วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1428

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  สิงหาคม  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 6

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาเรียน “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” วันนี้ตอนที่ 6 ก็ยังคงเน้นอยู่ตรงนี้อยู่ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราจับรากฐานตรงนี้ได้ หัวใจของข่าวประเสริฐทั้งหลาย เราจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น  และจะไม่ถูกหลอก

            พระเยซูตรัสไว้ในหนังสือมัทธิว ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ รวมๆ หมด บอกไว้อย่างนี้ว่าการทำศาสนกิจ  คือการรักษาบทบัญญัติของชาวยิว หรือถ้าเผื่อไม่ใช่ชาวยิว ก็คือการรักษาศีลธรรม บทบัญญัติทางศาสนา อะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็น  แล้วเราก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข และมีความทุกข์น้อยที่สุด รวมกัน เป็นสิ่งที่ดี แต่มันดีไม่พอ  ที่จะสามารถทำให้ท่านได้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้  เราไม่สามรถทำสิ่งเหล่านั้นได้  นี่พูดกับชาวยิวนะ  แต่ท่านไม่ควรละเลยต่อความเมตตา ความรักที่อยู่ในใจ คือพูดง่ายๆ ว่าท่านไม่ควรละเลยสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ ที่อยู่ในวิญญาณของท่าน วิญญาณของท่านเป็นบาป สกปรก เราต้องยอมรับความจริงเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูดบ่อยๆ ในคำเทศนาบนภูเขา  ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี

            เพราะฉะนั้น เราอย่าเข้าใจผิด คิดว่าพระเยซูมาสอนให้ชาวยิว รักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอนตรงนี้ แต่กำลังมาชี้ให้เขาเห็นว่าเขาจำเป็นที่จะต้องดูแล เรื่องวิญญาณที่อยู่ภายในของเขาที่สกปรก เป็นบาปอยู่  เพราะว่าการรักษาบทบัญญัติ ตามประเพณี ตามศาสนาของยิวนั้น ไม่สามารถที่จะช่วยให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ พระองค์ก็ไม่ได้สอนนะ เรียกว่าประกาศ

            ประกาศว่าพระองค์ เป็นพระเมสิยาห์  นี่คือหน้าที่ของพระองค์ที่มาทำบนโลกใบนี้ คือจะมาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้  พระองค์ คือพระบุตรของพระเจ้าที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่โบราณ พระองค์จึงประกาศว่าพระองค์ คือพระเมสิยาห์ หรือภาษากรีก คือพระคริสต์ พระเมสิยาห์ คือภาษาฮีบรู แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ที่ถูกเลือกสรรเอาไว้ ตั้งแต่โบราณมาแล้วว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์  เรียกว่าพระคริสต์ เรียกว่าพระเมสิยาห์  ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ให้กับบรรพบุรุษของชาวยิว

            พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ มาช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากโทษของความบาป ซึ่งไม่มีทางที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ นอกจากจะพึ่งและวางใจในพระองค์ และได้บังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น

            นี่คือประเด็นที่พระองค์มาประกาศ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี เน้นไปที่ชาวยิวเท่านั้น ทั้งคำเผยพระวจนะ ที่ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับพระองค์นั้น  ที่พูดไว้ทั้งหลาย เป็นพันๆ ปีมาแล้ว พระองค์ก็ยกเอาถ้อยคำเหล่านั้นมาพูดให้พวกเขาฟัง แล้วก็ทำอัศจรรย์ต่างๆ มากมาย สิ่งเดียวที่พระองค์ต้องการ ก็คือบอกว่าที่ทำทั้งหมดนั้น เพื่อให้ท่านทั้งหลายเชื่อและวางใจว่าพระองค์เป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระเจ้าที่มาช่วยเหลือเขาทั้งหลาย  และบอกเขาทั้งหลายว่าสิ่งเดียวที่พระบิดาต้องการจากพวกท่าน (พระบิดาของชาวยิวนะ) ไม่ใช่รักษาบทบัญญัติทั้งหมดเหล่านั้น แต่ให้ท่านวางใจว่าเราเป็นผู้นั้น เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ เพราะนอกจากจะวางใจในเราแล้ว ไม่มีทางที่ท่านจะได้รับความรอดไปสวรรค์ได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เป็นไปไม่ได้เลย

            พระองค์ คือพระเมสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิว แล้วบริบทนี้  เราเรียนกันมา 6 ตอนแล้ว เรารู้ว่ากำลังพูดกับชาวยิวเท่านั้น  หลังจากไม้กางเขนแล้ว พระองค์ก็จะใช้ชาวยิวนี้ ที่วางใจในพระองค์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ออกไปประกาศข่าวดีนี้ ให้กับคนต่างชาติอื่นๆ ทั่วโลกต่อไป ก็คือข่าวดีเดียวกันกับที่พระองค์ทรงประกาศให้กับชาวยิว ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เหมือนกันเลย โดยที่พระองค์บอกว่าให้ประกาศ เริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

            ข่าวดีนี้ให้เชื่อและวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จากบาป ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว บัดนี้ มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว แล้วมาช่วยให้รอด  จงวางใจในพระองค์ นี่คือข่าวดี ที่พระองค์ใช้ให้ชาวยยิวออกไปประกาศ  หลังจากที่พระองค์กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

