คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2021
เรื่อง “ธรรมชาติเดียวกับพระคริสต์”
ตอน “เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่”
โดย ธิดารัตน์ ร่มพระคุณ
สวัสดีค่ะ เมื่อเราทั้งหลายได้รู้ว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ได้รับการชำระล้างใหม่ ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของเราได้ถูกกระทำให้เปลี่ยนใหม่ ได้บังเกิดใหม่ด้วยความเชื่อ โดยพระวิญญาณ ร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนนี้เราอยู่ในฝั่งกฎแห่งความตาย แล้วเราย้ายฝั่งมาอยู่ฝั่งแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์
ดังนั้น เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ในการกระทำของเราอีกต่อไป วิญญาณของเราได้รับความรอดแล้ว ในยอห์น 3:16 บอกว่า …
ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
พระองค์ไม่ได้มาพิพากษาโลก แต่มาช่วยโลกให้รอด แต่บรรดาผู้ที่เชื่อและต้อนรับพระองค์ ผู้ที่วางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาทั้งหลายจะได้รับความรอด
ท่านเชื่อด้วยปาก และรับด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านก็รอด ไม่ต้องถูกพิพากษา ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของท่าน แต่ด้วยพระคุณ เพราะความเชื่อ
ฉะนั้น การกระทำของเราในโลกนี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าข้างในเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อวิญญาณเราหลุดออกจากร่างกายนี้ วิญญาณของเราได้สวมร่างกายใหม่ เราก็จะไม่ใช่ผู้ที่ถูกพิพากษาให้ตกนรก แต่เป็นผู้ที่ผ่านพ้นการถูกพิพากษา นั่งร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ บนสวรรคสถาน พิพากษาจักรวาลนี้ร่วมกับพระองค์
นี่คือสิ่งที่ล้ำลึกและอัศจรรย์ แต่ทำไมต้องมาแบ่งปันในเรื่องวันนี้ เพราะว่ามันเหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเรา ที่เราเผชิญหน้าอยู่ทุกวัน แล้วเราก็รู้สึกมันอึดอัด มันมีการต่อสู้ มันมีการขัดขวาง เพราะว่าธรรมชาติใหม่ มันไม่ไปด้วยกันกับร่างกายเดิมของเรา หรือว่าตัวถังเราไม่ไปด้วยกัน มันขัดกัน มันก็ต่อสู้กัน เราก็ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก จริงๆ เรามีชีวิตอยู่อย่างหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว แม้แต่ในโลกนี้ เราก็ควรจะหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว เพราะว่าพระเจ้า พระเยซูได้บอกว่าผู้ใดก็ตาม ที่มาหาพระองค์ เรียนรู้จักพระองค์ พระองค์จะทำให้เราทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข
พระเจ้าได้ทรงชำระล้างความบาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ววันนี้ ไม่ได้มาสอน ให้ท่านต่อสู้ ด้วยกำลังของท่านเอง แต่มาแจ้งให้รู้ เหมือนที่อาจารย์นครได้พูดบ่อยๆ ว่ารับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ให้เรารับรู้ และรู้ แล้วสามารถที่จะเคลื่อนไป ด้วยกันกับพระเจ้า ซึ่งอยู่ภายในเรา เราจะสามารถเคลื่อนไปกับพระองค์ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องใช้กำลังอะไรเลย แค่เคล็ดลับอย่างเดียว คือยอม เพราะว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์แล้ว พระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในเรา พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในเรา เราเป็นของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว แต่พระเจ้าไม่ได้เข้ามาสิง พระองค์ไม่ได้เข้ามาครอบครอง ในลักษณะควบคุม หรือบังคับ ให้เราเป็นหุ่นยนต์ แล้วเคลื่อนไหวไปตามพระองค์ แต่พระองค์ให้เรามีอิสระในการตัดสินใจเหมือนกับตอนที่พระองค์ทรงสร้างอาดัมกับเอวา พระองค์ให้อิสระกับเขาว่าจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อฟัง
