คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม 2023
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 29
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อเอเฟซัส บทที่ 4 ข้อที่ 21 บอกว่า …
เอเฟซัส 4:21 “แน่ทีเดียว ท่านได้ฟังเรื่องพระองค์ และรับคำสอนในพระองค์ ตามความจริง ซึ่งอยู่ในพระเยซู”
สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงที่ข้อที่ 20 …
เอเฟซัส 4:20 “ส่วนท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น”
อาจารย์เปาโลพูดถึงลักษณะเดิมก่อนที่ผู้เชื่อเหล่านี้ มาเชื่อพระเจ้า มีลักษณะแบบไหน? แล้วอาจารย์เปาโลก็ตบท้ายบอกว่าจริงๆ แล้วพวกท่าน เมื่อมาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ท่านก็ไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น คือพระเยซูคริสต์ได้ให้เราบังเกิดใหม่แล้ว ให้วิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ให้กับพวกเราแล้ว ตอนนี้สิ่งที่พวกเราผู้เชื่อควรจะเข้ามาเรียนรู้ คือเรียนรู้ว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ให้เราเป็นอะไรบ้าง? แล้วเราก็ค่อยๆ ฝึกฝนให้เป็นไปตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา
ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าเมื่อท่านได้ยินเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ตามความจริง ซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ อย่างที่เราบอกสัปดาห์ที่แล้ว ที่อาจารย์เปาโลบอก … “อย่าพูดโกหกนะ” หลายคนก็เข้าใจว่าพูดถึงเราโกหกกัน อาจารย์เปาโลบอกอย่าทำ แต่ความจริงตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกไม่โกหก คือให้พูดตามความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครแล้ว เราก็เอเมนตามนั้น นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลจะสื่อให้เรารู้
เอเฟซัส 4:22 “เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิมนั้น ท่านได้รับการสอนให้ทิ้งตัวตนเก่าของท่าน ซึ่งกำลังถูกทำให้เสื่อมโทรมไป โดยตัณหาอันล่อลวงของมัน”
เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิม ทำไมอาจารย์เปาโลต้องย้ำเรื่องวิถีชีวิตเดิม เราจำเป็นจะต้องรู้ความจริงอันหนึ่งที่มันเกิดขึ้นในชีวิตผู้เชื่อ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราเปลี่ยนใหม่แล้ว วิญญาณเป็นเหมือนพระเยซู 100% เลย ความคิดจิตใจเราก็เป็นเหมือนพระเยซู 100% แต่ส่วนที่เราต้องพัฒนา เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ว่าลักษณะชีวิตของลูกพระเจ้าควรจะทำแบบไหน? นี่คือการเรียนรู้นะ
ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราทิ้งตัวตนเก่า หมายความว่ามันเป็นความเคยชินเก่ามากกว่า เพราะว่าจริงๆ แล้วตัวตนเก่าเราไม่อยู่แล้วนะ พระเจ้าบอกว่าตัวตนเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นคนใหม่ในพระเยซู สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย สะอาด จนขนาดที่พระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ ถ้าเรายังสกปรก เหมือนก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าไม่สามารถเข้ามาอยู่ในเราได้เลย พี่น้องต้องเข้าใจตรงนี้
คำว่า “ตัวตนเก่า” ตรงนี้ หมายถึงความเคยชินเก่าๆ ที่มันยังอยู่ในเรา มันยังคอยล่อลวง ทำให้เราสามารถที่จะทำตามมันได้ ฉะนั้น ตรงนี้ให้เราทิ้งซะ ลักษณะเหมือนเราใส่เสื้อผ้า อย่างที่บอกให้ถอดเสื้อเก่าทิ้ง แล้วก็สวมเสื้อใหม่ เสื้อใหม่ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ให้กับพวกเรา เป็นเสื้อใหม่ที่ถูกแขวนไว้ในตู้ใหม่ หลังจากที่เราบังเกิดใหม่แล้ว เสื้อใหม่ของเรา คืออะไร? ความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรรม ความดีงาม ความรัก ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทั้งหมดนี้ คือเสื้อใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าเตรียมไว้ในตู้เลย เราไม่ต้องไปหา แล้วก็ไม่ต้องพยายามทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ต้องไปตัดด้วย คือพระเจ้าตัดให้เรียบร้อยแล้ว แขวนอยู่ในตู้ แค่ว่าเราเลือกที่จะหยิบเสื้อตัวไหนออกมาใส่เท่านั้นเอง ที่เหมาะสมกับกาลเทศะ เหมาะสมกับเวลา หรือจังหวะแต่ละจังหวะที่เราไปพบเจอใคร? อะไร? อย่างไร? ตรงนี้ เราค่อยๆ เรียนรู้ เพื่อที่เราจะรับรู้ว่าตอนนี้เรามีเสื้อตัวนี้อยู่นะ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเรามีเสื้อแห่งความดีงามอยู่ พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราแล้ว พอเราจะออกไปข้างนอก เราก็ไปฉวยเอาเสื้อขาดวิ่น คือเสื้อความอิจฉา ริษยา เสื้อความเห็นแก่ตัว ใส่ แล้วก็เดินออกไปเลย แล้วเราก็ทำให้คนอื่นมองเห็น …
“เป็นคริสเตียน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”
แล้วพี่น้องเชื่อไหมว่าคริสเตียนก็จะสามารถทำอย่างที่คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนทำได้ เพราะ ว่าถูกหลอกไง เราถูกหลอกที่ยังไปทำตามความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยเป็น แล้วเราก็หลงไปทำตามมัน แต่ให้พี่น้องเชื่อเถิด เราทำได้ไม่นานหรอก เพราะว่าธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้เราใหม่ อยู่ข้างใน มันจะคอยบอกเรา เราไม่สบายใจหรอก เราไม่มีความรู้สึกดีที่เราจะไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย หรือเราจะไปทำสิ่งที่เป็นความเคยชินเดิมๆ ที่เราเคยทำอยู่ มันติดนิสัยไง เหมือนติดนิสัย เวลาคนถามอะไรปุ๊บ เราจะปฏิเสธไปก่อนเลย
“ไปไหนมา?”
“เปล่า ไปสุขุมวิทมา”
“กินข้าวหรือยัง?”
