วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1461

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  มีนาคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 4.2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ ชื่อซีรี่ย์ว่า “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อแล้ว”

            ตอนที่ 1 ก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง  หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ

            ตอนที่ 2 ก่อนเชื่อ อยู่ในอาดัม        หลังเชื่อ อยู่ในพระคริสต์

            ตอนที่ 3 ก่อนเชื่อ เป็นทาสบาป     หลังเชื่อ เป็นทาสพระคริสต์

            ตอนที่ 4 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนเชื่อ อยู่ในความมืด    หลังเชื่อ อยู่ในความสว่าง

            ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้กันแล้วว่าก่อนเชื่อ อยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง  เราได้เรียนรู้ไปบ้างส่วนหนึ่ง  ในเรื่องเกี่ยวกับสถานที่อยู่ของเราว่าเราอยู่ที่ไหน?  มืดหรือสว่าง เราได้เรียนรู้ถึงเรื่องเกี่ยวกับความมืดและความสว่างว่าความมืดมาจากไหน?  ความสว่างมาจากไหน?  และความมืดและความสว่างนี้ หมายถึงอะไร? หมายถึงใคร?

            ทบทวนกันอีกนิดหนึ่ง  เพื่อจะได้เริ่มต่อวันนี้  ครั้งที่แล้วนั้น ได้เรียนรู้ว่าตอนที่พระเจ้าสร้างโลกนั้น พระองค์ทรงตรัสว่าเราจะสร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา คือเหมือนพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ สร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา และทรงให้พระคริสต์เป็นพลังชีวิต เป็นพลังแห่งความสว่างให้กับบรรดามนุษย์ ที่พระองค์ทรงสร้าง

            คำว่า “เป็นพลังแห่งชีวิต เป็นพลังแห่งความสว่าง” หมายความว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง จำเป็นต้องได้รับพลังนี้ เพื่อให้มีสภาพเหมือนพระเจ้า เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ เราได้เรียนรู้ครั้งที่แล้วนะว่าพระประสงค์ของพระเจ้า คืออะไร?  คือให้มนุษย์เป็นลูกของพระองค์ ดีงาม โดยที่พระองค์ทรงสร้างให้เขาดีงาม  โดยรับพลังชีวิต ความดีงาม  ความบริสุทธิ์จากพระคริสต์ จากพระองค์ แต่มนุษย์ไม่ทำตามนี้ ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งการไม่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า  การตัดสินใจออกไปอยู่ด้วยตัวเอง เรียกว่าบาป จำได้ใช่ไหมครับ?

            ครั้งที่แล้วผมได้เปรียบเทียบให้ฟังว่าหลอดไฟที่ถูกสร้างขึ้นมา ถ้าเผื่อไม่มีพลังงานไฟฟ้า ไม่มีกระแสไฟฟ้า หลอดไฟ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่มีพลังงานไฟฟ้า ที่ทำให้เกิดความสว่าง มันก็ไร้ค่าใช่ไหม? เหมือนครั้งที่แล้วที่ผมยกตัวอย่าง เหมือนเครื่องบิน จะสร้างลำใหญ่โตขนาดไหน? สวยงามขนาดไหน? ก็ไร้ค่าใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีพลังงานจากน้ำมัน เชื้อเพลิง ที่ผู้ออกแบบสร้างไว้ว่าต้องมีตรงนี้  ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ  แต่เรามองดูด้วยตา สวยงามมากเลย  น่าจะอย่างโน้น น่าจะอย่างนี้  แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีพลังงาน อยู่ในนั้น ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่ามนุษย์ทั้งหลาย  เป็นเหมือนตะเกียง ซึ่งพระเจ้าสร้าง ตะเกียงจะจุดติด และให้ความสว่างได้ ต้องมีน้ำมัน นี่พระเยซูยกตัวอย่างเอง

            มนุษย์ที่เปรียบเหมือนตะเกียง จึงจำเป็นต้องมีพระคริสต์ พระเยซูประกาศเองว่าท่านทั้งหลายต้องมีเรา  จึงจำเป็นต้องมีพระคริสต์ เข้ามาเป็นพลังชีวิต เป็นน้ำมันอยู่ ทำให้เกิดความสว่างได้ 

            “หลอดไฟที่ไม่มีพลังไฟฟ้า เครื่องบินที่ไม่มีน้ำมัน ไร้ค่าฉันใด มนุษย์ที่ไม่มีพระคริสต์ เป็นพลังแห่งชีวิต ก็ไร้ค่าฉันนั้น”

            ผมพยายามที่จะหาตัวอย่าง อธิษฐาน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องโลกวิญญาณ  จะเข้าใจลำบาก ก็ต้องยกตัวอย่างสิ่งที่มันเกิดขึ้น ที่เราเห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้ แบบที่ตามองเห็นได้  เอามาเปรียบเทียบให้ดู เพื่อจะทำให้สิ่งที่เข้าใจยากในโลกวิญญาณ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น  เพราะข่าวประเสริฐของพระเจ้ามันไม่ได้ยากเย็น อะไรเลย มันง่ายนิดเดียว ถ้ารู้เคล็ดลับที่จะเข้าใจ เรื่องราวต่างๆ

            พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ที่สวยงามเหมือนพระองค์ และมีพระคริสต์เป็นแหล่งชีวิต เห็นหรือยัง? แต่มนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง กลับต่อต้านพระองค์ ไม่ต้องการพึ่งในพระองค์ที่เป็นพระเจ้า  เห็นหรือยัง ชีวิตมาจากพระองค์ แต่มนุษย์ต่อต้าน ไม่อยากได้พระองค์ คือเราบอกไปตะกี้ว่าทำบาป ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งใจไว้  มนุษย์ก็เลยกลับไปเป็นเหมือนตะเกียงที่ไร้น้ำมัน จุดไม่ติด ไม่มีความสว่าง พอความสว่างหายไป อะไรมาแทนที่ … มันก็เหลือแต่ความมืด  พระเจ้าไม่ได้สร้างความมืดนะ พระเจ้าสร้างความสว่าง เราเห็นห้องนี้ พอผมปิดไฟปุ๊บ มันเกิดอะไรขึ้น? มืด

