คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2022
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 11
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เราจะมาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ข้อที่ 11 สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 10 ที่บอกว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประณีตบรรจงสร้างเราขึ้นมา ก็คือสร้างสรรค์เราใหม่ เมื่อเราได้บังเกิดใหม่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นครอบครัวใหม่ของพระองค์ วิญญาณเราสะอาดหมดจด พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับพวกเราทุกๆ คนให้เป็นเหมือนวิญญาณของพระเยซูคริสต์ มีชีวิตนิรันดร์แบบเป็นคุณภาพเหมือนพระเจ้า
เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”
เราคุยกันเรื่องของชีวิตนิรันดร์ว่ามนุษย์ถูกสร้างมาให้มีวิญญาณนิรันดร์ แล้ววิญญาณของมนุษย์ทุกคน เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ฉะนั้น วิญญาณนิรันดร์ตรงนี้ ณ เวลานี้ ที่เรามาเชื่อพระเจ้า เรามีวิญญาณนิรันดร์ ที่เป็นคุณภาพ มีธรรมชาติใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราอยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่เป็นนิรันดร์ที่อยู่ในนรก เป็นวิญญาณที่ถูกสาปแช่งนิรันดร์ เป็นวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ก็คือเข้ามาหาพระเจ้า เพื่อเราจะได้มีวิญญาณที่มีคุณภาพเหมือนพระเจ้า
ถ้ามนุษย์ยังรักที่จะพึ่งพาตัวเอง คิดว่าตัวเองสามารถทำได้ ถึงมาตรฐานของพระเจ้า ไม่ยอมมาพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ยังคงอยู่ที่เดิม “ที่เดิม” ก็คืออยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ณ เวลานี้ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แม้ลักษณะเหมือนกับเขายังเป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าคนเหล่านั้น ได้ตายแล้ว ก็คือวิญญาณเขาตายจากพระเจ้า ไม่ได้อยู่ฝั่งพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความมืด อยู่ในคำสาปแช่ง นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
แล้วพระเจ้าก็ได้บอกว่าพระองค์ได้ทรงสร้างสรรค์เราผู้เชื่อทั้งหลาย ที่บังเกิดใหม่ ให้เราสามารถที่จะกระทำการงานดีต่างๆ ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็คือเมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์นี่แหละ จะทรงประกอบกิจ ก็คือทำงานในร่างกายในวิญญาณของเรา ทำให้เราสามารถที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้
เอเฟซัส 2 :11 “เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติ คือไม่ใช่ชาวยิวโดยกำเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” (ซึ่งกระทำทางกาย ด้วยมือมนุษย์) (ชาวยิว) เรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต”
อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ผู้เชื่อ ชาวต่างชาติ ซึ่งหมายถึงพวกเราด้วย พวกเราไม่ได้เป็นชาวยิวโดยกำเนิด แต่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นยิว โดยความเชื่อในวิญญาณ อาจารย์เปาโลกำลังพูดคุยกับคนที่ไม่ใช่เกิดมาเป็นชนชาติยิว เขาเรียกว่าคนต่างชาติ คนไม่มีระดับ คนยิวเขาจะไม่คบหา คนยิวเขาจะมีความรู้สึกว่ามาตรฐานเขาสูงมาก เขาเป็นประชากรของพระเจ้า พระเจ้าทรงเลือกสรรเขาไว้ พระเจ้าเป็นพระเจ้าของเขาคนเดียว อะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าวางแผนตั้งแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แผนการที่ลี้ลับนี้ พระเจ้าก็วางว่าพระเจ้าจะให้คนยิวมาก่อน ก็คือเรียกคนยิวมาเป็นชนชาติของพระเจ้า ให้มาเป็นแบบอย่าง ในการรักษาธรรมบัญญัติของพระองค์ พอถึงพระเยซูคริสต์มา กฎใหม่ ก็คือคนยิวไม่ได้โดยปริยายว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า คนยิวก็ต้องเหมือนพวกเราคนต่างชาติ คือต้องบังเกิดใหม่ ต้องยอมรับความช่วยเหลือ จากพระเยซูคริสต์ เปิดใจรับเอาพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระเจ้าส่วนตัวของเขา ไม่พึ่งพา ในการรักษากฎบัญญัติที่เขาเคยพึ่งพามาตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่บรรพบุรุษเลยว่ารักษากฎบัญญัติตรงนี้นะ เพื่อเขาจะได้เป็นชนชาติของพระเจ้า
พอถึงพันธสัญญาใหม่ปุ๊บ คนยิวก็จะไม่สามารถเป็นแบบนี้อีกแล้ว ไม่ได้โดยปริยายว่าเขาเป็นคนของพระเจ้า คนยิวต้องเหมือนพวกเรา คนต่างชาติ ต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเขา ไม่พึ่งพาความประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติอีกต่อไป เมื่อพระคุณมา ความประพฤติตรงนั้น ก็เท่ากับจบไป บัญญัติเก่าก็จบไป แล้วพระเจ้าบอกว่า …
“ตอนนี้บัญญัติใหม่มาแล้วนะ พวกเธอไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่ต้องพยายามทำตามกฎบัญญัติใดๆ เพราะว่าทำตามกฎ ก็ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นว่าให้มาพึ่งพาในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน”
นั่นแหละ คือเงื่อนไขใหม่ ให้เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ พอเป็นแบบนี้ปุ๊บ คนยิวก็ไม่คุ้นชิน เหมือนกับเขาเคยทำของเขามาตั้งนาน เขาเคยปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่พระเจ้าสั่งโมเสส โมเสสก็สั่งต่อ แล้วเขาก็เคร่งครัดในการปฏิบัติ แล้วเขามีความภาคภูมิใจ รู้สึกว่า …
