วารสาร Holy News ฉบับที่ 1334

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  ตุลาคม  2021

 เรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” ตอน 2

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู หรือของเรากันแน่”

โดย นคร เวชสุภาพร

 

วันนี้ต่อจากครั้งที่แล้ว ในเรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” ตอนที่ 2 ผมใช้ชื่อตอนว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู หรือของเรากันแน่” ครั้งที่แล้วเราเริ่มต้นไว้ว่ารู้กันว่าแก่นแท้ของข่าวประเสริฐมีเพียงแค่นี้เอง  คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้วท่านจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับความรอด จากความพินาศต่างๆ  มีแค่นี้จริงๆ คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ นี่คือเนื้อหาแท้ๆ  เนื้อหาสั้นๆ แต่เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจที่พระเยซูประกาศ  คำแรก ก็คือ …

“เราคือผู้นั้นที่พระเจ้าส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย  จงเชื่อและวางใจในเรา แล้วท่านจะได้รับความรอด  จงเชื่อและวางใจในเรา ท่านจะได้ไม่ตาย และรับชีวิตนิรันดร์”

เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พึ่งในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  และได้รับชีวิตนิรันดร์ เราก็ได้เรียนรู้ไปจากครั้งที่แล้ว แต่ว่าความจริงนี้ ในชีวิตจริงๆ ของคนหลายๆ คนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว วางใจในพระเยซูแล้ว พึ่งพาในพระเยซูแล้ว ได้รับความรอดแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะหาอะไรเพิ่มเติม คือพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตัวเองเพิ่มเติมเข้าไป  กลัวว่าพึ่งพระเยซูผู้เดียวจะไม่รอด  เลยพึ่งการกระทำของตนเองบวกเข้าไปด้วย บวกเข้าไปมากๆ พึ่งตัวเองเข้าไปเยอะๆ มากๆ ก็เลยเหนื่อย  และเป็นทุกข์ในการดำเนินชีวิตโดยไม่จำเป็น ก็คือการเข็นครกขึ้นสวรรค์นั่นแหละ ซึ่งมันไม่จำเป็น เราเรียนรู้แล้ว ซึ่งแทนที่จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข ตามถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ตามความเป็นจริง ซึ่งพระองค์บอกไว้เรียบร้อยไปแล้ว  มาพบพระองค์ มาเจอพระองค์ มาวางใจในพระองค์ แล้วจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เลยกลายเป็นว่าพึ่งในพระองค์แล้ว วางใจในพระองค์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว แต่ยังเหน็ดเหนื่อย  และเป็นทุกข์กับการไปสวรรค์อยู่ เปรียบเหมือนการเข็นครกขึ้นสวรรค์ ซึ่งมันเปล่าประโยชน์ แต่ยังทำอยู่  ไม่ต้องทำก็ได้ อะไรอย่างนี้

ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูหรือของเรากันแน่ ตอนที่ 2 วันนี้มาจากข้อพระคัมภีร์ ใน 1 เปโตร 2:24 ซึ่งบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์  ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราทั้งหลาย ซึ่งตายจากบาปแล้ว จะได้ดำเนินชีวิตตามความชอบธรรม ด้วยรอยเฆี่ยนของพระองค์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย”

 

พระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์เอง ได้ทรงแบกรับความบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ ที่ต้นไม้ ก็คือที่ไม้กางเขนนั้น แบกรับเอาโทษของความบาป แบกรับเอาโทษของความไม่ดี  ความชั่ว เลวทราม  การกระทำชั่วของเรานั้น ไว้ที่ร่างกายของพระองค์ บนไม้กางเขนนั้น เพื่อว่าเราทั้งหลาย ซึ่งตายจากบาปแล้ว จะได้ดำเนินชีวิตตามความชอบธรรม ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หายแล้ว

“ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย หายจากความชั่ว หายจากการเป็นคนบาป หายจากการถูกลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาปไปเรียบร้อยแล้ว”

เพราะฉะนั้น ย้อนกลับมาที่หัวข้อเรื่องในวันนี้ อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย  ตอน 2 ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูหรือของเรากันแน่? ตอบว่า … “ของพระเยซู”  เหมือนกับถามว่านั่นต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า อยู่ดีๆ ก็ถามว่าต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า ใครจะไปตอบได้ ก็ยังไม่บอกเลยว่าถามเรื่องอะไร?

อันนี้ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของใคร?  ของพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนเลย ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู

“แผลเฆี่ยน” คือการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป พระองค์ไม่ได้เป็นคนบาป แต่พระองค์ยอมรับโทษของความบาปแทนมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง

ความจริง ก็คือเรา คริสเตียนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เราเคยเป็นคนบาป  “เคยเป็น” ก่อนที่เราจะมารับสิทธิของเรานั้น  เราเคยเป็นคนบาป  แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อเรารับเชื่อแล้ว  เราใช้สิทธิของเราแล้ว  เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม  ได้รับการอภัยโทษจากบาป ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าจะเป็นบาปเล็ก บาปใหญ่  บาปปัจจุบัน บาปอนาคต และบาปตลอดไป  พระเจ้าก็จะไม่จดจำบาปของเราอีกเลย บันทึกไว้อย่างนั้นชัดเจนเลย เอาออกไปแล้ว เพราะว่าการลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป เนื่องจากเราทำบาป  เนื่องจากเราทำชั่ว  ทั้งปัจจุบันและอนาคตก็ตาม การถูกลงโทษนั้น ได้ลงไปที่พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนเรียบร้อยแล้วนั่นเอง  และเราก็ไม่ควรจะจดจำบาปนั้นอีกเลย พระเยซูก็ไม่จดจำ พระเจ้ายิ่งไม่จดจำใหญ่เลย  แล้วเราไปจดจำทำไม?  ให้มันเหนื่อยเปล่าๆ  อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย  เราสะอาดหมดจดแล้ว

เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ควรจะจดจำความบาปผิดอะไรต่างๆ เหล่านั้นเช่นเดียวกัน  แต่วางใจในการไถ่บาปและพระคุณของพระเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ในเรา เมื่อไถ่บาปเราแล้ว  ให้เราเป็นลูกของพระองค์  จงวางใจในความรอดจากบาป  โดยพระคุณของพระเจ้า  ซึ่งหมายถึงเราไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เรียกกันว่าพระคุณ ไม่ต้องทำอะไร ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์เพียงเท่านั้น  เราก็ไม่ต้องไปจดจำ จดจำอย่างเดียวว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปเราแล้ว รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ถูกเฆี่ยน เพื่อให้เราหายดี เราไม่ต้องถูกเฆี่ยน  ไม่ต้องถูกลงโทษ เนื่องจากบาปอีกต่อไป มองไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความชอบธรรมของเรานั่นเอง เป้าหมายของเราจดจ่อไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความชอบธรรมของเรา  เป็นสง่าราศีของเรา เป็นสิริของเรา เป็นชีวิตของเรา เป็นเป้าหมายของเรา เป็นนิมิตของเรา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา  เป็นผู้เริ่มต้นความเชื่อว่าเราได้รับความรอดแล้วในพระองค์ วางใจในพระองค์ คือเริ่มต้นความเชื่อแล้ว ก็จงเชื่อพระองค์ต่อไป เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  และพระองค์กำลังดำเนินชีวิตของพระองค์ไปพร้อมๆ กับเรา คือสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายเรานี่แหละ  และก็วิ่งไปสู่หลักชัย  เพื่อรับรางวัล คือมรดก ชีวิตนิรันดร์ในวันสุดท้าย บนโลกใบนี้นั่นเอง  คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล และได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