            พระเจ้าสร้างความมืดไหม? ไม่ใช่ สว่างมันหายไป กลายเป็นความมืด และด้วยความรัก ความเมตตาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระองค์จึงได้ทรงทำพระประสงค์ของพระองค์ให้เป็นไปตามนั้น โดยการเข้ามาช่วยเหลือให้มนุษย์กลับไปตามเป้าหมาย พระประสงค์ของพระองค์เหมือนเดิม คือต้องการให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างกลับมาสวยงาม ดีพร้อม บริสุทธิ์ เป็นแสงสว่างเหมือนพระองค์อย่างเดิม พระองค์จึงทรงประทานพลังชีวิต ประทานความสว่างให้กับบรรดามนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ถึงแม้พระเจ้าจะพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้มนุษย์รับพลังชีวิต คือได้รับแสงสว่างอีกครั้ง แต่ก็ยังมีมนุษย์ที่ไม่ยอมรับ ไม่ยอมพึ่งพาในพลังแห่งชีวิตนี้ ยังคงต้องการ หาวิธีปั่นไฟ หาน้ำมันด้วยตนเอง เพื่อจะเติมตะเกียงชีวิตของตนเอง ด้วยตนเองอยู่ ซึ่งเราก็เรียนรู้จากชีวิตในปัจจุบันแล้วว่ามันดูเหมือนได้บ้าง? ดูเหมือนเป็นความสว่างบ้าง?  แต่มันเป็นความสว่างที่ติดๆ ดับๆ เพราะมันปั่นเอง พอหมดแรงปั่น ก็ค่อยๆ หมด ค่อยๆ ทำไป ซึ่งไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะทำได้  ให้เป็นแสงสว่างอันถาวรแบบที่พระเจ้าออกแบบสร้างให้ตั้งแต่แรก  เพราะว่ามนุษย์ถูกปิดบังความจริงในโลกวิญญาณ  ปิดบังความจริงว่า …

            “เธอต้องทำด้วยตัวเอง”

            ทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้หมดเลย  ให้เราพึ่งพาในตนเอง เธอไม่ดีเลย เธอต้องทำอีก แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์บอก …

            “เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้ เธอต้องมาพึ่งฉันอย่างเดียวเท่านั้นเอง”

            นี่แหละง่ายๆ ข่าวประเสริฐ ทั้งโลกอยู่ในความมืด ถูกปิดบังตาให้เราพึ่งในตนเอง ปั่นให้ตนเอง ได้ไฟเยอะขนาดนี้  แต่ในที่สุด มันก็หรี่ลง วันที่จากโลกนี้ไป ก็ดับสนิท อยู่ในความมืดเหมือนเดิม แต่พระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุขนั่นเอง

            นี่คือบทสรุปเนื้อหาจากครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าก่อนเชื่อ เราอยู่ในความมืด หลังเชื่อเราอยู่ในความสว่าง ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันไป  วันนี้เราจะมาต่อ 1 ยอห์น 1:5 …

        1 ยอห์น 1:5 “นี่เป็นเรื่องราว ซึ่งเราได้ยินจากพระองค์  และประกาศแก่ท่าน คือพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย”

            เห็นหรือยังที่ผมบอก ความมืด ไม่ได้มาจากพระองค์ ความมืดพระองค์ไม่ได้เป็นผู้สร้าง พระองค์เป็นความสว่าง ในความสว่าง ไม่มีความมืด  ความมืดมาจากไม่มีพระเจ้า  เกิดความมืดเอง

            พระเจ้าเป็นความสว่าง  ความสว่างเป็นความดีงาม เป็นความรัก  เป็นความบริสุทธิ์ ในพระองค์ไม่มีความมืด ไม่มีความชั่วร้ายทั้งปวง … ทั้งปวง ท่านคงเข้าใจนะว่าอะไรที่มันชั่วร้าย  ก็คือมนุษย์ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า  มนุษย์ทิ้งแสงสว่าง ดับไฟตัวเอง เหมือนเราปิดไฟในห้องนี้ ปิดด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาบังคับเรา ปิด แต่เราถูกหลอกโดยมารซาตาน ให้ปิดไฟ แล้วก็อยู่ในความมืด  ปิดไฟ ก็คือให้พระเจ้าไปซะ นี่เปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ ปิดไฟให้พระเจ้าไปซะ เพราะว่าถูกหลอก ให้พึ่งพาในตนเอง พูดอย่างนี้ง่ายๆ ก็คือมารหลอกบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาว่า …

            “ปิดไฟ แล้วปั่นไฟด้วยตนเอง มันเท่ห์กว่าเยอะ  พ่อจะได้ภูมิใจในเธอ เธอทำได้อยู่แล้ว เธอยอดเยี่ยมอยู่แล้ว  พระเจ้าสร้างเธอมายอดเยี่ยมอยู่แล้ว”

