วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1387 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  ตุลาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 9

“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.8 “จงขอ แล้วท่านจะได้รับ จงหา แล้วท่านจะพบ จงเคาะ แล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 9 เป็น Ep.8 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”

            ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

            ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

            ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

            ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว  ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

            ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก        แต่พระเจ้ามองที่ วิญญาณข้างใน

            ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

            ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน

            ตอนที่ 8 คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง      แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์   พระเจ้าให้ฟรีๆ

            ตอนที่ 9 (วันนี้)  คำเทศนาบนภูเขา Ep 8 :  จงขอแล้วท่านจะได้รับ  จงหาแล้วท่านจะพบ  จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน

            ทบทวนว่าพระเยซูพูดกับใคร? เป้าหมาย คืออะไร? สำคัญมาก นี่คือเบื้องหลังที่จะต้องรู้ก่อน ไม่รู้แล้วจะนึกว่าเป็นอย่างนั้น นึกว่าเป็นอย่างนี้ ใช้ความคิดตัวเอง อ่าน 2-3 ประโยค แล้วก็บอกว่านี่แหละ ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นความคิดของฉัน หรือเป็นตามความคิดประเพณี หรือเป็นตามความคิดของวัฒนธรรมที่เคยได้ยินมา อันนั้นก็อันตราย

            เพราะฉะนั้น ทบทวนจุดมุ่งหมายของพระเยซู ที่ประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์บนภูเขาที่เรากำลังเรียนรู้กัน จุดมุ่งหมายเดียวที่พระเยซูได้ทรงกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้  ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี ตอนอายุ 30 ถึง 33 เท่านั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคำพูด คำอธิบาย การยกอุปมาต่างๆ  หรือกระทำการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระเยซูกระทำทั้งหมด เป้าหมายคืออะไร?  ทำการอัศจรรย์เพื่ออะไร?  ก็เพื่อเป็นการประกาศให้มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับรู้และวางใจ ในตัวของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์ พระมาซีฮาห์ ภาษาฮีบรู หรือภาษากรีก แปลว่าพระคริสต์ ซึ่งแปลว่าพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งเอาไว้ ให้มาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง  พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า ที่เรียกว่าพระเจ้า พระบุตร  ไม่ใช่บุตรของพระเจ้านะ ไม่เหมือนกันนะ  พระเจ้ากับพระบุตร กับบุตรของพระเจ้าต่างกัน  พวกเราเป็นบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้ารับเราเป็นบุตร  แต่พระบุตรเป็นพระเจ้า ที่เป็นบุตร ที่มีตำแหน่งใน 3 พระภาค พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระบุตรที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ ตรงนี้เรียกว่าเมซียาห์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่อดีต หลายพันปีก่อนโน้น ก่อนที่พระองค์จะทรงมาเกิดว่าจะส่งพระบุตร มาบังเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอดจากความพินาศ เนื่องจากโทษของความบาป และคำสาปแช่ง ที่มาจากบรรพบุรุษ

            พระองค์จะส่งพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู นี่แหละ คือพระเมสิยาห์ พระองค์กำลังสำแดงตัวเอง ย้ำทุกเรื่อง เพื่อจะให้ผู้คนได้รู้ว่าพระองค์ คือผู้นั้นแหละ โดยเฉพาะชาวยิวรู้ดี เพราะชาวยิว ก็เรียนรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขาแล้ว รวมความ ก็คือพระองค์มาเพื่อไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งเกิดมาเป็นคนบาปในวิญญาณ ป่วยอยู่ ต้องการหมอรักษา ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากความผิดบาปนี้ได้ ด้วยการสะสมความดี กระทำความดี ด้วยตนเอง เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากบาป เป็นผู้บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า คือในกฎที่พระเจ้าวางไว้ มาตรฐานของพระเจ้า  เขาไม่สามารถทำด้วยกำลังของตนเองได้ ซึ่งพระเยซูย้ำยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ท่านทั้งหลายจะรักษาบทบัญญัติ จะกระทำด้วยความดีของตนเอง  เพื่อจะได้รับการเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า

            นี่คือจุดหมายเดียว ที่พระเยซูมากระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ทั้งมวล อัศจรรย์ ทั้งอุปมา ทั้งคำสอน อะไรต่างๆ เพื่อจะบอกกับชาวยิว ที่พูดถึงนี้ ท่านทั้งหลายต้องถ่อมใจยอมรับความจริง กลับใจใหม่ หันมาพึ่งในพระเจ้าเถิด ท่านต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเท่านั้น ท่านต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถเกิดด้วยตัวเองได้ เกิดเป็นมนุษย์ ยังเกิดไม่ได้เลย เรายังต้องเกิดจากพ่อแม่เลย แล้วทางวิญญาณจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?  เกิดด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องเกิดจากพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้เกิด เกิดใหม่ เพื่อที่จะเข้าสวรรค์ได้ เมื่อเข้าสวรรค์ได้ เกิดใหม่ได้  ก็จะได้เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า  และจะเกิดใหม่ได้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น ก็คือวางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าได้ส่งมานั่นเอง นี่คือเป้าหมายเดียว จุดหมายเดียว ที่พระเยซูมาทำอัศจรรย์ต่างๆ เทศนาสั่งสอน พูดอะไรต่างๆ นั้น ที่เรากำลังเรียนรู้ เราจะได้รู้เป้าหมายว่าพระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร? กำลังจะพาผู้คนไปไหน?  ก็คือไปบอกพวกเขาว่าให้เขาเปิดใจ ถ่อมใจ ยอมรับ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือพระองค์เอง เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะรอด จากบาปได้

            แล้วพระองค์ก็จะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน เมื่อท่านบังเกิดใหม่ แล้วก็จะเป็นผู้นำทางท่านตั้งแต่นี้ไป เมื่อท่านวางใจในพระองค์ พระองค์จะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน และไปทำการงานภายในตัวของท่าน เสริมสร้างท่าน ดูแลท่าน นำพาท่านต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ จนถึงนิรันดร์ ท่านจะได้พักและหายเหนื่อย ในใจท่านทันที เดี๋ยวนี้เลย เมื่อท่านเปิดใจ วางใจ ต้อนรับพระยูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูพูด ประกาศทั้งหมด 3 ปี ในพระคัมภีร์ใหม่ มีบันทึกไว้ เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้ามั่นใจ” เปาโลพูดกับผู้ที่เชื่อ เปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เริ่มต้นเปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านทั้งหลายสบายแล้ว” สบายตรงไหน? “ท่านมีพระเยซูอยู่ในตัวแล้ว” แล้วทำไม “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการดีในท่านแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนกระทั่งสำเร็จ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์”

            คือไปถึงนิรันดร์เลย มั่นใจแล้ว เพราะพระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่ในท่านแล้ว แล้วจะนำพาท่านต่อไป เราไม่ต้องห่วงท่านเลย พระเจ้านำพาท่านไป นี่ชัดเจนเลย

