40 วันแล้ว  แล้วลอยขึ้นสวรรค์ให้คนเป็นจำนวนมากเลย ประมาณ 500 คนได้เห็นกับตาจะๆ เลยว่าพระเยซูลอยขึ้นไป  แล้วพระองค์ก็บอกว่าเดี๋ยวพระองค์จะกลับมาอีก

            อาจารย์เปาโลไม่ได้คุ้นชินกับพระเยซูตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แต่ตอนที่อาจารย์เปาโลขอทหาร ไปไล่ล่าพวกคริสเตียน  ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ในพระคัมภีร์ตอนนั้น อาจารย์เปาโลจะใช้คำว่า “คนที่เชื่อทางนั้น” ทางนั้น ก็คือทางพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ทางของพระเจ้าพระบิดา เขาก็จะไปจับพวกคริสเตียนมาติดคุก มาข่มเหง มาอะไรก็แล้วแต่ ระหว่างทางที่เดินทางไปดามัสกัส  พระเยซูมาพบอาจารย์เปาโล พบเลยนะ  ทำให้อาจารย์เปาโลตกจากม้า แล้วก็ตาบอดเลย แล้วพระเยซูพูดกับอาจารย์เปาโลตอนนั้น ชื่อเซาโลนะ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ

            “เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”

            คำพูดนี้ พี่น้องเห็นภาพไหมว่าใครก็ตามที่ข่มเหงคนของพระเจ้า ข่มเหงลูกของพระเจ้า  หรือจะเรียกว่าข่มเหงคริสเตียน คริสตจักรของพระเจ้า เท่ากับคนๆ นั้นกำลังข่มเหงพระเยซูอยู่ ทำไมเรารู้อย่างนั้น เพราะว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เข้ามาอยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันเลย ถ้าใครรังแกเรา ก็เท่ากับรังแกพระเยซูที่อยู่ในเรานั่นแหละ

            พระเยซูถึงบอก … “เปาโลเธอข่มเหงเราทำไม?”

            เพราะว่าเปาโลกำลังไปไล่ล่าผู้เชื่อ แล้วเปาโลก็ตกใจ ไปข่มเหงพระองค์ตอนไหน?  ไม่รู้เลย นั่นแหละ “ถ้าเจ้าข่มเหงคนของเรา  เจ้าก็ข่มเหงเรา ถ้าเจ้าถีบประตัก เจ้าก็เจ็บตัวเอง” คือถีบไปแรงๆ  มันก็เด้งกลับมาแรงๆ เหมือนกัน

            จากนั้น พระเจ้าก็เปิดตาใจอาจารย์เปาโลให้เห็นจริงๆ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้า  ผู้ที่พระบิดาส่งมาจริงๆ อาจารย์เปาโลกลับใจใหม่เลย เชื่อวางใจในพระเจ้าเลย ทำไมอาจารย์เปาโลได้สิ่งนี้ได้ง่าย เพราะว่าเขารู้เรื่องของกฎบัญญัติเยอะมาก ถ่องแท้เลย รู้ตื้นลึกหนาบางทุกอย่าง รู้ถึงพระสัญญาที่พระเจ้าพระบิดาบอกไว้ชัดเจนมาก  เมื่อพระเยซูคริสต์เปิดตาใจให้กับเขาสามารถเห็นว่าพระองค์คือผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์

            แล้วพระเยซูคริสต์พูดอีกคำหนึ่งว่า … “เจ้าเป็นภาชนะที่เราเตรียมไว้แล้ว”

            แปลว่าอาจารย์เปาโลถูกเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แล้วเตรียมไว้ สำหรับที่จะไปประกาศกับคนต่างชาติ  แล้วเตรียมไว้ให้เป็นอัครทูตคนเดียวที่ถูกทรมานเยอะที่สุด  กว่าอัครทูตคนอื่นด้วย