            ดังนั้น สิ่งต่างๆ ที่พระเยซูประกาศทั้งหมด ในบริบทที่เรากำลังเรียนรู้กันใน 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น  มันจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น วิญญาณมนุษย์จะได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์พูดทั้งหมด  ใน 3 ปีนั้น  และมาประกาศทีหลังอีกนั้น ก็คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ของมนุษย์  เกี่ยวกับการอัศจรรย์ของมนุษย์ ซึ่งรวมสรุปเรียกว่าข่าวดี

            ข่าวดี คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของมนุษย์ ตามองไม่เห็น  แต่มันมีอยู่จริง มันเป็นจริง ซึ่งพระเยซูต้องการเน้นตรงนี้มากๆ คือเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ของวิญญาณของมนุษย์ที่สกปรกและเป็นบาปอยู่ เป็นหลุมศพอยู่ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์เดช จากพระเจ้าเท่านั้น  จึงจะกระทำได้  เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู เป็นฤทธิ์เดช  ทำให้เกิดการอัศจรรย์ การบังเกิดใหม่เลยทันที  มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำดี กระทำไม่ดี รักษาศีลหรือไม่รักษาศีล มันคนละเรื่องกัน อย่าเข้าใจตรงนี้ผิด แล้วจะมาบอกว่าพระเยซูไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการประพฤติบนโลกใบนี้เลย  มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกัน สนใจ สนใจมากด้วย  สนใจมากถึงขนาดล้วงลึกเข้าไปถึงวิญญาณของเรา มนุษย์ทุกคนเลยว่าเขาจะทำดี  ให้ครบถ้วนได้อย่างไร? ก็โดยการได้บังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุปมา ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง การใช้ข้อพระคัมภีร์เดิม เพื่อสนับสนุนสิ่งที่พระองค์ทรงพูดนั้น หรือคำเผยพระวจนะเดิมที่บอกไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่บรรพบุรุษหลายพันปีมาแล้ว ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่  และเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทั้งหมดเลย อ่านเมื่อไรก็ตาม จะตีความอะไรก็ตาม ก็ต้องให้ตีความไปในเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่าตีความตามโลกวัตถุ ตามความคิดสติปัญญาของมนุษย์ ตามเหตุผลความเข้าใจของเรา มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            อย่างเช่นตอนหนึ่งในนั้น พระเยซูยกตัวอย่าง เรื่องเกี่ยวกับเถาองุ่น  พระองค์เป็นต้นองุ่น  เราเป็นกิ่งก้าน ในหนังสือยอห์น 15:4-6 ลองดูนะ เวลาอ่าน ทำความเข้าใจ ต้องรู้ว่าตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ  อย่าอ่าน แล้วก็เข้าใจ เรื่องเกี่ยวกับวัตถุ ให้ทำอันโน้นอันนี้ ไม่ใช่ กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณว่ามันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว มันเกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าว่าถ้าท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เมื่อไร? ในโลกวิญญาณพระเจ้าจะทำอย่างนั้นเกิดขึ้น เป็นอย่างนี้เกิดขึ้น ลองอ่านดู …

        ยอห์น 15:4-6 “4 จงมาอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้าน จะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัย ต่อติดอยู่ในเรา ฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเรา อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

            นี่ผมเติมให้นิดๆ หน่อยๆ เพื่อจะให้ท่านเห็นถึงมันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ ไม่ได้สอนให้ทำ แต่สอนให้วางใจในพระองค์ว่าเป็นใคร? เชื่อในพระองค์ เราลองมาวิเคราะห์กันที่อ่านเมื่อสักครู่นี้

            ข้อ 4 “จงมาอาศัยอยู่ในเรา” เห็นไหมครับ? จงมาอาศัยอยู่ในเรา  อาศัยอยู่ในพระองค์อย่างไร?  ไม่เข้าใจ  แปลตรงตัวเลย  แบบภาษาเดิมเลย แปลว่าจงมาอาศัยอยู่ในเรา  คนไม่เข้าใจ ก็พยายามที่จะคิดแบบสติปัญญามนุษย์ ให้เข้าใจ ก็เลยไปแก้  แทนที่จะเป็นอาศัยอยู่ในเรา ก็เปลี่ยนเป็น “จงมาติดสนิทอยู่ในเรา” เห็นไหม?  เพราะติดสนิทมันยังทำได้ ก็คือไปวิหารบ่อยๆ  อธิษฐานบ่อยๆ พูดคุยกับพระองค์บ่อยๆ อย่างนี้เราทำได้ใช่ไหม?

