วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1393 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  ธันวาคม  2022

เรื่อง “มนุษย์จัดเตรียมสิ่งต่างๆ สำหรับลูกที่กำลังจะคลอดออกมาอย่างไร?

พระบิดาในสวรรค์ทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้หัวข้อเรื่อง คือ “มนุษย์จัดเตรียมสิ่งต่างๆ สำหรับลูกที่กำลังจะคลอดออกมาอย่างไร? พระบิดาในสวรรค์ทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่า”

            พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ ยังรู้จักจัดเตรียมสิ่งต่างๆ พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์เราก็รู้แล้วว่าเราจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูกๆ ที่กำลังจะคลอดออกมา ด้วยความรัก ด้วยความตื่นเต้น พระเจ้าทรงจัดเตรียมมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร? ตื่นเต้นไหมล่ะ ลองคิดถึงพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์จัดเตรียมให้กับลูกอย่างไร? พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรามากยิ่งกว่านั้นอีก เยอะเลย

            เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น เราก็มาดูสิว่าพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เตรียมอย่างไร?  อย่างที่ตะกี้เราตะโกนกันขึ้นมาบอกว่าตื่นเต้น ดีใจ ชื่นชมยินดี ทั้งๆ ที่ลูกคลอดออกมาหรือยัง? เกิดหรือยัง อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไหนไม่รู้? บางคนตื่นเต้นตั้งแต่ยังไม่ได้ท้องเลย ไปเช็คดูวันนี้ ปรากฏว่าไม่ท้อง เดือนหน้าเช็คใหม่ ถามว่าตื่นเต้นไหม? ตื่นเต้น ชื่นชมยินดีไหม? ชื่นชมยินดี กับลูกที่หวังว่าจะเกิดมา เกิดมาหรือยัง? ยังไม่ได้เกิดเลย แต่ชื่นชมยินดีไปเรียบร้อยแล้ว แล้วลูกที่ยังไม่คลอดเลยนั้น พ่อแม่ทำอะไร? เตรียมให้หมดทุกอย่าง เหมือนกับเขาคลอดแล้วเลย คือจัดเตรียม จัดหา ซื้ออะไรต่างๆ เหล่านั้นขึ้นมา แค่รู้วันแรกนะ หมอบอกว่าเธอตั้งครรภ์ ทันทีทันใดนั้น ยังไม่เห็นตัวตนเลยนะ ทำอะไรก่อน กลับมาเตรียมตัว ซื้ออันโน้น ซื้ออันนี้ เตรียมอันนั้น แล้วแต่กำลังของแต่ละคน ถูกไหม? เพื่อเราจะได้เห็นภาพชัดเจน ถ้าเราเห็นภาพมนุษย์ที่รักลูกของเขา ทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นอย่างไร? เตรียมให้เขาอย่างไร? เราจะได้เห็นพระเจ้าเตรียมให้กับเรามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร?

            ลูกยังไม่ได้ทำอะไรเป็นการกตัญญู ทำดีต่อเราเลย ที่เป็นพ่อแม่ เราก็จัดเตรียมหมดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? เรามาดูสิว่ามีตัวอย่างอะไร? อย่างตะกี้ที่บอกไว้แล้วว่าแค่รู้ข่าวว่าท้องแล้ว เกิดอะไรขึ้น ตื่นเต้น ยินดี เตรียมไปซื้อโน่นซื้อนี่ สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด เตรียมอันดับแรกเลย  ก็คือเตรียมรักสุดหัวใจ ถูกไหม? การไปซื้อของ การชื่นชมยินดีนั้น ตามมาจากความรักก่อน นั่นแหละ เขาเรียกว่าทำจากใจ  เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรให้กับเราแม้แต่นิดเดียวเลย ยังไม่ได้เห็นหน้ากันเลย ไม่ได้กตัญญูอะไรต่อเรา แต่เราเตรียมทั้งหมดแล้ว เพราะว่ารัก แล้วเราเตรียมอะไรอีก เตรียมสิ่งต่างๆ ที่จะให้เขาได้ดี คิดไว้ล่วงหน้าเลยว่าเขาเกิดมาต้องใช้อะไร? นมอย่างนี้อย่างนั้น ถามว่าทุกคนเตรียมสิ่งเหล่านี้ เพื่อตัวเองหรือเปล่า? ไม่ใช่ เพื่อจะรักเขา

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีลูกเพื่ออะไร? เพื่อเขาจะได้มาดูแลเราตอนแก่? ไม่ใช่ นึกภาพออกไหม?  ไม่มีใครคิดอย่างนั้นเลย มีลูกเพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ามีเราเพื่ออะไร? เหมือนกันเลย พูดใบ้ๆ ให้ฟัง เหมือนกับพระเจ้าเลย พ่อแม่ที่จะมีลูก มีเลือดเนื้อเชื้อไข ต้องการมีไว้ รักเขาและเชยชม ไม่รู้จะพูดคำไหน? ชื่นชม แค่พอเริ่มอยู่ในท้อง เดี๋ยวนี้สมัยใหม่เขามีอัลตร้าซาว์น ดูหน้าดูตา …

            “อันนี้เหมือนเธอนะ อันนี้เหมือนฉัน นี่เหมือนพ่อ นี่เหมือนแม่ ดูสิๆ กระดุ๊กกระดิ๊ก”

            อย่างนี้เขาเรียกว่าเชยชมด้วยความรัก นี่คือหัวใจของพ่อที่เป็นมนุษย์และมาจากพระเจ้า  พระเจ้าจะรักเราอย่างนี้แหละ และเตรียมอะไรอีกนอกจากนั้น เดี๋ยวนี้สมัยใหม่ เตรียมสถานที่ให้อยู่  เตรียมเตียง ห้องพัก อะไรต่างๆ แล้วอะไรอีก เตรียมความปลอดภัย เตรียมที่เรียนหนังสือ บางคนยังไม่ทันเกิดเลยนะ ไปดูโรงเรียนให้ลูกแล้ว  แล้วแต่กำลังและความสามารถของพ่อแม่ เตรียมหมดเลย เดี๋ยวนี้เตรียมหนักกว่านั้น เรียนชั้นประถมที่ไหน? จากประถมจะไปเรียนอะไร? วางแผนให้เสร็จเรียบร้อย นึกภาพสิ่งเหล่านี้ เดี๋ยวจะเอามาเทียบกับพระเจ้าของเราว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมอะไรไว้ให้กับเราบ้าง ที่เราจะคลอดออกมาเป็นลูกของพระองค์ นึกถึงภาพ

