วารสาร Holy News ฉบับที่ 1343

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  ธันวาคม  2021

เรื่อง “ข่าวประเสริฐไม่ใช่ของตาย ในชีวิตประจำวันของเรา”

โดย ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

 

วันนี้จะมาแบ่งปันเรื่อง “ข่าวประเสริฐไม่ใช่ของตาย ในชีวิตประจำวันของเรา” วันนี้จะมาแบ่งปันเรื่องปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันของเรา แล้วทุกคนก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย เหมือนเวลาที่เราอยู่ในครอบครัวของเรา เรามีพ่อแม่ของเราที่อยู่ดูแลเราที่บ้าน  แล้วเราก็ไม่ค่อยใส่ใจท่าน เราไม่ค่อยให้ความสนอกสนใจท่าน  เราละเลยที่จะสนใจ  สังคมโลกนี้ก็เริ่มเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามนุษย์เริ่มฝักใฝ่หาสิ่งของที่อยู่ในโลกนี้ คิดว่าสิ่งนั้น มันเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้พ่อแม่สุขสบาย หรือทำให้ลูกตัวเองสุขสบาย ทำให้ชีวิตมั่นคง ก็ใช้เวลาส่วนนั้นไปมากกว่า แล้วทำให้เราละเลยผู้ที่ต้องการการสนใจจากเรามากที่สุด ก็คือบิดามารดาของเรา

เช่นเดียวกัน เมื่อเรามาอยู่ในพระเยซูคริสต์  มาอยู่ในพระเจ้า เวลาที่อาจารย์ต่างๆ ทุกคนได้มาแบ่งปัน เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราจะมุ่ยหน้า เบ้ปากเลย บอกว่า …

“เป็นเรื่องเก่า เป็นเรื่องเดิมๆ ฉันรู้แล้ว ทำไมจะต้องมาพูดซ้ำๆ ย้ำๆ  พูดอย่างนั้น ฉันต้องการการหนุนใจ”

อยากจะบอกพี่น้องทั้งหลาย ให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องของการหนุนใจ ของจิตวิญญาณของเรา  ที่เป็นรากฐาน ที่จะทำให้ท่านไม่หวั่นไหว และไม่สั่นคลอนในสถานการณ์ใดๆ ที่เข้ามาในโลกนี้เลย เราอยู่ในโลกนี้ เรารู้ว่าเราเป็นเพียงผู้อาศัย  เป็นผู้พเนจร เดี๋ยวเราก็จะกลับบ้านเรา เราไปอยู่โลกใหม่ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเรา ถ้าเรามองไม่ทะลุ การดำเนินชีวิตในโลกนี้ เราชนะแล้ว เราก็จะเหมือนแพ้ เราพ้นจากความบาปไปแล้ว เราก็จะยังดำเนินชีวิตในความบาปอยู่  ทั้งๆ ที่เราพ้นจากความตายไปแล้ว แต่เราจะยังดำเนินชีวิตเหมือนคนที่ตายอยู่อีกเหมือนเดิม ถ้าหากว่าเราไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของข่าวประเสริฐ เราไม่รู้ว่าข่าวประเสริฐมีฤทธิ์อำนาจและทำงานอย่างไรในชีวิตเรา โดยวางรากฐานสิ่งนี้อย่างหนักแน่น มั่นคง ลงไปในจิตวิญญาณของเรา ไม่ว่าเราจะรู้มากขนาดไหน เราก็ล้มได้  ไม่ว่าเราจะเก่งพระคัมภีร์ขนาดไหน รู้เรื่องในพระคัมภีร์มากขนาดไหน? เราก็สามารถที่จะล้มลง แล้วก็ยากลำบากในการดำเนินชีวิต แน่นอนความรอดเราไม่หลุดแน่ๆ เพราะพระเจ้าบอกว่าต่อให้เราไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลย ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เมื่อท่านตัดสินใจเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณท่านรอดแน่นอน แต่ถ้าท่านไม่รับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ท่านจะดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างยากลำบาก ไม่ว่าท่านจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ ท่านจะรู้สึกทุกข์ยากกับมัน ท่านจะรู้สึกโดดเดี่ยว ท่านจะรู้สึกเหงา ท่านจะรู้สึกเหมือนลำบากมากในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ทั้งๆ ที่ท่านสามารถดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างง่ายดายที่สุด

ฉะนั้น วันนี้จะมาแบ่งปันว่าข่าวประเสริฐเป็นเรื่องที่เราจะต้องยึดถือไว้ เป็นเรื่องที่เราจะต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ  จนกระทั่งลมหายใจของเรา หรือว่าระบบของเราสามารถปรับตัว เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ร่างกายเรายังจะต้องดำเนินอยู่ในกฎของโลกนี้ ยังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังต้องทุกข์ ยังต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ เหตุการณ์ที่เลวร้ายต่างๆ ในโลกนี้ เมื่อใดก็ตามที่เราเผชิญหน้ากับสถานการ์เลวร้ายต่างๆ ในโลกนี้ แรกทีเดียวเลย ร่างกายเรา รูป รส กลิ่น เสียงมาเลย สมมติว่ามันแรงมา เราก็แรงกลับไป แต่ถ้าเรามีข่าวประเสริฐของพระเจ้าอยู่ในจิตวิญญาณของเรา แล้วเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เรามีสถานะใด  เรามีอะไรอยู่ในตัว เราจะนึกถึงพระคัมภีร์นี้ทันทีเลยว่า …

“จงนิ่งเสีย และรับรู้ว่าเราคือพระเจ้า”

ความสงบจะมาถึงเราทันที ความสงบสุข สันติสุข ซึ่งมีอยู่ภายใน จะสำแดงและทำงานภายในเรา แล้วเราก็จะเกิดสติปัญญาในการที่จะอยู่ในห้องชั้นในกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วขับเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปด้วยกันกับพระองค์ ฟังพระองค์ ให้พระองค์เป็นที่ปรึกษา ในการดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวัน แล้วเคลื่อนไปกับพระองค์วันต่อวัน อย่างมีสันติสุข ซึ่งเกินความเข้าใจ ซึ่งพระเจ้าประทานให้