            จะพาท่านไปดูนิดหนึ่ง ให้เห็นชัดๆ ว่าพระเยซูพูดสิ่งเหล่านี้ อธิบายสิ่งเหล่านี้  ประกาศสิ่งเหล่านี้ จุดหมายเดียว คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ยอห์น 6:27-29  ก็คืออุปมาที่พระองค์อธิบาย ประกาศจุดหมายนี้ เช่นเดียวกัน …

        ยอห์น 6:27-29 “27 อย่าขวนขวาย เหน็ดเหนื่อยทำงาน แสวงหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไปได้แต่จงแสวงหาอาหารที่ดำรงอยู่ตลอดไป คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่านเพราะพระเจ้า คือพระบิดาได้ทรงประทับตรา มอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว 28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่าข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานใดๆ บ้างที่เป็นความต้องการของพระเจ้า เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์นี้ 29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่างานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำนั้น คือการที่ท่านวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

            “งานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำนั้น คือการที่ท่านวางใจในผู้ที่พระองค์ส่งมา”

            นี่คืออีกครั้งหนึ่ง ที่พระเยซูพูด ประกาศ เพื่อจะอธิบาย เป้าหมายที่ตะกี้นี้ผมบอก อย่าขวนขวายเหน็ดเหนื่อยทำงาน เหน็ดเหนื่อยในชีวิต  เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนก็ทราบ เพราะเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ภาษาไทยเขาพูดอย่างนี้นะ ไม่ใช่ท้องพ่อหรอก เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ก็ขวนขวายหาความรอดแล้ว ไม่อยากจะเป็นคนบาป อยากจะอิสระจากบาป อยากจะเป็นผู้ชอบธรรม อยากจะไปอยู่สวรรค์ตอนหลังความตาย  นี่มันเป็นธรรมชาติ

            พระองค์จึงบอกว่าอย่าขวนขวายเหน็ดเหนื่อย ทำงานหนัก เพื่อแสวงหาอาหาร “อาหาร” ก็เล็งถึงชีวิตของพระองค์ ก็คือพระเมซิยาห์ ก็คือพระเยซู พระองค์ทรงเป็นความสว่าง เป็นชีวิต เป็นความชอบธรรม อย่าเหน็ดเหนื่อยในการแสวงหาชีวิตนิรันดร์ หรือความสว่าง หรือความชอบธรรม หรือการจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ที่เป็นสวรรค์แบบหลอกๆ บนโลกใบนี้ เสื่อมสูญไปได้  คืออย่าไปมองสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเลย  แต่ให้มาหาอาหาร ก็คือตัวของพระองค์เอง  เป็นอาหารแห่งชีวิต  คือเข้ามาพึ่งในพระองค์นั่นเอง นี่ชัดเจนเลย

            เพราะในบริบทนี้ เหลืออีกไม่กี่ข้อ ต่อจากนี้ไป คนก็ถาม …

            “อาหารนั่นคืออะไร?”

            พระองค์ทรงตอบว่า … “อาหารนั่นคือตัวเรา กินเราเมื่อไร”

            คนก็งงสิ แล้วเราจะตีความ เอามาใช้กับเราได้อย่างไร?  ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระองค์กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ อุปมาให้เห็นถึงโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ๆ พระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในพระองค์ เรากินพระองค์ ก็คือเราได้ชีวิตนิรันดร์ ก็คือบังเกิดใหม่อยู่ในสวรรค์ นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            เสร็จแล้ว พอพวกเขาได้ยิน พวกเขาบอกว่าอย่างไร? “ข้าพระองค์ทั้งหลายจะต้องทำอย่างไร? เหน็ดเหนื่อยการงานใดๆ บ้าง ที่เป็นความต้องการของพระเจ้า เพื่อจะได้อาหาร คือชีวิตนิรันดร์”

            เขาก็อยากจะรู้ แล้วถ้าไม่ให้เหน็ดเหนื่อย แสวงหาสวรรค์ แบบทางของเขาบนโลกใบนี้ ที่เสื่อมสูญได้ ให้แสวงหาชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ จากสวรรค์ ซึ่งจะอยู่นิรันดร์  เขาต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน? แค่ไหน? ต้องทำอะไรบ้าง? ที่พระเจ้ากำหนดไว้ ต้องการผ่านเกณฑ์นี้ไปได้ เพื่อเขาจะได้ไปสวรรค์ ได้ชีวิตนิรันดร์ ต้องทำอะไรบ้าง คือเขาเป็นชาวยิวใช่ไหม? เขาจะมีบทบัญญัติต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้กันมาก่อนหน้าที่พระเยซูยกตัวอย่างให้ฟัง คนเหล่านี้ ที่ได้ยินได้ฟัง เขาก็สงสัย เขาก็อยากจะรู้ว่าถ้าเผื่อเป็นอย่างนั้น แล้วเขาอยากได้ชีวิตนิรันดร์ เขาต้องทำอะไรต่างๆ บ้าง เช่น เขาต้องไม่ฆ่าคนใช่ไหม?  ต้องมีพระเจ้าองค์เดียวใช่ไหม? ต้องไม่ล่วงประเวณีใช่ไหม? ต้องไม่ขโมย ลักทรัพย์ใช่ไหม? ต้องอภัยให้กับผู้อื่นใช่ไหม? ต้องถวายสิบลดด้วยใช่ไหม? ต้องโน่นต้องนี่ แล้วต้องทำอะไรเท่าไร? ตรงไหนบ้างที่พระเจ้าต้องการ เพื่อเขาจะได้ชีวิตนิรันดร์ แล้วพระเยซูก็เลยตอบ โดนใจเป๊ะเลย

            เขาถามว่า … “งานอะไรต่างๆ (เป็นพหูพจน์) ก็คือจำนวนเยอะแยะเลยอะไรต่างๆ ที่เราต้องทำ เพื่อจะได้เข้าสวรรค์”

            พระเยซูตรัสตอบที่ต่างๆ พหูพจน์ตัดมาเป็นเอกพจน์ คือหนึ่งเดียว คืองานเดียวที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำ แล้วท่านจะได้เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ งานนั่น คือวางใจในพระเยซู คือ …

            “วางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าส่งมา คือวางใจในเรา ที่เราเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นพระเมสิยาห์”

            รู้ได้อย่างไร? ก็เพราะบรรพบุรุษก็บอกไว้แล้ว ถ้าท่านไม่ดื้อดึง ถ้าท่านไม่เย่อหยิ่ง ท่านจะรู้ทันทีว่าเราคือผู้นั้นแหละ เพราะเขาพูดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว เพราะชาวยิวเขาเล่าให้ลูกๆ ฟัง เล่าให้หลานๆ ฟังต่อไป เล่าตั้งแต่เด็กๆ เลย ทุกวันสะบาโตก็จะคุยแต่เรื่องนี้ สิ่งนี้ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ คือเด็กคนนั้น คือพระมาซีฮาห์ที่จะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น และเรื่องเหล่านี้ ได้ถูกประกาศออกไป ไม่ใช่คนยิวเท่านั้นที่ได้ยินได้ฟัง  ที่พูดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พอพูดถึงบรรพบุรุษ มันหลุดออกไปถึงคนข้างนอกชุมชนยิวด้วย คนต่างชาติเขาได้ยินบ้าง เพราะฉะนั้น คนต่างชาติก็ได้วัฒนธรรมจากยิว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ศิวิไลซ์กว่าชนต่างชาติมาก เมื่อสมัยในอดีตเยอะๆ หลายพันปีก่อน ท่านพอนึกออกใช่ไหม?