ฉะนั้น เมื่ออาดัมล้มลงในความบาปปุ๊บ ทำให้พงศ์พันธุ์ของเราต่อมาจากอาดัม ติดเชื้อบาปไปด้วย มี DNA ของความบาป มีเชื้อสายของความบาป และกระทำความผิดบาป นั่นเป็นธรรมชาติในชีวิตของเขา พระเจ้ารู้แล้ว พระเยซูก็เลยมา เพื่อทำสิ่งนี้ให้กับเรา คือมาอยู่ในเรา เพื่อกระทำร่วมกับเรา
สมัยอาดัมกับเอวา พระองค์ไม่ได้อยู่ในเขา พระองค์ดำเนินกับเขา นั่นแสดงว่าพระองค์อยู่ข้างนอก แล้วพระองค์ก็คุย ดำเนินไปกับเขา แต่ในยุคของพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ได้มาอยู่ในเรา พระเจ้าได้มาอยู่ในเรา พระคริสต์ได้ทำให้เรา มีสภาพเดียวกันกับพระเจ้า เพื่อเราจะสามารถกลับคืนดีกับพระองค์ได้ และยังเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ด้วย มีฤทธิ์อำนาจ มีสิทธิอำนาจเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แต่พระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าที่ทรงเต็มไปด้วยความรัก สุภาพและอ่อนโยน
ในพระคัมภีร์บอกว่าคนชอบธรรมของพระเจ้าล้ม 7 ครั้ง เขาก็ลุกขึ้นได้ 7 ครั้ง ไม่มีอะไรมาทำลายเขาได้ เรียกว่าฆ่าไม่ตาย ความตายไม่มีชัยเหนือเขาอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์พูดถึง ท่านอาจจะล้มๆ ลุกๆ หรือทำบาปอีกไม่รู้กี่รอบ เพราะว่าขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ เรายังต้องต่อสู้กันต่อไป จนกว่าเราจะหลุดออกจากร่างนี้ จำได้ไหมเรายังมีกฎของจักรวาล กฎของโลก กฎของชีวิตและความตาย เราผ่านพ้นกฎของความตาย มาอยู่กฎของชีวิตแล้วก็จริง แต่ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของโลก เรายังต้องแก่ เจ็บ ตายเหมือนกันกับคนในโลกนี้ สมองเรายังสามารถรับรู้ สั่งการและผลิตออกไป ซึ่งพฤติกรรม การกระทำที่ทั้งดีและไม่ดีได้เท่ากันกับผู้อื่น
ฉะนั้น เราก็จะรู้สึกอึดอัด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ข้างในเราไม่เหมือนเดิมแล้ว หัวใจเราไม่เหมือนเดิม วิญญาณเปลี่ยนใหม่แล้ว แต่ทำไมล่ะ? เรายังเหมือนต้องต่อสู้กับความบาปที่เราต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างพวกเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้ ก็ดีหน่อย อยู่แต่ในโบสถ์ ไม่ค่อยไปสู้รบกับใคร ไม่ได้ไปอยู่ในสังคม แต่พี่น้องที่อยู่ข้างนอก ที่ต้องต่อสู้กับสังคมข้างนอก และโลกข้างนอก และยังต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ยั่วยวนและเย้ายวนเราอยู่ มันก็ยากสำหรับเรา เรามาดูที่โรม 12:1-2 ซึ่งเป็นการแจง เป็นลักษณะของการอธิบายเรียบร้อยแล้ว …
โรม 12:1-2 (NK-THV) “1 พี่น้องเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมทั้ง (สมอง) ความคิด และสติปัญญาของท่าน เป็นเหมือนเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) เป็นที่พอใจและพระเจ้าทรงรับได้แล้ว เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง (โดยความถ่อมใจ ยอมรับ เต็มใจเชื่อฟังถ้อยคำที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์อย่างไม่มีเงื่อนไข) 2 ไม่ยอมประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความคิด สติปัญญา (โปรแกรมในสมอง) เสียใหม่ แล้วความประพฤติของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้กับท่านในพระเยซูคริสต์”
เมื่อเราทั้งหลายได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้บัพติศมาในการตาย ในการถูกฝังไว้ ในการเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกันกับพระคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็คือพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มาอยู่ภายในเรา เราได้หัวใจใหม่ ได้วิญญาณใหม่ เราได้การชำระล้างร่างกายใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ แต่ทำไมพระคัมภีร์ข้อนี้ ยังบอกว่าให้เรามอบความคิด และอวัยวะทุกส่วนของเรา ให้กับพระเจ้าล่ะ?