ความสุขกับสันติสุขไม่เหมือนกัน  ความสุข คือเมื่อเราได้เจอบางสิ่งบางอย่าง แล้วเราพอใจ ชอบใจ เราเกิดความสุข เราเจอสิ่งดี ความรัก ที่เห็นอยู่ข้างหน้าเรา เราเกิดความสุข เราได้กินขนมอร่อย เราเกิดความสุข เราได้ไปเที่ยว ได้ไปเล่น เราเกิดความสุข  แต่สันติสุข ซึ่งพระเจ้าทรงประทานให้เรานั้น เป็นสันติสุข ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กระทำอยู่ภายในเรา มันเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ  แม้ว่าเราจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆ ในโลกนี้  แรกๆ เราอาจจะปะทะมันด้วยความทุกข์ ความวิตกจริต ความกังวล เพราะเรายังอยู่ในร่างกายนี้ เราอาจจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกอยากจะบ่น อยากจะต่อว่า อยากจะด่า อยากจะโต้ตอบ อยากจะอะไรก็ตาม แต่หลังจากนั้นไม่นาน ธรรมชาติของเรา ที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้าจะกระตุ้นให้เราปรับตัวเอง เข้าสู่การนิ่งสงบในพระเจ้า ปรับให้เราเกิดสันติสุขขึ้นโดยอัตโนมัติในพระเจ้า เพราะอาจารย์เปาโลบอกว่าข่าวประเสริฐนั้น เป็นฤทธิ์เดช ซึ่งทำการงานอยู่ภายในเรา  ซึ่งมันเกินกว่าที่เราจะอธิบายได้ว่ามันคืออะไร?  การบังเกิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายในเรา เป็นการย้ายเราจากสภาพเดิม สภาวะเดิม มาเป็นสภาวะลูกของพระเจ้า  บังเกิดใหม่แล้ว  มีธรรมชาติใหม่ในพระองค์แล้วภายในเรา  มีธรรมชาติในการดำเนินชีวิต แบบลูกพระเจ้าเลย เราได้รับมาเลย  เราเป็นอย่างนั้นเลย  แต่ถ้าเราไม่ยืนอยู่ในจุดที่ถูกต้อง ติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปผิดหมด ถ้าเรามาเชื่อพระเยซูคริสต์บนพื้นฐาน บนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐ ในพระเยซูคริสต์ เราล้มเหลวแน่นอน

อย่างที่เคยบอกหลายครั้งต่อหลายครั้ง ถ้าหากคุณมาเชื่อพระเจ้า โดยไม่ได้วางความเชื่อของคุณบนข่าวประเสริฐที่แท้จริง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ก็คือเราล้มลงแน่นอน หรือไม่ พูดง่ายๆ ก็คือข่าวประเสริฐจะวิ่งตรงไปสู่การทำงานที่ประหลาดมาก ก็คือเมื่อใดก็ตามที่ได้ยิน จะเกิดความเชื่อ ใครมีหู ก็ฟังเถิด  ใครมีหู รับเข้าไปอย่างตั้งใจ  เมื่อรับเข้าไปปุ๊บ ข่าวประเสริฐเกิดปฏิกิริยาในชีวิตของเขา ไม่รู้ว่าเมื่อไร? 10 เท่า 5 เท่า แล้วแต่ละคน

เราจำเรื่องดินได้ใช่ไหมค่ะ มีดินดี ดินที่มีหนาม ดินที่มีหิน มีดินที่ริมทาง ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เราเปิดจิตใจของเรา แล้วรับเอา ถ่อมใจเอาข่าวประเสริฐของพระเจ้าปุ๊บ สภาวะของความเป็นมนุษย์ของเรา  กลายเป็นดินดีที่เมล็ดพืชของพระเจ้าหล่นลงมาในจิตวิญญาณของเรา  แล้วก็เกิดผลแห่งความเชื่อ เกิดความเชื่อที่แตกหน่อขึ้น เหมือนเมล็ดมัสตาด เกิดขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ ซึ่งมาถึงจุดหนึ่งที่คนๆ นั้นจะแสดงตนออกมาว่ารับเชื่อเมื่อไร? บางคนวางแป๊บเดียวเกิดแล้ว บางคนวางอีก 10 ปีต่อมา ค่อยมาเชื่อ  บางคนอีก 30 ปีต่อมา ค่อยมาเชื่อ  บางคนจนใกล้จะเสียชีวิตแล้วค่อยมาเชื่อ

มีผู้ที่อยู่ในคริสตจักรของเราท่านหนึ่ง พอพูดอย่างนี้ ก็นึกถึงท่านทั้งสองคนมากเลย  เพราะว่าในช่วงยุคนั้น  ท่านเป็นคนที่น่ารักมากๆ อายุมากแล้ว ภรรยาเป็นพยาบาล ส่วนสามีก็จะต่อต้านพระคริสต์ตลอดเวลา ต่อสู้เรื่องพระเจ้า คุณยายไม่ได้ไปโบสถ์เลย  ไม่ได้ไปหาพระเจ้าเลย แต่ว่าจิตใจ จิตวิญญาณของท่านก็ยังเชื่อมั่นในพระเยซูคริสต์อยู่ จนกระทั่งท่านจะหมดอายุขัยแล้ว สามีท่านก็กลับใจมาเชื่อพระเจ้า ท่านก็มาโบสถ์ ไม่พอ ท่านยังขนลูกขนหลานมา ลูกหลานของท่านก็ยังอยู่ในคริสตจักรจนถึงทุกวันนี้  แต่ว่าอีกไม่นาน ท่านก็จากเราไป หลังจากที่ท่านจากเราไป  ภรรยายท่านก็ตามไป  ฤทธิ์อำนาจแห่งข่าวประเสริฐหล่นลงไปในวิญญาณของมนุษย์ แล้วเกิดผลอย่างอัศจรรย์มาก แต่บางคนจบอยู่แค่นั้น  เกิดผล เชื่อปุ๊บ  จบอยู่แค่นั้น ฉันคิดว่าฉันไม่อยากฟังอย่างอื่นแล้ว ฉันอยากฟังคำหนุนใจที่ดีกว่านั้น ไม่มีคำหนุนใจ จะยืนยันตรงนี้เลยว่าถ้าท่านรู้จักข่าวประเสริฐแท้ จะไม่มีคำหนุนใจใดๆ ในโลกนี้ ที่ดีเท่ากับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระคริสต์ได้สละพระองค์เอง  และได้บังเกิดบนโลกมนุษย์นี้ ได้ตายบนไม้กางเขน เพื่อเรา และได้ชำระล้างความผิดบาปของเรา ลงไปอยู่ในอุโมงค์ และวันที่สามพระองค์ได้ฟื้นขึ้นจากความตาย แค่เรื่องแค่นี้ เชื่อไหมพี่น้อง ตอนนี้ เรามีกลุ่มเล็กๆ จะสองปีแล้ว เรายังเรียนไม่จบ  ยิ่งเรียน ยิ่งเดินเข้าไป ยิ่งเห็นว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้ามีกลไกที่ซับซ้อน เกินสติปัญญาของมนุษย์ ที่จะเข้าใจว่ามีฤทธิ์อำนาจมากยิ่งเพียงใดที่จะสามารถกระชากคนหนึ่ง จากคนที่ตายแล้ว มาสู่คนที่มีชีวิตใหม่อีกรอบหนึ่งได้  สามารถเปลี่ยนมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีนิสัยบางสิ่งบางอย่างที่แย่มากๆ ให้กลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งได้

