คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2022
เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 6
“คำเทศนาบนภูเขา” EP.5
“ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ “คำเทศนาบนภูเขา” Ep.5 เป็นคำเทศนาครั้งที่ 6 ซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” เราผ่านมาแล้ว 5 ตอน …
ตอนที่ 1 จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
ตอนที่ 2 คำเทศนาบนภูเขา Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู
ตอนที่ 3 คำเทศนาบนภูเขา Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ
ตอนที่ 4 คำเทศนาบนภูเขา Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์
ตอนที่ 5 คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่
วิญญาณข้างใน
ตอนที่ 6 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่าน
ในสวรรค์
ในบริบทของคำเทศนาบนภูเขา ที่เราเรียนกันมา วันนี้ตอนที่ 6 แล้ว พระเยซูกำลังบอกกับชาวยิว เป็นชนชาติแรกก่อนมนุษย์คนอื่นๆ บอกว่าสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ ใครจะเข้าสวรรค์ได้ ต้องมาเชื่อและวางใจในพระองค์ ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ส่งพระองค์มา เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น จากอำนาจของความบาป ตามพระสัญญาที่ให้ไว้ตั้งนานมาแล้ว พระองค์คือพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด เพราะฉะนั้น ให้วางใจในพระองค์ แล้วจะได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย เพราะฉะนั้น จงหันหลังให้กับทางเก่า จงกลับใจใหม่เสียเถิดชาวยิวและเล็งถึงมนุษย์ทั้งหลาย
ทางเก่า คือการพึ่งพาบทบัญญัติ พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ตามกฎหมายศีลธรรมต่างๆ ซึ่งตัวเองคิดว่ามันดีแล้ว ซึ่งถ้าพลาดกฎเหล่านั้น แค่เพียงนิดเดียว ก็ไปไม่รอด หมดสิทธิ์เข้าสวรรค์เลย พระองค์กำลังมาเตือนอย่างนั้น พระเยซูเตือนด้วยความรัก ความห่วงใย เพราะพระองค์เป็นความรัก พระเจ้าทรงเป็นความรัก
พระเยซูมาเตือนด้วยความรัก ความห่วงใยว่าจงยกเลิกความพยายาม ที่เป็นไปไม่ได้นั้นเถิด แล้วหันมาพึ่งในการกระทำของพระเจ้า ผ่านทางพระบุตรดีกว่า เพราะว่าเมื่อได้บังเกิดใหม่ ในพระบุตรแล้ว พระองค์ก็จะสอนเรากระทำดีทีหลังตามมาเอง และสอนเราด้วยพระองค์เองเลย เมื่อเราเกิดใหม่ และพระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่กับเราเลย แล้วจะมาสอนเราทำดีเอง เอเมน
ทางของมนุษย์ คือสะสมความดีก่อน เพื่อจะได้ไปสวรรค์ แต่ทางของพระเจ้า คืออยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วค่อย มาสะสมความดีทีหลัง ค่อยๆ คิดตาม ความคิดมนุษย์ คือประพฤติตนเองให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อจะไปสวรรค์ ความคิดของพระเจ้า คือทำให้เจ้าบริสุทธิ์ ดีพร้อม อยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วเราฝึกฝนเจ้าให้ประพฤติตน สมกับที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วนั่นแหละ จะเอาอย่างไหนดี ทางไปสวรรค์ของมนุษย์ คือพึ่งพาการกระทำของตนเองนั่นเอง แต่ทางไปสวรรค์ของพระเจ้า คือพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนเท่านั้น ซึ่งครั้งที่แล้ว เราได้ยกโรม 3:9-20 แต่วันนี้จะอ่านเฉพาะข้อ 9 กับข้อ 20 เท่านั้น …
โรม 3:9, 20 “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ! ไม่เลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาป เหมือนกันหมด
20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”
ก็คือในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรม โดยการรักษาการกระทำดี ทำตามศีลธรรมอันดีงามได้เลย
เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือช่วยตัวเองไม่ได้หรอก แก้ไขตัวเองด้วยความประพฤติของตนเองไม่ได้หรอก ต้องมาเชื่อพระองค์ แล้วมาตาย แล้วเกิดใหม่ เมื่อช่วยไม่ได้ ต้องทำอย่างไร? ต้องไปตาย แล้วเกิดใหม่ นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเยซูกำลังเตือนมนุษย์ ในหนังสือทิตัส 2:11-12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามกิเลส โลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ตามพระวิญญาณ) ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า)”
ตรงนี้หมายถึงอะไร? พระคุณพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์กำลังประกาศ เป็นพระคุณของพระเจ้า ทำให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ พ้นจากเชื้อบาป
ข้อ 12 บอกว่าพระคุณนี้ คือพระคุณของพระเจ้าที่ให้เราบังเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พระคุณนี้ จะสอนเรา ที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามกิเลส โลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติ สัมปชัญญะ ตามพระวิญญาณ ตามทางของพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกที่ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้วนั้น นี่บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนว่าพระเจ้าให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อม โดยพระองค์ทรงกระทำให้เราเลย เสร็จแล้ว ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา แล้วก็มาสอนเราให้ประพฤติดีตามกฎหมายศีลธรรมที่ดีงามต่างๆ เหล่านั้น ทีหลัง เอเมนไหม?