“ฉันปฏิบัติได้เยอะนะ อยู่ดีๆ บอกฉันไม่ต้องทำแล้ว ให้มาเชื่อพระเยซูอย่างเดียว”
มันรับไม่ได้ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ จนถึงยุคปัจจุบัน คนยิวอีกมากมายที่ไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้ เขามีความรู้สึกว่ามันง่ายไป ให้พึ่งพาพระเยซูอย่างเดียว ก็ได้รับความรอด แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกความรอดนี้ เป็นพระคุณ
เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ เพราะพระเจ้ารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ ไม่ว่าชาติยิว ชาติไหนก็ตาม ไม่สามารถที่จะทำความดี หรือประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ จนครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เพื่อที่จะได้รับความรอด เพื่อที่จะมาคืนดีกับพระเจ้าได้ คือต่อให้ทำดีแค่ไหน? เชื้อที่เขาติดมา คือเชื้อบาป DNA บาป ยังอยู่ที่เดิม เขาจำเป็นต้องเปลี่ยน เปลี่ยนโดยวิธีที่พระเยซูบอก ก็คือการบังเกิดใหม่ แล้วถ้าคนจะเกิดใหม่ ก็ต้องตายก่อน ถ้าไม่ตาย ก็เกิดใหม่ไม่ได้
ฉะนั้น ขบวนการตรงนี้แหละที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราจำเป็นจะต้องบัพติศมาในวิญญาณ คือวิญญาณเราจำเป็นจะต้องไปตายพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู คือบังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงนี้ คือพระคุณ แล้วพอเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ ในข้อที่ 11 ก็เกิดผลเลย ตรงที่ว่าเราไม่ได้เป็นคนยิว แล้วพวกคนยิวเขาก็ดูถูกเรา พวกคนต่างชาติว่าไม่ใช่เป็นประชากรของพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้า ตรงนี้เขาใช้คำว่า “พวกที่เข้าสุหนัต”
พวกที่เข้าสุหนัต ก็คือตอนสมัยของอับราฮัม พระเจ้าก็ทำสัญญากับอับราฮัม ด้วยเลือด เราจะสังเกตว่าพระสัญญาของพระเจ้าทุกอย่างต้องเกี่ยวข้องกับเลือดหมดเลย เพราะเลือด คือชีวิต แล้วพระเจ้าก็บอกว่าให้คนอิสราเอล เริ่มตั้งแต่อับราฮัม ตอนที่อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัต ก็คือขลิบหนังปลายองคชาติ ให้เลือดออก ตอนนั้น อับราฮัมอายุ 99 ปี แล้วพระเจ้าก็ให้ชนชาติอิสราเอลที่เป็นบริวารของอับราฮัม ให้ทำแบบนี้หมดเลย ก็คือผู้ชายทุกคนจะทำพิธีนี้ คือพิธีเข้าสุหนัต เพื่อยืนยันว่าเขาเป็นประชากรของพระองค์ นั่นคือยุคสมัยเดิมนะ พระเจ้าทำอย่างนี้
แต่พอถึงยุคพันธสัญญาใหม่ การเข้าสุหนัต คือเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าก็ใช้เลือดเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เลือดของมนุษย์แล้ว ก่อนหน้านั้น ให้เลือดมนุษย์หลั่งออก เพื่อทำสัญญากับพระเจ้า แล้วจากนั้น พระเจ้าก็ตั้งเงื่อนไข กฎเกณฑ์ว่าคนอิสราเอล ต้องเอาเลือดของสัตว์ที่ไม่มีตำหนิ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ มาถวายเป็นเครื่องบูชาทุกปี เพื่อกลบเกลื่อนบาป ไม่ใช่ลบหายไปเลยนะ กลบเกลื่อนเฉยๆ ปีต่อปี เพื่อมาส่งดอกเบี้ย เพื่อยืดชีวิตที่ตัวเองเป็นประชากรของพระเจ้าเท่านั้น พอตรงนี้ คนอิสราเอลทำมาตลอดเลย โดยใช้เลือดของแกะ หรือแพะ หรือนกพิราบ หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่บาปแต่ละคนเป็นอย่างไร? แต่ว่าถ้าเป็นการถวายเครื่องบูชา เพื่อลบบาปใหญ่ คือปีหนึ่งแค่ครั้งหนึ่ง ก็ต้องใช้ลูกแกะที่ไม่มีตำหนิ อายุกี่ขวบ อะไร พระเจ้าก็กำหนดไว้หมดเลย แล้วต้องนำมาให้กับมหาปุโรหิต เพื่อฆ่าแกะตัวนั้น แล้วจะมีแพะด้วย ตอนที่อธิษฐาน ก็จะเอามือวางที่หัวของแพะ เหมือนเป็นแพะรับบาป แล้วก็ปล่อยไป คือมีขบวนการพิธีเยอะแยะมากมาย แล้วเมื่อฆ่าแกะเสร็จ ก็จะเอาเลือดมาเป็นเครื่องถวายบูชา ตรงนั้นแหละ คือขบวนการสมัยอดีต พอพระเยซูคริสต์มาปุ๊บ พระเยซูได้ใช้พระโลหิตของพระองค์เอง ก็คือเดินเข้าไปที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์
ฉะนั้น เมื่อก่อน เลือดของสัตว์ชำระได้ปีต่อปี แล้วไม่ใช่ปีหนึ่งทำครั้งเดียว พอคนอิสราเอลทำบาปปุ๊บ ก็ต้องดูว่าบาปเล็กหรือบาปใหญ่ บาปขนาดไหน แล้วบาปแต่ละชนิด พระเจ้าก็มีข้อกำหนดด้วยว่าถ้าทำผิดอย่างนี้ สมมติว่าไปขโมยของของพี่น้อง ต้องเอาอะไรมาถวายเป็นเครื่องบูชา เพื่อลบบาป แล้วไม่ใช่ถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวนะ ต้องเอาของที่ขโมย มาคืนให้กี่เท่า สมัยก่อนมีคืนให้ 2 เท่า 3 เท่า แล้วแต่ แต่ละอย่าง คือข้อกำหนดเยอะมาก คนอิสราเอลเขาก็ทำตามมาตลอด แต่ว่าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทำผิดแล้วผิดอีกอะไรอย่างนี้ พอถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าบอกว่าพระเยซูตายแค่ครั้งเดียว หลั่งพระโลหิตแค่ครั้งเดียว โลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะผู้เชื่อบนโลกใบนี้ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่เราจะทำอีก ชำระหมด เที่ยวเดียวจบเลย ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น พระเยซูไม่ต้องมาทำแล้วทำอีก เหมือนกับสมัยโบราณ ที่คนอิสราเอลต้องเอาแกะ เอาแพะมาถวายเป็นเครื่องบูชา ปีหนึ่งครั้งหนึ่ง แล้วก็บาปเล็กบาปน้อย เอามาถวาย อาจจะเรียกว่าทุกวี่ทุกวัน เพราะว่าคนทำบาปทุกวันอยู่แล้ว