ฤทธิ์อำนาจแห่งข่าวประเสริฐ ไม่ใช่แค่ทำงานกับเราแล้วจบ  แต่ยังคงทำงานกับเราอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน เมื่อเราเผชิญหน้ากับสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม  ถ้าเรายังหวนกลับมาระลึกถึงสิ่งนั้น สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำบนไม้กางเขน  เราจะค่อยๆ ผ่านสิ่งนั้นไป ทีละสเต็ปๆ โดยการช่วยเหลือ โดยความเชื่อที่เรามีในพระเยซูคริสต์

ในพระเยซูคริสต์ เราแค่วางความเชื่อลงไปที่พระองค์ แล้ววางใจในพระองค์ พระเยซูคริสต์มาในโลกนี้ พระองค์ไม่ได้สอนศีลธรรม จริยธรรม เพราะว่าไม่ต้องสอน ศีลธรรมและจริยธรรมอยู่ในตัวของท่าน เมื่อท่านบังเกิดใหม่  ท่านเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ มีวิญญาณใหม่ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ปฏิกิริยาธรรมชาติใหม่นี้ จะบังเกิดขึ้นภายในท่าน ท่านจะรู้คิดว่าอันไหนพูดได้ อันไหนพูดไม่ได้ อันไหนพูดแล้ว ไปทำร้ายจิตใจคนอื่น  อันไหนพูดแล้วดี  อันไหนทำแล้วถูก อันไหนทำแล้วไม่ถูก พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ภายในท่าน  ซึ่งเป็นธรรมชาติใหม่  จะไปกับท่านอย่างสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  แล้วเกิดพฤติกรรมใหม่ ที่ไม่ต้องเรียกว่าศีลธรรม เพราะว่าเรากลายเป็นมนุษย์สวรรค์ ที่เดินอยู่บนดิน  แต่อย่างที่บอก  ทำไมเรายังทำผิด ทำบาปอยู่ หรือทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายของโลกนี้อยู่

ดังนั้น เมื่อกฎของโลกนี้ ได้พยายามที่จะชักจูง และนำพาเรา ถ้าเราหันและมอบความคิดของเรา มอบร่างกาย อวัยวะของเราให้กับความคิดที่ไม่ถูกนั้น  หรือความคิดทางลบนั้น ร่างกาย ปฏิกิริยา คำพูดเรา ปากเรา ก็จะเป็นเครื่องมือ หรือเป็นทาสของความบาปนั้นๆ  แต่เราเป็นของความบาปนั้นหรือเปล่า? ไม่ใช่แล้ว เราแค่ถูกหลอก เราแค่หลงไป  เราแค่ลืม  เราแค่ไม่จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

กระดุมเม็ดแรกนี้ ก็คือความเชื่อที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ กระดุมเม็ดแรกนี้ คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น

เรามาดูคำอธิษฐานของเปาโล เปาโลเป็นคนที่รู้พระคัมภีร์ เชี่ยวชาญมาก ในพระคัมภีร์ได้เอ่ยอ้างถึงประวัติของบุคคลนี้ว่าเป็นคนที่รู้บัญญัติของพระเจ้า เป็นคนที่เคร่งบัญญัติของพระเจ้า เป็นฟาริสีที่ดำเนินชีวิตที่ระมัดระวัง และเป็นคนที่มีชื่อเสียงดี ท่ามกลางบุคคลที่แต่ก่อนนี้เป็นคนยิว เปาโลก็จะรู้ลึกถึงเรื่องของธรรมบัญญัติ หรือหนังสือโทราทั้งหมด เมื่อเปาโลได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้มาพบเขา แล้วเขาได้กลับใจใหม่ ได้เกิดใหม่ปุ๊บ มันเหมือนแตกฉานไปหมดเลย ทั้งหมดในหนังสือโทรานี้ กำลังพูดถึงพระเยซูคริสต์เท่านั้น  และสิ่งนั้นเกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่หนักอยู่ภายในจิตวิญญาณของเปาโล จนกระทั่งอธิษฐานอยู่เรื่อยๆ จนกลายมาเป็นจดหมายฝาก ที่เขียนถึงเมืองเอเฟซัสได้บอกว่า …

เอเฟซัส 1:15-23 “15 เหตุฉะนั้น  ครั้นข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านทั้งหลายได้วางใจในพระเยซูเจ้า  และท่านรักธรรมิกชนทั้งปวง 16 ข้าพเจ้าจึงได้ขอบพระคุณ เพราะท่านทั้งหลายไม่หยุดเลย  ในเมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย  มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา  และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ 18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น  เพื่อท่านจะได้รู้ว่าในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น  พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน  และรู้ว่ามรดกของพระองค์ สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร 19 และรู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร  สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ  ตามอำนาจของพระกำลัง  และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ 20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์  เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย  และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์  ในสวรรค์สถาน 21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง  เหนือศักดิเทพ  เหนืออิทธิเทพ  เหนือเทพอาณาจักร  และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น  มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น  แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย 22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์  และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์  คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์  ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน”

 

นี่คือคำอธิษฐานของอาจารย์เปาโล ซึ่งอธิษฐานเผื่อคนที่เมืองเอเฟซัส  เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเทพเยอะแยะมากมาย พวกเขาบูชาเทพหลายเทพมาก มีพระหลายองค์ที่เขาได้ยกขึ้น มีทั้งได้บูชาเทพที่เป็นผู้หญิง ที่ได้มีการกระทำหลายสิ่งหลายอย่าง ที่แย่มากๆ ฉะนั้น คนที่อยู่เมืองเอเฟซัสก็จะต้องเผชิญหน้า ทั้งการข่มเหงไม่พอ  ยังต้องเผชิญหน้ากับความเชื่อ  เดิมที่เขาเคยเชื่อมาก่อน  ทั้งคนที่มีอำนาจทางด้านศาสนาเดิมที่เขามี  รวมทั้งคนยิวที่มาเชื่อพระเจ้าที่ยังหันไปเหมา ยังไม่มั่นคงในการที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของข่าวประเสริฐ เขาต้องต่อสู้กับสิ่งนั้น เปาโลเป็นคนที่พระเจ้าใช้มา เพื่อให้สร้างคริสตจักร เปาโลจึงจะต้องเป็นผู้ที่นำ ข่าวประเสริฐจริงๆ แท้ๆ เพียวๆ  นำไปสู่ที่ต่างๆ  ที่เขาจะต้องออกไป  ดังนั้น เปาโลจึงเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เปาโลอธิษฐานสิ่งนี้ ก็คือเปาโลต้องการให้ผู้เชื่อทุกคน ตาใจฝ่ายวิญญาณเปิดออก และเห็นถึงความจริง ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำบนไม้กางเขน เพื่อเราว่ามีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ มากยิ่งเพียงใด ที่ทำการงานในชีวิตของเรา