“ยัง ไปกินร้านนี้”
มันติดเป็นนิสัย แล้วมันก็ออกมาโดยอัตโนมัติ โดยปกติที่เราทำจนเกิดความเคยชิน แต่อาจารย์เปาโลสอนเราว่าให้เราเรียนรู้จักธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้กับเรา แล้วก็ค่อยๆ ฝึกฝน
คำว่า … “ค่อยๆ ฝึกฝน” หมายความว่าไม่ได้ทันที ที่เราสามารถเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนจากคนที่เคยเห็นแก่ตัวมากๆ กลายเป็นคนเอื้อเฟือเผื่อแผ่ทันที มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต้องค่อยๆ พัฒนา เหมือนเด็กหัดเดิน ไม่ใช่ลุกขึ้นมาปุ๊บ วิ่งเลย ไม่ใช่ ต้องค่อยๆ เตาะแตะ ต้องค่อยๆ เกาะ ค่อยๆ เดินทีละก้าว สองก้าว จนขาแข็งแรงปุ๊บ เขาสามารถวิ่งได้ นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ที่พระเจ้าให้เราเห็น
ธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณใหม่ของเราก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน คริสเตียนยังคงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ที่เขาเป็นจริงๆ ณ เวลานี้ในวิญญาณได้ตลอดเวลา ถ้าเราเผลอ ถ้าเรายอมให้อิทธิพลของโลกใบนี้ หรือความเคยชินเก่าๆ ยังคงโน้มนำเรา ให้เราทำตามมัน เราก็จะมีโอกาสทำตามมัน
พอเราทำตามปุ๊บ อย่างที่บอกไง เหมือนปลาที่ต้องอยู่ในน้ำ พอเผลอ ลืมตัว กระโดดขึ้นบนบก แป๊บเดียวเอง ปลาไม่มีน้ำ มันจะดิ้นผลักๆ หาน้ำ เพื่อที่จะลง คริสเตียนเหมือนกัน ถ้าเราเผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ ที่ ณ เวลานี้เราเป็นแล้วนะ พระเจ้าบอกว่าเราสะอาด เราดีงาม เราชอบธรรม เราบริสุทธิ์ ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามปุ๊บ เราจะไม่รู้สึกว่าสบายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราอาจจะสบายใจนะ ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า ถ้าใครมาด่าเราปุ๊บ ไม่ได้เราต้องด่ากลับ เขาด่าเราคำเดียว เราด่าสัก 3 คำ
“อุ๊ย สะใจ”
“สะใจตรงไหน?”
“เราได้ด่าเขาเยอะกว่าอีก”
อะไรประมาณนั้น นั่นคือวิถีชีวิตเดิม ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มันเป็นแบบนั้น แต่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็บอกเราว่าอย่าไปทำ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นวิถีทางของพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าห้ามปุ๊บ เราจะเลิกได้ทันที เราจะค่อยๆ เลิก เราจะแปลกใจกับตัวเราเองว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเรา บ้านแตกแน่ๆ แต่ ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้า เรื่องเดียวกัน เกิดขึ้น บ้านไม่แตก อยู่ในความสงบ อาจจะมีรวนนิดหนึ่ง คลื่นใต้น้ำ อยู่ข้างใน แต่เรายังสามารถควบคุมได้อยู่ เป็นบางครั้ง แต่บางครั้ง เราก็วีนแตกเหมือนกัน ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะวีนแตกหรือไม่แตก พระเจ้าไม่ได้สนใจดูตรงนั้นเลย แต่พระเจ้าสนใจว่า …
“ณ เวลานี้ เธออยู่ในพระคริสต์แล้ว เธอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เธอจะสามารถค่อยๆ ฝึกฝนพัฒนาตัวเอง ให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นๆ ทุกวันๆ”
แน่นอนเลย พี่น้องไม่ต้องกังวลว่าคริสเตียนจะสามารถไปทำชั่วเหมือนเดิม หรือทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของตัวเอง เหมือนเดิมทุกวันทุกเวลา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว โดยความเป็นจริงในวิญญาณของเรา เราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย เราอยากทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าตลอดเวลา แต่เราสามารถที่จะเผลอได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน พระเจ้าจึงบอกเราว่าให้เรารับรู้ความจริง จดจ่อกับความจริงว่าตอนนี้เราเป็นใคร? เราเป็นอย่างไร? ตลอดเวลา? เพื่อถ้าเราหลุดจากความเป็นจริง จริงๆ เราจะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ใช่ๆ รีบ หยุดชะงัก แล้วก็ถอยห่างออกมา มันเป็นลักษณะแบบนี้นะ เราจะเป็นแบบนี้ทุกวัน จนกว่าลมหายใจเราจะหยุด และวิญญาณเราออกจากร่าง
พี่น้องอย่าคาดหวังว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราจะสามารถทำดี 100% ตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นบนโลกใบนี้ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าเราจะสามารถทำดีได้มากขึ้นๆ อดทนได้มากขึ้น เอื้อเฟือเผื่อแผ่คนอื่นได้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะให้มากขึ้น มากกว่าที่จะเอาจากคนอื่นตลอดเวลา มันจะมากขึ้นเรื่อยๆ พอมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็พัฒนา พอเราได้เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราใหม่ เปลี่ยนแปลงความคิดตรงสมอง ตรงนี้ ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เรามอบถวายความคิดของเรา
คือความคิดตรงนี้เป็นสนามรบ ที่สามารถรับสื่อ สื่อจากข้างนอกเข้ามา หรือสื่อจากพระวิญญาณมา เหมือนกัน ที่นี่ถ้าเรารับสื่อจากพระวิญญาณมาก ความคิดตรงนี้ก็จะเปลี่ยนไปตามพระวิญญาณมาก แล้วถ้าความคิดเราเปลี่ยนปุ๊บ มันจะส่งผลอันหนึ่ง คือทำให้เรากระทำตามความคิดตรงนี้แหละ ถ้าใครจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง มันต้องคิดก่อน แล้วค่อยทำ อยู่ดีๆ เราบอกว่าเราเอาไม้ไปตีหัวใคร? เรายังไม่ทันคิดเลย มันไม่จริง เราแค่คิดว่าเราไม่คิด แต่มันคิดไปแล้ว คิดถึงจะทำ สมองมันจะสั่งเราทำ
ความคิดตรงนี้ คือสนามรบของคริสเตียน ที่เราจะเอาความคิดเราไปจดจ่ออยู่ที่ไหน? จดจ่ออยู่ที่โลกใบนี้ ระบบของโลกนี้ ส่งเข้ามา หรือจดจ่อกับสิ่งที่พระเจ้าส่งมาให้กับเรา เมื่อเราจดจ่อกับสิ่งที่พระเจ้าส่งมามาก ความคิดเราเปลี่ยนไปตามฝั่งของพระเจ้ามากเท่าไร? พฤติกรรม หรือการกระทำของเรา ก็จะส่งผลออกมาตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา ได้มากขึ้นๆ เราจะสู้กันอย่างนี้แหละ จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไม่ต้องสู้แล้ว
นี่คืออีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำไมอาจารย์เปาโลบอกว่าอยู่เพื่อพระคริสต์ ตายได้กำไร เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เรารู้แหละ แน่นอนเรารอดแน่ เราไม่ต้องไปห่วงแล้วว่าตายไป เราต้องไปตกนรก หรือตายไป เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา พระเจ้าจะพิพากษาเราว่า …
“วันนั้น เธอไปด่าใคร? อะไร?”
