คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2023
เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”
“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 4
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอนที่ 4 จริงๆ แล้วอยู่ในบริบทเดียวกันทั้งหมดกับถ้อยคำ หรือคำสอนของพระเยซู ตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่พระองค์ตระเวนประกาศข่าวดี ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้กับชาวยิว ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เพราะเวลานั้น พระเยซูคริสต์ยังทำภารกิจไม่สำเร็จ
ภารกิจของพระเยซูคริสต์ คือการไถ่บาปให้กับเรา ให้เราได้บังเกิดใหม่ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ณ เวลานั้น ภารกิจนี้ยังไม่สำเร็จ พระเยซูจึงตระเวนประกาศว่ายังไม่สำเร็จ แต่กำลังจะสำเร็จ ประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ก็หมายถึงว่าเมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์ได้มาตั้งอยู่แล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น ตอนที่ตระเวนประกาศนั้น สวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่แล้ว ที่ประกาศ ณ ช่วงนั้น ภารกิจยังไม่สำเร็จ พระเยซูบอกว่าสวรรค์กำลังจะลงมา แต่สิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่ กำลังวิเคราะห์กันอยู่วันนี้ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ภารกิจสำเร็จแล้วหรือยัง? สำเร็จแล้ว ก็หมายถึงสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง เอเมน นี่เห็นชัดเจนเลย
ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่าคำอธิษฐาน ในมัทธิว บทที่ 6 ที่เรากำลังวิเคราะห์นี้ รวมทั้งคำสอน คำประกาศของพระเยซู ตลอดทั้ง 3 ปีที่เดินอยู่บนโลกใบนี้นั้น คือถ้อยคำที่พระองค์กำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะยังไม่มีพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ยังคงยึดในการกระทำตามธรรมบัญญัติ พันธสัญญาเดิม พูดง่ายๆ คือยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เพราะฉะนั้น พวกเราที่กำลังวิเคราะห์กันอยู่ในปัจจุบันนี้ เราเป็นคริสเตียนที่กลับใจใหม่แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในยุคพระคุณแล้ว หรือว่ายุคที่เรียกว่าพันธสัญญาใหม่แล้ว ก็คืออยู่ในหลังไม้กางเขนนั่นเอง หลังที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นจากความตายแล้ว สวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว แล้วเราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว
เพราะฉะนั้น เราต้องศึกษาถ้อยคำเหล่านี้ ในมุมมองที่แตกต่างออกไป เอเมนไหม? ผมพยายามย้ำตรงนี้บ่อยๆ มากๆ มันสำคัญที่สุดเลย ไม่อย่างนั้นเราจะสับสนเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มาก เมื่อเราสับสนข่าวประเสริฐ จะทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ควรจะศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น เพราะความจริงได้ถูกลบเลือนออกไป ความจริงได้ถูกผสมด้วยความจริงต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นความจริง ทำให้เกิดเหมือนไม่บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่เป็นนมที่บริสุทธิ์ แต่เป็นนมที่เจือปนพิษ
เพราะฉะนั้น จากคำถามที่ตั้งมาตามซีรี่ย์นี้ว่าคำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 ที่เรารู้จักกันดี พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ? เราสามารถตอบได้ทันทีว่า …
“เปล่าเลย ไม่ใช่ ไม่ได้มาสอนให้เราทำตามสักหน่อย”
ทั้งคำอธิษฐานตรงนี้ รวมทั้งคำสอน คำประกาศอื่นๆ ของพระเยซู ในช่วง 3 ปีนี้ พระองค์กำลังเตือนชาวยิวเหล่านั้นที่ยังไม่ได้เชื่อ ให้พวกเขากลับใจใหม่ อย่าพึ่งพาตนเองในการรักษาบทบัญญัติ เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ แต่ให้หันมาวางใจในพระองค์ เป็นพระเมสิยาห์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เพราะปัญหามันอยู่ที่วิญญาณของพวกเขาเป็นบาป เขาจึงต้องตายและเกิดใหม่เท่านั้น
นี่คือบทสรุปสั้นๆ เนื้อๆ ของข่าวดีที่พระองค์มาประกาศ ในช่วง 3 ปีนี้ สรุปสั้นๆ เนื้อหาสาระมีอยู่แค่นี้เอง สังเกตอย่างที่ตะกี้นี้ที่ผมบอกว่าการอยู่ในบาปกับคำว่าเกิดใหม่ในวิญญาณนี้ มันต่างกันลิบลับเลย เห็นไหมครับ? เราเป็นคริสเตียนเกิดใหม่ในวิญญาณ แต่ตอนที่พระเยซูประกาศอยู่นี้ ยังไม่มีคริสเตียนเลย ยังไม่มีใครเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นคนบาปและตายอยู่ พระเยซูกำลังมาชี้ให้พวกเขาเห็นว่ามนุษย์นั้นตายและอยู่ในบาป จำเป็นต้องตายจากบาป และมาเกิดใหม่ นี่คือเรื่องย่อๆ เนื้อๆ ของข่าวดี ที่พระองค์มาประกาศช่วง 3 ปีนั้น