            แต่บอกว่า “ให้ไปอาศัยอยู่ในพระองค์” ทำได้ไหมล่ะ  ทำไม่ได้แล้วนะ  เพราะฉะนั้น ไม่เอา เปลี่ยนเป็นถ้อยคำที่เราแปล แล้วเราสามารถทำได้ดีกว่า เพราะว่าเราอยากทำ ซึ่งมันหลงประเด็นทันทีเลย  “จงมาอาศัยอยู่ในเรา” อาศัยอยู่ในเรา แปลว่าจงเข้ามามีส่วนอยู่ในเราเลย นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย นี่โลกวิญญาณใหญ่เลย เข้าไปมีส่วนอยู่ในพระองค์อย่างไร? เหมือนที่พระองค์ทรงบอกว่า …

            “เจ้าจะไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ ถ้าเจ้าไม่กินเนื้อเรา ดื่มเลือดของเรา”

            คนรับไม่ได้ หนีพระองค์ไปเยอะเลย ในหนังสือมัทธิวเขียนไว้ เพราะเราพยายามที่จะเข้าใจแบบมนุษย์ แต่พระองค์กำลังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ ตอนนี้เรารู้แล้วนะว่าพอเรารู้ถึงพื้นฐานของความเป็นจริงของสิ่งที่พระองค์ทรงประกาศเหล่านี้ เราก็จะเข้าใจถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นว่าเข้าใจแล้ว

            “จงมาอาศัยอยู่ในเรา เป็นส่วนหนึ่งของเรา และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน เป็นส่วนหนึ่งของท่าน” ก็คือวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณของพระองค์ ก็อยู่ในวิญญาณของเราทันที เป็นหนึ่งเดียวกันเลย

            เราอ๋อ! ตามเลย เพราะมาจากพื้นฐานที่เรารู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณแน่นอนเลย ถึงแม้ว่าความคิด สติปัญญาของมนุษย์จะไม่สามารถที่จะล้วงลึกเข้าไปถึงว่ามัน คืออย่างไร? แต่อย่างน้อย ตามถ้อยคำพระเจ้า เราเอเมนได้ เพราะว่าเรารู้แล้วว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  พระองค์บอกอย่างนั้น แล้วเราก็เชื่อและวางใจตามนั้น และอีกอย่างหนึ่ง คือเรารู้ เพราะอยู่ในใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา บอกเรา

            “กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้” เห็นไหมครับ? เราก็คือกิ่งก้าน เราจะเห็นภาพเลย  กิ่งก้านเอามาเสียบไว้กับลำต้น ก็คือต่อกิ่งเข้าไป เป็นเนื้อเดียวกันเลย พระเยซูยกตัวอย่างอย่างนี้  ให้เราพอที่จะเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถามว่าพอเข้าใจ มันลึกซึ้งเหมือนจริงไหม? มันไม่เหมือนจริงหรอกกับโลกวิญญาณ แต่อย่างน้อยที่สุด ได้เห็นภาพว่าเหมือนเราเป็นกิ่ง จากต้นเดิม คือต้นอาดัม ตัดจากต้นอาดัมมาถึงปุ๊บ มาเสียบเข้าไปอยู่ในต้นของพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์เลย  และขณะที่อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ก็อยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน อ๋อ! เหมือนตะกี้ที่เราอ๋อ! กัน

            “เจ้าจะอาศัยติดอยู่ในเราฉันนั้น” เห็นไหมครับ?  พอเสียบเข้าไปปุ๊บ ก็ติดอยู่เลย ตอนนี้ติดอยู่ที่ไหน? วิญญาณเราก็ติดอยู่ในวิญญาณของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  ตรงนี้แหละ เรียกว่าบังเกิดใหม่

            ข้อ 5 “เราเป็นเถาองุ่น” หมายถึงพระเยซูคริสต์ เราเป็นลำต้น ก็คือเป็นเถาองุ่น  “ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามมนุษย์คนไหนก็ตามที่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา และเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก” ก็คือเราเข้าไปอยู่ในต้นของพระคริสต์ เพราะฉะนั้น มันจะออกผล มันจะออกผลที่ลำต้นของมัน มันไม่ได้ออกผลที่กิ่ง ลำต้นดีปุ๊บ ผลมันก็ออกมาดี พระเจ้านำกิ่งเราไปต่อติดเข้าไปในพระเยซู เราทำหรือเปล่า? เราไม่ได้ทำ ทำไม่ได้ด้วย ทำอย่างไร? อาศัยอยู่ในพระเยซู ทำไม่ได้ เราได้แต่เชื่อและวางใจ ให้พระเจ้าเป็นผู้กระทำ และตรงนี้เรียกว่าอัศจรรย์นั่นเอง เรียกว่าการบังเกิดใหม่

            ข้อ 5 ตะกี้ คือเราเป็นเถาองุ่น  เป็นลำต้น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา  และเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา คือไม่ได้ต่อติดอยู่ในเรา ก็คืออยู่ในลำต้นเดิมนั่นเอง ลำต้นเดิม ก็คือลำต้นอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษที่เป็นบาปอยู่ หากแยกห่างจากเรา ไม่ได้ต่อติด อาศัยอยู่ในเรา ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลยในโลกวิญญาณ เห็นไหมครับ

            จะรักษาบทบัญญัติของโมเสสให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้ดีอย่างมากมาย ทำดีเยอะแยะมากมาย ท่านก็ไม่สามารถได้รับผลดีในโลกวิญญาณ หรือได้รับความรอดทางวิญญาณได้เลย ถ้าไม่ได้ต่อติดอาศัยอยู่ในพระคริสต์นั่นเอง

            ข้อ 6 “ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ที่ลำต้นเดิม คือที่อาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป  เขาก็จะเป็นกิ่งก้านที่ตายไปด้วย  เพราะลำต้นมันตายอยู่ ก็จะถูกโยนทิ้งให้แห้ง รังแต่มีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง” ก็คือบึงไฟนรกนั่นเอง พอมองเห็นภาพไหม?