ไม่เกี่ยวเลย เพราะว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ทันทีที่วิญญาณเราออกจากร่าง มีแค่ 2 ส่วนที่ไปอยู่สวรรค์กับเรา
ส่วนแรก คือวิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าให้กับเรา ไปอยู่กับพระเจ้า
ส่วนที่ 2 คือความคิดจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าให้กับเรา ไปอยู่กับพระเจ้า
ส่วนร่างกาย ความคิดที่สามารถแปลสภาพทุกวันๆ ตรงนี้ ที่เราคุยกันว่าให้ความคิดจดจ่ออยู่กับถ้อยคำของพระเจ้าตรงนี้ ส่วนตรงนี้จะไม่ตามเราไป มันจะตายไปพร้อมกับร่างกายเนื้อหนังนี้ของเรา เราจะไปแค่ 2 ส่วนเอง แล้วเมื่อไปถึงสวรรค์ เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่ได้อยู่ในความคิดของเราเลยว่าเราเคยไปด่าใครไว้ เราเคยไปทำสิ่งที่ไม่ดีอะไรไว้ ไม่มีติดตามเราไป เราจำไม่ได้ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าไม่จดจำความผิดของเราเลย เมื่อเราไปอยู่บนสวรรค์ เราก็จะเป็นเหมือนพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง ในโลกวิญญาณ และอนาคตข้างหน้าพวกเราก็จะได้ไปรับร่างกายใหม่
นี่อาจารย์เปาโลบอกตายได้กำไรทันที กำไรตรงที่เราไม่ต้องดิ้นรนแล้วไง พอวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ ชีวิตนี้แฮปปี้เลย จบ ไม่ต้องดิ้นรนอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องดิ้นรน เรายังต้องต่อสู้กับระบบของโลกนี้ ที่ส่งเข้ามาในความคิดของเราตลอดเวลา สู้กันระหว่างความคิดที่พระวิญญาณส่งมากับความคิดของโลกนี้ส่งมา เราสู้กันตลอดเวลา แล้วเราเป็นคนกลาง เราเป็นผู้ที่จะตัดสินใจว่าเราจะทำตามพระเจ้า หรือทำตามโลกนี้ เราตัดสินใจได้ พระเจ้าเอเมนกับเราทุกเรื่องเลยนะ ถ้าเราตัดสินใจที่วันนี้ เราอยากจะทำตามโลกนี้ เราอยากจะเกเร พระเจ้าก็ต้องเอเมน คือพระเจ้าไม่บังคับเราไง พระเจ้าเอเมนแบบเป็นห่วง …
“ลูกเอ๋ย ลูกไปตัดสินใจอย่างนั้น เดี๋ยวลูกก็จะเจ็บตัว” … เจ็บตัวบนโลกใบนี้
ฉะนั้น เราก็ยังต้องต่อสู้จนถึงลมหายใจสุดท้าย เราก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงดูแลเรา เมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดี … การงานดีที่พระเจ้าทรงเริ่มต้นในชีวิตของเรา ก็คือทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา ความคิดจิตใจใหม่ให้กับเรา นี่คือการเริ่มต้น พอเริ่มต้นปุ๊บ พระเจ้าก็จะรักษาวิญญาณของเราตรงนี้ไว้ ไม่ว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะหัวหกก้มขวิดขนาดไหน? พระเจ้าก็ยังคงจะรักษาวิญญาณเราตรงนี้ไว้ เราไม่ต้องกังวลว่าถ้าเกิดเราทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตกลงวิญญาณเราจะรอดไหม? ไม่ต้องห่วงตรงนั้นเลย รอดแน่นอน พระเจ้าบอกเกิดแล้วเกิดเลย รอดแล้วรอดเลย แต่ว่าถ้าเรายังคงใช้ชีวิตแบบตามใจตัวเอง หรือเรียกว่าความเคยชินเดิมๆ เราก็จะเจ็บตัว เจ็บตัวบนโลกใบนี้ แทนที่เราจะอยู่อย่างมีสันติสุขมากขึ้น พระเยซูยังบอกว่า …
“อยู่บนโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก”
อย่างไรก็ทุกข์ยาก แล้วถ้าเราไปทำตามระบบของโลกนี้ ที่นำเสนอมา เราก็จะทุกข์ยากมากกว่าเดิม แทนที่จะทุกข์น้อยลง เราก็จะทุกข์เพิ่มขึ้น ซึ่งพระเจ้าก็ไม่อยากให้ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทุกข์มากกว่าที่มันควรจะเป็น แล้วในขณะเดียวกัน ถ้าเราดำเนินชีวิตตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นปุ๊บ อันหนึ่งเลย เราจะสำแดงพระเยซูคริสต์ให้คนอื่นได้สามารถสัมผัสจับต้องได้ ให้คนอื่นเขามีความรู้สึกว่าเป็นคริสเตียนนี้ดีนะ พระเจ้าดีๆ เราอยากจะมารู้จักกับพระเจ้าองค์นี้ ที่ทำไมคนนี้เขาเปลี่ยนได้ขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เดี๋ยวนี้สุดยอดเลย อะไรอย่างนี้ เราก็จะได้สำแดงพระเยซูคริสต์ออกไป คนอื่นเขามอง แล้วก็น่าติดตามนะ แต่ว่าถ้าเรามาเชื่อพระเจ้า แล้วเรายังคงดำเนินชีวิตตามความเคยชินเดิม ความรอดเราไม่หลุดนะ ยังไงเราก็รอด แต่เราก็จะไม่ได้สำแดงพระสิริของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของเรา เราก็ไม่สามารถที่จะรับใช้พระเจ้าได้เต็มที่
งานรับใช้ ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องพยายามไปหางานทำ ไม่ต้อง งานรับใช้ คือสำแดงลักษณะชีวิตใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา เปลี่ยนแปลงเราแล้ว ออกไปทุกวันๆ แหละ เราไปเจอเพื่อน? เจอคนข้างนอก? คนได้สัมผัสความรักที่พระเจ้าให้กับเรา ข้างในมันถูกถ่ายทอดออกไป ให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคริสเตียน หรือไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาจะสัมผัสได้จริงๆ ว่า …
“คนนี้แปลก ไม่เหมือนชาวบ้าน เขามีอะไรดี”
คนก็จะมาศึกษาว่าคนนี้ดี อะไรประมาณนั้น เราก็จะได้มีโอกาสประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ให้กับคนรอบข้างได้รับรู้ความจริงตรงนี้ด้วย ข้อ 23 …
เอเฟซัส 4:23-24 “23 เพื่อรับการสร้างท่าทีความคิดจิตใจขึ้นใหม่ 24 และเพื่อสวมตัวตนใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”
