วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1391 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันพฤหัสที่ผ่านมาเป็นวันขอบคุณพระเจ้า ก็ต้องบอกว่า …

            “สวัสดีครับ สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้าย้อนหลัง”

            ทุกวันพฤหัสที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน เป็นวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งวันพฤหัสที่ผ่านมา ก็เป็นวันขอบคุณพระเจ้า คริสเตียนทั่วโลก ส่วนใหญ่เขาก็เฉลิมฉลองกันด้วยการมารับประทานอาหาร ขอบคุณพระเจ้าร่วมกัน และอาหารมื้อพิเศษหรือเป็นเมนูหลักของการขอบคุณพระเจ้านี้  ที่เรารู้กันทั่วโลก คือไก่งวง

            นึกถึงไก่งวง นึกถึงภาพอะไร? ไก่กำลังเดินเหรอ หรือไก่กำลังกกไข่ พอบอกว่าไก่งวงปุ๊บ นึกถึงภาพอบเกรียมอยู่บนโต๊ะเลยนะ ไม่เห็นหัวเลย  เพราะฉะนั้น เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ หัวข้อเรื่องในวันนี้ จึงมีชื่อว่า “คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงอบเกรียมในเตา”

            เมื่อถึงวันขอบคุณพระเจ้าทีไร เรานึกถึงอะไร? นึกถึงนกอินทรี ไม่ใช่ เราก็นึกถึงไก่งวงตลอด แล้วนึกถึงไก่งวงก็เห็นภาพนั้น ทุกคนถามไปว่ารู้จักไก่งวงไหม? รู้จัก หน้าตาเป็นอย่างไร? อยู่ในจาน อยู่ในเตาอบ ใช่หรือเปล่า? เกรียมๆ อันนี้มันเอกฉันท์ทั่วโลก พอนึกถึงไก่งวง แต่พอนึกถึงนกอินทรี เห็นภาพอะไร? ในเตาอบไหม? ไม่ใช่ เคยเห็นนกอินทรีถอดขนไว้เรียบร้อยไหม? ไม่มี เห็นนกอินทรีทีไร มันเหินบินอย่างสง่างาม ทุกรูปเลย ใช่หรือไม่ใช่? นั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายผู้เป็นคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่แล้ว จงบินเหินฟ้าอย่างสง่างาม ให้สมศักดิ์ศรีการเป็นนกอินทรี ไม่ใช่เป็นไก่งวง คอตก ไม่มีคอ ที่รอให้เขาเอาไปอบ ย่างกิน ฉลองใน 2 เปโตร 1:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า  (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

โดยสิ่งเหล่านี้ คืออะไร? โดยการรับรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ เริ่มต้นเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงได้เข้ามีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ถ้าเราเปรียบเทียบในพระคัมภีร์ เขาชอบเปรียบเทียบพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม เป็นนกอินทรี บินอยู่สูง เพราะฉะนั้น เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรี บินอยู่เบื้องบน ในนี้บอกว่าพ้นจากความเสื่อมโทรม เสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาความบาป เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากความบาปชั่วในวิญญาณ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรีที่บินอยู่เบื้องบน พ้นจากการเป็นไก่งวงอบเกรียม บนโลก ตายอยู่ ให้มารคอยกัดกิน

            การรับรู้ความจริงตรงนี้ ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นใคร? เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นลูกนกอินทรี เราไม่ใช่ไก่งวงอบตาย รอเขาย่าง การรับรู้ความจริงมากขึ้น เริ่มต้นจากความจริง เริ่มแรกว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นั่นเป็นการเริ่มต้นรับรู้ความจริง  แต่ความจริงนี้มีลึกซึ้งเข้าไปกว่านั้นอีกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับแล้ว ท่านเป็นใคร? แล้วเป็นอย่างไร? การรับรู้ความจริงตรงนี้ มากขึ้นว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงตรงนี้  ความจริงนี้จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ตามที่พระเยซูบอก  คือเป็นอิสระ บินอยู่เหนือปัญหาความทุกข์ยากทั้งปวง  บนโลกใบนี้นั่นเอง เป็นเริ่มต้นชัยชนะเลย และรู้ความจริงมากยิ่งขึ้น  ก็มีชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆ เอเฟซัส 1:18-19 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:18-19 “18 ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้) 19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึง ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            อัครทูตเปาโลได้กำชับ และบอกถึงความสำคัญของการรู้ความจริงว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำ ก็คือท่านต้องเรียนรู้ว่าท่านเป็นใครแล้วตอนนี้ เกิดใหม่แล้วเป็นอะไร? อะไรคือความหวังใจของท่าน  อะไรเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ อะไรคือมรดก ที่เป็นสิ่งสำคัญมาก และจะเรียนรู้ได้อย่าง? จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ แล้วเข้ามาสถิตอยู่กับท่านแล้ว ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น เปิดใจต้อนรับความจริงนี้

            อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐาน วิงวอนขอต่อพระเจ้า ให้พระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ประทานสติปัญญา ประทานวิญญาณแห่งความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรื่องราวเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริงในเรื่องพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อใหม่ ผู้ที่บังเกิดใหม่ ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร? เขาเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงอบ รอย่างให้ตาย และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ท่าน  ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น