            เพราะฉะนั้น คนต่างชาติบางกลุ่ม บางความเชื่อ ตั้งแต่หลายพันปีก่อน เขาก็มีความมั่นใจว่ามีคนหนึ่งจะมาช่วย มีคนหนึ่งจะมาแน่ มีคนหนึ่งวันหนึ่งจะขี่ม้าขาวมาช่วย ซึ่งไม่ใช่ยิวนะ ไม่ใช่คริสเตียนด้วย ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเชื่อตรงนี้อยู่ วันหนึ่งจะมีคนขี่ม้าขาวมาช่วย วันหนึ่งจะมีคนหนึ่งมาช่วยเหลือมนุษย์ แต่พระเยซูมาบอก …

            “เราคือคนนั้น” เอเมนไหม?

            พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์ถามพระเจ้าว่า … “ข้าพเจ้าต้องพยายามกระทำดีมากเท่าไรถึงจะเข้าสวรรคฺได้?”

            พระเจ้าก็ตอบว่า … “แค่วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น”

            จบ นี่พูดง่ายๆ ในข้อพระคัมภีร์ที่พระเยซูอธิบาย สรุปสั้นๆ ก็คือพระเจ้าตอบว่าให้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็คือวางใจในพระคุณยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าทำให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เท่าๆ กัน

            พระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไร? พระเจ้าทำให้เราฟรีๆ เข้าสวรรค์ฟรีๆ ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันที่จะเข้าใจพระคุณความดีงามของพระเจ้าตรงนี้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลย จนกว่าเขาจะได้รับการบังเกิดใหม่นั่นเอง พระเยซูจึงบอกให้เขาวางใจในพระองค์ ไม่ใช่ให้เขาเชื่อในพระองค์ เขาไม่มีวันที่จะเชื่อในพระองค์ได้หรอก  เขาไม่มีทางเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นไปไม่ได้เลย  แต่เขาสามารถที่จะใช้ความไว้วางใจได้ เขาจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ สิ่งที่พระองค์ทรงพูด และก็นึกถึงอดีตที่บรรพบุรุษเขาพูดไว้ เขาสามารถ ด้วยความคิดของมนุษย์สามารถวางใจได้ แต่ด้วยความคิดของมนุษย์ไม่สามารถเชื่อได้ เพราะเชื่อเป็นอาการของวิญญาณข้างใน วิญญาณเขาบาป เขาไม่มีกำลังพอที่จะเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระบุตรหรอก แต่เขาสามารถใช้กำลังจากสติปัญญา ความคิดของเขา จากเหตุผลต่างๆ เขาสามารถวางใจในพระเยซูได้ ถ้าเขาวางใจในพระเยซูว่าพระองค์ผู้นี้เป็นพระเมซิยาห์  เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ เขาเชื่อพระเยซูเลย เอเมนไหม? เพราะสิ่งที่เขาต้องทำ ก็คือวางใจในพระเจ้า เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือวางใจ เชื่อมันเป็นไปไม่ได้ วางใจมันเป็นไปได้

            ครั้งที่แล้วเราได้จบลงที่มัทธิว 6:33 “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์ก็จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวง ก็คือทรัพย์สมบัติในสวรรค์ เก็บไว้ให้เป็นมรดกแก่ท่านด้วย”

            ใช่ไหม? ซึ่งผมเปลี่ยนให้นิดหนึ่งว่าแล้วพระองค์ก็จะแถม เพิ่มเติมให้ จากการได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว จากการได้เข้าสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ก็คือได้รับมรดกด้วย ก็คือให้แสวงหาความชอบธรรม อาณาจักรของพระเจ้าเสียก่อน โดยการวางใจในพระบุตรของพระเจ้าว่าเป็นพระมาซีฮาห์ พอวางใจปุ๊บ ก็ได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ ก็ได้เข้าสวรรค์ ตอนได้เข้าสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า ก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าทันที บนโลกใบนี้ วางใจปุ๊บ เกิดใหม่ปั๊บ ก็มีความเชื่อทันที นึกภาพออกไหม?

            ถ้าท่านไม่วางใจ มันไม่มีวันมีความเชื่อหรอก ความเชื่อเกิดในวิญญาณของท่าน พระเจ้าเป็นผู้จัดการให้มันเกิดขึ้นในวิญญาณ ถ้าท่านไม่เกิดใหม่ มันไม่มีทางเชื่อได้หรอก เป็นไปไม่ได้เลย

            พอเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ทันทีทันใด การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนี้ทันที ในสวรรค์เกิดอะไรขึ้น ในสวรรค์เกิดเครดิตของท่าน บัญชีท่านขึ้นมาทันทีเลย ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ขึ้นมาทันที ในชื่อของท่าน เป็นของแถม ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว ทันทีทันใด ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก ถูกไหม? ของแถม ก็คือท่านแสวงหา ท่านได้สวรรค์ไปแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมไปแล้ว สิ่งที่ท่านไม่ต้องแสวงหา แต่ได้เลย ก็คือทันทีในโลกฝ่ายวิญญาณในสวรรค์นั้น ทรัพย์สมบัติเยอะแยะมากมายเป็นมรดก  พระเจ้าเก็บไว้ให้กับท่านแล้ว เมื่อท่านจากโลกนี้ไป ไปรับเลยทันที คือเกียรติ สิริ สง่าราศีของพระเยซูคริสต์ที่ท่านจะได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายเหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตาย ได้ครอบครองมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ซึ่งเป็นของแถม ครั้งที่แล้ว เราหยุดอยู่แค่นี้

            วันนี้เรามาต่อ อย่าลืมนะว่าการทบทวนเหล่านี้ คือพื้นฐานสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ว่าพระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ประกาศแผ่นดินของสวรรค์ ประกาศให้ใครอย่างไร? และจุดหมาย เป้าหมายที่พระองค์ประกาศ เพื่ออะไร? เริ่มต้นวันนี้ที่มัทธิว 7:1-5 …