การวิ่งไปสู่หลักชัยตรงนี้ อยากจะแถมให้นิดหนึ่ง  ไม่เหนื่อยเลย เพราะเมื่อเปิดใจต้อนรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยแล้วนั้น พระเจ้าจะย้ายเราเข้ามาในลู่วิ่งนี้ทันที ลู่วิ่งนี้ชื่อลู่วิ่งทางพระเยซูคริสต์ เกิดอะไรขึ้น วิ่งไป เดินไป  อย่างไรมันก็ไป เพราะว่าเป็นลู่วิ่งแบบออโตเมติก … ออโต้ฯ เคยเดินทางไปต่างประเทศ ทางเดินไกลๆ ที่เขาไม่อยากให้เดิน เป็นทางเดินแบบเลื่อน  ยืนเฉยๆ มันก็เลื่อนไปเรื่อยๆ นี่เราได้ถูกวางไว้บนลู่ทางเดินของพระเยซูคริสต์ ลู่นี้ออโต้ฯ วิ่งไปสู่สวรรค์ พอวางไว้ตรงนั้น ต่อให้ท่านไม่วิ่ง ต่อให้ท่านยืนอยู่เฉยๆ สายพานนี้ก็กำลังเคลื่อนไปสู่สวรรค์ นั่นแหละ มันถึงหายเหนื่อยและเป็นสุข  ในพระเยซูจึงบอกว่า …

“จงมาวางใจในเรา เข้ามาอยู่ในทางของเรา เข้ามาอยู่ในสายพานนี้ สายพานสู่สวรรค์นี้  ท่านจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

เพราะว่าอย่างไรก็ไปสวรรค์อยู่ดี และผู้ที่ควบคุมออโต้ฯ สายพานอยู่นี้ คือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นไปไม่ได้ ที่จะมีการเสื่อมเสีย  เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคลื่อนที่ เป็นไม่ได้ที่จะไม่เกิดผลตามนั้น นี่คือความจริง  ที่เราได้เรียนรู้กัน

เพราะฉะนั้น  อย่าให้มารมาหลอกเรา มารตัวสำคัญ  มันจะมาหลอกเราว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เรากำลังพูดถึงความจริงในโลกวิญญาณ  ที่พระเจ้าบอกเรา ทำให้เราสงสัย ไม่เชื่อว่ามันจริง อย่าให้มารมาใช้ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเกิดจากความเสียหาย คำสาปแช่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งความวิปริต ความเสียหายบนโลกใบนี้ที่เกิดขึ้น มันก็มาจากตัวมารเองนั่นแหละ เป็นต้นเหตุ ล่อลวงให้บรรพบุรุษของเรา ก็คืออาดัมและเอวาหลงไปทำผิดบาป และนำเอาสิ่งเสียหายเหล่านี้ ความชั่วร้าย  ความวิปริต ความทุกข์ทรมาน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เข้ามาสู่โลกใบนี้  เข้ามาสู่ในร่างกายของเรา  ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง ที่มีมาถึงมวลมนุษยชาติ  และโลกใบนี้  อย่าให้มารมันใช้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นนี้ การกิน การอยู่ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความลำบาก เพราะว่าถูกสาปแช่งไปแล้ว แม้กระทั่งสุขภาพ ร่างกายของเรา ก็ทรุดโทรม เป็นโรคภัยไข้เจ็บ  ความวิปริตรของธรรมชาติต่างๆ เชื้อโรคต่างๆ

อย่าให้มันเอาสิ่งเหล่านี้มาบอกเราว่าสิ่งที่เสียหายเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ความตายเหล่านี้ พระเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้มาตีสอนเรา  อย่าให้มันมาหลอกเราอย่างนี้  หรืออย่าให้มันมาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ความวิปริต ความชั่วร้ายต่างๆ บนโลกใบนี้ทุกอย่าง แผ่นดินไหว เชื้อโรค ไวรัส โควิด อย่าให้มารมาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ  เพื่อจะตีสอน เพื่อจะนำมนุษยชาติกลับมาหาพระองค์ เปล่าเลย พระองค์ทรงนำมนุษยชาติกลับมาหาพระองค์ โดยให้พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มารับโทษแทนเรา ทรงรับการเฆี่ยนตี ทุบตีเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูบอกสำเร็จแล้วด้วย

เพราะฉะนั้น สรุป ก็คืออย่าให้มารมันมาเสี้ยมเรา  ให้เข้าใจพระเจ้าของเรา ผู้เป็นพ่อของเรา ผู้เป็นผู้สร้างเรา ผู้เป็นพระเจ้าที่ดี  อย่าให้มาเสี้ยมเราให้เข้าใจพระเจ้าผิดว่าพระเจ้าของเราโหดร้าย เกลียดเรา บังคับ ทรมานเรา อย่าให้มารมันโกหกเราว่าที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น  มันไม่จริงหรอก อย่าให้มันโกหกเราอย่างนั้น  จงมั่นใจ  เชื่อและวางใจในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่บอกว่าพระองค์ได้ทรงแบกรับบาปของเราไปเรียบร้อยแล้ว จบแล้ว เชื่อและวางใจในพระองค์ แล้วได้รับชีวิตนิรันดร์ตลอดไป วางใจในพระองค์อย่างเดียว

ในหนังสือทิตัส 2:11-12 ได้บอกถึงบุคลิกลักษณะของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่าเป็นลักษณะเช่นใด? ลองมาอ่าน และลองใคร่ครวญกันดู …

ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ  จากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเรา (ด้วยความรัก ทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจ) ที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

“เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า” พระคุณของพระเจ้า คือเราเป็นคนบาป ทำชั่ว ทำบาป สมควรได้รับการลงโทษ  สมควรได้รับความไม่ดีในชีวิตของเรา สมควรอยู่ในบึงไฟนรก แต่พระเจ้ากลับให้โทษทั้งปวงนั้น ไปอยู่ที่พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงประทานให้  มาแบกรับเอาโทษของความบาป ความผิดของเรา ความชั่วร้ายของเรานั้น ไว้ที่ตัวพระองค์บนไม้กางเขน  และแค่นั้นไม่พอ พระคุณ คือไม่ใช่อภัยในความบาปผิดของเราเท่านั้น  ให้เราพ้นจากโทษของความบาป พ้นจากการเป็นนักโทษ แล้วยังรับเรามาเป็นบุตรของพระองค์  โดยให้เราบังเกิดใหม่  พร้อมกับพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน  เราได้มาบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระคุณนี้ ก็คือนอกจากอภัยบาปเราเรียบร้อยแล้ว  ยังประทานสิทธิพิเศษให้เรา รับเรามาเป็นของพระองค์ รักเรามากเท่าๆ กันกับพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว  นี่แหละคือพระคุณ

เมื่อไรก็ตามที่พระคัมภีร์พูดถึงพระคุณ  ให้นึกถึงตรงนี้แหละ พระคุณ คือความรักของพระเจ้าที่สำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนเรา  และเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นจากความตาย  บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้ด้วย นี่คือพระคุณ นึกถึงตรงนี้เลย

ดังนั้น พระคุณตรงนี้ ขบวนการตรงนี้ คือความรักของพระเจ้าทั้งหมด ที่พระเยซูทำสำเร็จ เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขนนั้น ได้นำเราไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการเป็นทาสบาป  การเป็นทาสบาป ก็คือการเป็นคนบาป  และนำเรามาถึงความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฎแก่คนทั้งปวงแล้ว ปรากฏเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว  และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย

ในข้อ 12 จึงบอกว่าพระคุณนี้  นึกออกแล้วนะพระคุณนี้ คือพระคุณ ความรักของพระเจ้า ที่สำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พระคุณนี้ สอนเรา ด้วยความรัก ความทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์เลย  ก็คือความรู้สึกที่พระองค์ทรงรักเรา  และกระทำความรักนี้ให้เราได้เห็นแล้ว  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ขณะที่เราเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ชอบพระเจ้า เกลียดพระเจ้า  ต่อต้านพระเจ้า แต่พระองค์ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน สำแดงความรักของพระองค์ต่อเราทั้งหลาย ตรงนี้แหละ คือความรักที่ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ

พระคุณนี้จะสอนเราด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ  ที่จะฝึกฝน ฝึกฝนใคร? ฝึกฝนเราที่เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้ปฏิเสธการทำบาป  ก็คือฝึกฝนให้ดำเนินชีวิตในทางชอบธรรม ด้วยความรัก ด้วยความทะนุถนอม และสอนเราที่จะไม่ทำตามโลกียตัณหา ก็คือไม่ทำตามการหลอกลวง การล่อลวงของมารซาตาน และระบบของโลกนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่จะมาล่อลวงเรา ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี

และสอนเรา ฝึกฝนเรา ให้ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันอย่างมีสติสัมปชัญญะ คือมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ให้มีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า คือกำลังสอนเรา ที่เกิดมาเป็นลูกของพระองค์ อุแว้ๆ ออกมาแล้ว ให้ดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ คือบริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรมเหมือนพระองค์ ค่อยๆ เป็นไปตามธรรมชาติของเราที่เกิดใหม่นั่นเอง  เหมือนพ่อแม่ดูแลลูก ที่เป็นทารก จนกระทั่งเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น  และกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ลักษณะอย่างนั้น ด้วยความรัก ความเมตตา ความทะนุถนอม ดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่ยืนยัน

อย่าให้มารทำลายความเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ความสามัคคีกัน ความรักกันและกันของเรากับพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าเพียงผู้เดียว  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา ในเรา เมื่อเรารับเชื่อ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว  เป็นครอบครัวเดียวกัน  เป็นฝ่ายเรา เป็นพวกเรา  เราเป็นฝ่ายเดียวกัน  ไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียวกันเฉพาะพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  แต่เป็นหนึ่งเดียวกันในพี่น้องคริสเตียนด้วย เช่นเดียวกัน  ก็อย่าให้มารมันมาเสี้ยมพวกเราให้ทะเลาะกัน ขัดแย้งกันเอง กัดกินกันเอง ไม่เข้าใจซึ่งกันและกันเอง โดยเฉพาะที่วันนี้กำลังจะพูดถึง ก็คือผู้เชื่อที่กำลังอยู่ในสายพานสู่สวรรค์ ไม่เข้าใจพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด  นึกว่าอยู่คนละพวกกับเรา  แต่จริงๆ แล้ว พระเจ้าอยู่พวกเดียวกันกับเรา อยู่ข้างเรา เกินกว่าที่เราจะคิดและเข้าใจ  เกินกว่าที่เราจะคาดถึงด้วยซ้ำไปว่าอยู่ข้างเรา ถึงขนาดนี้หรือ? จริงๆ ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บันทึกเอาไว้

ฮีบรู 12:5-6  ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ว่าอะไรที่มาถ่วงเรา  ทำให้เราขึ้นสวรรค์แล้ว ไปไม่ได้คล่อง อะไรที่ทำให้เราเป็นเหมือนคนเข็นครกขึ้นสวรรค์ เรียกรู้ไปตั้งแต่บทที่ 12 ข้อ 1-4 ตอนนี้ มาดูดูว่าอะไรที่มันมีโอกาสที่จะมาถ่วงเราได้อีก …

ฮีบรู 12:5-6  “5 ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ  ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน  6  เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก  และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร”

 

คำว่า “ตีสอน” ตรงนี้ ตกใจใช่ไหม? คำว่าตีสอน  พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะใช้คำนี้ว่า “Scourges” ที่มีความหมายว่า “เฆี่ยนตีให้ตาย”  และมักจะใช้กับการลงโทษในสมัยโรมัน  คือใช้แส้ที่ทำด้วยหนัง เป็นเส้นๆ คล้ายหางม้า  และก็มีกระดูกสัตว์ หรือของมีคมผูกติดอยู่กับเส้นเหล่านั้น  เพื่อเพิ่มบาดแผล และความเจ็บปวดให้มากยิ่งขึ้นกับนักโทษ นักโทษบางคน ตียังไม่ครบ 40 ทีตามกฎเกณฑ์ เสียชีวิตก่อนก็มี จากการถูกเฆี่ยน ด้วยแส้แบบนี้  คำนี้มันแปลว่าอย่างนั้น

“ท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจ  ซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอน ขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนท่านให้ตาย ให้เลือดออกชิบๆ เลย เพื่อว่าท่านผู้เป็นลูก ผู้ที่พระองค์ทรงรัก จะได้ดี” อย่างนั้นหรือ?

“และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร” อย่างนั้นหรือ?

“ไหนบอกว่าเป็นบุตรพระเจ้าแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว”

วันนี้ เราจะมาเข้าใจถ้อยคำตรงนี้ ให้ถูกต้องตามบริบท ตามความเป็นจริงของถ้อยคำ ซึ่งแปลมาผิดนั้น  ทำให้เราเข้าใจผิด  เป็นการเสี้ยมเราโดยมาร ให้เราเข้าใจพระเจ้าผิด  กลัวพระเจ้า หรือตำหนิพระเจ้าด้วยซ้ำ และคำนี้  ที่บอกว่า “Scourges” นี้ เป็นศัพท์คำเดียวกันกับที่ทหารโรมันเฆี่ยนตีพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะจับไปตรึงที่ไม้กางเขน อย่างที่เราได้อ่านพระคัมภีร์ตอนต้น 1 เปโตร 2:24  “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู” รอยแผลเฆี่ยน คือคำๆ นี้แหละ คือ Scourges คือเฆี่ยนให้ได้รับโทษอย่างหนัก ถ้าเป็นไปได้ ให้ทรมานที่สุด เท่าที่ทำได้ ถึงตาย ก็ดี อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น  เมื่อตะกี้ที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอน ผู้ที่พระองค์ทรงรัก และทรงลงโทษทุกคนที่รับเป็นบุตร” ถ้าคำว่า “ตีสอน” หมายถึงภาพการเฆี่ยนตี แบบที่ผมกำลังเล่าให้ฟัง  ที่พระเยซูได้รับไปเรียบร้อยแล้วนั้น  ที่ทหารโรมันทำกับพระเยซูนั้น ท่านลองนึกภาพดูว่าจะมีพ่อคนไหนที่รักลูกมากขนาดนั้น  ในนี้บอกอย่างนั้น ผู้ที่พระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงตีสอนอย่างนี้ จะเฆี่ยนอย่างนี้ เป็นพ่อมนุษย์ยังไม่ทำอย่างนี้เลย เฆี่ยนตีลูก เพราะรักอย่างนี้หรือ? ให้ความทุกข์ทรมาน ให้ตายไปเลยได้ก็ดี พ่อที่เป็นมนุษย์ พ่อดีๆ แม่ดีๆ ที่ยังมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งโดยทั่วไป ก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้อยู่แล้ว  คือไม่มีใครเขาทำอย่างนี้หรอก

ในพระคัมภีร์เดิม หนังสือสุภาษิต ก็มีคำนี้อยู่เหมือนกัน  คำว่า “ตีสอน” เรามาหาดูว่ามันหมายถึงอะไร? ยกมาสักข้อหนึ่ง สุภาษิต 3:11-12 …

สุภาษิต 3:11-12 “11 ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าขุ่นข้องหมองใจ เมื่อพระองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือน 12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งพ่อตีสั่งสอนลูกที่ตนชื่นชม”

 