ผมจะยกตัวอย่าง หนึ่งในถ้อยคำของพระเยซูในบริบทนี้ ที่เรากำลังวิเคราะห์นี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยก สัปดาห์นี้ก็จะยกอีก จะยกไปเรื่อยๆ ให้เราเห็นได้ชัดๆ ว่าทั้งบริบทนี้ คือทั้ง 3 ปีที่พระองค์ทรงประกาศนี้ พระองค์ไม่ได้มาสอนให้เราทำ แต่มาชี้ให้เห็นถึงรายละเอียด เมื่อตะกี้นี้ที่ผมบอก สรุปให้ฟัง เช่นยกตัวอย่างตอนหนึ่ง ถ้อยคำของพระเยซูในมัทธิว บทที่ 16 ที่พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ที่ยังไม่เชื่อ ต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ ยังเป็นคนบาปอยู่ในวิญญาณ ยังไม่เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ พระองค์กำลังพูดกับพวกเขาอย่างนี้ เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้น เพื่อจะได้อ่าน จะได้อ๋อ! พระเยซูกำลังชี้ ให้พวกเขาเห็นว่าเขาเป็นคนบาป ที่วิญญาณของเขา ปัญหาอยู่ที่วิญญาณของเขา เป็นคนบาป
ก่อนจะอ่าน เน้นอีกทีที่จะอ่านนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน มัทธิว 16:24-26 …
มัทธิว 16:24-26 “24 พระเยซูจึงตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา 25 เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิต เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด 26 เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา”
เรามาวิเคราะห์กัน วิธีวิเคราะห์ ที่อ่านให้เข้าใจ อย่างที่บอก เน้นมาหลายครั้งแล้ว ต้องรู้ว่าพูดกับใคร? คราวนี้เรารู้แล้ว พูดกับชาวยิวที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน อยู่ในสภาวะตายในวิญญาณ เรารู้แล้วตอนนี้ แต่ตอนนั้น พวกเขาไม่รู้ พระเยซูจึงพูดอย่างนี้ให้เขาฟัง หมายถึงอะไร ทั้งหมดเมื่อตะกี้นี้ มัทธิว 16:24-26 หมายถึงอะไร? หมายถึงใครที่ยอมรับว่าตนเอง เป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ให้แบกวิญญาณที่เป็นบาปอยู่นั้น เดินตามพระองค์ไปที่ที่พระองค์ถูกตรึงกางเขน คือเนินเขากลโกธา แล้วร่วมถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พร้อมกับพระองค์ แล้วจะได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมพระองค์ ได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์นั่นเอง
เห็นไหม? มันตรงกับข่าวประเสริฐเลย ตรงกับข่าวดี พระเยซูกำลังมาชี้ให้เขาเห็นว่าเขาต้องเกิดใหม่ ไม้กางเขน คือสัญลักษณ์ที่ชาวยิวรู้ดี มาตั้งแต่อดีต บรรพบุรุษแล้ว ไม้กางเขน ก็คือสัญลักษณ์แห่งการสาปแช่ง แห่งความตาย เพราะความบาป นี่ จึงให้เขาแบกไม้กางเขน แบกความสาปแช่ง และความตายที่อยู่ในวิญญาณนั้น ไปที่เนินเขาหัวกะโหลก กลโกธา นี่คือเป็นเนินเขา นอกกรุงเยรูซาเล็ม เป็นสถานที่ที่เขาเอาไว้ทิ้งซากศพ ที่ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าในวิหาร ในกรุงเยรูซาเล็ม และเอาซากอะไรต่างๆ มาทิ้งตรงนี้ เขาเรียกว่าหุบเขาแห่งความตาย แปลว่าอย่างนั้น เป็นที่ที่เหม็นหึ่งไปด้วยคำสาปแช่ง ไม่มีใครอยากจะไปเลย มันเป็นที่อโคจรเลยล่ะ ชาวยิวรู้ดี เห็นไหม? พระเยซูยกตัวอย่างง่ายๆ …
“มา ตามเราออกไปที่ไหน? ที่กลโกธา ทำอะไร? แบกกางเขนของเจ้าไป”
คือสัญลักษณ์ของสถานที่ที่คนจะไปตายที่นั่น เพื่อตัวเก่าและวิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ที่ถูกสาปแช่งอยู่ในตัวเจ้านั้น จะได้ตายไป บนไม้กางเขนนั้น ตายไป เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ ท่านหรือพวกท่านจะไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้เลย เข้าสวรรค์ไม่ได้เลย ถ้าท่านไม่ตายก่อน แล้วจะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร? และบังเกิดใหม่ด้วยอะไร? ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ นี่คือความหมายอย่างนั้น
“ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง”
ปฏิเสธตนเอง คือเลิกพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง เลิกพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะเข้าสวรรค์ ด้วยความดีของตนเอง เลิกซะ แล้วมาวางใจในเรา พระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ แทนที่จะไม่ปฏิเสธตัวเอง แต่มาปฏิเสธเรา ก็คือพูดง่ายๆ แทนที่จะมาพึ่งเรา กลับพึ่งตนเอง เลิกพึ่งตนเองเถิด มาพึ่งเรา มีอยู่แค่นี้เอง ชัดเลย
คราวนี้เรากลับมาวิเคราะห์ หลังจากคำพูดนี้ประมาณ 3 ปี พระเยซูกระทำการไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว พระเยซูก็พูดกับคริสเตียน จากนี้ ถึงเรื่องนี้ เรื่องเดียวกันนี้ เรื่องที่ประกาศเมื่อสักครู่นี้ พระเยซูได้พูดกับคริสเตียน ผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในวิญญาณแล้ว โดยพูดผ่านทางอัครทูตเปาโล พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อแล้ว ผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้มาประกาศ พระเยซูก็พูดผ่านทางเขา ตอนหนึ่งในนั้น ที่ยกมาตอนนี้ ก็คือพูดผ่านทางอัครทูตเปาโล ในหนังสือโรม 6:3-6 ดูสิพระเยซูพูดเรื่องเดียวกันนี้ แต่ความหมายเป็นอย่างไร? …
โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซูคริสต์) ก็ได้ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ก็ได้เข้าส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”