จริงๆ เอาซีรี่ย์นี้ แล้วใช้เพลงจบซีรี่ย์ว่า “จงวางใจในพระเจ้า และกระทำความดี” อะไรมาก่อน “วางใจพระเจ้า และทำความดี” ไม่ใช่ร้องอย่างนี้ใช่ไหม? “ทำความดีก่อน แล้วไปสวรรค์” ไม่ใช่ วางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วเข้าไปสู่สวรรค์ บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เมื่ออยู่ในสวรรค์แล้ว พ่อของเรา คือพระเจ้า ก็จะสอนเราเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่เป็นทารก อุแว้ ที่อยู่ในบ้านของพระเจ้า แล้วพระองค์ก็ดูแลเรา นำพาเรา ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า เอเมนไหม? ใช่ไหม? ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับกฎหมาย ศีลธรรม ดีงาม พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องนี้หรือ? ไม่ได้สอนจริงๆ เพราะคนก็รู้อยู่แล้ว มันเขียนอยู่ในใจของเราอยู่แล้ว
วันนี้มาต่อกันที่มัทธิว 5:27-48 ครั้งที่แล้วเรา จบกันที่ข้อ 26 วันนี้เราจะต่อข้อ 27 แต่ก่อนที่จะต่อ ต้องเริ่มอ่านอะไรก่อน ครั้งที่แล้วบอกแล้ว บริบทนี้ ต้องอ่านหัวใจก่อน ก็คือข้อ 48 ข้อสุดท้ายเสียก่อน …
มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงบริสุทธิ์ ดีพร้อม”
นี่คือชื่อเรื่องของ EP ในวันนี้ด้วย เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์ที่เราศึกษากันต่อในวันนี้ ทั้งหมด พระเยซูกำลังประกาศว่าเป้าหมายของพระองค์ คือมนุษย์ทำไม่ได้หรอก เลิกล้มความตั้งใจ ที่จะแสวงหาความชอบธรรม โดยการกระทำของตนเองเถิด ท่านต้องเกิดใหม่เท่านั้น เพื่อจะได้เป็นผู้ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ความชอบธรรมของท่าน ต้องเท่ากับพระเจ้าเท่านั้น จึงสามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้
นี่คือเบื้องหลัง ก่อนที่เราจะอ่าน ให้รู้แบล็คกราว์น เบื้องหลังคำพูดอุปมา การยกตัวอย่างของพระเยซูที่จะอ่านต่อไปนี้ เป้าหมาย คือพุ่งไปตรงนี้ ไม่ได้มาสอนให้เราคริสเตียน หรือไม่คริสเตียนทำตาม ฟังให้ดีๆ อีกทีหนึ่ง อ่านไป จะได้รู้ว่าพระองค์ ไม่ได้ตั้งใจมาสอน ให้เราทำตาม แต่มาบอกว่าเราทำไม่ได้หรอก มาพึ่งพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะสอนเรากระทำตามกฎบัญญัติ อันใหม่เอง ด้วยตัวของพระองค์เอง กฎศีลธรรมอันดีงาม บทบัญญัติ ที่พระเจ้าต้องการให้ทำ เดี๋ยวจะทำ ใจเย็นๆ ตรงนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก่อนจะอ่าน ผมจึงพยายามปูพื้นเบื้องหลัง ให้ท่านรู้ก่อน เพื่อว่าอ่านแล้วจะได้ไม่งง และจะไม่ได้เข้าใจผิดว่าพระเจ้ากำลังให้เราทำ กำลังจะบอกว่าอย่าทำ แล้วเราไปอ่านว่าให้ทำ มันต่างกันขนาดไหน? มันก็เสียหายใหญ่โต ถูกไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าไม่ต้องทำ อย่าทำ ทำไม่ได้หรอก มาพึ่งในพระองค์ เดี๋ยวพระองค์จะสอนวิธีทำอย่างใหม่ให้ นี่ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน
เราจะมาเริ่มต้น ที่บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับการล่วงประเวณี ข้อ 27-30 …
มัทธิว 5:27-30 “27 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘อย่าล่วงประเวณี’ 28 แต่เราบอกท่านว่าผู้ใดมองดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัด ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจของเขาแล้ว 29 หากตาข้างขวาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาป จงควักทิ้งเสีย ถึงจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไป ก็ยังดีกว่า ทั้งตัวต้องตกนรก 30 และถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย ถึงจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไป ก็ยังดีกว่า ทั้งตัวต้องตกนรก”
Key word อยู่ที่คำต่อไปนี้ “ด้วยใจกำหนัด ในใจของเขาต้องตกนรก” ใจกำหนัดกับในใจของเขา “ในใจของเขา” คือในใจที่บาป มนุษย์ทุกคนบาป ในใจบาป มันก็คิดอยู่ในใจ เป็นความชั่ว พระเยซูกำลัง มายกมาตรฐานของพระเจ้าให้เห็น ไม่ใช่มาตั้งใจสอนเราให้ทำอย่างนี้ ใครไปทำได้ ไม่คิดกำหนัด มาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้ ศีลธรรมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระเยซูบอกยกขึ้นมา มันต้องถึงขนาดนี้ ถ้าอยากจะทำเอง
ยกขึ้นมาขนาดไหน? ขนาดครั้งที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้ ฆ่าคนตาย มีค่าเท่ากับอะไร? ด่าคนว่า “ไอ้โง่” กับ “ฆ่าคนตาย” มีโทษเท่ากัน ถูกไหม?
คิดกำหนัดในใจ มีค่าเท่ากับล่วงประเวณี ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้ ยกโทษให้คนอื่นก่อน ที่จะมาขอการยกโทษ จากพระเจ้า พระเจ้าจะยกโทษให้กับท่าน เมื่อท่านยกโทษให้คนอื่นก่อน ถ้าท่านไม่ยกโทษให้คนอื่น ทำอะไร? ตกนรกไง ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้ เอาเครื่องบูชามาขออภัยจากพระเจ้า วางไว้ก่อน ไปเคลียร์กับมนุษย์ด้วยกันก่อน เคลียร์ไหวไหม? ท่านต้องรักศัตรูถึงขนาดนั้น ตกนรกเหมือนกัน พอมองเห็นไหมครับว่ามาตรฐานของพระเจ้ากับมนุษย์มันต่างกันขนาดไหน?
มนุษย์คิดว่า … “ไม่หรอก ทำขนาดนี้ ตกนรกน้อยหน่อย ไปฆ่าเขาตาย ตกนรกมากหน่อย แค่ว่าเขาไอ้บ้า อิจฉาเขา แค่นี้ ตกนรกนิดเดียว”
สำหรับพระเจ้าแล้ว ตกนรกเท่าๆ กัน ตกนรกเหมือนกัน คิดในใจกับเขาทำข้างนอก ตกนรกเหมือนกัน เพราะมันมาจากที่ตะกี้นี้ Key word มาจากใจที่บาปอยู่ มาจากความคิดที่อยู่ในใจ ความกำหนัดที่อยู่ในใจ ใจที่มันบาปอยู่ ทำให้ตกนรก พระเยซูตอกย้ำยืนยันว่าถ้าท่านยืนยันกระทำตามบทบัญญัติ ท่านสอบไม่ผ่าน ต้องตกนรกแน่ๆ จริงหรือไม่จริง ใครสอบผ่านยกมือขึ้น? ใครอยากจะทำตามบ้าง? เพราะฉะนั้น ไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม พระองค์ไม่ได้มาทำให้เราตกนรก
เพราะฉะนั้น จงยอมรับเถิดว่าตนเองทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างแน่นอน แล้วจงกลับใจใหม่ หันมาทางใหม่ ทางแห่งพระคุณดีกว่า ทางแห่งพระคุณ คือทางที่พระเจ้าให้ความรอดจากบาป รักษาโทษบาป ยกโทษบาปให้เราฟรีๆ ผ่านทางพระบุตรนั้นดีกว่า เอเมนไหม?
