คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2024
เรื่อง “พระเยซูคริสต์ตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย
พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นจากตายด้วย”
โดย นคร เวชสุภาพร
หัวข้อเรื่อง คือ “พระเยซูคริสต์ตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นจากตายด้วย”
สาเหตุที่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้ายอมมาเกิดเป็นมนุษย์ และยอมตายบนกางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นจากความตาย เพราะอะไร? พระคัมภีร์พูดชัดเจน เยอะเลย คือเพราะรัก รักใคร? มีใครให้รักบ้างบนโลกใบนี้ มีหรือไม่มี? เราอาจจะบอกว่าไม่มีเลย แต่ในพระคัมภีร์บอกมี พระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก โรม 3:23-25 ได้บันทึกถึงสาเหตุที่พระองค์ต้องยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอม แสดงว่าไม่จำเป็นต้องตายก็ได้ ถูกไหม? ไม่จำเป็นต้องมาเกิดก็ได้ ลองอ่านดู …
โรม 3:23-25 “23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซู เป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู”
ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนบาป จึงทำบาปทุกคน การกระทำบาป เป็นผลมาจากวิญญาณข้างในที่เป็นคนบาป มีธรรมชาติบาปกันทุกคน และการช่วยเหลือนี้ มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระคัมภีร์อ่านเมื่อสักครู่นี้บอกว่าพระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป เป็นแพะรับบาป เป็นเครื่องบูชายันต์ให้กับพระเจ้า แล้วกับใครที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้ แด่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์และยอมตาย เพื่อมนุษย์ทั้งปวง แค่นี้เอง คือแค่เชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย ในโรม 5:8-10 ได้บอกไว้ว่าเพราะรักมวลมนุษย์ยิ่งนัก จึงยอมกระทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อมวลมนุษย์ เพื่อฉันแต่ละคน ดังนั้น เมื่อเราเห็นพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์เมื่อไร? จงรับรู้เถิดว่านั่นสำแดงถึงความรักที่มีต่อฉัน สำคัญมากเลย ไม่ใช่มวลมนุษย์เท่านั้น ตัวฉันแต่ละคน พระองค์สิ้นพระชนม์ ตายด้วยความทรมานบนไม้กางเขน มองมาที่ใคร? มองมาที่ฉัน …
โรม 5:8-10 “8 แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์ มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาป (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้ พระเจ้ายอมรับเรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ (การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของพระเจ้า (ในวันพิพากษา) เพราะพระคริสต์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู (บาป) ต่อต้านกับพระเจ้าอยู่นั้น เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้า ผ่านทางการตายของพระบุตร แน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้ เราได้คืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอดจากการเป็นทาสของอำนาจของความบาป ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ (พระเยซูคริสต์)”
“แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา มวลมนุษยชาติ และตัวฉัน โดยยอมส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตาย เพื่อเรา” เห็นไหม? ชัดเจนเลย ตายเพื่อเรา ในขณะที่เราเป็นคนดี กระทำความดีมากๆ หรือ? เปล่า ในนี้บอกว่าทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่
คนบาปคือใคร? คนบาป คือคนที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ไม่เอาพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เกลียดพระเจ้า ในขณะที่เราเกลียดพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นคนบาป สกปรกเหล่านั้น พระเยซูคริสต์รักเรา ถึงขนาดยอมตาย เพื่อเรา นี่เห็นชัดเจนเลยนะ
ตอนนี้พระเจ้ายอมรับเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์ ตอนนี้ คือตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน วันศุกร์ประเสริฐ วันนั้นแหละ เป็นวันที่พระเจ้ายอมรับเราว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เราไม่ได้เป็นหนี้บาป เรารอดพ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว เราไม่ถูกลงโทษแล้ว ในวันพิพากษา ในนี้จึงบอกว่ายิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ ไม่ใช่พระเจ้าโกรธ แต่ความโกรธ หมายถึงการลงโทษทัณฐ์ตามกฎบัญญัติของพระเจ้า ในทางฝ่ายวิญญาณ คือคำพิพากษานั่นเอง เราจะรอดพ้นจากคำพิพากษาลงโทษ เพราะว่าเป็นบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ก็เหตุเพราะพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างแน่นอน และถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู เป็นบาป ต่อต้านพระเจ้าอย่างนั้น เรายังไม่ได้รับการรักษาให้กลับคืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้า ผ่านทางการตายของพระเยซูคริสต์ พระบุตร แน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้เราได้คืนดีกันกับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอดจากการเป็นทาสของอำนาจของความบาป ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์