ตรงนี้แหละ คือพระคุณ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระคุณตรงนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำให้สำเร็จแล้ว การหลั่งพระโลหิตของพระเยซูได้ชำระล้างความผิดบาปของเราเรียบร้อยแล้ว พระเยซูยอมละวิญญาณของพระองค์เอง คือยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อว่ามนุษยชาติจะได้สามารถไปตายพร้อมกับพระองค์ ถ้าไม่ตาย ก็เกิดใหม่ไม่ได้ ก็ยังอยู่ในบาปอยู่ ตายพร้อมกับพระองค์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระองค์ ในภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “บังเกิดใหม่” เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เป็นครอบครัวของพระเจ้า เข้ามาอยู่ฝ่ายพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ก็คือเข้ามาคืนดีกับพระเจ้า
ก่อนหน้านั้น เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่คนละฝั่งกับพระเจ้า อยู่ในความตาย อยู่ในความบาป แต่พอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าบอกวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่เลย ไม่ใช่ว่าต้องมาซ่อมแซม หรือว่ามาชำระตลอด ไม่ใช่ เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา เป็นเหมือนวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พอเราได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าตรงนี้แหละ คือพระพรที่พระเจ้าให้ เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ โดยที่เราไม่สมควรได้รับเลย เราเป็นคนบาป เราควรจะได้รับกรรม หรือได้รับโทษตรงนี้ แต่พระเจ้าบอกว่าถ้าขืนปล่อยให้เธอทำ เพื่อลบล้างบาป ลบล้างโทษ สงสัยไม่ไหว คืออย่างไรก็ทำไม่ได้ พระเยซูก็เลยถูกส่งมา เป็นแผนการตั้งแต่เริ่มต้น
พระเยซูทำเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วมาอยู่กับสาวก 40 วัน … 40 วันที่เดิน กิน นอนด้วยกันกับสาวก สาวกเห็นพระเยซู คือร่างกายที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แล้วเป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี แต่จำกันได้อยู่ว่าเป็นพระเยซูคริสต์ และเป็นร่างกายที่ไม่ถูกจำกัดด้วยสถานที่ ก็คือก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระเยซูไปไหน ไปได้ที่เดียว แล้วต้องใช้เวลาเดินทาง ต้องเดินบนบก หรือลงเรือ ข้ามฟากอะไรต่างๆ คือต้องใช้เวลาเดินทาง แต่หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย คือไม่ต้องใช้เวลาเดินทาง พระเยซูจะมาตอนไหน? พระองค์ก็มาเลย
ภาพนี้เป็นภาพเดียวกันกับในอนาคตข้างหน้า เมื่อผู้เชื่อละร่างกายนี้ วิญญาณเราออกจากร่าง เราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็คือเราจะเป็นเหมือนพระเยซูเลย ฉะนั้น พระเยซูมา เพื่อให้สาวกได้เห็นว่าพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ แล้วตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ ยังมีสาวก โธมัสไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่
“ไม่ได้ ฉันไม่เชื่อหรอก ต้องให้ฉันเอานิ้วมาแหย่ที่รอยตะปู เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นพระเยซูจริงๆ”
พระเยซูก็ให้ดูเลย พอมาเจอโธมัส มาๆ เอานิ้วมาแหย่ เราจะเห็นภาพความรัก ความเมตตา ที่พระเจ้ามีต่อมนุษยชาติ หลายคนคิดว่าเราเป็นคริสเตียน ถ้าเราสงสัยพระเจ้า พระองค์จะโกรธเราไหม? โธมัสเป็นตัวอย่างที่ดีนะ โธมัสสงสัยเหมือนกัน เขาไม่ได้เชื่อเลย
เมื่อเพื่อนๆ บอกว่า … “องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนะ เราเห็น”
โธมัสบอก … “ไม่เชื่อๆ” ต้องเห็นด้วยตาของตัวเอง ต้องเอานิ้วแหย่ด้วยมือของตัวเอง สัมผัสด้วยตัวเองว่าเป็นจริงๆ เขาถึงจะเชื่อ แล้วพระเยซูก็ไม่เคยโกรธเลย พระองค์บอกมาๆ เอานิ้วมาแหย่เลย เพื่อพิสูจน์ว่าเราเป็นพระเจ้า แล้วเราได้บังเกิดใหม่จริงๆ ได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ
ซึ่งความสงสัยตรงนี้ ก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา อย่างปัจจุบัน ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วผู้เชื่อ ตอนนั้นคนที่ติดตามพระเยซู ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ อย่างตอนที่พระเยซูอยู่ด้วย 40 วัน คือสาวกที่ติดตามพระองค์ยังไม่ได้บังเกิดใหม่เหมือนพวกเรา คือพระเยซูให้รอ รอตามพระสัญญาที่พระองค์บอกว่าพระองค์จะส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์มาสถิตอยู่ในผู้เชื่อ แล้วเมื่อวันเพ็นเตคอส ก็คือหลังจาก 40 วัน ตอนที่พระเยซูลอยขึ้นไปที่สวรรค์ พระเยซูบอกว่าให้ไปรอ แล้วก็ให้ออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์
ดังนั้น คำว่า “รับบัพติศมา” ของพระเยซูคริสต์ตรงนี้ สมัยก่อน เราก็เข้าใจว่าพระเยซูสั่งว่าให้เราไปประกาศ ให้คนมาเชื่อพระเจ้า พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ก็ให้ผู้เชื่อมาบัพติศมาในน้ำ เป็นพิธีที่แสดงว่าคนนั้นได้กลับใจใหม่ แล้วเราก็ทำอยู่แค่นี้ แต่ว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พระเยซูไม่ได้หมายถึงการบัพติศมาในน้ำ