            สมัยปัจจุบันเขาหนักกว่านั้น เขาเตรียมถึงขนาด ลูกจะแข็งแรงได้อย่างไร? เตรียมอาหารการกิน เตรียมกินอย่างนั้น กินอย่างนี้  เดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยีใหม่ เขาเรียกว่าสเต็มเซลล์ คือลูกออกมา หมอบอกว่าให้เก็บสเต็มเซลล์ของลูกเอาไว้ เพื่อฝากธนาคารสเต็มเซลล์ไว้ กี่บาทต่อปี? ไม่รู้ เพื่อสเต็มเซลล์นี้จะเอาไปรักษาลูก ตอนลูกโตๆ อายุมากขึ้น อาจจะป่วยเป็นมะเร็ง เป็นอะไร? อันนี้จะไปรักษาเขาให้หายได้ เอาไปฝากไว้ เห็นอะไรบางอย่างไหม? ยิ่งเจริญเติบโต เทคโนโลยีมากเท่าไร? มนุษย์ก็จะทุ่มเทสิ่งเหล่านี้ให้ลูก มากกว่าให้ตัวเองอีก พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ นี่คือตัวอย่างของการจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้กับลูกที่เป็นมนุษย์ ที่กำลังจะคลอดออกมา  ยังไม่ได้คลอดเลย เตรียมไว้ก่อนแล้ว

            คราวนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องนี้ว่าถ้าเทียบกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ในสวรรค์แล้ว พระองค์เตรียมมากสักเท่าไร? เตรียมให้กับใคร? ที่คลอดออกมา พระเยซูบอกว่าก็เตรียมให้กับคนตาย อยู่ในบาป ก่อนคลอดออกมา เป็นลูกนั่นเอง มนุษย์ทั้งหลายเหมือนตายจากพระเจ้าไปแล้ว ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า แต่เขาสามารถที่จะกลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าจัดเตรียมทางไว้ให้เขา ก็คือต้องการให้ลูกกลับมาหาพระองค์ หัวใจพระองค์เตรียมไว้อย่างนั้นเลย โดยวิธีการเตรียมของพระองค์ พระองค์จะมีลูก คือมนุษย์ทั้งหลายมาเป็นลูกของพระองค์ได้ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ก่อนเลย

            อันดับแรก ก็คือเตรียมหนทางที่จะมาเป็นลูกของพระองค์ ถูกไหม? และเตรียมหนทางนั้น ก็คือเจ้าของวันคริสตมาส ผู้ที่จะมาเกิดในวันคริสตมาส ก็คือเตรียมพระเมสิยาห์ หมายถึงผู้ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ พูดสั้นๆ ง่ายๆ เอง จัดเตรียมไว้ เพื่อให้มนุษย์ได้มาเป็นลูกของพระองค์ จัดเตรียมไว้ เพื่อให้มนุษย์จะได้คลอด เพราะฉะนั้น คลอดผ่านทางความไว้วางใจ เชื่อในพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอดนี้ แล้วได้มาเป็นลูกของพระองค์ ที่ทรงจัดเตรียมไว้อย่างนี้แหละ ชัดเจนเลย

            พระเยซูตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์มาถึงปุ๊บ ประกาศเรื่องนี้เลย เรื่องความตื่นเต้นของพระเจ้า พ่อกำลังตื่นเต้นมากเลย ที่จะมีลูกแล้ว เหมือนกับเด็กในครรภ์ เริ่มต้นแล้ว เรารู้ได้อย่างไร? ก็พระคัมภีร์บันทึกไว้ไง วันที่พระเมสิยาห์มาเกิดบนโลกใบนี้นั้น ทูตสวรรค์ร้องบรรเลง ที่เราร้องเพลงกัน ชื่นชมยินดี ตื่นเต้น สรรเสริญพระเจ้า ใครเป็นผู้กำหนดทั้งหมด พระเจ้าเป็นผู้กำหนดทั้งหมด กำลังฉลองดีใจ เหมือนกับมนุษย์บอกว่าไปเช็คมาแล้ว หมอบอกว่าวันนี้ ที่ตรวจครรภ์มาแล้ว ขึ้น 2 ขีด วันนี้เรามาเลี้ยงกันเลย

            นั่นแหละ ทูตสวรรค์ร้องบรรเลง ตื่นเต้น พระเจ้าดีใจ เพราะถึงกำหนดเวลา พระเจ้านึกในใจ รอมาตั้งนานแล้ว ถึงกำหนดเวลา ที่จะมีลูกๆ เอาไว้รักและชื่นชม จำตรงนี้ไว้เลย

            พระเยซูยกอุปมาในลูกา บทที่ 15 อย่างนี้ให้เห็นชัดเลยว่าพระองค์ตื่นเต้น ดีใจอย่างไรบ้าง? ท่าทีของพระองค์ ลูกา 15:3-10 …

        ลูกา 15:3-10 “3 พระเยซูจึงตรัสคำอุปมาให้พวกเขาฟังว่า 4 “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัวและตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตาม หาแกะตัวที่หายไปนั้น จนกว่าจะพบหรือ? 5  เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่าด้วยความชื่นชมยินดี 6  และกลับบ้าน จากนั้นเขาก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ 7 เราบอกท่านว่าทำนองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดี ในคนบาปคนหนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่าในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน ซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่ 8 หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบหรือ? 9 และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากันและกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว’ 10 เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียวซึ่งกลับใจใหม่”

            ฟังบรรยายวันนี้ไป นึกถึงความรักและการจัดเตรียมให้กับลูกๆ ที่กำลังจะคลอดของบรรดามนุษย์ พ่อและแม่บนโลกใบนี้ ไปด้วยกัน เพื่อจะได้เห็นชัดขึ้น เพื่อจะรู้สึกชัดเจนยิ่งขึ้น

            “สมมติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป” พระเยซูกำลังเน้นว่าพระเจ้ารักเราแต่ละคน ไม่ใช่รักเป็นกลุ่มหนึ่ง มวลมนุษยชาติ แต่รักเราพิเศษ ดูแลเราแต่ละคนเลย พระองค์บอกว่าเส้นผมทุกเส้นของเราแต่ละคน พระองค์ทรงนับไว้เรียบร้อยแล้ว รู้ว่ามีกี่เส้น? ร่วงไปกี่เส้นบ้าง?