            หลงคารม ในที่สุด ไปเชื่อฟัง ก็พระเจ้าเตือนแล้วว่าลูกเอ๋ยอย่า เหมือนเราสอนลูกอย่าเอามือแหย่ปลั๊กไฟ อย่านะๆ พอแหย่เข้าไป แล้วเป็นอย่างไร? ไฟช๊อต ตาย ตายฝ่ายวิญญาณ ก็คือตัดขาดออกจากพระเจ้า  ไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิต คือไม่มีแสงสว่างอยู่ในชีวิตนั่นเอง แล้วพระเจ้าก็ต้องการให้เรากลับไปที่เดิม เห็นไหมครับ? มีอยู่แค่นี้เอง กลับไปที่เดิม ผ่านทางการส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยเหลือเราทั้งหลาย เพื่อที่จะย้ายเราทั้งหลาย เพื่อที่จะพาเราทั้งหลายกลับมาสู่แสงสว่าง ซึ่งคือตัวพระองค์นั่นเอง  ผู้สร้างเราทั้งหลาย  โคโลสี 1:13 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            “ในโลกวิญญาณมีอาณาจักร แห่งความมืดและอาณาจักรแห่งความสว่าง”

            มีแค่ 2 อันเท่านั้นเอง  มันมีจริงๆ  เป็นอาณาจักรจริงๆ  เป็นอยู่จริงๆ  เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรา ยังไม่ได้เชื่อ ในข่าวดี ก่อนเชื่อ วิญญาณเราต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง  เรารู้แล้ว ก็คือความมืด  หลังเชื่อ เราได้ถูกย้าย เข้ามาอยู่อีกที่หนึ่ง  ที่ไหน? อาณาจักรของพระบุตร คืออาณาจักรของพระคริสต์  ก็คือแสงสว่าง จึงได้เห็นชัดเจนเลยว่ามันมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ โดยที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่ามันไปอยู่ในโลกวิญญาณ  ตัวเราเองมองในกระจกก็ยังเหมือนเดิม อยู่ในบ้าน ก็บ้านเดิม อยู่ในประเทศไทย ก็เหมือนเดิม

            แต่ในนี้บอกว่าเราได้ถูกย้ายมาอยู่ในโลกวิญญาณอันใหม่ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งพระบุตร  คือพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในแสงสว่าง ในพระคัมภีร์บอกว่าแสงสว่างนี้ คือสวรรค์ที่พระเจ้าสถิตอยู่ พระเยซูบอกไม่มีทางไหนเลย ที่ท่านจะได้รับแสงสว่างนี้ ท่านจะไปหาพระบิดา คือแสงสว่าง เจ้าของสวรรค์ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือวางใจในเรา เราเป็นทางเดียวเท่านั้น  เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่ในความสว่าง  หรือที่เรียกว่าพระคริสต์แล้ว  ในขณะที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  ตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระ แยกออกมาจากโลกแห่งความมืด  ทำไมต้องได้รับการชำระ เพราะว่าแสงสว่างจะไปอยู่กับแสงสว่างได้ มันต้องบริสุทธิ์ มืดๆ เข้าไปในแสงสว่าง มืดๆ ก็หายไป  มันเข้ากันไม่ได้  เพราะฉะนั้น ต้องเปลี่ยนความมืดนั้นให้เป็นความสว่าง  จึงเข้ามาอยู่ในความสว่างได้ เป็นความสว่างเหมือนๆ กัน นึกภาพออกนะ

            ซึ่งตั้งแต่วันนั้น วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปอยู่ในความสว่างของพระเจ้า เราไม่ได้เป็นพลเมืองของโลก ที่ปกคลุมด้วยความมืดอีกต่อไป แต่ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่างในพระคริสต์แล้ว  ก็แสดงว่าตอนก่อนเชื่อ  ก่อนที่จะถูกย้าย เราอยู่ในที่เดิม  ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ในที่เดิม  คืออยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด  ถ้าไม่ได้รับการย้าย ก็อยู่ในที่มืดนั้น ตลอดไป จนนิรันดร์ 

            เมื่อเราถูกย้ายมา เราก็ถูกนับว่าเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว ตั้งแต่ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว เราเป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว

            มันง่ายมาก จนไม่อยากจะเชื่อใช่ไหม?  แต่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้จริงๆ ลองพูดตามสิว่าท่านเขินปากไหม?

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ และจะอยู่ตลอดไป  เป็นนิจนิรันดร์ เอเมน”

            เขินปากไหม? ไปพูดให้ข้างนอกฟัง

            วิญญาณเก่า ตัวเก่าของเรา ในอดีต ที่เคยอยู่ในโลกวิญญาณ  ที่เรียกว่าความมืด ในพระคัมภีร์บอกว่าตัวตนของเราเก่าๆ  ก็คือตัวตนทางวิญญาณ ได้ตายไปแล้ว ตายไปจริงๆ คือสูญสิ้นไปเลย เป็นศูนย์ไปเลย แล้วทุกวันนี้ได้เกิดใหม่ มีชีวิตอยู่ เป็นวิญญาณใหม่ คนใหม่ อยู่ในความสว่างในพระคริสต์ ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว กำลังเดินทางไปสู่การรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใบใหม่ ที่พระเจ้าสร้าง  และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่ แทนโลกใบนี้ เมื่อโลกใบนี้สิ้นสุดลง  เรากำลังเดินทางไปที่นั่น

            เพราะฉะนั้น คริสเตียน คือคนที่อยู่ในสวรรค์แล้ว วิญญาณใหม่แล้ว ร่างกายยังเก่าอยู่ กำลังมีนัด โดยผู้นัด คือหมอใหญ่ คือพระเจ้า นัดให้เราไปเปลี่ยนร่าง คือร่างกายนิรันดร์  ที่ไม่มีวันเจ็บป่วย ไม่มีวันทุกข์ยากลำบาก ไม่มีวันตายอีกเลย ในเร็วๆ วันนี้ ถือใบนัดกันทุกคน ใบนั้น คือใบเปลี่ยนร่างกาย ให้เป็นเหมือนพระองค์ เพราะวิญญาณและใจของเราใหม่เอี่ยมอยู่แล้ว เพียงแต่สวมร่างกายใหม่เท่านั้น ก็จบกัน ทุกอย่าง เรายังอยู่ที่เดิม เอเมน