“ท่าที ความคิดจิตใจขึ้นใหม่” ต้องมีการสร้าง ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ สะสม ไม่ได้เปลี่ยนวิญญาณ เปลี่ยนความคิดจิตใจปุ๊บ เราจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่เลย ไม่ใช่ ต้องค่อยๆ สะสม สะสมจากสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังทุกวันว่า …
“ตอนนี้ฉันเป็นคนดีพร้อมแล้วนะ ตอนนี้ฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันสะอาด ฉันบริสิทธิ์ ฉันดีพร้อม”
นี่คือสิ่งที่มันเป็นจริง แล้วการที่เราพูดอย่างนี้ เราไม่ได้เยินยอตัวเอง …
“เธอดีตรงไหน? ไหนบอกว่าเธอดีพร้อม เมื่อกี้ฉันยังเห็นเธอทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่เลย”
“ไม่เกี่ยว อันนั้นเรื่องของโลกวัตถุ แต่ในวิญญาณฉันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันยอมรับ ฉันเอเมนกับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นอย่างนี้ ฉันตามนี้เลย”
เขาเรียกว่ายืนหยัด พอเรายืนหยัดมากเท่าไร? ข้างในวิญญาณเรา ความคิดเราจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากการที่คอยฟ้องผิดตัวเอง …
“ฉันมันเลว”
ใครบอกว่าเราเลว พระเจ้าบอกว่าเราเป็นคนดีพร้อม แต่เราด่าตัวเองว่า …
“ฉันมันเลว เมื่อกี้ฉันยังคิดไม่ดีอยู่เลย ฉันอย่างโน้น อย่างนี้”
เมื่อไรที่เราคิดแบบนี้ แปลว่าเรากำลังปฏิเสธสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็น มันอันตราย พระเจ้าบอกว่าเราดี แต่เราเถียงพระเจ้าบอกว่า …
“ไม่จริงหรอก พระองค์เจ้าข้า ลูกยังเลวอยู่เลย ลูกยังทำไม่ดีอยู่เลย”
พระเจ้าบอกว่า “พระเยซูทำให้เธอดีแล้ว วิญญาณเธอดีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียว พระโลหิตของพระเยซูหลั่งลงครั้งเดียว ชำระล้างความผิดบาป อดีต ปัจจุบัน อนาคต พระเจ้าชำระให้หมด แล้วเรายังบอก …
“ฉันมันแย่ๆ”
มารทำงานผ่านระบบของโลกนี้ มันพยายามที่จะหลอกคริสเตียน ให้เราไม่สามารถรับรู้ความจริงที่พระเจ้าบอกเรา แล้วตัวเราเองนั่นแหละ เป็นคนทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไม่ชัดเจน เมื่อพระเยซูบอกว่าเราเป็นคนดีพร้อมแล้ว เราเอเมนตามนั้นเลย แม้ว่าในขณะนี้เรายังไม่เห็นดีเลย ช่างมัน มันเป็นเรื่องของโลกนี้ แต่วิญญาณฉันดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแน่นอน ตามนี้แหละ นี่เป็นการยืนยันถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าก็จะค่อยๆ สร้างความคิดของเราขึ้นมาใหม่ ให้ความคิดเราเห็นพ้องต้องกันกับถ้อยคำของพระเจ้า
มีถ้อยคำอันหนึ่งบอกว่าเราจะจับเอาความคิด ที่ยกตัวขึ้นต่อต้าน ขัดขืนถ้อยคำของพระเจ้า เราจะลงโทษมัน วิธีลงโทษความคิดนี้ ไม่ใช่ด้วยการที่เราจับความคิด แล้วมาตีๆ ไม่ใช่ การลงโทษความคิดที่พยายามต่อต้าน ขัดขืนพระเจ้า หรือพยายามไม่เชื่อฟังพระเจ้า จับมันให้อยู่ โดยวิธีทำอะไร? วิธีทำตรงกันข้าม เมื่อความคิดนี้ มันส่งเข้ามาว่า …
“คนนี้เขาคิดไม่ดีกับเธอ เธอต้องโต้ตอบไปเลย ด้วยความคิดที่ไม่ดีกับเขาด้วย”
เราจับความคิดตรงนี้ ลงโทษมันด้วยวิธี …
“เธอไม่ต้องมาเสี้ยม แม้ว่าเขาจะคิดไม่ดีกับฉัน แต่ฉันจะคิดดีกับเขา เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในฉัน คือความดี”
นั่นแหละ คือวิธีแค่นี้ มันง่ายๆ นะ ไม่ได้สอนคริสเตียนว่าต้องไปสู้รบปรบมือกับใคร? ไม่ต้อง แค่ยึดความคิดนี้ ให้มั่น แล้วก็ทำลายป้อมปราการที่มันพยายามส่งเข้ามาเสี้ยมเรา ให้เราไปทำตามมัน เราไม่ยอม เพราะว่าตอนนี้ พระเจ้าบอกว่าเรามีอำนาจพอ พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา พระองค์มีกำลังพอที่จะช่วยเราได้ เมื่อก่อน ก่อนที่เรายังไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า เราไม่มีกำลัง เราเหมือนหมูในอวย หรือเหมือนไก่อยู่ในกำมือ เราขัดขืนมันไม่ได้เลย มันว่าอย่างไร? เราต้องตามนั้น แต่ ณ ปัจจุบัน เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าเรามีแรงที่จะสู้มัน เราจะไม่ยอมมัน ถ้าโลกนี้ส่งอะไรเข้ามา ฟังแล้ว ข้างในวิญญาณเราจะรู้ว่าอันนี้ ทะแม่งๆ ไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า เราปฏิเสธไปเลย การปฏิเสธตรงนี้แหละ คือการจับมันมาลงโทษ
ยกตัวอย่าง ถ้ามีเพื่อน 2 คน คนหนึ่งชอบมาพูดอะไรไม่รู้เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 ที่มันไม่ดีให้เราฟัง ฟังบ่อยๆ พอฟังมากๆ เราจะเอนเอียงไปตามที่เขาบอก แต่ว่าถ้าเรายืนมั่นอยู่ ไม่ว่าคนนั้นจะมาเสี้ยมอย่างไร? เรามีตามอง เรามีสติปัญญาที่จะพินิจพิจารณาว่าบุคคลที่ 3 ที่คนนี้มาเล่าให้เราฟัง เขามีลักษณะชีวิตแบบไหน? เราดูออก เป็นเพื่อนเหมือนกัน เรารู้ว่า …
“คนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอพูด ฉันจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของเธอ ที่จะทำให้ฉัน เขี่ยให้ฉันผิดใจกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง”