            ข้อที่ 5 “เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดี” ไปหาแกะที่หายไป พอเจอปุ๊บ มีความชื่นชมยินดี พอชื่นชมยินดี ก็บอกให้สหาย เพื่อนๆ มาเลี้ยงฉลองกัน เพราะว่าได้แกะตัวที่หลงหายไปกลับมาแล้ว “ร่วมยินดีกับเราเถิด” เราได้พบแกะตัวที่หายไปแล้วนั้น

            พระเยซูอุปมาเหล่านี้ แล้วบอกว่าในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีในคนบาปคนหนึ่ง ซึ่งกลับใจใหม่ ตะกี้นี้ที่บอก คนเดียว คลอดออกมาเป็นลูกของพระเจ้า กลับใจใหม่ เชื่อในพระมาซีฮาห์ พระเยซูคริสต์ มีการฉลองใหญ่ในสวรรค์ นี่พระเยซูยกตัวอย่าง

            อีกตัวอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน เรื่องเกี่ยวกับเหรียญสิบเหรียญนั้น ในข้อที่ 9 บอก “และเมื่อได้พบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหาย เพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากัน แล้วกล่าวว่า …

            “มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปแล้วนั้น”

            ลักษณะเดียวกัน พระเยซูอุปมาเรื่องนี้

            ข้อ 10 บอก … “เราบอกท่านในทำนองเดียวกัน กับเมื่อตะกี้นี้เรื่องลูกแกะหลงหาย จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่

            จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางทูตสวรรค์ของพระเจ้า คือในสวรรค์พระเจ้าจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ยินดีมากเลย คนเดียว บางทีเราเข้าใจว่าพระเจ้าดูแลเราเป็นกลุ่ม ไม่รู้สึกซาบซึ้ง เหมือนเราคนเดียว แต่พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ เวลามีความรู้สึกรักลูกที่ยังไม่คลอดออกมา คนเดียวหรือเปล่า? คนเดียว  ไม่ได้เป็นกลุ่ม เหมือนกัน ลักษณะเดียวกันกับพระเจ้า

            อยากจะมาอธิบายตรงนี้นิดหนึ่ง จะมีคนเข้าใจผิดนิดหนึ่ง คำว่า “ในคนบาป คนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่” ท่านคิดว่าอย่างไร? บางคนไม่เข้าใจ ไปเข้าใจผิด ตรงนี้ “คนบาปคนเดียว” ซึ่งกลับใจใหม่ตรงนี้ การกลับใจของคนบาป หมายถึงกลับใจ จากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะรอดพ้นจากโทษของความบาปและความตาย หลังความตายจากร่างกายนี้ มันหมายถึงตรงนั้น มันหมายถึงความรอด ทางวิญญาณ โดยไม่ต้องโดนลงโทษ ไปสู่ความพินาศ ได้รับความรอด ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์

            เขากลับใจ  จากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง หันมาพึ่งพาการกระทำของพระเมซิยาห์  พระเยซูคริสต์ เพื่อที่จะได้รับความรอด คือได้รับการคลอดออกมาในโลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า มันหมายถึงตรงนี้ ไม่ใช่การกลับใจจากการประพฤติชั่ว หันมาประพฤติดี เช่น เลิกดื่มเหล้าเมายา เป็นพาลเกเรโกหก รังแก ข่มเหงชาวบ้าน คิดเป็นเยอะแยะมากมาย พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้กลับใจหันจากการทำชั่ว ความประพฤติต่างๆ เหล่านั้น แต่หันจากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง หมายถึงสิ่งที่ดีด้วยนะ  ก็คือการรักษากฎศีลธรรม กฎบัญญัติ จริยธรรมอย่างดีงาม พึ่งตรงนี้ เพื่อจะสั่งสมไปสวรรค์หลังความตาย เขาหันหลังกลับ ไม่พูดแล้ว พึ่งพระเยซูดีกว่า เพราะพระเยซูประกาศแล้วว่าถ้าเขาพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง  เขาไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ ศีลธรรมถูกต้องดีงามนั้นได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เขาทำไม่ได้หรอก

            เพราะฉะนั้น เมื่อเขาทำไม่ได้ เขาก็จะไม่พ้นจากการถูกลงโทษหลังความตาย  มีทางเดียวเท่านั้นที่หลังความตายจะพ้นจากโทษได้ ก็คือการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่เขาที่ไม้กางเขน ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เราควรเข้าใจ

            ขณะที่มนุษย์คนหนึ่งกลับใจใหม่ จากความผิดบาปของเขา  หมายถึงความผิดบาป ตัวเขาเองเป็นคนบาป  เขาไม่สามารถที่จะลบความบาปนี้ออกไปจากเขาได้ นอกจากพระเจ้าทำให้เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าเขากลับใจใหม่จากความชั่วร้าย เลิกทำชั่ว  แล้วพระเจ้าจะจัดการฉลองในสวรรค์ให้เขา ไม่ใช่ เพราะจะเลิกจากการประพฤติแล้ว ก็ยังคงถูกลงโทษอยู่ดี เพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะทำดีได้อย่างครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า เอเมน เห็นชัดไหม? อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าติดต่อกับมนุษย์ มีความรู้สึกรักมนุษย์ แต่ละคนๆ เลย  พระองค์ทรงกระทำ เพราะว่าพระเจ้าได้บอกไว้อย่างนั้นว่าพระเจ้าของเราสามารถอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ทุกสถานที่ได้พร้อมกัน เราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ในสดุดี 139 บอก มันเกินกว่าความคิด ความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจว่าพระเจ้าทำได้อย่างไร? ความรักของพระเจ้าเกินกว่าความเข้าใจ อย่างนี้แหละ พระเจ้าสามารถอยู่กับเราได้ ทุกหนทุกแห่ง อยู่ในแต่ละคนจริงๆ ไม่ต้องไปถามว่า …

            “พระเจ้าอยู่กับฉันที่นี่ เธออยู่ที่แอฟริกา แล้วจะอยู่พร้อมกันได้อย่างไร?”