            ในข้อ 19 บอกว่าเพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ ฤทธิ์เดชอำนาจนั้นอยู่ในตัวท่าน  ที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไร? เริ่มต้นเรียนรู้ เริ่มต้นบินไปกับพระเจ้า บินไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็เรียนรู้ไปกับพระองค์ นี่หมายถึงอย่างนั้น ตาฝ่ายวิญญาณค่อยๆ เปิดออก ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ รู้มากเท่าไร? ก็เป็นอิสระมากเท่านั้น มีชัยชนะมากเท่านั้น ในเอเฟซัส 2:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้อีกว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            “ให้เรานั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” มันคืออะไร? ทำไม? ให้เรานั่งแล้วเป็นอย่างไร?  เราอยู่ที่ไหนแล้วขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ที่เราบังเกิดใหม่แล้ว มันเป็นความจริงที่เราต้องเรียนรู้  และเป็นความจริงที่มารพยายามที่จะขโมยออกไปจากเรา โดยหลอกเรา พูดความเท็จใส่เรา เพราะฉะนั้น อย่าให้มารหรือใครที่ไหน มาหลอก หรือขโมยเอาความจริงนี้จากเราไปได้  ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรีแล้ว ไม่ใช่เป็นไก่งวงอบ

            ความจริงที่อาจารย์เปาโลพูดตะกี้ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาล ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และพระเจ้าผู้นี้ได้เข้ามาสถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราในวิญญาณของเรา  พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานี้ เป็นใหญ่กว่ามารและวิญญาณชั่วทั้งหลายบนโลกใบนี้ทั้งหมด และเราสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เราไม่ได้เป็นคนบาปชั่ว สกปรกอีกต่อไปแล้ว แต่เราได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เรียบร้อยไปแล้ว เป็นรัชทายาท มีมรดก เตรียมครอบครองอาณาจักรสวรรค์และโลกใหม่ ไม่ได้เป็นทาสเลี้ยงหมู กินอาหารหมู ไม่มีอนาคตอีกต่อไปแล้ว เอเมนไหม? เราเป็นลูกนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง ที่รอวันขอบคุณพระเจ้า นึกออกไหม? เพราะวันขอบคุณพระเจ้า ไก่งวงเหล่านั้นจะถูกพิพากษา เข้าเตาอบ แล้วก็ถูกย่าง เพลงอะไรนะที่เวลาเขาเข้าค่ายแล้วเขาชอบร้องกัน

                        “ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา  มันจะถูกไม้เสียบ

                        เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆๆๆ”

            แล้วอดีตเราเป็นอย่างนั้น ร้อนไหม ชีวิตที่ไม่มีพระเจ้า  ที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ร้อน แต่บัดนี้ เราได้บังเกิดใหม่  โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกนกอินทรี บินอยู่ข้างบนแล้ว บินอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เราไม่ใช่ไก่งวงรอให้เขามาย่างกิน รอให้มารมากัดกินอีกต่อไปแล้ว ให้เราขอบคุณพระเจ้าของเรา นี่แหละ คือการขอบคุณพระเจ้า

            นึกถึงวันขอบคุณพระเจ้าเมื่อไร? นึกถึงตรงนี้เลยว่าขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ใช่ไก่งวงอีกแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

            เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เขาก็จะได้รับการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว  และนี่คืออัศจรรย์ที่มนุษย์ทั้งหลายเรียกร้องหา แสวงหา  และเป็นอัศจรรย์เดียว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่กระทำได้ ไม่มีใครทำได้เลย  อัศจรรย์ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั้น  ได้ทำให้ผู้นั้นบังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อ เชื้อจากวิญญาณจากพระเจ้าที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า  แล้วได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  ที่มีวิญญาณและใจใหม่ ที่เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลยทีเดียวเชียว  แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเดิมบนโลกนี้ ซึ่งปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของความบาป ซึ่งต่อต้านความดีงาม ต่อต้านความจริงของพระเจ้า คอยหลอกล่อ หลอกลวงให้คริสเตียนผู้นั้นประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับธรรมชาติ ตัวตนแท้จริงของเขา ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วนั้น เป็นนกอินทรีแล้วนั้น มันจะมาหลอกเราว่าเราเป็นไก่งวง …

            “แกเป็นไก่งวงๆ แกเป็นไก่งวงอยู่ แกรอย่าง แกถูกอบ ร้อนๆ”

            นั่นคือการโกหกมดเท็จทั้งปวง เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกนกอินทรีแล้ว เราบินอยู่กับพระเจ้า เราบินอยู่กับพระองค์ตลอดเวลา  และพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่ได้เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในแล้ว ก็จะฝึกสอนเราด้วยความรัก  ศัตรูจะเข้ามาขโมยความจริง พระเจ้าจะมาสอนเรา ให้เรารู้ทันการโกหกหลอกลวงนั้น แล้วให้เรารู้จักการปฏิเสธ ไม่ประพฤติตามการโกหกหลอกลวงนั้น ไม่ประพฤติตาม ไม่คิดตามอิทธิพลการหลอกล่อ  หลอกลวงคำเท็จเหล่านั้นของมาร ซึ่งจะใช้อะไรทั้งปวงบนโลกใบนี้ ใช้ใครก็ได้ ใช้อะไรก็ได้  ที่จะพยายามมาหลอกล่อ หลอกลวงเรา  พระเจ้าจะสอนเราว่ามันไม่ใช่ ปฏิเสธมันซะ ไม่ยอมคิดตาม ไม่ยอมทำตาม 1 ยอห์น 3:7 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:7 “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรม จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”

            “เด็กผู้ชายหนุ่มๆ” เฉพาะตรงนี้ เขียนอย่างนี้ มันหมายถึงรวมทั้งคริสเตียนทั้งหมดนะ อย่านึกว่าเราไม่ได้เป็นผู้ชายหนุ่มๆ เราไม่เป็น โดนหมดครับ  จะโดนคนละอย่าง  แล้วแต่