มี 2 อย่าง นี่เป็นข่าวดีมาก ทั้งสองอันนี้ มนุษย์แค่เชื่อในข่าวดีเท่านั้น นี่เป็นข่าวดีมาถึงมนุษย์ว่าพระเจ้าได้ทำอย่างนี้กับมนุษย์ พระเยซูจึงมาประกาศข่าวดี ไม่ได้มาสอนให้เรากระทำความดี เพราะมีคนสอนเยอะแยะอยู่แล้ว โมเสสก็สอน เป็นต้นฉบับของคำสอนทางศีลธรรมของโลกนี้เลย ในบัญญัติที่เขียนไว้ แล้วก็มาเรื่อยๆ ศาสนาต่างๆ ก็สอนหมด เรื่องศีลธรรม พระเยซูไม่ได้มาสอนศีลธรรม มาเพื่อประกาศว่าพระองค์จะตายบนไม้กางเขน เพราะอะไร? ยอมตาย เพราะอะไร? ยอมหลั่งพระโลหิตเพราะอะไร? ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์เพราะอะไร? และพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 จริงๆ แล้วก็บอกว่าท่านทั้งหลายจงเชื่อเถิด นี่เป็นข่าวดีจากพระเจ้า ท่านเชื่อในข่าวดีจากพระเจ้านี้หรือไม่? พระเจ้าอยากถาม พระเยซูคริสต์อยากถาม แล้วเราทั้งหลายคริสเตียน ก็อยากจะถามทุกคนบนโลกนี้ว่าท่านเชื่อในข่าวดี ที่กำลังพูดนี้หรือไม่? ข่าวดีนี้ มีเพียงแค่นี้ คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายบนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ช่วยให้ท่านรอด ไปสวรรค์ได้ เอเมน แค่เชื่อเท่านั้น
ฮีบรู 9:12 ได้ระบุไว้ดังนี้ ชัดเจนว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มีผลตลอดชั่วนิรันดร์ มีหลายข้อพระคัมภีร์เลย ผมจะยกมาเพียงแค่ข้อเดียว คือฮีบรู 9:12 จริงๆ ในบทที่ 10 เราพูดยาวเหยียด ถึงเรื่องการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระโลหิตที่หลั่งที่ไม้กางเขนของพระองค์ มีผลมาถึงมวลมนุษย์ตลอดไป เป็นนิตย์ ครั้งเดียวเป็นพอ …
ฮีบรู 9:12 “พระองค์เข้าไปในห้องที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น เพียงครั้งเดียวก็พอสำหรับตลอดไป พระองค์ไม่ได้เอาเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ได้ถวายเลือดของพระองค์เอง พระองค์จึงทำให้เรา เป็นอิสระจากบาปตลอดไป”
พระองค์ไม่ได้ถวายเลือดของพระองค์ทุกครั้งที่มนุษย์ทำบาป เปล่า! แต่ได้ถวายเลือดของพระองค์เพียงครั้งเดียว พระองค์จึงทำให้เราเป็นอิสระ จากความบาปตลอดไป ภาษาเดิม ที่เขาใช้ภาษาอังกฤษ Forever แปลว่าตลอดกาล
เป็นอิสระจากบาป คือหมดหนี้เวรกรรม คนเราเกิดมาต้องชดใช้หนี้เวรกรรม เมื่อไรจะหมดหนี้เวรกรรมสักที เราบ่นตลอดเวลา เมื่อสมัยที่เรายังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และมวลมนุษย์ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะบ่นอย่างนี้ ไม่ว่าจะออกจากปากหรือใช้ความคิดก็ตาม …
“เมื่อไรจะหมดเวร หมดกรรมสักทีหนึ่ง”
เพราะฉะนั้น ความจริงในเรื่องนี้ เราจึงเห็นว่าเพียงครั้งเดียวก็พอ สำหรับตลอดไป เข้าไปหาพระเจ้าในห้องศักดิ์สิทธิ์ เข้าไปหาพระเจ้าในสถานที่ประทับของพระเจ้า ในสวรรคสถาน เพียงครั้งเดียว ก็พอสำหรับตลอดไป พระเยซูเข้าไปครั้งเดียว เอาเลือดของพระองค์เข้าไปถวายพระเจ้า เพื่อชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของมวลมนุษยชาติตลอดไป
พระคริสต์หลั่งพระโลหิตของพระองค์ครั้งเดียวก็พอ ที่จะยกโทษบาปทั้งสิ้นของมวลมนุษย์ตลอดไป เราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่าพระเยซูตายเพื่อฉัน เคยได้ยินไหม? แต่เราไม่ค่อยได้ยินว่าฉันตายพร้อมพระเยซู น้อยมาก
ตะกี้ที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์นี้ และในข้อพระคัมภีร์อื่นๆ ที่บอกไว้ว่าพระเยซูได้กระทำสิ่งเหล่านี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว โดยใช้ภาษา ซึ่งมี tense ซึ่งถ้าภาษาไทยเรียกว่ามีกาลเวลาที่เกิดขึ้น ในข้อความที่เขียน หมายถึงได้เกิดขึ้นและได้เกิดขึ้นต่อเนื่อง และได้เกิดขึ้นถึงปัจจุบัน คือได้เกิดขึ้นในอดีต และได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน อยู่ต่อไปเรื่อยๆ มันแปลว่าอย่างนี้ โดยใช้คำภาษาไทยง่ายๆ ว่า “พระองค์ได้” ก็คือเป็นอดีตที่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ได้ยกโทษบาปทั้งสิ้น “ได้” เวลาอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้ พยายามเน้น เพราะบางครั้ง บางเวอร์ชั่นของภาษา แปลเป็นไทยแล้วตกหล่นคำว่า “ได้” มันก็เลยไม่ชัดเจน แต่จริงๆ แล้วความสำคัญอยู่ตรงคำว่าได้ สำคัญมากเลย เมื่อเรียนรู้ตรงนี้ ท่านจะรู้ว่าตรงนี้สำคัญจริงๆ นะ
พระเยซูได้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ได้ชำระมวลมนุษยชาติจากบาปทั้งปวง ทั้งสิ้น ได้ไถ่บาปมาเรียบร้อยแล้ว ให้กับฉันมา 2,000 ปีแล้ว นั่นก็หมายความว่าฉันได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว จนมาถึงปัจจุบันนี้ และจะไปถึงอนาคตนิรันดร์ เอเมน