เหมือนบิ๊กแบงค์ ที่ระเบิดลงไปในจิตวิญญาณของเรา แล้วทำให้เราบังเกิดใหม่ เรามองไม่เห็น แต่สิ่งนั้น ได้ทำการงานภายในเรา  เรากลายเป็นคนใหม่ มนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นพงศ์พันธุ์ที่ต่อมาจากพระเยซูคริสต์ แล้วการงานนั้น ได้กระทำให้เราแปลสภาพ กลายเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นบุตรของพระเจ้า  มีสิทธิอำนาจเดียวกันกับพระเจ้า

แต่หลายคนใช้คำว่า “สิทธิอำนาจ” ไปในทางที่ผิด  เพราะว่าไม่ได้ยืนอยู่บนข่าวประเสริฐแท้ เมื่อใดก็ตามที่เราไม่ได้ยืนอยู่บนข่าวประเสริฐแท้ปุ๊บ เราจะใช้คำพูด หรือเรื่องใดๆ ก็ตามในพระคัมภีร์แถไถไปเรื่อย  แล้วใช้ผิด  และเมื่อเราใช้ผิดปุ๊บ  คริสตจักรก็เสียหาย  คริสตจักรก็บาดเจ็บ  คริสตจักรก็อ่อนแอ คริสตจักรก็อยู่ในสภาวะที่ไม่เติบโตเข้มแข็ง และเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้ง  การแตกแยก การชิงดีชิงเด่นกัน ถ้าหากเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้า หรือเป็นผู้นำของคริสตจักร ได้สอนสิ่งหนึ่ง สิ่งใดผิดไปจากข่าวประเสริฐของพระเจ้า จะทำให้ร่างกายของพระคริสต์อ่อนแอ ทำไมดิฉันถึงพูดอย่างนั้น  เพราะว่าเดี๋ยวเราอ่านพระคัมภีร์ต่อๆ ไป เราจะรู้เลยว่าข่าวประเสริฐเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ การก่อร่างสร้างคริสตจักรของพระเจ้าแข็งแรง

ดังนั้น เมื่อใดก็ตาม หากเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็ผิด ถ้าเราเข้าใจความหมายของข่าวประเสริฐผิด เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราก็ตีความหมายผิดหมด  เราจะเอาความหมายของพระคัมภีร์ เป็นไปตามวิถีที่เราคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น  น่าจะเป็นแบบนี้  เพราะเรารู้มากอย่างนี้ เอาอันนี้ มาบวกอันนี้ปุ๊บ มันต้องกลายเป็นอย่างนี้ สรุปว่าต้องเป็นอย่างนี้ เราใช้วิธีแตกแขนงจากความคิดของเรา  แต่ไม่ได้แตกแขนงจากรากของข่าวประเสริฐแท้

พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เริ่มต้นก็ความเชื่อ  จบลงก็ความเชื่อ

หนังสือพระคัมภีร์ของเรา จะพูดเรื่องเดียว คือเรื่องความเชื่อ เชื่อวางใจในพระเจ้า เรามาอ่านดูนะ เวลาไปเยี่ยมสมาชิก หลายคนจะถามว่า …

“เทศน์เรื่องอื่นไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเทศน์เรื่องเดียว”

เพราะเราเห็นว่าเรื่องเดียวนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ สำหรับจิตวิญญาณของคุณ และเราไม่มีเรื่องอื่นพูด นอกจากเรื่องนี้ เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เมื่อเรารู้ความจริงแล้ว เราจะรู้เลยว่าพระคัมภีร์ไม่ได้พูดเรื่องใดๆ เลยนอกจากการเตรียมพระเยซูคริสต์ไว้  สำหรับไถ่บาปเรา  ทั้งพระคัมภีร์เดิม ทั้งพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้พูดเรื่องอะไรเลย นอกจากการมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์  ออกจากอำนาจแห่งความบาปและความตาย ส่วนเรื่องที่เหลือพระเจ้าให้เราอยู่ด้วยกัน หนุนใจกัน เสริมสร้างกันและกัน เราจึงจำเป็นต้องมีการประชุมกัน เพื่อดูแลกันและกันให้หนุนใจ ตักเตือน ว่ากล่าวกัน หรือเสริมสร้างกันในพระกายของพระคริสต์ คอยบอก คอยดูแลกันและกัน คอยหนุนกันขึ้น คอยเตือนสติว่าอย่าแถ อย่าไถ อย่าไปทางอื่น กลับมาๆ วิธีคิด คิดอย่างนี้นะ วิธีทำ ทำอย่างนี้นะ คิดอย่างนี้ถูกหรือเปล่า? คิดอย่างนี้ไม่ถูก หรือว่าถ้าคิดอย่างนี้ คุณคิดเองสิว่ามันถูกหรือมันผิด นั่นคือหน้าที่ของเราที่จะรดน้ำ พรวนดิน แล้วพระเจ้าจะทำให้เราเจริญเติบโตในพระกายของพระองค์ ฉะนั้น เราจึงไม่มีเรื่องอื่นพูดนอกจากเรื่องของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์เท่านั้น …

1 โครินธ์ 1:18-25 “18 คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่  แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า 19 เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าเราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา  และจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดสูญสิ้นไป 20 คนมีปัญญาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน  บัณฑิตแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน  นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน  พระเจ้าได้ทรงกระทำปัญญาของโลกให้โฉดเขลาไปแล้ว 21 เพราะตามที่ทรงกำหนดไว้ตามพระสติปัญญาของพระเจ้า  โลกไม่รู้จักพระเจ้าได้ โดยปัญญาของตน  พระเจ้าจึงทรงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ 22 พวกยิวขอเห็นหมายสำคัญ  และพวกกรีกเสาะหาปัญญา 23 แต่พวกเราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น  อันเป็นสิ่งที่ให้พวกยิวสะดุด  และให้พวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่  24 แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น  ทั้งพวกยิวและพวกกรีก  ต่างถือว่าพระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพ และพระปัญญาของพระเจ้า 25 เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์  และความอ่อนแอของพระเจ้า ก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์”

 

ในโรม 1:16 อันนี้เป็นคำพูดของเปาโล ผู้นำข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปในต่างแดน จากเยรูซาเล็ม แล้วก็นำเอาออกไป ที่เมืองเอเฟซัส เมืองโครินธ์ ออกไปทางตุรกี หลังจากตุรกี ก็ข้ามไปสู่ยุโรป แล้วค่อยย้อนกลับมาหาเรา จริงๆ เปาโลอยากจะมาหาเรา ในหนังสือพระคัมภีร์บอกว่าเปาโลตั้งใจจะมาทางนี้ ทางเอเซีย แต่มาไม่ได้ สุดท้ายพระเจ้าก็พาออกไป แล้วย้อนกลับมาหาเรา จริงๆ แล้วข่าวประเสริฐของพระเจ้าเกิดในเอเชีย …