            ในนี้บอกว่า … “อย่าให้ใครมาหลอกลวง และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ คือเหมือนพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรีแล้ว เขาจะฝึกฝน บินเหมือนนกอินทรี ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ก็คือการกระทำ ถูกไหม? ถ้าเราเทียบกับนกอินทรี ก็คือฝึกฝนการบิน ตามธรรมชาติเหมือนพ่อ  พ่อเป็นผู้ชอบธรรม เราก็ดำเนินชีวิต ประพฤติเป็นผู้ชอบธรรม พ่อเปรียบเทียบเป็นนกอินทรี เราก็บินเหมือนพ่อเรา เป็นนกอินทรีเหมือนพ่อเรา

            จะสังเกตให้เห็นชัดๆ ตรงนี้ว่าฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ฝึกฝนบิน ตามธรรมชาติที่เหมือนพ่อ ฝึกฝนประพฤติ คือบิน คือการกระทำ ประพฤติ คือการกระทำ ถูกไหม?

            ฝึกฝนการกระทำ ให้เป็นธรรมชาติเหมือนพ่อ การเหมือนพ่อ ประพฤติได้ไหม? ไม่ได้ เป็นเหมือนพ่อ มันเป็น ผมกำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่าฝึกฝนการกระทำ ฝึกฝนการประพฤติ แต่ไม่ได้ฝึกฝนการเป็นธรรมชาติเหมือนพ่อ เอาใหม่อีกที  ฝึกฝนการกระทำ ไม่ได้ฝึกฝนเป็น เป็นมันเป็นมาจากพระคุณ โดยความเชื่อของเรา ใช้สิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา เราได้บังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรี เป็นเหมือนพ่อ ถูกไหม? ไม่ได้ประพฤติอะไรเลย แค่เชื่ออย่างเดียว ใช้สิทธิ์อย่างเดียว พอเป็นแล้ว ค่อยมาเริ่มฝึกฝนความประพฤติการกระทำ เพราะฉะนั้น การกระทำไม่มีผลต่อการเป็น เป็นมาจากความเชื่อ การบังเกิดใหม่  โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทิตัส 2:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ทิตัส 2:12 “พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลสโลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ตามพระวิญญาณ) ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (เป็นลูกที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า)”

            “พระคุณนี้สอนเรา” ก็คือพระคุณแห่งความรอด เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราบังเกิดใหม่ โดยพระคุณของพระเจ้านี้ พระเจ้าก็จะสอนเรา

            “สมกับเป็นผู้ชอบธรรม” เห็นหรือยังว่าสมกับเป็นผู้ชอบธรรม คือความประพฤติที่สมกับการเป็นผู้ชอบธรรม สม คือการประพฤติ เป็น คือการเป็น คนละอันกัน สมกับการเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือสมกับการเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวงรอย่าง ภาพชัดไหม?  ปฏิบัติตัวให้เป็นนกอินทรี ไม่ใช่เป็นไก่งวงรอเขาย่าง หมดอาลัยตายอยาก  ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรากำเนิดมา อยู่ในพระองค์ โดยที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะไม่ทิ้งเราให้อยู่ตามลำพัง  แต่จะคอยฝึกฝนเรา ให้เราบินเหมือนพระองค์ ประพฤติให้สมกับความชอบธรรม ก็คือบินให้เหมือนพระเจ้า  ประพฤติให้สมกับที่เราเป็นเหมือนลูกพระเจ้าแล้วเป็นน้องพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ คือถ้าเปรียบพระองค์เป็นดั่งพญานกอินทรี เราก็จะบินเป็นเหมือนพญานกอินทรี  ไม่ใช่ไก่งวงเดินต๊อกๆ รอวันขอบคุณพระเจ้า เห็นภาพนะ ขอบคุณพระเจ้ามาเมื่อไร ถูกย่าง โคโลสี 3:1-2 …

        โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

            นี่คือการฝึกฝนของพระเจ้า พ่อของเรา ฝึกเราในการบินกับพระองค์ ซึ่งวันนี้อย่างที่ผมบอกนะว่าเนื่องจากเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า ก็เลยมาเทียบกับวันขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้คุ้นเคยกันว่าขอบคุณพระเจ้าก็นึกถึงไก่งวง เลยเอาเทียบกับพญานกอินทรี ซึ่งพระคัมภีร์เดิมใช้เป็นสัญลักษณ์พูดถึงพระเจ้า

            จดจ่อที่ความจริงอย่างนี้ว่าในพระเยซูคริสต์ เราเป็นดั่งนกอินทรี อยู่เบื้องบน บินอยู่บนฟ้า ไม่ใช่ไก่งวงบนดิน โคโลสี 3:1-2 ที่อ่านเมื่อสักครู่นี้ สรุปง่ายๆ ก็คือจดจ่อที่ความจริงว่า …

            “ฉันเป็นนกอินทรีนะ  ฉันไม่ใช่ไก่งวงอีกแล้ว ฉันไม่ใช่ไก่งวงที่รอวันขอบคุณพระเจ้า แต่ฉันเป็นนกอินทรี ที่รอวันขอบคุณพระเจ้า” เอเมน