ก็หมายถึงตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ท่านเกิดเป็นมนุษย์หรือยัง? ยัง แต่ได้รับการไถ่แล้ว เห็นไหมมันสำคัญไหม? ท่านเชื่อพระเยซูว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์ รวมทั้งท่านด้วย พระเยซูไถ่บาปกี่ปีมาแล้ว? 2,000 ปี ท่านเกิดหรือยัง? ยังไม่เกิด แต่ว่าท่านได้รับการไถ่บาปตั้งแต่ก่อนเกิด ไถ่บาปในอนาคตไปเรียบร้อยแล้ว แล้วทำไมตอนนี้ ท่านเกิดแล้ว รับเชื่อแล้ว ได้รับการไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว ท่านจะไปกังวลถึงบาปในอนาคตว่าบาปพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้ ปีหน้า ปีโน้น ทำบาปไป ก็ไปขออภัยจากพระเจ้า พระเจ้ายกโทษให้ลูก ลูกทำบาป ซึ่งทำแน่นอน โกหก แค่คิด แค่อิจฉา นินทาชาวบ้านก็บาปแล้ว ท่านมานั่งคิดตลอดว่าฉันทำอะไรผิด ขอโทษ อภัยให้ฉันทุกวัน ต้องตื่นขึ้นมา ขออภัยโทษจากพระเจ้าทุกเช้า ก่อนนอน ทุกเย็น ท่านลืมบ้าง? อะไรบ้าง? กังวลใหญ่เลย ยิ่งเชื่อพระเจ้าไปนานๆ ยิ่งมากเท่าไร ยิ่งกังวลว่าสะสมบาปไว้เยอะแล้ว อันนั้นยังไม่สารภาพ อันนี้ยังได้สารภาพ ฉันควรสารภาพ เหนื่อย ทั้งๆ ที่บาปเหล่านั้นได้ถูกยก ถูกอภัยให้เรียบร้อยแล้ว ก่อนฉันจะเกิดด้วยซ้ำไป อภัยไปตลอดชั่วนิรันดร์ หมายถึงหลังจากวิญญาณออกจากร่าง ไปอยู่ในร่างกายใหม่แล้ว ฉันก็ได้รับการอภัยโทษ ตั้ง 2,000 ปีมาเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระเยซูจะมาปรากฏให้กับฉันเมื่อไรก็ตาม จะปรากฎตอนที่พระองค์กลับมารับมวลมนุษยชาติ ที่เชื่อในพระองค์ หรือกลับมาตอนที่วิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันก็จะเห็นพระเยซูปรากฎ ด้วยความบริสุทธิ์ ชอบธรรม สะอาด ดีพร้อม ปราศจากบาปทั้งปวง เพราะฉันได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น โดยพระโลหิตของพระเยซู ที่ชำระฉัน 2,000 ปีมาแล้ว และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป เอเมน
เห็นหรือยัง ท่านก็สบายใจ ก็ไม่ต้องห่วงว่าวิญญาณต้องออกจากร่างเมื่อไร? เราไม่รู้ ออกไปอยู่ดีๆ สะอึกนิดหนึ่ง หายใจปุ๊บวิญญาณออกจากร่างทันทีสบาย ไม่ต้องกังวล ถ้าเกิดออกไปกระทันหันอย่างนั้น ฉันลืมสารภาพบาป ฉันจะทำอย่างไร? แบกบาปออกไปพบพระเยซู ไม่มีบาปเลย เพราะว่าได้ถูกยกโทษบาปไปเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ต้องห่วง ท่านก็คิดว่าอย่างนี้ก็สบาย บางคนก็กำลังฟังอยู่ คิดอยู่ อย่างนี้ก็สบายสิ ฉันเป็นคริสเตียนฉันได้รับการอภัย ฉันก็ทำบาปตามสบาย พระเยซูบอกเชิญท่านทำไปเถอะ ท่านก็จะเป็นคริสเตียนที่ได้รับความรอด จากบาปเรียบร้อยไปแล้วจริงๆ แต่อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความเศร้าโศก เสียใจ ด้วยความทุกข์ใจ ไม่มีความสุขหรอก ขนาดไม่ใช่คริสเตียนทำบาป ยังไม่มีความสุขเลย เป็นคริสเตียน แล้วทำบาปด้วย ฝืนธรรมชาติในวิญญาณของตัวเอง ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ยิ่งทรมานกว่าอีก มันเป็นไปไม่ได้หรอก อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นนี้ อย่างที่พระคัมภีร์บอกเป็นข่าวดี เพราะว่ามนุษย์รับของขวัญนี้ ของประทานนี้ สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้บนไม้กางเขน รับฟรีๆ ง่ายๆ ก็คือแค่มนุษย์ผู้ใดเปิดใจเชื่อ และเปิดใจต้อนรับสิทธิของเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมวลมนุษยชาติ มานานมากแล้ว แค่เปิดใจต้อนรับเท่านั้นเอง กระบวนการเหล่านี้ ที่จะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นแรก หรือชิ้นที่ 2 ก็ตาม จะเกิดขึ้นในวิญญาณของเขาทันทีทันใด ก็คือได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น และได้รับการเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือบังเกิดใหม่ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้
พระคัมภีร์ใช้คำนี้ จะแปลให้ฟัง จะได้ง่ายขึ้น กระบวนการเหล่านี้เรียกว่าการบัพติศมา ในพระวิญญาณ หมายถึงการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ ซึ่งคริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องนี้มากๆ เพื่อท่านจะได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเต็มไปด้วยสันติสุข เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ในโรม บทที่ 6 ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนมาก และใช้คำนี้ด้วย คำว่าบัพติศมา ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่ท่านเห็นคำนี้ คำว่า “บัพติศมา” แปลเป็นไทยในสมองทันทีว่า แปลว่าการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เอาน้ำตาลใส่ลงไปในกาแฟ ก็คือเอาน้ำตาลบัพติศมาลงไปในกาแฟ เป็นแก้วกาแฟ มีน้ำตาลอยู่ในนั้น กาแฟและน้ำตาลเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกกันไม่ออก โรม 6:3 …
โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”
“ท่านไม่รู้หรือว่า” แปลว่าท่านควรรับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณนี้ ถูกไหม? อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าสิ่งสำคัญ สำหรับคริสเตียน คือท่านควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณอันนี้ อันที่เขาบัพติศมา สำคัญมาก ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐาน ที่คริสเตียนควรจะรับรู้ ไม่ใช่ต้องรับรู้ ถึงท่านไม่รับรู้ แต่ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้รับความรอดอยู่แล้ว แต่ถ้าท่านรู้ ทำให้ท่านมีสันติสุข มีชัยชนะ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และได้ประกาศข่าวประเสริฐอันแท้จริง 100% ของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของท่าน เพราะฉะนั้น ท่านควรจะรับรู้ ควรจะถูกสอน ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนี้ พื้นฐานของคริสเตียนที่ควรจะรับรู้นี้ คือเรื่องการบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ท่านลองคิดดูสิ เท่าที่เราผ่านมา ประสบการณ์ของเรา
เราเห็นคริสเตียนได้ถูกสอนในเรื่องนี้ไหม? เราเองก็เคยผ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่อดีต พอเชื่อพระเจ้า ไม่มีใครอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้เราเห็นชัดเจน มีแต่ พอมาเชื่อพระเจ้าก็สอนเรื่องเฝ้าเดียว เรื่องอธิษฐาน เรื่องอ่านพระคัมภีร์ เรื่องให้เวลากับพระเจ้าเยอะๆ เรื่องถวายสิบลด ถวายอย่างไร? เรื่องทำศาสนกิจทำอย่างไร? ร้องเพลงนมัสการอย่างไร? ร้องเพลงในวิญญาณอย่างไร? ให้ออกไปรับใช้พระเจ้า ให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้มีความประพฤติที่ถวายเกียรติกับพระเจ้า ให้มีศีลธรรมที่ดี เป็นที่พอใจของพระเจ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ไม่ดี ไม่ใช่ว่าไม่สอน ไม่ใช่ มันดีอยู่ แต่ตัวสำคัญกว่านั้น ที่ควรจะรับรู้กลับไม่รู้ ซึ่งคริสเตียนในอดีต สมัยที่เปาโลกำลังเขียนจดหมายฝาก ส่วนใหญ่เขารับรู้เรื่องโลกวิญญาณในการบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์มากกว่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เพราะเรื่องเหล่านี้ ที่ตะกี้นี้บอกว่าดีๆ เป็นเรื่องที่มนุษย์ตั้งขึ้นมา ศาสนกิจต่างๆ เหล่านั้น เพราะไม่รู้จะสอนอะไร? เพราะถ้าไม่สอนเรื่องโลกวิญญาณ มันก็ไม่รู้จะสอนเรื่องอะไร? มันก็ต้องกลับมาสอนแบบที่มนุษย์เขาสอนกันทั่วๆ ไป ก็คือศีลธรรม ความดีงาม ความประพฤติ อะไรต่างๆ ซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้เน้นถึงเรื่องนี้เลย
พูดอย่างนี้ หลายท่านคงคิดว่าเราสอนให้ไม่สนใจความประพฤติหรือ? ไม่ใช่ ไปอ่านพระคัมภีร์ดูก็ได้ว่าเขาเน้นเรื่องอะไรให้เรารู้ อาจารย์เปาโลเขียนในหนังสือเอเฟซัสบอกว่าข้าพเจ้าวิงวอนอธิษฐานเสมอๆ ตลอดเวลา เพื่อให้ท่านทั้งหลาย คริสเตียน ผู้เชื่อใหม่ มีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณแห่งการสำแดงคาวมรู้ เรื่องราวเกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าฤทธิ์เดชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย และฤทธิ์อำนาจนี้กระทำการงานอยู่ในตัวท่านเป็นอย่างไร? พระคริสต์อยู่ในท่าน แล้วท่านอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นอย่างไร? บัพติศมาในพระคริสต์เป็นอย่างไร? ท่านควรจะรับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉันอยากให้เธอรับรู้มากเลย ฉันจึงอธิบายๆ จนกว่าจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่ามีคริสเตียนจำนนไม่น้อยเลย ที่รู้เรื่องศาสนกิจ เคร่งครัด ช่ำชองในข้อพระคัมภีร์ต่างๆ เยอะแยะ หรือจะให้คนอ่านพระคัมภีร์เอย ศึกษาพระคัมภีร์ แต่ไม่รู้ ไม่เข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับการบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่เข้าใจ อาจารย์เปาโลจึงไม่อยากให้ท่านทำอย่างนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกผู้เชื่อใหม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านรู้หรือไม่รู้ ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่าท่านรู้หรือไม่ว่าพระคริสต์อยู่ในท่าน และท่านอยู่ในพรคริสต์ นี่คือพยานหรือหลักฐานสำคัญของคนเป็นคริสเตียน ทุกวันนี้ท่านลองไปถามคริสเตียนเก่าแก่ หรือที่เป็นคริสเตียนแล้ว รู้สึกปฏิบัติศาสนกิจเคร่งครัดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ลองไปถามดูว่าพระคริสต์อยู่ในท่านหรือไม่? แล้วท่านอยู่ในพระคริสต์หรือไม่? ท่านมั่นใจขนาดไหน? ตรงนี้เป็นตัวสำคัญว่าเขาได้รับข่าวประเสริฐที่แท้จริงหรือไม่? อย่างไร?
เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่มาบอกว่าอะไรดีกว่าอะไร? ไม่ใช่ แต่กำลังบอกว่าสิ่งสำคัญที่คริสเตียนควรเรียนรู้อยู่ที่ไหน? การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ การตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ไม่ใช่เฉพาะฤทธิ์อำนาจ ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่เป็นฤทธิ์อำนาจ ที่เกิดขึ้นในตัวของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เดินไปไหนมาไหน? ฤทธิ์อำนาจของการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน อยู่ในตัวของผู้เชื่อทั้งหลาย เราลองมาดูข้อต่อไป โรม 6:4 …
โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้า ได้ทรงให้พระคริสต์ เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”
“ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์” ตรงคำพูดเป๊ะ ไม่ใช่เปรียบเปรย ไม่ใช่อุปมา แต่เป็นเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณว่าดังนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันในความตาย
ตะกี้นี้ ข้อ 3 บอกว่าเราตายพร้อมพระองค์ พระเยซูคริสต์ตายบนไม้กางเขน อันนี้ใครๆ ก็สอนอย่างนี้ เราก็รับรู้อย่างนี้ พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อฉัน พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน แต่รู้หรือไม่ว่าความจริง คือพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน ฉันก็ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย อันนี้ยากแล้ว ไม่ยาก ถ้าเราเรียนรู้พื้นฐานไปเรื่อยๆ เราจะเข้าใจในเรื่องนี้ แต่ยาก ถ้าเราไม่เข้าใจในเรื่องนี้ แล้วเราไปให้ความสนใจกับเรื่องอื่น มันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ สนิทสนมกันขนาดไหน? เดี๋ยวเราจะได้เห็นชัดเจนขึ้นว่าเราสนิทสนมกันกับพระเยซูคริสต์มากขนาดไหน? มากขนาดเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เราถูกแยกออกมาหรือ? ไม่แยกออกมา เราตายพร้อมกับพระเยซู ตายพร้อมกัน ตายร่วมกันเลย พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราร่วมกับพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ฉันก็เชื่อตามนั้น ฉันไม่ใช้เหตุผลของมนุษย์ว่าฉันจะไปตายกับพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ฉันยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ พระวิญญาณจะค่อยๆ สำแดงให้ท่านได้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อท่านรู้แล้ว ท่านก็จะเปลี่ยนไป ท่านก็ไม่แสวงหาความสนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ ท่านก็จะไม่พยายามทำชีวิตให้ใกล้พระเยซูคริสต์หน่อยนะ วันอาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้มา มาก็ไม่ได้มาประจำ ต้องมาให้ประจำ ท่านจะได้สนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ใกล้พระเยซูคริสต์มากขึ้น อย่างนี้ ท่านต้องอธิษฐานเยอะๆ นะ เพื่อจะได้อยู่ใกล้พระเยซูคริสต์ จะได้สนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ ถึงท่านไม่ทำอะไรเลย แค่เปิดใจเชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็สนิทอยู่กับท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับท่านแล้ว เพียงแค่รับรู้เท่านั้นเอง แล้วก็ให้พระวิญญาณนำท่านไป
ดังนั้น เราทั้งหลายจึงได้ถูกฝังอยู่กับพระองค์ โดยการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อเราเองจะได้มีชีวิตบังเกิดใหม่ เช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจในพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระองค์ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้ตายพร้อมพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เราอยู่ในพระคริสต์ เราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ด้วย สมการง่ายๆ นิดเดียว อย่างที่บอกว่าในพระคัมภีร์ตรงนี้เขียนชัดเจน ถึงกาลเวลาที่เกิดขึ้น
ดังนั้น เราได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ กี่ปีแล้ว? 2,000 ปี พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตายมากี่ปีแล้ว? 2,000 ปี โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติ พระสิริ เพื่อว่าเราเองจะได้มีชีวิต จะได้ ก็คือ เราเองที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้องรับสิทธิของเรา เหตุการณ์เหล่านี้ถึงจะเกิดขึ้น ในชีวิตของเรา ก็คือเราก็จะได้ จะได้เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้ยินข่าวดีนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ แล้วก็เปิดใจต้อนรับสิ่งนี้ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เปิดใจรับเอาแค่นั้นเอง ก็จะได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
ง่ายนิดเดียวเองเห็นไหม? ในโลกวิญญาณจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย มาดูข้อ 5 ต่อไป เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น โรม 6:5 …
