คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2022
เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”
ตอน 5 “ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับพี่น้อง เรากลับมาที่การบรรยายเรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” วันนี้เป็นตอน 5 ชื่อตอนว่า “ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ” ผู้เชื่อทั้งหลาย ถ้าพูดอะไรเกี่ยวกับการเตือน ส่วนใหญ่ทั้งหมด 100% คือพูดกับตัวเองก่อนนั่นแหละ
เพราะฉะนั้น พูดกับตัวเองว่า “ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ”
ใน 4 ตอนที่ผ่านมา จากซีรี่ย์นี้ เราได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ใน 1 เปโตร บทที่ 1 ซึ่งเขียนโดยอัครทูตเปโตร เพื่อหนุนใจบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิว ที่เผชิญกับความทุกข์ทรมาน ความทุกข์ยากลำบาก จากการถูกข่มเหงรังแก อย่างหนัก จากจักรวรรดิโรมัน ในสมัยนั้น ซึ่งเราก็สามารถใช้คำหนุนใจ อันเดียวกันนี้ มาหนุนใจพวกเรากันเอง ผู้เชื่อในยุคปัจจุบันได้ด้วย ในการที่เราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก วิกฤตปัญหา ที่เกิดขึ้นกับเราในยุคปัจจุบันนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งเราจะทบทวน สรุปประเด็น ในหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 1 ที่เราได้เรียนรู้กันไป 4 ตอน ตอนนี้ ตอนที่ 5 แล้ว
สรุป บทที่ 1 ว่าท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัส พระเจ้าได้ปลอบประโลมจิตใจ ลูกๆ ของพระองค์ คือผู้เชื่อทั้งหลาย โดยให้เราได้รับรู้ความจริง ในเรื่องราวเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นจากข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นทายาท “เป็น” หมดเลย คือได้บังเกิดใหม่ เป็น ในโลกวิญญาณ เราได้เกิดใหม่ ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นทายาท รับมรดกในโลกฝ่ายวิญญาณ จากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเรียกว่าในโลกวิญญาณ หรือในสวรรคสถาน และทั้งหมดนี้ พระเจ้าเป็นผู้ดูแลปกป้อง คุ้มครองวิญญาณของเรา และสิ่งต่างๆ ที่เราได้ทั้งหมดนี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์เองเลย นี่เราเรียนรู้ไปแล้วจากบทที่ 1
แล้วพระเจ้าก็แนะนำเรา ใน 1 เปโตร บทที่ 1 บอกว่าความจริง ที่มันเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ ทั้งหมดนี้ ให้เราใคร่ครวญ ระลึกถึง จดจ่ออยู่เสมอๆ ตลอดเวลายิ่งดี เพื่อที่จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้มันสม สอดคล้องกับความเป็นจริง ให้เหมาะสมกับตัวตนที่แท้จริงของเราในโลกวิญญาณ ในสวรรคสถานที่เราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว นั่นแหละ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก ถูกล่อลวงให้หลง ด้วยความเท็จ คำโกหกหลอกลวงต่างๆ
โดยให้เรามองเห็นความเป็นจริงในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ สรุปในบทที่ 1 บอกไว้อย่างนี้ว่าให้เรามองเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณว่าในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก เศร้าโศกชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น มนุษย์ทุกคนนะ ไม่ใช่เรา คนเดียว โลกใบนี้เสียหาย ถูกสาปแช่ง มีความทุกข์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนจำเป็นต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ไม่มากก็น้อยเป็นเรื่องธรรมดา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่มันชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้อยู่ในสวรรค์ บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้วนั้น
และสุดท้ายในข้อ 25 ของบทที่ 1 ได้สรุปว่าไม่ว่าเราจะทุกข์ยากลำบากเพียงใด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เจ้าร่างกายที่มันอ่อนแอนี้ ที่มันต้องรับความทุกข์ยากลำบาก ทั้งกลัว ทั้งเจ็บปวด อยากได้ ต่อสู้อะไรต่างๆ เหล่านั้น ร่างกายที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันเปรียบเหมือนต้นหญ้า และสง่าราศีของมัน เหมือนดอกหญ้า เหมือนอย่างไร? คือชีวิตเหมือนต้นหญ้า … ต้นหญ้า แป๊บเดียว มันก็ร่วงโรยไปแล้ว และดอกหญ้า คือความสง่างามของร่างกายนี้ ร่างกายเราแข็งแรง ดูสดใส มันอยู่ได้นานไหม? แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ร่วงโรย แก่เหี่ยว แล้วก็ตาย ทั้งต้นหญ้าและสง่าราศีของมัน ก็คือดอกหญ้า ทั้งคู่ มันอยู่ไม่นาน แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว มันไม่สามารถที่จะมาเทียบอะไรกันกับชีวิตจริงๆ ถาวรนิรันดร์ของเราในพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ โดยการเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นชีวิตที่ให้กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้เข้ามา ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป และเราจึงได้บังเกิดใหม่ เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตรงนี้อยู่ถาวรนิรันดร์ อยู่ตลอดกาลเลย
เพราะฉะนั้น ร่างกายบนโลกใบนี้ ที่ทนทุกข์อยู่ มันแป๊บเดียวเอง มันเทียบอะไรไม่ได้เลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เมื่อพูดแล้ว ทำให้ผู้เชื่อ ลูกๆ ของพระองค์ ที่ได้รู้ความจริงเหล่านี้ มีความสามารถอดทนกับความทุกข์ยากลำบากได้มากขึ้น เห็นชัดเจนขึ้นว่าชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ เป็นชีวิตที่อยู่แป๊บเดียว แต่จริงๆ แล้ว เราอยู่ถาวรนิรันดร์ในโลกฝ่ายวิญญาณ แล้วจะอยู่อย่างนี้กับพระเจ้านิรันดร์กาล รออีกแป๊บเดียวนะ เราก็จะได้พักผ่อนนิรันดร์กาล ในสวรรคสถานกับพระเจ้า ไม่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในร่างกายนี้ตลอดไป เอเมนไหม? อย่างนี้เป็นการหนุนผู้เชื่ออย่างมากมาย
เรามาดูกันต่อในสัปดาห์นี้ว่าเมื่อเราได้เรียนรู้จาก 1 เปโตร บทที่ 1 มาแล้วอย่างละเอียด 4 ตอนแล้ว เมื่อรู้แล้ว เราควรจะประพฤติตัวเช่นไร? กระทำตัวอย่างไร หลังจากที่ได้รู้จักตัวตนแท้จริงในโลกวิญญาณของเราว่าที่จะอยู่นิรันดร์กาล มันเป็นอย่างไร? อยู่ในพระคริสต์เป็นลักษณะอย่างไร? เป็นลูกพระเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร? เราได้รับรู้ไปแล้วว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้ว เราควรจะมีความประพฤติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร? ให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่เราเป็นอยู่นั้น
หัวข้อในการบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อว่า “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 5 “ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ” รู้ความจริงแล้วว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว รู้ สะอาดแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ให้ทิ้งเสื้อเก่า แล้วสวมเสื้อใหม่ซะ ให้พูดกับตัวเอง 1 เปโตร 2:1 …
1 เปโตร 2:1 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงขจัดสารพัดความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด ความอิจฉาริษยา และการว่าร้ายทุกอย่าง ไปจากตัวท่าน (ทิ้งเสื้อเก่า ซึ่งหมายถึง ความประพฤติเดิมๆ)”
“เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงขจัดสารพัดความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด ความอิจฉาริษา และการว่าร้ายทุกอย่าง ไปจากตัวท่าน ผมวงเล็บไว้ว่า (ทิ้งเสื้อเก่า ซึ่งหมายถึงความประพฤติเดิมๆ ของท่านนั่นแหละ)
ในนี้บอกว่า “จงขจัดสารพัดความมุ่งร้าย” ภาษาเดิมตรงนี้คือ “จงขจัดสารพัดความชั่วร้าย” เรายังเป็นคนชั่วร้ายอยู่อีกหรือ? นี่พูดกับใคร? นี่พูดกับผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนะ เรายังเป็นคนชั่วร้ายอยู่หรือ? สงสัยอยู่ไหม?
