คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2023
เรื่อง “จงเลียนแบบพระเจ้า เหมือนเด็กเล็กๆ เลียนแบบพ่อแม่”
โดย นคร เวชสุภาพร
หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “จงเลียนแบบพระเจ้า เหมือนเด็กเล็กๆ เลียนแบบพ่อแม่” สุขสันต์วันเด็กได้แล้วใช่ไหม? เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าอายุท่านจะเท่าไรแล้วก็ตาม ผมขาวกี่เส้นแล้วก็ตาม จะเลข 7 เลข 8 ขึ้นต้นก็ตาม ท่านก็ยังเป็นเด็กเล็กๆ ของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ก็คือพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของท่านอยู่ ขอบคุณพระเจ้า เป็นเด็กตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะพูดกันเองในที่นี้ว่าเราสามารถมี หรือฉลองวันเด็กได้ทุกวัน ทุกวินาทีเลย เพราะเราเป็นเด็กนั่นเอง เป็นเด็กเล็กๆ ของพระเจ้า เอเฟซัส 5:1-2 เราเริ่มต้นด้วยถ้อยคำของพระเจ้าในวันนี้ …
เอเฟซัส 5:1-2 “ดังนั้น จงเลียนแบบพระเจ้า และทำตามแบบอย่างของพระองค์ เหมือนเด็กเล็กๆ ที่พ่อรัก ที่เลียนแบบพ่อของพวกเขา”
“เหมือนเด็กเล็กๆ ที่พ่อรัก ที่เลียนแบบพ่อของพวกเขา” คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็บังเกิดใหม่ ตั้งแต่วันนั้นมา เราก็เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ธรรมดา แต่ถ้าเผื่อมาเริ่มต้นรู้จักพระเจ้าใหม่ๆ อาจจะเดือนหนึ่ง สองเดือน หรือปีหนึ่ง เราเป็นทารกเลยนะ เราก็จะได้รับน้ำนมอันบริสุทธิ์ คือเลี้ยงดูเราเจริญเติบโตขึ้น เราอาจจะมารู้จักพระเจ้า 2-3 ปี เราก็เริ่มเป็นเด็กเล็กๆ แล้วค่อยๆ เตาะแตะๆ ไปจนถึงอายุ 80 เราก็ยังเป็นเด็กที่โตหน่อย อายุ 90 ก็ยังเป็นเด็กที่โตขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง เป็นเด็กวันยังค่ำ จนกว่าวันหนึ่งเราจะจากโลกนี้ไป พระคัมภีร์บอกเราเป็นเหมือนทายาทที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ที่จะได้รับมรดก ที่พระเจ้าเตรียมไว้ในสวรรค์นั่นเอง เพราะฉะนั้น เรายังคงเป็นเด็ก และพระเจ้าปฏิบัติต่อเราด้วยความรัก แบบอากาเป้ ซึ่งเราต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ทำตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความรักแบบอากาเป้นี้ เพื่อเราจะได้แบ่งปันความรักแบบอากาเป้นี้ ไปให้กับเด็กๆ หรือลูกๆ ของเรา ที่เป็นมนุษย์ ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้เช่นเดียวกัน นึกภาพออกใช่ไหม? พระเจ้าจึงอยากให้เราเลียนแบบพระองค์ว่าพระองค์ดูแลเราอย่างไร? เราก็ดูแลลูกๆ หลานๆ และเด็กๆ บนโลกใบนี้อย่างนั้น เช่นเดียวกัน
ตามแบบอย่างของพระเจ้า ก็คือตามแบบอย่างที่พระเจ้าปฏิบัติ เลี้ยงดูลูกเล็กๆ ก็คือพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย เราก็ดูแลเลี้ยงดูลูกๆ ของเรา เด็กๆ ของเราบนโลกใบนี้ ด้วยความรักแบบพระเจ้า แล้วเราก็ต้องเรียนรู้ใช่ไหมว่าความรักแบบพระเจ้า ที่ว่าไว้ มันเป็นอย่างไร? พระเจ้าเลี้ยงดูเราแบบความรักของพระองค์อย่างไร? เราต้องรู้ รู้เพื่อเราจะได้เลียนแบบได้ ถูกไหมครับ? เอเฟซัส 6:4 ได้บันทึกอย่างนี้ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? …
เอเฟซัส 6:4 “บิดา (พ่อแม่) ทั้งหลายอย่าใช้อารมณ์ ยั่วยุให้บุตรธิดาของท่านขุ่นเคือง โกรธ แต่เลี้ยงดูพวกเขาอย่างอ่อนโยน ในการอบรมสั่งสอน ฝึกวินัย ตลอดจนให้คำแนะนำ คำปรึกษา และคำตักเตือน ตามหลักการของพระเจ้า”
พระเจ้าต้องการให้เราเลียนแบบ พระเจ้าแนะนำเรา สอนเราบอกว่าบิดา คือพ่อแม่ทั้งหลาย อย่าใช้อารมณ์ยั่วยุให้บุตรธิดาของท่านขุ่นเคือง โกรธ แต่เลี้ยงดูพวกเขาอย่างอ่อนโยน ในการอบรมสั่งสอน ฝึกวินัย ตลอดจนให้คำแนะนำ คำปรึกษา คำตักเตือน ตามหลักการของพระเจ้า ก็คือตามแบบอย่างของพระเจ้าถูกไหม? ทำอย่างไร? อย่าใช้อารมณ์ อย่ายั่วยุ แต่ดูแลพวกเขาอย่างอ่อนโยน ฝึกวินัยเขา ให้คำแนะนำ ตักเตือน แบบอย่างพระเจ้าเลย
เราก็จะมาดูว่าในนี้แบบอย่างพระเจ้าเป็นอย่างไร? ก็คือแบบอย่างที่พระเจ้าบอกไว้ว่าเราเป็นอย่างนี้ ก็คือ …
1. พระเจ้าไม่ใช้อารมณ์ยั่วยุบุตรธิดาของพระองค์ให้ขุ่นเคือง โกรธ แต่พระเจ้าเลี้ยงดูพวกเขาอย่างอ่อนโยนในการอบรมสั่งสอน ฝึกวินัย ซึ่งภาษาอังกฤษตรงนี้ดีมาก เขาใช้คำว่า “Discipline” คือฝึกวินัย มาจากคำว่า “ฝึกสอนสาวก” สาวกของพระเยซู คือตรงนี้
2. ให้คำแนะนำ คำปรึกษา และคำตักเตือน ตามหลักการของความรักแบบพระเจ้า แบบไม่มีเงื่อนไข “Biqqoret (To inquire deeply)
เรารู้แล้วว่ามี 2 อย่าง ฝึกวินัยกับให้คำแนะนำ ปรึกษา ตักเตือน ตามหลักการของความรักแบบพระเจ้า แล้วดูเป็นอย่างไร? เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระเจ้าดูแลเราอย่างไร ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเจ้าดูแลเราอย่างไร? ไม่รู้ท่าทีของพระเจ้าดูแลเราอย่างไร? เราก็ไม่มีทางที่จะเอาลักษณะของพระเจ้าไปดูแลลูกหลานเราได้เลย เราก็ดูแลตามความคิดของเรา ตามในใจของเรา นึกว่ามันควรจะเป็นอย่างไร? ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการอย่างนั้น มันไม่มีประโยชน์ มันไม่ได้รับผล ถ้าได้ผลจริงๆ คือตามแบบอย่างพระเจ้าที่ดูแลเรา