พูดง่ายๆ ก็คือถ้าท่านทำตามเมื่อสักครู่นี้ ที่พระเยซูพูดกับชาวยิว ถ้าท่านปฏิเสธตัวเอง ไม่พึ่งพาตนเอง แล้ววางใจในเรา แบกกางเขนของท่าน แบกความบาป คำสาปแช่งในวิญญาณของท่าน แล้วตามเรามา สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ท่านจะได้รับชีวิตใหม่ ถ้าท่านรักชีวิตของตนเอง โดยการกระทำด้วยตนเอง ท่านจะเสียชีวิต แต่ถ้าท่านรักชีวิตตนเอง และวางใจในเรา ท่านจะได้รับชีวิตกลับมา นั่นหมายถึงอย่างนั้น
เราลองมาวิเคราะห์กันดู พอท่านแบกกางเขนของท่านตามเรามาแล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูก็สอนอีกแบบหนึ่งว่าท่านไม่รู้หรือว่า ก็คือท่านที่แบกกางเขน ตามเรามาแล้ว มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว มาตายพร้อมกับเราที่ไม้กางเขนแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ การนำเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์นั้นเป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกกันว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือการเข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ที่ไม้กางเขน
ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในการตาย เพื่อว่าเราจะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่เช่นเดียวกับพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย พูดง่ายๆ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วยนั่นเอง คือการแบกกางเขนของเรา ความบาปของเราไปที่กลโกธา ตายพร้อมพระเยซู ก็คือการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน เมื่อเราเปิดใจต้อนรับนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปในวิญญาณของเรา เข้าไปในร่างกายของเรา อันดับแรก คือ เข้าไปฆ่าเราให้ตายทางวิญญาณ โดยเอาวิญญาณบาปของเรา ไปตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ถูกตรึงอยู่ที่นั่น ตายพร้อมกับพระองค์
เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ที่อยู่ในบาป อยู่ในอาดัม เป็นคนบาปสกปรกนั้น ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวเก่าตัวบาปนี้จะได้ถูกขจัดออกไป คือได้ถูกฆ่าให้ตายไป ตายจริงๆ เลย แล้วจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตาย พร้อมพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เราได้เกิดใหม่แล้วจริงๆ เป็นคริสเตียน คือวิญญาณสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซู สะอาดหมดจด กาลาเทีย 2:20 พระองค์ก็ชี้แจงให้เห็นชัดเจนว่าชีวิตของคริสเตียนบริสุทธิ์ สะอาดขนาดไหน? ชีวิตของคริสเตียน คือชีวิตที่ดำเนินด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ชีวิตของพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตของเรา ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ กาลาเทีย 2:20 …
กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหาก ที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”
เห็นไหมครับแตกต่างกันลิบลับเลย ตอนแบกกางเขนไปนั้น เป็นคนสกปรก เป็นคนตาย คนถูกสาปแช่ง ตอนนี้เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว สะอาด หมดจด เหมือนพระเยซูเลย มีชีวิตเหมือนพระเยซู พระเยซูสถิตอยู่ด้วย
และพระเยซูตรัสว่า … “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุข”
เราคุ้นๆ กันดี อยู่ในบริบทนี้เหมือนกัน คำว่า “แบกภาระหนัก” ตรงนี้ ก็หมายความอันเดียวกันนั่นแหละกับที่พระเยซูบอก “แบกกางเขนของตน แล้วตามเรามา” อยู่ในบริบทเดียวกัน พูดตอนไหน? พูดตอนที่เขายังไม่เชื่อ พระเยซูยังทำภารกิจไม่สำเร็จ พูดกับชาวยิวนั่นแหละ “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย” ก็คือแบกกางเขนของตนเอง แบกเอาความบาป ความตายที่อยู่ในวิญญาณ เหนื่อยขนาดไหน? “เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”
ผู้ที่แบกภาระหนัก หรือแบกกางเขนของตน ก็คือผู้ที่แบกหนี้บาปเวรกรรมของตน ชาวยิวในสมัยนั้น มาแบกภาระหนัก พระองค์กำลังชี้ว่าแบกความสาปแช่ง แต่ในยุคต่อๆ มา ยุคปัจจุบัน หรือว่ายุคหลังจากนั้น คือประชาชาติทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวยิว เราจะคุ้นๆ กับคำนี้ดีว่า …
“คนเราเกิดมา ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรม”
มันอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น แบกกางเขนของตน ก็คือผู้ที่แบกหนี้บาป เวรกรรมของตน ที่จะต้องชดใช้ ต้องได้รับโทษจากความบาป หลังความตาย ต้องอยู่ในความพินาศ เนื่องจากเป็นคนบาป มนุษย์รู้ดี ตอนนี้ มนุษย์ทุกคนแล้ว ถ้าเขาไม่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซู
เพราะฉะนั้น ความหมายในบริบทนี้ คือ … “ผู้ใดที่กำลังแบกหนี้บาป เวรกรรมอยู่ จงมาหาเรา วางใจในเรา วางใจในข่าวดีที่เราประกาศให้ เราจะให้ผู้นั้นหลุดพ้นจากหนี้บาปเวรกรรม หายเหนื่อยและเป็นสุข แสดงว่ากำลังพูดกับคนที่เหน็ดเหนื่อย ก็คือพูดกับมนุษย์ทุกคนที่ยังไม่เชื่อ ไม่ได้พูดกับคนที่เชื่อแล้ว ถูกไหมครับ?