การบัพติศมาในน้ำ ทำดีไหม? ดี แต่ไม่มีผลกับวิญญาณเรา ต่อให้เราบัพติศมาในน้ำกี่ครั้งก็ตาม แต่ถ้าวิญญาณเราไม่ได้บังเกิดใหม่ มันก็ไม่มีผลอะไร เราก็อยู่ที่เดิม เราไม่ได้เชื่อพระเจ้าจริงๆ เราไม่ได้รับเอาพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเราจริงๆ ไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระองค์จริงๆ ไม่ได้กลับใจใหม่ ไม่ได้ตายกับพระองค์ ไม่ได้เป็นขึ้นมากับพระองค์ เราก็ยังอยู่ที่เดิม คือวิญญาณเก่าของเราอยู่ที่เดิม อยู่ในความบาปและความตายเหมือนเดิม
ฉะนั้น การทำพิธีบัพติศมาในน้ำไม่มีผลอะไรกับวิญญาณเรา แต่ว่าวิญญาณเรา เมื่อบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้าเลย ลูกพระเจ้าที่ต่อให้คนๆ นั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เชื่อปุ๊บ เขาตายไปเลย คือจากไปอยู่กับพระเจ้าเลย โดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีบัพติศมาในน้ำเลย อ้าว! ตกลงเขาจะรอดหรือไม่รอด? คือโดยความคิดของมนุษย์ หรือเราถูกสอนมา เราคิดว่าไม่รอดแน่เลย เพราะว่ายังไม่ได้ทำอะไรให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่เขากำหนดไว้ว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องบัพติศมาในน้ำ ต้องอย่างโน้นต้องอย่างนี้ แต่ความเป็นจริงในโลกวิญณาณ ก็คือเมื่อเขาเชื่อปุ๊บ วิญญาณเขาได้รับความรอดทันที ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันทีเลย ก็คือเขาเป็นลูกของพระเจ้าทันที วิญญาณเขาได้รับการบังเกิดใหม่ เปลี่ยนแปลงใหม่เลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันที แล้วต่อให้เขาไม่ได้บัพติศมาในน้ำ เมื่อเขาจากโลกนี้ไป วิญญาณเขาก็อยู่ที่เดิม คืออยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เหมือนเดิม นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
ซึ่งหลายๆ ครั้งเราก็ถูกหลอก ไปให้ความสำคัญกับพิธีกรรมมากกว่าความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกเราว่าความจริง คือแบบนี้ พระเยซูจึงบอกว่าให้ทำตามความจริง ก็คือมนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องบัพติศมาในพระวิญญาณ เมื่อพระวิญญาณบัพติศมา ก็คือเอาวิญญาณเราไปตาย ฝัง เป็นขึ้นมา นี่คือขบวนการบัพติศมาที่แท้จริงในถ้อยคำของพระเจ้า
ฉะนั้น พอถึงวันเพ็นเตคอส ที่พระเยซูบอกให้สาวกไปรอ พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาอยู่เหนือผู้เชื่อ ครั้งแรก เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ก็คือผู้เชื่อที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ร่างกายถูกชำระให้บริสุทธิ์ วิญญาณถูกเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจถูกเปลี่ยนใหม่ แล้วบริสุทธิ์ถึงขนาดที่พระเจ้าสามารถรับได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในผู้เชื่อได้ แปลว่าทันทีที่เราเชื่อ พระเจ้าทำขบวนการนี้เสร็จสมบูรณ์เลย เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจดเลยตั้งแต่วันนั้น ตั้งแต่วินาทีนั้นเลย ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า
ฉะนั้น ความจริงตรงนี้จะทำให้เราสามารถเป็นอิสรภาพ เราจะไม่ถูกหลอกว่า …
“ร่างกายเธอสกปรกอยู่นะ เธอไม่สะอาด เพราะ …”
ไม่สะอาด เพราะอะไร? “เพราะเธอยังทำบาปอยู่ไง แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเธอสะอาดแล้ว ฉันชำระจนสะอาด ถ้าเธอไม่สะอาด ฉันเข้ามาอยู่ด้วยไม่ได้ ถ้าอยู่ด้วย เธอตาย” นี่คือความจริง
พระเจ้าบริสุทธิ์มาก บริสุทธิ์ถึงขนาดที่ว่าถ้ามาเจอความบาป คนบาปอยู่ใกล้พระเจ้าตายทันที พี่น้องจำตอนที่กษัตริย์ดาวิดไปนำเอาหีบพันธสัญญาของพระเจ้ากลับมาได้ไหม? นี่พระคัมภีร์เดิม แค่กฎระเบียบที่พระเจ้าตั้งไว้ หีบพันธสัญญา มนุษย์ไม่สามารถเอามือเปล่าๆ แตะได้เลย แตะปุ๊บ ตาย นั่นคือเงื่อนไข กฎ
ตอนที่เอาหีบพันธสัญญาเดินทาง แล้วเกวียนตกหล่ม คนที่ดูแลเกวียนอยู่ เขาก็กลัวหีบพันธสัญญาหล่นลงมา เขาก็เอามือไปช้อน ช้อนปุ๊บ ตายเลย ที่ตายไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าโกรธ แล้วพระเจ้าก็ทำให้เขาตายไม่ใช่ แต่มันเป็นกฎ กฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือความบาปกับความบริสุทธิ์ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเธอยังเป็นคนบาปอยู่ เธอมาแตะต้องหีบพันธสัญญา สมัยก่อนเขาเรียกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แตะต้องการทรงสถิตของพระเจ้า เธอตายอย่างเดียวเลย นั่นคือกฎ
แล้วพี่น้องลองคิดดูจะมีมนุษย์คนไหนที่สามารถสะอาดบริสุทธิ์ จนพระเจ้ารับได้ ไม่มีทาง พระเจ้าเลยต้องส่งพระเยซูคริสต์มา พอพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา พระเจ้าก็ชำระเราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจดทุกอย่างเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร พระเจ้าทำให้หมด โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ หลั่งพระโลหิต ถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย ขบวนการนี้ทำสำเร็จเรียบร้อย แล้วใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรื่องราวนี้ แล้วเราเดินเข้ามาบอกพระองค์ว่า …
“พระองค์เจ้าข้า ลูกต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า” … คนนั้นได้เลย