            จะเห็นได้อย่างไร? พื้นฐานต้องเข้าใจก่อนว่าที่พระเยซูกำลังพูด กระดุมเม็ดแรก คือเรื่อง เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำใดๆ เลย  ถ้าเราเข้าใจผิด เราก็จะเอา ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้มาบอกว่าพระเยซูต้องการให้เราติดสนิทกับพระองค์เยอะๆ เราจะได้เกิดผล เพราะฉะนั้น เราต้องอธิษฐานเยอะๆ เราต้องอ่านพระคัมภีร์มากๆ เราต้องคุยกับพระเยซูบ่อยๆ

            ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่มันไม่ดีนะ มันดี แต่มันคนละประเด็นกัน ทำให้เกิดผลหรือไม่ ในโลกวิญญาณนั้น มันคนละเรื่องกัน สิ่งเหล่านั้น มันทำให้เกิดผล การอธิษฐานบ่อยๆ การมาโบสถ์บ่อยๆ  การอ่านพระคัมภีร์บ่อยๆ ดีไหม? ดี เกิดเป็นผลอะไร? เกิดเป็นผล คือกระทำให้เรารับรู้ความจริงมากขึ้น  เราเจริญเติบโตในความจริงมากขึ้น  เราเจริญเติบโตในการเป็นลูกพระเจ้า เข้าใจถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้น แต่มันไม่สามารถทำให้เราได้รับความรอดจากบึงไฟนรกได้เลย การรอดจากบึงไฟนรก ได้รับความรอดนิรันดร์นั้น ได้รับโดยผ่านทางการอาศัย ต่อติด เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการเปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ และได้รับการบังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ชัดสุด คืออย่าหลงประเด็น  อย่าเข้าใจผิดในคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์กำลังมาแนะนำให้เราทำอันโน่นทำอันนี่ ไม่มีเลย ยกตัวอย่างเช่น ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ แล้วเอาไปใช้ผิดๆ บ่อยๆ เช่น พระองค์ทรงสอนไว้ว่าถ้าทำบาป แล้วอยากทำให้บริสุทธิ์ ทำอย่างไร? ตัดมือทิ้ง ถ้าตาทำให้เกิดการทำบาป ให้ควักลูกตาทิ้ง ถ้าเป็นคนโลภ ไม่ติดสนิทกับพระเจ้าเพียงพอ ให้ขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้หมด แล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับคนที่มาขอ โดยไม่ต้องถาม ให้เขาเลย ให้ผู้อื่นเอาเปรียบถึงที่สุด  เวลาอดอาหาร ก็อย่าให้ใครเห็นว่าเรากำลังอดอาหาร  หรือกำลังอธิษฐาน ก็ต้องแอบๆ อย่าให้คนเห็น หรือถวายทรัพย์ ก็ไม่ต้องประกาศนำหน้า อะไรอย่างนี้ ก่อนที่จะไปถวายสัตวบูชาที่วิหาร ให้ยอมคืนดีกับเพื่อนบ้านเสียก่อน  ก่อนที่จะมาถวาย  แล้วทำเสร็จเรียบร้อย ก็ไปรายงานตัวต่อสภาเซนเฮดริน สภาหัวหน้าปุโรหิตของชาวยิว  อะไรอย่างนี้  สิ่งที่เราสามารถรู้ได้จากบริบทนี้ ก็คือกำลังพูดกับชาวยิวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราชาวต่างชาติเลย เราไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เราไม่รู้จักเซนเฮดริน เราไม่รู้จักปุโรหิตอะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่คือบทบัญญัติของชาวยิว

            พระองค์กำลังมาบอกอะไร? มาสอนให้ชาวยิวทำอย่างนี้เหรอ? ไม่ได้มาสอนให้ชาวยิวตั้งใจทำอย่างนี้ให้มันดีๆ  แต่พระองค์กำลังมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่มันไม่สามารถช่วยเหลือให้ชาวยิวได้รับความรอด ในโลกฝ่ายวิญญาณได้เลย มันคนละเรื่องกัน ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ เป็นเรื่องของชาวยิวทั้งสิ้น อยู่บนพื้นฐานประเพณี วัฒนธรรมทางศาสนาของยิว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราคนต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่ชาวยิวเลยแม้แต่นิดเดียว  นี่เป็นตัวย้ำยืนยัน