นี่คือลักษณะเดียวกัน คือเราไม่ยอม เราไม่ทำตามมัน แล้วถ้าเราไม่ยอมบ่อยๆ เพื่อนคนนี้ ที่ชอบเสี้ยม เขาจะเลิกเอง เพราะไม่มันเลย ความรู้สึก …
“ไม่มันเลย ยุก็ไม่ขึ้น ฉันพูดจนปากฉีกไปถึงรูหู ไม่ขึ้น บอกจะทำให้ผิดใจกับเพื่อนคนนี้ ไม่เห็นผิดใจกันเลย ไม่เอาดีกว่า เหนื่อย”
เขาก็เลิกรากันไป ลักษณะเดียวกัน มารมันไม่มีอำนาจ แต่ว่ามันทำงานผ่านระบบของโลกนี้ พยายามส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของพวกเราผู้เชื่อ ถ้าเราอือออตามมันปุ๊บ มันได้ใจ อือออได้ครั้งแรก มันจะมาอีกครั้งและจะส่งข้อมูลมาเรื่อยๆ แล้วเราก็ติดกับ เราก็จะทำตามมัน แต่ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมมัน …
“เธอจะพูดอะไร ฉันไม่สนใจ ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ฉันมีจุดยืนของฉัน”
พอเขาเสี้ยมเราบ่อยๆ แล้วไม่เกิดผลอะไร เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราอยู่เฉยๆ เขาจะเบื่อเอง แล้วเขาก็จะทิ้งเราไป เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอกว่าจงต่อสู้ขัดขืนมัน แล้วมันจะทิ้งเราไป วิธีต่อสู้ขัดขืน ไม่ใช่ไป ถือดาบไปฟันมันนะ ไม่ใช่ วิธีต่อสู้ขัดขืน คือ …
“ฉันไม่สนใจ ฉันไม่ตามเธอ เธออยากจะพูดอะไร เชิญตามสบาย ฉันไม่แคร์กับสิ่งที่เธอพูดเลย”
นานๆ เข้า เขาไม่รู้สึกสนุก แต่ถ้าเราตามมัน เดือดเนื้อร้อนใจ สนุก คราวหน้ามีมาใหม่ แล้วก็จะมีมาเรื่อยๆ นี่คือกลของมาร ถ้าเรารู้กลอุบายของมารปุ๊บ เราก็จะสามารถชนะมันได้ คือตัวเราเองจริงๆ เราอยู่นิ่งๆ แหละ เฉยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะให้กำลังเรา ให้แค่รู้ว่าลักษณะการทำงานของระบบของโลกนี้ ผ่านทางการเสี้ยมสอนของมารซาตาน ที่พยายามที่จะทำให้เราขัดใจกับพระเจ้า พยายามทำให้เราใช้วิธีการของระบบโลกนี้ ไปดำเนินชีวิต ซึ่งพระเจ้าบอกอย่าไปทำตามนั้น เพราะว่าลักษณะชีวิตใหม่ของเรา ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว ข้อที่ 25 …
เอเฟซัส 4:25 “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทิ้งสิ่งจอมปลอมเสีย และพูดความจริงต่อกัน เพราะเราทั้งปวงล้วนเป็นอวัยวะในกายเดียวกัน”
ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ต้องไปทำอะไร มันโดยอัตโนมัติ เพราะว่าทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พอเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ และผู้เชื่อทุกคน ใครก็ตามที่ตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทั่วโลกใบนี้ เขาเป็นอวัยวะเดียวกันกับเรา เอเมน เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา โดยอัตโนมัติ แล้วเราก็รักเขาโดยอัตโนมัติ ที่อาทิตย์ที่แล้วเราบอก เรารักเขาเลย ไม่มีเหตุผล เพราะพระเจ้าบอกว่าพระองค์เป็นความรัก ความรักของพระเจ้าอยู่ในเรา เมื่อความรักอยู่ในเขาด้วย เขาเป็นความรัก เราก็เป็นความรัก เราก็รักเขา เขาก็รักเราเลยเช่นกัน
ฉะนั้น ตรงนี้ พระเจ้าบอกเราว่าเราทุกคนเป็นอวัยวะเดียวกันในพระกายของพระคริสต์ แต่ว่าพระเจ้าจะทรงเลือกแต่ละคนให้เป็นอวัยวะชิ้นส่วนไหนในร่างกายของพระคริสต์นี้ แล้วแต่พระองค์เลย ตามน้ำพระทัย ก็คือพระเจ้าจะให้ใครเป็นหู ตา จมูก ลิ้น กาย ปาก เป็นเส้นผม เป็นคิ้ว พระเจ้าเป็นผู้เลือก แล้วพระเจ้าจะให้ใครเป็นหัวใจ ตับ ไต ไส้ พุง พระเจ้าก็เป็นผู้เลือกอีก เมื่อพระเจ้าเลือกปุ๊บ พระเจ้าก็ใส่ความสามารถ ไม่ใช่เลือกมาโชว์เฉยๆ เลือกปุ๊บ พระเจ้าใส่ความสามารถ เราจะเห็นว่าอวัยวะในร่างกายของมนุษย์ แต่ละชิ้นส่วนมีหน้าที่ของมัน และมีความสามารถพิเศษของมันด้วย ซึ่งแต่ละอวัยวะจะทำงานตามความเหมาะสม เมื่อทำงานตามความเหมาะสมปุ๊บ ร่างกายนั้น ก็จะแข็งแรง นี่คือหลักการทั่วไป
ฉะนั้น พระเยซูคริสต์ก็บอกว่าพวกเราต่างเป็นอวัยวะเดียวกัน เมื่อเราเป็นอวัยวะเดียวกันปุ๊บ ให้เราทิ้งสิ่งจอมปลอม ก็คืออย่าพูดอะไรที่มันไม่เป็นไปตามความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า นึกออกไหม? ถ้าความจริงของพระเจ้าบอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว เราอย่าพยายามไปพูดให้ผู้เชื่อมีความรู้สึกว่า …
“ตอนนี้ฉันยังอยู่ในพันธนาการอยู่เลย ฉันไม่เห็นอิสระเลย”
อันนั้นเท่ากับเรากำลังโกหกพระกายของพระคริสต์ ถ้าเราโกหกพระกายของพระคริสต์ ก็เท่ากับเราโกหกตัวเองแหละ เพราะเราอยู่ร่างกายเดียวกัน ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกอันนี้อย่าทำ
เอเฟซัส 4:26 “ในยามโกรธ อย่ากระทำบาป” อย่าให้ถึงดวงอาทิตย์ตกแล้วท่านยังโกรธอยู่”
จะเล่าให้ฟัง สมัยก่อนดิฉันเข้าใจว่าถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลสอน …
“เธอโกรธใครนะ ตะวันตกดิน รีบๆ หายโกรธนะ ไม่อย่างนั้น มันจะมีปัญหา”
เราก็เข้าใจว่ามันต้องรีบๆ อะไรประมาณนั้น คือเป็นคริสเตียนโกรธได้นะ ไม่ใช่โกรธไม่ได้ เรายังเป็นมนุษย์อยู่ แล้วเรายังอยู่ในเนื้อหนังอยู่ เราโกรธได้ แต่พี่น้องลองคิดดูว่าการโกรธนานๆ มันมีประโยชน์สำหรับร่างกายเราไหม? อาจารย์เปาโลบอก …
“ท่านทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้ามหรอก แต่มันมีประโยชน์ไหม?”
