คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2022
เรื่อง “คำประกาศของพระเยซูที่มักเข้าใจผิด” ตอน 4
“คำเทศนาบนภูเขา” EP.3
“กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรามาเข้าหัวข้อนี้ “คำประกาศของพระเยซูที่มักเข้าใจผิด” ตอนที่ 4 คำเทศนาบนภูเขา EP.3 ชื่อเรื่องว่า “กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์” ซึ่งเราผ่านมา 3 ตอนแล้ว ก็คือ …
ตอนที่ 1 จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
ตอนที่ 2 คำเทศนาบนภูเขา EP.1 : คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู
ตอนที่ 3 คำเทศนาบนภูเขา EP.2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ
ตอนที่ 4 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา EP.3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์
เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องคำประกาศของพระเยซู ซึ่งมักมีคนเข้าใจผิดกันว่ากำลังมาสอนคริสเตียนให้ทำอันโน้นทำอันนี้ ซึ่งไม่ใช่ เราก็เรียนรู้แล้วว่าพระองค์กำลังมาชี้ให้เห็น ความเป็นจริงของโลกฝ่ายวิญญาณ อยากให้ท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว หรือไม่เป็นก็ตาม ฟังซีรี่ย์นี้จริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ฟังตั้งแต่ต้นเลย ฟังแล้วค่อยๆ ติดตามไป ผมจะพยายามอธิบายอย่างละเอียด ปูพื้นเบื้องหลังให้ท่านได้ทราบ เพราะฉะนั้น มันจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ไม่ใช่คริสเตียน ท่านที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เข้าใจ ผมจะพยายามอธิบายให้ท่านได้สามารถเข้าใจได้ด้วย จะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน หรือเป็นคริสเตียนก็ตาม ถ้าฟังไปเรื่อยๆ จะเข้าใจ
ยกตัวอย่าง เราจะได้ยินบ่อยๆ ว่าบทบัญญัติ กฎบัญญัติ ผมก็จะใส่คำว่าบทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว กฎแห่งศีลธรรมบนโลกใบนี้ ท่านก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าถึงไม่เป็นคริสเตียนก็รู้จักคำเหล่านี้ดี เพราะคำเหล่านี้ ก็คืออันเดียวกันกับที่กฎบัญญัตินั่นแหละ แต่บทบัญญัตินี้ สำหรับคริสเตียนก็จะคุ้นหู คุ้นคำว่าบทบัญญัติ แต่คนที่ไม่ใช่ คริสเตียน เขาไม่เข้าใจบทบัญญัติ คืออะไร? ผมก็จะพยายามที่จะใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไป เพื่อให้เห็นชัดขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมก็จะพยายามปูพื้นเบื้องหลัง ก่อนที่จะบรรยายเสมอ เพื่อที่คนทั้งไม่ใช่เป็น คริสเตียน และเป็นคริสเตียนจะได้เข้าใจว่าพระเยซูกำลังมาทำอะไร? เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย
สำหรับวันนี้ปูพื้นเบื้องหลังกันอีกครั้งหนึ่งว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น และมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้น เป็นช่วงเวลาที่พระเยซูดำรงสภาพเป็นมนุษย์อยู่ สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ คือคำประกาศ หรือคำเทศนาก็ได้ คำเทศนาของพระเยซูคริสต์ ที่มักมีคนเข้าใจผิด ก็คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ในช่วงเวลาที่พระเยซูยังดำรงชีวิต เป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ คือตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วปรากฏตัว เดินอยู่กับสาวกอีก 40 วัน ให้คนเห็นเลย แล้วจากนั้นเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าต่อตาสาวก จนถึงวันเพ็นเตคอส คือวันที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ เริ่มต้นชีวิตคริสเตียน ก็คือวันเพ็นเตคอสที่พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก ซึ่งพระองค์มีอายุ 33 ปีนี้ ตอนที่ทำงานประกาศ แค่ 3 ปีเท่านั้น
ทั้งหมดนี้เป็นแผนการอันล้ำลึกของพระเจ้าก่อนสร้างโลก คือเลือกสรรกลุ่มคนที่เรียกว่าชาวยิวไว้ก่อน เป็นพวกแรก พระคัมภีร์ก็ได้บันทึกไว้ว่าและเขาก็จะปฏิเสธพระองค์ ไม่รับสิ่งที่พระองค์ประกาศนี้แหละ
คำว่า “ไม่รับ” หมายถึงกลุ่มคนชาวยิวเป็นกลุ่ม มีคนชาวยิวบางคนรับไหม? รับ แต่ถือว่าไม่รับ เพราะว่ากลุ่มใหญ่ๆ ไม่รับ ไม่เชื่อ ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าเมื่อไม่เชื่อข่าวประเสริฐนี้ พระเจ้าก็ย้ายไปสู่กลุ่มที่ 2 ก็คือคนต่างชาติ แล้วค่อยกลับมาเก็บตกคนยิว นี่คือเบื้องหลัง ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังคุยอยู่นี้ เป็นยุคที่มาหาคนต่างชาติอยู่ มาหา 2,000 ปีแล้ว แต่จะมีวันหนึ่ง ที่คนต่างชาติได้เข้ามาแล้ว พระองค์ก็จะกลับไปถามคนยิวอีก ไปบอกคนยิวอีก เรียกคนยิวอีก เป็นครั้งสุดท้ายว่ากลับมาเถิด แล้วคนยิวก็จะกลับมาจริงๆ นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เป็นเบื้องหลัง
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เป็นช่วงที่ชาวยิวปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู ปฏิเสธตั้งแต่เมื่อไร? ก็ตั้งแต่ที่เรากำลังคุยอยู่นี้ ตั้งแต่พระเยซูประกาศ 3 ปีนี้ ประกาศให้ชาวยิวก่อน ชาวยิวก็ปฏิเสธ ไม่เชื่อ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูด ปฏิเสธถึงขนาดไหน? ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ขนาดถึงกับต่อต้านพระเยซู พระองค์พูดมา 3 ปี ต่อต้านมาตลอด จนในที่สุด ฆ่าพระเยซูเลย ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มแรก นั่นก็คือชาวยิวนั่นเอง พวกเขาฆ่าพระเยซู ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าเป็นลูกแกะของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ตามสัญญาที่บอกไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ปฐมกาล หลายพันปีมาแล้ว ชาวยิวก็รู้ดี แต่ไม่เชื่อ