พี่น้องลองคิดดู ท่านเคยคิดอะไรไม่ดีไหม? พูดถึงเดี๋ยวนี้เลย ใครไม่เคยคิดอะไรไม่ดีเลย ยกมือขึ้น? เคยคิดชั่วไหม? แล้วถามจริงๆ เถอะ ท่านห้ามความคิดได้ไหม? ห้ามความคิดไม่ได้ หนีเข้าไปอยู่ในป่า ในถ้ำได้ไหม? หนีได้ไปอยู่ที่ห้องส่วนตัวคนเดียว ปิดไฟให้มืดๆ นิ่งๆ เลย อยู่คนเดียว ไม่คิดอะไรเลยได้ไหม? ไม่คิดชั่วแม้แต่นิดเดียวเลยได้ไหม? ตอนที่ท่านนอนหลับ ท่านหยุดคิดได้ไหม? นี่เห็นชัดเลย หยุดคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำตรงนี้ได้เลย
นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็นพิษสงของบาป ที่อยู่ในวิญญาณข้างใน พระองค์กำลังชี้ให้เราเห็นถึงภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ อันใหญ่มหึมา ซึ่งก็คือสภาพในใจ วิญญาณที่ตายอยู่ในบาป ไม่มีพระเจ้า ตายจากความบริสุทธิ์ ดีพร้อมที่เหมือนพระเจ้าไปแล้ว กลายมาเป็นธรรมชาติที่ชั่วร้าย เพราะอยู่ตรงกันข้ามกับคุณลักษณะที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า คือความบริสุทธิ์ดีพร้อมของพระเจ้า ความสว่างหายออกไปจากใจ กลายเป็นความมืดมาตั้งนาน ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเราแล้ว มันเป็นอย่างนั้น เมื่อข้างในมืด ข้างในเต็มด้วยความชั่ว มันจะมีอะไรดีออกมาบ้าง? จะพยายามขนาดไหน? เปลี่ยนวิญญาณตัวเองได้ไหม? เปลี่ยนได้ ก็มีทางเดียว คือมาวางใจในพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์บอกไง เพื่อที่จะมาเป็นที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน คริสเตียนมีใจใหม่ พระเจ้าจึงสัญญาว่าจะให้ใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ของเก่าตายไปเลย
มาต่อข้อ 31-32 คราวนี้ยกตัวอย่างเรื่องการหย่าร้าง คือที่พระเยซูยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา มันคุ้นหูพวกชาวยิวอยู่แล้ว เพราะมันเป็นอยู่ในบัญญัติของชาวยิวที่รักษามาตั้งแต่สมัยโบราณ เขารู้กันอยู่ ทุกวันสะบาโต วันเสาร์ของเขานะ เขาก็จะอ่านข้อความในบัญญัติเหล่านี้ ให้กับประชาชนได้ฟังเท่านั้นเอง ฟังตั้งแต่เด็ก ฟังอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้คุ้นหูเขามาก พอพูดปุ๊บ เขารู้ว่าบทบัญญัติเรื่องหย่าร้างว่าอย่างไร? มัทธิว 5:31-32 …
มัทธิว 5:31-32 “31 มีคำกล่าวไว้ว่า ‘ผู้ใดหย่าภรรยาของตน ต้องเขียนหนังสือหย่าให้นาง’ 32 แต่เราบอกท่านว่าชายใดหย่าขาดจากภรรยาของตน ด้วยเหตุอื่น นอกเหนือจากการผิดศีลธรรมทางเพศ ย่อมเป็นเหตุให้นาง กลายเป็นคนล่วงประเวณี และผู้ใดแต่งงานกับผู้หญิงที่ถูกหย่าร้างเช่นนั้น ก็ล่วงประเวณีด้วย”
“มีคำกล่าวไว้ว่า” ก็คือในบัญญัติ ที่พระเจ้าให้ถือไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ที่ท่านถืออยู่นั่นนะ เขียนไว้อย่างนี้ว่าหย่าร้างได้ แต่ต้องให้หนังสือหย่า กฎเขียนไว้อย่างนั้นใช่ไหม? ใครเป็นคนเขียนกฎเหล่านี้ขึ้นมา กฎเหล่านี้ถูกเพิ่มเติมมาทีหลัง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกที่เป็นสังคมชั้นสูง หน้าซื่อใจคดเขียนขึ้นมา เพิ่มด้วยตัวเอง พระเจ้าบอกหย่าไม่ได้เลย นอกจากผู้หญิงจะไปมีชู้ ถึงหย่าได้ ข้อเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าบอก นอกเหนือจากนั้น หย่าไม่ได้เลย ท่านต้องเลี้ยงเขาจนตาย ท่านต้องรักเขาจนตาย และมีหลายคนด้วย สมัยก่อนนี้ มันไม่เหมือนสมัยปัจจุบัน สมัยก่อนผู้ชายออกรบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น เสียชีวิตมาก ผู้หญิงมีมากกว่า ไม่มีคนดูแล ก็เลยออกกฎหมายเหล่านี้ขึ้นมาว่าให้ผู้ชาย สามารถรับผู้หญิง อุปการะเป็นภรรยา 1, 2, 3, 4 อะไรก็ว่าไป แต่ด้วยความรักและความเมตตา ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง แต่ทำไม่ได้ เพราะข้างในใจมันชั่ว ใจมันสกปรก ใจมันบาป ก็เลยคิดเห็นแก่ตัว
พระเยซูกำลังแทงใจดำ พวกฟาริสีที่กำลังพูดอยู่ ให้เขาฟัง ฟาริสีที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“ฉันทำตามบทบัญญัติ โชว์ออฟเลย ฉันทำหมดเลย ฉันหย่าภรรยาคนนั้น ฉันก็ให้ใบหย่าเขา”
พระเยซูบอกว่าเป็นโมฆะ ไม่ได้เกิดผลเลย สำหรับพระเจ้าแล้ว ผู้หญิงคนนั้น ไปแต่งงานใหม่ ก็ทำให้ผู้ชายและตัวเขาเอง กลายเป็นล่วงประเวณี เพราะว่าใบหย่านั้น มันไม่ใช่ พูดง่ายๆ มันไม่ใช่กฎที่พระเจ้าวางไว้
พระองค์กำลังอธิบายให้ฟาริสีฟังว่า … “พวกคุณมองแต่ภายนอก ทำแต่ภายนอก ทำตามบทบัญญัติที่เขียนขึ้นมาเอง จากใจที่สกปรก ภายในวิญญาณของท่าน ก็คือท่านคิดเบื่อเขาแล้วใช่ไหม? คิดกำหนัดผู้หญิงคนอื่นแล้วใช่ไหม? ต้องการเอาเปรียบเขาใช่ไหม? ต้องการให้เขาไปให้พ้นๆ ใช่ไหม? เพื่อจะได้ไม่ต้องเลี้ยงดูเขาใช่ไหม?”