โรม 1:16 “เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอาย  ในเรื่องข่าวประเสริฐ  เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า  เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด  พวกยิวก่อน  แล้วพวกต่างชาติด้วย”

 

ในพระคัมภีร์ที่เราถืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ ทั้งหมดพูดถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดอย่างไร? ตายอย่างไร? ตั้งแต่เริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นมา พระคัมภีร์พูดถึงต้นกำเนิดของโลกนี้ โดยมีมนุษย์ และให้มนุษย์บังเกิดมา แล้วมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระองค์พูดถึงการช่วยกู้ทันที  พระองค์เตรียมแผนไว้เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์จะช่วยกู้ทันที แล้วเมื่อพระองค์ช่วยกู้เสร็จเรียบร้อยปุ๊บ พระองค์ก็เตรียมเชื้อชาติไว้ คือชนชาติยิว ซึ่งผ่านทางอับราฮัม ดึงอับราฮัมออกจากเมืองของตน แล้วตั้งเป็นชนชาติ คือชาติอิสราเอล เพื่อเตรียมพระเยซูคริสต์ให้มาบังเกิดในนั้น  แล้วไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะถูกนำไปในที่ต่างๆ ในชีวิตของตระกูลและสายพันธุ์ของอับราฮัม ต่างก็ถูกนำพาโดยการนำของพระเจ้า  และมีการเผยพระวจนะเป็นขั้นตอน ในทุกยุค ทุกสมัย ในทุกๆ เหตุการณ์ ในยุคของชั่วชาติพันธุ์ของอายุคน คนนั้นไม่ได้นัด คนนี้ไม่ได้นัดหมาย เป็นคนละเพศ เป็นคนละวัย เกิดคนละยุค คนละสมัย แต่เขียนเรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าจะมาบังเกิดบนโลกนี้ และไถ่ถอนเราจากอำนาจของความบาป และความตายอย่างไร?  ถูกร้อยสายพันธุ์ออกมา กลายเป็นเรื่องราวที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม ที่ซ่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้

พระคัมภีร์ไม่ได้พยายามที่จะบอกให้เราเห็นว่าชีวิตโมเสสเป็นอย่างไร? ชีวิตอับราฮัมเป็นอย่างไร? ต้องเอาแบบอย่าง? ชีวิตของคนนั้นเป็นอย่างไร? ชีวิตของคนนี้เป็นอย่างไร? หรือต้องขอหมายสำคัญแบบนั้นแบบนี้  เหมือนที่คนในพระคัมภีร์ทำกัน แต่พระคัมภีร์พยายามที่จะบอกเราถึงเรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์กำลังจะมาบังเกิด พระองค์มาอย่างไร? เพื่อเรา นี่คือความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ แล้วมารก็รู้สิ่งนี้ ก็พยายามทำลายแผนงานของพระองค์ แต่พระเจ้าพยายามกลับเรื่องที่มันจะทำ ให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าร่องพระเจ้า

ถ้าเรารู้ว่าเรื่องราวทั้งหมด กำลังพูดถึงอะไร? เราจะสนุกในการอ่านพระคัมภีร์มาก เราจะไม่ง่วงนอนอีกต่อไป เราจะรู้สึกว่าเราอยากรู้ เราอยากจะเข้าใจ เราอยากจะเห็นว่าอะไรอยู่ในนั้น

พอมาถึงยุคพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในขณะที่พระเยซูคริสต์กำลังพูดในมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น พระเยซูคริสต์ไม่ได้พูดกับคนที่เชื่อ  แต่เวลาเราเอามาใช้  เราเอามาใช้กับคนที่เชื่อ พระองค์กำลังพูดกับคนที่ไม่เชื่อ พระองค์กำลังจะบอกว่าถ้าเราอยากจะทำชีวิตให้ขึ้นสวรรค์ได้ คุณต้องทำ 100%

100% คืออะไร? บัญญัติบอกว่าถ้าใครตบแก้มซ้าย หันแก้มขวาให้ตบด้วย  ทำได้ไหม? ต้องทำให้ได้นะ เขาเกณฑ์ให้เดิน 2 กิโล ต้องเดิน 5 กิโล ทำให้ได้นะ ใครก็ตามที่กดขี่ข่มเหงเรา เราต้องเดินให้ได้ พระเยซูกำลังอธิบายว่าคุณคิดว่าคุณถือบัญญัติดีแล้ว จะบอกให้ว่าความหมายของบัญญัติมากกว่านั้น นั่นหมายความว่าคุณต้องทำให้ได้ 100% ของข้อนั้น และถ้ามี 613 ข้อ คุณต้องทำให้ได้ 613 ข้อไม่ผิดเลย แล้วพระเยซูจบลงด้วยว่า … “แอกก็พอเหมาะ ภาระก็เบานะ ถ้ามาหาพระองค์” … มาหาพระองค์จะได้ไม่ต้องแบกสิ่งนั้นอีกต่อไป บาปทั้งหมด  เราแบกให้ท่านเอง  ท่านไม่ต้องแบกอีกต่อไป  ท่านไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกายอีกต่อไป เพราะว่าท่านไม่สามารถตะเกียกตะกายได้

บางทีเราไปแปลความหมายในพระคัมภีร์ ในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มใช้ในการประพฤติ นึกว่าพระเยซูสอนศีลธรรมและจริยธรรม ไม่ใช่ พระองค์กำลังจะชี้ให้เห็นว่าคุณทำให้ตาย คุณก็ไม่รอด เพราะว่าบรรทัดฐานของสวรรค์ คือคุณต้องทำให้ได้ 100% ถ้าคุณถือ 5 ข้อ คุณต้องทำให้ได้ 5 ข้อ โกหกครั้งเดียว ก็ไม่ได้ พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“เราไม่ได้มาลบล้างธรรมบัญญัติ แต่มาทำให้บัญญัติสมบูรณ์ เราเคารพบัญญัติมากกว่าท่านอีก เรารู้ว่าบัญญัตินั้น ท่านทำไม่ได้”

บัญญัตินั้นเขียนละเอียดและซีเรียสกว่าที่คุณคิด คุณต้องทำให้ได้ 100% ถ้าคุณถือ 8 ข้อ คุณต้องทำให้ได้ 8 ข้อ  ถ้าคุณไม่มีบัญญัติใดๆ ไม่มีศาสนาอะไรเลย คุณมีจิตสำนึกภายในคุณเอง จิตสำนึกฟ้องว่าผิด แล้วคุณไม่แก้ไข คุณก็ผิด พระคัมภีร์บอกว่าแม้แต่สิ่งที่ดี แล้วคุณไม่ทำ คุณก็ผิด