เพราะว่าเรายังอยู่ในโลกใบนี้ เรายังต้องดำเนินชีวิตตามกฎของโลกนี้ เรายังอยู่ในกฎ ไม่ใช่ว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นมนุษย์อัศจรรย์ไปเลย ดูสวยงาม สง่า สดใส อันนั้นก็ไม่ใช่ธรรมชาติ พระเจ้าไม่แหกกฎของพระองค์เอง เมื่อพระองค์ตั้งสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นจะดำรงอยู่ และยังต้องขับเคลื่อนต่อไป อย่างธรรมชาติ ตามที่พระเจ้าตั้งไว้
ดังนั้น ร่างกายของมนุษย์ยังสามารถรับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้เข้ามา ผ่านสมองของมนุษย์ แล้วเมื่อผ่านสมองของมนุษย์แล้ว มันก็จะเกิดออกมาเป็นการกระทำ สิ่งที่มันจะผ่านเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นความดี หรือไม่ดี ก็จะผ่านมาทางนี้ เป็นช่องทางเดียวกัน ก็คือการมองเห็น
ไม่ว่าเราจะมองเห็นอะไร? มองเห็นสิ่งที่ยั่วยวน ที่เป็นทางลบ หรือสิ่งที่เป็นของพระเจ้า เมื่อเรามองปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้น ปฏิกิริยา กฎของร่างกาย ก็คือเรารับรู้ผ่านการมองเห็น หลังจากนั้น ก็จะเกิดการประมวล วิเคราะห์ ตัดสินใจ และส่งผลไปสู่การกระทำ แม้กระทั่งการรับรู้รส ก็เหมือนกัน หรือแม้แต่การได้กลิ่น ก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการได้ฟัง หรือได้ยินอะไรมา เราก็จะเอามาประมวลผล วิเคราะห์ ตัดสินใจ และขับเคลื่อนไปสู่การกระทำ และผ่านการสัมผัส ในทางหลักวิทยาศาสตร์ การสัมผัส แต่ละส่วนของร่างกาย มีการรับรู้ที่ไวต่างกัน และการรับรู้เหล่านี้ ประมวลผลไปสู่ความคิด จิตใจ และประมวลผลออกมาเป็นความปรารถนาที่อยากจะกระทำสิ่งนั้นๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นตา เป็นปาก เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สิ่งเหล่านี้ จะเป็นสิ่งที่ทั้งมารและพระเจ้าสามารถที่จะเข้ามาโน้มน้าว หรือเข้ามาสำแดง เพื่อให้เราได้ขับเคลื่อนไปในแต่ละทิศทางต่างๆ เหล่านั้นได้
แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่อยากจะคาดคิดเลย ก็คือสมอง เราไม่ต้องมองเห็น เราอยู่ในห้องที่มืดๆ ไม่มีใคร เราปิดตา ไม่มีกลิ่น ไม่ต้องสัมผัส อยู่นิ่งๆ สมมติว่าเรานั่งสมาธิอยู่ สมองเราสามารถจะจินตนาการได้ไหมค่ะ? สมองเราสามารถจะทำชั่วได้ไหมค่ะ? สมองเรา ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าป้อมปราการ เป็นตัวกำหนดขับเคลื่อนที่ใหญ่มาก ที่จะทำให้เราผลิตการกระทำออกมา
แน่นอน เมื่อเราอยู่ในร่างกายที่ถูกชำระแล้ว สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ยังอยู่บนโลก เหมือนเดิม ยังอยู่ในร่างเดิม ฉะนั้น ก็ยังเปิดโอกาสที่จะให้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและสมอง ความคิดสติปัญญา ยังสามารถที่จะไปจดจ่อ จดจำสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ได้ สามารถที่จะไปรับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้มาได้
การรับรู้เรื่องของโลก มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าการรับรู้นั้น มันต่อต้าน ขัดขืนความเป็นจริงของพระเจ้า หรือความรู้นั้น มาหักล้างความจริงของพระเจ้า หรือแม้กระทั่งข้อมูลดี ไม่ได้ทำอันตรายเลย ค้นพบสิ่งหนึ่ง คือดูซีรี่ย์เกาหลีทั้งวันทั้งคืน ไม่เอาอะไรเข้าไปในหัวสมองเลย ท่านคิดว่าท่านจะเป็นอัลไซเมอร์ได้ไหมในอนาคต? เพราะสมองมันเป็นการรับรู้ฝ่ายเดียว ไม่ได้ผลิตอะไรออกไปเลย ฉะนั้น มันสามารถที่จะครอบครองสติปัญญา หรือความคิดของเราได้ มันสามารถที่จะกินพื้นที่ของการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าได้ ฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้เราเปลี่ยนความคิด สติปัญญาใหม่ แล้วอุปนิสัยของเรา จึงจะเปลี่ยนใหม่
อันแรกเลยที่อาจารย์เปาโล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ท่านค่อนข้างที่จะละเอียด เพราะว่าท่านเป็นบุคคลที่ยึดมั่น ในพระบัญญัติของพระเจ้า 613 ข้อ ปฏิบัติเป๊ะ เรียกว่าเป็นคนเคร่งเครียด ซีเรียสมาก ในการที่จะปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า เป็นคนที่ทุ่มเทต่อพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด เมื่อท่านกลับใจใหม่มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พอทุกอย่างกระจ่างปุ๊บ ทำให้ท่านมองเห็น ทะลุไปเลยว่าตัวท่านเองต่อต้านกับพระเจ้าอย่างไร? โดยพึ่งพากฎข้อบังคับที่จะไม่ให้มนุษย์ทำโน่นทำนี่ อย่าทำนั่นทำนี่ มันสามารถที่จะดึงท่านให้ตกลงไปในการพึ่งพาตัวเองได้ขนาดไหน?