คือการเอาเปรียบเพศสตรี พระเยซูแทงเข้าไปในใจของฟาริสี ธรรมาจารย์สะดุ้งหมด เพราะมันทำอย่างนี้กันทั้งนั้น แล้วก็อวดตัวว่า …
“ฉันหย่าได้ ฉันเขียนใบหย่าให้ภรรยาคนนี้ไปแล้ว”
เขาเป็นอิสระ ท่านลองนึกภาพ สังคมในตอนนั้นสิ หญิงม่ายจะไปไหน? ไม่มีใครเลี้ยงดูเขา อย่างนี้เป็นต้น เพราะความชั่วในใจของพวกฟาริสีที่รักษาบทบัญญัติ ภายนอกดูดี แต่ภายในเป็นเหมือนหลุมศพ พระเยซูบอก แต่จำไว้นะ ที่ตะกี้นี้ผมบอก พระเยซูกำลังชี้ บอก เตือนด้วยความรัก พอเราอ่านๆ ไป เผลอๆ คิดว่าพระเยซูเกลียดพวกนี้ ไม่ได้เกลียดเลย รักมากด้วย พูดกันตามตรงเป็นห่วงมากกว่าคนที่ถ่อมใจ ตั้งแต่บทที่ 5 ข้อ 1-16 ที่คนถ่อมใจ ที่จะเข้าสวรรค์ รักพวกเขา ห่วงใยพวกเขาเหมือนกัน แต่ห่วงใยพวกนี้มากกว่า เพราะพวกนี้ เย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมใจ โอกาสเข้าสวรรค์มีน้อย ห่วงเขามาก ต้องมีความเข้าใจตรงนี้ เป็นพื้นฐานในการอ่านด้วย ไม่อย่างนั้น อ่านๆ ไป เราจะโกรธพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่จับพระเยซูตรึงที่ไม้กางเขน ตอนที่เขาจับพระเยซูไปตรึง พระองค์บอกว่า …
“พระบิดาขอทรงอภัยให้พวกเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป” นี่แหละ คือท่าทีของพระองค์
มาต่อบัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับการสาบาน ข้อ 33-37 …
มัทธิว 5:33-37 “33 อนึ่ง ท่านได้ยินคำ ซึ่งกล่าวไว้แก่คนในสมัยก่อนว่า ‘อย่าผิดคำสาบาน แต่จงทำตามที่ได้ถวายปฏิญาณแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 34 แต่เราบอกท่านว่าจงอย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะอ้างสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นพระที่นั่งของพระเจ้า 35 หรืออ้างแผ่นดินโลก เพราะโลกเป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ หรืออ้างกรุงเยรูซาเล็ม เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นนครขององค์จอมราชัน 36 และอย่าสาบาน โดยอ้างศีรษะของตน เพราะท่านไม่สามารถทำให้ผมกลายเป็นสีขาวหรือดำได้ แม้แต่เพียงเส้นเดียว 37 ใช่ก็จงว่า ‘ใช่’ ไม่ก็จงว่า ‘ไม่’ พูดเกินนี้ไป ก็มาจากมาร”
บทบัญญัติ ก็คืออย่างที่บอก เขียนไว้ในหนังสือให้กับชาวยิว คือสาบานได้ แต่ต้องทำตามสาบาน
สาบาน หมายถึงบนบาน ศาลกล่าว คุ้นไหม? เราไม่ได้ทำจริงๆ ไม่เชื่อใช่ไหม? เดี๋ยวพากันไปวิหารของพระเจ้า
“สาบานต่อหน้าวิหารของพระเจ้าเลย สาบานต่อหน้าเยรูซาเล็มเลย”
พระเจ้าให้สาบาน ถูกไหม? แต่ต้องแก้คำสาบาน บนเอาไว้ก็ว่าไปตามในหนังสือเลวีนิติเขียนไว้ แต่พระเยซูบอกว่าไม่ใช่หรอก ที่พระเจ้าให้สาบาน ก็เพราะว่าในใจของท่านเป็นความโกหก พ่อของท่านที่อยู่ในใจของท่าน ไม่ใช่พระเจ้า พระบิดา เป็นพ่อแห่งการโกหก หมายถึงมาร ในใจของท่านเป็นความชั่ว ไม่ใช่หมายถึงมารอยู่ในตัวเขานะ หมายถึงลักษณะที่ถ่ายทอดพันธุกรรมออกมา มันเป็นลักษณะของมาร ก็คือต่อต้านพระเจ้า ก็คือบาปนั่นเอง ข้างในใจของท่านเป็นบาป เป็นบาป ก็คือความโกหกหลอกลวง ไม่มั่นใจกันและกัน เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงให้ท่านสาบาน แต่จริงๆ แล้ว ตามมาตรฐานพระเจ้าที่พระเยซูยกขึ้นมา ท่านต้องไม่สาบานเลย เพราะว่าถ้าใจท่านบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ใช่ ท่านก็จะบอกว่าใช่ ไม่ใช่ ท่านก็จะบอกว่าไม่ใช่ ท่านจะไม่ไปบอกว่าสาบานได้เลย ท่านลองคิดดู เราย้อนกลับมา ดูตัวเองนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้อพระคัมภีร์นี้ พระเยซูให้เราทำตรงนี้หรือไม่ทำ? ไม่ใช่
กำลังยกตัวอย่างว่าถ้าใจไม่บริสุทธิ์ ใจเต็มไปด้วยความโกหก หลอกลวง เราก็ไม่มั่นใจในตัวเองว่าเขาจะเชื่อเราหรือไม่? เพราะเราก็ปลิ้นปล้อนอยู่ข้างในใจ ไม่ใช่ปลิ้นปล้อนอยู่ข้างนอกนะ ข้างในใจรู้ เราก็ต้องอ้างอันโน้นอ้างอันนี้มาสาบาน ถูกไหม?