มาคิดแค่นี้นะ ถ้าทำแล้วไม่มีประโยชน์ ทำไปทำไม? แค่นี้เอง มันง่ายๆ ถ้าทำแล้วมันไม่มีประโยชน์ ทำไปทำไม ทำแล้ว ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหม? ถ้าคนอื่นไม่เดือดร้อน แล้วทำให้ตัวเองเดือดร้อนไหม? เวลาโกรธตัวเองเดือดร้อนนะ มันไม่มีความสุขเลย
ดิฉันเคยโกรธ โกรธมากด้วย คนอาจจะคิดว่าดิฉันเกิดมา สงสัยโกรธไม่เป็น หัวเราะตลอดเวลา โกรธเป็นนะคะ โกรธแล้วมันไม่ได้มีความสุข คือตัวเราเองไม่มีความสุขจริงๆ แล้วพอโกรธนานๆ เราก็นั่งคิดโกรธทำไม? โกรธไปไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย เลิกโกรธดีกว่า อะไรประมาณนี้
แล้วเวลาเราโกรธ ถ้าโกรธแล้ว ในพระคัมภีร์บอกอย่าทำบาป เพราะความโกรธตรงนี้ มันจะนำเรา พอเราโกรธ เรากำลังเปิดประตูให้กับมารมันมาทำงาน หรือระบบโลกนี้เข้ามาทำงานได้ มันสามารถทำ เอาความโกรธตรงนี้ของเรานี่แหละ ให้เราไปทำสิ่งที่มันไม่ดี พอโกรธปุ๊บ ร้อยแปดพันเก้าในสมองเราก็คิดแล้ว คิดชั่ว ความชั่วมันมาเลย แต่ว่าถ้าเราจมปลัก ให้มันอยู่ตรงนี้ เราก็ทำร้ายตัวเอง มันไม่ได้มีผลอะไรกับคนอื่นเลยนะ มันทำร้ายตัวเราเอง แทนที่เราจะมีความสุขในทั้งวันนี้ เราไปโกรธซะแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรายังไม่หายโกรธเลย ความสุขที่มันควรจะมี มันหายไป แค่นั้นเอง แล้วพระเจ้าก็ไม่อยากให้เรา อยู่บนโลกนี้ มันก็ทุกข์อยู่แล้ว แล้วยังจะไปทำตัวเองให้ทุกข์มากกว่านี้ เพื่ออะไร? มันไม่มีประโยชน์อะไร? อาจารย์เปาโลก็สอนอย่างนี้ มันเป็นประโยชน์สำหรับเรานั่นแหละ ไม่เกี่ยวอะไรกับใครเลย
เอเฟซัส 4:27 “และอย่าให้โอกาสแก่มาร”
นี่คือเหตุผล โกรธเยอะๆ เราก็ให้โอกาสมารที่จะทำให้เราคิดตามมัน ทำตามมัน โกรธเยอะๆ เดี๋ยวเราคิดแล้ว แค้นนี้ต้องชำระ เดี๋ยวไปจัดการสักหน่อย ดูแล้วหมั่นไส้ พอโกรธเยอะ ความคิดมันมาทุกอย่างเลย แล้วเราก็วางแผนในสมองแล้ว ถ้าเจอคราวหน้า เราจะเอาไม้ไปตีหัว ให้เข็ดเลย หัวร้างข้างแตกไปเลย มันก็คิดได้เรื่อยเปื่อย ไปเรื่อย
ถามว่าที่ในพระคัมภีร์ข้อนี้ อาจารย์เปาโลพูดกับใคร? ไม่ได้พูดกับคนไม่เชื่อ พูดกับผู้เชื่อ แล้วเราก็จะห๊า! ผู้เชื่อยังมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่หรือ? มันยังมี ผู้เชื่อยังสามารถมีพฤติกรรมแบบนี้ได้ ถ้าเรายอมให้อิทธิพลของความบาปบนโลกใบนี้มาโน้มนำเรา ทำให้เราเกิดอาการแบบนี้ตามมัน ซึ่งพระเจ้าบอกตอนนี้ข้างในเราเป็นความดีงาม เราเป็นความรัก ความรักสามารถลบล้างความผิดมากมายได้ ถ้าเรารับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นความรัก ความรักสามารถทำให้ระงับความโกรธที่มันอยู่ในใจของเราได้ มันได้จริงๆ
ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคนอย่าเปิดโอกาสให้มาร แต่ถ้าเราเปิดโอกาสไปแล้ว ทำอย่างไร? ลุกขึ้นมาสิ แค่นั้นเอง เปิดไปแล้ว เจ็บไปแล้ว ทุกข์ร้อนไปแล้ว ก็ลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า มันไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของท่าน ชัดเจนนะ อีกครั้งหนึ่ง จะย้ำไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของท่าน แต่มีผลกับการดำเนินชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ ท่านอยากจะสุขมาก หรือทุกข์มากแล้วแต่ เรามีสิทธิ์เลือก ถ้าเราอยากจะทุกข์มาก ก็ไปหาเรื่องคนเยอะๆ เดี๋ยวเราทุกข์เองนั่นแหละใช่ไหม? แต่ถ้าเราอยากจะสุขมาก อยู่อย่างสงบนะ ในพระคัมภีร์บอกว่าไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบกับคนทั้งปวง แค่นั้นเอง
วิธีอยู่อย่างสงบ มันขึ้นอยู่กับเรา เราจะทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ หรือเราจะทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ก็ได้ นึกออกไหม? เราสามารถทำได้ด้วยตัวของเราเอง พระเจ้าจะให้กำลังเรา
เอเฟซัส 4:28 “ผู้ที่เคยลักขโมยก็อย่าลักขโมยอีก แต่จงทำงานใช้มือของตนกระทำ สิ่งที่มีประโยชน์ เผื่อจะมีอะไรแบ่งปันให้คนขัดสน”
คริสเตียนยังขโมยได้ไหม? มีเนอะ ความเคยชินเก่าที่มันติดตัวมา อาจารย์เปาโลก็สอนว่า … คำว่า “สอน” หมายความว่าคนนั้นกลับใจใหม่ บังเกิดใหม่มาเชื่อพระเจ้าแล้วนะ จากนั้น อาจารย์เปาโลค่อยมาสอนว่าหลังจากที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราควรจะประพฤติ ปฏิบัติอย่างไร? ให้สมกับการเป็นลูกพระเจ้า สมฐานะเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่คือวิธีการ เชื่อก่อน แล้วค่อยมาสอนให้ทำ อาจารย์เปาโลตรงนี้ ก็เลยสอน
คนที่มาเชื่อพระเจ้าก่อนหน้านั้น สมมติ อย่างโจรบนไม้กางเขน เขาเป็นโจรอยู่ เขากลับใจมาเชื่อพระเจ้า แต่เขาไม่ได้อยู่นาน เชื่อปุ๊บ เขาก็ตาย ไปอยู่กับพระเจ้าเลย …
“วันนี้ท่านจะได้อยู่ในบรมสุขเกษมกับเรา”
แต่ถ้าสมมติโจรคนนี้ เขากลับใจใหม่ แล้วเขายังไม่ได้ตาย เขายังมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้อยคำตรงนี้ พระเจ้าก็จะสอนเขา อาจารย์เปาโลก็จะสอนเขาว่า …
“ต่อแต่นี้ไป เป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ อย่าเป็นโจรอีกนะ แล้วค่อยๆ พัฒนาปรับปรุง”