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเมื่อเปิดใจต้อนรับปุ๊บ คือท่านเชื่อสนิทเลย  แล้วพระเยซูก็บอกให้ไปหาอานาเนีย เพื่ออธิษฐานให้ตาเปิดออก พอตาเขาหายบอดปุ๊บ กินข้าว กินปลา เสร็จทุกอย่าง แข็งแรงขึ้นปุ๊บ อาจารย์เปาโลไม่รอช้าเลยนะ ออกประกาศเลย ประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลยืนยันตัวเองชัดเจนว่าอาจารย์เปาโล ไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาจากมนุษย์คนหนึ่งคนใด แต่โดยพระเยซูคริสต์โดยตรงเลย แล้วพระองค์ส่งอาจารย์เปาโลไป เพื่อที่จะไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้อาจารย์เปาโลถูกไล่ล่าฆ่าเหมือนเดิม เพราะว่าคนยิวไม่ยอม เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นประชากรของพระเจ้า พระเจ้าเป็นของฉันคนเดียว เป็นของคนอื่นไม่ได้ จะให้คนต่างชาติ ซึ่งเป็นเหมือนหมู เหมือนหมา อยู่ดีๆ ให้มาเทียบเท่ากับเรา มันไม่ได้ มาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกัน มันไม่ได้ ทนไม่ได้

            นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่อาจารย์เปาโลรับใช้อยู่ แต่ไม่ว่าคนยิวจะยอมหรือไม่ยอมก็ตาม อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ท่านไม่ยอม เรื่องของท่าน ฉันจะประกาศของฉัน เพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าส่งฉันมา”

            แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศทุกที่ ทุกหน ทุกแห่งที่มีโอกาส ที่จะประกาศนามของพระเยซูคริสต์ และเราจะเห็นจดหมายทุกฉบับที่อาจารย์เปาโลส่งไปถึงคริสตจักรต่างๆ ที่อาจารย์เปาโลไปบุกเบิก ไปประกาศข่าวดี แล้วคนเหล่านั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วเกิดมาเป็นคริสตจักรต่างๆ คำที่ไปหนุนใจคริสตจักรเหล่านั้น  มันไม่มีอะไรเยอะแยะมากมายเลย อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า แล้วความรอดมาจากพระเจ้า เป็นพระคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติดีของคนหนึ่งคนใดเลย ที่จะทำให้ตัวเองสามารถรอดได้ …

        กาลาเทีย 1:2-3 “2 และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้า ถึงคริสตจักรต่างๆ ในแคว้นกาลาเทีย 3 ขอพระคุณและสันติสุข  จากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย”

            คำว่า “ขอ” ไม่ต้องขอ ทันทีที่เราเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระคุณของพระเจ้าอยู่ในเรา อยู่กับเรา พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์อยู่กับเรา  แล้วพระเยซูคริสต์ คือพระคุณ คือสันติสุข พระองค์เป็นสันติสุข เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นความชอบธรรม คือตัวพระองค์เป็นทุกอย่างที่เรากล่าวมาทั้งหมด  แล้วพระองค์ผู้ซึ่งเป็นทุกอย่างนี้อยู่ในเรา แปลว่าทุกอย่างที่เราพูดมา ไม่ว่าจะเป็นพระคุณ สันติสุข ความชื่นชมยินดี ความดีงาม ทั้งหมดมันอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันมีในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยหนุนใจว่าให้รับรู้ความจริงตรงนี้ ว่าพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้า พระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์นั้นอยู่ในท่านแล้ว  แค่รับรู้ความจริง เมื่อเรารับรู้ความจริงเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถสำแดงพระคุณตรงนี้ ออกไปจากชีวิตของเรา  แค่รับรู้ความจริง แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะทรงนำเรา ข้อที่ 4 …

        กาลาเทีย 1:4 “พระเยซูทรงสละพระองค์เอง  เพื่อบาปของเราทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อช่วยเราจากยุคอันชั่วร้ายนี้  ตามพระประสงค์ของพระเจ้าและพระบิดาของเรา”