เห็นไหมครับ มีคำว่าตีสั่งสอนเหมือนกัน  แต่คำว่าตีสั่งสอนในข้อพระคัมภีร์นี้ ในสุภาษิตข้อนี้  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Correct” คือปรับปรุง แก้ไข ซึ่งก็มีรากศัพท์จากภาษาเดิมคำเดียวกันกับ “Scourges” ตะกี้ที่แปลผิด ซึ่งก็ควรที่จะเป็นปรับปรุงแก้ไข  ถึงจะถูกต้อง  ถ้าย้อนไปดูพระคัมภีร์ต้นฉบับ ภาษาเดิม คือภาษาฮีบรู คำว่าตีสอนตรงนี้ จะใช้คำที่มีความหมายว่า “Inquire Deeply”  หรือ  “Search Deeply” ซึ่งแปลได้ว่าการค้นหา หรือการชันสูตรอย่างลึกซึ้ง  เข้าไปในจิตใจของลูก ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย  ด้วยมีความสัมพันธ์ รักมาก เข้าไปตรวจดูเลยว่าเขาเป็นอย่างไร?  เขานิสัยเป็นอย่างไร?  เขามีลักษณะเป็นอย่างไร? อะไรที่ช่วยเขาได้  ให้เขาได้ดีที่สุด  ค่อยๆ เข้าไป ด้วยความรัก ความทะนุถนอม ความระมัดระวัง

นี่คือคำว่า “ตีสอน” ที่แปลผิดความหมาย ไม่เข้าใจ … ด้วยความรัก ความทะนุถนอม เข้าไปชันสูตรว่าลูกคนนี้ถนัดอะไร จะบอกให้ บางคนเขาไม่เข้าใจว่าชันสูตร หรือเข้าไปค้นหาลึกๆ ด้วยความรักว่าลูกของเรา เป็นลักษณะอย่างไร? เพื่อจะไปสอนเขาให้ถูกต้อง คือความรักอันยิ่งใหญ่

ยกตัวอย่าง มีลูก 2 คน คนหนึ่งเป็นคนไม่ชอบพูด อีกคนหนึ่งเป็นคนชอบพูด อีกคนหนึ่ง ถ้าเราพูดเยอะๆ เขาฟังได้  อีกคนหนึ่งไม่ต้องพูดเยอะหรอก เขารู้จักคิดได้ เขาเป็นสไตล์เงียบๆ  เราต้องเข้าไปคุยกับเขาในลักษณะนี้ ด้วยความรัก ความอดทนของเรา ผู้เป็นพ่อ  พระเจ้าก็ทำอย่างนี้แหละ

คำว่า “ชันสูตร” คือเข้าไปล้วงลึกๆว่าในใจเขามีจุดอ่อน จุดแข็งอยู่ตรงไหน? อะไรที่เขารับได้  นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร? DNA เขาเป็นอย่างไร? เข้าไป เพื่อปรับปรุงเขาให้ดีขึ้น  ให้เขารับได้ ไม่ใช่เข้าไปตวาดเอา ใช้อารมณ์ฉุนเฉียว มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ความหมายคือพระเจ้าทรงชันสูตรชีวิตและจิตใจของเรา มันควรจะเป็นอย่างนั้น เมื่อไรที่มีคำว่า “ตีสอน” พระเจ้าตีสอน ในพระคัมภีร์นั้นนะ จงนึกถึงคำนี้ว่า “Correct” คือปรับปรุง แก้ไข แบบชนิดที่ “Inquire Deeply”  ชันสูตร ลึกๆ เข้าไปในชีวิต เข้าไปในจิตใจของเรา ของลูกแต่ละคน ที่ไม่เหมือนกัน อย่างลึกซึ้งและฝึกฝนเราตามความถนัดของเรา ปรับปรุงแก้ไขเรา ลูกของพระองค์ เพื่อให้ลูกๆ หรือเราทั้งหลายที่เป็นลูกๆ ของพระองค์นั้น  ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจนั้น ได้เกิดผลตามธรรมชาติ วิสัยของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ ธรรมชาติ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นตามธรรมชาติ เป็นลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ตามธรรมชาติที่ได้บังเกิดใหม่ ที่ได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ มีสง่าราศีของพระองค์ อยู่ในตัวเรานั่นเอง

เหมือนเราเป็นพ่อแม่ มีลูก คลอดออกมา  เราก็พยายามสอนทุกอย่าง พยายามคิดค้น ชันสูตรจิตใจเขา ส่วนลึกในจิตใจเขา เพื่อให้เขารับได้  เพื่อจะสอนเขา ให้เขาสมกับเป็นลูกของเรา เป็นลูกของมนุษย์ เป็นลูกคนที่ต้องเดิน ต้องคลาน ต้องมีชีวิตอยู่อย่างนี้ๆ  และให้สมเป็นลูกของเรา ที่เป็นคนดี อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น ฮีบรูที่เราได้อ่านไปเมื่อกี้ ย้อนกลับมาที่ข้อ 5-6 ที่บอกว่า … “ท่านได้ลืมถ้อยคำที่ให้กำลังใจ ซึ่งมีมาถึงท่าน ในฐานะบุตร”

เห็นไหม? ท่านอย่าลืมนะ คืออย่าลืมถ้อยคำที่เป็นกำลังใจให้กับเรา  ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า

พระเจ้าบอกว่า … “ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าท้อใจ เมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน”

ซึ่งก็ควรจะแปลเป็นอย่างนี้ว่า … “ในฐานะเป็นลูกแล้ว จำไม่ได้หรือ! ถ้อยคำแห่งกำลังใจ ที่พ่อบอกเรา คือพระเจ้าพูดกับเรา พระเจ้าตรัสกับเรา ลูกๆ ของพระองค์ว่าในฐานะบุตรนะ  ในฐานะที่เป็นลูกของเราแล้วนะ ลูกเอ๋ย จงอย่าละเลยต่อความรักของพ่อที่คอยฝึกฝน ปรับปรุง แก้ไข ชันสูตรเข้าไปในจิตใจลึกๆ ของลูกด้วยความรักนั้น เพื่อให้ลูกได้ดี สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ให้ดีที่สุด มีความสุขที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ บนโลกใบนี้  และตลอดไป  อย่าท้อใจนะ เวลาพ่อสอน พ่อบอก อย่าเข้าใจพ่อผิดนะ

อะไรประมาณนี้  อย่าเข้าใจพ่อผิด มันแปลว่าอย่างนั้น ฮีบรู 12:7-8 …

ฮีบรู 12:7-8  “7 จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน 8 หากท่านไม่ถูกตีสอน (และทุกคนได้รับการตีสอน)  ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้”

 

“จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน” เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าตีสอน หมายถึงอะไร?  ตอนนี้เรารู้แล้วว่าคำว่า “ตีสอน” ตรงนี้ จริงๆ แล้วต้องใช้คำว่า “ฝึกฝน หรือปรับปรุง แก้ไข” ฝึกฝน ฝึกเรา

ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ใครทำให้เกิดขึ้น?  ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น  มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่แล้ว พระเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้น เพื่อมาฝึกสอนให้เรารู้จักวิธีการที่จะอยู่กับมันแบบเป็นลูกของพระเจ้า บนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น ข้อนี้ก็ต้องบอกว่า “จงทนความทุกข์ยาก โดยถือเสมือนว่าเป็นการฝึกฝน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่าน ในฐานะท่านเป็นบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่พระบิดาไม่เคยสอน และฝึกฝน

นึกออกไหม?  มีลูกคนไหนที่พ่อรัก แล้วบอกว่าไม่สอนหรอก ปล่อยมันอย่างนั้นแหละ ไม่มี ถ้าเป็นลูก แล้วพ่อรัก พ่อก็ต้องสอนทุกคน ฝึกสอนเขาด้วยความรัก จงให้ความทุกข์ยากลำบากนั้น เป็นเสมือนว่าพระเจ้ากำลังฝึกเรา