เราวิเคราะห์กันอย่างละเอียดเลยนะ แต่ว่าเราเข้าใจผิด เราสับสน ถ้าเราตีความผิด ไปเข้าใจว่าที่พระเยซูพูดว่า “จงแบกกางเขนและตามเรามา” พระองค์กำลังพูดกับเราคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว แล้วบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังต้องแบกกางเขน ยังต้องมีภาระที่ต้องทำเพิ่มอีก ถ้ายังต้องทำอีก จะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้อย่างไร? จริงไหมครับ? คิดเองเลยอันนี้ พระเยซูมุสาหรือ?
พระองค์บอกว่า “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย มาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”
แล้วเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นสุขแล้ว แล้วเราก็บอกว่า “เรายังแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยเลย เราต้องทำเพิ่มเติมเข้าไป” เรากำลังพูดกับอะไรที่ปฏิเสธพระองค์ พระเมสิยาห์หรือไม่?
สรุป ก็คือผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาป จงแบกกางเขน หนี้บาปของตน เดินตามพระเยซูไป ไปตายร่วมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน และจะได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ หายเหนื่อยและเป็นสุข จบบริบูรณ์ ฮาเลลูยา
มันควรจะเป็นอย่างนั้นนะ คนที่เป็นคริสเตียน ผลของเขา ที่เขามาเปิดใจรับเชื่อพระเยซูแล้ว และวางใจในพระเยซู ควรจะเป็นอย่างนี้ ชีวิตจะได้สบาย หายเหนื่อยและเป็นสุขจริงๆ ไม่ใช่ พอมาเป็นคริสเตียนแล้วหนักกว่าเดิมอีก แต่ก่อนที่ไม่เคยต้องทำ เดี๋ยวนี้ต้องทำด้วย หนักกว่าเดิมอีก อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ? ตามหัวข้อที่เราได้ตั้งชื่อซีรีย์นี้ขึ้นมา คำตอบ ก็คือย้ำอีกทีว่าเปล่าเลย ไม่ได้มาสอนให้ทำ มาประกาศ ในช่วง 3 ปี ก่อนถูกตรึงที่ไม้กางเขน ที่พระองค์ทรงประกาศอยู่นี้ พระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้ทำอันโน้นอันนี้ ถูกต้องดีงาม อะไรต่างๆ เหล่านั้น ก่อนหน้าพระองค์และหลังพระองค์ มีคนมาสอนเยอะแยะ มนุษย์ก็รู้ดีด้วยว่าทำอะไรดี ไม่ดี พระองค์ไม่ได้มาสอน แต่พระองค์ได้ชี้ให้เห็น มาประกาศความจริงให้เห็นว่ามนุษย์ เป็นคนป่วยในวิญญาณ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่การป่วยภายนอกที่มนุษย์คิดว่าประพฤติอย่างนี้แย่ เป็นบาป แค่นั้น แต่มันมีปัญหาอยู่ที่วิญญาณของเขา โดยประกาศผ่านทางชาวอิสราเอลก่อน ชาวยิวก่อน
ที่เรากำลังวิเคราะห์ติดตามอยู่นี้ ซึ่งในอดีต พระเจ้าได้ให้บทบัญญัติกับพวกเขา คือชาวยิว เป็นเหมือนกระจกเงา ก็คือบัญญัตินั้น กฎเกณฑ์ต่างๆ นั้น อย่าทำอันนี้ อย่าทำอันนั้น ให้ทำอันนี้ ให้ทำอันนั้น เป็นเหมือนกระจกเงา เพื่อดูตัวเองว่าเป็นคนป่วย เพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองป่วย เพราะทำตามบทบัญญัติไม่ได้ เดี๋ยวก็ละเมิดๆ แต่พระเยซูนำเอาเครื่องมาเสริมให้เห็นชัดขึ้น ไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่มาเสริมบทบัญญัติให้ชัดขึ้น คือแทนที่บทบัญญัติเป็นกระจกเงาใช่ไหม? พระเยซูเอาเครื่องเอ็กซเรย์มาเลย กระจกเงาเห็นแต่ภายนอกว่าเป็นคนบาป ยังไม่แน่ใจใช่ไหม? เอาเครื่องเอ็กซเรย์มาเลย เอ็กซเรย์ดูข้างใน จะได้เห็นชัดเจน เข้าไปอยู่ภายในเขาเลยว่าป่วยจริงๆ หนักด้วย เรื้อรังด้วย เป็นมะเร็งในวิญญาณ เขาต้องรีบรักษา รักษาด้วยตนเองไม่หาย ก่อนหมดลมหายใจ เขาต้องรีบไปหาหมอ แล้วหมอ ก็คือพระเยซู
เพราะฉะนั้น พระองค์มาชี้ให้เขาเห็น และให้เลิกล้มความตั้งใจที่จะรักษา ด้วยความสามารถของตนเอง ให้เลิกซะ พระองค์ทรงยกตัวอย่างให้เขาเห็น ชัดเจนเลย ในบริบทนี้ทั้งหมด ทั้ง 3 ปีนี้ ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น คิดอิจฉาริษยา ว่ากล่าวคนอื่นว่าไอ้บ้า ไอ้โง่ ยกตนเองขึ้นสูงกว่าคนอื่น ดีกว่าคนอื่น คิดกำหนัดในใจ คิดโลภ แม้เพียงนิดเดียว ก็ไม่รอดแล้ว เหล่านี้ทั้งหมด คือภาพ ไม่ได้มาสอนให้ทำ แต่ภาพที่พระเยซูชี้ให้เขาเห็นว่าในวิญญาณของเขามันป่วยหนักจริงๆ ช่วยตัวเองไม่ได้หรอก ไม่มีทาง ที่จะเป็นไปได้ในการช่วยเหลือตัวเองให้หาย จากโรคมะเร็งร้าย คือความบาปในวิญญาณของเขา โดยการประพฤติของเขา โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติมีไว้สำหรับเป็นกระจกเงาให้เขาดูว่าเขาเป็นคนบาป ช่วยไม่ได้หรอก