            ฉะนั้น คริสเตียน  เราได้เข้าส่วนร่วมในความสว่างด้วยกัน เราทั้งหมดที่เป็นคริสเตียนและพระคริสต์ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในสถานที่เดียวกัน  อยู่ในอาณาจักรเดียวกัน และพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าในพระคริสต์ ในสวรรค์ ในความสว่าง ในที่คริสเตียนกำลังอยู่นี้ มันยิ่งใหญ่ขนาดไหนในโลกวิญญาณ  ที่เราพูดตะกี้นี้ว่าเราอยู่ที่นี่แล้ว เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้แล้ว ในโลกวิญญาณเราอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้แล้ว ในสวรรค์ ในความสว่างในพระคริสต์แล้ว  มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  การที่เราอยู่ในสวรรค์ ที่เรามองไม่เห็น  ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? แล้วอยู่ที่นี่ไปจนกระทั่งนิรันดร์เลยนะ

            มาดูกันว่าเราอยู่ในความยิ่งใหญ่ขนาดไหนในพระคริสต์ เลือกให้ท่านอ่านดูแค่นี้ ท่านจะรู้ขณะที่อ่านไป ท่านจงมองให้เห็นเถิด ต้องบอกอย่างนี้  เพราะเป็นโลกวิญญาณ ไม่สามารถหาอะไรเปรียบเทียบให้มันชัดเจนได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เปรียบเทียบได้ระดับหนึ่ง ในความยิ่งใหญ่ เวลาพูดไป จงเห็นภาพใหญ่ ไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่เขียนไว้ ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ผมอาจจะไม่เข้าใจ ตามภาษามนุษย์ แต่ให้ฟัง ให้อ่าน โดยใช้ “จงมองให้เห็นเถิด” คือให้เปิดตาฝ่ายวิญญาณ รับรู้ว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ว่าเราอยู่ในนี้แล้ว เราเป็นอยู่ขณะนี้  เราเข้าส่วนร่วมกับพระคริสต์อย่างนี้ ในนี้ เดี๋ยวนี้ ทันทีแล้ว  และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปนิจนิรันดร์ โคโลสี 1:15-21  …

        โคโลสี 1:15-21 “15 พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง 16 เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปี ที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง 19 เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ อยู่ในพระบุตร 20 และให้ทุกสิ่ง ทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต 21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้าและเป็นศัตรูกับพระองค์ อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน”

            ผมจะเน้นเฉพาะบางข้อ  “พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” พระบุตร คือพระคริสต์ ที่เราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ในขณะนี้ เป็นส่วนหนึ่ง เข้าร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน พระองค์เป็นศีรษะ เหมือนเป็นพี่ชายคนโต เหมือนเป็นเจ้าของสำมะโนครัว  และเราเป็นผู้อาศัยอยู่ในนั้น แต่จริงๆ ไม่ได้อาศัย เราเป็นผู้ร่วมสำมะโนครัวนั่นแหละ เป็นผู้ร่วมกับพระองค์ อยู่ในครอบครัวเดียวกัน

            ในนี้เปรียบเหมือนพระองค์เป็นศีรษะ แล้วเราเป็นกาย ดูร่างกายของเราสิ  พระคริสต์เป็นศีรษะ เราเป็นอะไรก็ได้ที่อยู่ในร่างกายนี้  แล้วเราคืออวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์

            ความยิ่งใหญ่ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้  เราเข้าไปมีส่วน ไม่ใช่เรามีนะ เราเป็นอยู่ พูดง่ายๆ ว่าคุณนครไม่ใช่ศีรษะแค่นี้  แต่ว่านิ้วก้อย ก็คือคุณนครเหมือนกัน ไม่ใช่ฉันมีนิ้วก้อย เป็นอวัยวะนิ้วก้อยของคุณนคร  พระคริสต์เช่นเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ หมายถึงอย่างนี้

            แล้วท่านลองคิดดูสิ  เป็นอยู่แล้วขณะนี้  เป็นอยู่ตรงนี้แล้ว  ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว แล้วมีอะไรที่เอาเราออกไปจากที่นี้ได้ มีอะไรที่กระชากเราออกจากพระคริสต์ได้  พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้  ที่ท่านอ่านเมื่อสักครู่นี้

            ข้อ 21 ที่สรุปว่า “ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความบาป อยู่ในใจที่บาป”

            เห็นไหม? ครั้งหนึ่งเราอยู่ในความมืด  ก็คือก่อนเชื่อ  เราเกิดมา ก็อยู่ในความบาป  ถูกแยกขาดออกจากพระเจ้า ก็คือไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีพลังงาน ความสว่างอยู่เลย  ทุกอย่างแสวงหาด้วยตนเอง  พยายามแสวงหา ทำดีด้วยตนเอง ทำทุกอย่างด้วยตนเอง  พยายามกระเสือกกระสน มีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกเราเป็นแหล่งพลังงานแหล่งชีวิต นี่คือก่อนเชื่อ อ่านข้อ 22 …

        โคโลสี 1:22 “แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

            “แต่บัดนี้ ให้ท่านคืนดีกับพระองค์” เห็นไหมครับ? คือแต่บัดนี้ ให้กลับมาเป็นแสงสว่างเหมือนกับพระองค์ แต่ก่อนนี้ท่านอยู่ในความมืด แยกขาด ตอนนี้กลับมาคืนดี กลับมาอยู่ในแสงสว่าง  ก็คือหลังเชื่อ เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ท่านก็ได้เข้ามาอยู่ในความสว่างนี้แล้ว เป็นคำพูด เป็นภาษาเขียนออกมา ที่พูดถึงปัจจุบัน ไม่ใช่พูดถึงอนาคตว่าท่านจะได้ จะเป็น แต่เป็นแล้ว