นั่นคือเงื่อนไข ที่พระเจ้าตั้งไว้ เขาก็จะได้รับความรอด ได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับมนุษยชาติ คือทันที เขาได้บังเกิดใหม่ เขาได้เป็นลูกของพระเจ้า แล้วขณะเดียวกัน พระเจ้าไม่ได้เฉพาะพุ่งเป้าที่วิญญาณเท่านั้น หลายคนอาจจะคิดว่าวิญญาณจ๋า พูดแต่วิญญาณ แล้วเราอยู่บนโลกใบนี้ทำอย่างไรล่ะ เรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเจอความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าไม่สนใจหรือ? ถามว่าพระเจ้าไม่สนใจเราจริงหรือ? ไม่จริงนะ พระเจ้าสน พระเจ้าดูแล พระเจ้าสัญญากับเราว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะสถิตอยู่ด้วย นั่นสมัยที่พระเจ้าสัญญานะ “จะ” สถิตอยู่ด้วย แต่ ณ เวลานี้ คำว่า “จะ” ไม่มีแล้ว
ผู้เชื่อไม่ใช้คำว่า “จะ” จะ แปลว่ายังไม่มา อนาคตจะมา แต่ผู้เชื่อใช้คำว่า “พระเจ้าอยู่ด้วย” ก็คืออยู่แล้ว ตอนนี้พระองค์อยู่กับเราแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าบอกว่าจะ ในอนาคตข้างหน้า ถ้าเธอเปิดใจปุ๊บ ฉันไปเลยนะ เข้ามาอยู่ในนี้
ดังนั้น ตอนนี้เราไม่ใช้คำว่า “จะ” ก็คือพระเจ้าอยู่ด้วย อยู่ในเรา แล้วพระองค์ก็ทรงนำพาชีวิตของเรา จูงมือเรา ให้สติปัญญาเรา ให้กำลังเรา ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่เคยทิ้งเราเลยแม้แต่วินาทีเดียว อยู่ด้วยตลอด
ตรงนี้แหละ คือพระสัญญา แล้วพระองค์ก็ยังทรงสัญญาว่าพระองค์ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าก็เริ่มต้นการงานดี ในชีวิตของเราแล้ว พระองค์ก็จะคอยประคบประหงม ดูแล ให้คำปรึกษา คอยแนะนำเราว่า …
“ตรงนี้ ลูกเอ๋ย ทำอย่างนี้ดีนะ ลูกจะได้ประโยชน์ คือไม่ต้องทุกข์มากบนโลกใบนี้ ลูกทำอย่างนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไรนะ เดี๋ยวลูกจะกินผลของมัน ลูกก็จะทุกข์”
พระเจ้าจะคอยช่วยเหลือ แล้วตรงนี้แหละว่าพระองค์จะประคับประคองวิญญาณเรา ถึงวันสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราจะล้มลุกคลุกคลานอย่างไร? วิญญาณเรารอดแน่นอน เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ แล้วให้เรารับรู้ ความจริงอีกอันหนึ่ง คือขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เรายังต้องเผชิญกับการทำผิดทำบาป อาจจะทุกวี่ทุกวัน จริงๆ ไม่อาจจะ มันทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าแค่เราคิดไม่ดี นั่นคือบาปแล้ว ก็คือทุกวี่ทุกวัน แล้วเราจะชนะมันได้อย่างไร? ชนะวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราทิ้งร่างกายนี้ ร่างกายที่ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย เมื่อถูกทิ้งไปปุ๊บ เราไปรับร่างกายใหม่ ตอนนี้เราไม่ต้องลุ้นแล้ว
ตอนที่เราไปอยู่กับพระเจ้า อวัยวะส่วนที่ไปกับพระเจ้า ก็คือวิญญาณ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่เลยใช่ไหม? สะอาด บริสุทธิ์ ก็คือไปอยู่กับพระเจ้า ความคิดจิตใจเราก็ถูกเปลี่ยนจนสะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม? ไปกับพระเจ้า ส่วนร่างกายไม่ไปด้วย เพราะร่างกายนี้ไปกับพระเจ้าไม่ได้ ยังอยู่ในโลกนี้ อยู่ในความบาปและความตาย ฉะนั้น เราต้องทิ้งร่างกายเก่านี้ ที่พระเจ้าบอกว่าเจ้าถูกสร้างมาจากดิน เจ้าต้องกลายเป็นผงคลีดิน วันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าพูดอย่างนี้เลย ก็คือมนุษย์ยังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าไม่เอาเรากลับบ้านเลย พระองค์มีงานให้เราทำ ก็คือสำแดงธรรมชาติใหม่ของเรา ที่เป็นลูกของพระเจ้าให้กับผู้คนอื่นๆ ได้รับรู้ เป็นการปะกาศพระเยซูคริสต์อีกรูปแบบหนึ่ง
ตรงนี้แหละ พระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน บางคนพระเจ้าก็ใช้เขา คืองานเขามีน้อย พองานเขามีน้อย จบงานพระเจ้าก็เอาเขากลับบ้าน หลายคนเราเห็นว่าคนนี้ยังเด็กอยู่ ทำไมพระเจ้าเอาเขากลับบ้าน พระเจ้าบอกงานเขาจบแล้ว พระเจ้าก็ให้เขากลับบ้าน กลับบ้านไปทำอะไร? ไปพักผ่อนไง เหมือนเราตื่นแต่เช้าไปทำงาน เราก็รอเวลาที่จะเลิกงาน 5 โมงเย็นดีจังเลย พอถึงเวลา 4 โมง 50 อีก 10 นาที เดี๋ยวเราได้กลับบ้านแล้ว ภาพเดียวกันเลย เราอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนอาจารย์เปาโลบอก อยู่เพื่อรับใช้ ตายก็ได้กำไร ก็คืองานเราจบ พระเจ้าก็บอกจบงานแล้วนะ ไป ไปพักผ่อน ก็เอาเรากลับบ้าน ตรงที่เอาเรากลับบ้านนี่แหละ คือวิญญาณเราจะออกจากร่าง ด้วยวิธีอะไรก็ได้ วิธีอะไรไม่เกี่ยง เราเป็นคริสเตียน ตายด้วยวิธีอะไร ก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณเรา อาจจะถูกอุบัติเหตุตาย ถูกรถชนตาย เดินไม่ดี สะดุด หัวไปฟาดฟุตบาทตาย อะไรแบบนี้ มันก็ต้องตาย คือตายจากปุ๊บ วิญญาณเราก็ออกจากร่าง ไปอยู่กับพระเจ้า ไปรับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกหลอก
คริสเตียนที่เดินกับพระเจ้า รับรู้ความจริงว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? รับรู้ความจริงว่าที่เราได้รับความรอด รอดโดยพระคุณ แล้วพระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้เราทำอย่างเดียวเลย หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเชื่อและวางใจในพระองค์ แค่นั้นเอง
ตอนที่คนยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า พวกสาวกเขาก็ถามพระเยซูว่า … “งานของพระองค์คืออะไร?”