รวมทั้งถ้อยคำที่บอกว่าจงอภัยให้กับผู้อื่นก่อน พระเจ้าจึงจะอภัยให้กับท่าน ความหมาย ก็คือทำไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีทางเลยที่ท่านจะทำได้ คือการให้อภัยโทษผู้อื่นก่อน โดยการพึ่งพาการกระทำด้วยตนเอง เพราะว่าการไม่ให้อภัยมันอยู่ที่วิญญาณของท่าน ที่เป็นวิญญาณบาป วิญญาณแห่งความเกลียดชัง สกปรก โสโครก พระองค์จึงยกตัวอย่างเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม อย่างที่ผมอธิบายให้ฟังหลายตอนแล้ว
ถามว่าพระองค์มาสอนให้กระทำหรือ? ไม่ใช่ มาชี้ให้เห็นว่าเป็นคนบาป และก็ชี้ให้เห็นว่าเพราะความบาปมันอยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านที่เป็นคนบาป เพราะวิญญาณท่านบาป ไม่ใช่เพราะความประพฤติของท่านบาป นี่ก็ชี้ให้เห็นตรงนี้ ไม่ได้ชี้ว่าตรงนี้บาป ไม่ทำ แต่ชี้ให้เห็นว่าท่านจะรักษาความประพฤติให้ดีอย่างไร? รักษาให้ตายอย่างไรก็ตาม ไม่มีทางล้างความบาปออกจากวิญญาณของท่านได้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะวิญญาณเป็นต้นตอชีวิตของท่าน วิญญาณเป็นบาป เมื่อท่านสิ้นลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณก็เป็นบาป และใครจะช่วยท่านได้ การพึ่งพา การกระทำของตนเอง มันช่วยไม่ได้หรอก เพราะวิญญาณท่านเป็นคนบาป
วิธีแก้ ก็คือท่านต้องให้วิญญาณนี้เปลี่ยนซะ นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนได้ และพระเจ้าเปลี่ยนด้วยวิธีฆ่าท่านให้ตาย ฆ่าวิญญาณเก่าท่าน กำจัดออกไป ผ่าตัดวิญญาณเก่าท่านออกไป แล้วเอาวิญญาณใหม่ใส่เข้ามา ใจใหม่ใส่เข้ามา ไม่มีใครทำได้ นี่เราเห็นภาพชัดเจนเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ มาชี้ให้มนุษย์ได้เห็น โดยผ่านทางชาวยิวก่อน ในช่วง 3 ปีนั้น แล้วก็มาชี้ให้มนุษย์เห็นเหมือนกันอย่างนี้ ผ่านทางอัครทูตต่างๆ ผู้เชื่อต่างๆ หลังจากที่พระองค์ทรงทำภารกิจสำเร็จแล้ว พระองค์จึงบอกว่าสำหรับมนุษย์ก็เหลือกำลัง แต่สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปได้เสมอ
การตายต่อบาปของเรา หมายถึงการที่ตัวบาปของเราตายไปเลย ถ้าเรายังเป็นบาปอยู่ เราก็เป็นทาสของความบาป เพราะตัวเป็นบาป แต่ถ้าเราตายต่อบาป เราก็เป็นอิสระ หมายถึงอย่างนี้
ถ้าชาวยิวคนไหนไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ พูดง่ายๆ ว่าปฏิเสธพระองค์ แต่เชื่อความสามารถของตัวเอง รักษาความดีได้ ก็ต้องอธิษฐานอย่างมีเงื่อนไขตามพันธสัญญาเดิม ในมัทธิว 6:9-15 อย่างนี้ต่อไป มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้สอนให้ทำ แต่กำลังจะบอกว่าถ้าท่านไม่เชื่อเราว่าเป็นพระมาซิฮาห์ ท่านก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้ต่อไป ก็คือรอคอยสวรรค์ รอคอยการอภัยโทษจากพระเจ้า โดยผ่านทางการรักษาบทบัญญัติ ด้วยความพยายามของตนเอง ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว ด้วยความพยายามของตนเอง ที่จะทำการเปลี่ยนวิญญาณของตนเอง ให้เป็นคนบริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าสวรรค์ได้ เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระมาซิฮาห์ ก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้ต่อไป
นี่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็น ไม่ใช่เอาคำอธิษฐานนี้มา แล้วมาเป็นคำอธิษฐานของเรา เราเป็นคริสเตียนแล้ว มันไม่ใช่ของเรา เป็นของคนที่ปฏิเสธพระเยซูมากกว่า
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซิฮาห์ ก็อธิษฐานแบบนี้ แบบไหน? แบบมัทธิว 6:9-10 ลองอ่านดู …
มัทธิว 6:9-10 “9 ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลก เช่นเดียวกับในสวรรค์”
จำกันแม่นเลย ตอนนี้ท่านจะอธิษฐานลงไหม? ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว พระองค์กำลังบอกว่าคนที่ไม่เชื่อพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า คนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระมาซิฮาห์ พูดผ่านทางชาวยิวก่อน ก็ต้องอธิษฐานอย่างนี้แหละ