            ไม่ต้องคิด เพราะพระคัมภีร์บอกมาแล้วว่าคิดไป ก็ไม่มีประโยชน์  เพราะไม่มีทางที่จะเข้าใจหรอก ฟ้าสวรรค์ สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร ความคิดของท่านก็ห่างจากความคิดของพระเจ้าเท่านั้น ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร?  ก็คือวิถีทางของท่านและวิถีทางของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนกันเลย คิดไม่ถึงหรอก แต่พระองค์ว่าอย่างไร? ก็ต้องเชื่อตามนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

            พระเจ้าต้องการมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ทุกคน เป็นการส่วนตัวแต่ละคนเลย พระองค์สามารถที่จะอยู่ทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกันได้ สามารถที่จะอยู่ในฉันและในเธอได้ พร้อมๆ กัน จงเชื่อเถิด ในลูกา 15:20-23 …

        ลูกา 15:20-23 “20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา 21 เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง”

            คนบาปคนนี้ทำชั่วมาตลอด ถูกไหม? ประพฤติไม่ดีมาตลอด ได้ทำอะไรดีหรือยัง? ต่อพระเจ้า กตัญญูต่อพระเจ้าหรือยัง? ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง แถมคิดในใจด้วยว่าตัวเองแย่ ตัวเองเลว ตะกี้ มนุษย์คิดต่อลูกของตนเอง เขายังไม่ได้คลอดออกมา ยังไม่ได้ทำอะไรดี หรือร้าย หรือชั่วต่อเราเลย เรารักเขาแล้ว

            “ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้นกลับไปหาบิดาของเขา” ก็คือคนบาปกลับใจใหม่ แปลว่ากลับใจจากการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ เพื่อจะไปอยู่บ้านพระเจ้านั้น เขากลับใจใหม่ไปหาพระบิดาดีกว่า

            “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร” ก็คือรัก เห็นไหม? รักก่อนจะเป็นลูก นี่ยังไม่ได้เป็นลูกเลยนะ เขาเป็นคนบาปอยู่

            “จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา” วิ่งมา ก็ตื่นเต้นแล้วนะ ดีใจ ชื่นชมยินดี สวมกอด จูบเขา  เหมือนไหม? เหมือนตะกี้นี้ที่เราคุยกันถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกที่กำลังจะกำเนิด กำลังอยู่ในครรภ์ จะคลอดออกมา ชัดเจน

            “เขากล่าวกับบิดาว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพระเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้เป็นบุตรของท่านอีกต่อไป” แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า “เร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วให้เขา”

            ทั้งหมดนี้ เตรียมไว้ก่อนแล้ว ถูกไหม? มีแล้ว ใช่ไหม? เขากลับมาหรือยัง? ยังไม่กลับ แต่เตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว

            “เอารองเท้ามาสวมให้เขา จงนำลูกวัวมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลองกันดีกว่า” สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ก่อนเขาจะกลับใจใหม่อีก ใช่หรือไม่?  ไม่ใช่บอกว่าเรียกคนรับใช้มาบอกว่าออกไปซื้อเสื้อผ้า ซื้อแหวนมาให้เขาหน่อย ไม่ใช่ เขามีของอยู่แล้ว ไปหยิบมา ทำบาป ทำชั่วมาตลอด ยังไม่ได้กระทำความดีเลย  ยังไม่ได้กตัญญูต่อพระเจ้าเลย พระเจ้าให้เรียบร้อยไปแล้ว แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไร? ใครที่หลังจากเป็นลูกแล้ว มาอยู่กับพระเจ้าแล้ว มีไหม?  ที่พระเจ้าจะไล่เขาออกจากบ้าน นี่ขนาดยังไม่มาเป็นลูกเลย ทำบาป ทำชั่วอยู่เลย พระองค์จัดเตรียมสิ่งที่ดีๆ ให้เรียบร้อยแล้ว  ก็แสดงว่าขนาดทำบาปยังทำให้อย่างนี้เลย พอกลับมาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของเราดีแล้ว มากกว่านั้นสักเท่าใด ยิ่งเทให้ใหญ่เลย ถูกไหม?  มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

            นี่คือความปรารถนาของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะมีมนุษย์เป็นของพระองค์ เอาไว้รักและชื่นชม  เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์  เช่นเดียวกันเลย  พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์มาดูรูปในอัลตร้าซาว์ด  ตรงนี้กระดุ๊กกระดิ๊กแล้ว ก็ดูไปเรื่อยๆ ตื่นเต้น เหมือนแม่เหมือนพ่อ แล้วพระเจ้าทำอย่างไร? เปิดอัลตร้าซาว์ด

            นึกถึงภาพนี้กันดีกว่า จะได้เห็นภาพว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เราจะได้สบายใจไง ลูกเราจะไม่สบายใจ ลูกมนุษย์จะไม่สบายใจ เมื่อเขาไม่สามารถสัมผัส หรือไม่สามารถไว้วางใจในความรักของพ่อแม่ ถ้าเขามีความเชื่อใจ มั่นใจในความรักของพ่อแม่ เขาจะเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความสุข และเต็มไปด้วยความดีงามมากเลย นิสัยใจคอจะเป็นคนที่รู้สึกปลอดภัย รู้สึกอบอุ่น ไม่ขาดความรัก พูดง่ายๆ พระเจ้าก็ต้องการให้เราเป็นอย่างนั้น เรากับพระเจ้าก็เหมือนกัน พระเจ้าจะรักเราสุดหัวใจอยู่แล้วแน่นอน เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ทำได้ทุกสิ่ง สมบูรณ์หมดทุกอย่างด้วยความดีพร้อม ด้วยความบริสุทธิ์ แต่เราไม่สามารถที่จะสัมผัสความรักของพระเจ้าอย่างนั้นได้ ถ้าเราสัมผัสอย่างนั้นได้ เราเห็นภาพ ลักษณะเดียวกัน เราจะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยในพระทรวงของพระองค์ ในความรักของพระองค์ เหมือนกัน

            ให้เรานึกถึงภาพ เห็นภาพว่าขณะที่เรากำลังจะรอด กำลังจะคลอดมาเป็นลูกของพระเจ้า กำลังจะหันกลับมาหาพระเจ้า กำลังจะเชื่อพระเจ้านั่นนะ เชื่อพระเยซูนั่นนะ พระเจ้ามองเราแล้ว เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว อาจจะดูกันใน 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หัวหน้าทูตสวรรค์มานั่ง คุยกันทุกเสี้ยววินาที ตรงนี้เหมือนพระบิดา เป็นผู้ที่ตรงไปตรงมา  เป็นผู้พิพากษา ตรงนี้เหมือนพระวิญญาณเลย มีกำลังกล้าแข็ง เข้มแข็งมาก ตรงนี้เหมือนพระบุตรเลย มีเมตตา อ่อนโยน สุภาพ ตรงนี้คล้ายๆ ทูตสวรรค์ ซนเหลือเกิน นึกถึงพระเจ้า  พระเจ้าคุยกับเราแต่ละคนอย่างนี้ ให้เห็นภาพให้ชัดเจน เพื่อจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราแต่ละคน แต่ละคนจึงเป็นคนพิเศษ