            ในโลกวิญญาณมีเพียง 2 สถานที่เท่านั้น  ที่ให้มนุษย์เลือกที่จะอยู่อาศัย เลือกได้ครั้งเดียว  คือเกิดมาปุ๊บ อยู่ในความมืด  แล้วแสงสว่าง ก็ส่องมาบนโลกใบนี้  คือพระเยซูคริสต์ มนุษย์ก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะเอาแสงสว่างไหม? หรือจะอยู่ที่เดิม  จะเอาตัวช่วยไหม? ให้มีชีวิต คือพระคริสต์ หรือจะช่วยตัวเองเหมือนเดิม จะพึ่งพาพระเจ้าไหม? หรือจะพึ่งพาตนเองต่อไป มีแค่นี้เอง  มองภาพง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็คือมีแค่ 2 สถานที่ และผู้ที่ตัดสินใจ  คือตัวเราเองนั่นแหละ  ตัวเราเป็นคนจัดการเอง  มารไม่มีอำนาจ ไม่มีการพูดถึงเลย  เขาเรียกว่านอกสายตา พระเจ้ายังทำอะไรเราไม่ได้เลย มารจะทำอะไรเราได้ ถ้ามารทำได้ พระเจ้าทำได้มากกว่า จริงหรือไม่จริง พระเจ้าบังคับเราให้มาเอาแสงสว่าง บังคับได้ไหม? ทำถึงขนาดส่งพระบุตรมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย บังคับเราได้ไหม? ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเองว่าเราเลือกที่จะอยู่ในความสว่างหรืออยู่ในความมืดต่อไป มันจึงเป็นสงครามของการโกหก หลอกลวง  และต่อสู้กับความจริงของพระเจ้า ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ จึงเป็นข่าวดีเรื่องความจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่ง่ายๆ เอง คือให้เลือกเอาระหว่าง พึ่งพระเจ้าหรือจะพึ่งตนเอง  จะอยู่ในที่มืดหรือจะอยู่ในที่สว่าง จะถูกตัดขาดออกจากพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีแสงสว่างนิรันดร์ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าพินาศนิรันดร์ หรือจะมีชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้และต่อไปเป็นนิจนิรันดร์ถึงนิรันดร์เลย

            เรื่อง 2 อาณาจักรของโลกฝ่ายวิญญาณ ความมืดและความสว่าง ได้บอกไว้ตลอดมา ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องนี้ตลอดมา ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์มาเกิด จนไปถึงวิวรณ์ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเรื่องนี้เท่านั้น สรุปแล้วมีแค่นี้ มืดกับสว่าง เลือกเอา และพระเจ้าก็ต้องการให้เราเลือกความสว่าง อย่างแน่นอน

            ผมจะยกตัวอย่างข้อความหนึ่ง ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกกันว่าเผยพระวจนะ คือพระเจ้าบอกล่วงหน้า บอกว่าเราเตรียมแผนการนี้ไว้ แผนการเอาแสงสว่างมาบนโลกอีกครั้งหนึ่ง  เราเตรียมแผนการนี้ คือให้พระคริสต์เข้ามา เป็นแสงสว่างบนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มนุษย์มีโอกาสได้เลือกด้วยตัวเขาเองว่าเขาจะมาอยู่ในความสว่างหรือไม่? บอกล่วงหน้ามาตลอด นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกล่วงหน้า  ก่อนที่พระคริสต์จะมาเกิด แสงสว่างจะเข้ามาบนโลก บอกล่วงหน้าประมาณ 700 ปี ลองฟังดู นี่คือความจริง ที่พระเจ้าส่งความจริงเข้ามาบนโลกใบนี้ ส่งความจริงตลอด ทุกวันนี้ ก็ยังส่งความจริงมาตลอด สรุปทั้งหมด ทุกวันนี้ส่งความจริงมา เพราะว่าพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ส่งความจริงมาที่ข่าวดีเรื่องพระคริสต์

            “ข่าวดีเรื่องพระคริสต์” จึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของเรื่องคริสเตียน  ข่าวประเสริฐของโลกใบนี้ ทั้งใบ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเลย แต่เป็นเรื่องข่าวดีของพระคริสต์ ข่าวดีในพระคริสต์ 700 ปี บอกก่อนล่วงหน้า ความจริงที่จะเกิดขึ้น อิสยาห์ 60:1-3 …

        อิสยาห์ 60:1-3 “1 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นส่องสว่าง เพราะว่าความสว่างของเจ้า มาแล้ว และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า 2 ดูเถิด ความมืดปกคลุมโลก ความมืดมิดอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงปรากฏขึ้นเหนือเจ้า พระเกียรติสิริของพระองค์ ปรากฏขึ้นเหนือเจ้า 3 ประชาชาติทั้งหลายจะมายังแสงสว่างของเจ้า บรรดากษัตริย์จะมายังความเจิดจ้า ดั่งรุ่งอรุณของเจ้า”

            นี่เผยพระวจนะบอกล่วงหน้าว่าแสงสว่างจะเข้ามา  ก็คือพระเยซูคริสต์จะเข้ามาบนโลกใบนี้

            “เยรูซาเล็มเอ๋ย” ก็คือชาวยิว ชาวอิสราเอลเอ๋ย ที่พระเจ้าเตรียมแผนการไว้  ผ่านทางชาวยิว เพื่อจะให้พระเยซูคริสต์มาเกิด พระเยซูคริสต์ คือแสงสว่าง

            “จงลุกขึ้นส่องสว่างเลย  เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว  พระเกียรติสิริของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า”  ก็คือพระเยซูคริสต์จะมาเกิด

            “ดูเถิด ความมืดปกคลุมโลก และความมืดมิดอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ”  คืออยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งใบ  เกิดมา ก็อยู่ในความมืดแล้ว คือความจริงที่พระเจ้าบอก เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ

            “แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นแสงสว่างที่ส่องเข้ามาอยู่บนโลกใบนี้

            “พระเกียรติสิริของพระองค์ปรากฏขึ้นเหนือเจ้า” ก็คืออยู่ท่ามกลางประชากรชาวอิสราเอล

            “ประชาชาติทั้งหลาย” พูดถึงทั้งโลกเลยนะ รวมทั้งคนไทยด้วย  “ประชาชาติทั้งหลายจะมายังแสงสว่างของเจ้า” ก็คือจะมายังพระเยซูคริสต์ที่เกิดจากชนชาติยิว

            “บรรดากษัตริย์จะมายังความเจิดจ้า ดั่งรุ่งอรุณของเจ้า” คือพระเยซูคริสต์เป็นแสงสว่างที่เข้ามาฉายบนโลกนี้ และสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            หลังจากเผยพระวจนะนี้ 700 ปี พระเยซูคริสต์ก็มาเกิด ก็คือแสงสว่างมาเกิด  ส่องมาบนโลกใบนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ส่องมาบนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว

            มวลมนุษย์และโลกเคยอยู่ภายใต้ความมืดอย่างเดียวเลย  ไม่มีความสว่าง แต่บัดนี้ความสว่างเข้ามาแล้ว 2,000 ปีแล้ว รับความสว่างนั้น ทำอย่างไร?  ต้องรักษาศีลธรรมดีขนาดไหน?  ต้องรักษาความประพฤติขนาดไหนถึงจะได้ตรงนี้ ท่านก็ทราบดีแล้ว จึงเรียกว่าข่าวดี ก็คือแค่ตัดสินใจ ย้ายข้าง แค่ตัดสินใจรับความสว่าง แค่ตัดสินใจเปิดใจต้อนรับความสว่างแค่นั้นพอ

            “เปิดใจต้อนรับแสงสว่างแค่นั้นพอ”

            แสงสว่าง คือพระคริสต์  เปิดใจต้อนรับพระคริสต์ แค่นั้นพอ พระเยซูคริสต์มาเคาะประตูอยู่หน้าบ้านตลอดเวลา ประตูใจอยู่ตลอดเวลา 2,000 ปีมาแล้ว  ก็คือแสงสว่างส่องเข้ามาตลอดเลย แต่มนุษย์อยู่ในโลกของความมืด ในโลกวิญญาณ แต่แสงสว่างอยู่รอบตัวเขาอยู่แล้ว เพียงแค่เขากดสวิตช์เปิด ความสว่างเข้าไปทันที พระเยซูคริสต์เข้าไปทันที เกิดใหม่ทันทีเหมือนเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่สิ่งเหล่านี้จับต้องมองไม่เห็น พระเจ้าจึงให้เราใช้ความเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ใช่ใช้ตามองเห็น

            พอเปิดเข้ามาปุ๊บ พระคัมภีร์บอกท่านได้ตัดสินใจย้าย  พระเจ้าได้ย้ายท่าน ตัวเก่าตายไปเลยทันที ตัวใหม่ท่านได้ถูกย้ายมาที่เดิม  จากความมืดออกมาสู่ความสว่างในพระคริสต์ทันที  1 เปโตร 2:9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 2:9 “แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืด เข้าสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์”

            เห็นไหมครับ? นี่พูดถึงปัจจุบันขณะนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รับแสงสว่างจากพระคริสต์เข้าไปในชีวิตของเขาเรียบร้อย ได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นตรงนี้แล้ว แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง

            ปุโรหิตหลวง คือตระกูลของพระเยซูคริสต์นั่นเอง มีตำแหน่งหน้าที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย ปุโรหิตหลวง คือผู้บริสุทธิ์สูงสุดที่จะเข้าออกกับพระเจ้าได้สนิทสนมมากๆ เลย

            “เป็นชนชาติบริสุทธิ์  เป็นพลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

            คำว่า “ประกาศราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์” คือท่านเป็นแสงสว่างของพระเจ้า เดินไปที่ไหน? เป็นแสงสว่างอยู่ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ท่านเป็นแสงสว่างอยู่ขณะนี้แล้ว เอเมน ไม่ใช่ว่าท่านมาเชื่อแล้ว ท่านต้องพยายามออกไปประกาศความยิ่งใหญ่ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? อันนั้นทีหลัง แล้วแต่ว่าพระวิญญาณจะนำท่านได้มากน้อยเพียงใด  ก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่มันเป็นขึ้นในโลกวิญญาณ คือทันทีเลย ท่านได้เป็นแสงสว่าง ซึ่งคือพระสิริอันยิ่งใหญ่  อัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทำให้กับมนุษย์ทั้งหลาย คือทำให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่  เข้าไปในพระคริสต์ เข้าไปในแสงสว่าง อันมหัศจรรย์ของพระองค์ มันเกิดขึ้นทันที โดยการบังเกิดใหม่ มันเป็นอยู่อย่างนั้นเลย ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้ามา 2 ปี 3 ปี หรือ 1 ปี หรือเพิ่งเชื่อเมื่อวานนี้ก็ตาม ท่านเป็นดวงสว่างเท่าๆ กันหมดเลย  เป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์เหมือนกันเลย ส่วนความประพฤติจะไปประกาศแบบมนุษย์อย่างไร? ก็แล้วแต่พระวิญญาณจะนำท่านไป ท่านเข้าใจใช่ไหม?

            ผมต้องการให้ท่านได้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราทุกคน โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดใหม่แล้ว  เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไหม?