“ขอสวรรค์ลงมาตั้งอยู่” ขอไปเรื่อยๆ ขอทุกวัน สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ก็ยังขออยู่ นึกภาพออกไหม? พระองค์พูดตรงนี้ให้กับชาวยิว ในขณะที่ซึ่งอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ พระเมสิยาห์ คือพระองค์เอง คือพระคริสต์ ก็จะทำสำเร็จบนไม้กางเขนแล้ว อาณาจักรของพระเจ้า คือสวรรค์ จะได้รับการสถาปนาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้า และทางเดียวที่จะเข้าสวรรค์นี้ได้ คือวางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ ทางเดียวเท่านั้นจริงๆ เพราะพระเจ้ากำลังจะยกเลิกพันธสัญญาเดิม ผ่านทางสัตวบูชานั้นเรียบร้อยแล้ว พระองค์จะยกเลิก ไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว เห็นไหม ถ้าท่านไม่วางใจในพระเมสิยาห์ คือเรา ท่านก็ต้องอธิษฐานตามอย่างคนที่ไม่เชื่อ อย่างนี้ต่อไป รอต่อไป ข้อต่อไป มัทธิว 6:11 …
มัทธิว 6:11 “ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้”
ก็ขอต่อไป แต่ถ้าท่านวางใจในเราว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ทรงเลี้ยงดู ดั่งลูกแกะของพระองค์ แล้วพระวิญญาณของพระเจ้า จะเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน นำพาชีวิตท่านตลอดเวลา ท่านจะไม่ขัดสนสิ่งดีใดๆ เลย พระองค์ทรงสัญญาไว้เช่นนั้น เอเมน เห็นหรือยัง? ข้อต่อ 12 …
มัทธิว 6:12 “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”
อันนี้ยิ่งชัดใหญ่เลย อีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ท่านทั้งหลาย ชาวยิวเอ๋ย ผู้ที่วางใจในพระองค์ คือในเรานั้น จะได้รับการชำระหนี้บาปทั้งสิ้น จะได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น โดยพระคุณ ความรักของพระเจ้าผ่านทางพระโลหิต การตาย สิ้นพระชนม์ของเรา ไม่ใช่โดยความประพฤติว่าท่านต้องให้อภัยคนอื่นก่อน ท่านยังไม่ได้อภัยให้คนอื่นก่อนเลย ไม่เป็นไร แต่พระเจ้าอภัยให้ท่านแล้ว โดยที่เราตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน ท่านเชื่อไหม? ท่านวางใจในเราไหม? เห็นหรือยัง? ข้อ 13 ต่อ …
มัทธิว 6:13 “และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย”
ท่านถูกทดลองให้ทำบาป แน่นอน มนุษย์ทุกคน ถูกทดลองให้ทำบาป แล้วทำอย่างไร? ต้องขออภัยจากพระเจ้า ต้องถูกลงโทษ แต่เมื่อท่านเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ และพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน ท่านจะเป็นอิสระจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาปเลย ไม่ว่าจะล้มลงในความบาปสักกี่ครั้ง ก็ตาม ไม่ว่าจะไม่ผ่านการทดลองสักกี่ครั้งก็ตาม ไม่ว่าจะมีการทดลองสักกี่ครั้ง ถ้าล้มลงก็ตาม พระเจ้าได้อภัยให้กับท่านหมดก่อนเรียบร้อยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เรียบร้อยไปก่อนที่ท่านจะทำอีกด้วยซ้ำ ก่อนที่ท่านจะล้มลง เอเมน นี่คือพันธสัญญา มารและวิญญาณชั่วทั้งหลายไม่สามารถแตะต้องท่านได้อีกแล้ว มันไม่สามารถกล่าวหาท่านได้อีกต่อไปว่าท่านเป็นคนบาป เพราะบาปท่านได้ถูกลบออกไปเรียบร้อยแล้ว ตัวท่านตายแล้ว ท่านไม่เป็นทาสของความบาปอีกต่อไปแล้ว ท่านเกิดใหม่ อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในเราแล้ว เอเมนไหม? ข้อ 14-15 …
มัทธิว 6:14-15 “เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์ จะทรงอภัยให้ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”
ถ้าท่านวางใจในเราว่าเป็นพระเมสิยาห์ พระคริสต์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้ออันบริสุทธิ์ เป็นอมตะนิรันดร์ของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ท่านจะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ท่านจะเป็นความชอบธรรม เป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นคนให้อภัยจากใจที่บังเกิดใหม่นั้น เหมือนพระเยซูเลย ข้างในใจท่านสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูเลย รักและเมตตา และให้อภัยผู้คนเหมือนพระองค์เลย แต่ถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ ถ้าท่านไม่เชื่อวางใจในเรา ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับท่าน ให้กับมนุษย์ทุกคน ตามที่ได้สัญญาไว้ เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู และการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อไถ่มวลมนุษย์ บนกางเขน ซึ่งจะกระทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถ้าท่านไม่เชื่อ หรือท่านเชื่อ ท่านก็จะได้รับอย่างที่ตะกี้นี้ ที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็นในบริบทนี้ ทั้ง 3 ปีนี้ ชี้ให้เห็นแค่นี้เองว่าถ้าท่านพึ่งในตนเอง จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าพึ่งในเรา วางใจในเราจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านปฏิเสธเรา เป็นพระเมสิยาห์ แล้วยอมรับตัวเองว่าท่านช่วยตัวเองได้ จบเห่ แต่ถ้าท่านปฏิเสธตนเอง ช่วยตนเองไม่ได้ เป็นคนบาป แต่ไม่ปฏิเสธเรา คือยอมรับเราว่าเป็นพระเมสิยาห์ ช่วยเหลือได้ เราก็จะช่วยให้เจ้าได้รับความรอด