รอดไหมค่ะ? ไม่รอด  นั่นเอง ทำให้พระเยซูคริสต์ จำเป็นจะต้องสละสภาพความเป็นพระเจ้าของพระองค์ลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปเรา  แปลสภาพ เปลี่ยนสภาพจากพระบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุดมาเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปเรา เพื่อลบล้างความผิด เอาความผิดบาปของเราออกไป  แล้วล้างเราใหม่  ล้างเสร็จเรียบร้อยปุ๊บ ให้ชีวิตใหม่กับเรา สวมเสื้อใหม่ให้กับเรา แล้วอยู่กับเรา อยู่ในเรา นี่คือข่าวประเสริฐแท้ แล้วหลุดจากร่างนี้  คุณจะได้ร่างใหม่ แล้วมีโลกใหม่ โลกนี้กำลังจะเสื่อมสลายไป แต่ว่าโลกใหม่ก็กำลังมา  นั่นคือมรดกซึ่งพระเจ้าจัดเตรียมไว้ สำหรับเรา แล้วเราก็ตีความหมายของคำว่า “มรดก” ไม่ถูกต้อง

“มรดก” คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้มี  2 สิ่ง ก็คือร่างใหม่และโลกใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา ที่ยังต้องรอ ส่วนเรื่องอื่นเราได้หมดแล้ว ได้เท่าเทียมกัน ทำไมต้องเท่าเทียมกัน จำคำอุปมาที่พระเยซูคริสต์บอกได้ไหม? เป็นนายสวน ออกไปจ้างคน เช้าจ้างมา บ่ายจ้างมา เย็นจ้างมา พอถึงตอนเย็นปุ๊บ จ่ายค่าจ้างเท่ากัน  ทำมาก ก็ได้เท่ากัน  ทำน้อย ก็ได้เท่ากัน แต่ที่คุณทำมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับพระเจ้าใช้ท่านทำอะไร?  แต่คนที่ถูกใช้ ส่วนใหญ่ คือเต็มใจ 100% จะทำมากกว่าคนอื่น ก็จะไม่รู้สึกว่าทำมากกว่าคนอื่น อยากจะทำ เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ ซึ่งอยู่ภายในคนๆ นั้น แล้วคนๆ นั้นทำ ก็จะไม่รู้สึกว่ายากลำบากอะไร?  เพราะว่าถ้าเขาทำแล้วฝืน นั่นก็ไม่ใช่แล้ว  แต่ถ้าเขาทำ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติที่ขับเคลื่อน อยู่ภายในเขา  รู้เลยว่านั่นพระเจ้าเป็นผู้ใช้เขา อยู่ในเขา และเป็นผู้นำพาเขา ทำในสิ่งนั้น เพื่อพระองค์

การทำมากทำน้อยในโลกนี้ เราได้รับแน่ เราได้รับความรักจากพี่น้อง  ที่อาจจะมากกว่าคนอื่น มีคนส่งขนม ส่งข้าว ส่งน้ำมากกว่าคนอื่น ประมาณนี้นะ เราได้บำเหน็จแน่ๆ เราได้เยอะกว่าคนอื่นแน่ๆ อันนี้ในโลกนี้ เราได้เก็บเกี่ยวแน่ๆ เพราะเราทำงานในโลกนี้ใช่ไหม? พระเจ้าไม่ติดค้างเรา ไปรอให้ขึ้นสวรรค์แล้วค่อยจ่ายเรานะ พระเจ้าจ่ายให้เราเรียบร้อยในโลกนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว  ส่วนที่พระองค์สัญญาไว้ เราได้เท่ากัน  เราได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์เดิมหรือว่าพระคัมภีร์ใหม่ พูดถึงพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นจดหมายฝาก ไปอ่านให้ละเอียด จดหมายใดๆ ก็ตาม เปาโลพูดถึงแต่การตาย การเป็น การลบล้างบาป  การเป็นทาสบาป การหลุดพ้นจากบาป การอยู่ภายใต้อำนาจของบาป และการหลุดพ้นจากอำนาจของบาป  การเป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ เปาโลก็พูดอยู่แค่นี้ แต่แค่นี้ เรารู้สึกไม่อิ่มใช่ไหม?  เรารู้สึกว่าอยากมากกว่านี้ …

“ฉันอยากได้รับคำหนุนใจว่าพระเจ้าอยู่ด้วย”

ถ้าท่านรู้ข่าวประเสริฐ จะต้องมีคนมานั่งบอกท่านไหมว่าพระเจ้าอยู่กับท่าน ในขณะที่ท่านยากลำบาก กำลังเหน็ดเหนื่อย เผชิญปัญหาอยู่นั้น ต้องมีใครมานั่งบอกเราไหมว่าพระเจ้าอยู่กับเรา ถ้าเรารู้ข่าวประเสริฐจริง แต่ถ้าเราไม่ไหว เราคุกเข่าลง  ถ้าข่าวประเสริฐอยู่ในชีวิตเราจริงๆ เราคุกเข่าลง เราร้องหาพระเจ้า พระเจ้าก็จะตอบเรา พระเจ้าอยู่เคียงข้างเราเสมอ มันมากกว่านั้น เมื่อเรารู้ว่าข่าวประเสริฐแท้คืออะไร? เราจะไม่อยากได้อันอื่นมากไปกว่าเรื่องของความรักที่พระเยซูคริสต์มีต่อชีวิตของเราเลย การพูดถึงไม้กางเขน คือการพูดถึงความรักของพระเยซูคริสต์ที่มีในชีวิตของเรา  ที่ไม่มีผู้ใดในจักรวาลนี้ ในโลกนี้มอบให้กับเราได้ เป็นความรักที่มั่นคง เป็นความรักที่แสดงออกอย่างละเอียดอ่อน จนกระทั่งเรารู้แน่ชัดแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เข้าไปอยู่ในห้องชั้นในกับพระองค์ หรืออยู่กับพระองค์ คุยกับพระองค์ สนทนากับพระองค์ เราจะรู้จักคุณค่าที่เรามีอยู่แล้ว สิ่งที่มีอยู่แล้วภายในเรา มากกว่าปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ ณ ขณะนี้

พอพูดถึงเรื่องนี้ปุ๊บ ก็จะนึกถึงเพลงคริสเตียนหลายๆ เพลง มักจะพูดถึงว่า … “โปรดนำไปถึงกางเขน อย่าให้ข้าลืมเกสเสมาเน” ก็คือสถานที่ที่พระเยซูคริสต์อธิษฐาน สถานที่ที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึง สถานที่ที่พระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ สถานที่ที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย และอยู่ร่วมกับสาวกของพระองค์