สมัยก่อนเรายังไม่มีพระเจ้า พระเยซูคริสต์ยังไม่บังเกิดบนโลกมนุษย์ใบนี้ มนุษย์จำเป็นจะต้องพึ่งพาตัวเอง ที่จะต้องมีกฎระเบียบ เพื่อที่จะทำความดี เพราะไม่อย่างนั้น สังคมจะวุ่นวาย ความบาปก็จะเข้าครอบงำ แล้วความชั่วร้าย ยิ่งจะปกคลุมอยู่ในสังคมโลกมากขึ้น เพราะมนุษย์ที่เป็นคนบาป เดินป้วนเปื้อนอยู่เต็มโลกไปหมด แล้วเค้าโครงความคิดในใจเขาล้วนแต่ชั่วร้าย ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องมีบทบัญญัติขึ้นมา เพื่อที่จะให้เขากระทำด้วยตัวเอง เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีผู้ช่วยให้รอด เขาจำเป็นจะต้องทำ เขาจำเป็นจะต้องมี เพื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ทำให้สังคมมันเน่าเฟะมากขึ้น หรือเต็มไปด้วยสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้น มันต้องมีบรรทัดฐานและบัญญัติ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาแล้ว เราไม่ต้องแบกสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราไม่ต้องแบกบทบัญญัติ หรือข้อบังคับที่จะต้องทำแล้ว เพราะว่าพระคริสต์รู้ว่าต่อให้มีข้อบัญญัติเหลืออยู่ 2 ข้อ คือรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด และรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง ท่านก็พลาด ต่อให้ 613 ข้อ หรือศีล 5 ข้อ หรือศีล 8 ข้อ หรือมีกี่ข้อ ตามบทบัญญัติ ที่จะทำให้เราเป็นคนดี แม้แต่ศาสนาคริสต์ ที่เขาเรียกว่าศาสนาคริสต์บอกเหลือ 2 ข้อ ท่านก็ทำไม่ได้ เพราะท่านไม่สามารถที่จะทำด้วยกำลังของตัวเองได้ พระคริสต์จึงต้องเข้ามาอยู่ในท่าน ชำระล้าง แล้วมาช่วยท่าน พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ต้องตะเกียกตะกาย เหมือนที่พาสเตอร์นครบอก เข็นครกขึ้นภูเขาก็ว่ายากแล้ว ท่านอย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย พระคริสต์มาบังเกิดเพื่อท่านแล้ว มาตายเพื่อท่านแล้ว มาแบกรับบาปแทนท่านแล้ว มาซื้อท่านจากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว ท่านเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านไม่ต้องตะเกียกตะกายทำอีกต่อไป ท่านแค่ยอม เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ว่าท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านสะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านจะทำบาปกี่ร้อยครั้ง ท่านก็รอดแล้ว ท่านผ่านพ้นจากการถูกพิพากษาไปสู่ชีวิตแล้ว ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่ถูกชำระแล้ว พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในท่าน ท่านมีสง่าราศีร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ และนั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์บนสวรรคสถาน ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะถอดร่างนี้ เมื่อร่างนี้กลับกลายเป็นดินปุ๊บ พระเจ้าได้เตรียมร่างใหม่ให้กับเรา พระเจ้าได้เตรียมโลกใหม่ให้กับเรา นั่นคือมรดกที่ถูกจัดเตรียมไว้ในสวรรคสถาน และเป็นความหวังใจที่เรามีในพระเยซูคริสต์ ซึ่งตรงนี้ ทุกคนแปลความหมายของมรดกผิดไป แต่ความจริงแล้ว พระเจ้าได้เตรียมร่างกายและโลกใหม่ให้กับเรา นั่นคือมรดกที่จัดเตรียมสำหรับเราทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ใน 2 โครินธ์ 10:5-6 บอกว่า …
2 โครินธ์ 10:5-6 “5 เพราะว่าถึงแม้เราอยู่ในโลกก็จริง แต่เราก็ไม่ได้สู้รบตามโลียวิสัย เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ที่สามารถทำลายป้อมปราการได้ คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการ ที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า 6 และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับ จนถึงรับฟังพระคริสต์”