            เพราะฉะนั้นเราจะสังเกต ในหนังสือพันธสัญญาใหม่ทั้งเล่มเลย หลังจากที่พระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน จดหมายฝากทุกฉบับของอัครทูตต่างๆ ไม่มีคนไหนเขียน แนะนำให้ผู้เชื่อใหม่กระทำตามอย่างนี้เช่นเดียวกัน ไม่มีคนไหนเลยมาเขียนบอกว่าถ้าทำบาป ให้ตัดมือทิ้ง ให้ควักลูกตาออก ไม่มีเลย ถ้าอดอาหาร อย่าให้ใครเห็น  ไม่มีเลย มีแต่บอกว่าให้ทำตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน ให้ทำทุกสิ่งจากใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น ให้ทำให้สมกับที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            เพราะฉะนั้น ต้องจับประเด็นตรงนี้ให้ชัดเจนว่ามันคืออะไร?  เพื่อว่าจะได้เห็นภาพที่พระเยซูกำลังประกาศข่าวดีอยู่นี้ว่ามันคืออะไร? ผมพยายามย้ำยืนยัน แล้วก็พูดซ้ำบ่อยๆ เลย 6 ตอน หรือตอนอื่น เรื่องอื่น ก็จะซ้ำอยู่เรื่องนี้  อธิบายให้เข้าใจ เพราะเราหลงทางมาเยอะแล้ว  เพราะฉะนั้น ต้องจับประเด็นตรงนี้ให้ชัดเจน จะเห็นภาพว่าพระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐว่าคืออะไร? อะไรที่มาบอกว่าไม่ได้มาสอนเรื่องการกระทำ มันคืออะไร? พระเยซูบรรยายบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ก็คือตะกี้ที่กำลังพูด บัญญัติของชาวยิวเหล่านั้น เป็นบัญญัติของชาวยิว ซึ่งพวกชาวยิวไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ไง เขาตั้งใจทำดีที่สุด แต่ทำไม่ได้ดี พระเยซูจึงยกตัวอย่างให้มันชัดๆ ให้มันสุดโด่งเลยว่าทำไม่ได้ ถ้าท่านจะทำได้ท่านต้องตัดมือทิ้ง ควักลูกตาออก ท่านละความโลภไม่ได้หรอก ถ้าท่านอยากจะละความโลภ ท่านต้องขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดเลย ถ้าท่านรักผู้อื่น  คิดเมตตาต่อผู้อื่น ท่านต้องเมตตาถึงขนาด ท่านต้องให้หมดเลย ไม่มีการบอกไม่ ใครมาขออะไรให้หมด อะไรประมาณนั้น

            ซึ่งกำลังพูดถึงว่าเขาทำไม่ได้หรอก การจะรักษาความบริสุทธิ์ของตนเอง ด้วยการประพฤติ ทำไม่ได้ การจะเข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์นั้น ทำด้วยตัวเองไม่ได้หรอก ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ก็คือเพื่อจะย้ำยืนยันให้เขาได้รู้ว่าเขาจำเป็นต้องวางใจในพระเมสิยาห์ พระองค์ต้องการชี้ให้เขาเห็นว่าเขาทั้งหลายเป็นคนบาปที่ป่วยหนัก เพื่อเขาจะได้กลับใจใหม่ หันมาหาความช่วยเหลือจากพระองค์เท่านั้น เลิกพึ่งพาความพยายามจะกระทำความดี เพื่อที่จะไปอยู่ในสวรรค์หลังความตาย เลิกซะ หันมาพึ่งพา วางใจในพระองค์ และนี่คือความจริงของบริบทคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ คือเป็นการประกาศข่าวดี และสาระสำคัญของข่าวดี ก็คือการบังเกิดใหม่  รวมทั้งหมด 3 ปีที่พูดไป

            ประเด็น ก็คือข่าวดี เรื่องการบังเกิดใหม่ และเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว พระคริสต์ ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยภายในวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษ หลายยุค หลายสมัยมาแล้ว  พระเยซูประกาศข่าวดี เกี่ยวกับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

            ตรงนี้ต้องเป็นพื้นฐานของเราตลอดเวลา ที่เราจะอ่านในหนังสือพระคัมภีร์ ไม่อยากบอกว่าพระคัมภีร์ใหม่เลย เพราะตอนนั้น คือ 3 ปีที่พระเยซูตระเวนประกาศ ในมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น มันไม่ใช่พระคัมภีร์ใหม่ มันยังไม่ใหม่เลย เพราะพระเยซูยังไม่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ช่วงประกาศนั้น  เราต้องรู้ว่าพื้นฐาน ก็คือพระองค์ประกาศข่าวดี เกี่ยวกับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ที่ทำให้คนได้เกิดใหม่  และเกิดใหม่มาเป็นอะไร?  เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า  โดยแค่วางใจ เชื่อมั่นในการเป็นพระเมสิยาห์ของพระองค์เท่านั้นจริงๆ มีแค่นี้เอง พูดยกตัวอย่าง อุปมานี้ ทำอัศจรรย์ตรงนั้น ทั้งหมด รวมความแล้วต้องการเพียงสื่อให้ชาวยิวได้เห็นตรงนี้ แค่นี้เอง