คริสเตียนหลายคน แม้แต่ดิฉันเองก็อยากนะ จริงๆ แล้วก็คืออยากไปเดินตามรอย เส้นทางที่เกิดเหตุการณ์นี้ หลายคนเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ มันไม่จำเป็น ไม่สำคัญ ความอยากของดิฉันเป็นความอยากของเนื้อหนัง เป็นกิเลสส่วนตัว ไม่ต้องเอาเป็นแบบอย่าง อยากที่จะไปเดินจุดนั้น  ที่พระเยซูคริสต์ไปอธิษฐานคืนนั้นกับเปโตร อยากไปที่โกละโกธา แต่ไม่ใช่ว่าการอยาก หรือการได้ไปของเราจะเพิ่มพูนความเชื่อของเรา ไม่ใช่ อยากเพราะมันเป็นกิเลสส่วนตัว เป็นความต้องการเนื้อหนังส่วนตัว

ความละเอียดอ่อนในความรักของพระเจ้า เมื่อเราใคร่ครวญเรื่องต่างๆ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ยิ่งใคร่ครวญมากเท่าไร? หรือคิดไปถึงมากเท่าไร? เราจะเห็นถึงความละเอียดอ่อนในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรามากเท่านั้น เพิ่มขึ้นทุกวัน แม้แต่พระเยซูคริสต์เอง ก็พูดในวันที่พระองค์ทำพิธีปัสกากับสาวกของพระองค์ว่าให้กินขนมปังกับน้ำองุ่นนี้บ่อยๆ แทบจะบอกว่าทุกวัน ทำไมล่ะ? การที่ระลึกถึงน้ำองุ่นกับขนมปัง ก็คือการนึกถึงโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งออก บนไม้กางเขนเพื่อเรา นึกถึงรอยแผลเฆี่ยนที่พระองค์ต้องถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี เพื่อให้เราได้รับการชำระล้างบาป ได้หลุดพ้นจากความบาป ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้ให้เราระลึกถึง เพื่อมานั่งร้องไห้ ร้องได้ เราซาบซึ้ง เราอธิษฐาน เราร้องได้ แต่พระองค์ไม่ได้ให้เราจมอยู่ในความเศร้า ไม่ใช่นึกถึงกางเขน แล้วนึกถึงความเศร้า รู้สึกถึงความเจ็บปวดของพระองค์ พระองค์คงเจ็บปวดใช่ไหม?  แต่อยากนึกถึงความเจ็บปวดของพระองค์ที่ทำเพื่อเรา ด้วยความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา ให้เรารู้สึกซาบซ่านในความรักที่พระองค์มีต่อเรา ในพิธีปัสกาหรือพิธีมหาสนิทของเรา เพื่อเราจะสามารถยืนอยู่อย่างมั่นคง เข้มแข็งได้  ลูกา 4:16-21 …

ลูกา 4:16-21 “16 แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ  เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น  พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย  และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม 17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์  เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า 18 พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า  เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้  เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน  พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย  ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก  ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ 19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า 20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่  แล้วทรงนั่งลง  และตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์ 21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า  “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว”

 

คนอิสราเอลรอคอยพระเมสิยาห์ อย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาตั้งไว้เลยว่าพระเมสิยาห์จะมาบังเกิดในโลกนี้ แล้วไถ่เขาจากการเป็นทาส เขาเข้าใจผิด คำว่า “การเป็นทาส” ไม่ใช่จากการเป็นทาสของโรม หรือเป็นทาสของนานาประชาชาติ ที่เข้ามาตีเมืองเขา  แล้วทำให้เขาต้องตกเป็นเชลย แต่ความหมายของพระคัมภีร์ คือปลดปล่อยเขาจากการเป็นทาสของความบาป  เขาตีความหมายผิดไป เมื่อตีความหมายผิดไป เขาจึงไม่สามารถมองเห็นความจริงที่เกิดขึ้นในตัวของพระเยซูคริสต์ได้

พระเยซูช่วง 30 ปีแรกอยู่กับครอบครัวอย่างสงบเสงี่ยม ดูแลครอบครัว แล้วก็ทำหน้าที่ของลูกที่ดี พออายุ 31 ปี พระองค์ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์ ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็เริ่มพูดถึงสวรรค์ แผ่นดินสวรรค์มาถึงแล้ว  พระองค์ก็เริ่มปฏิบัติภารกิจของพระองค์ แล้วคนอิสราเอลก็ไม่เชื่อ  แล้วก็ปฏิเสธพระองค์ ปฏิเสธไม่พอ ยังปรารถนาจะฆ่าพระองค์ด้วย …

ยอห์น 5:39 “ท่านทั้งหลายค้นดูในพระคัมภีร์  เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์  และพระคัมภีร์นั้น เป็นพยานให้แก่เรา”

 

พระคัมภีร์พุ่งเป้าไปที่พระเยซูเท่านั้น และเมื่อพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ การงานของพระองค์ในโลกนี้  คนต่างก็พูดถึงพระองค์ไปต่างๆ นานาว่าเป็นผู้เผยพระวจนะบ้าง?  ก็คิดถึงพระองค์แบบที่คิดถึงโมเสส เคยคิดถึงอิสยาห์ เอลีชา เอลียาห์ ผู้เผยพระวจนะดาเนียล อะไรต่างๆ ทั้งปวง แต่ว่าพระเยซูคริสต์ได้ฟังการพูดคุยสนทนาของสาวก พระองค์ก็เลยหันไปถามสาวกของพระองค์ว่า …

“แล้วท่านคิดว่าเราเป็นใคร?”

ทุกคนก็นิ่ง ส่วนเปโตรเป็นคนที่ไม่มีความรู้ที่สุด เป็นชาวประมง เปโตรก็มองพระเยซู แล้วเปโตรก็บอกว่า …

“พระองค์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”

พระเยซูก็เขม่นดูเปโตรแล้วพูดกับเปโตรว่า …

มัทธิว 16:18 “ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร  และบนศิลานี้  เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้  และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้”

 

พระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอกของคริสตจักร สาวกรุ่นแรกได้พูดถึงเรื่องนี้ว่าไม่ว่าเราจะก่อสร้างคริสตจักรอย่างไรก็ตาม เราต้องก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานที่พระเยซูคริสต์สร้างและอัครทูต

พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์เป็นศิลามุมเอก  และสาวกก็มาก่อร่างต่อจากพระเยซู ก็คือวางรากต่อจากพระองค์ พระองค์เป็นหินก้อนนั้นแหละ ที่ถูกตอกลงไป บนรากฐานของคริสตจักรแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอกลงไปปุ๊บ สาวกของพระองค์ก็มาสานต่อจากศิลามุมเอกก้อนนั้น