“โอ้! ให้ฟ้าผ่าตายเลยเนี้ย สาบานต่อหน้าฟ้าดินเลย”
ถูกไหม? นี่แบบไทยๆ ลองนึกถึงภาพ แล้วท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ถามจริงๆ ท่านเคยสาบานไหมตอนนี้ ท่านไม่เคยอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ แต่ท่านยังสาบานอยู่ไหม? ลองไปคิดดูสิ ท่านจะสาบานต่อหน้าใครล่ะ เป็นคริสเตียนแล้ว
“เราพูดจริงๆ นะ สาบานเลย สาบานต่อหน้า …”
ไม่มี พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เราบริสุทธิ์ สะอาด เราดีพร้อม เอเมนไหม?
ต่อไปบัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับตาต่อตา ฟันต่อฟัน ข้อ 38-42 …
มัทธิว 5:38-42 “38 ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวไว้ว่า ‘ตาแทนตาและฟันแทนฟัน’ 39 แต่เราบอกท่านว่าอย่าต่อสู้กับคนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย 40 และถ้าใครต้องการฟ้องร้องเอาเสื้อของท่าน จงให้เสื้อคลุมของท่านแก่เขาด้วย 41 ถ้ามีผู้บังคับให้ท่านไปหนึ่งกิโลเมตร ก็จงไปกับเขาสองกิโลเมตร 42 จงให้แก่ผู้ที่ขอท่าน และอย่าเมินหนี ผู้ที่ต้องการจะขอยืมจากท่าน”
ในบริบทตรงนี้ พระเยซูกำลังพยายามมาชี้ให้เห็นถึงเรื่องเกี่ยวกับการยอมให้คนอื่นเขาเอาเปรียบ เอาประโยชน์จากชีวิตของเรา ไม่ได้มาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการยกโทษ การอภัย เพราะยกโทษการอภัย อยู่ตอนต้นที่เราได้อ่านมาแล้ว ตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเอาเปรียบ ไม่ใช่ตบข้างขวาให้ข้างซ้ายตบสิ แสดงว่าอภัยให้เขา ไม่ใช่ ทั้งหมดนี้ พูดถึงการให้เขาเอาเปรียบ
ที่เล็งไปถึงชาวยิว พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่ถูกกล่าวถึงในนี้ คือทำท่าข้างนอกมีใจเมตตา และมีบางคนมองเห็นข้างนอก มีเมตตาจริงๆ บ้าง แต่พระเยซูกำลังยกให้เขาเห็นว่าที่เขามีเมตตา ช่วยคนจน ช่วยอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันจิ๊บจ๊อยมากเลย ที่ท่านภูมิใจหนักหนา ท่านยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ มีเมตตาต่อผู้คน โดยการกระทำของท่าน ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พระองค์กำลังยกมาตรฐานของพระเจ้าขึ้นสูงสุดเลยว่าในใจท่านมันบาปอยู่ ไม่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เพราะว่าในใจ มาจากความเห็นแก่ตัว ไม่สามารถให้คนอื่นเอาเปรียบ เอาผลประโยชน์ จากตัวเราเองได้มากหรอก ที่ท่านทำได้ เพราะว่ามันเอาเปรียบเราไม่มากพอ พอเข้าใจใช่ไหมครับ?
ก็คือตบแก้มขวา ท่านอาจจะยอมเขาในการตบแก้มซ้ายเบาๆ ครั้งหนึ่ง แต่เขาตบแก้มซ้ายเสร็จ เขามาตบแก้มขวาอีก ท่านทำไม่ได้หรอก ท่านไม่สามารถรักแบบบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้หรอก ท่านไม่สามารถให้คนอื่น เขาเอาเปรียบท่าน แบบพระเจ้าได้หรอก ท่านไม่สามารถที่จะบอกว่าพระเจ้าอภัยให้กับเขาเถิด ยอมเขาทุกอย่าง ท่านทำไม่ได้หรอก เพราะในใจของท่านไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อมเหมือนพระเจ้านั่นเอง
บัญญัติต่อไปข้อ 43-47 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักศัตรู …
มัทธิว 5:43-47 “43 ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวไว้ว่าจงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู 44 แต่เราบอกท่านว่าจงรักศัตรูของท่าน และอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน 45 เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาของท่านในสวรรค์ พระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นแก่ทั้งคนชั่วและคนดี และทรงให้ฝนตก แก่ทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรม 46 ถ้าท่านรักแต่ผู้ที่รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จอะไร แม้แต่คนเก็บภาษี ก็ทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ 47 ถ้าท่านทักทาย เฉพาะพวกพี่น้องของตน ท่านทำอะไรมากกว่าคนอื่นเล่า ถึงคนต่างชาติ (ไม่ใช่ยิว) ก็ทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ”
สรุป ก็คือหัวใจที่ชี้ให้เห็น อยู่ที่จิตใจที่มันเป็นบาป มันชั่วอยู่ ไม่ดีพร้อม ไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า นั่นเอง เมื่อใจบาป ไม่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ เมื่อไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ มันก็มีแต่ตรงกันข้าม รักไม่จริง เพราะข้างในไม่มีความรัก จะทำอย่างไร มันก็ไม่มีทางเป็นรักแท้ออกมาได้ ไม่มีความรักจริง มีแต่สิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือความเกลียดชัง การขโมย การฆ่า การทำลาย การอิจฉาริษยา ซึ่งบางคนทำภายนอก อาจจะพอมองเห็นบ้างนิดหน่อย อาจจะพยายามทำได้บ้าง แต่อย่าทะนงตนว่าทำได้จริงๆ เพราะข้างในจริงๆ มันทำไม่ได้ มาตรฐานของพระเจ้า จะไปอยู่กับพระเจ้า มันต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม จากข้างในเลย ถ้าไม่ดีพร้อม สมบูรณ์ครบถ้วน ตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านก็ไม่มีทางทำในสิ่งที่พระเยซูบอกได้เลย เมื่อท่านไม่สามารถทำตามมาตรฐานที่พระเยซูบอก เป็นมาตรฐานที่จะเข้าสวรรค์ ท่านไม่สามารถทำได้ พระองค์กำลังชี้ว่าท่านไม่สามารถทำได้ ท่านอาจจะมีเมตตาต่อมนุษย์คนนั้นคนนี้ อาจจะรักศัตรู โธ่ คนไม่เชื่อพระเจ้าเขาก็รักศัตรูเหมือนกัน แล้วท่านดีอะไรกว่าเขาล่ะ เห็นอะไรบางอย่างไหม? คนที่ไม่ใช่ยิว คือคนต่างชาติ เขายังทำได้เลย ทำมากกว่าเราด้วยซ้ำ พอนึกภาพออกไหม?