เห็นไหม? นี่คือบทสรุปของบริบทที่เรากำลังวิเคราะห์มานี่แหละ ถ้าท่านยังคงเชื่อมั่น วางใจในการกระทำดี เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตนเองได้ พระเยซูก็แนะนำให้ท่านอธิษฐานและพยายามทำตามมัทธิว 6:9-15 นี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าที่ท่านจะเห็นความจริงว่าพระองค์มาชี้ว่าท่านทำไม่ได้ ท่านอย่าเย่อหยิ่ง จองหอง ยอมรับความจริงว่าท่านทำไม่ได้ๆ อย่าบอกว่าทำได้ ดีที่สุด อย่างน้อยดีกว่าคนนั้น คนนี้ คนนั้นยังทำสู้ฉันไม่ได้เลย ไม่ได้ทั้งหมดนั่นแหละ คนทำน้อยก็ไม่ได้ ท่านเองทำเยอะก็ไม่ได้ เพราะคนทำน้อย วิญญาณเขาก็บาป คนทำมาก วิญญาณเขาก็บาป มันบาปเท่ากันหมดแหละ ทุกคนอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาปหมด ต้องพึ่งในพระองค์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะบาปมาก บาปน้อย ทำดีมาก ดีน้อยก็ตาม รักษาศีลได้มาก รักษาศีลได้น้อย ก็อยู่ในความบาป เหมือนๆ กันเท่านั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นเช่นนั้น นี่คือความจริง
เพราะฉะนั้น จงอธิษฐานตามมัทธิว 6:9-15 ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดความเย่อหยิ่ง จนกระทั่งยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้แน่นอน แล้วท่านก็จะกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาในเรา ในพระองค์ พระเยซูคริสต์ ซึ่ง ณ เวลานั้น มันอาจจะสายเกินไปแล้ว เพราะท่านอาจจะตายก่อน
ชาวยิวอาจจะอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 จนกระทั่ง หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยังคงอธิษฐานอย่างนี้อยู่ เขายังคงไม่เชื่ออยู่ เขายังคง …
“ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ บูชา ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ๆๆๆ ขอน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนโลกใบนี้ สวรรค์เป็นอย่างไร? ให้โลกเป็นอย่างนั้น”
แล้วยังขออยู่ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็แสดงว่าเขาปฏิเสธ สิ่งที่พระเยซูคริสต์ ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพื่อไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ และการเป็นขึ้นจากความตาย เขาปฏิเสธที่จะแบกกางเขนของตนเอง ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป แล้วเดินตามพระองค์ไปที่ไม้กางเขน วางใจในพระองค์ มอบชีวิตให้กับพระองค์ เพื่อให้พระบิดากำจัด ขจัด ฆ่าวิญญาณตัวที่เป็นบาปของท่านให้ตายไป พร้อมพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ นี่คือการกลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนอย่างชัดเจน
และถ้าท่านกลับใจใหม่อย่างนี้ หันมาวางใจในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่อย่างนี้ เป็น คริสเตียนแล้วอย่างนี้ ท่านก็ควรจะอธิษฐานแบบใหม่ ตามพันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์ เอเมนไหม? เพราะถ้าท่านยังอธิษฐาน แล้วมันไปตรงกับสิ่งที่พระเยซูคริสต์พูดในบริบททั้ง 3 ปีนั้น ท่านกำลังบอกพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์พูดไม่จริง เรากำลังปฏิเสธพระเยซูหรือเปล่า? พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับเรา และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3 พระองค์บอกว่าให้เราแบกความบาปผิดของเราไปที่ไม้กางเขนนั้น แล้วไปยอมตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีวิญญาณที่เหมือนกับพระองค์ กลายเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์
สิ่งเหล่านี้ควรจะนำมาอธิษฐาน แทนที่จะขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ …
“ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ทรงนำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ทรงชำระบาปให้กับลูกเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ลูกได้อยู่กับพระองค์ในสวรรคสถาน ได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์แล้ว” อย่างนี้ใช่ไหม?