พระคัมภีร์สอนให้เราเลียนแบบพระเจ้า แปลว่าพระเจ้ายอดเยี่ยม ดีเลิศ พระเจ้าทำอย่างไร? เราทำตามอย่างนั้นหมด ฉะนั้น ท่านลองคิดตามนะว่าในขณะที่พวกเรา ซึ่งเป็นพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ ที่อ่อนแอและมีข้อจำกัดมากมาย เรายังพยายามอย่างมาก ที่จะดูแลลูกของเรา รักลูกของเรามากขนาดไหน? ลองคิดดู พระเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด และเป็นพ่อของเราทั้งหลาย พระองค์ทรงรักพวกเราที่เป็นลูกๆ ของพระองค์มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่เราทั้งหลายเป็นอดีต คนบาป ที่ไม่สมบูรณ์ ครบถ้วน ในอุปนิสัยใจคอ เพราะเป็นมนุษย์ยังอยู่ในร่างกายเดิม อยู่บนโลกใบนี้อยู่
พระเยซูยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เปรียบเทียบให้เราเห็น บอกว่าเราซึ่งเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเองเลย เราพ่อแม่ซึ่งเป็นคนบาปยังรู้จักรักลูกของตนเองเลย ลูกเราขอปลา จะให้งูหรือ? ลูกเราขอขนมปัง จะให้ก้อนหินหรือ? เรายังอยากจะรู้ว่าลูกของเราต้องการอะไร? อะไรที่ดีที่สุด สำหรับเขา และมากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระองค์จะเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้กับเรา ที่ทูลขอ ร้องขอต่อพระองค์ และข้อสำคัญ พระองค์บอกว่าพระองค์รู้ก่อนด้วยซ้ำไปว่าในใจของเรา อะไรที่มันดี ที่เราสมควรจะได้รับ เราเองเราไม่รู้ตัวเลย แต่พระองค์ทรงรู้ว่าเราสมควรได้รับอะไร? แล้วเราอยากได้อะไรมาก พระองค์รู้ก่อนเราขอด้วยซ้ำ นี่พระเยซูยกตัวอย่างอย่างนั้น
พระเยซูกำลังเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพระหว่างความรักของพ่อแม่ ที่เป็นคนบาป ที่เป็นมนุษย์ ที่พยายามที่สุด ที่จะคอยอบรมสั่งสอนให้ลูกได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้กับความรักและพระคุณของพระเจ้า ที่คอยอบรม สั่งสอน ฝึกวินัย ให้เราทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์ได้ดี และพระเจ้าทรงชันสูตร แสวงหาเข้าไปในใจของเราลึกๆ ในชีวิตของลูกๆ แต่ละคนของพระองค์ เพื่อจะได้เข้าไปอบรม สั่งสอน นิสัยใจคอ ขอให้ลูกสามารถที่จะรับได้ในสิ่งที่พระองค์ทรงสอน ให้เขาสามารถเชื่อฟัง ให้รู้ว่าต้องคุยกับเขาในท่าไหนดี อะไรอย่างนี้ เห็นไหมครับ?
ยกตัวอย่าง พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงสืบเสาะเข้าไปหา ละเอียดขนาดไหน? ชันสูตรเข้าไปในจิตใจของลูกๆ แต่ละคนขนาดไหน? ขนาดเส้นผมทุกเส้น บนศีรษะของเรานั้น พระองค์ทรงนับไว้แล้ว พระองค์ทรงรู้ว่ามีกี่เส้น และร่วงไปกี่เส้นเมื่อวานนี้ วันนี้ เอเมนไหม นี่เห็นภาพชัด พระเยซูยกตัวอย่าง ขาดลอยเลยนะ อุปมาอันนี้อันเดียวรู้ทันทีว่าพระเจ้าทรงรักลูกแต่ละคนขนาดไหน? ลึกซึ้งขนาดไหน? ขนาดเข้าไปนับผมทีละเส้นๆ ว่ามีกี่เส้น นี่ชัดเจน พระองค์ทรงทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่ ขณะนี้เราคิดยังไง และมันมีประโยชน์ต่อชีวิตเราไหม? แล้วเราควรจะแก้ไขความคิดเหล่านั้นอย่างไร? เราควรจะได้รับสิ่งที่เราปรารถนาด้วยวิธีใด? พระองค์ทรงทราบก่อนล่วงหน้าทั้งหมดแล้ว เราเป็นคนลักษณะไหน? นิสัยใจคอเราเป็นอย่างไร? แล้วพระองค์ก็จะอดทนนานด้วยความรัก ค่อยๆ สอนเราด้วยความอ่อนโยน นำพาเราด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยพระเดช
ด้วยพระคุณ เราสามารถเริ่มต้นเรียนรู้ พระเจ้าดูแลเราอย่างนี้ แล้วเราก็ใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงดูบุตรหลานของเราต่อไป ดูแลเด็กๆ บนโลกใบนี้ต่อไป ตามเอเฟซัส 6:4 ที่เราอ่านไปสักครู่นี้ การสอนของพระเจ้าที่ทำให้เราต้องมาเรียนรู้ และทำตามแบบอย่างเหมือนพระองค์นั้น สามารถแยกแยะออกเป็นส่วนๆ มี 2 ส่วนที่เป็นหลัก ก็คือ …
1. อบรมสั่งสอน ฝึกวินัย นี่คือการเลี้ยงดูเด็กๆ ของพ่อ ของพระเจ้า ที่มีต่อเรา และเราควรจะเรียนรูที่จะเลียนแบบอย่างนี้ ในการเลี้ยงดูบุตรหลานของเราบนโลกใบนี้
2. ให้คำแนะนำ คำปรึกษา และคำตักเตือน
นี่คือ 2 หลักในวิธีการแบบอย่างของพ่อ คือพระเจ้า มาดูข้อแรกก่อน …
ข้อแรก วิธีการของพระเจ้าในการอบรม สั่งสอน ฝึกวินัยลูกๆ ของพระองค์ การอบรม สั่งสอน ฝึกวินัยแบบพระเจ้า คืออะไร? คราวนี้เรามาเรียนรู้แล้วนะ เรียนรู้จากพระคัมภีร์บอกเรา ฝึกวินัยแบบพระเจ้า ก็คือพระเจ้าของเรา เป็นผู้ฝึกสอนเรา ซึ่งเป็นลูกด้วยความรัก ไม่ใช่เป็นผู้คุม แบบโหดร้าย เหมือนเราเป็นนักโทษ หรือเหมือนเราเป็นทาส แต่พระองค์เป็นพ่อ ที่เป็นเหมือนครูฝึก ภาษาเดิม แปลคำนี้ชัดเจนมาก คือคำว่าเทรนเนอร์ (Trainer) หรือครูฝึก เป็นเทรนเนอร์ หรือเป็นครูฝึกที่ดีที่สุดของเรา ลูกของพระองค์ นี่ภาพต้องเป็นอย่างนั้น