พระเยซูกำลังบอกว่ามนุษย์บางคนในสมัยนั้น ทำได้ดีกว่าพวกท่านอีก ที่เป็นชาวยิวที่บอกว่าบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วนั้น พระองค์กำลังมาบอกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ยิว บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าล้วนแต่เป็นคนบาป ไม่มีใครดีพร้อมสักคนหนึ่งเลย พระเยซูกำลังมาเปิดโปงความจริงในใจในโลกวิญญาณ ด้วยความรัก ความห่วงใย ต้องการให้ฟาริสี ธรรมาจารย์ ที่เย่อหยิ่งจองหอง ที่ต่อต้านกล่าวหาพระองค์ ให้ยอมรับและกลับใจใหม่เสียเถิด พระองค์กำลังชี้ความจริง อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เหมือนภูเขาน้ำแข็ง มหึมาใต้น้ำ ที่พวกเขาไม่เห็นนั่นแหละว่าภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ มันคือตัวที่ทำให้เรือชีวิตอับปางได้ ไม่ใช่ยอดภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ ที่เราเห็นๆ อยู่ ซึ่งอาจจะเคลียร์ได้ มากน้อยก็เคลียร์ได้ แต่ข้างล่างมันทำไม่ได้หรอก เคลียร์มันไม่ได้มันใหญ่มาก ฟาริสี ธรรมาจารย์ ซึ่งพระเยซูพูดกับพวกเขาด้วยความรัก จึงบอกว่าพวกหน้าซื่อใจคด พระเยซูบอกด้วยความรัก
สมัยก่อนนี้ เราเข้าใจว่าพระเยซูดุมาก ไม่ได้ดุ พูดจริงๆ คำว่าหน้าซื่อใจคด แปลว่าอะไร? พูดความจริงให้เขาเห็น ก็คือคุณทำข้างนอก แต่ในใจ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะในใจคุณเป็นคนบาป ทำดีข้างนอก แต่ข้างในเป็นบาป มันแย้งกัน นี่คือคำว่าหน้าซื่อใจคด คุณทำข้างนอกดูดี แต่ข้างในเป็นหลุมฝังศพ นี่คือพูดความจริง ไม่ได้ตั้งใจจะไปกล่าวหา หรือดุด่าว่ากล่าว
พวกหน้าซื่อใจคด ก็คือข้างนอก บนน้ำ ถือกฎบัญญัติทางศาสนา ทางศีลธรรม ก็คือถือรักษาบทบัญญัติทางศาสนา แต่เปลือกนอก ประพฤติต่อหน้ามนุษย์ คือยอดภูเขาน้ำแข็ง เหนือน้ำ ซึ่งมนุษย์ทั่วๆ ไปมองเห็นได้ แล้วก็อวดตัวว่าเคร่งครัด รักษาบัญญัติ รักษาวันสะบาโต ใครๆ ก็เห็น
“ฉันทำอย่างนี้”
แต่ใต้น้ำ เป็นบาปที่อยู่ในใจ ก็คือในใจของคุณที่โผล่ออกมา เป็นการกล่าวหาผู้อื่น ชี้ผู้อื่น ที่เขาทำดีในวันสะบาโต ไปรักษาคนป่วย รักษาโรคให้กับมนุษย์ ช่วยเหลือสัตว์ มีเมตตาในวันสะบาโต ท่านไปกล่าวหาเขา ว่าเขาพอมองภาพออกไหม? พระเยซูจึงบอกพวกนี้ พวกหน้าซื่อ ใจคด ด้วยความรักนะ จี้ฟาริสี ธรรมาจารย์ชัดๆ เลย ฟาริสี ธรรมาจารย์ อวดตัวว่าเป็นผู้ชอบธรรมมากกว่าคนอื่นเขา เพราะถวายสิบลดไม่เคยขาดเลย ใช่ไหม?
“ฉันถวายสิบลด ไม่เคยขาด เห็นไหมเนี้ย ฉันรักษากฎบัญญัติเคร่งครัด ตั้งแต่หนุ่มมาแล้ว จนเดี๋ยวนี้แก่แล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ไม่เหมือนพวกนาย”
แต่พระเยซู จี้ใจดำเขา แต่พวกท่านร่วมกับพ่อค้า หากำไรจากการขายสินค้าที่ลานพระวิหาร เวลามีเทศกาลวันอะไรที่พิเศษ พูดง่ายๆ เป็นภาษาไทย ก็คือวัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง พวกท่านดูแลวัด เขาก็มาเซ่นท่าน และท่านก็เอาผลประโยชน์เหล่านั้น นั่นแหละ แล้วท่านก็เอาไปถวายสิบลด พอมองเห็นอะไรไหม?