โรม 6:5 “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”
นี่ยิ่งชัดเจนเลย “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม” ก็คือได้บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตายที่ไม้กางเขน วิญญาณของเราตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน “แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน” พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ฉันก็เลยเป็นขึ้นด้วย เอเมน
พระเยซูบอกว่าอย่างไรตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวประเสริฐ พระเยซูบอกว่าถ้าท่านไม่ปฏิเสธตัวเอง ก็คือปฏิเสธตัวตนเก่า ก็คือรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และก็ไม่อยากจะเป็นคนบาป ก็คือปฏิเสธตัวเอง ด้วยการแบกกางเขนของท่าน แล้วตามพระองค์มา พระเยซูบอกว่าท่านต้องปฏิเสธตัวเอง คือไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ เป็นคนบาปอย่างนี้ต่อไปแล้ว อยากจะมีชีวิตใหม่ ก็ให้ท่านแบกกางเขนของตน ก็คือแบกเอาความบาปของตนที่เป็นตัวเราเองเป็นคนบาป แล้วเราไม่อยากจะเป็นคนบาปต่อไปแล้ว แบกกางเขนของตน แล้วตามพระเยซู ไปที่กลโกธา เนินเขาหัวกะโหลก ที่เขาตรึงพระเยซูคริสต์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่เรากำลังมาฉลองนี้ มาฉลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่กลโกธา พระเยซูคริสต์ประกาศให้โลกได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และกำลังยอมหลั่งพระโลหิต และยอมตาย บนไม้กางเขน ให้มนุษย์ทั้งหลายแบกกางเขนของตนเอง แบกความบาปของตนเอง ตามพระองค์ไปตายพร้อมพระองค์ ที่ไม้กางเขน ตัวบาปของเรานั่น ตายไปพร้อมพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน พิสูจน์โดยการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และในวันที่ 3 เราผู้ซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ไปแล้ว วันที่ 3 เราก็ได้รับการเป็นขึ้นจากความตาย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราจึงเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน
– พระเยซูเป็นอะไร? ฉันก็เลยเป็นด้วย เอเมน
– พระเยซูคริสต์ตาย ฉันตายด้วย
– พระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ฉันถูกฝังด้วย
– พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ฉันเป็นขึ้นด้วย
โรม 6:6 ยิ่งชัดเจน …
โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”
เห็นไหม? ชัดเจนไหม? เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ที่เป็นบาปอยู่นั้น ที่เราแบกกางเขน ที่เราเอาตัวบาปที่อยู่ในอาดัม ที่เกิดมา บัพติศมาอยู่ในอาดัมนั้น เป็นหนึ่งเดียวกับอาดัม อาดัม คือบรรพบุรุษคนแรกของเราที่นำบาปเข้ามา เชื้อบาปที่อยู่ในเรา ที่อยู่ในอาดัมนั้นได้ถูกตรึงไว้ ก็คือตายกับพระองค์แล้ว ตัวเก่าของเรา ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วอยู่ในบาปนั้น ได้ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป ก็คือตายจากบาปไป มันตายไปแล้ว หมดเลย เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป ก็คือเราไม่ได้อยู่ใต้บาป เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป เอเมน
เราไม่ได้เป็นคนบาป เพราะว่าตัวเก่าเราที่เป็นบาปนั้น มันได้ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ เราได้มีชีวิตอยู่ เป็นชีวิตของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นชีวิตของเราเลย ชีวิตเก่าของเราตายไปแล้ว …
โรม 6:7 “เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”
พูดง่ายๆ ก็คือเพราะว่ามนุษย์ผู้ใด ที่วิญญาณเก่าของเขาตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นอิสระจากบาป ก็ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป เขาได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว เพราะเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เอเมน
วันอีสเตอร์ เราจึงมาฉลองไง ที่ฉลองสำคัญที่สุด ก็คือไม่ใช่พระเยซูคริสต์ตาย ไม่ใช่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายเท่านั้น จึงฉลองได้ แต่ฉลองไปด้วยความเศร้าๆ แต่ถ้าเรารู้ความจริง เราจะฉลองว่าพระเยซูคริสต์ตาย เราก็ตายด้วย พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็ฉลอง แล้วเราฉลองหนักกว่านั้นอีก คือเราเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน
เมื่อวิญญาณเก่าเราตาย ตัวเก่าเราตายไปเรียบร้อยแล้ว บางคนบอกว่าทุกวันต้องคิดกำจัดตัวเก่า กิเลสตัณหาเก่าๆ มันครอบครองในใจ ต้องตายต่อตัวเอง ต้องตายต่อเนื้อหนัง ไม่ใช่ตายต่อเนื้อหนัง มันไม่มีเนื้อหนังในตัวเราแล้ว เราเป็นคนใหม่แล้ว มันมีแต่อิทธิพลของโลกนี้ ที่เป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่ไม่ใช่ตัวเรา อิทธิพลนี้พยายามที่จะหลอกล่อ ดึงดูด ผลักดันให้เรากระทำตามมัน ไม่ใช่ตัวเราเป็น