เรามาวิเคราะห์กันดูว่ามันคืออะไร? ขจัดสารพัดความชั่วร้ายเหล่านี้ ยกตัวอย่างให้ 2-3 อัน ที่เขียนมาในนี้ อย่างเช่น อิจฉาริษยา หน้าซื่อใจคดอะไรต่างๆ เหล่านี้ ผมจะพาท่านไปดูความชั่วร้ายที่จริงๆ ที่ละเอียดขึ้นว่าความชั่วร้ายนี้ คืออะไร? จากหนังสือโรม 1:28-32 ดูลักษณะของความชั่วร้าย หรือเสื้อเก่ามันเป็นลักษณะอย่างไร? มันไม่ใช่มีแค่ฉ้อฉล หน้าซื่อใจคด อิจฉาริษยา การว่าร้ายทุกอย่าง มันมีอะไรอยู่ในนั้น โรม 1:28-32 ได้บอกไว้ …
โรม 1:28-32 “28 ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงทรงปล่อยเขา ให้มีจิตใจเสื่อมทราม ให้ทำสิ่งที่ไม่สมควร 29 พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย ความโลภโมโทสัน และความเสื่อมทรามสารพัดชนิด พวกเขามีแต่ความอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การล่อลวง และการคิดร้าย พวกเขาชอบนินทา 30 ใส่ร้ายป้ายสี เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส และโอ้อวด พวกเขาคิดหาทางใหม่ๆ ในการทำชั่ว พวกเขาไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน 31 พวกเขาเป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปรานี 32 แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้าว่าผู้ที่ทำเช่นนั้นสมควรตาย เขาไม่เพียงยังคงทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป แต่ยังเห็นชอบกับผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ด้วย”
นี่คือลักษณะของเสื้อเก่า ซึ่งออกมาจากวิญญาณเก่า ประพฤติออกมาเป็นเสื้อเก่า
ในข้อ 28 บอกว่า “ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักพระเจ้า” มันแปลว่าอะไร? ไม่เห็นคุณค่าของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่เห็นคุณค่าของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่จะทำให้เขาสามารถเข้ามารู้จักกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ พูดง่ายๆ เขาไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาจึงไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อเขาไม่ได้บังเกิดใหม่ เขาก็ยังอยู่ในตัวเดิมของเขา วิญญาณของเขาก็อยู่ในตัวเก่าของเขา วิญญาณตัวเก่า ก็จะผลิตผลออกมาเป็นตะกี้นี้ทั้งหมดนั่นแหละ
พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขา หมายถึงอะไร? พระองค์จึงทรงจำเป็นต้องปล่อยให้เขาเป็นอย่างนี้ เพราะเขาตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง เขาจะไม่รับข่าวดี เขาจะไม่รับพระคุณ การช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ เขาจะอยู่ด้วยตัวเอง เขาจะพึ่งตนเอง แล้วมันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เมื่อเขาพึ่งตนเอง เขาก็จะไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อไม่บังเกิดใหม่ วิญญาณของเขา ก็ตายอยู่ … ตายอยู่ในไหน? ในความพินาศ ในความชั่ว เป็นทาสของความบาป และผลของความบาป คือความตาย ก็คืออาการทั้งหมดที่ตะกี้อ่านมา ตั้งแต่ฆ่าคนตาย โลภโมโทสัน จนกระทั่งถึงไม่เชื่อฟังบิดามารดา จนกระทั่งถึงเมาเหล้าเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดนี้ มันเป็นอาการประพฤติออกมา เหตุเนื่องจากวิญญาณข้างใน เป็นบาปอยู่ เพราะเขาไม่เห็นคุณค่าในการรู้จักพระเจ้า
แล้วเราผู้เชื่อ ก็กลับกัน เราผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ก็คือคนที่เห็นคุณค่า ในการู้จักพระเจ้า ก็คือเราเห็นคุณค่าของการที่จะรู้จักพระเจ้า
“การรู้จักพระเจ้า” คือการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่เราได้เรียนรู้ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐนั่นแหละ การรู้จักกับพระเจ้า คือการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ถูกผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ ได้บังเกิดใหม่นั่นเอง เราเห็นคุณค่าของการได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราจึงเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ จึงได้รับการบังเกิดใหม่ และเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราก็สะอาดหมดจด อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้มีวิญญาณ ที่จะทำอะไรต่างๆ เหล่านี้ ออกมาเป็นความประพฤติแล้ว
นี่คืออาการของมัน ใน 1 เปโตร 2:1 ที่บอกว่า “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงขจัดสิ่งสารพัดความมุ่งร้าย” คือความชั่วร้ายเหล่านี้ ขจัดออกไป คือตัวข้างในท่านเปลี่ยนแล้ว ตัวข้างในท่านเป็นคนใหม่ บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตรงนี้ คือความประพฤติเดิม คือเสื้อเก่า ที่ท่านเคยใส่มาแล้วนั่นเอง
เพราะฉะนั้น เมื่อท่านได้รับรู้ถึงข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ท่านหรือทำให้เราได้บังเกิดใหม่ ชำระท่าน ชำระเราด้วยข่าวประเสริฐนี้ จนสะอาดหมดจด แยกเราออกมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์เลย บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ มีค่ามากมาย ในสายพระเนตรของพระเจ้า และให้เรานั้นได้บังเกิดใหม่ ด้วย DNA หรือหน่อเชื้อ ชีวิตของพระองค์เอง คือของพระเจ้าเอง โดยเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้เรียนรู้มาแล้ว ซึ่งไม่ได้เกิดใหม่ โดยมนุษย์ ซึ่งตายได้ แต่เป็น DNA นิรันดร์ ที่จะอยู่นิรันดร์ เป็นวิญญาณเดียวกับพระเจ้า ที่จะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ ท่านได้รับความรอดนิรันดร์นี้เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์แล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทันทีที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็อยู่อย่างนี้แล้ว ไม่ใช่ด้วยตัวท่านเอง? แต่ด้วยพระคุณความเมตตา จากข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ นี่หมายถึงอย่างนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรู้ว่าในโลกวิญญาณ สถานะตัวตนที่แท้จริงของท่านจะดำรงอยู่ตลอดไป เป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ จะเกิดอะไรขึ้น หลังความตายฝ่ายร่างกายนี้ ท่านรู้แล้ว หลังความตายฝ่ายร่างกาย วิญญาณท่านก็อยู่ที่เดิม อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานนิรันดร์นั่นเอง ดีกว่าด้วยซ้ำไป เพราะจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน อยู่ในร่างกายที่อ่อนแอ ที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
นี่แหละ เมื่อรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็จงถอดเสื้อเก่าออกซะ ซึ่งเสื้อเก่าตรงนี้ คือความประพฤติเดิมๆ ก่อนที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า เสื้อเก่า ก็คือลักษณะตะกี้ที่เราอ่านพร้อมกัน ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ทั้งหมดนั่นแหละ ตัวเก่าของเรา