ในหนังสือฮีบรู ในบริบทที่เรากำลังอ่านกันอยู่นี้  กำลังพูดถึงความทุกข์ยากลำบากที่ผู้เชื่อ ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้น แต่ผู้เชื่อ คือคริสเตียนนั้น ถูกข่มเหงรังแกในสมัยนั้น ซึ่งทำให้ผู้เชื่อบางราย เกิดความกลัว และไม่กล้าจะเปิดเผยตัว เพราะกลัวถูกจับ กลัวถูกรังแก  กลัวถูกข่มเหง  นี่คือความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้น  บางรายก็ถูกอัปเปหิออกจากสังคม หรือสมาคมชาวยิว บางคนไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสังคมคนยิวอีกต่อไป อะไรประมาณนั้น บางคนต้องถูกกลั่นแกล้งให้เสียตำแหน่ง หน้าที่การงานในสังคมเดิม  บางคนถูกจับ  ถูกตามล่า เพราะถูกใส่ร้าย

นี่คือบริบทที่เขียนให้คนที่ถูกข่มเหงรังแก แล้วเกิดความทุกข์ลำบาก  แล้วก็กลัวความทุกข์ลำบากด้วย  ขณะเดียวกัน มารก็จะใช้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  มาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้เกิดขึ้น เพราะอย่างนั้น เพราะอย่างนี้  ให้เขาเข้าใจพระเจ้าผิด  พระคัมภีร์ตรงนี้พูดชัดเจนเลยว่าจงถือว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ที่เกิดขึ้น พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการสอนเรา ในการที่จะมีความอดทนและดำเนินชีวิตแบบใหม่ ให้มีความมั่นใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพวกเดียวกับเรา พระองค์ทรงรักเรา และห่วงใยเรา และพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยตลอดเวลา

ซึ่งถ้อยคำตรงนี้ กำลังบอกว่าให้อดทนต่อความทุกข์นั้น และให้มั่นใจว่า … “ลูกเอ๋ย เดินถูกทางแล้ว มาทางนี้ ถูกแล้ว” ไม่ต้องหันรีหันขวางว่าเราทำผิดอะไร ถึงถูกข่มเหงรังแกแบบนี้  ไม่ใช่เลย พระเจ้ากำลังบอกว่ามันเป็นไปตามนั้นแหละ มันถูกต้องแล้ว  ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา ให้ถือเสมือนว่าเป็นการฝึกฝนจากพระเจ้า เหมือนกับพ่อฝึกลูก เหมือนกับเราฝึกลูกเรา  สอนลูกเรา  ฝึกฝนลูกเราในการเจริญเติบโตเป็นมนุษย์ เป็นคนที่ดีต่อไปในอนาคต มีความอดทน เวลาเดินไปไหน เราก็บอกว่า …

“ออกนอกบ้าน ต้องใส่รองเท้านะ เพราะนอกบ้าน จะมีตะปู มีหินกลมๆ เดี๋ยวมันบาดเท้าเอา”

นี่คือความรัก ความห่วงใย ถูกไหม? และเมื่อเราเดินออกไปข้างนอก  เผลอไม่ใส่รองเท้า  ไปเหยียบตะปู เหยียบแก้ว เหยียบขวดอะไรต่างๆ บาดเจ็บมา ใครเป็นคนทำ  ข้างนอกบ้าน มีผู้ทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ ให้เกิดความเสียหายกับร่างกายของเรา  เพราะโลกใบนี้มันเสียหายแล้วและเราไปเหยียบมาปุ๊บ กลับเข้าบ้านมา พระเจ้าจะมาโกรธเราไหม?  พระเจ้าก็พันแผลให้ ดูแลให้ แล้วก็สอนเราว่าออกไปข้างนอก จากนี้ต่อไป ต้องระมัดระวังตัว ใส่รองเท้าให้เรียบร้อย  เดินไป ก็ดูให้ดีๆ  ถูกไหม? พ่อที่ดี ก็ต้องเป็นอย่างนี้

มารมันจะมาใส่ข้อมูลผิดๆ มาว่าพ่อเป็นคนทำ ท่านลองนึกถึงภาพ ถ้าพระเจ้าเป็นคนทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น แล้วมาสอนเรา ก็เท่ากับเราเป็นพ่อ แล้วสอนลูกบอกว่าอย่าออกไปข้างนอก ต้องใส่รองเท้า เสร็จแล้ว เราก็เป็นคนเอาตะปู เอากระจก เอาแก้วไปวางล่อไว้ ลูกเราเดินมา โดนแน่ พอลูกเราโดน กลับมา เราก็รีบมาสอนลูกเราว่า … “วันหลังอย่าทำอย่างนั้น  บอกแล้วไงว่าให้ใส่รองเท้าก่อนออกไป” อย่างนั้นหรือ?  ท่านยังหัวเราะเลย เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน

นั่นแหละ ในทางโลกวิญญาณ ในทางเรื่องราวเกี่ยวกับเรากับพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ก็เป็นเช่นนั้นแหละ มากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของความรักของผู้เป็นพ่อ มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด ที่พระองค์จะทรงรักและห่วงใย  ทะนุถนอมเรา ดังแก้วตาดวงใจ จะไม่ทำอะไรอย่างนั้นแน่นอน  ถูกไหมครับ? เห็นชัดเจน

ในบริบท หนังสือฮีบรูที่กำลังพูดถึงนี้  ความทุกข์ยากลำบาก อย่างที่บอกว่าเป็นความทุกข์ยากลำบากที่มันเกิดขึ้นจากความวิปริต ความเสียหายของโลกใบนี้ ก็คือผู้ที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกใบนี้ไม่ได้เป็นสถานที่อยู่อาศัยของเราอีกต่อไป โลกใบนี้เป็นศัตรูทางฝ่ายวิญญาณกับเราเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง ฮีบรู 12:9-10 …

ฮีบรู 12:9-10  “9 ยิ่งไปกว่านั้น เราทั้งปวงล้วนมีบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ตีสอนเรา  และเราเคารพนับถือท่าน ที่ทำเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด ที่เราควรอยู่ในโอวาทของพระบิดา แห่งจิตวิญญาณของเราและมีชีวิตอยู่  10  บิดาของเราตีสอนเราชั่วระยะหนึ่ง  ตามที่คิดเห็นว่าดีที่สุด  แต่พระเจ้าทรงตีสอนเรา เพื่อประโยชน์ของเรา  เพื่อเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์”

 

ทราบแล้วนะว่าตีสอนหมายถึงอะไร?  เราทุกคนมีพ่อซึ่งเป็นมนุษย์ ที่คอยสั่งสอน อบรม ฝึกฝนเราด้วยความรัก  ห่วงใยเรา ดังแก้วตาดวงใจ  ซึ่งพ่อที่เป็นมนุษย์จะสั่งสอนเรา เพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง  ขนาดแค่นั้น เรายังให้ความเคารพ รักพ่อของเรามากขนาดไหน?  ยังเชื่อฟังท่าน แม้กระทั่งบางครั้ง ท่านไม่อยู่แล้ว ยังจำคำสอนท่านได้เลย ให้เป็นคนดีนะ อย่าโลภนะ แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นพ่อแห่งจิตวิญญาณ  ที่คอยดูแล เอาใจใส่  สั่งสอน เข้ามาพิสูจน์ในจิตใจ ชันสูตรในจิตใจส่วนลึกของเราอย่างลึกซึ้งว่าเรานิสัยเป็นอย่างไร? อะไรรับได้ อะไรรับไม่ได้ เพื่อจะสั่งสอน ดูแลเรา ทะนุถนอมเรา ดังแก้วตาดวงใจ ไม่ใช่เฉพาะชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์ ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระองค์เลย  มากกว่านี้อีกสักเท่าใดที่เราควรจะเชื่อฟัง เคารพ รักพระองค์มากกว่าพ่อที่เป็นมนุษย์มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด  เรายิ่งควรจะอยู่ในโอวาทของพระเจ้าขนาดไหน? อยู่ในความเชื่อฟังและรักพระองค์ และกตัญญูต่อความรัก เข้าใจถึงความรัก ความห่วงใยของพระองค์มากกว่านั้นสักเท่าใด