            สำหรับพระเจ้าทุกคนเป็นคนพิเศษ เวลาเราประกาศ เราชอบบอกว่ามวลมนุษย์ มันถูกมวลมนุษย์ แต่จริงๆ แล้วพระองค์ทรงสัมพันธ์ติดต่อกับเรา เป็นพิเศษ แต่ละคนพิเศษเท่าๆ กัน ทั้งหมด พระองค์ทรงเลือกเรา เรียกเราเป็นลูกของพระองค์แต่ละคนไม่เหมือนกัน

            นึกถึงตอนที่ผมถูกเลือกมา 30 กว่าปีก่อน เหมือนกัน ก็จากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้แหละ ในลูกา บทที่ 15 อธิษฐานกับพระเยซู พระเยซูเป็นใคร? เราไม่รู้จักเลย เราอยากจะรู้จักเหมือนกัน เขาบอกว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก  ประกาศมาตั้งนาน ฟังมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้จักเลย อยากรู้จักๆ พูดแค่นี้ พูดทุกคืนๆ อยากรู้จัก มีอยู่คืนหนึ่ง มีคนให้พระคัมภีร์มา เปิดพระคัมภีร์ซี้ซั๊วเปิด พระเยซูไหนลองพิสูจน์สิว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ เปิดออกมาหน้านี้แหละ ลูกา บทที่ 15 อ่านไปแค่ไม่กี่ประโยค? สัมผัสถึงความรัก ยังไม่รู้เลย ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความรู้ถึงเรื่องของพระเจ้าสักอย่างเลย มีอย่างเดียว คือความรู้สึกข้างในลึกๆ มากกว่ารู้สึกว่าพระเจ้ากำลังคุยกับเราอย่างนี้ …

            “เจ้าเป็นคนพิเศษ”

            เจ้านะ คนเดียว เรามีความรู้สึกทำไมเรามีค่ามากมายมหาศาลอย่างนั้น พระเจ้าคุยกับเราเลย พระเจ้าคุยกับเราพิเศษ คนเดียวเลยเหรอ ตอนนั้นนะ เจ้าเป็นคนพิเศษสำหรับเรา มันสัมผัสได้ถึงตรงนั้นแหละว่าเจ้าคือลูกแกะที่หลงหาย เจ้าคือคนนี้ คนที่เรากำลังจะเลี้ยงฉลอง เพราะเจ้ากลับมาแล้ว ลักษณะเดียวกันอย่างนี้ เอเฟซัส 1:3-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3-7 “3 สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก 5 พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ 6  เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า 7 ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้าแล้ว”

            “พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ด้วยความรัก” นั่นแหละ ที่ผมอธิบาย แล้วยกตัวอย่างคำพยานของผม ก็เพราะความรักตรงนี้ มันเกิดมา เพราะความรัก ไม่ได้อัศจรรย์อะไรใหญ่โตเลย สำหรับสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ในชีวิตของผม แต่สิ่งที่อัศจรรย์ ก็คือความรักมันสัมผัสเข้ามา ทำให้จำได้ว่าวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 บนห้องชั้นบน ไม่มีการพูดภาษาแปลกๆ หมายถึงไม่มีอัศจรรย์อะไรเลย แต่ความรักของพระเจ้าได้ท่วมเข้ามาสัมผัส แตะต้อง เป็นพิเศษ นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้น เพราะพระองค์ทรงเลือกเราไว้เป็นลูกของพระองค์ ความรักอย่างนี้ มันทำให้สัมผัสเรา แล้วเราก็ได้เกิดใหม่ในวันนั้น ด้วยความรัก

            พระเจ้าพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ตั้งใจ วางแผนที่จะมีมนุษย์ทุกๆ คนเป็นลูกๆ ของพระองค์ ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยท่าทีที่ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ที่เราเรียกกันว่าพระคุณ ความรักอันเหลือล้น จึงได้ประทานการบังเกิดใหม่ให้กับเรา โดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้สามารถบังเกิดใหม่ คลอดออกมาเป็นลูกของพระองค์ได้ ผ่านทางพระบุตรนี้

            ในข้อ 5 ที่ตะกี้บอกว่า … “พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์”

            ก็คือกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีลูก คือพระเยซูคริสต์ “เรา” หมายถึงใคร? อ่านแล้วอย่าไปคิดตามที่เคยคิดว่า “เรา” หมายถึงมวลมนุษย์ ซึ่งมันก็ใช่  แต่นี่เราหมายถึงใส่คำว่า “ฉัน” คนเดียว

            “พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับฉันคนเดียว พิเศษ เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีงามของพระองค์”

            ต่างกันไหม? มันต่างกันจริงๆ เห็นไหม? พอใส่ชื่อเราเข้าไปปุ๊บ ชัดเจนเลย ในเอเฟซัส 1:3 ตะกี้นี้ ที่เราอ่านกันบอกว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “พระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์และเป็นพระบิดาของเราด้วย ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ (ในบ้านในครอบครัวพระเจ้า) ให้แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรค์สถาน”

            ในพระคริสต์ หมายถึงในบ้าน ในครอบครัวของพระเจ้า ในสวรรค์ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ก็คือก่อนเราจะเกิดด้วยซ้ำไป ก่อนเราจะรับเชื่อพระเยซู อยู่ในทางของเรา พึ่งพาตนเอง ไม่รู้ไม่ชี้ อยู่ในบาปนั้น  พระองค์จัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เรามาดูสิ่งต่างๆ ที่พ่อของเรา  ที่อยู่ในฟ้าสวรรค์จัดเตรียมไว้ให้เราก่อนเกิดดีกว่า ที่เรียกว่าพระพรนานัประการต่างๆ ในโลกวิญญาณ ที่เราได้รับแล้วในฐานะเป็นลูกของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเตรียมอะไรให้กับเราบ้าง? ตั้งแต่ก่อนเกิด สำหรับมนุษย์ทุกคน แต่ละคน ตั้งแต่ก่อนเกิด ถ้าเกิดแล้ว มันก็จะเป็นของเราทันทีทันใด เพราะมันจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มันจะเป็นของเราทันที ณ วินาทีแรก ที่เราคลอดออกมา โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตรัสไว้เป็นคำล้ำลึกในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามนุษย์ทุกคน จะเข้ามาหาพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้าได้ เขาต้องคลอดอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2  พูดกับนิโคเดมัส