            การบังเกิดใหม่ ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์เรียกว่าอะไร? ตอนนี้เรารู้แล้ว กระดุมเม็ดแรกเราถูกแล้ว การบังเกิดใหม่เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เรียกว่าบัพติศมาไง เราจะเห็นชัดแล้ว เรียกว่าบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในสง่าราศี พระสิริของพระองค์ และนี่ก็คือการบังเกิดใหม่นั่นเอง การบังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และร่างกายได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซู และรอการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี เหมือนพระองค์ เมื่อพระองค์ปรากฏ เราทั้งหลาย  ก็จะปรากฏด้วย ในวันหนึ่งข้างหน้า นี่คือข่าวดีที่พระเยซูมาประกาศ ก่อนที่จะทำภารกิจสำเร็จบนไม้กางเขน  และหลังจากภารกิจเสร็จแล้ว ก็ยังคงประกาศเหมือนเดิม ลักษณะเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลย ไม่ได้เกี่ยวกับการจะให้เรามาทำอะไรเลย

            พระเยซูเรียกเราทั้งหลาย ที่วางใจในพระองค์ และบังเกิดใหม่ว่าเป็นลูกแห่งการเป็นขึ้นจากตาย คือมีส่วนร่วมเข้าไปบัพติศมาในพระองค์ปุ๊บ ก็มีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นมาจากตาย พระองค์จึงเรียกเราว่าเป็นลูกแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ต้องการชี้ให้มนุษย์ได้เห็นว่ามนุษย์สามารถหมดเวรหมดกรรม ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมของตนเองด้วยวิธีใด? ก็ด้วยการเชื่อและวางใจในพระองค์ ก็โดยวิธีต้องตายจากตัวเดิมเสียก่อน แล้วมาเกิดใหม่ (มาเกิดใหม่จริงๆ) ไม่ใช่อุปมา เกิดใหม่จริงๆ ในวิญญาณ ให้พระเจ้ากำจัดตัวเก่าที่เป็นตัวบาป และทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้ นี่คือสาระที่พระองค์ทรงมาประกาศ

            พระเยซูไม่ได้มาสอนเราทำดี เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ได้ แต่มาบอกข่าวดีให้กับท่าน เรื่องความเป็นจริงของกฎของโลกวิญญาณว่าท่านต้องตายจากตัวเก่า ซึ่งเป็นบาปนี้ ต้องตายไปก่อน ต้องตายๆ และจะได้เกิดใหม่ในพระคริสต์ พระเจ้าสามารถทำได้ แล้วพระเยซูก็ทิ้งท้ายว่าท่านเชื่อไหมว่านี่เป็นอัศจรรย์ พระองค์ต้องการให้เราเชื่อ ท่านเชื่อไหม?

            ไม่อย่างนั้นพระองค์จะยกตัวอย่างว่าถ้าท่านอาศัยอยู่ในเรา หมายถึงว่ามันขึ้นอยู่กับท่านนะ ท่านจะเชื่อไหม? ถ้าท่านเชื่อเรา วางใจในเรา ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  เพราะฉะนั้น พระเยซูประกาศ เน้นเรื่องบังเกิดใหม่  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระองค์ รับบัพติศมาในพระคริสต์ เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่กับคนๆ นั้น เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าบัพติศมา พระองค์ประกาศก่อนที่จะกระทำจนสำเร็จ หลังสำเร็จแล้ว ก็ประกาศอย่างนี้เหมือนเดิม เช่นเดียวกัน

            นี่คือหัวใจของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทำให้คนได้บังเกิดใหม่ เข้าส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า  และพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับผู้นั้น ให้กับใครก็ได้ ที่เปิดใจต้อนรับสิทธิ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนยิว หรือคนต่างชาติก็ตาม สิทธินี้เกิดขึ้นทันที นี่คือข่าวดีที่พระองค์นำมาประกาศให้กับชาวยิวก่อน แล้วก็ชาวต่างชาติทีหลัง

            และหลังจากที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  ก็สั่งสาวกให้ไปกระทำการประกาศข่าวดีนี้ในลักษณะเหมือนกันเลย  เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ท่านสังเกตเห็น ประกาศให้เชื่อและวางใจในตัวพระองค์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ ไม่ได้มาประกาศให้กระทำดี รักษาบทบัญญัติ รักษาศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะ ผมพยายามเน้นตรงนี้เรื่อยๆ หลายคนชอบบอกว่าเราไม่เห็นความสำคัญของการกระทำตามบทบัญญัติ ตามศีลธรรม มันคนละเรื่องกัน นี่เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ความรอดทางโลกวิญญาณ  ลองสังเกตดู กิจการของอัครทูต 2:38 ดูสิว่าสาวกเขาทำการประกาศลักษณะเดียวกันไหม?  สอนให้คนทำ หรือมาประกาศให้คนเชื่อและวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระเมสิยาห์ …

        กิจการ 2:38 “เปโตรตอบว่า “พวกท่านทุกคนจงกลับใจใหม่ และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการทรงอภัยโทษบาปของท่าน และพวกท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทาน”

            เห็นไหม? นี่เป็นการประกาศครั้งแรกเลยของเปโตร อัครทูต เมื่อเขาได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียน ออกไปประกาศ  ก็ประกาศเหมือนกันอย่างนี้ …

            “พวกท่านจงกลับใจใหม่ และรับบัพติศมา ก็คือบังเกิดใหม่ ในนามของพระคริสต์ คือเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เพื่อได้รับการอภัยโทษจากบาปของท่าน แล้วท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นของประทาน ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณของพระคริสต์ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน”