            “ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์” อันล้ำเลิศของพระองค์ คือความอัศจรรย์ อันยิ่งใหญ่สูงสุด  อันมหัศจรรย์ อันเหลือที่จะเข้าใจ เหลือที่จะคิดเลย เกิดเลย  เพราะฉะนั้น เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำท่านเอง ไม่อย่างนั้น เราอาจจะถูกหลอกต่อว่าให้เราปั่นไฟต่อ เราปั่นไฟต่อ เราก็ไม่มีโอกาสที่จะประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างแท้จริง  เรานึกว่าเราประกาศอยู่ แต่มันขวางความจริง คือเรายังเพ่ง เน้นถึงการกระทำให้มันสว่าง  เราต้องรับรู้เสียก่อนว่าเราสว่างแล้ว  เรากำลังทำอะไรก็ตาม ที่สมกับฐานะความสว่างของเรา มันกลับกัน นี่คือข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐที่เสียหายไป ก็คือเราจะเป็นความสว่าง จะสว่างมากขึ้น เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว จะสว่างมากขึ้น จะต้องทำอะไรเยอะขึ้น มากขึ้น จะต้องรักษาเนื้อตัวให้ดี เพื่อจะได้สว่างมากขึ้น มันไม่ใช่อย่างนั้น นั่นคือข่าวประเสริฐไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ นี่คือสิ่งที่ทำให้ข่าวประเสริฐมันง่ายหรือยาก คือวางใจในพระเจ้า  100% หรือยังพึ่งพาในตนเองอยู่

            สำหรับพี่น้องที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับแสงสว่าง ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าทุกวันนี้พระเจ้ากำลังขอร้องให้ท่านกลับมาหาพระองค์ซะ กลับมาคืนดีกับพระองค์ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้  “กลับมาคืนดี”

            กลับมาคืนดี แปลว่ากลับมาเป็นแสงสว่างเหมือนพระองค์ กลับมาเป็นอะไรก็ตามที่เข้ากันได้กับพระองค์แล้ว กลับมาเป็นลูกของพระองค์ กลับมาบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระองค์ กลับบ้านแห่งแสงสว่าง นี่เป็นตำแหน่ง  สถานที่ที่เราควรที่จะอยู่ ที่เป็นไปตามน้ำพระทัย ความประสงค์ของพระเจ้า  ก็คือเราอยู่ในแสงสว่างของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์นั่นเอง พระองค์ขอร้อง

            สำหรับเราคริสเตียน ที่ได้เปิดใจต้อนรับแสงสว่างแล้ว ทำอย่างไร? ลองคิดสิ เพราะเรารู้เรื่องจริง เรื่องนี้แล้ว  เรื่องข่าวประเสริฐนี้แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเปิดใจแล้ว เรารับรู้เรื่องความจริงนี้แล้ว หน้าที่ของเรา เราควรจะทำอะไร? หลายคนคิดว่าหน้าที่ของเรา ต้องอธิษฐานเยอะๆ ต้องถวายเยอะๆ  ต้องมารับใช้เยอะๆ ต้องอันโน้น ต้องอันนี้ อีกหลายต้อง ต้องอดอาหารอธิษฐานเยอะๆ ต้องอ่านพระคัมภีร์มากๆ  ไม่ใช่ไม่ดีนะสิ่งเหล่านี้  แต่คิดให้ดีๆ ว่าในโลกใบนี้ เขาสอนกันอย่างนี้ใช่หรือไม่?  ไม่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐเขาสอนกันแบบนี้  ให้ทำอันโน้นอันนี้  ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้  อย่าทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ แต่ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น บอกว่าอย่างไร?

            เราเป็นคริสเตียนแล้ว  เราเริ่มรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว หน้าที่ของเรา คือจงรับรู้เถิดว่า … จงมองให้เห็นเถิดว่าความจริงมันอย่างนี้  ท่านไม่รู้ความจริงหรือ? จงรู้ความจริงเสียเถิด ข้าพเจ้าวิงวอนขอต่อพระเจ้าทุกวัน เพื่อท่านทั้งหลาย จะได้เรียนรู้ความจริงที่เกิดขึ้น ในอาณาจักรของพระคริสต์ ที่ท่านได้อยู่นั่นแล้ว  ท่านได้นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านอยู่ที่ตรงนี้แล้ว ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้า เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้สติปัญญาท่านฝ่ายวิญญาณ และสำแดงความรู้ทางฝ่ายวิญญาณให้กับท่าน  เพื่อท่านจะได้เรียนรู้จักตรงนี้มากขึ้นๆ ทุกวันๆ  ซึ่งต่อให้จบถึงวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ ก็ไม่มีทางครบถ้วนบริบูรณ์ได้หมดหรอก แต่อย่างน้อย ก็ได้รู้มากขึ้น มากขึ้นเท่าไร? ก็คือท่านกำลังประกาศพระบารมี ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือจงรับรู้เถิดคริสเตียนเอ๋ย ท่านอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในความยิ่งใหญ่  ความอัศจรรย์อันล่ำเลิศ จนกระทั่งไม่สามารถจะเข้าใจได้ เรียนรู้ความจริงนี้ได้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ รับรู้ว่าท่านอยู่ในความสว่าง ความยิ่งใหญ่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานแล้วจริงๆ แล้วจะอยู่ที่นี่ไปจนถึงนิรันดร์ จงยึดมั่นความจริงนี้ไว้ถึงที่สุด ภาษาพระคัมภีร์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Fight a good fight of faith มันเป็นคำที่เขาชอบเอาไปใช้กันหมด แต่เขาเอาไปใช้ในแบบโลกนี้ คือต้องรักษาความเชื่อให้สูงสุดเลย เพื่อที่จะได้วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ได้ความแข็งแรง ได้ความร่ำรวย  ได้ความสำเร็จบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่ตรงนั้น

            Fight a good fight of faith คือฉันยึดมั่นความจริงนี้ว่าฉันอยู่ในความสว่าง  อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม  นี่คือความจริง