การเชื่อฟังและการอยู่ในโอวาทของพระเจ้า คืออะไร? ท่านก็ยังถามว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว การเชื่อฟังและการอยู่ในโอวาทของพระเจ้า ก็คือการยอมให้พระเจ้าเข้ามาฝึกฝน ปรับปรุง แก้ไขเรา  เพื่อประโยชน์ เพื่อสิ่งดีๆ จะได้เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั่นเอง เพื่อให้ชีวิตของเราเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู ผลของการเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้ผลของความบริสุทธิ์ ความดีงาม และฤทธิ์เดชอำนาจในพระเยซูคริสต์ได้หลั่งไหลออกมาจากในชีวิตของเรา จะหลั่งไหลออกมาด้วยการสอน ฝึกฝน  อบรม ชันสูตรจิตใจของเรา ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ทีละเล็กทีละน้อย ด้วยความรัก ความห่วงใย  ดุจดังแก้วตาดวงใจของพระเจ้าผู้เป็นพ่อฝ่ายวิญญาณของเรา ผู้ให้กำเนิดเราในวิญญาณนั่นเอง …

ฮีบรู 12:11 “ไม่มีการตีสอนใดดูน่าชื่นใจในเวลานั้น มีแต่จะเจ็บปวด แต่ภายหลังจะเกิดผลเป็นความชอบธรรมและสันติสุขแก่บรรดาผู้รับการฝึกฝน โดยการตีสอนนั้น”

 

“ไม่มีการสอนใด ดูน่าชื่นใจ” แน่นอนถ้าพระเจ้าเข้ามาโอบกอดเรา ให้ความรักกับเรา แล้วค่อยๆ สอนเรา ฝึกฝนเราให้มีความอดทน แน่นอน ความอดทน แสดงว่าเรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก  ความเจ็บปวด ซึ่งความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหล่านั้น  มันจำเป็นต้องเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นความจริงที่โลกได้ถูกสาปแช่ง โลกวิปริต ที่เราได้พูดกันตอนต้นเรียบร้อยว่าโลกมีแต่ความชั่วร้าย  โลกมีแต่ความทุกข์อยู่แล้ว  ไม่ได้เป็นบุตรพระเจ้า ไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า  ก็อยู่ในความทุกข์นั้นอยู่แล้ว  พอมาเชื่อพระเจ้าก็อยู่ในความทุกข์เหล่านั้นเหมือนกัน   ไม่ต่างอะไรกันเลย  แต่ในขณะที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าจะเข้ามาในลักษณะของการเป็นพ่อของเรา ดูแลจิตวิญญาณของเรา อยู่ในร่างกายของเรา จะเข้ามาโอบกอดเรา โอบอุ้มเรา ดูแลเอาใจใส่เราเป็นพิเศษ แล้วก็บอกเราว่า …

“อดทนนะลูก เดี๋ยวพ่อจะให้กำลังใจตรงนี้ เดี๋ยวพ่อจะช่วยตรงนี้  พ่อจะช่วยอย่างนั้น อย่างนี้”

ค่อยๆ ประคับประคองให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผ่านอุปสรรค ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นได้ เปาโลบอกว่าสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ คือความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้ โดยฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับเราตลอดเวลา

เราจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ พระเจ้าจะสอนให้เราได้เรียนรู้ เรียนรู้จักที่จะพึงพอใจในทุกสถานการณ์ ที่เผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งคือความทุกข์ยากลำบากนั่นเอง ถ้าใช้คำว่าเผชิญ คือความทุกข์ยากลำบาก  ถ้าใช้คำว่าทุกข์ยากลำบาก ก็คือสิ่งที่เจ็บปวด แต่สิ่งที่เจ็บปวดเหล่านี้ พระเจ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสอนลูก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะอย่างไรก็ต้องผ่านอยู่แล้ว เหมือนพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะทรงจูงมือเราผ่านหุบเขาเงามัจจุราช มันทำเราได้แค่ไหน? ก็แค่ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวด ซึ่งพระเจ้าจะให้กำลังกับเราทนได้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น ความอดทนตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้ากำลังจะค่อยๆ สอนเรา ให้เราได้เรียนรู้จากการผ่านความทุกข์ยากลำบาก เพื่อผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า  คือความชื่นชมยินดี ความรัก ความชอบธรรม  ความดีงาม จะได้ออกมาจากชีวิตของเราบนโลกใบนี้ได้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาเหล่านั้น

พระคัมภีร์มีเปรียบการฝึกฝน การปรับปรุง การเทรน  ในการฝึกฝนให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  อยู่ได้ในทุกสถานการณ์ไปพร้อมๆ กับพระองค์ ฝึกฝนเรา  มีเปรียบเทียบในข้อพระคัมภีร์ในนี้บอกว่าฝึกฝนเราด้วยความรัก ความทะนุถนอม โดยใช้คำว่า “Scourges” ที่แปลว่า “Inquire Deeply” ที่แปลว่าชันสูตรเข้าไปลึกซึ้งในชีวิตจิตใจของเราว่าเราเป็นคนเช่นไร?  สามารถแปลได้อีกความหมายหนึ่งว่า “การไถหว่าน”

พระเจ้าจะไถหว่านเรา คือชาวนาไถหว่าน เพื่อหวังผลเช่นเดียวกัน  พระเจ้าฝึกฝนเราเทรนเรา เพื่อให้เป็นผลของความชอบธรรมและสันติสุข ให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราทั้งหลาย  ที่เป็นลูกของพระองค์แล้ว

ท่านลองนึกถึงภาพการไถนาของชาวนา ไถลงไปในดิน ยิ่งลึกยิ่งดี  ดินจะได้สวย จะได้เก็บกินผลได้เต็มที่ ถ้าดินมันพูดได้ มันคงบอกว่า …

“โอ้โห! เจ็บ เจ็บ เจ็บ”

เพราะการไถลงลึกๆ เป็นทางยาว เพื่อให้มันเกิดผล เช่นเดียวกัน พระเจ้าใช้ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา บนโลกใบนี้  ซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอยู่แล้ว  ซ้ำอีกทีหนึ่งก็ได้ว่าไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นลูกพระองค์หรือไม่เป็นลูกพระองค์ก็ตาม อยู่บนโลกใบนี้  อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก  อยู่ในความชั่วร้าย  อยู่ในภัยพิบัติต่างๆ  ที่คาดไม่ถึง เกิดขึ้นเมื่อไรไม่รู้ตัวเลย ที่เรียกว่าตายเมื่อไร ก็ไม่รู้ตัว ความเจ็บปวด ความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้ายเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว  แต่ถ้าท่านมาเชื่อในพระเจ้า วางใจในพระองค์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาปให้กับท่าน ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิต ท่านก็จะได้รับสิทธิ์กลายเป็นลูกของพระเจ้า พอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้ามาสถิตอยู่กับท่านข้างใน พระเจ้าจึงสามารถเข้ามาช่วยท่านได้  ในการดำเนินชีวิตท่ามกลางปัญหา ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้  ถ้าท่านไม่ใช้สิทธิ์ของท่าน ไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระเยซูคริสต์จะพึ่งตนเอง ท่านก็ต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากนี้ ด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ไม่มีใครสามารถช่วยท่านได้ พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ก็ไม่มาบังคับช่วยท่านได้เลย เพราะท่านไม่รับพระองค์ให้มาเป็นพ่อนั่นเอง