            คลอดครั้งแรก ก็คือคลอดผ่านทางมดลูก ครรภ์ของมารดา ถูกไหม? ออกมาจากครรภ์ของมารดา ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ มนุษย์ทุกคนต้องคลอดอย่างนี้หมด  แต่เขาไม่สามารถที่จะเข้าสู่สวรรค์ ไม่สามารถมาเป็นลูกพระเจ้าได้ จนกว่าเขาจะได้รับการทำคลอด อีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายวิญญาณ เมื่อเขาคลอดครั้งที่สอง คลอดทางฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่มีทางเป็นบุตรของพระเจ้า เข้าไปมีส่วนในครอบครัวของพระเจ้า  และเขาก็จะครอบครองในสิ่งต่างๆ  ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ให้กับลูกของพระองค์ ก่อนที่จะคลอดไง เอเมน มาดูว่ามีอะไรบ้าง? เพื่อจะได้รู้ว่าเตรียมอะไรไว้ให้กับเราเยอะแยะหมดเลย สำหรับเราที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะได้ชื่นชมยินดีว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สำหรับคนที่ฟังแล้ว ยังไม่ได้คลอด ก็จะได้รู้ว่าพระเจ้าเตรียมอะไรไว้ให้กับท่าน …

            1. เราได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งสิ้น ตลอดไปด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราสะอาดบริสุทธิ์ตลอดไป เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่อาศัยอยู่ในสวรรค์ในพระคริสต์ ทันทีทันใด เพราะว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนเราจะคลอดแล้ว และตอนนี้เราคลอดแล้ว เป็นของเราแล้วด้วย ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

            2. เราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นชีวิตของเรา ชีวิตของพระเยซูคริสต์ คือชีวิตของพระเจ้านั่นเอง

            คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงเฉพาะชีวิตที่มีความยาวต่อเนื่อง ไม่ตายอีกต่อไปเท่านั้น  ไม่ใช่แค่นั้น แต่หมายถึงชีวิตที่มี DNA มีลักษณะชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย เป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตของพระเจ้าพระบิดา มีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ใน DNA ของพวกเรา เหมือนพ่อและแม่ มีลูก ยีนส์ทั้งหมด  DNA ทั้งหมด ก็มาจากพ่อและแม่เช่นเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับลูกเรียบร้อยแล้วว่าลูกคลอดออกมา ก็จะเป็นอย่างนี้

            ถามว่าได้รับเมื่อไร? ได้รับเมื่อคลอดออกมา แล้วประพฤติดีๆ มากๆ ให้มาโบสถ์เป็นประจำ  ให้อ่านพระคัมภีร์เป็นประจำ ไม่ใช่ผมต่อต้านการมาโบสถ์ การอ่านพระคัมภีร์นะ ส่งเสริมให้มาโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์ แต่ผลที่จะได้จากการมาโบสถ์และอ่านพระคัมภีร์ คนละเรื่องกันกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ได้มาฟรีๆ ให้ฟรีๆ ลูกเรา ลูกเรา จะคลอดมาเป็นลูกเรา  เขาไม่ต้องทำอะไร เขาก็เป็นลูกเราแล้ว คลอดออกมา เขาจะทำดีหรือไม่ดี กตัญญูต่อเรา หรือไม่กตัญญู เราอยากให้เขาเชื่อฟังต่อเรา มันดี แต่มันคนละเรื่องกันกับที่เราให้เขาคลอดออกมา เราก็คอยชื่นชมเขา  คนละอย่างกัน

            ลูกของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว  พอคลอดปุ๊บ ก็ได้ปั๊บ เพราะว่าเตรียมไว้ก่อนคลอด นึกภาพนะ พูดง่ายๆ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดทันทีปุ๊บ ได้ปั๊บทันทีเลย เพราะมันเป็นของเรา วางอยู่นั่นแล้ว คลอดปุ๊บ ได้ปั๊บ เอเมนไหม? ลูกมนุษย์คลอดปุ๊บ ก็เป็นลูกแล้ว  อยู่ในครรภ์ก็เรียกว่าลูกแล้ว คลอดออกมา ก็ยังเป็นลูกอยู่ ไม่ต้องทำอะไร ก็ได้เป็นลูกเช่นเดียวกัน

            3. พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา พระเจ้าบินเคียงข้างเรายามเราสุข ยามเราทุกข์ซุกเราไว้ใต้ปีกของพระองค์ทันทีเลย นี่คือสิ่งที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  ก่อนเราจะเกิด ก่อนเราจะคลอด พูดง่ายๆ คือพระเจ้าบอกว่าก่อนคลอด ก่อนที่เราจะหันกลับมาหาพระเจ้า พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับเราก่อนคลอด ก่อนเชื่อวางใจในพระเยซู

            หลังคลอดแล้ว คำว่า “จะ” หายไป ถูกแล้ว หลังคลอดแล้ว คำว่าจะ จะต้องหายไปสิ หลังคลอดแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลานั่นเอง  เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่คลอดออกมาเป็นลูก พระเจ้าก็ไม่ได้สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เราก็เดินคนเดียวบนโลกใบนี้ ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วยตัวของเราเพียงคนเดียว และต้องเผชิญกับชีวิตหลังความตาย ซึ่งน่ากลัวมาก ลำพังเราคนเดียว เราไหวไหมล่ะ มีพระเจ้าอยู่กับเราด้วย มันดีกว่าตั้งเยอะ แค่คิดแค่นี้ก็อบอุ่นใจแล้ว

        สดุดี 17:7-8 “7 พระเจ้าสำแดงความมหัศจรรย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ช่วยบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ ให้พ้นจากศัตรูของเขาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ 8 ปกป้องรักษาข้าพระองค์ดั่งแก้วตาของพระองค์ ซ่อนข้าพระองค์ไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์”

            “มหัศจรรย์ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์” ก็คือพระองค์ทรงช่วยบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ คือวางใจในพระมาสิฮาห์ พระบุตร พระเยซูคริสต์ให้เขาพ้นจากศัตรู ศัตรูของเขาก็คือความบาป กฎของความบาปและความตายนั่นเอง พอพ้นปุ๊บ ก็จะรักเขา ปกป้องเขาดังแก้วตาดวงใจของพระองค์

            ดูต่อไปว่าพระองค์เตรียมอะไรไว้ให้เราอีก ก่อนที่เราจะคลอด ก่อนที่เราจะเชื่อ

            4. เรามีมรดกในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์   พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์