ความหมายของคำว่า “เทรนเนอร์” มันดีมาก หรือภาษาไทยเขาเรียกว่า “ครูฝึก” หรือ “ผู้ฝึกสอน” ฝึกวินัยดีมาก เทรนเนอร์ที่เรารู้จักบนโลกใบนี้ เป็นอย่างไร? หมายถึงใคร? เทรนเนอร์ก็จะคอยดูแล แนะนำ ฝึกสอนให้เราทำ ยกตัวอย่างเช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ชัดมาก คำว่า “เทรนเนอร์” เยอะแยะไปหมด ไปฟิตเนสอะไรต่างๆ ก็มีเทรนเนอร์ ฝึกสอนเรา พอมองเห็นภาพ เป็นนักกีฬาอาชีพ นักกีฬาแข่งขัน ระดับชาติ ระดับไหนก็ตาม ก็จะมีครูฝึก มีเทรนเนอร์ เทรนเนอร์ก็จะฝึกให้เราออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา ตามความถนัดของเรา เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้เราแข็งแรง มีบุคลิกร่างกายดี ประสบความสำเร็จในการเล่นกีฬาต่างๆ เหล่านั้น แล้วแต่จะเล่น เพื่ออะไร? เทรนเนอร์ไม่ใช่ฝึกสอน ฝึกเรา เพื่อจะลงโทษเรา หรือจะฆ่าเราให้ตายถูกหรือไม่ถูก? นั่นแหละ นึกถึงภาพพระเจ้า เทรนเนอร์ คืออย่างนั้นแหละ
แต่แน่นอน เวลาเรามีเทรนเนอร์ ตอนที่เราฝึกอยู่นั้น เราต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก เช่น ความขี้เกียจ ความเหมื่อยล้า ต้องต่อสู้อดทนกับความเจ็บปวดกล้ามเนื้อบ้าง เส้นเอ็นตึง ยึดบ้าง แต่ครูฝึกหรือเทรนเนอร์ จะรู้ระดับขนาดที่เราแต่ละคนมีไม่เท่ากัน และรู้ว่าเราสามารถรับได้ ทนได้แค่ไหน? ที่เหมาะสมกับเราแต่ละคน เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ในร่างกายเรามากที่สุด เท่าที่ทำได้ เพื่อจะสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น
ยกตัวอย่างเราไปฟิตเนต เราจะไปทำอะไร? เทรนเนอร์ก็จะมาคุยกับเราว่าเป้าหมายของเรา คืออยากจะมีกล้ามสวยๆ มีพุงแฟ๊บๆ ใช่ไหม? โอเค วางโปรแกรมไว้ ออกกำลังกายอย่างนี้นะ รับประทานอาหารอย่างนี้ แล้วก็คอยดูแลเรา สัปดาห์นี้ถึงไหนแล้ว โอเค อยากมีกล้ามสวยๆ ต้องยกเยอะๆ มันเจ็บ มันปวดใช่ไหม? เมื่อยใช่ไหม? แต่เป้าหมาย คือรูปร่างจะได้สวย ร่างกายจะได้แข็งแรง อย่างนี้เป็นต้น นี่คือหน้าที่ หรือการฝึกของเทรนเนอร์
พระเจ้าเป็นพ่อของเรา เป็นเทรนเนอร์ที่ยอดเยี่ยม เอาใจใส่เราในทุกกระเบียดนิ้ว เข้าใจเราทุกอย่าง มากกว่าตัวเราเข้าใจตัวเราเองด้วยซ้ำไป พระองค์รู้จุดอ่อนจุดแข็งของเรา อยู่ตรงไหน? พระองค์ฝึกฝนเรา เพื่ออนาคตที่ดี เพราะเป็นเทรนเนอร์ที่ดี ไม่มีเทรนเนอร์ที่ไหนหรอกที่จะมา เพื่อจะลงโทษเรา เนื่องจากอดีตเรา ไปทำไม่ดีมา
บอกให้ออกกำลังกาย สมมติว่าให้ยกน้ำหนักอย่างนี้ๆ 10 เชต เชตละ 10 ที วันละ 5 ครั้งทุกวัน สัปดาห์ต่อไป ไม่ทำ ไม่เอาแล้ว ไม่สนใจแล้ว ไม่สอนแล้ว หรือลงโทษ ไม่ใช่ เขาก็จะมาศึกษาต่อว่าที่เราไม่ทำ เพราะอะไร? เทรนเนอร์ก็อาจจะเห็นว่าที่เราไม่ทำ เพราะอาจจะเยอะเกินไป หรือเราไปทำอย่างอื่นผิด เพราะฉะนั้น ลดการวิ่งลงไหม? แล้วมายกน้ำหนัก ให้ได้ตามที่เราตั้งใจ ที่เทรนเนอร์สอน ที่เทรนเนอร์แนะนำ พอเราลดการวิ่ง ความเหนื่อยมันก็น้อยลง เราก็สามารถมายกน้ำหนักได้ ตามที่เทรนเนอร์วางไว้ให้
เห็นไหม? จะมองภาพเห็นว่าเทรนเนอร์ต้องทำอะไร? เทรนเนอร์ต้องเข้าไปศึกษาอย่างลึกซึ้งว่าคนๆ นี้ เขาทำได้แค่ไหน? เขาควรจะทำอะไร เพื่อเป้าหมายนั้น เป้าหมายต้องการให้ท้องแฟ๊บ ทำอย่างไร? ไปวิ่งออกแต่หัวใจอย่างเดียว ท้องไม่แฟ๊บหรอก อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่จริงอย่างนี้หรือเปล่า เราก็ไม่รู้นะ ยกตัวอย่างให้เห็น เพราะกำลังฮิต กำลังดังมาก เรื่องเทรนเนอร์หรือครูฝึกนี้
แล้วพระองค์จะคุยกับเราอย่างไร? เทรนเนอร์ที่เป็นพระเจ้า คุยกับเราเสมอตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าพระเจ้าตรัสกับเรา เสมอว่าพระองค์ได้เริ่มต้นแผนการดี ในเราแต่ละคนแล้ว แผนการดี คือให้เราได้เริ่มต้นเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป ฝึกฝน สอนเราต่อไป จนกระทั่งสำเร็จเป็นไปตามเป้าหมาย ก็คือเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เข้าไปสู่ในโลกวิญญาณ จนถึงได้รับชีวิตนิรันดร์ในที่สุด นั่นเอง นี่คือเป้าหมาย
แล้วพระองค์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแน่นอน เพราะพระองค์ทรงเริ่มต้นทำ เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว ก็เป็นลูกเลย ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น นั่นแหละ หน้าที่ของพระองค์ ก็คือกำลังสอนเราเป็นลูกของพระองค์ และไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เป้าหมาย คือเป็นลูกของพระองค์ที่สง่างาม และอยู่บนโลกใบนี้ อย่างมีสันติสุขและความสุขมากที่สุด เท่าที่ทำได้ นี่คือข้อ 1 คือการฝึกฝน อบรม ฝึกวินัยให้กับลูกๆ ของพระองค์ ซึ่งเราเลียนแบบ เอาไปฝึกให้กับลูกๆ ของเราได้