งานตอนนั้นยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ งานของพระองค์ พระเยซูบอกว่า … “งานเดียวที่พวกเธอต้องทำ คือเชื่อ วางใจในผู้ที่พระเจ้าส่งมา คือเชื่อฉันนั่นแหละ ฉันคือผู้ที่พระเจ้าส่งมา ฉันคือพระมาซีฮาห์ ฉันคือพระผู้ช่วยให้รอด มีฉันคนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยเธอให้รอด แค่เธอเชื่อวางใจฉัน งานแค่นี้เอง เธอก็ได้รับความรอด”
พอจากนั้น เมื่อเราได้รับความรอดปุ๊บ เราก็จะถามอีก เพราะว่าเราถูกธรรมชาติเดิม ที่ความเคยชิน มนุษย์เขารู้สึกว่าเราต้องทำงาน เราต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อแลกกับอะไรสักอย่างหนึ่ง มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่อยู่ในความบาป พระเจ้ารู้ คือยากมาก การที่จะบอกมนุษย์ว่าไม่ต้องทำอะไร ให้เชื่ออย่างเดียว เชื่อ พระเจ้าทำให้หมดแล้ว มันยากมากเลยนะ
แต่คำว่า “เชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย” ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าให้เรานอนแน่นิ่ง กินลม ไม่ใช่ คำว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลย” หมายความว่าไม่ต้องทำอะไร ด้วยกำลังของเราเอง ด้วยความคิดของเราเอง ด้วยสติปัญญาของเราเอง แต่ให้เราแค่รับรู้ว่าเราเป็นใคร? มาจากไหน? เราได้รับอะไรบ้าง? พอเรารับรู้เยอะๆ แล้วพระเจ้าจะเป็นคนผลักเราออกไป พูดอีกนัยหนึ่ง คือพระเจ้าจะเป็นคนป้อนงานให้เรา ไม่ใช่เราพยายามอยากทำ เวลาพระเจ้าป้อนงานให้เรา พระเจ้าแบ็คเราอยู่
สมมติว่าพอเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร? แล้วเราก็คอยพระเจ้านิ่งๆ คอยพระเจ้า แล้ววันหนึ่งพระเจ้าจะใช้เรา สมมติพระเจ้าเห็นว่าตรงนี้มีคนๆ หนึ่งที่ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เขาจะเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วพระเจ้าจะใช้เรา เป็นเครื่องมือของพระองค์ พระองค์จะทำงานในใจเราว่าตอนนี้ คนนี้ต้องการการช่วยเหลือ เธอไปคุยเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง แค่นี้เอง
นี่คือการทำงานตามพระวิญญาณ ตามที่พระเจ้าบอกเรา ไม่ใช่ว่าเราต้อง ต้องทุกวัน ไปหาใครก็ตามที่เราจะไปสำแดงความรัก เราทำไม่ไหวหรอก เพราะว่าเราไม่มีกำลังขนาดนั้น เป็นกำลังของเราเอง แต่ถ้าเป็นกำลังจากพระเจ้า มันง่าย เมื่อพระเจ้าบอกเราปุ๊บ เราก็เอเมน เราก็ไปทำ แล้วมันก็ง่ายมากเลย พูด 2 คำเชื่อแล้วหรือ? เพราะว่าไม่ใช่ฝีมือเรา ที่เราไปประกาศ แล้วทำให้คนเชื่อ ไม่ใช่ฝีมือเราเลย เราเป็นแค่เครื่องมือให้กับพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าบอกตอนนี้ ฉันจะใช้เธอนะ ไป พอทำเสร็จ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นคนทำงานทั้งหมดเลย แล้วคนนั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอเราทำเสร็จ ก็ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าใช้เรา ทำแค่นี้ งานแค่นี้ใช่ไหม? งานใหม่ยังไม่มา เราก็ไม่ต้องพยายามต้องไปดิ้นรนขวนขวายทำ เพื่อให้มันรู้สึกว่าเราได้ทำอะไรซะบ้าง ไม่ต้อง พระเจ้าบอกอยู่นิ่งๆ ถึงเวลา พระองค์ก็จะนำเราออกไป โดยง่ายๆ เนียนๆ ไม่ต้องไปพยายามดิ้นรน นี่คืองานของพระเจ้าจริงๆ ทำตามพระวิญญาณ
ยกตัวอย่างนางมารีย์กับมาธา เราจะเห็นภาพเลย มนุษย์ ที่ธรรมชาติเดิมของเรา เราเหมือนมาธาเลย เราชอบทำ ไม่ใช่ชอบธรรม เรารู้สึกเราได้ทำโน่นทำนี่ เหมือนเรามีค่า เรามีประโยชน์ หรือมีอะไรสักอย่างหนึ่ง ดูดี แต่กลับกัน สำหรับพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าพระเจ้าเป็นผู้นำเราทำ งานนั้นจะเล็กหรือน้อย มันจะเป็นพรให้กับคนอื่น
มารีย์กับมาธา เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูไปเยี่ยมเยือนมารีย์มาธาบ่อย ครอบครัวนี้มีน้องชายชื่อลาซารัส มารีย์เป็นคนที่นั่งใกล้พระบาทพระเยซู ภาพคือเขาเป็นคนที่นั่งอยู่ที่แทบพระบาทพระเยซูคริสต์ ฟังถ้อยคำของพระเจ้า เขาอยากรู้ว่าพระเยซูคริสต์พูดอะไร? ถ้าเปรียบเหมือนปัจจุบัน ก็คือผู้เชื่อที่จดจ่อ จดจำ ให้รู้ว่าถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร? ว่าตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นอย่างไร? เรามีอะไรเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือนั่งฟัง จดจ่อมากเลย อยากรู้ว่าพระเยซูจะคุยอะไร? นี่ภาพมารีย์
อีกภาพหนึ่ง มาธา พระเยซูเสด็จมาถึงบ้านเลยนะ มาธาตื่นเต้นที่พระเยซูมา ไปทำกับข้าวกับปลา ทำโน่นทำนี่เยอะแยะมากมาย ทำด้วยกำลังตัวเองไง เหนื่อย พอเหนื่อยมาฟ้องพระเยซูอีก