ก่อนที่พระเยซูจะมา พระองค์ก็มีพันธสัญญากับชาวยิว พันธสัญญาเดิมนั้น ก็คือการถวายสัตว์หัวปีที่สมบูรณ์ให้พระเจ้า นำเอาโลหิตของสัตว์ที่บริสุทธิ์นั้น มาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตัวเองปีต่อปี ผ่อนปีต่อปี พระเจ้าถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม ผ่าน นึกออกใช่ไหม? พันธสัญญาเดิม แต่ขณะที่มีพันธสัญญาเดิม เลือดสัตว์ พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพันธสัญญานี้ ใช้เลือดสัตว์ ใช้ชั่วคราว แต่วันหนึ่งเราจะส่งมา คือพระบุตรของเรา แกะของเรา บุตรของเราเอง จะส่งมา เพื่อเป็นพันธสัญญา ที่เป็นถาวร อีกครั้งหนึ่ง ให้รอ นึกภาพออกใช่ไหม? ให้รอ เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูมา แล้วพระเยซูก็จะเป็นตัวเริ่มต้นของพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมาทำกับมนุษย์ ก็คือชาวยิวเป็นพวกแรก อย่างที่เคยบอกนั้น เบื้องหลัง ก็คือพูดถึงชาวยิวเมื่อไร ก็คือกลุ่มมนุษย์กลุ่มแรก เป็นชาวยิว ซึ่งเล็งไปถึงคนต่างชาติ ก็คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้นั่นเอง
ครั้งนี้ คือครั้งที่เขาฆ่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ในครั้งนี้มีค่าเท่ากับว่าเขากำลังถวายพระบุตร ถวายพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ เป็นมนุษย์คนแรก คนเดียวที่ไม่มีบาปเลย ไม่เคยทำบาปเลย ให้กับพระเจ้า พอมองภาพออกไหม? ก่อนหน้านี้มาหลายพันปี เขาอยู่ในพันธสัญญาเดิม เขาถวายสัตว์อันบริสุทธิ์ แด่พระเจ้า รับการไถ่ชั่วคราวปีต่อปี แต่ตอนนี้เขากำลังมอบถวาย ฆ่าพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่บริสุทธิ์ มนุษย์พันธุ์ใหม่ที่บริสุทธิ์ ให้กับพระเจ้าที่เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้ตัว แต่เขากำลังทำสิ่งนี้แหละ
เพราะคนที่มอบถวายพระเยซูคริสต์ ให้กับปีลาตเอาไปฆ่าให้ตายนั้น เป็นผู้รับผิดชอบ ก็คือเป็นผู้ฆ่าพระเยซูนั่นเอง ใครเป็นผู้มอบพระเยซูให้กับปีลาตเอาไปฆ่า ก็คือหัวหน้าปุโรหิต พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกสภาปกครอง ประเทศอิสราเอล ก็คือชาวยิว และประชาชนทั้งปวง บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย จะมองเห็นภาพไหม? นี่คือเบื้องหลัง เขาจะต่อต้านพระเยซูจนไปถึงตรงนี้ เท่ากับว่าปุโรหิตที่เป็นผู้ที่มีหน้าที่ถวายสัตว์ให้กับพระเจ้าในอดีตนั้น ตอนนี้ถวายพระบุตร ถวายเลือดของมนุษย์ที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นเดียวกันว่า …
“วันหนึ่ง พวกเจ้าจะได้รับการไถ่อย่างถาวร โดยมนุษย์คนหนึ่งที่บริสุทธิ์”
เพราะว่าพระเยซูเป็นมนุษย์คนแรก ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าบุตรหัวปี คือคนแรก … คนแรกและคนเดียวที่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ไม่มีบาปเลย สมบูรณ์ สะอาด บริสุทธิ์ ถูกนำไปฆ่า โดยการยินยอมของพระองค์เอง พระองค์บอกว่าถ้าพระองค์ไม่ยอม ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้ แต่พระองค์ทรงยอม ให้เขานำไปฆ่า เพื่อนำโลหิตถวายแด่พระเจ้า เป็นพันธสัญญาโลหิตอันบริสุทธิ์ เพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ ครั้งเดียวเป็นพอ พระคัมภีร์บันทึกไว้ เพื่อไถ่บาปให้พวกเขา พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ พวกชาวยิวที่นำพระองค์ไปฆ่า และเล็งไปถึงไถ่ให้กับคนต่างชาติด้วยเช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนนั่นเอง
และทั้งหมดนี้มันตรงตามคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ ตั้งแต่ปฐมกาลมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งหลายพันปีว่าพระเยซูจะเป็นแกะปัสกา ปัสกาอะไร? ปัสกาสุดท้ายของพันธสัญญาเก่า พันธสัญญาเก่าใช้ถวายเลือดสัตว์มาเป็นเวลาพันๆ ปี พอถวายพระเยซู พระเยซูจะเป็นแกะปัสกาคนสุดท้าย พระองค์จึงเป็นจุดจบ ที่จะยกเลิกพันธสัญญาเดิม จุดจบ เพราะว่าพระองค์มาทำให้สมบูรณ์ดีกว่า เป็นคนแรกที่เริ่มต้นเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์
เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ เป็นมนุษย์คนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่คนแรก คนแรกก็แสดงว่าต้องมีคนต่อๆ ไป ก็คือเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่คนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย ชำระบาปให้กับมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนที่จะสามารถได้เป็นขึ้นมาใหม่เหมือนพระองค์ ได้ย้ายมาอยู่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เช่นเดียวกัน
นี่คือสิ่งที่พระองค์มากระทำบนโลกใบนี้ แล้วกำลังประกาศ กำลังบอกพวกเขา ชี้ให้เขาเห็นสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ก็คือคำเผยพระวจนะ บอกมาตั้งแต่ปฐมกาลว่าจะเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งข้างหน้า พระบุตรจะมาเป็นแกะปัสกา เป็นเมษโปดก เพราะฉะนั้น วันที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น ก็คือเป็นปัสกาครั้งสุดท้าย ที่มนุษย์จะถวายแด่พระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ บันทึกไว้ตลอด จนพระเยซูมาเกิดจริงๆ เป็นมนุษย์จริงๆ เตรียมตัว 3 ปีนี้ แล้วประกาศสิ่งเหล่านี้
ในหนังสือยอห์น 1:15-18 เรื่องราวเกี่ยวกับผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่ได้บอกเรื่องนี้อีกแล้ว บอกมาเป็นพันๆ ปีแล้วใช่ไหม? พอพระเยซูมาเกิดจริงๆ ยอห์นบัพติศโต ก็เป็นผู้เผยพระวจนะที่มาพูดซ้ำอีกทีหนึ่งว่ามาแล้ว สิ่งที่สัญญาไว้ พระเมษโปดก พระบุตรของพระเจ้า ลูกแกะของพระเจ้ามาแล้วตอนนี้ มาจัดการงานนี้แล้ว ถึงเวลาแล้ว ที่บันทึกไว้ในหนังสือ ยอห์น 1:15-18
ยอห์น 1:15-18 “15 ยอห์น (ยอห์น บัพติศโต) เป็นพยานเกี่ยวกับพระองค์ เขาร้องประกาศว่า “นี่คือผู้ซึ่งเราได้บอกไว้ว่า ‘พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังเรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา’ 16 เราทั้งปวงได้รับพระพรครั้งแล้วครั้งเล่า จากความบริบูรณ์แห่งพระคุณของพระองค์ 17 เพราะบทบัญญัติประทานมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ 18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระเจ้า คือพระบุตรองค์เดียว ผู้ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาได้ทรงทำให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว”
คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเดินอยู่บนโลกใบนี้แล้วนั่นเอง ในยอห์น 1:29-30 ได้ประกาศอย่างนี้ว่า …