นี่พูดถึงวิญญาณ ตัวตนแท้ๆ ของเรา ตัวตนเก่าของเรา ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน
ยังจำได้ไหม? เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องนี้ บัพติศมาเข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ถ้าเราเปิดใจต้อนรับความจริงนี้ มันก็จะเกิดขึ้นกับเรา และมันเกิดขึ้นแล้ว เพราะเราเชื่อแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์c]h;
ความเป็นจริงนั้น เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรารู้ว่าตัวเก่าของเราตายไปแล้ว ดังนั้น ความประพฤติเดิมของเรา ที่เคยทำมาก่อนที่จะบังเกิดใหม่ ก็คือเสื้อเก่าของเรา ที่เราเคยประพฤติ ที่เราเคยสวม ตอนก่อนที่เราบังเกิดใหม่ ตอนที่เราเป็นทาสของความบาป นึกภาพออกนะ และเป็นทาสของกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง ให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า ซึ่งเปรียบเสมือนเสื้อเก่าที่เราควรจะกำจัดมันออกไปซะ เพราะเราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว และเพราะมันไม่เข้ากันกับวิญญาณตัวใหม่ของเราเลย ไม่เหมาะสมแล้วกับสถานะใหม่ของเรา ที่เป็นถึงลูกของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว มันไม่เข้ากันกับเราแล้ว ก็เอามันออกไปจากตู้ซะ ทุกวันเปิดตู้ดู มี 2 ตู้ ตู้หนึ่ง คือเสื้อใหม่ อีกตู้หนึ่งเสื้อเก่ายังอยู่ อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ในความคิดของเราเดิมๆ นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร? เลือกสวมซะ อย่าไปใส่เสื้อเดิม มันเคยชิน ทำอะไร? ฝึกฝนในการที่จะบอกตัวเองว่า …
“ฉันเป็นคนใหม่แล้ว สวมเสื้อใหม่ดีกว่า อันนี้เข้ากว่า”
ดูในกระจก น่ารัก เป็นความรัก เป็นการให้อภัย ไปสวมเสื้อความโกรธ ความเกลียด ความเคียดแค้น ความวิตกกังวล มันไม่เข้ากับตัวใหม่ของฉัน ก็อย่าไปสวมมัน
เสื้อเก่า เช่น การมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด ที่ตะกี้เราอ่านกัน ยกตัวอย่างให้ คือเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นคนมีค่า ในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า อยู่ในสวรรคสถาน มีมรดกนิรันดร์แล้ว ก็จงภูมิใจ มั่นใจ ชื่นชมยินดี ถูกไหม? ถ้าเราเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าเราเป็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เรามีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราก็จะชื่นใจ มั่นใจในตัวเอง เมื่อมีความภูมิใจแล้ว มั่นใจแล้ว มันก็จะไม่มุ่งร้ายกับใคร? ไม่โกหกใคร? ไม่เป็นคนหน้าซื่อใจคด ไม่มีใจริษยาใคร? เพราะตัวเราเองมีครบ พร้อมหมดแล้ว แล้วเราจะไปอิจฉาเขาทำไม? มันมีแล้ว เราน่าจะเป็นคนที่ถูกเขาอิจฉามากกว่า
“คนนี้เป็นใคร ทำไมยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีเงิน”
คนมีเงิน ก็บอก … “เราน่าจะทำตามอย่างเขานะ เรามีเงินตั้งเท่าไร? เราก็โลภไม่รู้จักหยุดหย่อน หาไม่พอสักทีหนึ่ง เอ๊ะ! เขามีน้อยๆ ทำไมรู้สึกพอเพียง มีความสุข”
ใครน่าอิจฉา ลองคิดดู มันเป็นอย่างนี้แหละ
และเมื่อเราเป็นคนที่สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่อยากจะทำบาป จริงไหม? เมื่อเรามองดูที่กระจก เราเห็นตัวเราเอง สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใส่เสื้อขาว วันนี้ออกจากบ้านไป ถ้าวันนี้ท่านใส่ชุดขาวทั้งชุดเลยออกจากบ้านไป ท่านระวังตัวไหม? ไม่ให้สกปรก ไม่ให้มีอะไรกระเด็นใส่เลย ถูกไหม? เพราะถ้ากระเด็นใส่เมื่อไร มันเห็นชัดเลยนะ แต่ถ้าวันนี้ท่านใส่เสื้อสีดำออกไป ท่านจะระวังไหม ท่านคงคิดในใจว่าไม่มีใครเห็นหรอก ก็โดนนิดหน่อย ช่างมัน ฉันใดฉันนั้น เมื่อรู้ว่าธรรมชาติในตัวตนของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่อยากจะไปยุ่ง วุ่นวายอะไรกับสิ่งสกปรก โสโครก แม้นิดหนึ่งก็ไม่อยากได้ เพราะมันเห็นชัด เพราะธรรมชาติข้างใน เราเปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง
ธรรมชาติตัวตนข้างในของเรา เป็นลูกของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และมีมรดกนิรันดร์ในสวรรคสถานที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ อย่างที่ไม่มีเน่าเปื่อย ไม่มีสูญเสีย มันจะอยู่ตลอดไป แค่นี้ก็ชื่นชมยินดีมากมายแล้ว ถ้าเราเห็นความจริงเหล่านี้ชัดเจน ในโลกวิญญาณนี้นะ
พอเรามีความมั่นใจ ในความจริง ในข่าวประเสริฐอย่างนี้ ธรรมชาติ ลักษณะของเรา ก็จะออกมา เป็นความประพฤติแบบนี้ คือเราจะไม่มุ่งร้ายใคร? ไม่ฉ้อฉล ไม่โกหกใคร? ไม่ริษยา ไม่ทำความชั่ว ก็คือต้องการที่จะสวมเสื้อใหม่ ที่เป็นธรรมชาติใหม่ของเรานั่นเอง
นี่คือความต้องการ แบบธรรมชาติของผู้เชื่อทุกคนที่บังเกิดใหม่ แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ และมันจะเป็นธรรมชาติได้ง่ายขึ้น เมื่อผู้เชื่อคนนั้น ได้รับรู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ตรงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม จงจำไว้ว่าความจริง คือพอพูดถึงอย่างนี้เมื่อไร? ทิ้งเสื้อเก่า ใส่เสื้อใหม่ หมายถึงความประพฤติ ท่านต้องจำตรงนี้ให้ได้ เสื้อไม่ได้มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ ฉันใด ความประพฤติก็ไม่มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมฉันนั้น
เสื้อไม่ได้ทำให้มนุษย์คนนั้นกลายเป็นสัตว์ได้ ต่อให้ใส่ชุดหมี ก็ยังเป็นคน ต่อให้ใส่ชุดลิง ก็ยังเป็นคน ต่อให้สวมชุดกระต่าย ก็ยังเป็นคน ถูกหรือไม่? เสื้อ คือความประพฤติ
แต่การกำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า ดีพร้อมแล้วนั้น มันมีผลจากภายใน ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความประพฤติภายนอก
พูดง่ายๆ ว่าการกำเนิดเกิดมาเป็นอะไร มันจะมีผลต่อความประพฤติภายนอก การกำเนิดเกิดมาเป็นอะไร มันมีผลต่อเสื้อภายนอก การกำเนิดเกิดมาเป็นคน ก็จะมีผลต่อการสวมเสื้อผ้าภายนอก ถูกหรือไม่? เพราะฉะนั้น การกำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า ดีพร้อมแล้วนั้น มันมีผลจากภายใน ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายนอก ภายนอกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงภายในได้ พูดง่ายๆ แต่ภายในต่างหากที่มีอิทธิพล จะเปลี่ยนแปลงภายนอกได้ นี่คือข่าวประเสริฐ
ต่อมา 1 เปโตร 2:2-3 ได้บอกไว้อย่างนี้ว่า …