“พระองค์เจ้าข้า เตือนมารีย์หน่อย ไม่ยอมไปช่วยงานเลย มานั่งอยู่กับพระเยซูอยู่นั่นแหละ”
แต่พระเยซูพูดกับมาธาว่า … “มาธา เจ้าวุ่นวายด้วยเรื่องเยอะมาก คือหลายสิ่ง แต่หลายสิ่งที่เธอทำ ไม่ได้เป็นน้ำพระทัยของฉัน ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอทำซะขนาดนั้นหรอก เธอมานั่งฟังฉันดีกว่า”
แต่สิ่งที่มารีย์ทำ คือเขาทำสิ่งที่ดีที่สุด แล้วไม่มีใครสามารถแย่งไปจากเขาได้เลย ก็คือเขารับมาเต็มๆ รับถ้อยคำจากพระเยซูมาเต็มๆ
เหมือนกัน หลายคนอาจคิดว่าเราทุกวันมัวแต่มาดูว่าพระเยซูเป็นใคร? พระเยซูทำอะไรสำเร็จ? พวกนี้วันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย ประกาศ ก็ไม่เห็นออกไปประกาศ เยี่ยมเยือนก็ไม่ออกไปเยี่ยมเยือน เขาทำอะไรกัน ผู้รับใช้ที่นี่ขี้เกียจดีเนอะ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่พระเยซูบอก ก็คือถ้าเราจดจ่อตรงนี้แล้วรับรู้ความจริงตรงนี้ ความจริงตรงนี้มันคือฤทธานุภาพ ที่เรานำมาบอกกับผู้เชื่อ บอกกับสมาชิก เพื่อเขารับรู้ความจริง แล้วเขาจะเกิดผลในโลกวิญญาณ เมื่อเขารับรู้ความจริง เขาจะสามารถแข็งแกร่ง เขาจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า ไม่ใช่กำลังของตัวเอง ไม่ใช่พยายามต้องๆๆๆๆ
พระเยซูบอกว่า “ต้อง” อย่างเดียวของผู้คนบนโลกใบนี้ คือต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากนั้นไม่มีคำว่า “ต้อง” แล้ว ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องมาโบสถ์ ต้องถวายทรัพย์ ต้อง คือตรงนั้น ไม่มีแล้ว แต่พระเยซูใช้คำว่า “ควร” ควรทำ
การมาโบสถ์ดีไหม? ดี แต่ถ้ากลายเป็นกฎว่าต้องมา ถ้าไม่มา พระเจ้าไม่รัก อันนั้นไม่ดี ไม่ถูกต้อง เพราะว่าต่อให้เรามาโบสถ์ หรือไม่มาโบสถ์ พระเจ้าก็รักเราเท่าเดิม ไม่มีรักเยอะกว่านี้ คือตายแทนเราบนไม้กางเขน 1 ชีวิต ต่อให้เราไม่อ่านพระคัมภีร์ ต้องนะต้อง ไม่อ่านพระคัมภีร์เดี๋ยวเราจะไม่รัก ก็ไม่ใช่
เมื่อไรที่ใช้คำว่า “ต้อง” เราต้องใช้กำลังเราเองทำ พระเจ้าบอกว่าควรทำ ควรเข้ามารับรู้ความจริง เราอ่านพระคัมภีร์ เพื่อเราจะรับรู้ความจริงว่าพระเยซูพูดอะไร? พระเยซูทำอะไรเรียบร้อยไปแล้ว? อะไรที่ทำเรียบร้อยไปแล้ว เรารับเอา อะไรที่พระเยซูบอกว่าตรงนี้ยังไม่เรียบร้อย รอ เราก็รอ หรือช่วงที่พระเยซูจะทำงานในจิตใจของเราว่าตอนนี้ให้ไปทำอย่างนี้นะ เราก็ไปทำตามนั้นนั่นแหละ แค่นั่นเอง ฉะนั้น ไม่มีคำว่าต้อง หลังจากเราเชื่อพระเจ้า ข้างในเราทำทุกอย่าง ด้วยใจรัก ด้วยความเต็มใจ ตรงนั้นแหละ คือพระพร เราถวายด้วยความเต็มใจ เรามาโบสถ์ด้วยความเต็มใจ เราอ่านพระคัมภีร์ด้วยความเต็มใจ เราอธิษฐานด้วยความเต็มใจ เพราะเรารักพระเจ้า
ไม่ใช่ถูกบังคับมา พี่เลี้ยงสอนเราว่า “ต้อง”
“ไม่ได้นะ ถ้าเธอไม่มาโบสถ์ พระเจ้าจะไม่รัก”
อย่าให้ใครหลอกเราอย่างนี้ พระเจ้ารักเราเท่าเดิม เหมือนที่เมื่อเช้าอาจารย์หนุ่ยบอก ก็คือพระเจ้ารักเราเท่าเดิม ต่อให้เราไปทำบาป พระเจ้าก็ยังคงรักเรา เหมือนพ่อแม่ ไม่มีพ่อแม่คนไหนเกลียดชังลูก ก็คือลูกทำไม่ดี เราเสียใจ เรากังวลแทนเขา ถ้าเขาทำไม่ดี เขาจะรับผล แค่นั้นเอง แต่ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรัก ที่เรามีต่อลูกได้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ในพระคัมภีร์บอก พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์รักเรามากกว่านั้นอีก รักขนาดยอมสละชีวิตของพระองค์เอง เพื่อเรา ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราแม้แต่นิดเดียวว่า …
“เราทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักเรา เธออธิษฐาน ก็ไม่อธิษฐาน เดี๋ยวนี้อธิษฐานน้อยนะ พระเจ้าจะไม่รัก”
อย่าเด็ดขาด การอธิษฐาน คือเราคุยกับพระเจ้า เหมือนเราคุยกับพ่อ เราสามารถคุยได้ตลอดกับพระเจ้า แล้วเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ คืออะไรก็ตามที่เราทำ แล้วข้างในเราไม่ฟ้องผิด นั่นแหละ คือตามพระวิญญาณ ถ้าเราทำตามเนื้อหนัง มันจะตามมาด้วยการฟ้องผิด นึกออกไหม? มันจะตามมาเลย เราไม่น่าทำเลย อะไรแบบนี้