            นึกถึงนกอินทรี แล้วนึกถึงภาพนะ สง่างามมากเลย ถ้าใครก็ตามที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระคริสต์ก็จะเข้าไปอยู่ในท่าน และท่านก็จะอยู่ในพระคริสต์ ทั้งสองวิญญาณผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในโรม บทที่ 6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนเลย และไม่มีใครที่ไหนสามารถแยกท่านออกจากกันได้อีกเลย เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเลย  โคโลสี 2:6 บันทึกไว้อย่างนี้ นึกถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วบินไปกับพระองค์ ตั้งแต่วันนั้นแหละ วันแรกที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใด เราเรียนรู้ความจริงนี้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็คือ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ บินอยู่กับพระองค์ เบื้องบน บนฟ้า ก็คือในสวรรค์นั่นเอง โคโลสี 2:6 …

        โคโลสี 2:6  “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในพระองค์ต่อไป”

            พระคริสต์อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรคสถานเบื้องบน  แล้วเราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เราก็อยู่ที่นั่นแหละ ความหมายที่อาจารย์เปาโลพูดถึงง่ายๆ ก็คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว ก็ให้เรามีชีวิต อยู่ในร่างกายนี้ โดยการรับรู้ความจริงว่าวิญญาณข้างในของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว แล้วเราก็อยู่ในพระองค์แล้ว การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ให้เราเรียนรู้ความจริงนี้ตลอดเวลาว่าพระเยซูคริสต์เดินอยู่กับเราด้วย ทำอะไร ก็ให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา  และพระองค์จะไม่ไปไหนอีก จริงๆ เลย พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา และตลอดไป บินอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเรามีความรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนี้หรือไม่? ก็ไม่สำคัญ ความจริงคือความจริง ไม่ใช่ความรู้สึก  ไม่ว่าตอนนั้นเราจะคิดว่าใช่หรือไม่ใช่?  เราคิดว่าเราเป็นไก่งวง แต่ความจริง ก็คือเราเป็นนกอินทรี พอนึกออกไหมครับ?

            ความคิด ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราเป็นจริงอย่างไร? มันก็เป็นจริงอย่างนั้นในโลกวิญญาณ อย่าให้ใครมาหลอกเรา อย่าให้มารมาหลอกเรา  โดยเอาความรู้สึก เอาสิ่งที่ตามองเห็น เอาความคิดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ที่แย้งกับความจริงเหล่านี้ แล้วก็มาบอกเรา เรารู้สึกอย่างนี้ใช่ไหม? เธอยังคิดเลยว่าไม่มีพระเจ้า เธอยังคิดว่าเธอเป็นไก่งวงอยู่เลย เรายังคิดว่าเรายังแย่อยู่เลย เราลำบากอยู่เลย ยังคิดเราเดินอยู่บนโลกใบนี้อยู่เลย  เธอยังคิดว่าเธอยังเป็นคนบาป สกปรกอยู่เลย จะคิดอย่างไรก็ตามไม่สำคัญ  ความจริงในวิญญาณของท่านเป็นอะไร? มันก็เป็นอย่างนั้น มันแก้ไม่ได้แล้ว เพียงแต่ท่านจะไม่มีสันติสุข  ไม่มีความสุข ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ บินอยู่ มีความรู้สึกเหมือนเดิมอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง โคโลสี 2:9-10 ยิ่งบันทึกอย่างนี้ชัดเจนว่าท่านอยู่บนยอดของฟ้า เหินอยู่บนฟ้ากับพระเยซูคริสต์ มองลงมาข้างล่าง คนละระดับกันเลย โคโลสี 2:9-10 …

        โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า (คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า) ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ ในพระกายของพระองค์  (คือในวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อทั้งหลาย) 10 แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน ดังนั้น พระคริสต์เป็นศีรษะมีอำนาจ เหนือกฎบัญญัติกฎศีลธรรมต่างๆ (ที่กล่าวโทษเรา) เหนือพวกผู้ครอบครองบนโลกนี้ (คือผู้นำทางศาสนา ที่ใช้กฎบัญญัติโจมตี กล่าวโทษเรา) และเหนือเหล่าพวกวิญญาณชั่ว หรือวิญญาณดีทั้งสิ้น ที่มีฤทธิ์อำนาจในจักรวาล ท่านก็มีอำนาจเหนือเช่นเดียวกัน”

            “เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระกายของพระองค์ คือในวิญญาณของคริสเตียนผู้เชื่อทั้งหลาย”

            ก็คือเราทั้งหลาย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พระคริสต์เป็นศีรษะ มีอำนาจเหนือกฎบัญญัติ  กฎศีลธรรมต่างๆ ที่กล่าวโทษเรา  เหนือผู้ครอบครองบนโลกนี้ คือเหนือเหล่าผู้นำทางศาสนา  หมายถึงผู้นำในทางความเชื่อต่างๆ ที่สอนวิธี สอนศีลธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น เวลาเราทำผิดทำบาป ก็บอกอย่างนี้ตกนรก อย่างนี้ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น พระเยซูคริสต์ครอบครองอยู่เหนือเหล่านี้ และเหนือเหล่าวิญญาณชั่วหรือวิญญาณดี คือโลกวิญญาณทั้งหมด ที่มีฤทธิ์อำนาจในจักรวาล ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เหนือเหล่านี้  เราอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็มีอำนาจเหนือเช่นเดียวกัน