คนที่เป็นโจรอยู่ในคุก พอหลังจากที่กลับใจเชื่อพระเจ้า เขากลับตัวกลับใจ เขาทำคุณงามความดีในคุก แล้วเขาก็จะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ นี่คือปกติ ไม่ได้หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เป็นโจร ติดคุกอยู่ พระเจ้าก็เสกให้เราไม่ต้องติดคุกเลย กลับบ้านเลย มันไม่ใช่ คือแต่ละคนต้องรับผลในสิ่งที่ตัวเองทำ นั่นคือในถ้อยคำพระเจ้าบอกเราชัดเจน แล้วอาจารย์เปาโลบอกว่า …
“เมื่อก่อนนะ ก่อนที่เธอมาเชื่อพระเจ้า เธอเคยขโมย ตอนนี้มาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว กลับใจใหม่แล้ว ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขตัวเองนะ ก็อย่าไปขโมยอีกนะ”
แต่ว่าสอนอย่างนี้ บางทีความเคยชิน มันก็ไปขโมยอีก จริงไหม? แต่เชื่อเถอะ ขโมยคนนี้จะขโมยน้อยลงๆ จนเขาเลิกขโมย แล้วเขาก็จะไปทำสิ่งที่ดี เพื่อช่วยเหลือคนอื่น นี่คือลักษณะการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ของผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์
เอเฟซัส 4:29 “อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งที่ไม่สมควร แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์ เพื่อสร้างเสริมผู้อื่นขึ้น ตามความจำเป็นของเขา จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง”
พอเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อาจารย์เปาโลก็ให้เราฝึกฝนพัฒนา ก่อนที่เราจะพูด ให้เราคิด คิดก่อนพูด แล้วเราคิด หมายความว่าถ้าประโยคที่เราจะพูด มีประโยชน์กับคนอื่นไหม? ถ้ามีประโยชน์กับคนอื่น เราก็พูด ถ้าพูด แล้วไม่มีประโยชน์อะไร? ไม่เกี่ยวกับใครเลย? เราก็ไม่ต้องพูด แล้วเวลาเราไม่พูด คนก็ไม่ได้ว่าเราเป็นใบ้หรอก แต่ถ้าเราพูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควรพูด มันก็ทำให้คนที่ได้ยินได้ฟัง ระคายเคือง ไม่ได้เกิดผลดีอะไรกับผู้ที่ได้ยินได้ฟังเลย
ฉะนั้น ตรงนี้ พระเจ้าก็จะค่อยๆ ฝึกฝนเรา สอนเรา ให้เรารู้จักยั้งคิด รู้จักที่จะพินิจพิจารณา รู้จักที่จะอดทน ยับยั้งชั่งใจว่าก่อนที่เราจะพูดอะไร? เราคำนวณก่อน มาดูก่อนว่าที่เราพูดมันโอเคไหม? ถ้าไม่โอเค อย่าพูดดีกว่า พูดไป ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับใคร? เก็บไว้แล้วกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะทำได้ ดิฉันเหมือนกัน บางทีดิฉันก็พูดก่อนคิดนั่นแหละ มันความเคยชินของเราเก่าๆ หลายครั้งเราพูดออกไป เราเสียใจ ไม่น่าพูดเลย พูดทำไม? พูดแล้วทำให้คนนี้เขาเสียใจ เราก็เสียใจเหมือนกัน ถ้าเราพูดแล้วทำให้คนอื่นเสียใจ ข้างในเราเสียใจมากกว่า แต่ว่าเมื่อเราพูดไปแล้ว มันเก็บกลับมาไม่ได้ เราก็รับผล ผลมันเกิดขึ้นทันตาเลย ข้างในเราไม่สบายใจ เราเสียใจ เราไม่มีสันติสุข นี่คือผลที่มันเกิดขึ้นทันทีเลย
เอเฟซัส 4:30 “และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย โดยพระวิญญาณนี้ทรงประทับตราท่านแล้ว สำหรับวันแห่งการทรงไถ่ให้รอด”
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทับตราเราแล้ว ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา
การทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย คืออะไร? คือเราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณ เมื่อเราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณ พระเจ้าเสียใจ พระเจ้าอยากให้เราทำตาม เพื่ออะไร? ไม่ใช่พระเจ้าอยากให้ทุกคนต้องเชื่อฟังฉัน ไม่ใช่ แต่ถ้าเราเชื่อฟัง ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มันจะเป็นผลดี สำหรับเราเอง ฉะนั้น ถ้าเรายอมให้โลกนี้ โน้มนำเรา ให้ทำตามระบบของโลกใบนี้ เราก็ทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็บอกอย่าทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย คำนี้ เป็นการเสนอแนะ ไม่ได้เป็นข้อบังคับ เสนอแนะว่าอย่าทำ แต่ถ้าเผลอทำ มันเป็นอะไรไหม? ไม่มีผลกับวิญญาณของเรา เหมือนเดิม แต่ว่าข้างในเรา ขาดสันติสุขไง เห็นไหม? เราทำออกไปปุ๊บ ทันที เรารู้แหละ เพราะพระวิญญาณที่อยู่ในเรา จะบอกเราเอง
เอเฟซัส 4:31 “จงขจัดความขมขื่นทั้งสิ้น ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้น การทะเลาะ และการนินทาว่าร้าย พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ”
อันนี้เป็นความเคยชินเดิม ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มันจะมีโอกาสตามเรามา แต่อาจารย์เปาโลบอกว่า ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็เอาพวกนี้ทิ้งไป เหมือนในหนังสือโครินธ์บอกว่า …
“เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายอยู่ในพระคริสต์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป สิ่งใหม่เข้ามาแทนที่”