มาข้อที่ 2 ที่พระเจ้าต้องการให้เราเลียนแบบ ก็คือการให้คำแนะนำ คำปรึกษา คำตักเตือน แบบพระเจ้า แบบพระเจ้า คือไม่ใช่แบบมนุษย์คิด หรือแบบมนุษย์เราทำกันทั่วๆ ไป เช่น พอลูกทำผิด หรือเด็กๆ ที่ทำผิด …
“บอกกี่ครั้งไม่เชื่อสักทีหนึ่ง ไปตายซะ บอกกี่ครั้งไม่รู้จักฟัง สักทีหนึ่ง”
เห็นไหม? ใช้อารมณ์ ยั่วยุให้เขาเกิดความกระด้างกระเดื่อง รับไม่ได้ แทนที่จะให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ให้คำตักเตือนแบบพระเจ้า แบบพระเจ้า คือภาษาฮีบรูเดิม เขาใช้คำว่าบิ๊กโกเร้นท์ (Biqqoret) ภาษาอังกฤษ คือ To inquire deeply หรือ Search deeply ซึ่งแปลเป็นไทย คือการค้นหา ชันสูตรเข้าไปในจิตใจ อย่างละเอียดลึกซึ้ง เรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของลูกแต่ละคน มันแปลว่าอย่างนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำ คำปรึกษา คำตักเตือนกับลูกๆ แบบนี้ไหมว่าให้เข้าไปค้นหา ชันสูตรจิตใจของลูกคนนั้นอย่างละเอียดลึกซึ้งว่าเป็นคนนิสัยอย่างไร? จุดอ่อนจุดแข็งเป็นอย่างไร? พูดอย่างไร เขาถึงจะรับได้ ลูกคนโตไม่ค่อยจะพูด พูดน้อย คิดเยอะ ลูกคนเล็กเป็นคนพูดมาก คิดน้อย เราควรจะพูดอย่างไร? ที่เขาจะสามารถรับได้ เข้าใจได้ ไม่เข้าใจเราผิด เอเมนไหม? เพราะเขาเป็นเด็กเล็กๆ อยู่
แทนที่จะทำแบบนั้น เราทำแบบมนุษย์ ให้คำแนะนำ ปรึกษาแบบใจเราต้องการ เราต้องการอย่างนี้ ใช้อารมณ์
“ไม่ได้ ต้องทำอย่างนี้สิ ต้องทำอย่างนั้นสิ ต้องไปเรียนหมอ ต้องไปเรียนอันโน้น”
เราไม่เข้าใจเขา เขาอยากจะทำอย่างนี้ เพราะเขาถนัดอย่างนี้
เราบอก … “อย่างนี้ได้อย่างไร อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไปทำอย่างนี้ดีกว่า พ่ออยากให้เป็นอย่างนี้ แม่อยากให้เป็นอย่างนี้”
นี่คือตรงกันข้ามกับแบบพระเจ้า
เนื่องจากคำว่า “Biqqoret” ในภาษาฮีบรู ได้มีการเอามาใช้บัญญัติเป็นคำศัพท์ใหม่ เรียกว่าในภาษาฮีบรูใหม่ มีการนำคำว่า Biqqoret มาใช้เรียกเครื่องมือชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้เฆี่ยนตี ลงโทษ ให้ถึงตาย ของนักโทษประหาร และใช้คำภาษาอังกฤษว่า Scourging ที่แปลว่าการลงโทษ เฆี่ยนตีให้ถึงตาย จึงมีข้อพระคัมภีร์บางแห่งที่แปลความหมายตรงนี้ให้ไม่ตรงตามบริบทที่ควรจะเป็น นึกออกแล้วใช่ไหม? Biqqoret ควรจะเป็นอย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าค้นหาเข้าไปลึกๆ ชันสูตรเข้าไปในจิตใจลึกๆ อย่างละเอียดของลูกๆ เพื่อที่จะได้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเขา เพื่อที่จะเลี้ยงดูเขา ให้คำแนะนำ คำปรึกษากับเขา แต่อันนี้ นำมาใช้เรียกเครื่องมือหนึ่งเรียกว่าเฆี่ยนตี จนตาย เป็นการลงโทษ ต่างกันลิบเลย ถามว่าทำไมเอาใช้ ต่างกันลิบ ก็เพราะว่า Biqqoret แปลว่าการเจาะเข้าไปอย่างลึกซึ้งเข้าไปจิตใจ นี่คือเริ่มต้นของศัพท์คำนี้ แล้วก็นำศัพท์คำนี้ เมื่อคำว่าเจาะลึกซึ้ง มาทำเป็นศัพท์ใหม่ ภายหลังจากมีการสร้างเครื่องมือ การเฆี่ยนตีนี้ขึ้นมา เอาคำนี้มาใช้ เหมือนกับเราใช้คำว่าโทรทัศน์อย่างนี้
โทรทัศน์ ก็มาจากคำเดิม ก่อนนี้ ไม่มีคำว่าโทรทัศน์ มีแต่คำว่าโทร คือการติดต่อกัน ระยะการติดต่อ โทรทัศน์คือการติดต่อกัน ที่เห็นภาพ รวมกันเป็นโทรทัศน์ รู้แล้วว่าโทรทัศน์เป็นอะไร โทรทัศน์มาจากคำว่าโทร จากคำว่าติดต่อกันทางไกล อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น จึงมีการนำข้อพระคัมภีร์บางแห่งในพระคัมภีร์ ที่ใช้คำว่า Biqqoret ในการแปลความหมาย ที่ผิดไปจากบริบท ที่ควรจะเป็น ซึ่งพอมันแปลผิดปุ๊บ มันเกิดอะไรขึ้น เข้าใจผิดเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง ต่อพ่อที่เป็นพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ ผู้ทรงเป็นความรัก ที่ดำรงเป็นนิตย์ ที่รักมนุษย์มาก ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้กระทำอย่างนั้นเลย แต่ถูกเข้าใจผิด วันนี้เลยจะมาทำให้ท่านเข้าใจถูก เพื่อเราเข้าใจในทางของพระเจ้าถูกแล้ว เราจะได้เลียนแบบ เอามาดูแล ลูกๆ ของเรา เด็กๆ ของเราบนโลกใบนี้ ในฮีบรู 12:5-6 เป็นข้อที่ชัดเจนมาก ที่ทำให้เข้าใจพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราผิดไปเยอะเลย บันทึกไว้อย่างนี้ ซึ่งมันผิดบริบท …
ฮีบรู 12:5-6 “5 ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ ซึ่งมีมาถึงท่าน ในฐานะบุตรว่าลูกเอ๋ย อย่าละเลย การตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน 6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร”
“ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ ซึ่งมาถึงท่าน ในฐานะบุตรว่าลูกเอ๋ย อย่าละเลย การตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
ท่านรู้แล้วตรงนี้ แปลมาจากคำว่า Scourges ซึ่งหมายถึงเฆี่ยนตีให้ถึงตาย และอย่างนี้จะเป็นถ้อยคำให้กำลังใจไหม? ท่านอย่าละเลย การเฆี่ยนให้ตายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่กำลังเฆี่ยนท่านให้ถึงตาย เป็นกำลังใจตรงไหน?
“อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก”
ก็คือมาจากคำว่า “พระองค์ทรงเฆี่ยนตีให้ถึงตายกับผู้ที่พระองค์ทรงรัก” เป็นไปได้ไหม? พูดเองก็ได้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นี่แหละความเข้าใจผิด
“และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร” ก็คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ คริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะลงโทษเราอย่างนี้ มันถูกบริบทไหม? ไม่ถูกแน่นอน เรารู้แล้ว
พระเจ้าไม่ตีสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก และไม่ลงโทษทุกคนที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ เอเมนไหม? เพราะว่าพระองค์ทรงได้รับเขาทั้งหลายเหล่านั้น เป็นของพระองค์แล้ว ในพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพ่อของพวกเขา เขาเป็นบุตรของพระองค์แล้ว พระองค์ไม่ลงโทษทุกคนที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์อย่างแน่นอน เอเมน เพราะพระเยซูรับโทษบาปไปเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์ เอเมนไหม? ชัดเจนเลย
คำว่า “ตีสอน” ตรงนี้ ภาษาฮีบรู ก็คือตะกี้นี้ Biqqoret คำว่าตีสอนตรงนี้ พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ ก็เข้าใจผิด ก็จะใช้คำว่า Scourges คือคำที่มาจาก Biqqoret ที่รวมคำเป็นสมัยใหม่ แปลว่าเฆี่ยนตี ที่มักใช้กับการลงโทษในสมัยโรมัน คือใช้แส้ ที่ทำด้วยหนัง เป็นเส้นๆ คล้ายหางม้า มีกระดูกสัตว์ หรือของมีคมติดอยู่ที่แส้ แล้วก็เฆี่ยนไป เพื่อที่จะให้กระดูกที่เป็นแหลมๆ เหล่านั้น เจาะลึกเข้าไป ในเนื้อกระชากออกมา เพื่อให้นักโทษนั้น ได้รับการลงโทษอย่างสาสม เพราะเป็นนักโทษประหารชีวิตนั่นเอง นี่คือคำว่า Scourges ท่านพอจะนึกออกแล้วใช่ไหมว่าตรงนี้น่าจะแปลว่าอะไร? และคำว่า Scourges เป็นคำเดียวกันกับตอนที่ทหารโรมันเฆี่ยนตีพระเยซู ก่อนที่จะจับไปตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์ถูกเฆี่ยน ถูกตี ด้วยความโกรธ เกลียดชัง เยาะเย้ยของทหารโรมัน กระชากเนื้อของพระองค์ออกมาทีละนิดๆ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้พระองค์สิ้นพระชนม์ แต่ยังไม่ถึงเวลาในการทนทุกข์เพียงพอ พระองค์ยังไม่สิ้นพระชนม์ ยังไม่ถึงเวลา
เพราะฉะนั้น “พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอน หรือ Scourges นี้ ผู้ที่พระองค์ทรงรัก เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตรนั้น” จึงไม่ใช่อย่างแน่นอน ถูกไหม? มันขัดกับถ้อยคำพระเจ้าอื่นๆ ในพระคัมภีร์มากมายเลยที่บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก ประทานพระเยซูมา พระเยซูแบกรับเอาความบาป ถูกเฆี่ยน ถูกตี เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ใช่ให้เราถูกเฆี่ยนตี
โรม 8:1 บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว แล้วนี่ไปเอาโทษมาจากไหน? เห็นไหม?