ยอห์น 1:29-30 “29 วันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูเสด็จมาทางเขา จึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป 30 นี่แหละ คือผู้ที่เราหมายถึงเมื่อเรากล่าวว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมาภายหลังเรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนเรา”
นี่แหละ พระเมษโปดกที่สัญญาไว้ จะมาบัพติศมาในน้ำ ให้ประชาชนได้เห็นตามคำเผยพระวจนะที่ได้บอกไว้ ยอห์นบัพติศโตประกาศดังลั่น ผู้คนได้ยินได้ฟัง ได้ชัดเจนว่า …
“คนนี้เป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า”
พระเมษโปดก แปลว่าลูกแกะของพระเจ้า ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมอบให้กับมนุษย์ เพื่อเอามาไถ่บาป
พระองค์เป็นพระเจ้านั่นเอง นี่คือคำเผยพระวจนะสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูจะทำงานให้สำเร็จ ตามคำเผยพระวจนะมาหลายพันปี ก็คือก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์
พระองค์มากระทำการงานอย่างนี้ นี่คือเบื้องหลัง เพื่อให้ท่านได้เห็นว่าพระเยซูกำลังมาทำอะไร? พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม การทำดีทำชั่ว มีคนสอนเยอะแยะแล้ว พอแล้ว คนก็รู้อยู่แล้ว แต่มันทำไม่ได้เท่านั้นเอง บทบัญญัติก็มีหมดแล้ว บทบัญญัติของชาวยิวก็เขียนไว้ในแผ่นหิน แผ่นศิลากับบนหนังสัตว์ สำหรับคนต่างชาติก็เขียนอยู่ในใจของเขา และคนต่างชาติก็รู้จักในใจ ก็เขียนออกมาเอง เป็นกฎระเบียบทางศาสนา ทางสังคม จริยธรรมอะไรต่างๆ มาตั้งนานแล้ว แต่กลุ่มไหนกลุ่มนั้น ก็เขียนออกมาจากใจ เพราะรู้ว่าอันนี้มันดี อันนี้ไม่ดี เขียนออกมาให้เห็น สิ่งเหล่านี้ เรียกว่ากฎบัญญัติ เรียกว่ากฎหมาย เรียกว่ากฎศีลธรรม เรียกว่ากฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำอย่างนี้จะได้ดี ทำอย่างนี้จะได้ชั่ว ให้ทำดีนะ ละชั่วนะ แต่พระเยซูไม่ได้มาสอนสิ่งเหล่านี้ พระองค์มาบอกว่าพระองค์กำลังมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลนั้น ที่ผมเล่าตั้งแต่ปฐมกาลหลายพันปี ผมเล่าแค่ 15 นาทีเอง เพื่อเวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า จะได้เข้าใจว่าที่เขียนไว้ตรงนี้ หมายถึงอะไร? ที่พระเยซูพูดตรงนี้หมายถึงอะไร? พระเยซูพูดต่างๆ ทั้งหมด มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น โลกวิญญาณ คือเรื่องเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งสิ้น การถวายเลือดสัตว์ ก็เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ พระคัมภีร์เก่าถวายเลือดสัตว์ เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ มาพระคัมภีร์ใหม่ ถวายเลือดของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ ฟังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ท่านอาจจะค่อยๆ ซึมซับ เข้าใจมากขึ้น พระเยซูกำลังมาชี้ให้เห็นโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วชี้ให้เห็นถึงลักษณะของความรัก ความอ่อนโยนของพระองค์
มาเข้าเรื่องของวันนี้ คำเทศนาบนภูเขา EP.3 “กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์” ถ้าเป็นไปตามพระคัมภีร์ ก็ต้องใช้คำนี้ว่ากฎบัญญัติ ทำพลาดบัญญัติเพียงข้อเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ อันนี้แบบคริสเตียนใช่ไหม? แต่ผมแปล เพื่อให้คริสเตียนก็เข้าใจ และไม่ใช่คริสเตียนก็เข้าใจว่ากฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์
ใจท่านรู้ไหมว่าท่านทำบาป ในนี้ต้องรู้อยู่แล้วนะ สำหรับชาวยิว รู้ไหมว่าทำบาป มันไม่ตรงกับบัญญัติ ก็คือทำบาป ครั้งเดียวก็ไม่ได้ไปสวรรค์
ครั้งที่แล้ว ได้บอกว่าพระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างบทบัญญัติ พระเยซูมาล้มล้างกฎแห่งกรรม เขาว่าพระองค์ว่าอย่างนี้ ใครเป็นคนกล่าวหาพระเยซู อันดับแรกที่เราควรจะเรียนรู้ ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ก็คือกำลังพูดกับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ ที่วันนี้เราพูดถึง ถูกกล่าวหา ใครเป็นคนกล่าวหา พวกชาวยิวที่เป็นหัวหน้าธรรมาจารย์ต่างๆ เหล่านั้น ฟาริสี พวกหัวหน้าปุโรหิตเหล่านั้น ซึ่งปูพื้นให้แล้ว ปฏิเสธ ต่อต้านพระองค์ ในที่สุดจะฆ่าพระองค์ให้ตาย และพระองค์ยอมด้วย ท่านเห็นแล้ว เข้าใจแล้ว คนเหล่านี้แหละ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระองค์ถูกฆ่าให้ตาย โดยพวกเหล่าคนที่พระองค์มาไถ่บาปเขามาช่วยเขา ซึ่งในที่นี้ ก็คือชาวยิวนั่นเอง มาดูว่าพระเยซูตอบพวกเขาอย่างไรว่าไม่ใช่หรอก บอกว่าเราไม่ได้มาทำอย่างนั้น เราจะมาชี้ความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณให้ท่านได้เห็นมากกว่า เราลองมาวิเคราะห์กันดูตามข้อความ มัทธิว 5:18 วันนี้เริ่มต้น …
มัทธิว 5:18 “เราขอบอกความจริงกับท่านว่าตราบที่สวรรค์และโลกคงอยู่ แม้แต่ตัวหนังสือเล็กสุด หรือจุดๆ หนึ่ง จะไม่ถูกตัดออกไปจากกฎบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งที่บันทึกไว้ จะสัมฤทธิ์ผลตามกฎนั้น”
มัทธิว 5:18 พระเยซูคริสต์แย้งกับพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกเหล่าหัวหน้าปุโรหิตเหล่านั้น ที่ต่อต้านพระองค์ ที่กล่าวหาพระองค์ พระองค์แย้งว่าพระองค์ไม่ได้มาล้มกฎบัญญัติสักหน่อย แต่มาเสริมให้เข้มข้นขึ้น ตามเป้าหมายของธรรมบัญญัตินั้น พระองค์บอกว่าตราบใดที่โลกนี้ยังอยู่ กฎของความบาปและความตาย กฎของการกระทำ หมายถึงบทบัญญัติเหล่านี้ คือกฎศีลธรรมเหล่านี้ กฎของการทำดีทำชั่ว ก็คือกฎของตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันยังคงอยู่ตลอดไป จนกว่าจะสิ้นโลก ในวันพิพากษาโลก โลกดับสูญไป นั่นคือวันที่บทบัญญัตินี้จะหมดไปด้วยเช่นเดียวกัน
ในวันพิพากษา ก็คือวันจบสิ้นว่าโอเค ที่ทำไปทั้งหมด ที่อยู่ในกฎของความบาป กฎบัญญัติเหล่านั้น กฎทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ให้พระเจ้าพิพากษาว่าสรุปแล้วทำดีมากกว่าทำชั่ว หรือทำชั่วมากกว่าทำดี ได้ไปสวรรค์ไหม? ผ่านพ้นจากการพิพากษาของพระเจ้าไหม? โดยเกณฑ์ของพระเจ้า ก็คือทำผิดเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ผ่านแล้ว นี่คือวันพิพากษา แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงวันพิพากษา ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ นึกภาพออกใช่ไหม?