1 เปโตร 2:2-3 “2 เหมือนทารกแรกเกิด ที่กระหายน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ (ไม่มีปลอมปนใดๆ) เพื่อโดยน้ำนมนั้น จะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้น สู่ความสมบูรณ์ในความรอด (ที่ท่านได้รับโดยการบังเกิดใหม่แล้วนั้น) 3 ในเมื่อท่านได้ลิ้มรสความดีงาม และพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว (คือได้บังเกิดใหม่ โดยข่าวประเสริฐแห่งพระคุณแล้ว)”
“ในเมื่อได้บังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐ แห่งพระคุณของพระเจ้า” คือได้เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกว่า “พระคุณ” พระคุณ คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย และในข่าวประเสริฐนี้เรียกว่า “พระคุณประหลาด” “พระคุณมหัศจรรย์” ประหลาด มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้เลย คือให้เปล่าๆ ให้เป็นของขวัญ แม้ว่าคนรับไม่สมควรได้ มนุษย์ไม่สมควรที่จะได้ แต่พระเจ้าจะให้ แล้วให้มาก จนมนุษย์คาดไม่ถึง คิดไม่ถูกว่าเป็นไปได้หรือ? แต่มันเป็นไปแล้ว ตรงนี้เขาถึงเรียกว่า “พระคุณ” และเป็นข่าวดี “ข่าวดีแห่งพระคุณ”
ข่าวดีตรงนี้ ความจริง ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณ พอได้ตรงนี้แล้ว ในนี้บอกว่า “ก็เป็นเหมือนทารกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์” พูดง่ายๆว่าก็ได้บังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ใช่ไหม? พอเกิดใหม่แล้ว เราก็เป็นเหมือนกับทารกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่ต้องการน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ จากพระองค์ เพื่อเจริญเติบโตขึ้นในพระคริสต์
น้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำแห่งพระคุณ … ถ้อยคำแห่งพระคุณ ก็คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยพระคุณ ซึ่งต้องเป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง ตามถ้อยคำของพระเจ้า เกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพราะในนี้บอกว่าน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ ไม่มีปลอมปนใดๆ
ก็หมายถึงถ้อยคำที่เป็นความจริงแท้ๆ เกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้าที่เป็นความจริงเท่านั้น ที่ไม่มีปลอมปน ไม่มีผสมความคิด สติปัญญาของมนุษย์เข้าไปอยู่ในนั้นเลย
พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ว่ามันมีน้ำนมไม่บริสุทธิ์ด้วย ก็คือมีน้ำนมปลอมนั่นเอง ในนี้เขียนบอกว่าน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ที่ไม่มีปลอมปน ก็แสดงว่ามันมีบางอัน มีปลอมปน ถูกไหม? ก็แสดงว่ามันมีน้ำนมที่ไม่บริสุทธิ์ คือน้ำนมปลอมปน ซึ่งหมายถึงข่าวดี หรือข่าวประเสริฐพระเยซูคริสต์ ที่ไม่จริงแท้ 100% มีความเทียมเท็จปนมาด้วย ให้ระวัง
เราเกิดใหม่แล้ว เราต้องการถ้อยคำเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นพระคุณแท้ๆ 100% จึงเป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ถ้ามีของปลอมเจือปนมา ไม่บริสุทธิ์ เราจะเรียนรู้กันต่อไป
เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ได้เป็นทารกเกิดใหม่แล้ว เราต้องดื่มน้ำนมอันบริสุทธิ์ ก็คือเราต้องรับรู้เรื่องราวความจริงในพระคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ ที่เราได้เคยชิมรสมาแล้ว จนได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณ ก็เพราะว่าเราไปเจอข่าวประเสริฐแห่งความจริง แห่งพระคุณของพระเจ้า และได้ลิ้มรส ลิ้มรสคืออะไร? ได้เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้เข้ามาใช่ไหม? แล้วทำให้เราได้บังเกิดใหม่ อุแว้ๆ เป็นลูก เป็นทารก ที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว นั่นมันหมายถึงอย่างนี้
เมื่อลิ้มรส เมื่อเกิดใหม่แล้ว ก็ให้กระหายหาน้ำนมบริสุทธิ์อย่างเดียวกันนี้ ที่ทำให้เราเกิดใหม่ รับรู้ความจริงนี้ต่อไป เพื่อเราจะได้เจริญเติบโตขึ้น เพื่อน้ำนมฝ่ายวิญญาณ คือถ้อยคำของพระคริสต์นี้ อันเป็นความจริงของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดนี้ จะทำให้เราเจริญเติบโต เข้าไปสู่ความไพบูลย์ ในพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ประพฤติเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น ทิ้งเสื้อเก่าได้มากขึ้น สวมเสื้อใหม่ได้มากขึ้นนั่นเอง เรารู้แล้วว่าต้องทำอะไร? ต้องเอาความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้าในข่าวดีนี้ กระหาย ดื่ม รับรู้ ซึ่งในขณะที่เราได้รับความรอด ทางวิญญาณแล้ว ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ความคิดจิตใจของเรา ก็ต้องเจริญเติบโตขึ้น
ความประพฤติของเรา ก็จะเปลี่ยนแปลงไป เจริญเติบโตขึ้นด้วย ความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้าเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์นี่แหละ แต่ต้องเป็นของแท้นะ บริสุทธิ์ ไม่มีปลอมปน เพราะว่าน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่พูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ อันบริสุทธิ์ ก็หมายถึงที่เป็นความจริง 100% ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะว่าถ้ามีอะไรเจือปนแม้แต่นิดเดียว ก็จะทำให้มันเสียหมดเลย บูดหมดเลย เป็นพิษหมดเลย เขาเรียกว่าปลาตายตัวเดียว ทำให้เน่าทั้งข้อง เหมือนกัน ลักษณะเดียวกัน
ยกตัวอย่าง อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าตัวอย่างมันเป็นอย่างไร? ชัดเจนเลย …
น้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์บอกว่าเราได้รับความรอด ไม่ใช่ด้วยการกระทำของตัวเราเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ให้เป็นของขวัญ พระองค์ก็เป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง ดูแลวิญญาณที่เกิดใหม่นี้ไปตลอดนิรันดร์ โดยที่เราไม่ต้องกระทำเอง เช่นเดียวกันกับตอนที่บังเกิดใหม่ ใช่หรือไม่? ถูกเลยใช่ไหม? ตรงเป๊ะเลย ที่เราบังเกิดใหม่ เป็นอย่างนี้ใช่ไหม? นี่คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ สังเกตนะ
น้ำนมที่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่ด้วย คือถึงแม้เราจะได้รับความรอดแล้ว ก็ตาม บังเกิดใหม่ เป็นทารกของพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่เรายังจำเป็นต้องประพฤติตัวให้ดีด้วย เพื่อรักษาความรอด มิฉะนั้น พระเจ้าจะคายเราทิ้ง หรือจะปฏิเสธเราในวันพิพากษาหลังความตาย
ฟังดูเพลินๆ มันคล้ายๆ น้ำนมนะ แต่ไม่ใช่ เห็นไหม? มันแย้ง น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์บอกว่ารอดแล้ว รอดเลย น้ำนมปลอมบอกว่ารอดแล้ว ยังต้องระวังนะ ประพฤติไม่ดี สวมเสื้อเก่าไปบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้าคายทิ้งหรอก ตายไป ไม่ได้ไปสวรรค์อะไรอย่างนี้ ตกลงได้ไปหรือไม่ได้ไป? เห็นไหมครับ? เป็นพิษไหม? โตไหม?