        มัทธิว 7:1-5 “1 อย่าตัดสิน มิฉะนั้น ท่านเองจะถูกตัดสินด้วย 2 เพราะท่านตัดสินผู้อื่นอย่างไร ท่านจะถูกตัดสินอย่างนั้น ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใด ท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น 3 “เหตุใด ท่านมองดูผงขี้เลื่อยในตาของพี่น้อง แต่ไม่ใส่ใจกับไม้ทั้งท่อนในตาของท่านเอง 4 ท่านพูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่าให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่านเถิด ในเมื่อตลอดเวลานั้น ท่านเองมีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตา 5 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาเจ้าเองก่อน แล้วเจ้าจะเห็นชัด เพื่อจะเขี่ยผงออกจากตาของพี่น้องได้”

            อย่าลืมว่าพระเยซูกำลังพูดกับคนยิว โดยเฉพาะตอนนี้กำลังพูดกับคนที่ยิวไม่เชื่อและเย่อหยิ่ง จนกระทั่งพระองค์ทรงเรียกเขาว่าผู้ที่หน้าซื่อใจคด เพราะยังเคร่งเครียดรักษาบทบัญญัติในพันธสัญญาเดิมอยู่ ยังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็คอยที่จะชี้นิ้วตัดสินคนอื่น  ตามมาตรฐานของตนที่ตนทำได้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่ามันบาปเท่าๆ กันนั่นแหละ แต่เขาเย่อหยิ่ง เคร่งครัดในการรักษาบทบัญญัติ เขานึกว่าเขาทำได้ดีกว่าคนอื่น เขาก็เริ่มชี้นิ้ว ชี้ปั้บ พระเยซูกำลังบอกว่าเวลาเขาชี้นิ้วไป อีก 3 นิ้วมันเข้ามาหาเขา แค่นี้เอง 5 ข้อนี้ มีอยู่แค่นี้

            พระองค์กำลังบอกว่าพวกหน้าซื่อใจคด ไม่ได้ดุว่าเขานะ กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าหน้าซื่อใจคด เขาคิดจริงๆ เขาก็จะรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ ภาษาไทยเขาเรียกว่า “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” แล้วแถมเป็นหนักกว่าด้วย คนอื่นเอาไปนิ้วเดียว ตัวเองเอามา 3 นิ้วเลย เมื่อเขาตัดสินคนอื่นอย่างนั้น เขาชี้ตัวเอง เขาจะได้รับอย่างนั้น คือหนักกว่าคนอื่น โอกาสที่จะรอดพ้น จากความบาป มีน้อยกว่าเพราะเขาเย่อหยิ่งไง ความเย่อหยิ่ง ทำให้เราตัดสินคนอื่น ชี้คนอื่น เพราะมันอดไม่ได้ เพราะข้างในเป็นคนบาปอยู่ ต่อให้ข้างในไม่เป็นคนบาปก็ตาม ต่อให้เป็นคริสเตียนแล้วก็ตาม ข้างในไม่ได้ต้องการทำอย่างนี้ก็ตาม แต่เรายังถูกหลอกได้ โดยโปรแกรมเก่าๆ เขาเรียกว่าความคิดแบบเนื้อหนัง ซึ่งต่อต้านพระเจ้า  ยังสามารถมีโปรแกรมเก่านี้ เร้าให้เราคิดแบบนี้ได้เช่นเดียวกันว่าเราดีกว่าคนอื่น เราอธิษฐานมากกว่า เราถวายทรัพย์มากกว่า เรามีความเชื่อสูงกว่า เราอันโน้นอันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โฮลี่เนื้อหนังเลย เนื้อหนังแบบบริสุทธิ์ เช่น …

            “พระเจ้าโปรดปรานฉันเยอะกว่า”

            อดไม่ได้ “เพราะฉันไม่เคยทำบาปเลย ไม่เคยทำผิดเลย นี่พวกนี้ เป็นคริสเตียนยังกินเหล้าอยู่เลย เป็นคริสเตียนยังไม่บริสุทธิ์ ไม่โฮลี่ ฉันโฮลี่กว่า พระเจ้าโปรดปรานฉันมากกว่า”

             แล้วเราก็ไปชี้นิ้วเขาบอกว่า … “คุณต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ๆ ทำให้เหมือนฉันทำ” โดยอาจจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่จริงๆ คือเอาตัวเองไปเทียบ นี่พูดเลยมาถึงคริสเตียน แต่ตอนนี้กำลังพูดถึงชาวยิว มันเป็นอย่างนี้ เพราะเขามัวแต่ทำอะไร? เคร่งเครียดรักษาบทบัญญัติ ก็คือมัวแต่พึ่งพาตนเองอยู่ จนกระทั่งตาบอด เห็นความประพฤติ การรักษาบทบัญญัติของตนเองเป็นพระเจ้าของเขา พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย มันเป็นไปไม่ได้ ท่านจะพึ่งตนเองและพึ่งพระเจ้าด้วย พร้อมๆ กันไม่ได้ เพราะพระเจ้าจะมีองค์เดียวเท่านั้น คือท่านนับถือใคร? ก็คือคนนั้นแหละ ท่านนมัสการใคร? ก็คือคนๆ นั้นแหละ ท่านนมัสการตนเอง นมัสการความดีงาม นมัสการบัญญัติ ก็บัญญัติต่อไปเคร่งตลอดไป ถ้าท่านนมัสการพระเจ้า ท่านก็จะได้พระคุณ พึ่งในพระเจ้า

            ตรงนี้พระเยซูกำลังพูดกับคนยิวที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว แล้วอ่านข้อความเหล่านี้ ตีความว่าพระเยซูกำลังพูดกับเรา ให้เราพยายามทำตามนี้ อย่างเคร่งครัดด้วย มีคริสเตียนคิดอย่างนี้ไหม?  อ่านแล้วมีความรู้สึกว่าพระเยซูกำลังพูดกับเรา ให้เราพยายามทำตามนะ อย่างเคร่งครัด ก็คือให้เราพึ่งตนเอง พยายามทำให้ได้ อย่าไปตัดสินคนอื่นนะ เราก็จะพลาดจากความหมายที่แท้จริง ที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ ซึ่งถ้าเราได้รับรู้ความหมายที่แท้จริง ก็จะเป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา ซึ่งเป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตต่อไป อย่างหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าเราไปตีความผิด ไม่ใช่หายเหนื่อยและเป็นสุข แต่มันเหนื่อยมากขึ้น

            มาเชื่อพระเจ้าไหนบอกหายเหนื่อยและเป็นสุข  ทำไมมาเชื่อพระเจ้าแล้วมันเหนื่อยมากขึ้น เห็นป้ายหน้าโบสถ์เขียนไว้ว่า “จงมาหาเรา เจ้าจะหายเหนื่อยและเป็นสุข” เรามาหาพระเยซู มันเหนื่อยมากขึ้น แต่ที่เราอ่านทั้งหมดนั้น มันเป็นข้อความ สำหรับคนที่ทะนงตนเย่อหยิ่งในการพึ่งพาตนเอง