ถ้าคำว่า Scourges หรือการตีสอน หมายถึงการเฆี่ยน แบบที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ท่านลองนึกภาพว่าจะมีพ่อแม่ มนุษย์คนไหนบ้างไหมที่รักลูก แล้วเฆี่ยนตีลูกอย่างนั้น พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เป็นคนบาปยังไม่ทำอย่างนั้นเลย แล้วพระเจ้าจะทำอย่างนั้นกับเราได้อย่างไร? พระองค์บอกให้เราเลียนแบบพระองค์อย่างที่ถูกต้อง “อย่างที่ถูกต้อง” คือแบบ Biggoret ที่เป็นความหมายเดิมของภาษาฮีบรูนั่นเอง ที่เราเรียนรู้ไปเมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์เดิม ในหนังสือสุภาษิตก็มีคำนี้อีก คำว่า Biggoret นี้ ที่เขียนไว้ สุภาษิต 3:11-12 …
สุภาษิต 3:11-12 “11 ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าขุ่นข้องหมองใจ เมื่อพระองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือน 12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสั่งสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งพ่อตีสั่งสอนลูกที่ตนชื่นชม”
ลักษณะเดียวกัน “อย่าดูหมิ่น การตี สั่งสอน ฆ่าให้ตายขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตีสั่งสอน เฆี่ยนให้ตายผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งพ่อที่เฆี่ยนลูกที่ตัวเองรักและชื่นชม” อย่างนั้นหรือ? มันไม่ใช่ มันไม่ถูกแล้ว
คำว่า “ตีสั่งสอน” ที่ใช้ในหนังสือสุภาษิตข้อนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Correct” ปรับปรุงแก้ไข ซึ่งก็มีรากศัพท์จากภาษาเดิมคำเดียวกัน คือ Biggoret เหมือนกันกับเมื่อสักครู่นี้ เพราะเป็นภาษาฮีบรูเดิมนั่นเอง ก่อนคำว่าเฆี่ยนจนฆ่าให้ตายจะบังเกิดขึ้น เครื่องมือนี้จะถูกสร้างขึ้นมา แล้วมีศัพท์คำใหม่ เกิดขึ้นมาว่า Scourges เฆี่ยนตี Biggoret แปลว่าชันสูตร ค้นเข้าไปลึกๆ ด้วยความรัก
ถ้าย้อนไปดูพระคัมภีร์ต้นฉบับ ภาษาเดิม คือฮีบรู คำว่า “ตีสอน” หรือ “Biggoret” อันนี้ จะใช้คำที่มีความหมายว่า “Inquire deeply” หรือ “Search deeply” ซึ่งแปลว่าการค้นหา ชันสูตรอย่างลึกซึ้งเข้าไปลึกๆ ในใจ เพื่อทำให้มันดี เหมือนกับเอามาใช้กับคำว่า “ไถ หว่าน” สภาพของการไถหว่าน ไถเพื่อหวังดี เพื่อให้เกิดผล ไถหว่าน คือเข้าไปลึกๆ ของดิน เพื่อมันซุย เพื่อเขาจะรับสารอาหารได้ มันเป็นท่าทีที่ดี ไม่ใช่คำศัพท์ใหม่ที่เขาเอามาใช้กับเครื่องมือการลงโทษ นักโทษประหาร แส้เข้าไปลึกๆ ลงโทษเข้าไปลึกๆ เฆี่ยนเข้าไปลึกๆ เพื่อให้ผู้คนรอบข้างเห็นและหลาบจำว่านักโทษประหาร ทำผิด แล้วถูกลงโทษ อย่างนี้ๆ ลึกเหมือนกัน แต่มันเป็นศัพท์คำใหม่
ความหมายของข้อนี้ คือพระเจ้าทรงชันสูตรชีวิต และจิตใจของเราอย่างละเอียด ลึกซึ้ง และฝึกฝนเรา ปรับปรุงแก้ไขเรา ลูกเล็กๆ ของพระองค์ อย่างทะนุถนอม ด้วยความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ด้วยความอดทนนนนนนน เพราะฉะนั้น เราเลียนแบบพ่อของเรา เราจะต้องดูแลเด็กๆ ลูกๆ ของเรา และลูกๆ ของคนอื่นด้วย เด็กๆ ทั้งหลาย เราก็ต้องดูแลเลี้ยงดูเขา ด้วยการอดทนนาน
อย่างเมื่อวานเห็นชัดเลย เด็กจะเอาระเบียบอะไรมากมายนัก เราก็ต้องอดทน ให้เข้าแถว ก็เข้ามาเป็นหมู่ แถวเรียงหมู่มีที่ไหนเล่า ก็ต้องสอนเขา ค่อยๆ ทีละนิด ทีละหน่อย อดทนนาน ใช่ไหม? พระเจ้าก็ทำอย่างนั้นแหละ อดทนนาน เพื่อให้เราที่เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์นั้น ได้เกิดผลตามธรรมชาติ วิสัยของเรา คือเราได้เกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เกิดจากหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าเลย มีธรรมชาติ วิสัยเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลย พระเจ้าก็จะอดทนนาน และเข้าไป Biggoret เข้าไปค้น ชันสูตร จิตใจ ความคิด ส่วนลึก นิสัย ใจคอของเรา ของลูกแต่ละคน อย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะให้นิสัยใจคอ ธรรมชาติของการเป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมนั้น มันเกิดออกมาเป็นนิสัยของเด็ก เกิดเป็นความประพฤติ ซึ่งเขาอยากทำอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครสอนเขา ไม่มีใครบอกเขา ไม่มีใครชี้ให้เขาเห็น เพราะเขาไม่เห็น เพราะว่าเข้าไปผิดหลักการ ก็คือเข้าไปไม่ถูกต้อง คือไม่รู้พูดภาษาอะไร พูดแล้วเขาไม่เข้าใจ
พ่อแม่พูด แล้วเด็กไม่เข้าใจ ทำอย่างไรเราพูดกับลูกๆ แล้วลูกๆ เข้าใจได้ เวลาพูดกับลูกไม่เข้าใจ ถามว่าทำอย่างไรให้เขาเข้าใจ บังคับเขาหรือ? ยิ่งไปกันใหญ่ เราต้องอดทนนานนนน ไม่ใช่อดทนอย่างเดียว อดทนนานแล้วก็ศึกษา ค้นคว้า ชันสูตรเข้าไปในจิตใจของเขาว่าเขาต้องการอะไร? เขาเป็นอย่างไร? ต้องพูดท่าไหนเขาถึงจะเข้าใจ เขาถึงจะถนัด ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ไปว่าๆ เอาสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เขาต้องการคืออะไร? เขาก็อยากจะได้ดี เขาก็อยากจะเชื่อฟัง ที่เขาไม่เชื่อฟัง เพราะอะไร? คิดดูใหม่อีกทีหนึ่งสิ มันอาจจะเพราะเราเองก็ได้ ที่ทำให้เขาไม่เข้าใจ เพราะว่าเราพูด แล้วเขาไม่รับ เมื่อเขาไม่รับรู้ เขาเรียกว่า Communication breakdown เขาเรียกว่าการสื่อสารเสียหาย ไม่เกิดผล เขาก็ไม่รับรู้อะไร? ไม่ใช่เขาไม่เชื่อฟัง เพราะเขาไม่ได้รับรู้ว่าเราสื่ออะไรกับเขา
เพราะฉะนั้น ถ้าจะแปลให้ถูกต้อง ตามความเป็นจริงตามบริบท ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ ควรจะแปลว่าอย่างนี้ คือ …
สุภาษิต 3:11-12 “11 บุตรชาย (หญิง) ของเราเอ๋ย อย่าลบหลู่ ดูแคลนการฝึกวินัยของพระเจ้า หรือเบื่อหน่ายต่อการตักเตือนของพระองค์ 12 เพราะพระเจ้าทรงชันสูตรอย่างลึกซึ้ง ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังบิดาตักเตือนบุตรผู้ที่เขาปีติชื่นชม”