น้ำนมบริสุทธิ์บอกว่าเรารอดแล้ว รอดเลย เป็นความรอดนิรันดร์ พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลความรอดของเรา ด้วยตัวพระองค์เองเลย ไม่มีทางเสื่อมสูญ พระองค์คุ้มครอง ความรอดของเราในพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ เราอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์แล้ว ไม่มีใครเอาเราออกไปจากมือของพระองค์ได้เลย เอเมน นี่คือน้ำนมอันบริสุทธิ์ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้าแท้จริง 100% ตะโกนกัน “เอเมน” เลย
มาดูของปลอมปนนะ น้ำนมที่มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนอยู่ด้วย อาจจะบอกไว้อย่างนี้ว่า “จงระวังบาปที่อภัยให้ไม่ได้” คุ้นๆ ไหม? อ้าว! ข่าวประเสริฐของพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์อภัยบาปให้เราทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตลอดไปเลย แล้วพระองค์ทรงปกปักษ์วิญญาณที่ไถ่แล้ว อยู่นิรันดร์แน่นอนในสวรรค์ แล้วมาบอกว่าบาปบางอย่างที่เรากระทำ อภัยไม่ได้ โดยที่ไปเอาข้อความจากพระคัมภีร์มา
พระคัมภีร์บอกว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาทพระวิญญาณ ผู้นั้น ไม่ได้รับการอภัย”
“นี่ไง พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ ฟังดูเหมือนจริง พระเยซูพูดเองเลยนะ ถ้าหมิ่นพระวิญญาณ ไม่ได้รับการอภัย”
“อ้าว! ไหนบอกได้รับอภัยทั้งหมดแล้ว ตกลงเป็นอย่างไร?”
จริงๆ แล้วพระเยซูพูดว่าหมิ่นพระวิญญาณ ไม่อภัย นั่น กำลังพูดกับคนที่ไม่เชื่อ
“หมิ่นพระวิญญาณ” หมายถึงว่าท่านไม่ต้อนรับการกระทำของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงกระทำในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านปฏิเสธพระเยซู ไม่ยอมรับพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์ ท่านก็อยู่ในความพินาศเหมือนเดิม ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว ท่านไม่ได้รับความรอดอยู่แล้ว เมื่อปฏิเสธพระเมซิยาห์ ปฏิเสธพระเยซู ไม่ใช่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือไม่เชื่อนั่นเอง
มันคนละเรื่องกันกับผู้เชื่อและบังเกิดใหม่แล้ว เขาเป็นลูกพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว ยกตัวอย่างอย่างนี้ ฟังดู แล้วมันเหมือนใช่ พอเห็นบาปต่างๆ ที่อภัยให้ไม่ได้ปุ๊บ ก็เอามาใช้กับคนที่บังเกิดใหม่ เอามาสอน เอามาบอกผู้เชื่อว่าสังเกตดูนะ ลองดูว่าเราประพฤติอะไรที่เป็นบาป ที่อภัยให้ไม่ได้ ในพระคัมภีร์ไม่มี พระองค์ตายเพียงครั้งเดียว อภัยให้เราหมดสิ้น เรียบร้อยแล้ว อภัยก่อนที่เราจะทำด้วยซ้ำไป นี่คือข่าวประเสริฐ
ข่าวไม่ประเสริฐ น้ำนมปลอม ก็คือระวังนะ บาปบางบาป อภัยให้ไม่ได้ โดยยกข้อพระคัมภีร์มา ข้อพระคัมภีร์หลายข้อในนี้ บาปที่อภัยให้ไม่ได้ คือบาปที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซียาห์ ไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู มีอันเดียวเท่านั้น ที่อภัยให้ไม่ได้ ไม่รู้จะอภัยให้อย่างไร? เขาไม่เอาเอง ผู้อภัยความบาปผิดให้กับเขา คือพระเยซูคริสต์ เขาไม่รับ แต่เราทั้งหลายผู้เชื่อรับไปแล้ว ได้รับความรอดไปแล้ว มันคนละเรื่องกัน อย่างนี้เป็นต้น
อีกอันหนึ่ง อย่างเช่น ทุกครั้งที่เผลอไปใส่เสื้อเก่า คือทำบาป ต้องสารภาพบาปต่อพระเจ้านะ ลืมก็ไม่ได้นะ ถ้าไม่สารภาพบาป พระเจ้าจะไม่ให้อภัย มีตรงไหน? ไปยกเอาจาก 1 ยอห์น 1:9 ซึ่งก็พูดถึงคนไม่เชื่ออีกแหละว่าคนที่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนบาป ข่าวประเสริฐบอกว่าท่านเป็นคนบาป ท่านต้องการการช่วยเหลือ จงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วย คนนี้ไม่เชื่อข่าวประเสริฐ บอกว่า …
“ฉันไม่บาป ฉันก็ไม่ต้องการการช่วยเหลือจากใคร?”
นี่เขากำลังพูดถึงตรงนี้ว่าคนที่ไม่เชื่อ บาปตัวนี้ ว่าตัวเองเป็นคนบาป ถ้าเขาเชื่อว่าตัวเขาเองเป็นคนบาป แล้วขอสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเขาให้รอด เพราะว่าพระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเพื่อทุกคน ที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป แล้วต้องการความช่วยเหลือ มันแปลว่าอย่างนี้ พอเข้าใจผิดปุ๊บ เอามาใช้กับคนที่เป็นคริสเตียน คนที่เชื่อแล้ว ก็เลยไม่โต ตกลง …
“ตายไปแล้ว ฉันจะรอดไหม มีบาปอะไรบ้างที่ฉันทำ”
วันๆ คิดแต่บาปอะไรก็ตามที่ฉันทำแล้ว พระเจ้าไม่ให้อภัย บาปที่ทำซ้ำๆ ซากๆ 30 ครั้งแล้วมั้ง ถึงไม่ให้อภัย อะไรประมาณนั้น
บางครั้ง ก็มาบอกว่า “เป็นคริสเตียน ประพฤติตัวที่เรียกว่าบาปบ่อยๆ ซ้ำๆ แล้วก็ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไขสักที อย่างนี้พระเจ้ารังเกียจ พระเจ้าจะไม่ให้อภัยเธออีกแล้ว”
มันตรงพระคัมภีร์ที่ไหน? มันไม่ตรง มันไม่ใช่ อย่างนี้เป็นต้น
“เดี๋ยวพระเจ้าเอือมระอาเธอ แล้วจะคายเธอออกมา ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงชีวิตเสียใหม่”
อะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น นี่ชี้ให้ท่านเห็นว่าน้ำนมฝ่ายวิญญาณที่บริสุทธิ์ เป็นลักษณะอย่างไร? ต้องเป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์เท่านั้น
เอาอีกสัก 2 ตัวอย่างแล้วกัน ตะกี้ตัวอย่างเน้นไปที่บอกว่าถ้าประพฤติบาป ทำบาปบ่อยๆ พระเจ้าจะไม่ให้อภัย คราวนี้ตกขอบไปอีกอย่างหนึ่ง อันนี้มีจริงเลยนะ ข่าวประเสริฐเหมือนกัน ข่าวประเสริฐบอกว่าเราได้ความรอด โดยพระคุณแล้ว เป็นความรอดนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราได้รับความรอด ได้รับการอภัยโทษบาปตลอดไป นี่คือข่าวประเสริฐจริงๆ ใช่ไหม?