อันนี้ดิฉันอธิบายตามความเข้าใจของตัวเอง ถ้าผิดพลาดอย่างไร? ก็บอกกันได้ค่ะ … ศิลามุมเอก คือการวางศิลาอันนั้น เจาะลึกลงไป เพื่อให้การวางเสาเข็มต่างๆ  ถูกกระจายออกไป ทำให้การก่อสร้างอาคารนั้น มันมั่นคง ยิ่งอาคารสูงมากเท่าไร? ศิลานั้น ก็ต้องหยั่งลึกมากเท่านั้น

ฉะนั้น ในหนังสือเอเฟซัส เปาโลได้พูดถึงพวกเราที่เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ว่า …

เอเฟซัส 2:20-22 “20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น  บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ  พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก 21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท  และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 และในพระองค์นั้น  ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย”

 

ข่าวประเสริฐทำไมจึงสำคัญในชีวิตของเรา  ข่าวประเสริฐเป็นเหมือนรากแรก เป็นเหมือนสิ่งแรก ไม่ว่าเราจะอ่านพระคัมภีร์ หรือเราจะสอน หรือเราจะเอาไปพูด ดำเนินชีวิตประจำวัน ข่าวประเสริฐเป็นตัวขับเคลื่อนเรา ในพระคัมภีร์เอเฟซัสบอกว่าเราเดินไปไหนมาไหน? ก็คือเป็นเหมือนรองเท้าที่ต้องไปกับเรา ข่าวประเสริฐก็ต้องไปกับเรา

การพูดถึงศิลามุมเอก จะพูดถึงในพระคัมภีร์หลายตอนมาก ไม่ว่าจะเป็นสดุดี 118:22-23,  อิสยาห์ 28:16, กิจการ 4:11, โรม 9:33, โรม 10:11, 1 เปโตร 2:6-7

พระเยซูคริสต์ได้พูดถึงอุปมาอุปมัยการสร้างบ้าน ในลูกา 6:46-49 และมีอ้างถึงในมัทธิว 7:24-27 ลองไปอ่านดู ได้พูดถึงการวางรากของตัวอาคาร ของบ้านที่มั่นคง

ลูกา 6:46-49 “46 “เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงเรียกเราว่า  ‘พระองค์เจ้าข้า  พระองค์เจ้าข้า’  แต่ไม่กระทำตามที่เราบอกนั้น 47 ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเรา  และกระทำตามคำนั้น  เราจะแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ว่าเขาเปรียบเหมือนผู้ใด 48 เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก  เขาขุดลึกลงไปแล้วตั้งรากบนศิลา  และเมื่อน้ำมาท่วม  กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง  แต่ทำให้หวั่นไหวไม่ได้  เพราะได้สร้างไว้มั่นคง  49 ส่วนคนที่ได้ยินและมิได้กระทำตาม  เปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึกบนดิน  ไม่ก่อราก  เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่งตึกนั้น  ตึกนั้นก็พังทลายลงทันที  และความพินาศของตึกนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”

 

ทำไมเราต้องวางรากฐานของข่าวประเสริฐลงไปในจิตวิญญาณของผู้เชื่อ ก็เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องเป็นเด็กอีกต่อไป …

เอเฟซัส 4:14-16 “14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป  ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง  และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง 15 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก  เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ  คือพระคริสต์ 16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น  ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อที่ทรงประทาน  ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก  เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว”

 

น้ำพระทัยของพระเจ้า สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากเรา ก็คือการเชื่อและวางใจ พระเจ้าไม่ได้ให้เราทำอะไร ไม่ได้พยายามให้ทำดี เดี๋ยวการเป็นคนดี มันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จากเราเอง ถ้าเรามอบความคิดและร่างกายของเราให้กับพระคริสต์ เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งปวงปุ๊บ  เรารับรู้ จดจำถ้อยคำของพระเจ้าอยู่ในจิตวิญญาณของเรา  แล้วเราก็ดำเนินชีวิต โดยการมอบอวัยวะของเราให้กับพระเจ้า ด้านศีลธรรมเรา มันจะไปของมันเอง มันจะขับเคลื่อนของมันเอง แต่น้ำพระทัยของพระเจ้า ต้องการให้เราเชื่อ เชื่ออะไร? เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  วางใจในการงานของพระองค์ ที่พระองค์ได้มาทำบนโลกนี้ เพื่อเรา

นี่เป็นคำอธิษฐานตอนจบของหนังสือเอเฟซัส ของอาจารย์เปาโล ซึ่งก็เป็นคำอธิษฐานของศิษยาภิบาลของคริสตจักรแห่งนี้ เพื่อพวกเราทุกคนด้วย …

เอเฟซัส 3:14-21 “14 เพราะเหตุนี้  ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา 15 (คำว่า  “บิดา”  ของทุกตระกูล  ทุกชาติ  ในสวรรค์ก็ดี  ที่แผ่นดินโลกนี้ก็ดีมาจากคำว่า  “พระบิดา”) 16 ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ท่าน  โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์ 17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ  เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว 18 ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด  ถึงความกว้าง  ความยาว  ความสูง  ความลึก 19 คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้  เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม 20 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์  กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้  ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา 21 ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ในคริสตจักร  และในพระเยซูคริสต์ตลอดทุกชั่วอายุคนเป็นนิตย์  อาเมน”

 

พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

*************************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

กรุณาเลือกคำตอบข้างล่างนี้ …

ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญในปัจจุบัน เหมือนความมืดเลวร้ายปกคลุมอยู่เหนือโลกและมนุษย์ทั้งปวง ท่านมองไปที่ใด?

  1. สิ่งที่มองเห็นอยู่
  2. สิ่งที่มองไม่เห็น

 

2 โครินธ์ 4:16-18 “ฉะนั้น เรา​ไม่​ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้​ว่า​กาย​ภาย​นอก​ของ​เรา​กำลัง​ทรุดโทรม​ไป แต่​ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของ​เรา​กำลังได้รับการเลี้ยงดูเสริมสร้างขึ้นใหม่ให้เจริญเติบโตทุก​วัน เพราะ​ความ​ทุกข์ยากลำบาก​ที่เราได้รับอยู่เพียงชั่วคราวในขณะนี้ซึ่งเล็กน้อยมาก เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้วนั้น ไม่สามารถมาเทียบกับสง่าราศีสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์​ของตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของเราได้เลย ดังนั้น ​เรา​จึง​ไม่​จับตามองดูสิ่ง​ที่​มอง​เห็นอยู่ แต่​จับตา​ดู​สิ่ง​ที่​มอง​ไม่​เห็น เพราะ​สิ่ง​ที่​มอง​เห็นอยู่นั้น​เป็น​เพียงชั่วคราวเดี๋ยวมันก็ผ่านไปไม่​ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่​สิ่ง​ที่​มอง​ไม่​เห็น​นั้น​เป็นถาวร​นิรันดร์”

 

พระเจ้าอวยพรครับ