นี่คือความหมายของถ้อยคำเมื่อสักครู่ ถ้าท่านเป็นบุตร พระเจ้าก็จะเข้าไปช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ถ้าท่านไม่เป็นบุตร พระองค์ก็อยากจะช่วย แต่ช่วยไม่ได้ เพราะการจะเป็นบุตรหรือไม่ ท่านต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าต้องการใช้สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับท่าน พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3  เพื่อทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถเข้ามาหาพระเจ้า เข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้าได้ ทำไปเรียบร้อยแล้ว  ก็คือทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ คือพระเยซูได้กระทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

แต่ต้องได้รับอนุญาต หรือมนุษย์คนนั้นต้องเป็นผู้ใช้สิทธิ์ด้วยตนเอง เมื่อใช้สิทธิ์ เขาก็ได้สิทธิ์ของเขาไป เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้สิทธิ์เขาเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ถ้าเขาไม่รับ ก็ไม่มีประโยชน์ สิทธิ์ในการเป็นบุตรของพระเจ้า ก็วางอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ใช้  แต่สิทธิ์ในการเป็นบุตรของพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ทำให้นั้น ถ้าเขารู้ เขาเชื่อ และรับ จะใช้สิทธิ์นี้ เขาก็ได้สิทธิ์นั้นทันที เพราะเขาเป็นเจ้าของมรดก เจ้าของสิทธิ์นี้ในการเป็นลูกของพระเจ้าอยู่แล้ว  ไม่มีใครสามารถเอาไปได้เลย  แล้วไม่เกี่ยวข้องว่าเขาจะทำดีหรือไม่ดีขนาดไหน?  ทำชั่วขนาดไหน มันไม่เกี่ยวเลย พระเยซูคริสต์ได้ตายแล้ว  ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ได้กระทำการงานทั้งหมดนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น  2,000 ปีเรียบร้อยแล้ว  ได้ถูกประกาศมาถึงทุกวันนี้  เพียงท่านเชื่อและวางใจเท่านั้น

กลับมาถึงคำว่า “ตีสอน” อีก หลายคนยังมีความเข้าใจผิด คิดว่าการสั่งสอน หรือการฝึกฝนของพระเจ้าเป็นเรื่องของการกระทำที่ผ่านมา เช่นเราทำอะไรผิดไป พระเจ้าจะได้สอนเรา  ตีเรา อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพราะเราไปทำผิด ไปทำบาปมา พระเจ้าก็เลยตีสอนเรา ซึ่งจริงๆ แล้ว เข้าใจผิด จริงๆ แล้วการตีสอน หรือการฝึกฝนของพระเจ้า  การปรับปรุงชีวิตของเรา  เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ใช่เรื่องของอดีต ไม่ใช่ว่าเราไปทำอะไรไม่ดีมา พระเจ้าก็เลยสั่งสอนเรา แต่พระเจ้าสั่งสอน ฝึกฝนเรา เพื่อให้เราไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นต่างหากล่ะ  อดีตไปทำอะไรผิดมา พระเจ้าบอกล้มแล้วลุก ไม่พูดถึงเลย  ป้องกันเราจากอนาคตต่างหาก จากการถูกล่อลวง หลอกลวงของโลกใบนี้  ซึ่งเป็นระบบที่มารใช้อยู่  ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ให้เราดื้อต่อพระเจ้า แล้วเราก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดี แต่พระเจ้าต้องการให้เราเชื่อฟัง เพื่อเราจะได้รับสิ่งที่ดีต่างหากล่ะ

พระคัมภีร์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระเจ้าไม่เคยจดจำความผิดบาปของเรา พระเจ้าไม่มีวันลงโทษ ในความบาปผิดของเรา เพราะบาปทั้งหมดของเราได้ถูกรับแทนไปเรียบร้อยแล้ว  โดยพระเยซูคริสต์ ที่ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน  แบกรับเอาบาปของเราไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายจากบาปทั้งปวง  เป็นอิสระจากโทษของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง ไม่มีอีกต่อไป ไม่มีการลงโทษ และพระเจ้าก็ไม่จำด้วย

เพราะฉะนั้น อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาถ่วงเราอยู่ อย่าพยายามให้มารมาเสี้ยมเรา เข้าใจพระเจ้าผิด แล้วก็กลัวพระเจ้า กลัวจนกระทั่งถึงขนาด เดินทางสู่สวรรค์ก็ไม่มั่นใจแล้วว่าวันนั้น วันที่จากโลกนี้ไป  พระเจ้าจะรับเราเป็นลูกหรือไม่? พระเจ้าจะให้เราเข้าสวรรค์ไหม?  เราทำอันนั้นผิด อันนี้ผิด เยอะแยะ เพราะเราเข้าใจพระเจ้าผิด  ในที่สุด เราก็ไปสวรรค์อยู่ดี แต่ไปสวรรค์ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เหมือนไม่ได้อยู่ในสวรรค์ เหมือนเป็นคนไม่ได้เชื่อหนึ่งคน แล้วยังคงทำลายความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว  เรายังคงเดินทางไปสู่สวรรค์ด้วยการชดใช้บาปของตนเองอยู่ โดยการพยายามพึ่งพาตนเอง พยายามทำความดี เพื่อชดใช้ความบาปอยู่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย เชื่อและวางใจในพระเยซู และให้พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์นำ สอนเราในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องต่อไป

เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่บางทีเราได้ยินคริสเตียนบางคนบอกว่าโอ้โห! กิจการงานเสียหายหมด ล้มละลายหมด  เศรษฐกิจล่ม ถูกฟ้องล้มละลาย เข้ามาอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็บอกว่า …

“พระเจ้าลูกขออภัยด้วย เพราะว่าลูกไม่ได้ถวายสิบลด ลูกจึงเป็นอย่างนี้”

ท่านลองคิดดูสิ มารสามารถใช้ขนาดนี้ได้  บางคนยิ่งหนักกว่านั้นอีก …

“เพราะลูกถวายไม่ครบสิบลด พระองค์จึงทำให้กิจการงานลูกที่เจริญรุ่งเรืองแล้วล่มสลาย”

พี่น้อง ฟังทางนี้เลย พูดมาถึงตรงนี้แล้ว อยากจะให้ท่านเข้าใจพระเจ้าได้ถูกต้องจริงๆ ว่าบนโลกใบนี้นั้น ไม่มีอะไรแน่นอน  ระบบของโลกใบนี้นั้นวิปริต เสียหายไปแล้ว  เพราะฉะนั้น ต้มยำกุ้งมา เราก็อาจจะเป็นเหยื่อของต้มยำกุ้ง บางคนยังไม่เข้าใจ ต้มยำกุ้ง หมายถึงวิกฤตทางเศรษฐกิจสมัยต้มยำกุ้ง เกิดการล่มสลายของระบบการเงินของโลกใบนี้ทั้งโลกเลย มันก็กระทบเป็นโดมิโนไปหมดเลย ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยก็ถูกกระทบไปด้วย  พอประเทศไทยถูกระทบ คนที่ทำธุรกิจต่างๆ  ก็โดนไปค่อนประเทศ อะไรประมาณนี้ แล้วเราก็เป็นหนึ่งในนั้น  แล้วมารก็จะมาหลอกเราว่า …

“นี่ เพราะแกทำ” เพื่อให้เรากับพระเจ้าเข้าใจกันผิด นี่ยังดี เข้าใจผิดยังมาอธิษฐานกับพระเจ้า บางคนเข้าใจผิด โกรธพระเจ้าไปอีก …