ของปลอมบอกว่าอย่างไร? เมื่อเราได้รับความรอด โดยพระคุณแล้ว ทำบาปอะไร พระเจ้าก็อภัยให้หมดแล้ว ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะฉะนั้น เราไปทำบาปกันดีกว่า มาเชื่อพระเจ้า จะได้สนุกสนานกับการทำบาปต่อไป
อาจารย์เปาโลก็ได้พูดไว้ในหนังสือโรม 6:1 บอกคิดอย่างนั้นได้อย่างไร? มันเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านทำบาปไม่เป็นแล้ว ท่านแพ้บาปแล้ว บาปทำไม่ได้แล้ว เพราะวิญญาณของท่านบังเกิดใหม่แล้ว แต่คนเอาไปบิดเบือน ก็เป็นอย่างนี้
พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ก็ดีสิ เราก็ทำบาปได้สนุกสนานไปเลย เพราะว่าพระเจ้าอภัยให้แล้ว เปาโลบอกไม่ใช่ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย ท่านไม่รู้หรือว่าตัวเก่าท่านได้ตายไปแล้ว ท่านไม่สามารถสวมเสื้อตัวเก่าไปเรื่อยๆ ได้ เพราะท่านจะแพ้ ท่านไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนเดิมได้ เพราะท่านจะแพ้ ท่านจะไม่สบายใจ เพราะว่าวิญญาณของท่านมันเปลี่ยนเป็นใหม่เรียบร้อยแล้ว ธรรมชาติใหม่ของท่าน เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ทำบาปไม่เป็นแล้ว แต่ที่ท่านยังทำอยู่ คิดอย่างนั้น เพราะท่านยังไม่บังเกิดใหม่นั่นเอง และเมื่อท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูคริสต์ผู้สถิตในท่าน จะนำท่าน จะสอนท่านถึงความประพฤติใหม่ เสื้อใหม่ โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เอง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง
เอาอีกตัวอย่างไหม? น่าจะยกตัวอย่างบ่อยๆ จะได้ระมัดระวังเรื่องข่าวประเสริฐปลอม อย่างเช่นในหนังสือ 2 ทิโมธิ 2:11-13 ก็มีคนเอาไปทำให้มันเจือปนด้วยสติปัญญา ด้วยความคิดของตนเองอีกแล้ว ลองอ่านดูว่าตรงนี้เขาเอาไปใช้กันอย่างไร? …
2 ทิโมธี 2:11-13 “11 นี่เป็นคำกล่าวที่เชื่อถือได้ คือถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 12 ถ้าเราอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ด้วย ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ก็จะทรงปฏิเสธเราด้วย 13 ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อ พระองค์ก็ยังคงสัตย์ซื่อ เพราะพระองค์ปฏิเสธพระองค์เองไม่ได้”
ความหมายของข่าวประเสริฐตรงนี้ ก็คือว่าถ้าเราตายกับพระองค์ ก็คือถ้าเรายอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระวิญญาณจะเข้ามาบัพติศมาเรา ให้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์ มีชีวิตกับพระองค์ด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น
“และถ้าเราอดทน เราก็จะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย” หมายถึงถ้าเราอดทน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกแล้วว่าเมื่อเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ โลกก็จะไม่เข้าใจเรา โลกก็จะเกลียดเรา เราจะไม่เข้ากับโลกนี้แล้ว เราต้องอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ในการข่มเหงรังแก ในการเป็นศัตรูกันทางวิญญาณ ตรงนี้หมายถึงอย่างนี้ เพราะว่าเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์
“ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะปฏิเสธเราด้วย” ก็หมายความว่าถ้าเราปฏิเสธพระองค์ ไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ยอมรับพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ นั่นแหละ พระองค์ก็ไม่รู้จะช่วยเราได้อย่างไร? ก็ต้องปฏิเสธเรา ไม่รู้จักเรา คือเราไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั่นเอง
ข้อ 13 จึงบอกว่า “ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อ พระองค์ก็ยังคงสัตย์ซื่อ” หมายถึงถ้าเราตายพร้อมพระองค์ เรารับเชื่อในพระองค์ เราบังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว แม้ว่าเราทำอะไร ไม่สัตย์ซื่อ ก็หมายความว่าไม่เชื่อฟัง ยังสวมเสื้อเก่าอยู่ พระองค์อยากให้เราสวมเสื้อใหม่ เราไปสวมเสื้อเก่าอยู่ ไม่เป็นไร พระองค์ยังคงสัตย์ซื่ออยู่ พระองค์ยังคงสถิตอยู่กับเราอยู่ ไม่ว่าเราจะใส่เสื้อเก่าอีกสักกี่ครั้ง พระองค์ก็ยังอยู่กับเราเสมอ อยู่กับเราตลอดไป และปกปักษ์คุ้มครองดูแลวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่นั้น ไปถึงนิรันดร์กาล รอดแล้วรอดเลย ไม่ต้องกลัว
นี่พูดถึงการประกาศข่าวประเสริฐ พอเอามาใช้ผิด เรามาบอกผู้เชื่อว่าเชื่อพระเจ้าแล้ว ปฏิเสธพระเจ้าไม่ได้นะ แล้วเกิดอะไรขึ้น? เกิดความระแวง เกิดความกลัวขึ้น โดยเฉพาะในขณะที่ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ไปหนุนใจคนที่ได้รับการทนทุกข์ทรมาน จากการถูกข่มเหงรังแก ในสมัยโรม ลองคิดดูสิ เขาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ใจเขาก็ฟ้องผิดอยู่แล้วว่าเขาปฏิเสธพระเยซู ในใจเขาปฏิเสธพระเยซูเพราะอะไร? เพราะเขาต้องแอบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็น คริสเตียน เพราะว่ากลัวถูกจับ ผ่านด่านก็ต้องแอบๆ ซ่อนๆ เขาถาม ก็อาจจะบอกว่าไม่เป็น หรือไม่อย่างนั้น ทหารก็จ่อดาบไว้ที่ลูกและเมีย แล้วก็บอกเขาว่า …
“ถ้าคุณไม่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ผมจะฆ่าเขาให้ตาย”
แล้วเราคิดว่าจะมีผู้เชื่อสักกี่คน คนไหนที่ได้ถูกเลือกมา เพื่อสละชีวิตตรงนี้ อย่างนี้จริงๆ
“ไม่สนใจหรอก เราปฏิเสธพระเยซูไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรายอมตาย”
เราไม่ตาย แต่คนที่เรารัก เราเห็นต่อหน้าต่อตาตอนนี้เป็นอย่างไร? แล้วถ้ามีคนไปบอก …
“คุณปฏิเสธพระเยซู เพราะฉะนั้น คุณไม่ได้ไปสวรรค์”
มันคนละเรื่องกันเลย อย่างนั้นไม่เรียกว่าปฏิเสธ เรียกว่าไม่ซื่อ ไม่เชื่อฟังในบางครั้ง เพราะความกลัวอะไรต่างๆ เหล่านั้น พระเจ้าเข้าใจ พระเยซูเข้าใจดี เห็นไหมครับ?
ถ้าเราเอาข่าวประเสริฐปลอมนี้ไปให้เขากิน เขาก็จะระแวงและฟ้องผิดตลอดเวลาว่าเขาแย่มาก เหมือนเปโตรก่อนที่จะเชื่อ ก่อนที่จะบังเกิดใหม่ ปฏิเสธพระเยซูตั้ง 3 ครั้ง นั่นคือความประพฤติของเขา ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงในวิญญาณของเขา ซึ่งยังไม่ได้บังเกิดใหม่
ท่านเห็นไหมครับว่ามันเป็นพิษ เป็นภัยขนาดไหน? ถ้าเผื่อเรารับรู้ข่าวประเสริฐปลอมๆ นี้ เท่ากับเรากินนมที่เป็นพิษเข้าไป แล้วเกิดอะไรขึ้น?
มาอีกสักตัวอย่างหนึ่ง เมื่อพูดถึงตรงนี้ แล้วอยากพูดอันนี้ด้วย น้ำนมปลอม โดยการตีถ้อยคำพระเจ้าแบบผิดๆ เจือปนความโลภเข้าไปด้วย อันนี้ชัดเลย เมื่อพูดแล้ว พูดให้มันสุดๆ ไปเลย
ตัวอย่างของน้ำนมปลอม โดยการตีความถ้อยคำพระเจ้าแบบเจือปนความโลภของตัวเองเข้าไป “ตัวเอง” คือความคิดที่อยู่ข้างใน ความคิดแบบมนุษย์ ความคิดแบบเสื้อเก่า เช่นบอกว่าถ้าเราอธิษฐานมากๆ เพียงพอ เพิ่มพูนความเชื่อเยอะๆ เราก็จะได้อะไรก็ตาม ที่เราอยากได้บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ความสุข ความแข็งแรง ความปลอดภัยจากอันตราย ทุกพื้นที่ชีวิตเลยทีเดียว จะมีแต่ความสำเร็จ ความดีงามทั้งสิ้น ตามที่เราอยากได้ เคยได้ยินใช่ไหม?