พระเยซูคริสต์กำลังมาประกาศความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณว่า … “อย่าคิดในใจ และปฏิเสธ ต่อต้านเรา อย่าคิดว่าเรามา เพื่อลบล้างความศักดิ์สิทธิ์ ความเที่ยงธรรมของบทบัญญัติ หรือให้ความสำคัญกับบทบัญญัติน้อยลง”
พวกฟาริสีพวกนี้ เขามองดูภายนอก เขาเห็นพระเยซูทำ เขาคิดว่าพระเยซูไม่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ
พระเยซูบอกว่า … “แต่เรามา เพื่อย้ำยืนยันให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์เที่ยงธรรมของบทบัญญัติ และให้ความสำคัญที่สุดกับบทบัญญัติมากกว่าพวกท่านเสียอีก พวกฟาริสี และธรรมาจารย์เอ๋ย”
มากอย่างไร? พระองค์บอกว่าต้องทำให้ครบร้อย ฟาริสีบอกไม่ต้องครบร้อยก็ได้ ใครให้ความสำคัญมากกว่ากัน
พระเยซูอธิบายว่า … “คือท่านคิดว่าการรักษาบทบัญญัติให้มากที่สุดเท่าที่พยายามทำให้ได้นั้น ก็เป็นที่ดีแล้ว เพียงพอแล้ว สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ผิดพลาดไปบ้างอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าคงเข้าใจดีมั้งว่าเราพยายามที่สุดแล้ว พระเจ้าพอใจแล้ว พระเจ้าจะได้นับเราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีคนหนึ่ง ผ่านการพิพากษาได้ และสามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้ ทั้งๆ ที่ทำไม่ครบ”
พูดง่ายๆ ทำชั่ว ทำบาป แต่คิดว่ามันนิดหน่อยน่า พระเจ้าคงเข้าใจ ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม รักษาบทบัญญัติ อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีลำเอียง รักเขาไหม? รัก แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เป็นผู้ดูแลความยุติธรรมของโลกใบนี้ทั้งสิ้น กฎก็ต้องเป็นกฎ เห็นภาพนะ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพยายามชี้ให้พวกเขาเห็น
พระเยซูบอกว่า … “เราบอกความจริงว่าถ้าท่านพึ่งการกระทำของตนเอง ในการประพฤติตนตามบทบัญญัติ พยายามทำบทบัญญัติให้ตรง เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น ท่านต้องรักษาบทบัญญัติและประพฤติตามนั้นทุกข้อ ทุกจุด จุดขีด ไม่เว้นเลยแม้แต่นิดหนึ่ง”
นี่คือสิ่งที่พระองค์อธิบายให้เขาฟัง แย้งให้เขาฟัง ทุกอย่างท่านต้องทำให้ถูกต้องหมดเลย เว้นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นข้อที่ท่านคิดเองว่าเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็ต้องรักษาไว้ด้วย เพราะมันเป็นกฎ จะมาบอกเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ พระองค์กำลังบอกใครให้ความสำคัญกับบทบัญญัติมากกว่ากัน เห็นภาพไหมครับ?
“แม้เล็กๆ น้อยๆ ท่านบอกไม่เป็นไร? เรากำลังบอกท่านต้องรักษาให้ครบ 100% เลย จุดหนึ่ง ขีดหนึ่ง ก็ลบออกไปไม่ได้ ท่านบอกว่าแค่คิดมีความกำหนัดในเพศตรงข้าม แค่คิดเกลียดคนนี้ อิจฉาคนนี้หน่อยหนึ่ง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ทำสักหน่อย เราบอกว่านั่นแหละ ก็ตกนรกแล้ว ไม่ผ่านแล้ว”
ใครให้ความสำคัญกับกฎมากกว่า ใครเป็นคนลบล้างกฎ เรามา เพื่อทำให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ นี่มันแปลว่าอย่างนี้ ท่านต้องรักษาให้ครบ 100% ตามที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัตินั้น บทบัญญัติ กฎหมายเขียนไว้อย่างไร? ท่านต้องทำหมด ทุกจุด ทุกขีด ถึงจะเป็นที่พอใจของพระเจ้าได้ และผ่านการพิพากษาได้ และพระเจ้าจะรับท่านเป็นผู้ชอบธรรม เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ เห็นภาพไหม?
ท่านบอก … “ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียว”
แต่พระเยซูกำลังบอกว่า … “ไม่ได้ ต้องครบ 100”
ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเลย ที่สามารถทำได้ ถูกไหมครับ? เราก็รู้อยู่ ไม่มีมนุษย์ผู้ใดไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว ไม่มีมนุษย์คนใดไม่เคยทำบาปเลย แม้แต่ครั้งเดียว ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงส่งเรามาไง
พระเยซูจึงบอก … “พระเจ้าจึงส่งเรามา เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพื่อช่วยและชี้ให้ท่านเห็นถึงความจริงเหล่านี้ เพื่อท่านจะได้ถ่อมใจลง และกลับใจเสียใหม่ ไม่พึ่งพาความชอบธรรม และการกระทำตามบทบัญญัติของตนเอง”
แต่ทำอะไร? “กลับใจ ยอมรับว่าเราทำไม่ได้หมดหรอก ถ้าถ่อมใจเมื่อไร? ก็จะเห็นตัวเองว่าเราทำไม่ได้หมดจริงๆ แล้วกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาพระองค์ พระองค์บอกแล้วให้วางใจในพระองค์ วางใจในพระบุตรที่พระเจ้าทรงประทานให้ และเรา คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าทรงส่งมา ช่วยท่านทั้งหลาย ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เดิมที่เกี่ยวกับเรา หลายพันปีแล้ว คือตัวเรานั่นแหละ มาแล้วตอนนี้ กลับใจเสียใหม่เถิด”
เพื่ออะไร? “เมื่อท่านกลับใจมาหาเรา วางใจในเราว่าเราคือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยท่านทั้งหลาย สิ่งที่ท่านวางใจในเรานั่นแหละ เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และพระเจ้าก็จะรับท่านเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อในเรา ตรงนี้เรียกว่าพระคุณความรอด เรียกว่าพระคุณ ไม่ใช่กฎ บทบัญญัติ ต้องทำตาม ตาต่อตา ฟันต่อฟันอีกแล้ว แต่เป็นพระคุณ ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย คือเรามาช่วยท่าน”
นี่พระเยซูกำลังชี้ให้เขาเห็นอย่างนี้ ถามว่าทั้งหมดนี้ พระองค์กำลังสอนศีลธรรมหรือ? ไม่ใช่เลยเห็นไหม? หลายคนไม่เข้าใจ นึกว่าพระองค์บอกว่าทุกจุด ทุกขีด ต้องทำให้ครบ 100% เพราะฉะนั้น เราต้องทำให้ครบ 100% ต้องพยายามทำ คิดชั่ว คิดไม่ดี ก็ …
“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกคิดไม่ดี ต้องคิดให้ดี ไม่อย่างนั้นตกนรกแน่นอน”
มันใช่ไหมล่ะ? มันไม่ใช่ ไม่ตรงตามบริบท ที่พระเยซูกำลังบอก มันไม่มีใครทำได้ ถ้าเราจะทำตามพระเยซู มีใครทำได้ไหม? ใครรักษาได้ครบร้อย ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ในหนังสือกาลาเทียจึงบันทึกไว้อย่างนี้ ในกาลาเทีย 3:10-11 ซึ่งเปาโลได้เขียนมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเปาโล ก็คือวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้พูดตอนสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้ว ตอนที่มีคริสเตียนแล้ว อธิบายตรงนี้ให้ฟัง จะเห็นชัดเลย มันก็คือจุดหมายเดียวกัน กาลาเทีย 3:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
กาลาเทีย 3:10-11 “10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตาม ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” 11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ”
นี่คือคำชี้ให้เห็นถึงโลกวิญญาณของพระเยซู ตอนที่พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ผู้ที่เชื่อในพระองค์แล้ว หลังจากมีคริสเตียนแล้ว โดยพระวิญญาณของพระคริสต์ได้บอกว่า …
“ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”
“ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” ก็คือทุกสิ่ง ทุกจุด ทุกขีดที่เขียนในหนังสือบทบัญญัติ เขียนไว้ในกฎแห่งกรรม เขียนไว้ในกฎการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎศีลธรรม ต้องทำให้ครบ เหมือนกันไหม? เหมือนกับมัทธิวที่พระองค์ทรงพูด เหมือนกันไม่มีผิดเลย ทุกจุด ทุกขีด ต้องทำให้ครบ ถ้าไม่ครบ ถูกสาปแช่ง ก็คือไปไม่รอด ไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ผ่านการพิพากษานั่นเอง
การพิพากษา คือหลังความตาย วิญญาณจะอยู่ในนรกหรืออยู่ในสวรรค์ อยู่ในที่พินาศ อยู่ในที่มืด หรืออยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นั่นเอง หลังความตายจะเข้าสู่การพิพากษา พิพากษาตามการกระทำของแต่ละคน
ในข้อ 11 บอกว่า “เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า” พระเยซูประกาศ “ต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยรักษาบทบัญญัติเลยแม้แต่คนเดียว เพราะจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ต้องดำเนินชีวิตแบบเชื่อเท่านั้น”
เชื่ออะไร? ก็คือวางใจในพระบุตร วางใจในพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าส่งมานั่นแหละถึงจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ ถ้าทำด้วยตนเอง ไปไม่รอดแน่นอน
ยากอบ 2:10 ก็ได้บันทึกอย่างนี้เหมือนกัน พระเยซูก็พูดให้ฟังอย่างนี้ ที่ผมพยายามอธิบายและพูดข้ามไปเลยว่าพระเยซูพูดให้ฟัง ทั้งๆ ที่หนังสือยากอบนั้น ยากอบเป็นคนเขียน แต่เขียนจากการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตภายใน พระวิญญาณสถิตนั่นแหละ คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นผู้อธิบายสิ่งนี้ เพื่อเอามายืนยันกับท่านว่านี่คือคำพูดอันเดียวกันกับตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ ในหนังสือมัทธิวที่เรากำลังเรียนอยู่ ที่ประกาศบนภูเขานี้ อันเดียวกันนั่นแหละ …
ยากอบ 2:10 “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิด เท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”
“แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด” จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ผิดไม่ได้เลย เหมือนหัวข้อเรื่องในวันนี้ ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “กฎแห่งกรรม ทำผิดเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์” เหมือนกันไหม? พลาดไปจุดเดียวก็เท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด ไม่ได้ไปสวรรค์หรอก พระเยซูประกาศ เตือน ชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เตือนบอกว่า … “พี่น้องชาวยิวและเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลก เฮ้ย! น้องๆ อย่าสร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมาด้วยการกระทำดีตามบทบัญญัติ มันเป็นไปไม่ได้หรอก อย่าพยายามทำ ให้มันครบร้อย เพื่อจะได้ไปสวรรค์ มันทำไม่ได้ แต่ให้มาแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้าดีกว่า จงยอมถ่อมใจและยอมรับความจริงว่าตนเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็คือยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป แล้วต้องการรับการช่วยเหลือ อย่าเย่อหยิ่งเลย”
มัทธิว 5:19 “เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ใครที่ประพฤติจนเป็นวิสัย (ครบถ้วน) และสอนผู้อื่นให้ทำตามธรรมบัญญัติ คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์”
พระองค์ทรงชี้ให้เห็นต่อว่า … “เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในบทบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นอีกต่างหาก ให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์”
ก็คือคนที่สอนคนอื่นว่า … “เฮ้ย! พยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้น พระเจ้าเข้าใจน่า”
คนเหล่านี้ คนเล็กน้อย เป็นจำนวนของชาวยิว หมายถึงไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่เข้าสวรรค์แล้วเป็นคนเล็กน้อย หมายถึงไม่มี ในสวรรค์ไม่มีคนเล็กน้อย ในสวรรค์ไม่มีคนใหญ่สุด ในสวรรค์มีคนเท่าๆ กันหมด พอเข้าใจใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ก็หมายถึงว่าไม่ได้เข้าสวรรค์นั่นเอง นี่คือพวกแรก ที่ไม่ได้เข้าสวรรค์ คือพวกที่ …
“นิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอก เราพยายามที่สุด ก็แล้วกัน ผิดศีลไป 3-4 ข้อไม่เป็นไรหรอก เพราะเราทำและรักษาได้ตั้งแยะแล้ว เราพยายามที่สุดแล้ว พระเจ้าคงเข้าใจ”
รู้แล้วนะว่าตรงนี้ พระเจ้าไม่เข้าใจ เพราะว่ากฎหมาย ก็คือเป็นกฎหมาย
และพวกที่ 2 คือใคร? อีกพวกหนึ่ง ในข้อ 20 ก็คือคนที่ยึดมั่น ถือมั่น มั่นใจว่าตัวเองทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว …
“ฉันทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว และพยายามสอนคนอื่นให้สมบูรณ์เหมือนฉันสิ นี่ฉันอดอาหารอธิษฐาน ฉันถวายสิบลด ฉันไปวิหารครบถ้วนบริบูรณ์ พระเจ้าบอก 3 ครั้ง ฉันก็ทำตามหมดเลยทุกอย่าง ฉันรักษาวันสะบาโตด้วย ฉันทำทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้น ฉันมั่นใจในตัวเอง เธอต้องทำตามที่ฉันทำ ทำไมไม่รักษาวันสะบาโต วันสะบาโตทำงานทำไม? วันสะบาโตยังไปรักษาคนป่วยอีก วันสะบาโตยังไปเก็บรวงข้าวที่ตกอยู่อีกหรือ?”
อะไรประมาณนั้น นึกภาพออกใช่ไหม?ไปจี้คนอื่นเขา ให้พยายามทำสมบูรณ์เหมือนกับตนเองคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แล้ว ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง พระเยซูพูดอย่างนี้แหละ ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง ทะนงตนว่ารักษาบทบัญญัติ 10 ประการได้อย่างเคร่งครัดเลย
“ฉันรักษาบทบัญญัติ 10 ประการได้อย่างเคร่งครัดแล้ว ทำตามบทบัญญัติเป๊ะเลย เธอต้องรักษา เธอรักษาได้กี่ข้อแล้ว”
“ได้ 7 ข้อเอง”
“ท่านต้องพยายามทำต่อไป ฉันรักษาบทบัญญัติ และกฎอีก 603 ข้อ ทั้งหมด 613 ข้อ ฉันรักษามาได้ 500 ข้อแล้ว ตรงเป๊ะเลย เธอรักษาได้เท่าไร? เพิ่งจะ 70 เองหรือ! ต้องทำต่อไป ไม่ทำ เดี๋ยวตกนรกนะ เธอเป็นคนบาป ไม่ได้ไปสวรรค์แน่นอน พระเจ้าเกลียดเธอนะ ไม่ชอบเธอ เธอเป็นคนเก็บภาษี เธอไม่รักษาวันสะบาโต ไม่เหมือนฉัน”
ทั้งๆ ที่ตอนไปชี้ ไปว่าคนอื่นเขา ตัวเองในใจก็รู้ว่าตัวเองไม่สามารถรักษามันครบทุกข้อได้ ถูกไหม? รู้ตัวเองว่าบกพร่องอยู่แล้ว แต่เย่อหยิ่ง ซึ่งพระเยซูเรียกผู้คนเหล่านี้ ซึ่งก็คือพวกปุโรหิต หัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีที่จับพระองค์ไปฆ่า พระองค์เรียกคนเหล่านี้ด้วยความรักนะ ไม่ได้เกลียดชัง เพื่อจะชี้ให้เขาเห็น พระองค์เรียกพวกเขาว่าพวกหน้าซื่อใจคด คือต่อหน้าทำเป็นคนเคร่งศาสนา เคร่งบทบัญญัติมาก ทำได้ดีหมดเลย ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ครบหมดบริบูรณ์ แต่ทำท่าว่าทำดีมากเลย แล้วก็คอยชี้นิ้วคนอื่นว่าคนนี้ทำไม่ดี คนนั้นทำไม่ดี คนนี้บาปหนา เพราะว่าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ พระเยซูบอกคนที่ตัดสินคนอื่นเขาอย่างนี้ ตัวเขาเองก็จะถูกตัดสินแบบเดียวกัน
พระเจ้าก็หันมาดู … “แล้ว เธอทำดีครบไหม?”