            พระเยซูช่วยเรา โดยวิธีสละชีวิตของพระองค์ พระเยซูคริสต์ไม่ได้ช่วยเรา โดยเอาเงินเอาทอง เอาทรัพย์สมบัติทั้งหลายบนโลกใบนี้มาซื้อชีวิตของเรา เพราะจริงๆ แล้วทรัพย์สมบัติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ก็เป็นของพระองค์อยู่ดีนั่นแหละ พระเจ้าไม่ได้ใช้ทรัพย์สินเงินทองมาซื้อชีวิตของเรา  แต่พระเจ้าใช้ชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาซื้อชีวิตของพวกเรา  แล้วการซื้อชีวิตของพวกเรา  อย่างที่บอก พระเยซูตายครั้งเดียว ทุกอย่าง จบ ซึ่งพระเยซูบอกสำเร็จแล้ว  ก็คือสำเร็จจริงๆ พระองค์ทำการไถ่ถอนชีวิตมนุษยชาติบนโลกใบนี้ สำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ มันก็ยังเป็นผลอยู่ เมื่อก่อนดิฉันเข้าใจว่าพระคุณตรงนี้  ความรอดตรงนี้ พระเจ้าให้เฉพาะผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น  ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด สิ่งที่พระเจ้าทำ ก็คือพระเจ้าทำให้กับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้  ตามหนังสือยอห์น 3:16-18  บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก โลกนี้ คือทุกอย่างบนโลกใบนี้ มนุษยชาติทุกคนบนโลกใบนี้ จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อทุกคนที่วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขา บนไม้กางเขน จะได้รับชีวิตนิรันดร์

            ชีวิตนิรันดร์ คือผล ที่เราได้รับ ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าปุ๊บ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ทันที ชีวิตแบบเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จะได้เท่ากันหมด คือชีวิตนิรันดร์ ได้รับความชอบธรรม ซึ่งมาจากพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นบุตรที่รักของพระเจ้า ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้เป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ร่างกายเราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

            สิ่งเหล่านี้ได้รับทันทีเลย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ เรามองเห็นไหม? ไม่เห็น  จับต้องได้ไหม? ไม่ได้ แต่เชื่อตามที่พระเจ้าบอก ฉะนั้น พระคัมภีร์บอกว่าผู้ชอบธรรมเริ่มต้นด้วยความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับพวกเราสำเร็จแล้ว ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  คือตลอดเวลาที่เราเดินอยู่บนโลกใบนี้ ให้ความเชื่อตรงนี้ถูกปลูกฝังลงไปในวิญญาณของเราว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วจบลงด้วยความเชื่อ ก็คือหลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น เรียบร้อยไปแล้ว แค่เรารับรู้ความจริง แล้วก็ดำเนินชีวิตตามความจริงนี้ที่พระเจ้าบอกเรา  นั่นแหละ คือผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            แต่การรับรู้ความจริง บางครั้งเราก็เผลอลืมไปว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว บางทีเราก็เผลอลืมไปว่าเราเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักมากมาย เพราะว่าระหว่างช่วงเวลา การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บางทีเราก็หลงไปเชื่อคำโกหกหลอกลวง แล้วเราก็ไปหลงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่  ที่มันเป็นของเรา  เราก็จะถูกหลอกด้วยถ้อยคำจากข้างนอกนั่นแหละ

            “เห็นไหม เธอทำบาปแล้ว เธอเป็นคนบาปแล้ว เธอไม่รอดแน่เลย  พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว”

            อะไรก็แล้วแต่ มันจะมีข้อมูลถูกส่งเข้ามา  แต่พี่น้องยังคงต้องยืนกราน คำเดิม …

            “ไม่ว่าฉันจะเผลอทำผิดอีก แต่ฉันก็ยังเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักเหมือนเดิม”

            ก็คืออย่างที่บอกเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เกิดแล้วเกิดเลย  เกิดข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ หรือการกระทำใดๆ ที่เราเผลอทำ จะสามารถทำให้เราถูกแยกขาดจากพระเจ้าได้เลย ทำไม่ได้ เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เข้ามาเป็นก้อนเดียวกันเลย  ไม่มีใคร แยกเราออกจากพระเจ้าได้ แม้แต่ตัวเราเอง ก็ไม่สามารถที่จะทำได้เลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            อยากเป็นลูกพระเจ้ามั้ยครับ? ง่ายนิดเดียว! แค่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยรอด เขาจะได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าตรีเอกานุภาพ

            เขาจะเข้าไปอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระเจ้าตรีเอกานุภาพ จะเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายเขา

            และทุกอณูเนื้อ ทุกเซลล์ในร่างกายของเขา จะถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริ สง่าราศี ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน  จงมองให้เห็นเถิด!  เขาจะเป็นดวงสว่าง เปล่งรัศมีประกายเจิดจรัส บนโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความมืดมิด

            กาลาเทีย 3:26-28 … “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์”

            ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นกับท่าน แค่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย  พระเจ้าอวยพรครับ