            พูดง่ายๆ ว่าดังนั้น พระเยซูคริสต์อยู่เหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เหนือกฎศีลธรรม กฎหมายต่างๆ เหนือวิญญาณชั่ว วิญญาณดี เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดเลย สูงสุดเลย  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน เอเมนไหม? พูดง่ายๆ ว่าพระเยซูคริสต์เป็นดั่งนกอินทรี ลอยอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด เราก็เป็นดั่งนกอินทรีเหมือนพระองค์ เพราะเราอยู่ในพระองค์อีกทีหนึ่ง เราบินอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องบน บินอยู่กับพระองค์ มองลงมาบนโลกเบื้องล่าง และรับรู้ว่าเรามีชัยชนะอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด อยู่เหนือทุกสิ่งบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะกฎระเบียบอะไรต่างๆ  เราอยู่เหนือ ในโลกวิญญาณ เราอยู่เหนือแล้ว โลกนี้พยายามที่จะฟ้องเรา บอกเราว่าแย่ ทำอย่างนั้นแย่ ทำอย่างนี้แย่

            “เธอยังเป็นคนบาป”

            “ฉันไม่ ฉันอยู่ในกฎของวิญญาณชีวิต ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่บนฟ้าแล้ว” พูดง่ายๆ

            บนโลกนี้มีแต่ความสกปรกโสโครก โลกที่มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก  ความสับสน ไม่แน่นอน  แล้วก็ยังมีความหวังหลังความตาย ที่เป็นลมๆ แล้งๆ  พูดง่ายๆ ว่าเป็นโลกที่ไม่มีความหวังเลย ไม่ว่าจะเป็นความหวังบนโลกใบนี้ หรือความหวังหลังความตาย บนโลกใบนี้ ไม่มีความหวังเหล่านั้นเลย แต่เราทั้งหลายอยู่บนโน้น หลุดออกจากโลกใบนี้แล้ว และพ่อแห่งฟ้าสวรรค์กำลังฝึกเรา ที่เป็นลูกๆ ของพระองค์นั้น ฝึกเราทำไม? ฝึกเราให้บินอยู่ข้างบน แล้วก็มองมาจากเบื้องบน ด้วยสายตาที่เป็นเหมือนพ่อ มองลงมาบนโลก คือบินเหนือปัญหาต่างๆ ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ทุกปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องสุขภาพ บนโลกใบนี้ เขาก็แสวงหาสุขภาพ เจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน รับเวร รับกรรม  แต่เราอยู่เหนือปัญหาเหล่านั้น อีกทีหนึ่ง ปัญหาของสุขภาพมาทำให้เรากลัวไม่ได้ เราอยู่เหนือปัญหาสุขภาพ ปัญหาการกินการอยู่ ปัญหาความสัมพันธ์กัน ปัญหาการแตกแยกกัน การถกเถียงกัน ทะเลาะวิวาทอะไรต่างๆ เหล่านี้ แม้กระทั่งปัญหาเรื่องเกี่ยวกับความรอด ห่วงชีวิตตัวเองในภายภาคหน้าว่า …

            “ตายไปแล้ว ฉันจะไปไหน? ฉันจะไปสวรรค์หรือไม่?”

            เราหลุดออกจากเหล่านี้ไปแล้ว เพราะเราอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น พระเจ้ากำลังสอนเราเรื่องเหล่านี้แหละ ให้เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บินอยู่บนฟากฟ้า บินอยู่กับพระองค์ แล้วมองลงมาเบื้องล่าง  ปัญหาความทุกข์ยากอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้ เรามีสิทธิอำนาจ เราอยู่เหนือ ไม่ใช่จะอยู่เหนือ เราอยู่เหนือแล้วด้วย ให้เราเรียนรู้ รับรู้ความจริงเหล่านี้ว่าพระเจ้ากำลังนำพาลูกๆ ของพระองค์ไปที่จุดนี้ ซึ่งสำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  คือจุดที่จะวางใจพ่อ วางใจพระเจ้า บินไปด้วยกันกับพระองค์เลย  แล้วก็พึงพอใจในทุกสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะมองดูด้วยตาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าใครจะบอกว่าดีหรือร้ายก็ตาม แม้ว่าสิ่งที่เขาบอกบนโลกใบนี้เป็นสิ่งที่ร้าย เช่น เจ็บป่วย หรือไม่ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจ การงาน ขัดสน หรือทะเลาะเบาะแว้ง มีคนเกลียดชังต่างๆ ก็ตาม เราไม่ได้สนใจตรงนั้นเลย  แต่เราวางใจในพ่อ พ่อเราบอกว่าเราร่ำรวยมหาศาล เราก็บอกว่าเราร่ำรวย  เราอยู่ในพ่อของเรา ซึ่งก็คือสันติสุข การมีสันติสุข ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  เป็นสภาวะที่จะทำให้ความคิดจิตใจของเรานั้นสงบ และมีความมั่นใจในความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ได้รับมาแล้ว  คือมีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เหล่านี้แล้ว และมั่นใจว่าขณะนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เราไม่กังวลว่าหลังความตายเราจะไปไหน? เพราะตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วหลังความตายจะไปไหนเล่า ก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์แล้ว