ท่านอวดตัวว่าท่านบริสุทธิ์ ไม่ล่วงประเวณี ไม่เที่ยวโสเภณี แต่ในใจท่าน มีกำหนัด พอมองเห็นอะไรไหม? อวดตัวเองว่าไม่เคยเป็นฆาตกร ไม่เคยฆ่าคนตายเลย
“ฉันไม่ได้ฆ่าใครสักคนหนึ่ง”
แต่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉา ริษยา อาฆาต พูดจาดูถูก ดูหมิ่นผู้อื่น โดยการเอาตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม ทางเคร่งครัดศาสนา ที่โชว์ให้เขาเห็นนี้ ความสามารถในการรักษาบทบัญญัติได้ ความสามารถที่สามารถบังคับตนเอง รักษากฎทางศาสนาต่างๆ ทางศีลธรรมต่างๆ อันดีงามได้ แสดงให้คนอื่นเขามองเห็น แล้วก็เอาสิ่งเหล่านี้ มาบีบบังคับเขา มาเอาเปรียบคนอื่นเขา ทำให้เขากลัวบารมี ที่ท่านทำให้เขาเห็น แต่ในใจสกปรกอยู่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนที่ท่านไปบีบบังคับเขา มันสกปรกเท่าๆ กัน แต่ท่านสกปรกแบบแอบอยู่ ไม่ยอมรับความจริง และไม่ยอมถ่อมใจว่าตัวเองป่วยอยู่
เหมือนกับคนกลุ่มแรกที่เขายอมรับว่าตัวเองป่วย เขาต้องการหมอ เขาก็จะได้เข้าสวรรค์ก่อน แต่ท่านไม่ต้องการหมอ ท่านยังยืนยัน ยืนหยัดอยู่ในความเย่อหยิ่ง ความทะนงตน ท่านจะไปไม่รอด ท่านอวดตัว ทั้งๆ ที่รู้ในใจว่าตัวเองทำบาป ทำผิด ทำตาม กฎบัญญัติ ในใจท่านรู้ดีว่าท่านเป็นคนบาป ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่เสแสร้งภายนอก เย่อหยิ่งทะนงตน ให้คนอื่นเขาเห็นว่า …
“ฉันเป็นคนชอบธรรม”
ปากแข็งนั่นเอง พระเยซูกำลังมาเตือนเขาด้วยความรัก บางทีเราฟัง ชักจะมัน ไม่ได้เกลียดชัง ฟังๆ ไป พวกฟาริสีลงนรกได้ก็ดี เปล่า พระเยซูไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้น ด้วยความรัก ต้องการช่วยเขา แต่ต้องขุดลึก เจาะลึก เพราะเขาเย่อหยิ่ง ทะนงตนมาก ต้องแรงหน่อย เพื่อจะเจาะเข้าไปในใจเขา พระองค์ทรงรู้ในใจใครคิดอะไรอยู่ ถ่อมใจมาคิดอย่างไร? พระองค์ก็สอนเขาแล้ว พวกนี้เย่อหยิ่งอย่างไร? พระองค์ก็จะสอนอีกอย่างหนึ่ง พระองค์จึงเรียกพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ สะดูสี พวกสังคมชั้นสูงในชาวยิวว่าพวกหน้าซื่อใจคด เป็นคำที่ดีนะ หน้าซื่อใจคด คือทำข้างนอกกับใจไม่ตรงกัน
แล้วก็มาสรุปในข้อสุดท้าย ที่เราได้อ่านก่อน ก็คือข้อ 48 อ่านพร้อมกันเลย …
มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงบริสุทธิ์ ดีพร้อม”
“เพราะฉะนั้น ท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงบริสุทธิ์และดีพร้อม”
สรุปให้เสร็จเลย ท่านทำไม่ได้ๆ สรุปข้อนี้ว่าท่านต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เกิดอะไรขึ้น ฟาริสี ที่บอกว่าทำได้เยอะๆ ลูกกระเดือกติดคอ คนกลุ่มแรกที่ถ่อมใจอยู่ ลูกกระเดือกยิ่งติดใหญ่เลย
“เพราะฟาริสียังทำไม่ได้เลย แล้วฉันจะทำได้ เท่าที่มองเห็น ทุกวันนี้ ท่านเห็นฟาริสี ธรรมาจารย์ทำ รักษากฎ ระเบียบ บริสุทธิ์ สะอาดชัดเจนมากขนาดนั้น ฉันยังทำไม่ได้เลย นี่มาบอกให้ฉันทำมากกว่านั้นอีก มากกว่าฟาริสี ธรรมาจารย์ที่ฉันเห็นๆ”
ยกตัวอย่าง ฟาริสี ธรรมาจารย์ เปาโลในอดีต กฎบัญญัติ รักษาอย่างดี เข้มงวด
คนธรรมดาบอก … “ฉันทำไม่ได้หรอก”
นี่พระเยซูบอก … “ถ้าอยากเข้าสวรรค์ต้องทำได้มากกว่าฟาริสีอีก”
“โอ๊ย! ไม่ได้หรอก”
และมาจบสุดท้าย บอก … “มากกว่าฟาริสี ต้องมากกว่าเท่าไร?”