เราแค่ยอม ยอมให้ถ้อยคำของพระเจ้า ให้ความจริงของพระเจ้า ที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของเรามาอยู่ในเรา ให้เราเชื่อว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว เรารอดแล้ว เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งรักเรา และได้ตายแทนเราบนไม้กางเขน เรามีพระวจนะของพระเจ้าไว้ต่อสู้ มีความจริงของพระเจ้าคาดเอวของเรา เราจะเดินไปไหนมาไหน เราพูดย้ำๆ ซ้ำๆ ถึงเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยสติปัญญา หรือความคิดของเราเอง เราแค่พูดออกไป คำพูดนี้ นอกจากจะทำให้เราหนักแน่น มั่นคง ซึ่งจริงๆ เราไม่ต้องหนักแน่นก็ได้ แต่มันก็ทำให้เรายืนอย่างมั่นคงได้ ก็คือเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์
และสิ่งต่อไป ก็คือยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ซึ่งเป็นร่างเดิมที่ถูกชำระแล้ว ให้กับพระเจ้า ไม่ยอมมอบอวัยวะใดๆ ของเราให้กับบาป
เปาโลได้พูดสิ่งหนึ่งไว้ ซึ่งจริงๆ ท่านน่าจะเป็นคนที่มีความดีงามประดับกายได้มากกว่าเรา แต่ท่านพูดสิ่งนี้ เราไปอ่านดูด้วยกัน ในโรม 7:15-25 …
โรม 7:15-24 “15 “ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น 16 เหตุฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี 17 ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ 18 ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้น ข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ 19 ด้วยว่าการดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าทำไม่ได้ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ 20 ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั้นเองเป็นผู้กระทำ 21 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำความดี ความชั่วก็พร้อมที่จะผุดขึ้น 22 เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า 23 แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า 24 โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายนี้ ซึ่งเป็นของความตายได้”
สมัยก่อน ก็จะเป็นอย่างนี้ รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี รู้ดีรู้ชั่ว แต่ทำดีไม่ได้ มักจะหันไปทำชั่วตลอดเวลา เคยเป็นไหมค่ะ? สมัยที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว มันไม่มีอิทธิพลต่อไป อันนี้เปาโลกำลังพูดถึงตอนที่ท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า แล้วท่านรู้สึกตัวอย่างนั้น อะไรดี ก็รู้ อะไรไม่ดี ก็รู้ แต่สิ่งที่ทำส่วนใหญ่ 99% คือชั่ว คิดไม่ดี อิจฉาริษยา นินทาคนอื่น ตำหนิติเตียน ชี้คนอื่นต่ำต้อย เย่อหยิ่ง ทะนง มีทิฐิ โอ้อวด ยโส โอหัง หว่านความแตกแยก ข้างในรู้ดีไหม? รู้ดี แต่ทำไม่ได้ แล้วก็ขัดกัน ไม่รู้จะทำอย่างไร?
แล้วในตรงนี้บอก หลังจากที่เปาโลได้เชื่อแล้ว ท่านรู้เลยว่าความปรารถนาดีอยู่ข้างใน หัวใจเปลี่ยนใหม่ใช่ไหม? วิญญาณเราเปลี่ยนใหม่ใช่ไหม? เรามีกำลังใหม่ ซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ดี เรามีธรรมชาติใหม่แล้ว แต่บางทีมันถูกบล็อก ในพระคัมภีร์บอกว่า …
โรม 7:25 “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป”
โรม 8:3-4 (TH1971) “3 เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาป 4 เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้ จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ”
เมื่อเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นใหม่ คือข้างในเราเปลี่ยนใหม่ แล้วทำไมยังหลุดออกมาล่ะ เพราะอย่างที่บอก ก็คือเราปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างกระตุ้นเราได้ หรือระบบของโลกนี้ เราให้มันมีอิทธิพลในชีวิตเรา
มารมันทำอะไรเราไม่ได้ มันตกกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว มันรอวันเวลาที่จะถูกโยนลงไปในบึงไฟนรก ฉะนั้น มันป้วนเปื้อนในโลกนี้ เหมือนเสือที่ถอดเขี้ยวไปเรียบร้อยแล้ว มันทำอะไรเราไม่ได้เลย มันครอบงำเราไม่ได้ มันอยู่ในเราไม่ได้ มันไม่มีอิทธิพลในการสั่งการให้เราทำอะไรต่อไปแล้ว สิ่งที่มันทำ ก็คือมันวนเวียนอยู่รอบๆ เรา เหมือนสิงห์ที่คอยคำราม ในยอห์น 10:10 บอกว่า …