            เห็นไหมเป็นการประกาศเกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์เดช การบังเกิดใหม่  ไม่ได้มาประกาศให้ทำอะไรสักอย่างเลย แทนที่สมมติว่า …

            “พวกท่านทั้งหลายจงเลิกกระทำความชั่ว  เลิกขโมย  เลิกฆ่าคนตาย  รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆ”

            ไม่ได้มาประกาศอย่างนั้น นี่กำลังชี้ให้เห็น พระเยซูประกาศให้กับชาวยิวก่อน ภายใต้พื้นฐานของขบนธรรมเนียมประเพณีและศาสนายิว  ที่รักษาบัญญัติของโมเสส และพระเยซูก็ประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติภายหลัง บนรากฐานของธรรมเนียมประเพณีและศาสนาของแต่ละชาติ แต่ลักษณะการประกาศเหมือนกัน ศาสนาไม่ใช่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่เพียงพอ เพราะไม่มีฤทธิ์อำนาจในการช่วยให้รอด  แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ช่วยให้ทุกคนที่เป็นคนบาป ได้รับความรอด โดยการบังเกิดใหม่ คือรอดจากบาป โดยผ่านทางความเชื่อ วางใจในพระเมสิยาห์ พระคริสต์เท่านั้น ซึ่งเป็นพระคุณให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ทั้ง 2 พวก ไม่ว่าจะเป็นพวกยิวหรือชาวต่างชาติก็ตาม ให้ฟรีๆ  โดยไม่ได้พึ่งพาความประพฤติของเขาเลย เห็นไหม? นี่คือข่าวดี  ไม่เกี่ยวกับการประพฤติเลย

            ผลของข่าวดี เมื่อใครก็ตามที่เชื่อก็จะได้ผลเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ได้เป็นยิว ก็ได้รับผลเหมือนกัน ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณของพระเจ้า คือท่านอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในท่าน  นี่คือข่าวดี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำ

            สรุปเรื่องราวสั้นๆ ที่เราผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่ได้มาบังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนควรรับรู้เรื่องย่อๆ คือแต่เดิมนั้น พระเจ้าให้อิสราเอล ซึ่งเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ถือรักษาบทบัญญัติไว้ แต่อิสราเอลไม่สามารถทำได้ พวกเขาไม่ซื่อตรง เพราะว่ามีวิญญาณที่เป็นคนบาป  มีใจมักกบฏ ไม่เชื่อฟัง และละเมิดบัญญัติอยู่ตลอด พระเจ้าก็เลยส่งพระบุตรมาเป็นตัวกลาง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  เพื่อให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ และพระองค์ได้ให้วิญญาณใหม่และใจใหม่ ใจที่เชื่อฟัง จารึกไว้ในใจของมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อพวกเขาจะได้สามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ จากวิญญาณข้างในได้ บัญญัติอันเดิมเป็นบทบัญญัติสมัยโมเสส จารึกไว้ในแผ่นหิน ให้รักษาเอาไว้  ซึ่งรักษาไม่ได้ เพราะธรรมชาติ ใจ วิญญาณมันเป็นบาปอยู่ มันต้องแก้ไขวิญญาณในใจนั้น  และพระเจ้าก็สัญญาไว้ว่าวันหนึ่งจะเปลี่ยนจิตใจใหม่ให้ จะเปลี่ยนวิญญาณให้ใหม่ ในฮีบรู 8:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ฮีบรู 8:10-11 “10 นี่คือพันธสัญญา (ใหม่) ที่เราจะทำกับพงค์พันธุ์อิสราเอล (มวลมนุษย์) หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า “จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา (ภายในวิญญาณของเขา) ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

            นี่คือคำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับบรรพบุรุษของอิสราเอล แล้วพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าก็เข้ามาทำให้สัญญานี้สำเร็จเรียบร้อย เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 แล้วพระเจ้าก็เริ่มบทบัญญัติใหม่นี้ ในพันธสัญญาใหม่กับมวลมนุษยชาติทันที ก็คือได้รับวิญญาณใหม่และใจใหม่ ถ้าเขาเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ 1 ยอห์น 3:23 …

        1 ยอห์น 3:23 “และนี่เป็นพระบัญญัติ (ใหม่) บัญญัติเดียวของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลายวางใจ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ (ในใจ) แก่เรา”

            นี่คือพันธสัญญาใหม่ คือเมื่อท่านได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอด  ท่านก็จะได้รับวิญญาณใหม่  และใจใหม่ และดำเนินชีวิตด้วยใจใหม่และวิญญาณใหม่ตรงนี้แหละ ยอห์น 13:34 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 13:34 “เราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียวไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            นี่คือสภาพของคนที่ได้บังเกิดใหม่  อยู่ในพระคริสต์ เข้าบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ตอนที่เราบังเกิดใหม่ พระเยซูได้แบ่งปันชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา  เพราะเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว พอเราบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  ที่เป็นของพระเยซูคริสต์ ที่มอบให้กับเราทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจึงมีวิญญาณที่เป็นลักษณะเหมือนพระเจ้า  คือเป็นความรัก ที่เป็นเหมือนพระเจ้า อยู่ภายใน เราจึงมีลักษณะเป็นความรัก เหมือนพระเยซู แล้วเราก็สามารถแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ให้แก่คนอื่นๆ ได้ อย่างเป็นธรรมชาติ จากวิญญาณและใจใหม่ที่ได้รับนั้น เห็นไหมครับ? ออกมาเป็นธรรมชาติเลย ก็ไม่เกี่ยวกับการต้องพยายามทำอะไรดี มันเป็นธรรมชาติ จากใจใหม่ 1 ยอห์น 5:3 …