สิ่งเก่า คือความเคยชินเก่าๆ ที่มันยังติดเรามา มันจะค่อยๆ ล่วงไป มันจะค่อยๆ หายไป ค่อยๆ หลุดไป สิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ คือความเป็นจริงในธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา มันเข้ามาแทนที่เรื่อยๆ มากขึ้นๆ เหมือนเราเทน้ำเข้าไปในขวด ถ้าร่างกายเราเป็นขวดน้ำขวดหนึ่ง แล้วเราบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ร่างกายเราถูกชำระให้บริสุทธิ์ หมดจดเรียบร้อยไปแล้ว แต่ความเป็นจริง คือความคิดเดิมของเรายังอยู่
ความคิดเดิมของเราเหมือนอยู่ในขวดนี้อยู่ ความคิดเดิมเรา มีกี่เปอร์เซ็นต์ สมมติว่าพอเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดเดิมเรายังมี 50/50 ก็เหมือนขวดนี้ มีน้ำโคลนอยู่ 50% แล้ววิธีไล่น้ำโคลนออกไปจากขวด ก็คือเอาน้ำสะอาดใส่เข้าไป เพื่อไล่น้ำสกปรกออกไป มันจะค่อยๆ ถูกนำออกไป ออกไปจนมันใสขึ้นๆ
เมื่อเรารับรู้ความจริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร? ร่างกายของเรา ก็จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ได้มากขึ้นเท่านั้น เราจะทำให้พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัยน้อยลงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามบอกเหมือนเดิม ขณะที่เราดำเนินชิวีตอยู่บนโลกใบนี้ เราก็ยังคงมีโอกาสทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียใจ เหมือนเดิม แต่ว่าพี่น้องไม่ต้องเอาประเด็นตรงนี้มาเป็นหลัก แล้วก็มาทุกข์ใจ ไม่ต้อง ถ้าเผลอทำไป ก็ลุกขึ้นมาใหม่ เริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ทุกวัน ความรักมั่นคงของพระเจ้าใหม่ สดเสมอ อยู่ทุกเช้าวันใหม่ พระเจ้าให้กับพวกเรา
เอเฟซัส 4:32 “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงอภัยท่านในพระคริสต์”
ให้เราให้อภัยให้แก่กันเหมือนกับพระเจ้าให้กับเรา ใครทำก่อน? พระเจ้าอภัยให้เราก่อน หลังจากนั้น พระเจ้าก็แนะนำนะ ไม่ใช่บังคับ แนะนำว่า …
“ให้อภัยคนอื่นเถอะ เหมือนฉันให้อภัยเธอแล้วไง เธอก็ให้อภัยคนอื่นเถิด”
แต่ว่าถ้าเรายังให้อภัยไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ฝึกฝน ค่อยๆ พัฒนา ค่อยๆ รับรู้ความจริง แล้วเดี๋ยวเราจะให้อภัยได้เอง เรื่องนี้เป็นเรื่องอัตโนมัติ เหมือนกับพระเจ้าบอกว่าให้ท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เราได้รักท่านแล้ว ความรักพระเจ้าใส่เข้ามาก่อน แล้วพระเจ้าก็สอนเราว่าให้เอาความรักตรงนี้แหละไปให้กับคนอื่น ก็คืออย่างที่บอก เราไม่ต้องทำอะไรเลย คือวัตถุดิบ พระเจ้าเตรียมให้เราหมดแล้ว มีพร้อมใช้ตลอดเวลา อยู่ตรงที่ว่าพวกเราผู้เชื่อจะหยิบมันไปใช้ไหม? แค่นั้นเอง ถ้าเราค่อยๆ หยิบทีละนิดทีละหน่อย ทีละวันไปใช้ ความรักตรงนี้ ความเป็นเหมือนพระเจ้า มันจะค่อยๆ เริ่มมากขึ้นๆ ทุกวันๆ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
*****************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเยซูประกาศว่า … “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย”
ยอห์น 6:32-35 … “32 พระเยซูก็ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่ามิใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ ซึ่งมาจากสวรรค์ ให้แก่ท่านทั้งหลาย 33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” 34 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด” 35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย”
ถ้อยคำนี้พระเยซูกำลังเล็งถึงผู้ที่จะเปิดใจยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้รับการบัพติศมาในวิญญาณเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์
เปรียบเสมือนต้องกินเลือดและเนื้อของพระองค์ พระเยซูทรงทำมหาสนิทกับเหล่าสาวกพระเยซูบอกว่าขนมปังเล็งถึงพระกายของพระองค์ที่ต้องแตกหัก น้ำองุ่นเล็งถึงเลือดของพระองค์ที่หลั่งออก เพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์
พระเยซูทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต ชีวิตของพระเยซูที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ที่ได้มาจากพระเจ้า ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม พระเจ้าทรงประทานชีวิตนิรันดร์คืนให้พระเยซู และพระเยซูทรงแบ่งชีวิตนิรันดร์ให้พวกเรา (ผู้เชื่อ)
ชีวิตนิรันดร์มีอยู่ที่เดียว คือมีในพระเจ้าเท่านั้น คุณสมบัติของชีวิตนิรันดร์ ก็คือ …
– เป็นแสงสว่าง
– เป็นความรัก
– เป็นการให้อภัย
– เป็นความอดทน
– เป็นฤทธิ์เดช
– เป็นความบริสุทธิ์
– เป็นความสะอาด ไร้เดียงสา
– เป็นอะไรที่ดีงามเยอะแยะไปหมด
รวมทั้งหมดนี้ เรียกว่า “ชีวิตนิรันดร์”
พระเยซูบอกว่ามากินพระองค์ จะได้อิ่มสบาย หายเหนื่อยเป็นสุข หายหิว มนุษย์หิวกระหายหาพระเจ้า เมื่อเราเชื่อมต่อกับชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็จะเลิกแสวงหาอีกต่อไป เพราะเราพบแล้ว เราได้รับความครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน เราได้บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูแล้ว
พระเยซูคริสต์อยู่ในเราแล้ว เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซู เรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