ยอห์น 10:10 (TH1971) “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
สิ่งที่มันยังทำอยู่ และมันก็ยังทำอยู่ ตามนิสัยเดิมของมัน คือชอบมาขโมยความสุขของเรา มาลัก ฆ่า ทำลายความสุขของเรา มันมาจ้องคอยเขมือบว่าเมื่อไร เราจะเปิดช่องให้มัน ใน 1 เปโตร 5:8 บอกว่า …
1 เปโตร 5:8 (TH1971) “ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้”
สมมติว่าเราเปิดตาออกไป แล้วเราก็มองเห็นว่าคนอื่นเขาแบบทำกิจการนั้น กิจการนี้ รู้สึกเขาดีกว่าเรา รู้สึกอิจฉาริษยา เรายังไม่ให้มันไหลลงมาในความคิดจิตใจของเรา แค่คิด มารเห็นช่องแล้ว ก็วนเวียน แล้วเริ่มโน้มน้าวเรา ใส่ข้อมูลเข้ามา …
“ใช่สิ ดูสิ จริงๆ เธอสามารถทำอย่างนี้ได้ แต่ว่าอย่างโน้นอย่างนี้”
มันก็พยายามยกเขา แล้วกดเรา แล้วมันทำให้เราเกิดปฏิกิริยา ก็คือความอิจฉาริษยาออกไป เมื่อเกิดความอิจฉาริษยาออกไปปุ๊บ เราก็ผลิตออกมาซึ่งคำพูดกระแนะกระแหน หรือการกระทำที่แดกดัน หรือการกระทำที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดต่อบุคคลนั้น ข้างในเราอยากทำไหม? ไม่ได้อยากทำ ฉะนั้น ผู้ที่ทำ คือเนื้อหนังที่ยังมีอิทธิพล ล่อลวงเราจากภายนอก ทำให้เราคล้อยตาม และผู้ที่ทำ คือเรานั่นแหละ เราเป็นคนอนุญาต และทำออกไป
ง่ายๆ เลย หลายๆ คนอาจจะล้มลงในความบาปครั้งใหญ่ หรือทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เสร็จแล้วปุ๊บ มารก็มาชี้หน้าใส่เรา ก็รู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี เริ่มตีตัวออกห่างจากพระเจ้า แล้วก็เริ่มอยากจะปฏิเสธพระเจ้า มารมันมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย สิ่งที่มันอยากจะทำ แต่มันแย่งชิงเราไปจากพระเจ้า ไม่ได้ เพราะในพระคัมภีร์ยอห์น พระเยซูบอกว่า …
“แกะของเราได้ยินเสียงของเรา ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้น ไปจากมือของเราได้”
มันอาจจะล่อลวงเรา หรือชักจูงเรา หรือทำอะไรก็ตาม ณ เวลานั้น เราอาจจะเกิดความทุกข์ เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง สุดท้าย สมมติว่าไปจนถึงวันนั้น ลุกขึ้นไม่ได้ อยู่ในหลุมนั้นแหละ เมื่อเขาตายจากร่างนี้ไป ถอดวิญญาณปุ๊บ ถามว่าเขายังเป็นของพระเจ้าไหม? เป็นของพระเจ้า แต่ทนทุกข์ในโลกนี้ เพราะว่าปล่อยตัวเอง ยอมตัวเองให้ลงไปใช้ชีวิต เหมือนบุตรน้อยหลงหาย เป็นลูกเศรษฐีมีเงิน แทนที่จะอยู่ในบ้านสุขสบาย ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่ …
“ฉันอยากจะช่วยตัวเอง ฉันอยากจะมีชีวิตของตัวเอง ฉันออกไป”
ออกไป ก็ทุกข์ยากลำบาก อย่างที่เรารู้ สุดท้าย กลับมาบ้าน ก็ยังเป็นลูกของเศรษฐีอยู่ เศรษฐีก็ยังอ้าแขนต้อนรับ เช่นเดียวกัน ไม่มีใครแย่งชิงเราออกไปจากพระเจ้าได้ ไม่ว่ามันจะล่อลวงเราอย่างไร? ไม่ว่าจะทำการอย่างไรก็ตาม
ฉะนั้น เมื่อเราเป็นของพระเจ้า จิตใจเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณของเรา เป็นวิญญาณใหม่ เรามีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ภายในเรา แต่ความคิด สติปัญญาอาจจะดูดซับ ดูดซึมสิ่งอื่นได้ ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ ก็คือเรายอมให้กับพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างที่มันล่อลวงเรา สมมติว่ามันกำลังจะชักชวนเราให้เกิดความคิดอะไรก็ตาม ที่เป็นด้านติดลบ …
“Just say no ไม่ ฉันไม่ยอม”
ถ้า No แล้วมันยังไม่หยุด เราพูดออกไปเลยว่าเราเป็นใคร? ชักดาบแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมา ไม่ต้องจำพระคัมภีร์เยอะหรอก จำแค่ว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว
“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ฉันเป็นของพระเยซูคริสต์ มีสง่าราศี ฉันยืนอยู่ในความสว่าง ฉันไม่ได้ยืนอยู่ในความมืด”
แค่บอกว่าไม่ แล้วไม่ยอมให้มันเข้ามามีพื้นที่ใดๆ ในความคิดของเราเท่านั้น ใน 1 โครินธ์ 3:16 บอกว่า …