ไม่ครบเหมือนกัน ไปตัดสินเขาอย่างนี้ ตามกฎ พระเจ้าก็จะตัดสินเขาตามกฎเหมือนกัน ซึ่งในความเป็นจริง ก็คือไม่มีใครสักคนหนึ่งได้เข้าสวรรค์เลย โดยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ตามบทบัญญัติให้ได้ครบ 100% ไม่ว่าจะทำได้มากหรือน้อยก็ตาม ไม่มีใครสามารถทำได้เลย พระเยซูจึงบอกไง บอกว่าใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองทำได้ ที่ในนี้เขียนว่าแต่ใครที่ประพฤติจนเป็นนิสัย ก็คือประพฤติเป็นธรรมชาติ จากวิญญาณของเขา พระเยซูกำลังบอก ใครที่ประพฤติตนตามบทบัญญัติได้ ไม่ผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว ตามธรรมชาติในวิญญาณของเขาเลยนะ จากข้างในเลย ไม่เคยคิดชั่วเลย แล้วก็สอนคนอื่น บอกให้ทำตามเขาว่าต้องบริสุทธิ์อย่างนี้ ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ คนนั้นเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ มีไหม? มีใครทำได้ไหม? ไม่มีเลยสักคนหนึ่ง
เพราะฉะนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว ไม่มีใครเข้าสวรรค์ได้สักคนหนึ่งเลย ในข้อนี้ แต่ใครที่ประพฤติจนเป็นวิสัย จนเป็นธรรมชาติ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามบทบัญญัติได้นั้น และสอนคนอื่นให้ทำตามบทบัญญัตินั้น ให้บริสุทธิ์อย่างนั้นด้วย เขาทำได้ด้วย แล้วก็บอกคนอื่น ต้องบริสุทธิ์นะ ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ คนนั้น เป็นใหญ่ในสวรรค์ มีเพียงผู้เดียว ก็คือคนที่พูดนั่นเอง ก็คือพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสวรรค์ เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมา มีวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด ไม่ได้มีเชื้อบาปมาจากอาดัม พระองค์เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ไม่มีบาป พระองค์ไม่มีความคิดชั่วเลย ไม่มีการทำบาปเลยใน พระคัมภีร์บันทึกไว้ พระองค์ไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง พระองค์จึงเป็นใหญ่ในสวรรค์ และพระองค์ก็มาสอนให้ผู้คนบอกว่า …
“พวกเธอต้องบริสุทธิ์เหมือนฉัน เธอถึงจะเข้าสวรรค์ได้ ซึ่งการจะบริสุทธิ์เหมือนฉันได้ เธอต้องเข้ามาวางใจในฉัน และได้รับการบังเกิดใหม่ ทำด้วยตัวเองไม่มีทางหรอก”
มันหมายถึงอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกันในข้อนี้
สรุปว่า … “สำหรับพวกเธอ ทำไม่ได้หรอก ไม่มีใครได้เข้าไปในสวรรค์ โดยการรักษาบทบัญญัติ รักษากฎแห่งกรรม รักษากฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รักษากฎแห่งศีลธรรมอันดีงาม รักษาอย่างไรก็ต้องพลาดแน่ และไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ไม่ผ่านการพิพากษาหลังความตาย”
ผมจึงทำตรงนี้เป็นอุปมา ที่ผมคิดขึ้นมานะ อุปมาเหมือนปีนบันไดขึ้นสวรรค์ ฟังให้ดีๆ นะ มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องปีนบันไดขึ้นสวรรค์ทุกคน
ปีนบันได ก็คือทำความดี เพื่อไปสู่ยอดสูงสุดของบันได คือสวรรค์
ทุกคนเป็นอย่างนั้นหมด จะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม แต่มันเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เกิดมาปุ๊บ ก็ปีนบันไดทันที คือปีนจากบนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ไปสู่สวรรค์ที่เป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง ซึ่งไม่มีใครมีความสามารถที่จะปีนขึ้นไปได้ ไม่มีใครสามารถทำความดีได้ครบถ้วน โดยไม่พลาดเลยแม้แต่ขั้นเดียว เพื่อไปสู่ยอดสูงสุด คือสวรรค์นี้ได้เลย เพราะว่าพลาดขั้นเดียว ครั้งเดียว ก็ตกลงมาตายเลย ทำผิดแค่จุดเล็กๆ จุดเดียว ก็คือพลาดแล้ว แต่พระเจ้าก็ให้ตัวช่วยแก่ชาวยิวก่อน แล้วรวมไปถึงมนุษยชาตินั้นด้วย ที่เชื่อในการทรงพระชนม์ของพระองค์ คือเชื่อว่ามีพระเจ้า การเชื่อว่ามีพระเจ้า คือความเชื่อนี้ เหมือนมีเข็มขัดนิรภัย เซฟตี้อยู่ในขณะปีน ฟังให้ดีๆ นึกภาพตาม
ขณะปีน พระเจ้าได้ให้ความเชื่อในการทรงพระชนม์ของพระองค์ เหมือนมีเข็มขัดนิรภัย เซฟตี้ พลาดตกบันได ก็ไม่ตาย มันเซฟตี้ มันห้อยอยู่ ตกลงมา ก็ปีนต่อไป เจ็บแต่ปีนต่อไป จนกว่าจะถึงสวรรค์ เขาปลอดภัยถึงสวรรค์ได้ ก็เพราะเซฟตี้ เข็มขัดนิรภัยนี้ คือความเชื่อให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง ถูกไหม? รู้ว่าปีนไป ตกแน่ ขอมีตัวช่วย ก็คือมีพระเจ้ามาช่วย ซึ่งในอดีตนั้น ตัวช่วยตัวนี้ เรียกว่าพันธสัญญาเดิม ผ่านทางพันธสัญญาเดิม เป็นพันธสัญญาเลือด ก็คือโลหิตของสัตว์ เป็นเหมือนเซฟตี้ มนุษย์ผู้ใด ที่ปีนอยู่บนบันได ก็คือมนุษย์ผู้ใดที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนบัญญัติ ก็คือกำลังดำเนินชีวิตไต่บันไดขึ้นไป ตามกฎแห่งการทำดีทำชั่ว กฎแห่งกรรมนี้ ซึ่งสำหรับชาวยิว
ตัวอย่างนี้ ก็คือหนังสือของบทบัญญัติ ที่เขียนไว้บนแผ่นหิน บนหนังสัตว์ สำหรับชาวต่างชาติ ก็อยู่ในความรู้ดี รู้ชั่ว ในจิตสำนึกของเขาเขียนไว้ แต่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นความสว่างบนโลกที่ปกคลุมด้วยความมืดนี้ และปีนขึ้นบันไดนี้เหมือนกัน ปีนขึ้นไปถึงบนสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัย เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นตัวแทนที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม ปราศจากบาป ไม่มีพลาดเลย ปีนขึ้นไปได้ พระองค์จึงสามารถปีนไปถึงยอดบันได ก็คือสวรรค์ได้
แล้วพอไปถึงยอดบันได ทำอะไร? โดยผ่านทางความสำเร็จบนไม้กางเขน พระองค์ได้ทรงถวายเลือดของพระองค์เอง ซึ่งเป็นไปตามแผนการของพระเจ้า ในการช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหมดไว้ โดยผ่านทางพระบุตร ตั้งนานแล้ว
และผลของการถึงสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ และเอาเลือดไปถวายพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็จัดการพันธสัญญาใหม่ ผล ก็คือพระเจ้าก็ทำลิฟต์ไว้ให้ จากพื้นโลกไปสู่ยอด คือสวรรค์ แล้วยกเลิกเข็มขัดนิรภัย
เข็มขัดนิรภัย คือพันธสัญญาเลือด โดยเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์
นึกภาพออกไหม? พระองค์ก็ทรงยกเลิกเข็มขัดนิรภัยนี้ แต่ว่าบันไดเก่า บทบัญญัติเหล่านั้นที่จะขึ้นสู่ยอดสวรรค์นั้น มันยังคงอยู่ ดังนั้น ตั้งแต่วันที่พระเยซูทำงานสำเร็จ แล้วพระเจ้าทำลิฟต์นี้ขึ้นมาแล้ว มีทางขึ้นสวรรค์อยู่ 2 ทาง ทางเก่ากับทางใหม่ ทางเก่าต้องปีนบันไดขึ้นไป ทางใหม่เปลี่ยนเข้ามาในลิฟต์ ขึ้นลิฟต์เลย
พระเยซูเลยมาเตือนบอกว่า … “อย่าปีนทางเก่าเลย มันอันตราย เพราะท่านทำไม่ได้หรอก เพราะเรามีประสบการณ์ เรารู้ว่าท่านทำไม่ได้แน่นอน เราผ่านมาแล้ว และข้อสำคัญ คือตอนนี้ ท่านปีนไม่ได้เหมือนแต่ก่อนนี้ เพราะว่าพระเจ้ายกเลิก ไม่มีเข็มขัดนิรภัยแล้วด้วย พลาดแม้ขั้นเดียว ก็ตกลงมาตายอย่างแน่นอน เพราะไม่มีเข็มขัดนิรภัย ไม่มีเซฟตี้แล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงเลิกพันธสัญญาเดิม คือเลือดสัตว์ ไม่มีการใช้อีกต่อไปแล้ว ไม่มีแล้ว ยกเลิกแล้ว พระองค์รับอย่างเดียว ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่ได้หลั่งที่ไม้กางเขนนั้น เพราะฉะนั้น มาทางใหม่ มาขึ้นลิฟต์ที่พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้วดีกว่า ขึ้นลิฟต์ด้วยวิธีใด วางใจในเรา แล้วจะได้บังเกิดใหม่ ย้ายเข้ามาอยู่ในลิฟต์ ในสวรรค์ อยู่กับเราทันที สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
ลิฟต์นี้มียี่ห้อว่าพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในพระคริสต์เถิด เข้ามาอยู่ในลิฟต์เถิด ในพระคริสต์เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว และกำลังเดินทางขึ้นไปสู่อาณาจักรสวรรค์ใหญ่ สมบูรณ์พร้อม ซึ่งก่อนเข้าอาณาจักรสวรรค์ใหญ่นั้น เมื่อถึงประตูสวรรค์ใหญ่ ก็ต้องเปลี่ยนชุดเข้าสู่สวรรค์ใหญ่ คือสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมาะกับสวรรค์ใหญ่นั่นเอง แต่อยู่บนโลกใบนี้เราก็อยู่ในสวรรค์ อยู่ในลิฟต์แล้ว พักผ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในลิฟต์นั้น ไม่ต้องปีนให้เหนื่อยแล้ว
มัทธิว 5:20 “เพราะเราบอกพวกท่านว่าถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์”
อย่างที่บอกพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์เหล่านี้ พวกหัวหน้าปุโรหิตเหล่านี้ เขามั่นใจในตัวเองว่าเขาทำดีมาก เขาโชว์ออฟมากเลยว่าเขาทำศีลธรรมอันดี สูงส่งมาก ทำได้เยอะมาก จนกระทั่งผู้คนทั้งหลายที่อยู่ข้างล่าง ที่ทำไม่ได้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบาปมากกว่า มองขึ้นไป ก็ …
“มันจริงๆ นะ ฉันทำเท่าเขาไม่ได้หรอก เขารักษาศีล รักษาบทบัญญัติได้ตั้ง 600 ข้อ 500 ข้อ ฉันทำได้ไม่ถึง 10 ข้อเลย ฉันมันแย่ ฉันมันเลว”
ยกฟาริสีและคนที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติได้ว่าเป็นคนดีเยี่ยมมาก พระเยซูจึงยกตัวอย่างอันนี้ขึ้นมาว่า …
“ถ้าท่านคิดว่าความชอบธรรมของท่านได้เท่ากับพวกฟาริสีก็พอ แต่จะบอกให้ท่านต้องมีความชอบธรรมมากกว่าพวกฟาริสีอีก”
คนเหล่านี้ฟัง แล้วเป็นอย่างไร? คนที่ด้อยกว่าฟังแล้วเป็นอย่างไร? ตกใจ
พวกสาวกพระเยซูฟังพระองค์พูดตรงนี้ … “ใครจะทำได้ ทำไม่ได้หรอก ผม ฉันทำไม่ได้ ตายแล้ว”
ฟังจบพวกสาวกงงเต้ก … “ใครจะไปทำได้ล่ะอาจารย์”
พระเยซูเลยบอกกับพวกเขาว่า … “พวกเธอทำเองไม่ได้หรอก แต่พระเจ้าทำได้”
ก็คือท่านต้องเกิดใหม่นั่นเอง พระเจ้าทำให้ท่านเกิดใหม่ได้ ท่านทำเองไม่ได้หรอก พระเยซูกำลังอธิบายให้เขาฟังว่าพระเจ้ามองที่ใจ แต่พวกฟาริสีมองที่กฎ ไม่ใช่พวกฟาริสีมองที่กฎอย่างเดียว พวกท่านก็มองที่กฎ ก็คือพวกท่านมองที่ข้างนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน พวกเราทั้งหลายมองที่ข้างนอก พวกเราทั้งหลายมองที่ยอดภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ใต้น้ำลงไป ที่ท่านไม่เห็น ก็คือฐานของภูเขาน้ำแข็งอันเบ้อเริ่มเทิ่มอยู่ข้างล่าง ความบาปที่อยู่ข้างล่าง พวกฟาริสีมองที่ยอดน้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ใต้น้ำ ฟาริสีมองไปที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองไปที่วิญญาณข้างใน ฟาริสีมองไปที่สิ่งที่ตามองเห็นได้ การประพฤติที่มองเห็นได้ แต่พระเจ้ามองไปที่ในวิญญาณ พวกฟาริสีใช้สัมผัสแตะต้องได้ตามที่ตามองเห็น และให้ความสำคัญกับสิ่งที่มองเห็น เช่นล้างมือก่อนกินข้าว อะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พระเจ้าต้องการให้เขามองไปที่โลกวิญญาณ ใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า จากวิญญาณออกมา ทำให้เขาตายได้ จากการกินอาหารสกปรกเข้าไป ก็แค่ถ่ายออกมาเท่านั้นเอง
ฟาริสีก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมดด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเราฟังอย่างนี้แล้ว มาถึงบทที่ 5 ข้อ 20 เราต้องปูพื้นเบื้องหลัง อยู่ในใจตลอด ขณะที่ฟังไป เรียนรู้ไป ต้องไม่ลืมว่าพระเยซูกำลังมาประกาศว่าสวรรค์มาตั้งอยู่ และวิธีจะเข้าสวรรค์นั้น ต้องมีท่าทีอย่างไร? นี่คือเป้าหมายในการประกาศของพระเยซูคริสต์ ก็คือต้องไม่เย่อหยิ่ง ไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองในการรักษาบทบัญญัติ การกระทำดี รักษากฎแห่งศีลธรรม ในการสร้างความชอบธรรมของตัวเองขึ้นมา ไม่พึ่งพาความดีของตัวเอง พูดง่ายๆ ไม่ใช่ไม่ทำความดีนะ ตั้งใจทำความดี แต่ไม่พึ่งพาความดีของตัวเอง เพราะรู้ว่าทำความดีไป ก็ไม่ได้รอดจากการถูกพิพากษา แต่ตั้งใจทำความดีไหม? ตั้งใจ แต่ไม่ได้ตั้งใจว่า …