เพราะว่าคริสเตียน คือผู้ที่ได้แบกกางเขนของตน ตามพระเยซูไปที่กลโกธา ตายร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ตัวเก่าที่เป็นคนบาป ติดเชื้อบาปจากอาดัม ได้ตายไปแล้ว ถูกขจัดออกไปแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว ท่านเชื่อเรื่องนี้หรือไม่? ตอบว่า “เอเมน”
ถ้าท่านได้ยินใครพูดในเรื่องถ้อยคำพระเจ้าให้ท่านฟังว่า …
“ท่านยังเป็นคนบาปอยู่นะ ท่านยังเป็นคนสกปรก ยังทำบาปอยู่”
ท่านตอบว่า … “ไม่เอเมน”
“อ้าว! ไม่เอเมนได้อย่างไร? ตะกี้นี้เธอยังทะเลาะกับชาวบ้านเขาเลย เธอยังประพฤติไม่ดีเลย”
“นั่นคือความประพฤติของฉัน แต่ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉันเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์”
เราต้องยืนกรานไว้เช่นนั้น ใน 1 ยอห์น 4:17 ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าต้องยืนกรานไว้อย่างนี้ ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันอาจจะประพฤติตัวอะไรต่างๆ ไม่สมกับการเป็นลูกของพระเจ้าก็ตาม แต่ในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจริงนั้น ขณะนี้กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันได้สะอาด บริสุทธิ์ ทั้งวิญญาณและจิตใจ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย …
1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ ที่เหมือนกับวิญญาณ และจิตใจของพระคริสต์”
“ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้” ก็คือการบัพติศมาในพระเยซูคริสต์นี้ เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ ทำให้เกิดอะไร? ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น ท่านเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นเหมือนกับวิญญาณ ความคิดจิตใจของพระคริสต์ เป็นเหมือนกันเลย สะอาดเท่ากับพระคริสต์ พระเจ้ารักท่านเท่ากับพระคริสต์ พระเจ้านับท่านเป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อม เท่ากับพระคริสต์ พอไหม? ท่านต้องทำอะไรเพิ่มไหม? ท่านต้องทำอะไรให้มันบริสุทธิ์เพิ่มไหม? หรือทำอะไรให้มันสมบูรณ์เพิ่มขึ้นไหม? เมื่อท่านเป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว ไม่ต้อง ท่านต้องพยายามฝึกฝนในศาสนกิจต่างๆ ในการอดอาหาร ในการอดกิเลสตัณหาเนื้อหนัง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในการถวายทรัพย์ การอ่านพระคัมภีร์ ในการอธิษฐานระยะยาว อะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ท่านต้องพยายามทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อให้ท่านสมบูรณ์ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าจะรับท่านได้หรือไม่? ตอบ ท่านก็รู้แล้ว
และตัวใหม่ของเรา ที่บอกว่าเป็นเหมือนพระคริสต์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เรามาอ่านตรงนี้ เอเฟซัส 2:4-6 พูดถึงเลยว่าตอนนี้เราอยู่ที่นี่ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า นี่คือความจริงที่จะต้องเรียนรู้ ที่จะต้องรับรู้ เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว …
เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”
และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์ ได้ทรงทำให้เรา ทำเสร็จเรียบร้อยหรือยัง? เรียบร้อยแล้ว และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นจากความตายกับพระคริสต์ เป็นขึ้นหรือยัง? เป็นขึ้นแล้ว
เดี๋ยวผมจะอ่านและเน้นตรงนี้ให้ท่านฟังว่า “ได้” มันสำคัญอย่างไร? “แต่เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง โดยพระคุณ และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา บังเกิดใหม่กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์” เอเมน
เพราะฉะนั้น ตอบ ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้? ตามตามองเห็น ร่างกายเราอยู่แพรกษา แต่ตามความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ใหญ่ขนาดไหน? ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน เราอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานร่วมกับพระคริสต์แล้ว
โคโลสี 3:1-4 พระคัมภีร์จึงได้เขียนไว้อย่างนี้ว่าเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว มันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว เราเป็นคริสเตียน เราควรจะรับรู้เรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากๆ กว่าอย่างอื่น ลองอ่านดู …
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”