“อวยพรมาดีๆ ทำไมอยู่ดีๆ ลูกไม่ได้ถวายสิบลดแค่นี้ ทำให้ลูกเป็นอย่างนี้เลย”

งอนพระเจ้าไปก็มี อะไรประมาณนี้ แล้วมีลักษณะอย่างนี้อีกเยอะ

พยายามชี้ให้ท่านเห็นว่ามารพยายามเสี้ยมให้เราเป็นคนละพวกกับพระเจ้า ให้พระเจ้าแทนที่จะอยู่ฝ่ายเรา กลายเป็นอยู่ฝ่ายต่อต้านเรา แล้วเราจะดำเนินชีวิตไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้ผาสุกได้อย่างไร ในเมื่อพระเจ้าที่อยู่ในเราตั้งแต่วันแรกที่เราได้บังเกิดใหม่ ได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วเรายังเดินไปด้วยกันกับพระองค์ ไม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ยังตะขิดตะขวางใจ รู้สึกว่าพระเจ้าเป็นคนละฝ่ายกับเรา พระเจ้าเป็นคนเอาไม้มาเคาะเราตลอด แทนที่จะมาคอยอวยพร โอบอุ้ม โอบกอดเราด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย  เป็นคนคอยมาจับผิดเรา  ทำผิดนิดหนึ่ง โดนตี อย่างนี้ไม่เรียกเข็นครกขึ้นสวรรค์ แล้วจะเรียกว่าอะไร? ไม่รู้จะเข็นครกแบบทรมานตัวเองไปทำไม อย่างนี้เป็นต้น

เราต้องเข้าใจตรงนี้ พระคัมภีร์บอกว่า … “ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขวางเราได้” พูดย้ำยืนยันอยู่นั่นแหละ พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราๆ

พระเจ้าตรัสว่า … “เราจะไม่ละทิ้งเจ้าให้อยู่ตามลำพัง เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ละทิ้งเจ้า เหมือนเด็กกำพร้า เหมือนลูกกำพร้า เราจะไม่ให้เจ้าอยู่ตามลำพังเลย”

ก็คือไม่ทิ้งให้เราเป็นลูกที่ไม่มีพ่อ พ่อจะคอยดูแลอยู่ ไม่ละเราอยู่ตามลำพัง ไม่มีวันไหน คืนไหนที่จะปล่อยให้เรานอนคนเดียวเลย ไม่ให้เราอยู่เพียงคนเดียวชั่วโมงหนึ่ง ไม่มีเลย ทุกเสี้ยววินาที ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา อยู่ด้วย และเป็นพวกเรา อยู่ข้างเรา เข้าใจหมดเลย อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว …

“มา ไปด้วยกันลูก ไปด้วยกัน”

ศัตรูมีผู้เดียว คือมารเท่านั้นเอง แล้วมารใช้ระบบของโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น ศัตรูของเรา ก็คือมารและระบบของโลกใบนี้เท่านั้นเอง ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่คอยยุแหย่ ดึงเราออกจากทางของพระเจ้า ดึงเราให้เข้าใจพระเจ้าผิด  ซึ่งถ้ามันทำได้  ก็คือไม่อยากให้เราเชื่อในพระเยซูคริสต์เลย  ไม่อยากให้เรามาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่อยากให้เรามาใช้สิทธิ์ของเรา  ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ได้มีโอกาสเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  ให้เราเพิกเฉยต่อสิทธิ์นี้ ถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ เรามาใช้สิทธิ์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เกิดใหม่แล้ว เกิดเลย อยู่กับพระเจ้า และพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว  มันก็ทำวิธีนี้แหละ ไหนๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว รอดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็ทำให้ลูกพระเจ้าดูเหมือนไม่ใช่ลูกพระเจ้าบนโลกใบนี้ ทุกข์ๆ ลำบากไปหมด  แล้วก็ตำหนิพระเจ้า

พอโควิดเกิดขึ้น แทนที่จะคิดว่าระบบของโลกมันเป็นเช่นนี้เอง ระบบของโลกใบนี้มันเสียหาย ความเจ็บป่วยมันเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา พอโควิดเกิดขึ้น ก็บอกว่าพระเจ้าเอาโควิดมาตีสอนให้กับมนุษยชาติ เพื่อมนุษยชาติจะได้กลับคืนมาหาพระเจ้า โควิดเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ไม่พอ โควิดเกิดขึ้นกับเรา  เพราะว่าวันก่อนนี้เราไปโกรธเขา  เราไปโมโหเขา เราไปโลภอะไรบางอย่าง เพราะฉะนั้น เลยเอาโควิดมาตีเรา สอนเรา เพื่อเราจะได้เป็นคนดีในสายพระเนตรของพระองค์ อะไรอย่างนี้ ควรจะหมด ควรจะไม่มีอยู่ในสมองของคริสเตียนอีกต่อไป เป็นศัตรูของเรา เป็นผู้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ในวันนี้ จงอยู่กับพระเจ้า เป็นพวกเดียวกันกับพระเจ้า  จงอยู่ด้วยความเชื่อและวางใจในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และอยู่ในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า  มีสิทธิที่เราใช้เรียบร้อยแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่ใช้สิทธิ์นี้เป็นของท่าน ตัดสินใจวันนี้ เปิดใจในวันนี้  ต้อนรับสิทธิของท่าน ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง แล้วท่านจะรู้ว่าความรักของพระองค์ที่มีต่อท่านมากสักเท่าใด ถึงขนาดเรียกท่านทั้งหลายว่าลูกของพระเจ้า เหมือนบทเพลงที่เขาร้องกันว่า …

“ดูเถิด ความรักของพระเจ้า มากยิ่งสักเท่าใดประทานให้แก่เรา

ดูเถิด ความรักของพระเจ้า มากยิ่งสักเท่าใดประทานให้แก่เรา

ที่เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า    ที่เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

มัทธิว 7:13-14  พระเยซูบอกว่า … “จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”

คนที่เข้าประตูคับทางแคบ คือคนที่พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่พึ่งในการกระทำดีตามกฎด้วยตนเอง

ประตูคับทางแคบ คือคนโง่เขลา ถูกกดดัน ถูกดูหมิ่น ถูกหัวเราะเยาะถูกข่มเหงจากสังคมภายนอก แต่ภายในใจเต็มไปด้วยสันติสุขความสงบ พักผ่อน หายเหนื่อย หมดภาระ หมดเวรหมดกรรมแล้ว

 

คนที่เข้าประตูใหญ่ทางกว้าง คือคนที่พึ่งการกระทำดีตามกฎระเบียบด้วยตนเอง ไม่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์

ประตูใหญ่ทางกว้าง คือคนมีปัญญา ได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องสรรเสริญสนับสนุนจากสังคมภายนอก แต่ภายในใจเต็มไปด้วย ความเหน็ดเหนื่อยแบกภาระหนัก ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมสักที

 

สร้างบ้านบนศิลา คือพึ่งพาวางใจในพระเยซูผู้ช่วยให้รอดจาก โทษของความบาป จากความพินาศ เป็นผู้บริสุทธิ์ครบถ้วนไร้ ตำหนิ และได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์หลังความตาย

 

สร้างบ้านบนทราย คือพึ่งพาวางใจในตนเองในการกระทำของตนเอง ที่จะรักษาความดีตามกฎระเบียบที่ สติปัญญามนุษย์ คิดว่าดีเพื่อจะรอดจาก โทษของความบาป จากความพินาศ เพื่อจะเป็นผู้บริสุทธิ์ครบถ้วนไร้ตำหนิ เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์หลังความตาย

 

มัทธิว 7:24-27 พระเยซูบอกว่า … “เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม  เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”

 

พระเจ้าอวยพรครับ