น่าจะอธิษฐานตามพันธสัญญาใหม่ อย่างนี้ เรียกว่าเชื่อและวางใจ
“ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ลูกได้อาศัยอยู่ในพระองค์ ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกัพระองค์ ขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ฉันได้อยู่ในพระเยซู และพระเยซูก็อยู่ในฉัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอบคุณพระเยซู ที่ทำให้ฉันผู้เป็นคนบาป ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ เพราะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระองค์ขอบคุณพระเยซูคริสต์ ที่ได้ให้ชีวิตนิรันดร์ เป็นเหมือนพระเจ้าให้กับฉัน”
เราควรจะอธิษฐานอย่างนี้ ถูกต้องไหมครับ ตามสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ และเราทั้งหลายก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมกับชัยชนะนี้ของพระองค์ โดยการเดินตามพระองค์ท่านั้นเอง ไปตายพร้อมพระองค์ แล้วเป็นขึ้นจากตายพร้อมพระองค์ แค่นั้นเอง พระเจ้าอวยพรครับ
*****************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
มนุษยชาติแสวงหาการได้อยู่ในสวรรค์ เพราะอะไร?
สวรรค์ คือสถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
ตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคน คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณอย่างแน่นอน คือมืดหรือสว่าง ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า หรืออยู่กับพระเจ้า ทุกข์ตลอดสุขตลอด นรกหรือสวรรค์
มนุษยชาติแสวงหาการได้อยู่ในสวรรค์เพราะอะไร? เพราะจิตใต้สำนึกรู้ว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้นั่นเอง
โรม 5:12 … “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”
ไม่ต้องทำอะไรก็เท่ากับได้ทำผิดบาป เป็นนักโทษกบฏแล้ว เกิดมาก็ตายทางวิญญาณ เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว เกิดมาก็อยู่ฝ่ายมารที่ชั่วร้าย เป็นคนอธรรมแล้ว
โรม 5:15 … “แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้เปล่าๆ นั้น มันแตกต่างกัน เพราะในทางหนึ่ง ขณะที่ความผิดของคนๆ หนึ่ง คืออาดัม ทำให้คนจำนวนมากต้องตาย แต่ในอีกทางหนึ่ง ความเมตตากรุณาของพระเจ้า และของขวัญที่ผ่านมาทางความเมตตาของคนคนเดียว คือพระเยซูคริสต์นั้น ก็เป็นประโยชน์กับคนมากมาย”
แต่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ กลับคืนดีกับพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์ เป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยไม่ต้องอาศัยการกระทำของตนเองเลย เช่นเดียวกัน
โรม 5:16 … “แน่นอนผลจากของขวัญนั้น แตกต่างอย่างมากจากผลของความผิดที่อาดัมได้ทำ เพราะการทำผิดเพียงครั้งเดียว (ของอาดัม) ทำให้ทุกคนต้องถูกตัดสินว่าผิด แต่ของขวัญนั้น ทำให้คนเรา ได้รับการตัดสินว่าไม่ผิด ทั้งๆ ที่ทำผิดตั้งหลายครั้ง”
(เมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำให้ตนเองบริสุทธิ์ ไม่สามารถบังเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้ พระเจ้าจึงกระทำให้ฟรีๆ เรียกว่าของขวัญ)
พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่เป็นพระผู้สอน พระเยซูมาประกาศ ไม่ใช่มาสอนผู้คน
คนกำลังจมน้ำ คนกำลังเป็นลมหมดสติ ต้องการความช่วยเหลือ เพราะทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่ต้องการให้ใครมาสอน หรือแนะนำให้ทำอะไร เพื่อหลุดพ้นจากสภาวะนั้นๆ ใช่หรือไม่)
โรม 6:23 … “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป คือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
พระเจ้าอวยพรครับ