ฉะนั้น การทำตามพระวิญญาณ ก็คือถ้อยคำมีระบุไว้แล้วว่าธรรมชาติใหม่ เราเป็นแบบไหน? ถ้าเราทำตามนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความรัก เท่ากับเรากำลังทำตามพระวิญญาณ ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชัง เรากำลังสนองกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง แต่ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตแบบไหน พระเจ้ายังรักเราเท่าเดิม แล้วความรอดยังเป็นของเรา วิญญาณเรายังอยู่ในพระเจ้าอยู่ พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พ่อค้าคนหนึ่ง ขนสินค้าจำนวนมาก จะไปขายต่างเมือง โดยเอาลาและม้าไปอย่างละหนึ่งตัว และด้วยความที่พ่อค้าเขาอยากจะถนอมม้าไว้ เอาไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น ม้าเอาไว้สำหรับขี่เร็วได้ เขาก็เลยจัดสินค้าทั้งหมด เอาไปไว้บนหลังลา แล้วให้ม้าเดินตัวเปล่าไป ไม่ต้องแบกอะไรเลย ก็ให้ลาแบกเพียงผู้เดียว ม้าก็บอกว่าอย่างนี้ก็สบายจัง ไม่ต้องทำอะไรเลย เดินผิวปาก สบายใจ
แต่สำหรับลา เมื่อถูกให้แบกของหนัก พอมันเดินไปได้ครึ่งทางเท่านั้น มันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า
หมดแรง ลาก็เลยหันมาหาเพื่อน คือม้า แล้วก็บอกม้าว่า …
“ม้าข้าเริ่มรู้สึกหมดแรงแล้ว ถ้ายังขืนแบกของบนหลังต่อไปนะ อีกนิดเดียว ข้าตายแน่ ไม่ไหวแล้ว เพื่อนม้าพอจะแบ่งเบาภาระข้าสักนิดได้ไหมเนี้ย เอาแบ่งไปสักหน่อย เอาสักนิดหนึ่งก็ยังดี ช่วยหน่อยนะเพื่อนรัก ไหนบอกรักข้าไง”
ฝ่ายเจ้าม้าผู้หยิ่งทะนง พอได้ยินลา ร้องขอความช่วยเหลือ ก็หันไปพูดอย่างเพื่อนที่ไร้น้ำใจ …
“ฮิ ฮิ ฮิ ได้หมด ถ้าสดชื่น แต่ตอนนี้ข้าไม่สดชื่นเลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้ เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าข้าไม่มีหน้าที่แบกของหนักๆ การแบกของหนักๆ เป็นหน้าที่ของเจ้า ข้าเป็นม้านะ เจ้าเป็นลา ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ให้เจ้านายขี่เท่านั้นเอง ข้าคงไม่สามารถช่วยเจ้าได้หรอก ฮิ ฮิ ฮิ ตัวใครตัวมันนะ”
ม้ามันก็เดินหัวเราะฮิฮิ ไปเรื่อยๆ
ได้ยินดังนั้น เจ้าลาผู้น่าสงสารก้มหน้าก้มตาแบกของทั้งหมด แล้วก็อดทนเดินต่อไป ไม่รู้จะทำอย่างไร? แต่ว่าเพียงเดินต่อไปไม่กี่ก้าว มันก็ล้มลง และขาดใจตายไปเลย พ่อค้าเห็นดังนั้น ก็เลยขนสินค้าทั้งหมด จากหลังลา เอาไปไว้ที่หลังม้า แค่นั้นยังไม่พอ ยังเอาศพลาที่ตายให้ม้าแบกไปด้วย เพราะศพลาก็มีราคา จะได้ไปขายในเมืองด้วย
เพราะฉะนั้น ม้าได้รับ 2 ต่อ ต้องแบกของทั้งหมดนั้น รวมทั้งศพของเพื่อนด้วย หนัก เห็นไหมครับ? เพราะม้าไร้น้ำใจ ไม่ช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระ ความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนลา ผลสุดท้าย มันก็แบกหนักขึ้นไปอีกกว่าเพื่อนด้วยซ้ำไป ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลาอีก อาจจะไม่ตายนะ แต่คางเหลืองไปจนตาย ม้าจะทุกข์ทรมานไปจนตาย เพราะมันต้องทำงานหนัก ถ้ามันตาย ก็ดี แต่ถ้ามันไม่ตาย มันก็ทุกข์ทรมานหนักกว่าลาอีกเยอะมาก จนกว่ามันจะสิ้นชีวิตไป เพราะมันต้องทำงานแทนลาทั้งหมด ถ้าเจ้าม้ามันรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้จักแบ่งเบาภาระผู้ที่อยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่แรก ซึ่งม้ามันก็คงไม่รู้ตัว มันกำลังทำไม? มันนึกว่ามันไปช่วยลาใช่ไหม? แต่จริงๆ มันช่วยใคร? มันช่วยตัวเองอยู่ เห็นไหม?
ถ้าม้าบอกว่า … “โอเค แบ่งมา”
มันก็นึกว่ามันกำลังช่วยลา ลาจะขอบคุณมัน มันไม่รู้ตัวหรอก ที่ทำไป มันช่วยตัวเองในอนาคต
บางครั้งเราเห็นว่าเรากำลังช่วยคนอื่น เรานึกว่าเราช่วยเขา อย่าคิดอย่างนั้น ท่านกำลังช่วยตัวเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราช่วยเขา เรากำลังช่วยตัวเองนั่นเอง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือสัจธรรม นี่คือตัวอย่างให้เห็นภาพว่าการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระผู้อื่น ปลอบประโลมใจผู้อื่น ตัวเราเองก็จะได้รับ ให้สิ่งดีๆ กับผู้อื่น เราก็จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา ได้รับแน่นอน
ให้ไม่ได้หมายถึงเงินทองอย่างเดียว ลาก็ไม่ได้ต้องการเงิน … เงินก็ช่วยไม่ได้ ลาต้องการเอาสินค้าที่มันแบกอยู่แบ่งเบาไปบ้างเท่านั้นเอง อาหารก็ช่วยเขาไม่ได้นะ อาหารเขาก็ไม่เอา เขาต้องการการแบ่งเบาภาระ ปลอบโยนใจเขา ช่วยแบ่งภาระสักสองสามถุง เขาต้องการอย่างนั้นมากกว่า เห็นไหม? ไม่ได้หมายถึงเงินอย่างเดียว ไม่ได้หมายถึงอาหารเท่านั้น อาจหมายถึงอะไรที่ดีๆ ที่แบ่งเบาภาระเขาได้ อาจเป็นคำปลอบโยนและกำลังใจ ความเข้าใจในความทุกข์ของเขาก็ได้ เราก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ในสถานการณ์เช่นใด สิ่งที่เขาจำเป็นอยู่ เราแบ่งเบาภาระเขา เราเองจะได้รับในอนาคต
พระเจ้าอวยพรครับ