1 โครินธ์ 3:16 (TH1971) “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”
รู้อยู่แล้ว บอกหลายรอบ โดยพระเยซูคริสต์เราชนะโลกแล้ว ผู้ที่อยู่ในตัวท่าน เป็นใหญ่กว่ามันที่อยู่ในโลกนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องกลัวเลย มันตกกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว ใน 1 ยอห์น 4:4 บอกว่า …
1 ยอห์น 4:4 (TH1971) “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก”
1 ยอห์น 5:4-5 (TH1971) “4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก 5 ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง”
ท่านทั้งหลายชนะโลกแล้ว แล้วท่านจะยอมให้มันขี่หัวท่านอยู่ทำไม? ท่านจะไปยอมเอาข้อมูล ความคิดของมันเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่านทำไม? ท่านจะไปดูดซึมเอาสิ่งที่มันล่อลวงทำไม? เราชนะโลกแล้ว เราชนะไม่ได้หมายถึงเราต้องไปสั่งการโน่นนี่นั่น ไปสั่งการให้ไฟแดงเป็นไฟเขียว อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการชนะแบบนั้น
แต่การชนะตรงนี้ ตามบริบทนี้ คือการที่เรามีชัยชนะเหนือความบาปและความตายแล้ว พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ผู้ที่อยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามันผู้นั้นที่อยู่ในโลกนี้ มันล่อลวงเราไม่ได้แล้ว เมื่อใดก็ตามที่มันชักจูงเรา นำเราไปสู่ความบาป หรือความตาย หรือวิถีแห่งความบาปและความตาย ให้เราบอกมันว่า … “ไม่” … เหมือนพระเยซูคริสต์ เราใช้พระวจนะอย่างผู้ที่เชี่ยวชาญในการที่จะต่อสู้กับมารซาตาน ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็บอกแค่ว่า …
“ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่ต้องถูกพิพากษาให้ต้องตกนรกแล้ว ความบาปมีชัยเหนือฉันอีกต่อไปไม่ได้แล้ว”
เมื่อไรก็ตามที่ “ฉันล้มลงในความบาป ฉันยอมรับว่าฉันล้มลง ยังทำบาปอยู่ ก็แกนั่นแหละล่อลวงฉันทำบาป แต่ว่าฉันไม่ต้องถูกพิพากษา เดี๋ยวฉันจะลุกขึ้นใหม่”
“ลุกขึ้น” บอกตัวเอง
ไม่ต้องจำ ถ้าจำพระคัมภีร์เยอะไม่ได้ ก็จำแค่ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และมีชัยชนะเหนือมัน
ทำไม ในเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว บางทีถามพระเจ้าเหมือนกันนะ ต่อสู้กับเนื้อหนัง ต่อสู้กับตัวเอง สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือตัวเอง และต้องต่อสู้กับตัวเอง มันยากกว่าอะไรทั้งหมดในการดำเนินชีวิต บางทีถามพระเจ้าว่า …
“ทำไมพระองค์ไม่รับเราไปอยู่กับพระองค์เลยล่ะ”
อยากจะเหมือนกับนักโทษคนนั้น คือถูกตรึงบนไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูบอกว่า …
“วันนี้ท่านจะได้ไปอยู่กับเราที่สวรรคสถาน” … อยากจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า
ถ้าพระเจ้ายังให้เราดำรงชีวิตอยู่ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานโลกนี้ให้กับเรา ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก พระเจ้าได้สร้างโลกนี้ไว้ สำหรับมนุษย์ ฉะนั้น ผู้ที่จะดำเนินการทั้งหมดในโลกนี้ คือมนุษย์ แต่ก่อนนี้พระองค์ยังต้องส่งทูตสวรรค์มาช่วย ส่งผู้เผยพระวจนะมาช่วย แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิด และทำการงานทั้งปวงแล้ว วันสุดท้ายที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ได้พูดกับสาวกของพระองค์ 12 คน และสาวกที่อยู่ในห้องชั้นบน ที่ได้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในหนังสือกิจการ คนเหล่านี้ก่อนที่จะไปอยู่ในห้องชั้นบน พระเยซูคริสต์ได้พูดกับเขาก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาเขา เหตุการณ์มีอย่างนี้ว่า …
มัทธิว 28:18-20 (TH1971) “18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