            คนที่ทะนงตน พึ่งพาตนเอง ก็จะตีความหมายว่า … “ฉันต้องทำให้ดีที่สุด ให้พระเจ้าเห็นว่าฉันทำได้ตามนี้  ตามที่พระเยซูสอนเมื่อตะกี้นี้ ฉันจะทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้พระเจ้ามีความโปรดปรานพอใจในฉัน ยิ่งฉันทำเยอะ ก็จะได้ความโปรดปรานจากพระเจ้ามาก”

            แต่สำหรับคนที่ถ่อมใจ รับรู้ถึงพระคุณพระเจ้าแล้ว เมื่อได้อ่านข้อความเดียวกันนี้  ก็จะขอบคุณพระเจ้าอย่างมากมาย ที่มาตรฐานในการดำเนินชีวิตอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูกำลังประกาศอยู่นี้ ฉันได้รับทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากที่สุด ในสิ่งนั้น  เพราะฉันไม่มีทางที่จะทำเองได้เลย ซึ่งเป็นคำแสดงการถ่อมใจอย่างแท้จริงนั่นเอง

            ถ่อมใจ ก็คือขอบคุณพระเจ้า นี่ไม่ได้พูดถึงฉัน เพราะฉันทำไม่ได้หรอกตามนี้ เพราะพระเยซูกำลังประกาศในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ ไม่ใช่ให้มนุษย์ทำ กำลังพูดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือพูดว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้ ไม่ใช่สอนว่าให้ท่านทำนั่นเอง ถ้าเราตีความผิด มันก็จะยุ่งนะ มัทธิว 7:6 ต่อไป …

        มัทธิว 7:6 “อย่าให้ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้สุกร มิฉะนั้น มันจะเหยียบย่ำไว้ใต้เท้า แล้วหันมาฉีกท่านเป็นชิ้นๆ”

            ตอนนี้พระเยซูกำลังแนะนำล่วงหน้าให้กับเหล่าสาวกที่จะเชื่อพระองค์ในอนาคตอันใกล้นี้

            “ของบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์” ตรงนี้หมายถึงพระมาซิฮาห์ สั้นๆ ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณ ในพระเยซูคริสต์ ก็คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ก็คือ DNA ทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งจะได้รับแค่วางใจในพระบุตร วางใจพระมาซิฮาห์  ก็ได้บังเกิดใหม่ จาก DNA ทางวิญญาณของพระเจ้า บริสุทธิ์  DNA วิญญาณของพระเจ้า หน่อเชื้อที่มาจากพระเจ้า ทำให้เราบังเกิดใหม่ มันบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ตรงนี้ คือความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูกำลังพูดถึง อย่าไปเอาชีวิตนิรันดร์นี้ให้กับใคร?

            เรามาดูสิ ในหนังสือพันธสัญญาใหม่ ได้มีบันทึกไว้ บอกเราว่าสุนัขย้อนกลับมากินอาเจียนของตนเอง ถูกไหม? ย้อนกลับมากินสิ่งที่มันสำรอกออกมา และสุกรหรือหมู ก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับโคลนตม เอาหมูมาล้างให้สะอาดๆ ปล่อยปุ๊บ มันวิ่งไปหาโคลน เป็นธรรมชาติของเขา เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ ตามบริบทนี้ ก็หมายถึงคนยิว ซึ่งรับรู้เรื่องราวข่าวประเสริฐ เรื่องมาซีฮาห์มาก่อนหน้าแล้ว ก่อนพระเยซูจะมาประกาศ เขาก็ได้รู้เยอะแยะจากบรรพบุรุษแล้ว  ได้รับรู้ และรู้เรื่องราวของข่าวประเสริฐ แห่งพระคุณของพระเจ้านี่แล้ว  แต่พอได้ยิน ได้เห็นกับตา ตามที่พระเยซูได้ประกาศ ได้กระทำให้เห็น แต่ปฏิเสธ ไม่รับข่าวดีนี้  ไม่รับชีวิตนิรันดร์อันบริสุทธิ์นี้ กลับไปหาบทบัญญัติของโมเสสเหมือนเดิม กลับไปรักษาบทบัญญัติ กลับไปหาชีวิตเดิมที่เป็นคนบาป สกปรก มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป กลับไปพึ่งพาตนเอง ที่จะทำให้ตนเองเป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากความบาป โคลนตมนั้น โดยการประพฤติตามบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด ซึ่งพระเยซูบอกว่าไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังดื้อ ยังเย่อหยิ่ง ปฏิเสธข่าวประเสริฐของพระเจ้า ปฏิเสธของบริสุทธิ์ ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าที่ให้มา ที่ให้ฟรีๆ นี่หมายถึงตรงนี้

            และพระเยซูก็เลยประกาศว่าให้สาวกมีท่าทีอย่างไร? ในอนาคต สาวกก็รู้ เพราะประกาศให้กับคนเหล่านี้ พวกฟาริสี พวกเย่อหยิ่งเหล่านี้ แว้งมากัด ก็คือกลับมาข่มเหงผู้ประกาศ คือสาวกเอง เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่าพอประกาศ พอได้กลิ่น พอสังเกตดูว่าคนที่เราประกาศอยู่นั้น ว่าเป็นสุนัขหรือเป็นสุกร ก็ให้เดินผ่านไปเลย อย่าไปยุ่ง อย่าไปเสียเวลา แค่นั้นเอง ต่อไปข้อ 7-8 …

        มัทธิว 7:7-8 “7 จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน 8 เพราะทุกคนที่ขอ ก็ได้รับ คนที่แสวงหาก็พบ และคนที่เคาะประตูก็จะเปิดให้แก่เขา”

            อันนี้สำคัญมาก มีคนเอาไปใช้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย แต่ใช้แบบผิดๆ ใช้แบบอันตราย เสียหาย ถึงชีวิตของเขาเอง และเสียหายต่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้วย มีคนเข้าใจผิด พระเจ้าเยอะแยะ เพราะเรื่องนี้

            ในช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่นี้ ประโยคนี้ คือก่อนที่จะทรงกระทำให้สำเร็จในข่าวประเสริฐ คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แต่พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าพวกเขาจำเป็น ต้องเริ่มต้นแสวงหาตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย แม้ว่าสวรรค์ยังไม่มาตั้งอยู่กำลังมา แม้ว่าหนทางแห่งความเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแบบฟรีๆ แบบพระคุณยังไม่สำเร็จ แต่กำลังจะสำเร็จอีกไม่กี่ปี ไม่กี่วันข้างหน้านี่แหละ พวกเขาจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เริ่มต้นทำอะไร? แสวงหาอย่างต่อเนื่องด้วย เพราะว่าในข้อความนี้ ในภาษาฮีบรู มีความหมายว่า …