            ซึ่งการยึดมั่นในความจริงไว้ที่สุดนี้ มันเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์ของพระเจ้า ประกาศความรักของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ ด้วยชีวิตของท่าน และเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงนั่นเอง ที่พระเยซูบอก

            นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือการรับรู้ในจิตวิญญาณถึงความจริงในถ้อยคำพระเจ้า  ที่ระบุไว้ เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข เคารพ บูชา ยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก หรือสัมผัสได้ด้วยมือหรือตามองเห็น  หรือเหตุผลของมนุษย์

            มันแปลว่าอย่างนั้น นี่คือหน้าที่ของเราคริสเตียน  เช่น พระเจ้าบอกว่าเราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว เราก็รับรู้ในวิญญาณจิตของเราว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ และเราก็บอกว่าเอเมน  เราคุ้นหูบ่อย แต่เราใช้ผิด เอเมน

            เอเมน แปลว่าใช่ เป็นไปตามนั้น  อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ เลย ไม่มีคำว่าแต่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม  จะทุกข์หรือสุข กำลังโกรธหรือกำลังยินดีก็ตาม กำลังหงุดหงิดหรือกำลังมีสันติสุข  ความสุขก็ตาม กำลังอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้าย อารมณ์ไม่ดีก็ตาม เราก็รับรู้ว่าความจริง คือเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกไว้นั่นแหละ ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่สัมผัสได้ ไม่ใช่ความรู้สึก ตรงนี้ต้องฝึกเอา ตะกี้เอเมนว่าเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่างแล้ว เราเป็นความรัก เดี๋ยวออกไป แดดก็ร้อน ลูกก็ร้องไห้หิวข้าวอีก ชักหงุดหงิดขึ้นมา ลืมไปแล้วว่าเราอยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก พูดออกไป คนข้างๆ ก็บอก …

            “นี่เธอยู่ในความรักหรือ?  ทำตัวอย่างนี้”

            ก็ต้องตอบว่า “เอเมน ฉันยังอยู่ในความรัก” แต่ตอนนี้เนื้อหนังมันเกิดขึ้น มันหงุดหงิด ในขณะหงุดหงิดนั้น ยังอยู่ในความสว่างหรือเปล่า?  เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์อยู่หรือเปล่า? เป็นความรักไหม?  เป็นความสว่างไหม? นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานหรือไม่?  เราก็บอกเอเมน มารก็กระซิบข้างหู ส่งกระแสเข้ามาข้างหูเรา บอกว่า …

            “นี่หรือ ลูกพระเจ้าเป็นอย่างนี้หรือ?  อะไร แค่นี้ก็อดทนไม่ไหวแล้ว จะไปทำอะไร”

            เราก็ยังคงยืนยันตอบไปว่า “เอเมน ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น”

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าบอกเราว่า …

            “เราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง  ไม่มีความมืดในเราเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือไม่มีความชั่วร้ายในเราเลย ไม่มีความเลวทรามในตัวเราเลย ไม่มีความสกปรกโสโครกในตัวเราเลย  ไม่มีความชั่วเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีความเกลียดชังในตัวเราเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง” เขินปากไหม? เขินน่า ยังใหม่ๆ อยู่ ต้องฝึกไปเรื่อยๆ

            “เราเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว”

            “เอเมน”

            เอเมน ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร? เอเมน

            “เราเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตลอดนิรันดร์”

            “เอเมน”

            นี่ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนั้น  มันเป็นอย่างนี้  เราก็น้อมรับ นมัสการพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริงว่าเอเมน พอท่านเอเมนเมื่อไร? ตามถ้อยคำพระเจ้าท่านกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            ท่านกำลังบอกพระเจ้าว่า … “ใช่ มันเป็นเช่นนั้นแหละ”

            สำหรับพี่น้องที่ยังไม่เปิดใจ ก็อยากจะเรียนให้ท่านทุกคนว่าท่านยังมีโอกาสอยู่ จนวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ เมื่อไรก็ตามที่ท่านตัดสินใจย้ายข้าง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงพร้อมแล้วอยู่ที่หน้าบ้าน พร้อมที่จะเข้าไป แสงสว่างพร้อมที่จะฉายเข้าไปในใจของท่าน  ขอให้เปิดใจเถิด พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้ทุกคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ได้รับความรอด อัครทูตเปาโลได้พูดกับผู้เชื่อที่ยังมีความเข้าใจผิดในเรื่องความรอดนี้ว่า …

            1 โครินธ์ 1:14-16 … “14 ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมา  (ในน้ำ ) แก่ใครในพวกท่าน ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส 15 จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมา (ในน้ำ ) เข้าในนามของข้าพเจ้า 16 ใช่ ข้าพเจ้าให้บัพติศมา  (ในน้ำ) แก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่า ได้ให้บัพติศมา (ในน้ำ ) แก่ใครอีก)”

            เพราะพิธีบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยใครให้รอดจากการเป็นคนบาป

            1 โครินธ์ 1:17 … “เพราะพระคริสต์ ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา  (ในน้ำ ) แต่เพื่อให้ ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์ จะหมดฤทธิ์อำนาจ”

            แต่ข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์  และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตายต่างหาก ที่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้คนที่เชื่อในข่าวดีนี้ ได้รับความรอดจากการเป็นคนบาป บังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            โรม 1:14-16 … “14 ข้าพเจ้ามีพันธะหน้าที่ต่อทั้งชาวกรีก และผู้ที่ไม่ใช่กรีก  ต่อทั้งคนมีปัญญาและคนเขลา 15 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย”

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอดโดยความเชื่อในข่าวดี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำตามพิธีกรรมใดใด หรือกระทำสิ่งใดใดเพิ่มเติมอีกเลย จริงๆ