            ซึ่งความคิดเหล่านี้ สันติสุขเหล่านี้จะส่งผลให้เราไม่หวั่นไหว ไม่กลัวสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว ไม่กลัวเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว พระเจ้าจะฝึกเราบินอย่างนี้แหละ  และทำให้เรามีความพึงพอใจในทุกสิ่ง ที่มี ที่เป็นอยู่ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ซึ่งให้เรามองเห็นชัดเจนว่าโลกใบนี้ ซึ่งอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายก็ตาม มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น บนโลกใบนี้ มันแป๊บเดียว มันก็ผ่านไปแล้ว แต่ชีวิตที่เราบินอยู่กับพระองค์บนฟ้านั้น มันเป็นนิรันดร์ครับ พระองค์จะคอยแนะนำให้เรามองไปที่สิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่แล้วในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรคสถาน ที่เรียกว่าเบื้องบน ซึ่งเราได้เป็นและเราได้อยู่และได้มีเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นปัจจุบันเลย และเป็นในอนาคต เป็นไปตลอดกาล ให้เราจดจ่อที่ความจริงตรงนี้ เอเฟซัส 1:3 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ เทิดทูนพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ลองคิดดูนะว่าพระพรในโลกวิญญาณ ในสวรรคสถานเบื้องบน ในขณะนี้ เราเป็นใคร? เราได้มีอะไรแล้วบ้าง? เราได้เป็นอะไรบ้าง? เรียบร้อยแล้ว เมื่อตะกี้ที่เราอ่านในเอเฟซัส 1:3 สำคัญคำนี้ คือ “ผู้ได้ทรงประทาน” แปลว่าให้หรือยัง? ให้แล้ว ก็คือมีแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง พ่อให้แล้ว แต่เรารู้หรือไม่ว่าพ่อให้แล้ว หรือเราไม่รู้ ไม่รู้ ก็เหมือนกับไม่ได้ใช้สอยเลย แต่ถ้าเรารู้ เราก็เอามาใช้สอย ชีวิตเราก็จะบินอยู่บนฟ้ากับพระเจ้าของเรา

            –  เราลองมาดูสิว่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์เบื้องบน ในขณะนี้ เราเป็นใคร? เราได้มีอะไร? เราได้เป็นอะไรบ้าง? สรุปให้คร่าวๆ …

            –  เราได้บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์

            –  เราเป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นชีวิตของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า

            –  เรามีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา บินอยู่ข้างๆ เรา ยามเราสุข ยามเราทุกข์ ซุกเราไว้ใต้ปีกของพระองค์ บินอยู่ข้างๆ เราตลอดเวลา ยามเรามีสุข บินโฉบดูนกดูไม้ ดูวิวทิวทัศน์สวยงาม คือมาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรสวยเลย โพลูชั่นก็เยอะ  ฝุ่น PM 2.5 ก็เยอะ คนฆ่ากัน แทงกัน ตีกัน วุ่นวายไปหมดเลย แต่พาเราบินอยู่ข้างบน มองมาทำไมมันสวยอย่างนี้ทั้งโลก ยามเราสุข แต่พอยามเราทุกข์ทำอะไร? มองอะไรก็ไม่เห็น มองในโลกวิญญาณไม่เห็นเลย เห็นแต่บนโลกใบนี้ ทุกข์เหลือเกิน พระเจ้าบอกปิดตาซะๆ ปิดไม่ได้ เอาเราซุกไว้ใต้ปีกของพระองค์ เราไม่เห็นอะไรแล้วตอนนี้ เห็นแต่อะไรไม่รู้อุ่นๆ เห็นไออุ่น ความรักของพระเจ้า แล้วเรามีอะไรอีก

            –  เรามีความสามารถพูดคุยกับพระองค์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยิ่งกว่า 7-11 เพราะ 7-11 เปิดอยู่ แต่เราหลับอยู่ เราก็ไม่ได้ไป แต่นี่ ถึงแม้เราหลับ พระองค์ก็ยังทรงตื่นอยู่ เฝ้าเราอยู่ เรามีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่จะครอบครองร่วมกับพระองค์  เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นธรรมิกชน บริสุทธิ์ ดีพร้อมปราศจากความบาป ไม่มีที่ติ เหมือนกับพระเยซูเลย เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า มีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นพ่อของเรา ซึ่งเป็นพระบิดาของพระเยซู เราได้เป็นที่รักและโปรดปรานของพระเจ้า ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ เหมือนพระเยซูเลย คือพระบิดารักพระเยซูเท่าไร? ก็รักเราเท่านั้น เราได้เป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์ เรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน เรากำลังนั่งอยู่นะ ไม่ใช่จะ รอให้ตายก่อน ไม่ใช่ ไม่รู้จะเกิดขึ้นหรือเปล่า ไม่รู้ แต่เกิดขึ้นเลยเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้เลย เรากำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูในสวรรคสถานแล้ว  เรากำลังรอรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู หลังความตาย  หลังออกจากร่างนี้ เราก็รับร่างกายใหม่  เรากำลังรอโลกใหม่ ฟ้าใหม่ สรรพสิ่งที่ทรงสร้างใหม่ ที่เตรียมไว้ให้กับเราและเราจะร่วมครอบครองโลกใหม่ ฟ้าใหม่ สวรรค์ใหม่นี้กับพระเยซูคริสต์ชั่วนิรันดร์

            สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เราได้เป็นและเรามีเรียบร้อยแล้ว ในพระคริสต์ ในสวรรคสถานเบื้องบน มีแล้ว เป็นแล้ว  เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นความจริง ดังนั้น จงมีความชื่นชมยินดี  พึงพอใจ มีความสุข มีความหวังในสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่นี้ ที่ได้รับแล้วนี้ตลอดเวลา ให้พระเจ้าพาเราไปจดจ่อตรงนี้ สอนเรา ฝึกเรา ให้เราเฝ้ามอง จดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ เหมือนเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องมองเห็นได้เลย จดจ่อมากๆ เหมือนกับวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้  พูดง่ายๆ เหมือนเรามีที่ดิน ที่ดินเราอยู่ต่างจังหวัด  เราอยู่ในกรุงเทพ เราเอาโฉนดที่ดินแปะไว้ที่หน้ากระจกเลย เรามองทุกวัน ที่ดินนี้เป็นของเราๆ เหมือนกัน สิ่งที่พูดมาทั้งหมด ให้เราจดจ่อ หลับตาเมื่อไร เราก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เป็นจริงทั้งหมด