อาจารย์เปาโลบอกว่าเอาความจริงในถ้อยคำพระเจ้ามาใช้ในความโลภ ในวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรืออะไรก็ตามบนโลกใบนี้ เห็นหรือยังครับ? แต่ข่าวประเสริฐจริงๆ ของพระเจ้า คือเมื่อท่านบังเกิดใหม่แล้ว คือจงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ ไม่ว่าจะรวย หรือจะจน ไม่ว่าจะแข็งแรง หรือเจ็บป่วย ไม่ว่าจะในสถานะใด ท่านจงเรียนรู้จักในการพึงพอใจในสถานะเช่นนั้น เพราะว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นผู้ให้กำลังกับท่าน เห็นไหม? มันต่างกันไหม?
ทำให้คนโลภ และมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาสามารถที่จะบีบบังคับ ให้พระเจ้าประทานสิ่งที่อยากได้ ตามใจปรารถนาของเขา ตามขนาดความเชื่อของเขา ก็คือตามความต้องการส่วนลึกในเสื้อเก่าของเขา ที่ต้องการสนองกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนบีบบังคับพระเจ้า อยากได้มากๆ ทำอย่างไร? พี่น้อง ถ้าท่านอยากได้มากๆ ท่านต้องถวายเยอะๆ คุ้นๆ ไหม? ถวายเยอะๆ เพื่อท่านจะได้ 30 เท่า 60 เท่า 100 เท่ากลับคืน ถ้ายังไม่ได้เลย ก็แสดงว่าท่านถวายน้อยไป
ถ้ายังไม่ได้อีก แสดงว่าท่านถวายแล้ว พระเจ้าสัตย์ซื่ออยู่แล้วล่ะ พระเจ้าเที่ยงตรง ไม่มีการลำเอียงอยู่แล้ว ถ้าท่านยังไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าผิด แต่ตัวท่านนั่นแหละผิด ลองไปสังเกตดูสิว่าท่านถวายไม่ตรงตามอะไรบ้าง? ความเชื่อยังไม่พอ ถวายยังไม่พอ อธิษฐานไม่พอ ท่านต้องอดอาหารด้วย ท่านไปสังเกตว่าท่านบาปอะไร? บาปท่านขวางในการอธิษฐานของท่าน ทำให้ท่านถวาย แล้วไม่ได้กลับคืน หรือว่ามารมันขโมยท่านไป ท่านอธิษฐานไม่พอ ท่านต้องมาให้คนช่วย … คนช่วยนี่แหละ คือคนที่จะได้เงิน อ๋อ! ท่านอธิษฐานผิดที่ ท่านต้องถวายให้มันถูกที่ ถูกคน เพราะว่าคนที่มีความเชื่อสูงๆ เป็นดินดี ถวายคนที่ความเชื่อสูงๆ เขาจะได้อธิษฐานอวยพรท่าน ท่านจะได้รับ 30 เท่า 60 เท่า 100 เท่า พอแล้วไม่ต้องเยอะนะ พูดไป ขำกันใหญ่ แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ นี่เป็นทุกข์ทรมานของชาวคริสเตียนผู้เชื่อ ที่ได้รับข่าวประเสริฐ แบบปลอมปนอย่างนี้
ข่าวประเสริฐทั้งหลายที่มีความเท็จอย่างนี้ มีความไม่จริงแอบแฝงอยู่ เป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่บริสุทธิ์ มีสิ่งปลอมปน ตามที่ข้อพระคัมภีร์ได้พูดไว้เมื่อตะกี้นี้ ที่ได้เตือนไว้นั่นแหละ พวกนี้เป็นพิษทั้งหมด ฟังดูผิวเผิน เหมือนน่าเชื่อถือ เพราะมีถ้อยคำพระเจ้าอยู่ในนั้นด้วย ถูกไหม? ก็คือเอาถ้อยคำพระเจ้ามา แล้วตีความ บิดเบือน ให้เข้ากับอุปทานของตนเอง ความอยากได้ของตนเอง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่ยังคงฝังอยู่ในความคิดเดิมๆ ก็คือเสื้อเก่าๆ ที่อยู่ในความคิดเดิมๆ ที่ตัวเองอยากได้นั่นเอง และเข้าใจผิดว่าถ้อยคำพระเจ้า หมายถึงอย่างนั้น
ถ้อยคำพระเจ้าเป็นถ้อยคำแห่งความจริง เป็นพระคุณ อันนี้เป็นหลักเลยนะ พระคุณ ก็คือพึ่งพาในพระเจ้า อะไรก็พึ่งพาในพระเจ้า ทั้งหลายทั้งหมด เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ในข่าวประเสริฐ ก็คือเกิดมา เพื่อจะพึ่งพระเจ้าในทุกอย่าง พึ่งพระเยซูคริสต์ในทุกอย่าง เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราได้รับความรอด
แต่ถ้อยคำที่เหมือนกับถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริง ถ้อยคำที่ทำเหมือนกับว่าเป็นน้ำนม แต่มีของปลอมปน ก็คืออ้างถ้อยคำพระเจ้ามา แล้วสรุปสุดท้าย เคี่ยวเข็ญ ขู่เข็ญ ให้เราประพฤติ ต้องพึ่งพา การกระทำของตนเอง ของตัวเราเอง ใช่หรือไม่? ที่สังเกตง่ายๆ คืออะไรที่พึ่งพาตนเองนั่นแหละ คอยสังเกตให้ดีๆ ถ้อยคำแห่งพระคุณพระเจ้า ที่ให้เราพึ่งพาในพระองค์ พระเยซูคริสต์ ถ้าจะมีความประพฤติที่เกี่ยวข้องด้วย ก็คือให้เรากระทำตัวให้เหมือนกันกับตัวตนที่เป็นธรรมชาติใหม่ อยู่ภายในเราเท่านั้น
เหมือนที่ตะกี้เราพูด เป็นเสื้อเก่าเสื้อใหม่เท่านั้น ซึ่งถ้าทำไม่ได้ นี่ข่าวประเสริฐของจริงนะ ซึ่งถ้าทำไม่ได้ สวมเสื้อเก่า เดี๋ยวๆ ก็ยังสวมอีก สมมติเป็นอย่างนั้น ซึ่งถ้าทำไม่ได้ เราก็ต้องเผชิญกับผลแน่นอน แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ คือความไม่สุขสบายบนโลกใบนี้ ความทุกข์มากขึ้นนั่นเอง แต่ทางวิญญาณไม่ได้รับผลอะไรเลย ทางวิญญาณคนละเรื่องกัน ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม ได้รับความรอดนิรันดร์ เหมือนเดิม แต่น้ำนมฝ่ายวิญญาณที่เป็นของปลอม จะบอกว่าต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้พระเจ้าจะคายทิ้ง ถ้าทำไม่ได้ จะไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ มันต่างกันอย่างนี้แหละ
ถ้าเราใส่เสื้อเก่า มันก็ไม่สบายในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ แต่มันไม่ได้ทำให้วิญญาณเราเสียหายเลย วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม แต่เราอาจจะคัน อาจจะอึดอัด ลำบากลำบน เหมือนทาร์ซาน พ่อพากลับมาอยู่บ้านแล้ว วันดีคืนดี ยังนุ่งหนังสัตว์ ใส่กางเกงในตัวเดียว ออกไปจากบ้าน ใส่สร้อยเขี้ยวเสือ แล้วก็พกมีดสั้นที่ทำด้วยกระดูกสัตว์ ไม่ใส่เสื้อผ้า ใส่แค่นี้ออกไป ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ไหม? ไม่ เขายังเป็นคนเหมือนเดิม เพียงแต่เขาไม่สบายตัว ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มันไม่เหมือนอยู่ในป่า มันอยู่ในป่าคอนกรีต ไปนั่งเก้าอี้ ไม่ใช่ต้นไม้แล้ว มันกลายเป็นพื้นหิน ร้อนก้น เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ ร้อน ไม่สะดวกสบาย นึกภาพออกไหม? ถ้าเขาใส่กางเกง แบบมนุษย์ทั่วไป นั่งยังทนความร้อนได้ อะไรประมาณนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวตนแท้จริงของเขาเลย
สิ่งเหล่านี้ ที่พูดทั้งหมดนี้ เป็นความแตกต่างระหว่างน้ำนมอันบริสุทธิ์กับน้ำนมปลอมปน ปนเปื้อน เป็นพิษ และถ้าทารกคนใดกินพิษเข้าไป ทำให้ท้องเสียและมันแกรน ไม่โต เมื่อไม่โตแล้วทำอย่างไร? ทารกคนนั้น เมื่อไม่โต ก็จะมีพฤติกรรมแบบแปลกๆ ตลกๆ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งมันไม่สมฐานะของลูกพระเจ้า ของผู้เชื่อ ที่บริสุทธิ์สะอาด ตามธรรมชาติข้างในแล้ว ซึ่งผู้ที่จะเยาะเย้ย ก็คือมารซาตาน ศัตรูของพระเจ้าตัวจริง มันก็จะเยาะเย้ยพระเจ้า ลูกของพระองค์เป็นอย่างนี้ เพราะน้ำนมเป็นพิษ