“ทำความดีแล้ว ฉันจะรอดจากการถูกพิพากษา”
แต่หันกลับมาเชื่อวางใจในพระบุตร คือพระมาซีฮาห์ พระองค์เท่านั้น จะทำให้เขาบังเกิดใหม่ได้ เขาทำด้วยตัวเอง เกิดใหม่ไม่ได้หรอก ทำให้ตาย ก็ไม่มีทางได้เข้าสวรรค์ ต้องตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น
นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เกี่ยวกับตัวตนของมนุษย์ คือวิญญาณของมนุษย์ว่าวิญญาณของเขาต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง วิญญาณของเขากำลังปีนบันไดอยู่หรือวิญญาณของเขาอยู่ในลิฟต์ มันต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์หรือที่เรียกว่าความพินาศที่ไม่มีพระเจ้า บนบันไดนั้น ไม่มีพระเจ้า แต่ในลิฟต์มีพระเจ้า ซึ่งพระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องโลกใบนี้ว่าจะทำตัวอย่างไร เพราะมนุษย์ทุกคนอยู่บนโลกใบนี้ รู้และเห็นหมดแล้ว เข้าใจหมดแล้วล่ะ ไม่ต้องอธิบาย เพราะทุกคนดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ภายใต้อิทธิพลของกฎของความบาปและความตายอยู่แล้ว เกิดมาก็อยู่ใต้บทบัญญัตินี้อยู่แล้ว ถ้าไม่ย้ายนะ กฎแห่งกรรมที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก็จะปกคลุมอยู่เหนือชีวิตของเขา กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วก็ยังอยู่ บันไดก็ยังอยู่ หว่านสิ่งใด เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นก็ยังอยู่ ยังคงเป็นอยู่ตลอดไป จนกว่าจะสิ้นโลกใบนี้ และวิญญาณของเรา ถ้าไม่ย้าย ก็จะอยู่ในที่นี่แหละ พลาดทีเดียว ก็ต้องตาย แต่ถ้าเราย้ายมาอยู่ในลิฟต์ พลาดก็ไม่ตาย เพราะว่าในลิฟต์มันเป็นเหมือนสวรรค์แล้ว พระโลหิตของพระเยซูชำระให้เรียบร้อยแล้ว นี่คือความเป็นจริงของการประกาศของพระเยซูบนภูเขา ก่อนที่พระองค์จะกระทำให้สำเร็จอีก 3 ปีต่อมานั่นเอง พระเจ้าอวยพรครับ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“RIP” เป็นตัวย่อมาจากคำว่า “Rest in peace” ซึ่งส่วนใหญ่ เขาจะเขียนคำนี้ไว้ที่ป้ายหน้าหลุมศพ หรือไม่ก็เขียนไว้ในหรีดไว้อาลัยในงานพิธีศพ “Rest in peace” หรือตัวย่อว่า “RIP” ก็คือ “จงพักสงบชั่วนิรันดร์”
นี่ความหมายจริงๆ ของการที่ตั้งใจจะเขียน แต่จริงๆ แล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย เพราะว่าผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว เราสามารถใช้คำว่า RIP กันได้วันนี้เลยทันที เมื่อเชื่อแล้ว ก็เขียนให้ตัวเองได้เลยว่า …
“คุณนคร จง RIP เถิด!”
คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว ที่เขาใช้คำว่า “RIP” เพราะความหมายของคำว่า “RIP” คือเขาหวังว่าเป็นความหวังแบบมนุษย์ธรรมดา คนจากไป เราก็ระลึกถึงเขา ไม่รู้จะพูดอะไรดี แสดงความเสียใจ แล้วบอกว่า “RIP” นะ คือหวังว่าจะได้พักผ่อนอยู่ในสวรรค์อย่างสงบ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ถูกไหมครับ ที่เขาตั้งใจเขียนอย่างนั้น เพราะเขาหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
แต่จากที่เราเรียนรู้ด้วยกันมาแล้ว สวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็น Now คือเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ไม่ต้องรอ สามารถเข้าสวรรค์ได้เลย เข้าด้วยวิธีเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ได้เข้าสวรรค์ทันที คนที่เชื่อแล้ว ตอนนี้ ก็คืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว
แล้ว RIP จะใช้กับคนที่ตายแล้ว ถามท่านทั้งหลายที่เชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่ตายบนกางเขน เพื่อไถ่บาปให้ท่าน เอาบาปของท่านออกไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ซึ่งเป็นตัวอย่างให้กับท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ เหมือนพระองค์ด้วย
เมื่อท่านเชื่อแล้ว ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ถามว่าท่านตายหรือยัง? ก็ต้องตายก่อนสิ แล้วจึงจะบังเกิดใหม่ได้
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”
ในข้อที่ 3 เป็นคำตอบ เพราะท่าน (ท่านคือผู้ที่เชื่อแล้ว) ตายแล้ว วิญญาณตัวตนจริงๆ ของท่านที่ เป็นคนชั่วคนบาป มันได้ตายไปแล้ว
วิญญาณเก่าของท่าน ก่อนที่จะรับเชื่อ เป็นวิญญาณมืดบอด เป็นวิญญาณที่เป็นทาสของมารซาตาน เป็นวิญญาณที่อยู่ในความบาป อยู่ในความสกปรก มันตายไปแล้ว เมื่อตอนที่ท่านเชื่อในข่าวดี และบัดนี้ เดี๋ยวนี้ หรือขณะนี้ Now ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า วิญญาณเก่าท่านได้ตายแล้ว และได้เกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ในข้อ 1 แล้ววิญญาณที่เกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้านั้น ตอนนี้ซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า คือถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์นั่นเอง วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ ท่านก็อยู่ที่สวรรค์นั่นแหละ ทันที เดี๋ยวนี้เลย
สรุปว่าเราใช้ RIP ได้หรือยัง? ได้แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ทำข้อ 1 ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ยังไม่สามารถใช้ RIP ได้นะ เขาจะใช้ให้คุณต่อเมื่อคุณหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แล้ว แต่ถ้าคุณเชื่อแล้ว เชื่อในข่าวดี ทันทีปุ๊บ คุณใช้ได้ทันทีเลยว่า …
“ฉันกำลัง RIP เรียบร้อยแล้วทางฝ่ายวิญญาณ”
พระเจ้าอวยพรครับ