            นี่แหละ ที่เรียกว่าลูกพระเจ้า ลูกนกอินทรี ผู้ชอบธรรม ผู้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น เขาจะบินสูงอยู่เบื้องบน เพราะรู้ว่าตนเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง

            “ฉันจะบินสูงอยู่เบื้องบน เพราะรู้ตนว่าเป็นนกอินทรี ไม่ใช่ไก่งวง”

            พูดกับความคิดของตัวเอง ที่ชอบคิดแบบโลก คิดแบบถูกเขาหลอก แล้วก็ตามเขาไป

            “แย่จริงๆ เลย เจอปัญหาโควิด เจอปัญหาเศรษฐกิจ เจอปัญหาโน้นปัญหานี้  ฉันเป็นเหมือนไก่งวง แย่แล้ว”

            ไม่แย่ แย่ที่ไหน? เจอปัญหาสุขภาพ ติดโควิด ฉันก็บินอยู่บนฟ้า เจอปัญหาเรื่องการงาน ตกงาน ฉันก็บินอยู่บนฟ้าอยู่ เจอปัญหาการทำผิดทำบาป  ล้มลงไปบ้าง? โกรธเขา เกลียดเขา อะไรต่างๆ บ้าง?

            “แกเป็นคนบาปแล้ว แกทำดีสู้คนนั้นไม่ได้เลยเห็นไหม?”

            ไม่ฟัง “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า บินอยู่บนฟ้า เป็นนกอินทรี”

            พูดกับตัวเอง พูดกับคนอื่นไม่ได้  พอรู้อย่างนี้ทำอย่างไร?  แล้วก็บากบั่น อาจารย์เปาโลบอกบากบั่น วิ่งไป แต่วันนี้พิเศษ ผมจะเปลี่ยนให้เข้ากับบรรยากาศ นกอินทรีกับวันขอบคุณพระเจ้า ให้เราบากบั่น บิน เหินไป จดจ่อ จดจ้อง ไม่กระพริบตา นึกออกไหม? บินอยู่บนฟ้า จดจ่อ จอจ้อง ไม่กระพริบตาเลย เพื่อไปรับรางวัลเพิ่มเติม คือร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ได้พักผ่อน มีความสุขนิรันดร์กาลในสวรรคสถาน ชั้นสูงสุด ตอนนี้อยู่ในสวรรค์แล้ว บินอยู่แล้ว แต่เพ่งไปข้างหน้า บากบั่นบินขึ้นไป รับรางวัลสุดท้าย ซึ่งเมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ก็เต็มใจดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มันทุกข์แค่ชั่วคราว มันลำบากแค่ชั่วคราว ถ้ามันจะเจ็บป่วย มันก็จะเจ็บป่วยแค่ชั่วคราว  ถ้ามันจะยากจนขัดสน มันก็ยากจน ขัดสนแค่ชั่วคราว  ถ้ามันจะมีปัญหา ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นนกอินทรีหรือไก่งวง มันก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละ สำหรับเราที่เป็นนกอินทรีแล้ว ก็เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั่นเอง ก็สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ด้วยความอดทน เต็มไปด้วยความหวัง และการประพฤติตัวและการบินให้สมกับที่ได้รับ ได้มี ได้เป็น สิ่งเหล่านี้แล้วทั้งหมด ก็คือเป็นนกอินทรีที่ได้ครอบครองมรดกต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ในนามพระเยซูนั่นเอง

            สรุป ก็คือเราก็สามารถที่จะชื่นชมยินดี มีความสุข พึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่ได้รับแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมด ที่ตะกี้เราได้เรียนรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว  เราก็มีความยินดี มีความสุข ด้วยการขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น คนที่เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว เขาก็จะมีวันขอบคุณพระเจ้า ทุกๆ วันก็เป็นวันขอบคุณพระเจ้าทั้งหมดเลย ปีหนึ่ง มาเทศนาครั้งหนึ่งก็จริง แต่ในใจของเขา ทุกวันเป็นวันขอบคุณพระเจ้า  ทุกวันมองเห็นอะไร? ขอบคุณพระเจ้า  เห็นอะไรล่ะ? เห็นไก่งวง แล้วขอบคุณพระเจ้า จากไก่งวงเป็นนกอินทรีแล้ว  ทุกวันเป็นวันขอบคุณพระเจ้า  ทุกวันเห็นไก่งวง ฉันไม่ได้เป็นไก่งวงอีกต่อไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าเหลือเกิน ตอนนี้เป็นนกอินทรีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า  เต็มไปด้วยความหวังตลอดเวลา