ทุกคนพูดพร้อมกันว่า … “เอเมน”
“บุตรชายหญิงของเราเอ๋ย อย่าลบหลู่ ดูแคลนการฝึกวินัยของพระเจ้า” เอเมนไหม? เอเมน
“หรือเบื่อหน่ายต่อการตักเตือนของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงชันสูตรอย่างลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจ ชีวิตของเรา ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังบิดาตักเตือนบุตร ผู้ที่เขาปิติชื่นชม”
เอเมน อย่างนี้มันใช่เลย เราก็จะเลียนแบบอย่างนั้นแหละ เราจะดูแลลูกของเราอย่างนี้แหละ เอเมนไหม? เพื่อว่าลูกของเราจะได้ ไม่เบื่อหน่ายต่อการขี้บ่นของเรา ในนี้บอกเบื่อหน่ายต่อคำตักเตือน ตักเตือนอะไร พูดซ้ำๆ ซากๆ ทุกวัน ถูกไหม? เขารู้แล้ว รู้แล้วก็จะบ่นอย่างนี้แหละ พูดไปเรื่อยเปื่อย
“แกอย่างนี้ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแน่เลย การบ้านก็ไม่รู้จักทำ หนังสือก็ไม่รู้จักท่อง สอบตกทุกปี ทุกเทอม แกทำอะไรไม่ขึ้น ไม่จำเริญแน่นอน”
พูดทุกวันๆ ลูกๆ ของเรา หลานๆ ของเราชอบฟังไหม? เบื่อหน่ายไหม? พอเบื่อหน่าย
เราก็ … “ลงโทษเลย บอกให้ฟัง ยังไม่ฟังอีก จะหนีไปไหน? มานั่งฟังก่อน”
มันเป็นอย่างนี้ แทนที่เราจะ ไม่ได้ผลวิธีนี้ ทำอย่างไร? อดทนนาน แล้วก็แสวงหา ค้นคว้า ชันสูตรจิตใจเด็กคนนั้น ลูกเราคนนั้น ซึ่งไม่เหมือนลูกคนโต ลูกคนที่ 5 นี่ลูกคนเล็ก มันต้องคุยกับเขาอย่างไร? คนนี้เขาแปลกกว่าคนอื่นเขา ตอนพี่ใหญ่เขาได้ยินอย่างนี้ เขายังรู้ เขายังเข้าใจ ลูกคนเล็กไม่เข้าใจ ต้องทำอย่างไร? เขาขาดอะไรไหม? เขาป่วยหรือเปล่า ร่างกายและจิตใจเขาพร้อมไหม? อะไรอย่างนี้ มันคือหน้าที่ของพ่อแม่ ไม่ใช่เอะอะอะไร ฉันจะเอาอย่างนี้ เขาต้องได้ผลอย่างนี้ เอาผลมาก่อนไม่ได้ ต้องเอาเหตุ เหตุไม่ดี แล้วผลมันจะดีได้อย่างไร? เหตุเราทำไม่ถูกต้อง แล้วผลมันจะดีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่รับ สิ่งที่เราพูดดี แต่เขาไม่รับ มันก็ไม่ได้ผลดี เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่นี่แหละ
และในหนังสือฮีบรู 12:5-6 ที่เมื่อตะกี้นี้ ที่เราเริ่มต้นที่บอกว่า … “ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่าลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน” ก็น่าจะแปลอย่างถูกต้อง อย่างนี้ว่า …
ฮีบรู 12:5-6 “5 ในฐานะเป็นลูกแล้ว จำไม่ได้หรือ! ถ้อยคำแห่งกำลังใจ ที่พระเจ้าตรัสกับเรา ในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย จงอย่าละเลย ต่อความรักของพ่อ ที่คอยฝึกฝน ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ลูกได้ดี และอย่าท้อใจ เวลาที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น 6 แต่จงจำไว้ว่าพ่ออยู่ด้วยเสมอ พ่ออยู่ฝ่ายเจ้า และกำลังนำพาฝึกสอนลูก”
พูดพร้อมกันว่า “เอเมน” ดังๆ ให้ดังก้องไปถึงฟ้าสวรรค์เลย ช่วยพ่อของเราหน่อยเถอะ เข้าอยู่ข้างพ่อของเราหน่อยเถอะ พ่อเราถูกเข้าใจผิดมาตั้งนานแล้ว นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือหัวใจของพ่อ ที่มีต่อเราทั้งหลายผู้เชื่อ และผู้ที่ยังไม่เชื่อ ก็เป็นลูกๆ ของพระองค์นั่นเอง พระองค์รักเราขนาดนี้ เราเข้าใจพระองค์ผิดมาตลอดใช่ไหม? ปีนี้ ได้รู้แล้ว น่าจะเปลี่ยนความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ และมันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราด้วย เมื่อท่าทีเราถูกต้องกับพ่อของเรา เรารู้ว่าพ่อของเรามีท่าทีอย่างไร? เราก็เลียนแบบได้ถูกต้องไง
เพราะฉะนั้น ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดี ซึ่งมันผิดมาตั้งเยอะ วันนี้ เราจะมาช่วยแก้ความคิดของเรา ที่มีต่อพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราให้ถูกต้อง อย่างนี้นั่นเอง ตั้งใจฟังเลยนะ ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่พ่อ คือพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์กำลังบอกเราว่าพระองค์ทรงมีความรักต่อเราทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์อย่างไร? ปฏิบัติต่อเราอย่างไร? เพื่อว่าเมื่อเรารู้แล้ว เราจะได้ซึมซับการปฏิบัติอย่างนี้ ไปปฏิบัติต่อลูกๆ ของเราที่เป็นเด็กๆ และลูกๆ ของคนอื่น ก็เหมือนลูกๆ ของเรา คือเป็นเด็กๆ บนโลกใบนี้เช่นเดียวกัน ให้มันสมกับวันนี้เป็นวันเด็กสักหน่อย เข้าใจพ่อของเราบ้าง
ฮีบรู 12:5-6 “ในฐานะเป็นลูกแล้ว จำไม่ได้หรือ! ถ้อยคำแห่งกำลังใจ ที่พระเจ้าตรัสกับเรา ในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย จงอย่าละเลย ต่อความรักของพ่อ ที่คอยฝึกฝน ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ลูกได้ดี และอย่าท้อใจ เวลาที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น แต่จงจำไว้ว่าพ่ออยู่ด้วยเสมอ พ่ออยู่ฝ่ายเจ้า และกำลังนำพาฝึกสอนลูก กำลังให้คำแนะนำ คำปรึกษาและคำตักเตือนแบบพ่อ คือแบบพระเจ้า คือแบบ Biggoret ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า To inquire deeply ภาษาไทย ก็คือด้วยการค้นหา ชันสูตรเข้าไปในใจลึกๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง ด้วยความอดทนนานของพ่อ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น อดทนไว้นะลูก พ่ออยู่ด้วย พ่อเป็นฝ่ายเจ้า พ่ออยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ พ่อเข้าใจลูกเสมอ พ่อรักลูกมาก ถึงมากที่สุด ในยามสุข พ่อเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างเจ้า บินอยู่เคียงข้างเจ้า ในยามเจ้าทุกข์ พ่อซุกเจ้าไว้ใต้ปีกของพ่อ พ่อรู้จักเจ้าอย่างลึกซึ้ง มากกว่าเจ้ารู้จักตัวเจ้าเองด้วยซ้ำไป จงวางใจในพ่อเถิด เจ้าเป็นลูกของพ่อนะ ไม่ใช่ทาส นี่คือความจริงของความรู้สึกและท่าที หลักการแบบพระเจ้าที่มีต่อพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
สำหรับพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เราก็เลียนแบบพ่ออย่างนี้แหละ ท่านที่เป็นพ่อแม่ ท่านจงใช้ความรักที่อดทนนาน ฝึกวินัยบุตรหลานและจงหมั่นค้นหาชันสูตร จิตใจส่วนลึกของบุตรหลานของท่าน ของเด็กๆ ของท่านที่ดูแลอยู่ เพื่อที่จะได้เข้าใจเขา พูดภาษาเดียวกับเขา อยู่เคียงข้างเขา ให้เขามั่นใจและวางใจในท่าน ท่านจะได้เป็นที่ปรึกษา แนะนำตักเตือน ให้เขาสามารถรับคำปรึกษา รับคำที่ดีเหล่านั้นได้ ซึ่งมันต้องใช้เวลานาน และอดทนที่จะอยู่เคียงข้างเขาด้วยความรักนั่นเอง
พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ทั้งหลาย เวลาที่ให้กับลูก สำคัญกว่าทรัพย์สิ่งของมากมายนัก เวลาที่พระเจ้าให้กับเรา สำคัญกว่าทรัพย์สมบัติบนโลกใบนี้ ที่เราคิดว่าเราต้องการ มากมายนัก และเวลาที่พระเจ้าให้กับเรานั้น พระองค์บอกว่าเราจะไม่ละทิ้งท่านเหมือนเด็กกำพร้า เราจะไม่ละท่านให้อยู่ตามลำพัง เราอยู่กับท่านตลอดเวลาเสมอและตลอดไป เจ้าหลับ เราก็ไม่หลับ เราจะคอยดูแลเจ้าอยู่ตลอดเวลา
นี่คือพระองค์ทรงให้เวลากับลูกๆ ของพระองค์ทุกคน ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
อันดับแรกเลย พระองค์ทรงให้เราบังเกิดใหม่ทันที
อันดับที่สอง สำคัญเท่าๆ กัน คือพระองค์เข้ามาอยู่ในเราทันทีเลย คือให้เวลากับเราเลยทันที ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือวินาทีแรกที่เราบังเกิดใหม่ อุแว้เป็นลูกของพระองค์ เป็นทารกของพระองค์ พระองค์เข้ามาให้เวลากับเรา 24 ชั่วโมง ตลอดไป เอเมน เราก็ต้องเลียนแบบพระองค์แบบนี้แหละ ให้เวลากับบุตรหลานของท่านมากที่สุด เท่าที่ทำได้ และจงจำไว้เสมอว่าเวลานั้นสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ ท่านให้ทรัพย์สมบัติอะไรไป ไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าท่านไม่มีเวลาให้กับเขา เขาจะไม่มีวันเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่ท่านต้องการให้เขาได้รู้ เขาจะไม่มีวันเข้าใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร? เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ไม่สามารถสอนเขาได้ในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง และดีงามบนโลกใบนี้ ท่านต้องทำเหมือนพระเจ้า ท่านต้องเลียนแบบเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเจ้าดูแลเอาใจใส่ อย่างละเอียด ถี่ถ้วน ในเรามนุษย์แต่ละคนเป็นพิเศษ ทุกคนเป็นคนพิเศษ ทุกคนเป็นลูกที่พิเศษของพระเจ้า 1 ต่อ 1 เสมอ เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่กับมนุษย์ทุกคนได้ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่อยู่ในทุกหนทุกแห่งพร้อมๆ กันได้ เราคิดไม่ถึงหรอก แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเราแต่ละคน ดูแลเราส่วนตัวแต่ละคน เป็นที่ปรึกษาเราในแต่ละคน คุยกับเราส่วนตัวในแต่ละคน ไม่ใช่คุยกับเราเป็นกลุ่มเป็นก้อน คุยกับเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว พระองค์ทรงรู้ว่าแต่ละคนมีนิสัยอย่างไร? ต้องฟังอะไรอย่างไรถึงจะเข้าใจ ต้องได้รับอะไรถึงจะเจริญเติบโตง่าย พระองค์ทรงเข้าใจแต่ละคน และดูแลทุกคนเป็นพิเศษ เป็นลูกคนพิเศษ …
“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่เป็นคนพิเศษของพระองค์ ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ”
พระเจ้าอวยพรครับ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
วิธีเข้าสวรรค์ จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้น นำไปถึงความพินาศ
พระเยซูประกาศวิธีที่จะเข้าสู่สวรรค์ ให้กับชาวยิวที่เคร่งครัดในการรักษากฎบัญญัติตามศาสนายิว จนเข้าใจผิดคิดว่าการกระทำของตนจะช่วยให้ตนเองบริสุทธิ์ ชอบธรรม สามารถเข้าสวรรค์อยู่กับพระเจ้าได้ ซึ่งพระเยซูได้ประกาศว่าไม่มีผู้ใดที่จะเข้าสวรรค์ได้ โดยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง นอกจากเชื่อและวางใจในพระองค์ที่พระเจ้าทรงประทาน ให้กับมนุษย์เท่านั้น พระเยซูเท่านั้นที่เป็นประตูสู่สวรรค์ สู่ความรอดจากความพินาศ
มัทธิว 7:13-14 … “พระเยซูบอกว่า … “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้น นำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้น ก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”
คนที่เข้าประตูคับทางแคบ คือคนที่พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่พึ่งในการกระทำดีตามกฎด้วยตนเอง
ประตูคับทางแคบ คือถ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็จะถูกกดดัน ถูกดูหมิ่น ถูกหัวเราะเยาะ ถูกข่มเหงจากสังคมภายนอก จากระบบของโลกนี้ ที่ต่อต้านความจริงของพระเจ้า แต่ภายในใจเต็มไปด้วยสันติสุข ความสงบ พักผ่อน หายเหนื่อย หมดภาระ หมดเวรหมดกรรมแล้ว ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์แล้ว และมั่นใจในชีวิตหลังความตาย
คนที่เข้าประตูใหญ่ทางกว้าง คือคนที่พึ่งการกระทำดีตามกฎระเบียบด้วยตนเอง ไม่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์
ประตูใหญ่ทางกว้าง คือได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องสรรเสริญสนับสนุนจากสังคมภายนอก จากระบบของโลกนี้ แต่ภายในใจเต็มไปด้วย ความเหน็ดเหนื่อยแบกภาระหนัก ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมสักที ไม่มั่นใจในชีวิตหลังความตาย
พระเจ้าอวยพรครับ