“ต้องบริสุทธิ์และดีพร้อม”
มากกว่าฟาริสี คือเท่ากับพระเจ้า จบข่าว
เพราะฉะนั้น ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด ตั้งแต่ข้อ 17 มาถึงข้อ 48 พระองค์กำลังบอกว่า …
“ท่านทำไม่ได้หรอก ไม่ต้องพยายามพึ่งพาการกระทำของตนเอง มันเป็นไปไม่ได้หรอก กลับใจเสียใหม่ เพราะท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า จึงต้องบังเกิดใหม่ไงล่ะ”
ท่านต้องบังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเท่านั้น และบังเกิดใหม่ได้อย่างไร? ด้วยการวางใจในเรา ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่ นิโคเดมัส ฟาริสีคนหนึ่ง ไปหาพระเยซู พระเยซูบอกคำแรกเลย เขาถามว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? พระเยซูบอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่ ก็คือท่านต้อง บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระบิดา ผู้อยู่ในสวรรค์ จะดีพร้อมได้ ต้องบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ได้ด้วยวิธีใด เกิดเองได้ไหม? ไม่ได้ เกิดใหม่ ก็ต้องด้วยวิธีการวางใจในเรา ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา เอเมน
ถ้าพระเยซูยังไม่มาวันนี้ เราจะทำอะไรมนุษย์ทั้งหลาย ที่ลำบากอยู่ข้างในใจ ในวิญญาณนั้น เราจะช่วยตัวเองอย่างไร? นี่คือพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติจริงๆ เลย ซึ่งเห็นภาพเลยว่าเราช่วยตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไปไม่ได้เลย จะพยายามเท่าไร ก็เป็นไปไม่ได้ ความคิดเราก็สกปรกแล้ว เราพยายามบังคับตัวเอง ให้อยู่ในศีล ในธรรมต่างๆ อะไรดีงามต่างๆ ยังพอทำได้บ้าง แม้กระทั่งความคิด เราจะไปบังคับได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น หยุดเถอะ แล้วมาพึ่งพาพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูก็จะนำพาเราในการกระทำดีบนโลกใบนี้ทีหลัง
ความจริง คืออย่างนี้ ในโลกวิญญาณ มันเปรียบเหมือนอย่างนี้ เชื้อไวรัสงูสวัด ที่ทำให้เกิดอาการภายนอก เช่น เป็นอีสุกอีใส เป็นผื่นตุ่ม เป็นหนอง แต่การรักษา ต้องรักษาที่ต้นเหตุ คือต้องกำจัดเชื้อไวรัสที่อยู่ภายใน แล้วอาการภายนอก พวกผื่น ตุ่ม หนอง ก็จะค่อยๆ จางหายไป ฉันท์ใด โรม 5:12 บันทึกไว้อย่างนี้ …
โรม 5:12 “ฉันนั้น เช่นเดียวกับที่ (เชื้อ) บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป” (เป็นอาการภายนอก คือความประพฤติที่แสดงออกมาให้เห็น)
มนุษย์รักษาที่อาการที่เห็นได้จากภายนอก คือความประพฤติ เพราะไม่รู้สาเหตุจริงๆ ที่อยู่ภายใน คือเชื้อบาปที่อยู่ในวิญญาณ ซึ่งมันมองไม่เห็น แต่พระเจ้าทรงจัดการที่ต้นเหตุ คือกำจัดเชื้อบาปที่อยู่ในวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น ด้วยการเปลี่ยนวิญญาณให้ใหม่เอี่ยมเลย ขอบคุณพระเจ้า
มวลมนุษย์ มีรหัสพันธุกรรม คือ DNA ทางฝ่ายวิญญาณ มาจากอาดัมบรรพบุรุษ ที่ติดเชื้อบาปอยู่ ดังนั้น อยู่ในครรภ์มารดา ก็เป็นคนบาปแล้ว ติดเชื้อแล้ว พระเจ้ารักษา ด้วยการกำจัดเชื้อบาปในวิญญาณของมวลมนุษย์ โดยการส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม เอเมน
พระคัมภีร์บันทึกไว้เยอะแยะมากมาย ไปหมดเลย คือข่าวประเสริฐนั่นเอง ใน 1 เปโตร 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษา ให้หายแล้ว”
ท่านจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ ต่อเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อท่าน และพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์หรือยัง? สิ้นพระชนม์แล้ว ท่านเปิดใจรับสิทธิ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้ท่านแล้วหรือยัง? ถ้ายัง ท่านก็พลาดจากสิทธินี้ไป เท่ากับพระเยซูยังไม่ได้ทำให้กับท่าน ซึ่งจริงๆ แล้ว ทำให้แล้วหรือยัง? ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ด้วยการถูกทุบตี เฆี่ยนตี ด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์นั้น พระองค์ได้ทรงรักษาอาการบาดแผลที่อยู่ในใจของท่าน อยู่ในวิญญาณของท่าน ซึ่งเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งหมด และการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย พระองค์ทรงรักษาและเอามันออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว ท่านจะยอมรับสิทธิความจริงนี้ ที่พระเยซูทำให้ท่านหรือไม่? ถ้ายอมรับสิทธินี้ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซู มันหมายถึงอย่างนี้
เปิดใจต้อนรับพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง บนโลกใบนี้ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ที่ตกอยู่ในความบาป ในวิญญาณให้รับการรักษาให้หาย จากโรคบาป พิษอันร้ายแรงนี้ และจะได้มาอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถาน ไม่ต้องลงสู่ความพินาศ ในโลกวิญญาณ หลังความตายอีกต่อไป
เพลงต่อไปที่เราจะร้อง จึงเป็นเพลงวางใจพระเจ้าและทำความดี ให้เรามาเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตกับเราได้ ในร่างกายของเรา ในชีวิตของเราได้แล้ว ให้พระองค์นำพาเรา ในการกระทำดีตามศีลธรรมต่างๆ ที่พระองค์ทรงวางมาตรฐานไว้ แล้วแต่พระองค์จะนำไป
นี่คือทางออกของมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ให้เราอธิษฐานร่วมกัน พระเจ้าอวยพรครับ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
โรม 5:1-2 “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรม (ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์) โดยความเชื่อแล้ว ก็ให้เราชื่นชมยินดี มีสันติสุข (ที่ได้กลับคืนดีกัน) กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณ ที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ ให้เราชื่นชมยินดีในความหวังใจ (ที่มีหลักฐานประกันที่มั่นคงแน่ใจ) ว่าเราได้มีส่วนในสง่าราศี (มีส่วนในพระสิริของพระเยซูคริสต์ มีส่วนในชีวิตนิรันดร์ของพระองค์)”
2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งไม่เคยเป็นคนบาป ไม่เคยทำบาปเลย แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป เพื่อเห็นแก่เราทั้งหลาย ผู้ซึ่งเป็นคนบาปและทำบาปมากมาย เพื่อเราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาปนั้น จะได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าผ่านทางพระองค์”
เอเฟซัส 2:4-10 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด(จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง)โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีในความรอดของตนได้ 10 เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้าที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเราจะ ได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนกาของพระองค์”
ขอพระเจ้าอวยพรครับ