            เพราะฉะนั้น ทุกวันสามารถเป็นวันขอบคุณพระเจ้าได้ แล้วทำอะไรต่อ ก็ให้พระเจ้าฝึกฝนไปกับพระองค์ ฝึกฝนบินขึ้นไปเรื่อยๆ กับพระเยซูคริสต์ บินขึ้นไป ค่อยๆ ฉายแสงสว่าง ให้ความรักกับคนข้างๆ  ก็คือให้ความรักกับเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง  เห็นภาพไหม? บินไปกับพระองค์ กับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ให้อภัย แบ่งปัน ช่วยเหลือ แจกจ่ายด้วยความรัก บริสุทธิ์จากภายในใจออกมา สง่าราศีออกมาแล้ว เพราะมันเป็นอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่รู้ความจริง ให้พระเยซูคริสต์ ให้พระเจ้าสอนความจริงเหล่านี้ พอรู้ความจริงมากขึ้นเหล่านี้ เราก็จะบินขึ้นไป สูงขึ้นไป อาการต่างๆ นั้น ก็จะออกมา จากภายในแล้ว จากธรรมชาติ แล้วเราก็จะมีชีวิตอยู่ ไม่ยึดติด จดจ่อ จดจ้องอยู่กับโลกียตัณหา หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา บนโลกใบนี้ ซึ่งมันอยู่เพียงชั่วคราว ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น  และมันทำให้เกิดความกลัว ความวิตกกังวล ความกระวนกระวาย ความทุกข์มากขึ้น ถ้าเรายิ่งไปจดจ่อกับมันมาก มันก็จะทุกข์มากกว่าเดิม  แต่ถ้าเราไม่จดจ่อมันเลย เราก็ทุกข์น้อย แล้วเราเอาสายตาการจดจ่อนั้น มาจดจ่อที่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่ ที่เราเป็นนกอินทรีที่บินอยู่กับพระองค์ ที่เราเป็นนกอินทรีที่พระเจ้าได้ทรงสอนเรา ฝึกเราอยู่  อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา จดจ่อ จดจ้องอยู่กับความคิด ความจริงตรงนี้ว่า …

            “ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นนกอินทรีแล้ว กำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานเบื้องบน เป็นนกอินทรี บินอยู่กับพระองค์บนฟ้า เหนือปัญหาใดๆ เอเมนไหม? ให้เรารู้ว่าเราเป็นนกอินทรีบินอยู่กับพระเจ้า อยู่เหนือปัญหาบนโลกใบนี้ ปัญหาอยู่ที่ไหน? ปัญหาอยู่บนโลก ในสวรรค์ไม่มีปัญหา บนฟ้าไม่มีปัญหา ลงมาเดินบนดินเมื่อไร? มีปัญหา เราจะเดินบนดินไหม? เราไม่เดิน เพราะเราได้บังเกิดใหม่ ขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้ว แม้ว่าร่างกายเดิมเราจะเดินอยู่บนดิน แต่จิตใจภายใน ตัวตนของเราจริงๆ นั้น เป็นนกอินทรีบินอยู่บนฟ้า  เพราะฉะนั้น เราอยู่เหนือปัญหาทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องอะไรก็ตาม ทุกอย่าง ทุกปัญหา เราอยู่เหนือในพระคริสต์ เราบินอยู่เหนือปัญหาต่างๆ เหล่านั้น

            เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าเราสามารถเผชิญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเรา นึกภาพนะ ที่เราเคยร้องเพลงกันมา …

                        “ข้าผจญทุกสิ่ง โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง

                        ข้าเผชิญทุกๆ อย่างได้ ด้วยความหวังในทางพระองค์”

            จำได้ใช่ไหม? แล้วร้องได้ไหม? ได้ พี่น้องทางบ้านร้องได้ กำลังร้องกันอยู่

                        “ข้าผจญทุกสิ่ง โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง

                        ข้าเผชิญทุกๆ อย่างได้ ด้วยความหวังในทางพระองค์

                        ข้าผจญทุกสิ่ง จะดีจะร้ายเท่าใด

                        ข้ายินดีและสุขใจ ในทางพระองค์เสมอ

                        ข้ายินดีและสุขใจ จะบินไปกับพระองค์”

            เอเมนไหม? ขอบคุณพระเจ้า นี่แหละที่พระเยซูบอก ชีวิตถ้ายังเป็นไก่งวงอยู่ มันเหนื่อย มันลำบาก แล้วมันไปสู่การตายลูกเดียว ไม่มีความหวัง ผู้ใดที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย ยังเป็นไก่งวงอยู่นั้น จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นบังเกิดใหม่ เป็นนกอินทรี หายเหนื่อยและเป็นสุข สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้าครับ  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความหวังของคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว

            1 เปโตร 1:13 “เพราะฉะนั้น (เมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณของท่าน  ที่ได้บังเกิดใหม่โดยพระคุณ  ด้วยฐานะอันสูงส่ง  คือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น)  ก็จงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม  จงรู้จักบังคับตนเอง (เตรียมโดยการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมแบบเนื้อหนังของตนเอง ให้เหมือนความคิดจิตใจแบบพระเยซูอยู่เสมอๆ  เตรียมพร้อมโดยแสดงความประพฤติ  ที่จะมีต่อทุกสถานการณ์ที่เผชิญบนโลกวัตถุ  ที่จับต้องมองเห็นได้  ที่ชั่วร้ายนี้  ด้วยความดี  ด้วยความอ่อนโยน  อ่อนสุภาพ  เต็มไปด้วยความรัก สันติสุขและการให้อภัย)  จงตั้งความหวังแน่วแน่ในพระคุณความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์  ซึ่งจะประทานแก่ท่าน  เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ”

            คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้า 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายแล้ว  จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ด้วยท่าที  ด้วยความหวังในความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้

            คือหวังในการสวมร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์  ร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  และพระสิริของพระเจ้า  ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมพร้อมไว้ให้แล้ว  และเราจะได้รับหลังจากที่ร่างกายเดิมนี้สิ้นสุดลงคือตาย  หรือในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลก) และเราจะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถานนิรันดร์ ในโลกที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นใหม่  ไม่มีความทุกข์  ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่มีความบาปความชั่วร้าย  ไม่มีความเสียใจ  ไม่มีความสูญเสีย  ไม่มีน้ำตา  ไม่มีความเกลียดชังอีกต่อไป  มีแต่ความรัก  และความสุขกับพระเจ้านิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