            “จงขอ แล้วขออยู่เรื่อยๆ อย่าหยุด จงหา แล้วก็หาอยู่อย่างต่อเนื่อง จงเคาะ แล้วก็เคาะไปเรื่อยๆ”

            หมายถึงเคาะไม่หยุด จงเคาะไปเรื่อยๆ เพราะว่าสวรรค์ที่พระองค์กำลังพูดนี้ กำลังอยู่ใกล้ๆ นี้แล้ว อาจจะอีกสัก 2 ปีนี้  หรืออีกแค่อาทิตย์หนึ่ง พระองค์จะทำให้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ฟังที่พระองค์ประกาศ ดูที่พระองค์ทำ  และอย่าหยุดในการแสวงหา อย่างต่อเนื่อง โดยพระองค์ได้บอกเบาะแสให้ว่าจะหาให้พบได้อย่างไร? ด้วยวิธีใด? เคล็ดลับ ก็คือวางใจในพระองค์ ที่พระเจ้าได้ส่งมา แค่นั้น เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ เข้าอยู่ในสวรรค์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เป็นบุตรของพระเจ้าเลย อย่างนี้แหละ จ้องอยู่ตรงนี้ จ้องอยู่ที่เราบอกกับท่าน แล้วก็จ้อง อย่าหยุดจ้อง

            สมมติว่าได้ยินได้ฟังตั้งแต่ปีแรก จ้องไปถึง 3 ปี จนกระทั่งพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละเอเมนทันทีเลย คนเหล่านั้น 120 คน บนห้องชั้นบน วันโน้น และอีก 3,000 คนในวันแรก อะไรประมาณนั้น คงเป็นคนที่จ้องมาตลอด แสวงหามาตลอด

            พระเยซูกำลังพูดให้กับชาวยิว ผู้ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เพราะพระเยซูยังกระทำการงานไม่สำเร็จบนไม้กางเขนเลย ไม่มีคริสเตียนเลยสักคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ไม่ได้พูดถึงคริสเตียนเลยตอนนี้ แล้วคริสเตียนเอามาใช้ได้อย่างไร? นี่คือประเด็นสำคัญ ที่ทำให้สับสน สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไปเอามาใช้ ประเด็นสำคัญ คือไม่ได้พูดกับ คริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว สักนิดหนึ่งเลย เดี๋ยวเราจะอ่าน ให้เห็นชัดเลย ในข้อที่ 9-11

            ในข้อ 11 บอกว่า … “ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว” ในบริบทเดียวกัน  ถ้าเป็นคริสเตียน จะเป็นคนชั่วได้อย่างไร? ถ้าเป็นคริสเตียน เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม แต่นี่เป็นคนชั่ว ท่านจะเป็นคนชั่วเหรอ  เอาแค่ 2 ข้อนี้ ข้อ 7 และข้อ 8 คริสเตียนที่มาใช้ส่วนตัวว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราขอ แล้วเราจะได้  เราหาแล้วจะพบ เราขอไปเรื่อยๆ อัดไปเรื่อยๆ หาแล้วจะพบ เคาะแล้วจะได้ อย่าหยุดเคาะนะ ถึงขนาดแปลอย่าหยุดเคาะว่าเราอย่าหยุดอธิษฐาน วิงวอนต่อพระเจ้า ถึงขนาดเขย่าบัลลังก์เลย เขย่าน้อยไป เขย่าเยอะๆ หน่อย อะไรประมาณนั้น ต้องทำอย่างนี้ เขย่าน้อยไป อดอาหารเขย่า เคยได้ยินคำสอนอย่างนี้ไหม?

            พระองค์ไม่ได้มาสอนผู้ที่เชื่อแล้ว ให้เคาะ ให้หา ให้ขอ แต่พระองค์กำลังพูดกับคนที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ กำลังแสวงหาวิธีเข้าสวรรค์อยู่ บอกเขาว่าให้กระทำอย่างนี้ และโดยเฉพาะตอนนี้ พูดให้กับชาวยิว ชัดเจนเลย  เพราะชาวยิวเขารู้ระแคะระคายไปแล้วว่า พระมาซีฮาห์ คือผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ และทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ในอดีต  ตอนนี้มาถึงแล้ว เพ่งดูให้ดีๆ กำลังจะมาแล้ว ไม่นานนี้ ขอสิ แสวงหาสิ เคาะสิ เพื่อจะได้พบกับพระมาซีฮาห์ตัวจริง เพื่อที่จะได้บังเกิดใหม่ เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราประกาศไปให้ท่านฟังทั้งหมด พูดให้ท่านฟังทั้งหมดใน 3 ปีมันคืออะไร? มันจะตอบโจทย์ท่านเมื่อวันที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นจากความตายนั่นแหละ ไม่ได้พูดให้ท่านไปขอ เพื่อเอาความร่ำรวย ไม่หายโรคก็พยายามอธิษฐาน พระเยซูบอกให้เคาะๆ แล้วจะได้ ได้ไหม? ไม่ต้องมีหมอ ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว  ท่านอยากรวย ทำอย่างไร? ขอสิ อย่าหยุด เพราะข้อพระคัมภีร์นี้บอกอย่าหยุดขอ ให้ขออย่างต่อเนื่อง จ้องไปเลยตลอดเวลา จ้องไปเลยอยากจะรวย ขอให้กิจการเจริญเติบโตรุ่งเรืองๆ ร่ำรวยๆ อย่าหยุดๆ แล้วได้ไหมล่ะ ป่านนี้ โบสถ์คริสเตียนทุกโบสถ์วันอาทิตย์ รอคิวเข้า ยิ่งกว่าร้านอาหารดังๆ อีก มีไหมโบสถ์ทุกโบสถ์ยืนรอคิวเข้าไหม? หรือต้องออกไปประกาศ ให้คนมาโบสถ์

            ถ้ามันได้อย่างนั้นจริง คนแห่กันมาหมดแล้ว มันถูกหลอกมากกว่า ต้องพูดเยอะหน่อย ไม่งั้นเสียหาย มันถูกหลอก  ขนาดคนที่ไม่เชื่อ เขามองเข้ามาเขายังบอกพวกนี้เพี้ยนไปแล้ว เขาก็พูดของเขาง่ายๆ …

            “ถ้ามันได้อย่างที่พวกนายกำลังทำอยู่นี้ ก็ไม่ต้องมีโรงเรียน ไม่ต้องมีการทำมาหากินแล้ว วันๆ หนึ่ง ก็นั่งขอๆ รวยกันหมดทุกคนแหละ วันหนึ่งๆ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็ขอๆ เคาะๆ ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว แข็งแรงกันหมดทุกคน”