        1 ยอห์น 5:3 “เพราะนี่แหละ เป็นความรักต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติ (ใหม่) ของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระ”

            นี่เป็นเหตุที่อาจารย์เปาโลเขียน บอกอยู่เสมอๆ เมื่อชาวต่างชาติหรือแม้กระทั่งชาวยิวก็ตาม ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ที่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูแล้ว โลกวิญญาณได้เปลี่ยนไป วิญญาณเขาได้เป็นวิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่า …

            “ท่านไม่รู้หรือว่าความรักแท้ที่เหมือนพระเจ้า เป็นลักษณะธรรมชาติ ที่อยู่ในวิญญาณในใจของท่านอยู่แล้ว  และท่านก็ได้บังเกิดใหม่ ท่านเพียงแค่ฝึกฝน ยอมปล่อยให้ธรรมชาติของความรักนี้ ฉายแสงออกมาเป็นความประพฤติเท่านั้นเอง แบ่งปันออกไปให้กับผู้อื่น เหมือนกับที่พระเยซูได้แบ่งปันให้กับเราแล้ว”

            เห็นไหม? นี่คือสิ่งที่พระเยซูต้องการให้เราทำ ทำอะไร? ฝึกฝนในการเอาความรักที่เป็นแสงสว่าง ที่อยู่ในวิญญาณของเรา ให้มันฉายแสงออกไป ฉายแสงไปที่ความมืดบนโลกใบนี้  ท่านอยู่บนโลก ท่านไม่ใช่ของโลก ท่านเป็นความสว่าง ไปที่ไหนก็เอาความสว่างนี้ไปด้วย พูดง่ายๆ เป็นภาระไหม? ไม่เป็นภาระ

            ความรักเป็นลักษณะธรรมชาติของวิญญาณและจิตใจของเรา คริสเตียน ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิวก็ตามที่ได้เกิดใหม่ เราแค่รับรู้ความจริงนี้ แล้วฝึกฝน ตามธรรมชาติความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ ให้ฉายแสงออกมาเท่านั้น ยกตัวอย่าง ไปถึงไหน หงุดหงิด  คอยตำหนิว่าคนอื่น ฝึกทำไม? …

            “ไม่ใช่ ฉันเกิดใหม่แล้ว ฉันเป็นแสงสว่างแล้ว ฉันเป็นความรักแล้ว มีหงุดหงิดได้อย่างไร?”

            แล้วก็ให้ความรักที่อยู่ในใจนั้น สำแดงออกมาซะ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ มันก็จะสงบขึ้นไปเรื่อยๆ นี่มันเป็นอย่างนั้น  ซึ่งสามารถทำได้ โดยเป็นธรรมชาติ ภายใน ไม่เป็นภาระเลย เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ ที่เราคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นอยู่จริงๆ ในวิญญาณของเรา

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาทำให้ และนำมาประกาศให้ เป็นธรรมชาติ เหมือนเป็นปลา ก็ว่ายน้ำตามธรรมชาติ  เป็นนก ก็บินตามธรรมชาติ  เป็นงู ก็เลื้อยตามธรรมชาติ  เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ก็เป็นความรักตามธรรมชาติ ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ  ไม่ได้เดือดร้อน จับนกไปว่ายน้ำ ไม่เป็นธรรมชาติแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราเป็นความรัก ก็ให้ฉายแสงความรักนี้ออกมาเท่านั้น  พระเจ้าอวยพรครับ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ยามลูกทุกข์ยากลำบาก?

            เราอาจถามพ่อแห่งฟ้าสวรรค์แบบกันเองได้ … “พระเจ้าอยู่ที่ไหน  ลูกกำลังประสบกับความทุกข์ลำบากมากเหลือเกิน ในขณะนี้ …?”

            แล้วพระเจ้าก็ตอบว่า … อิสยาห์ 41:10 … “อย่ากลัวเลย เพราะพ่ออยู่กับลูก อย่าท้อแท้ เพราะพ่อเป็นพระเจ้าของลูก พ่อจะทำให้ลูกเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยลูก พ่อจะชูเจ้าไว้  ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของพ่อ  (คือพระเยซูคริสต์)”

            และ …  ฮีบรู 13:5 … “จงพอใจในสิ่งที่ลูกมี ลูกเป็นอยู่  ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า   “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้า  พ่อจะไม่มีวันละทิ้งลูก  ให้อยู่ตามลำพัง”

            และเมื่อได้ยินพ่อพูดอย่างนั้นแล้ว   เราที่เป็นลูกก็จะสามารถตอบ ได้อย่างมั่นใจได้ว่า … ฮีบรู 13:6 … “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูก ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ใครจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

            พระเจ้าอวยพรครับ