แต่ถ้าได้กินน้ำนมอันบริสุทธิ์ ถูกต้อง เป็นความจริง 100% ความคิดก็จะเปลี่ยนไป เมื่อได้เรียนรู้ในถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวประเสริฐที่แท้จริง ความคิดก็จะเปลี่ยนไป ก็จะมีความประพฤติ ปฏิบัติตัวเปลี่ยนไป เป็นไปตามธรรมชาติ ที่อยู่ภายในมันออกมา ตัวตนที่อยู่ภายใน ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันก็จะสำแดงออกมามากขึ้นในความประพฤตินั้น พอได้รู้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนพระเยซู เพราะพระเยซูสถิตอยู่ในเรา เป็นผู้นำพาชีวิตเรา โดยพระวิญญาณของพระองค์อยู่ในเราตลอดเวลา
เมื่อเราเรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น เข้าใจพระองค์มากขึ้นในข่าวประเสริฐมากขึ้น ไม่ถูกหลอก มันก็จะประพฤติตัวออกมาเหมือนพระเยซูมากขึ้น ทำตัวต่างๆ เหมือนพระเยซู เต็มไปด้วยความรัก การให้อภัย เหมือนมากขึ้น แต่จะไม่มีวันเหมือน 100% จนกว่าวันที่วิญญาณออกจากร่าง มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำได้ครบ 100% เพราะร่างกายอันอ่อนแอของเรานี้ ยังอยู่ภายใต้ระบบของโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาป เต็มไปด้วยความต่อต้าน เป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งมีผลเข้ามาอยู่ในความคิดของเราด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีผลมาที่วิญญาณ เพราะเราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว
เพราะฉะนั้น สรุปถ้อยคำความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ สรุปวันนี้ ก็คือ …
“ฉันได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระสิริ ฉันรู้จักคุ้นเคย สนิทสนมกับพระเยซูเป็นอย่างดีแล้ว เพราะวิญญาณฉันได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เอเมน”
จบลงที่ 2 ทิโมธี 1:12 แล้วเราร้องเพลงนี้ด้วยกัน …
2 ทิโมธี 1:12 “นั่นเป็นเหตุให้ฉันสามารถอดทน มีสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยาก ลำบากบนโลกนี้ได้ ฉันไม่ละอาย ไม่ขลาดกลัว เพราะฉันได้รู้จักพระเยซูคริสต์ที่ฉันเชื่อ และมั่นใจว่าพระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งสารพัด ที่ฉันมอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้นได้”
ทั้งหมด 5 ตอนใน 1 เปโตรที่เราได้เรียนมา จะทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น คนที่เรียนรู้ตรงนี้ เขาก็จะสามารถอดทน และเผชิญกับอุปสรรคปัญหาที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ด้วยความไว้วางใจ และมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ที่เขาเชื่อ ที่เขารู้จัก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว
“ฉันสามารถอดทน มีสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ได้ ฉันไม่ละอาย ไม่ขลาดกลัว เพราะฉันได้รู้จัก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ฉันเชื่อ และมั่นใจว่าพระองค์ทรงสามารถรักษาสิ่งสารพัด ที่ฉันมอบไว้กับพระองค์ จนถึงวันนั้นได้ เอเมน”
พระเจ้าอวยพรครับ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ความรักคืออะไร? ความรักคือการเสียสละ ความรักคือการให้ เราได้เรียนรู้ความรักของพระเจ้า ว่าเป็นกฎแห่งการให้ ตามพระคัมภีร์ บอกว่ายิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากให้คนอื่นมีความสุข เรายิ่งได้ความสุข ยิ่งอยากให้คนอื่นมีทุกข์ เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งเกลียดคนอื่น เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งรักคนอื่น เราก็ยิ่งสุข เพราะฉะนั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย จำไว้ให้ดีๆ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ แต่ยิ่งอยากให้ ยิ่งได้ นี่คือหลักการของพระเจ้า นี่คือกฎธรรมชาติ
กิจการของอัครทูต 20:35 “ทุกอย่างที่ข้าพเจ้าทำไป ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านเห็นแล้วว่าโดยการทำงานหนักเช่นนี้ เราต้องช่วยผู้อ่อนแอ จงระลึกถึงพระดำรัสที่องค์พระเยซูเจ้าเองตรัสไว้ว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’”
บางคนก็จะบอกว่า “ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน ฉันยังไม่เชื่อพระเจ้า”
แต่อยากจะบอกว่านี่คือกฎธรรมชาติ และทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมนุษย์บนโลกใบนี้ เหมือนดวงอาทิตย์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ดวงอาทิตย์ฉายแสงสาดไปบนโลกใบนี้ ก็ไปโดนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนขี้เกียจ ขยัน ก็โดนแสงอาทิตย์เหมือนกัน ถูกไหม? ไม่ว่าจะเป็นคนแข็งแรง หรือเจ็บป่วย เดินไปใต้ดวงอาทิตย์ ก็ได้รับแสงอาทิตย์เช่นเดียวกันหมด เหมือนฝนตก มันก็เปียกหมด ไม่ใช่ว่าฝนตกมา คนทำดีไม่เปียก ท่านทำดี ทำไมต้องเปียกด้วย ก็เพราะมันเป็นกฎ ถ้าคุณทำดี คุณต้องถือร่มด้วย มันจะได้ไม่เปียก มันเป็นกฎใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นเอะอะอะไรก็จะบอกว่าไม่ยุติธรรมๆ ก็มันเป็นกฎ เราต้องเรียนรู้จากกฎ เราจะได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎ
ใครทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ ถ้าใครทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ เขาก็จะได้รับตามที่พระเจ้าบอกไว้ ถ้าเขายิ่งให้ เขาก็ยิ่งได้รับ ถ้าเขายิ่งเห็นแก่ตัว เขาก็ยิ่งสูญเสีย ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้ ยิ่งไม่ได้ ยิ่งเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งเสียหายมากมาย ยิ่งให้ยิ่งได้ นี่คือกฎธรรมชาติ กฎของพระเจ้า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ หมดเลย
พระเจ้าอวยพรครับ