            มันไม่ใช่ แต่มันเป็นความคิด เป็นเนื้อหนังของมนุษย์ทั่วๆ ไปที่อยากจะได้สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมดา  แล้วมันได้ไหม? มันไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่ามนุษย์ตกอยู่ในความบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ร่างกายมันเสียหายไปแล้ว โลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว ต้องได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จากกฎระเบียบของโลกใบนี้ ที่ล้มลงไปในความบาป เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่จะต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ร่างกายต้องเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา อะไรประมาณนั้น นี่แหละ ต่อไปข้อ 9-11 …

        มัทธิว 7:9-11 “9 ใครบ้างในพวกท่าน ถ้าบุตรขอขนมปัง จะให้ก้อนหิน 10 หรือถ้าบุตรขอปลา จะให้งูแก่เขา 11 ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะประทานสิ่งดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด”

            ฉะนั้น ถ้าคริสเตียนคนใดที่จะเอาข้อ 7-8 ไปใช้ ก็อยากให้ท่านแถมข้อ 11 ไปด้วย ถ้าท่านคิดว่าขอแล้วจะได้ หาแล้วจะพบ เคาะแล้วจะเปิดให้กับท่าน เป็นคริสเตียน ขออะไร? อยากได้อะไร? ก็ได้ ท่านต้องบวกอย่างนี้ ไปด้วย คือข้อ 11 ท่านเป็นคนชั่ว ท่านจะรู้เองว่าท่านจะเชื่อข้อ 7 ข้อ 8 ไหม? เป็นของท่าน ถ้าท่านเชื่อว่าข้อ 7 ข้อ 8 เป็นของท่าน ข้อ 11 ก็ต้องเป็นของท่านด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ ตอนนี้พระเยซูกำลังพูดถึงว่าท่านวางใจในเรา ท่านจะได้บังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ท่านจะเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาได้ เป็นลูกพระเจ้าท่านจะได้วางใจในพระเจ้าได้ ทั้งหมดเลย เพราะพระเจ้าทรงรักท่านมาก ตรงนี้แค่นี้เอง ท่านจะได้เป็นบุตรของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ซึ่งเป็นพ่อของท่าน เพียงแค่ท่านวางใจในเราเท่านั้นเอง ท่านก็สามารถมีพ่อที่เป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ซึ่งได้เปรียบเทียบกับชีวิตของมนุษย์ว่าท่านเองเป็นพ่อเป็นแม่เขา ท่านรู้ดีว่าท่านรักลูกขนาดไหน? ขนาดท่านไม่รู้จักพระเจ้ายังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ วิญญาณท่านเป็นคนบาปอยู่ ท่านยังรู้จักรักลูก ยังให้ของที่ดีๆ กับลูกเลย แล้วพ่อที่อยู่ในสวรรค์ ที่ตอนนี้ท่านเป็นลูกของพระองค์แล้ว ในอนาคตถ้าท่านวางใจในเรา ท่านวางใจในพระเจ้าได้เลย พระองค์ทรงดีเลิศ จะพาท่านไปสู่ชีวิตที่ดีงามมากมาย

            พระองค์กำลังพูดให้พวกเขามีความรู้ถึงสิ่งที่เขาได้รับในการวางใจในพระบิดา คือวางใจในพระเยซูคริสต์ก่อน เขาจะได้ชีวิตที่ประเสริฐมาก ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้ารักมากๆ วางใจในพระเจ้าได้  ข้อ 12 …

        มัทธิว 7:12 “ฉะนั้น ในทุกสิ่งจงทำต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านอยากให้เขาทำต่อท่าน เพราะนี่ สรุปสาระของหนังสือบทบัญญัติ และหนังสือผู้เผยพระวจนะ”

            “สาระของหนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะนี้” คือเรียนรู้มาตั้งแต่บทที่ 6 แล้ว ก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นคนบาป เป็นคนป่วย และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็คือหนังสือบทบัญญัติเหล่านี้ พระองค์มีไว้ เพื่อบอกว่ามนุษย์นั้นอ่อนแอ มนุษย์นั้นเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จำได้ใช่ไหม? บทบัญญัติมีไว้ เพื่อเป็นกระจกส่องว่าท่านสกปรก ท่านเป็นคนบาป แค่นั้นเอง

            เพราะฉะนั้น ท่านต้องการการช่วยเหลือจากใคร? ใครก็ช่วยท่านไม่ได้ ก็คือท่านต้องการรับการช่วยเหลือ จากพระเจ้า ท่านป่วยอยู่ นี่บทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะ ได้พูดถึง หมายถึงตรงนี้ สาระสำคัญของสิ่งนี้ ก็คือท่านต้องการความช่วยเหลือ ท่านช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านป่วยอยู่ ในชีวิต ท่านต้องการอะไรจากพระเจ้า? ท่านต้องการความรัก ความเมตตา การอภัย ความช่วยเหลือ จากพระเจ้าเท่านั้น ท่านถึงจะรอดได้ แล้วท่านต้องการจริงๆ แล้วพระเจ้า ก็อยากให้ท่านจริงๆ

            ฉะนั้น ท่าทีของท่าน ก็คือท่านก็ต้องทำอย่างนี้กับคนอื่นเหมือนกัน ใครก็ตามที่รู้ตัวเองว่าตัวเองด้อย ตัวเองป่วย ตัวเองต้องการการช่วยเหลือ จากพระเจ้า ก็จะแสวงความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็จะมีความรู้สึกเดียวกันนี้กับคนอื่นๆ เขาก็จะไม่ชี้ ไม่ว่าทับถมคนอื่น ไม่กล่าวหา ไม่ตัดสินคนอื่นว่าเลวกว่า แต่เขาจะให้ความรัก ความเมตตา การอภัย และให้ความช่วยเหลือกับคนอื่นๆ เหมือนกัน เพราะว่าในใจ เขาก็ต้องการจากพระเจ้าเหมือนกัน  ท่านพอเข้าใจใช่ไหม? เขาก็จะรู้จิตใจของคนอื่นว่าคนอื่นก็ต้องการเช่นเดียวกันกับเขานั่นแหละ

            พระเยซูกำลังบอกว่าฉะนั้น จงให้คนอื่น เหมือนกับที่ตัวท่านอยากได้ ท่านอยากได้อะไร ท่านก็ให้คนอื่นอย่างนั้น ถ้าเรารู้ตัวว่าเราป่วย เราต้องการหาหมอทางวิญญาณ ต้องการพระเจ้า ต้องการความรักจากพระเจ้า ต้องการการอภัยจากพระเจ้า พอเราต้องการอย่างนี้ปุ๊บ พระเยซูบอกว่าจงทำอย่างนี้ จงนึกถึงมนุษย์คนอื่น เขาก็อยากได้อย่างนี้จากเราเหมือนกัน เราก็จะปฏิบัติต่อเขาแบบนี้ ก็จะให้ความรัก การอภัย การช่วยเหลือเขา แต่ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง  เราไม่สนใจพระเจ้า แล้วเราบอกเรายืนอยู่ด้วยตัวเราเองได้ เราก็จะตัดสินคนอื่นว่าคุณก็ควรจะยืนอยู่ด้วยตนเองได้ เราก็จะไม่ให้ความรัก ไม่ให้การอภัย ไม่ให้การช่วยเหลือกับเขา ให้เขาช่วยตัวเองให้ได้ พอเข้าใจใช่ไหม? พระเยซูกำลังพูดอย่างนี้