            มันเป็นของเราแล้ว มันเป็นของลูกแล้ว เตรียมไว้ให้ เตรียมมรดก เตรียมทรัพย์สมบัติไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คลอดออกมา ก็เป็นของเขา จริงๆ เป็นของเขาก่อนที่จะคลอดด้วยซ้ำไป ก่อนที่จะเชื่อ ก็เป็นของเขาแล้ว เขามาเชื่อ ก็เท่ากับเขาใช้สิทธิของเขาเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนก็เป็นผู้ที่มีมรดก ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ มีมรดก สำหรับลูกๆ ของพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  แต่มนุษย์ต้องใช้สิทธิ์ในการเป็นลูกของพระเจ้า ผ่านทางการวางใจในพระเยซูคริสต์เสียก่อน ก่อนจะคลอดออกมาเป็นลูก ใช้สิทธิของตนเอง

            5. เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นธรรมิกชน บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย

            มั่นใจในสิ่งนี้ว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เราสะอาด หมดจด เราไม่ได้เป็นคนบาป สกปรก เราไม่ได้เป็นคนชั่ว แม้ว่าบางครั้ง เราจะประพฤติชั่วก็ตาม

            “เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เพราะเป็นลูกพระเจ้า  แต่บางครั้งอาจประพฤติไม่สมควรกับการเป็นลูกของพระเจ้า” การ “เป็น” กับการ “ประพฤติ” มันไม่เหมือนกัน ซึ่งเราเรียนรู้เรื่องนี้ไปบ่อยๆ

            การจัดเตรียมของพระเจ้า ที่พระเยซูประกาศว่าพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วทั้งหมด ประกาศดังลั่นเลย ที่ไม้กางเขนว่า “สำเร็จแล้ว” ทั้งหมดนี้สำเร็จแล้ว  พระเจ้าเตรียมและพร้อมแล้ว ที่จะมีลูก เหมือนมนุษย์ที่เตรียมครอบครัวจนพร้อมแล้ว เอาล่ะ พร้อมแล้วที่จะมีลูก พระเจ้าก็เตรียมทุกอย่างมาตั้งหลายพันปี จนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และประกาศว่าพร้อมแล้วที่จะมีลูก พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว

            6. เราได้เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักเราเท่ากับรักพระเยซูเลย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาลนี้ ไม่มีใครเทียบเทียมพระองค์ได้ พระองค์เป็นพ่อส่วนตัวของเราเลย  เอเมน

            พ่อส่วนตัว คืออย่าไปนึกถึงพระเจ้าเป็นพ่อ แล้วมีความรู้สึกว่าเป็นพ่อของทุกคน อันนั้นก็ใช่ แต่ให้มีความรู้สึกว่าพระองค์เป็นพ่อของฉัน พระเจ้าเป็นพ่อของฉัน พ่อส่วนตัว คือพระองค์พร้อมแล้วที่จะเป็นที่พึ่งของเรา พร้อมเสมอ

            7. พระเจ้าทรงรักเราและโปรดปรานเรา ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            รักเราเหมือนรักพระเยซูคริสต์ รักพระเยซูคริสต์เท่าไร? ก็รักเราเท่านั้น ต้องการที่จะมีเราเอาไว้เป็นผู้รับใช้ ใช้เรา ดีใจจังทุกคนส่ายหน้า ไม่ใช่

            พระองค์ตั้งใจที่จะมีเรา ให้เรามาเชื่อ เพื่อเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ มีส่วนนิดๆ แต่ไม่ได้เป็นความตั้งใจจริงๆ

            พระองค์ตั้งใจมีเราเป็นลูก คลอดเราออกมา เพื่อให้เรากตัญญูต่อพระองค์ ไม่ใช่

            พระองค์ตั้งใจมีเรา คลอดออกมาในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะรักและชื่นชม นอกเหนือจากนั้นเป็นของแถมหมดเลย

            ใครที่คิดว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วจะมารับใช้พระองค์ ทดแทนพระคุณพระองค์ ดีอยู่แหละ ด้วยความปรารถนาอันดับแรกๆ ของพระเจ้า พระเจ้าต้องการแค่เธอเป็นลูกฉัน ฉันก็ดีใจแล้ว  ก็เห็นเธอน่ารัก ฉันทำให้เธอเรียบร้อยแล้ว สะอาดหมดจด ดีมาก รักฉัน ฉันสามารถทำได้ แค่นั้นเอง คนจะทำดี ก็ดีใจด้วย

            8. เราเป็นความรักเป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นความรักเป็นความสว่าง พระเยซูก็ทรงเป็นความรักเป็นความสว่าง เราก็เป็นความรักเป็นความสว่างด้วย ด้วยวิญญาณและใจใหม่ของเรา เราจึงสามารถรักพระเจ้า รักพระเยซู รักพี่น้องในพระคริสต์ได้อย่างสบายๆ เป็นไปตามธรรมชาติของความรักภายในเรา

            9. เรากำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า    มีสิทธิอำนาจสูงสุดในโลกวิญญาณในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรบนโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเจอสถานการณ์เช่นไรบนโลกใบนี้ ให้เรารับรู้ว่านี่คือสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว พร้อมแล้ว สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ก่อนที่เราจะคลอด  ก่อนที่เราจะเชื่อ ก่อนที่เราจะวางใจในพระองค์ เป็นลูกด้วยซ้ำไป

            ทั้งหมดที่พูดมานี้ 9 อย่าง เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เมื่อเราได้คลอดและบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางความเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยรอด ได้มาเป็นลูกของพระองค์ มันเตรียมไว้เรียบร้อยไปหมดแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย เราได้รับทั้งหมดนี้ เรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องร้องขอ หรือพยายามกระทำอะไร? เพื่อจะให้มีมากขึ้น  ไม่ต้องพยายามทำอะไรให้เป็นลูกพระเจ้ามากขึ้น เพราะเป็นลูก็คือเป็นลูก  ไม่ต้องไปพยายามอะไรให้มีคุณสมบัติจะเป็นลูกของพระเจ้ามากขึ้น ไม่ต้อง และไม่ต้องมาขอความรักจากพระเจ้าให้มากขึ้น เพราะพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ได้ทรงประทานทั้งหมดเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่างที่จำเป็นในการเป็นลูกของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมตั้งแต่เมื่อไร? เริ่มตั้งแต่ให้วิญญาณและใจใหม่กับเรา ตอนบังเกิดใหม่ รวมทั้งร่างกายที่เราได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ให้สะอาด หมดจด เรียบร้อยไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นร่างกายเดิมก็ตาม และพระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายนี้ได้แล้ว สะอาดหมดจดแล้ว เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้วนั่นเอง  พระเจ้าสามารถรับเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้แล้ว เสร็จแล้ว เป็นลูกของพระองค์ที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว

            ย้ำอีกที เป็นลูกของพระองค์ที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครสามารถพรากเราออกไปจากความรักของพระเจ้านี้ได้เลย ย้ำอีกทีว่าไม่มีใครจะมาเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้แล้ว พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน เรามีลูกแล้ว ลูกเราออกมาไม่ว่าเขาจะชั่ว จะดี จะกตัญญูหรือไม่กตัญญูอะไรต่างๆ เขาก็เป็นลูกเรา ต่อให้เราไล่เขาออกจากบ้าน เพราะพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ อาจจะไม่ได้ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราใช้อารมณ์อะไรต่างๆ เหล่านั้น ลูกเราก็ยังคงเป็นลูกเรา เราบอกไม่สนใจแล้ว เราเป็นคนบาป สายเลือด ตัดขาดออกจากการเป็นพ่อเป็นลูกไปแล้ว ตัดได้ไหม? พูดได้ ความรู้สึกได้ แต่จริงๆ ตัดไม่ได้ เขาเป็นลูก เขาก็เป็นลูกตลอดไป พระเจ้าเป็นพ่อของเรา ก็เป็นพ่อตลอดไป ตราบใดที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และคลอดออกมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์ตลอดไป และพ่อรักและหวงแหนเรามากด้วย มากตลอดไป ไม่ว่าเราจะประพฤติตัวเช่นไร? ก็ยังคงรักเราเหมือนเดิมตลอดไป ใครมาแตะเรา มารังแกเรา ก็เหมือนทำกับพ่อของเรา รักเราขนาดนี้ บอกเลย ใครมาทำอะไรเรา พ่อเจ็บด้วย

            เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่พ่อของเราทำให้เราไม่ได้ ก็คือให้เรามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว  รักเราสุดๆ แล้ว หรือขออะไรต่างๆ ที่พระองค์ทรงให้หมดแล้ว พระองค์ก็บอกว่า …

            “พ่อให้ไม่ได้แล้ว เพราะว่าให้ไปแล้ว”

            เหมือนลูกเรา มาขอเรา พ่อบอกว่าให้ไปแล้ว อยู่ในกระเป๋า สมมติขอเงินสักพันหนึ่ง ก็อยู่ในกระเป๋าแล้ว จะให้ได้อย่างไร? ก็มันอยู่ในกระเป๋าแล้ว  ก็มีอยู่แล้ว พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน ไม่สามารถให้อะไรกับเรา ที่เราจะขอเพิ่มพูนมากขึ้น  เพราะพระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ก่อนเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็น ในการเป็นลูกของพระองค์ ดำเนินชีวิตให้กับเราเรียบร้อยแล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว รักเรามากสุด เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเราครบถ้วนบริบูรณ์ เรียบร้อย ก่อนที่เราจะคลอดด้วยซ้ำ  พระเยซูประกาศที่ไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว ก่อนที่เราจะเกิดด้วยซ้ำไป ก่อนเราจะเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์บอกสำเร็จเรียบร้อยแล้ว นั่นแหละคือความสมบูรณ์ เพราะว่าทั้งหมดนี้ พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน กับเราทั้งหลายที่มาเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว  สำเร็จแล้ว

            จบสุดท้าย วันนี้ ก็คือสิ่งสำคัญที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้หมดเรียบร้อยทุกอย่าง จบ แต่มีสิ่งเดียวที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่เป็นลูกของพระองค์ อันเดียวที่พระองค์ต้องการมากที่สุด นอกนั้น ไม่ต้องทำอะไรแล้ว  ไม่ต้องพึ่งพาอะไรแล้ว เราแค่นิดเดียวเอง คือจงเปิดใจ วางใจในพระเมซิยาห์  เพราะเป็นทางเดียวที่ท่านจะเข้าไปสู่การเป็นลูก เป็นทางเดียวที่ท่านจะสามารถคลอดเข้าไปเป็นลูกของพระเจ้า และได้รับสิ่งที่เรากำลังพูดกันมาทั้งหมดนี้ได้ทันที เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร ท่านได้รับทันที กำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณทันที เป็นลูกของพระองค์ทันที อยู่ในสวรรค์ทันที เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ด่วน! มนุษย์ทุกคนสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้  ทันทีเดี๋ยวนี้เลย เพียงแค่ใช้สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่ท่านแล้ว

            1 เปโตร 1:18-19 …  “18 ท่านจำเป็นต้องรู้  และระลึกอยู่เสมอว่าท่านได้รับการไถ่  จากการดำเนินชีวิตแบบไร้ประโยชน์  ไร้ค่า (อยู่ในความพินาศ ในความบาป  และในความตาย)  ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอด  มาจากบรรพบุรุษของท่าน (ตั้งแต่อาดัม)  และการไถ่นี้  มิใช่การไถ่ด้วยสิ่งที่สูญสลายได้  เช่นเงินหรือทอง 19 แต่ท่านถูกซื้อ  ด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูคริสต์  พระเมสิยาห์  ผู้เปรียบเสมือนลูกแกะบูชา  ที่ปราศจากตำหนิ  และจุดด่างพร้อยใดๆ”

            เราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ด้วยความท้อแท้เศร้าสร้อย  ไร้ความหวัง  ไร้ที่พึ่ง  ไร้ผู้ช่วยเหลือ  ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างมากมาย ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้บนโลกใบนี้  และยังต้องเผชิญกับความกลัวความตาย  เพราะไม่มั่นใจในชีวิตหลังความตาย  เราจะอยู่ในความกลัว  และความวิตกกังวลอย่างนี้อีกทำไม ในเมื่อเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับชีวิตใหม่  รับการไถ่ของพระเยซู  เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้เลยทันที  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของตนเอง  ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ที่ไม้กางเขนเท่านั้น  แล้วพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน  จะคอยช่วยเหลือนำพาท่าน  ผ่าน อุปสรรคปัญหาต่างๆ ในชีวิตทันที  ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์หลังความตาย

            พระเจ้ารักท่านมาก  และกำลังรอคอยให้ท่านเปิดใจยอมรับพระองค์  พระเจ้าอวยพรครับ