นี่คือพระคัมภีร์แนะนำให้คริสเตียนทำอย่างนี้ ตลอดชีวิตของเราที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ ทำอย่างนี้ คือในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว คือเมื่อท่านรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ก็คือที่พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์นั่นเอง คิดใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก บางคนคิดถึงสิ่งฝ่ายโลก ก็คือกิเลสตัณหา ความชั่วต่างๆ มันไม่ใช่แค่ความชั่วอย่างเดียว มันหมายถึงความดีงามด้วย อย่าจดจ่อไปที่ความดีอะไรต่างๆ ต้องสะสมความดี ไม่ใช่ว่าไม่ทำดี ไม่ใช่ไปส่งเสริมไม่ให้ทำดี ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกให้เรากระทำดี ความประพฤติดี ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า แต่ไม่ให้จดจ่อ ก็คือไม่ให้เราไปจดจ่อที่ความประพฤติ การกระทำ เพราะเราจะถูกหลอกว่านี่คือความจริงของพระเจ้า ผู้ที่ได้เป็นแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติบนโลกใบนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะถูกหลอกในเรื่องศาสนกิจ เรื่องอะไรต่างๆ ของบนโลกใบนี้ อันนี้ก็ต้องทำ อันนั้นก็ต้องทำ เพื่อจะสะสมให้เราเป็นคนดีมากขึ้น เราก็จะมีความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณน้อยไปเรื่อยๆ ข่าวประเสริฐก็จะเสียหายไปเรื่อยๆ เราก็จะไม่ได้รับพระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในการเป็นคริสเตียน ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยสันติสุขและเต็มไปด้วยชัยชนะอย่างแท้จริง เราก็จะเป็นคริสเตียน ที่หวาดหวั่น กลัวๆ ตลอดเวลา เพราะท่านตายแล้ว ตัวเก่า วิญญาณท่านตายไปแล้ว บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ถูกซ่อนอยู่ หมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณเรากับวิญญาณพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า พระเจ้าตรีเอกานุภาพ อยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน คิดใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ ตลอดเวลา มากกว่าที่จะ ใคร่ครวญถึงโลกใบนี้ว่า …
“ฉันต้องทำอย่างนั้น เพื่อให้อยู่กับพระคริสต์ ใกล้ๆ ฉันต้องอธิษฐานเยอะๆ เพื่อจะได้อยู่ใกล้พระคริสต์ ฉันควรจะอ่านพระคัมภีร์มากๆ เพื่อจะได้อยู่ใกล้พระคริสต์ ฉันต้องรับใช้พระเจ้ามากๆ เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ พระคริสต์ ไม่ทำอะไรเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ฉันก็อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉันและฉันอยู่ในพระคริสต์” เอเมน
เพราะฉะนั้น เราต้องใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ ตลอดวันคืนของเราบนโลกใบนี้ จนกว่าวิญญาณเราจะออกจากร่าง ไปพบกับความเป็นจริง ที่เราคิดอยู่นั้น มันเป็นจริงอยู่ นึกออกไหม? เราเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ แล้ว วิญญาณเราออกจากร่าง คือเปลี่ยนมิติโลกวิญญาณ ก็เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ คืออยู่กับพระคริสต์ แล้วพระคริสต์อยู่ในฉัน สนิทสนมกันมาก ให้ท่านใคร่ครวญ จดจ่อสิ่งเหล่านี้
สรุปให้ นี่คือตัวอย่าง หลับตาแล้วพูดตามผม … “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ บังเกิดจากหน่อเชื้อ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า และพระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่ฉันได้เข้าส่วนร่วมรับกับพระองค์ ตั้งแต่บัดนี้ บนโลกนี้ จนถึงโลกหน้านิรันดร์ ได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเข้าครอบครองโลกใหม่กับสรรพสิ่งใหม่ ที่จะทรงสร้างขึ้น ได้ครอบครองร่วมกับพระองค์นิรันดร์” เอเมน
“เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว
เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”
นี่แหละคือเป็นขึ้น แปลว่าอย่างนี้ ต่อไปนี้ ท่านร้องเพลงนี้ ท่านร้องได้เต็มที่เลย มันเกิดขึ้นแล้ว ฉันเป็นอย่างนี้แล้ว มันชื่นใจไหมล่ะ ท่านก็จะฉลองอีสเตอร์จากนี้ต่อไปทุกปีๆ ทุกวันด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยความเชื่อมั่นคงแข็งแกร่ง ไม่ใฝ่หา จดจ่อที่โลกใบนี้อีกต่อไป ไม่ว่าโลกนี้จะแย้งกับท่านอย่างไร? ท่านบอกว่าโน ไม่ใช่ ฉันเป็นอย่างนี้แหละ ที่ฉันคิด ที่เกิดขึ้นกับฉันแล้ว คือฉันเป็นขึ้นพร้อมพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูเป็นอย่างไร? ฉันเป็นอย่างนั้นด้วย เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ
******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ สถิตอยู่ในท่านหรือเปล่า?
1. สถิตอยู่
2. ยังไม่สถิตอยู่
3. ไม่แน่ใจ
เลือกหนึ่งข้อ
โรม 8:10 … “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาป และความตาย แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว)”
โรม 8:11 … “และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงได้ชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”
ถ้าพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในเราแล้ว
ฟิลิปปี 3:20-21 … “20 เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”
พระเจ้าอวยพรครับ