ตามกฎของโลกนี้ ผู้ที่จะประกาศข่าวดีได้ ก็คือมนุษย์ที่เชื่อเท่านั้น พระองค์จะไม่ใช้ทูตสวรรค์มาประกาศข่าวดีแล้ว เพราะว่าพระเจ้าอยู่ในมนุษย์แล้ว สิทธิอำนาจทั้งสิ้น อยู่ในมือของมนุษย์ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจึงให้สิทธิมนุษย์เท่านั้น ที่จะไปบอกข่าวดีกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกัน ได้รับความรอด
อย่างที่บอกว่าหากร่างกายของท่าน หลุดออกจากร่างนี้ เราไม่ประกาศแล้ว สิทธิ์ของท่านหมดแล้ว ก่อนที่ลมหายใจของท่านจะออกจากร่างนี้ จงเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดบาป ไม่ต้องตะเกียกตะกายกับความบาปอีกต่อไป ไม่ต้องพยายามด้วยตัวเอง โดยการเข็นครกขึ้นสวรรค์ พยายามที่จะขึ้นสวรรค์ด้วยตัวเอง พยายามที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ ซึ่งท่านไม่มีทางทำได้ พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเพื่อท่านแล้ว มาแบกรับบาปแทนท่านแล้ว มาชำระล้างความผิดบาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ว แค่มารับเอา แล้วท่านก็จะได้รับความรอด หากท่านหลุดจากร่างนี้วันใด ท่านไม่มีสิทธิ์รับสิ่งนี้ และสิ่งเดียวที่ท่านจะได้รับ คือวิญญาณของท่านนจะถูกพิพากษา แล้วตกนรก
และสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ในวันนี้ ขบวนการเปลี่ยนแปลงและขบวนการไถ่ถอน พระเจ้าทำให้เราเสร็จสิ้นแล้ว เราทำแค่ยกอวัยวะในร่างกาย สมอง ความคิด สติปัญญาของเรา เพื่อจะเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับพระเจ้า แล้วอุปนิสัยทั้งมวลของเราจะเปลี่ยนใหม่เอง โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เหมือนกับดิฉันมีหลาน แม่เขาก็ป้อนข้าวทุกวัน หรือทุกคนมีลูกมีหลาน ก็ป้อนข้าว เลี้ยงดูไปทุกวัน หันมาอีกที โตถึงไหนแล้ว เหมือนน้องตะวัน (มือคีย์บอร์ดของทีมนมัสการ) ตอนนั้นยังตัวเล็กๆ อยู่เลย ตอนนี้ก็โต สูง เป็นหนุ่มแล้ว แล้วก็เจริญเติบโตขึ้นแล้ว จริงๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างมันถูกขับเคลื่อน เป็นไปตามธรรมชาติแห่งการเจริญเติบโตเอง
เช่นเดียวกัน ถ้าหากเรายกอวัยวะของเราให้กับพระเจ้า เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ อุปนิสัยของเราจะเปลี่ยนไปเอง โดยอัตโนมัติ ไม่เหนื่อยเลย และไม่ยากเลยนะ ก็ฝากสิ่งนี้ไว้ พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
กาลาเทีย 2:20 … “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”
เมื่อเราเชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด วิญญาณและความคิดจิตใจเก่าที่เป็นบาปของเราได้ถูกตรึงตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแล้ว และเราได้บังเกิดใหม่พร้อมกับการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ดังนั้น ชีวิตเราที่ดำเนินอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นวิญญาณ และความคิดจิตใจที่บังเกิดใหม่ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ฝึกฝนทำดีเหมือนพระเยซู
พระเยซูให้เราเลือกที่จะอยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เรียกว่า “กฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน” พึ่งการกระทำของตนเอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งเราไม่สามารถรักษาหรือว่า ทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีพร้อม เช่นกฎในพันธสัญญาเดิม
มัทธิว 6:12-15 … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลง เมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย’ เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”
หรือ … ย้ายมาอยู่ในพันธสัญญาใหม่ที่เรียกว่า “กฎพระคุณ” พึ่งการกระทำของพระเยซู ผู้ได้กระทำให้เราเป็นคนดีพร้อมครบถ้วนสมบูรณ์ นี่คือกฎในพันธสัญญาใหม่
เอเฟซัส 4:32 … “ให้เมตตาต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน และอภัยให้กันและกัน เหมือนกับที่พระเจ้าได้อภัยให้กับคุณแล้วผ่านทางพระคริสต์”
พระเจ้าอวยพรครับ