            สรุปในวันนี้ ในข้อความเหล่านี้ พระเจ้ากำลังบอกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผ่านทางชุมชนชาวยิว ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าเลยว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์เลือกทางที่จะไปอยู่สวรรค์กับพระองค์ คือจะพึ่งพาตนเอง หรือจะพึ่งพระเยซูคริสต์ หรือวางใจในพระเยซูคริสต์ มีสองทางให้เลือก คือทางของมนุษย์กับทางของพระเจ้า  มันมีแค่นี้เองในโลกใบนี้ ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่บอกจะไปสวรรค์ๆ มีอยู่แค่ 2 ทาง ทางหนึ่ง ก็คือทางที่มนุษย์คิด ก็ว่ากันไป อีกทางหนึ่ง คือทางของพระเจ้า พระเจ้าคิดอย่างไร?

            ทางของมนุษย์ทั่วๆ ไปทั้งหมด ก็คือทำดี สะสมความดีก่อน เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ถูกไหม?

            แต่ทางของพระเจ้า คือได้อยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วจึงสะสมทำดีทีหลัง … แตกต่างกัน

            ความคิดของมนุษย์ คือประพฤติตนเองให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เพื่อจะไปสวรรค์

            ความคิดของพระเจ้า คือทำให้เจ้าบริสุทธิ์ ดีพร้อมอยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วเราจะฝึกฝนเจ้าให้ประพฤติสมกับที่บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วนั้น ก็คือพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ แล้วจะนำพาเรากระทำความดีต่อไป เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ทางไปสวรรค์ของมนุษย์ ก็คือการพึ่งพา การกระทำของตนเอง แต่ทางไปสวรรค์ของพระเจ้า คือพึ่งพาการกระทำของพระมาซิฮาห์ คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ในยอห์น 3:16 ที่เรารู้จักกันดี บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียว คือพระมาซีฮาห์ ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระเมสิยาห์นั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์” (ได้บังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าเลย ทันทีที่วางใจนั้น)”

            “เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” เงื่อนไขมีอันเดียว คือวางใจ วางใจตลอด วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าเจิมตั้งเอาไว้  ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่

            พระเยซูคริสต์ได้พูดตรงนี้อยู่เรื่อยๆ ประกาศ 3 ปีนี้จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายเลยนะ แม้กระทั่งพูดกับสาวกใกล้ชิด รวมทั้งยูดาสที่จะทรยศ พระองค์ด้วย คือตั้งใจให้เขากลับใจใหม่ ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่ หันมาวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เพราะยูดาสไม่ได้พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เขาพึ่งพาในความคิดของเขาเอง ความสามารถของเขาเอง เขาเรียกว่านักรบกู้ชาติ อิสราเอลไปสู้รบกับโรม เขาคิดว่าพระเยซูจะมาเป็นหัวหน้าของเขาอะไรต่างๆ เหล่านั้น เขาพึ่งพาในตนเอง เขาไม่ได้พึ่งพาในพระเยซู พระมาซีฮาห์จริงๆ  เพราะพระมาซีฮาห์มาเพื่อช่วย เกี่ยวกับทางโลกวิญญาณเท่านั้น

            ดังนั้น จงกลับใจเสียใหม่ หันมาวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่แล้ว หลังจากนั้น พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน แล้วก็เข้ามาสอน มานำพาให้ท่านกระทำความดี ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้สมกับใจอยากเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนอยากจะทำดีอยู่แล้ว แต่มันทำไม่ได้ แต่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย แล้วก็เปลี่ยนหัวใจให้ท่านใหม่ เปลี่ยนวิญญาณท่านใหม่  แล้วเข้ามาสถิตอยู่ด้วย พาท่าน ให้กำลังกับท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามทางความดีของพระองค์ เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ต้องร้องบทเพลงนี้ วางใจพระเจ้าและทำความดี อะไรมาก่อน วางใจพระเจ้าก่อน แล้วก็ทำความดีทีหลัง ถ้าเราทำดีก่อน เพื่อที่จะไปสวรรค์ เราก็จะไม่เห็นพระเจ้าเลย เราก็จะเห็นแต่ตัวเราเอง  เห็นแต่การกระทำของตนเอง แล้วก็กระทำไม่ได้ด้วย ในที่สุด เราก็ต้องล้มลง แต่ถ้าเราวางใจในพระเจ้า เราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วพระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ชีวิตเราเปลี่ยนไป วิญญาณเปลี่ยนไป ธรรมชาติในวิญญาณของเราสะอาดดีพร้อม พระเจ้าก็จะนำเราทำดีให้สมกับเป็นบุตรของพระองค์ที่บริสุทธิ๋ ดีพร้อมแล้วนั้น เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ  มิใช่ตามที่ตามองเห็น”

            ในขณะที่เราจำเป็นต้องทนทุกข์ยากลำบาก  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่งนั้น พระเจ้าต้องการให้เราพักหายเหนื่อยและเป็นสุขในพระเยซูคริสต์  พระองค์จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้กับเราเอง  ด้วยฤทธิ์อำนาจและความรักของพระองค์  ที่มีต่อเราลูกของพระองค์  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราก็ตามพระองค์ทรงอยู่ภายในเรา  ทรงนำและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่

            ดังนั้น  ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วง  ไม่ต้องกระวนกระวาย ไม่ต้องกลัว  พระเจ้าสามารถนำพาเราผ่านได้แน่นอน

            ให้ไว้ใจและเชื่อในถ้อยคำสัญญาของพระองค์ และดำเนินชีวิตจากภายในใจใหม่ที่พระองค์ทรงประทานให้แล้ว  ที่เต็มไปด้วยความเชื่อนี้ ด้วยการ …

            1 เธสะโลนิกา 5:16-18 … “16 มีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 หมั่นอธิษฐาน  ติดต่อสื่อสารพูดคุยอย่างใกล้ชิด  พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักเรามากอยู่เสมอ 18 ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี  ไม่ว่าสถานการณ์ (ที่มองเห็นจับต้องได้  ที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกได้) จะเป็นเช่นไร (จะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็ตาม) ก็ขอบคุณพระเจ้า  เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า  สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ (ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์) อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในบ้านของพระองค์  คือสวรรค์แล้วขณะนี้”

            เพราะผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น

            2 โครินธ์ 5:7 …  “เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ  มิใช่ตามที่ตามองเห็น”

            พระเจ้าอวยพรครับ