คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2021
เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอน 2
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้จะต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว … “เกิดอะไรขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอนที่ 2 ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้กันไปแล้วว่าเมื่อวันที่กายฝ่ายโลกของเราดับลง ตายลง วิญญาณออกจากร่างเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ซึ่งสิ่งที่เราเรียนรู้ไป สัปดาห์ที่แล้ว เป็นกรณีของผู้ที่เป็น คริสเตียนตายลง หรือล่วงหลับก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในวันพิพากษา
วันนี้ตอนที่ 2 เราจะมาดูกันว่าแล้วเมื่อถึงเวลา ที่พระเยซูคริสต์กลับมาครั้งที่ 2 ซึ่งในพระคัมภีร์ก็บอกแล้วว่าเมื่อไรไม่รู้ และไม่มีใครรู้ เหมือนขโมยย่องมาตอนกลางคืน พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด? วันใด? เวลาใด? เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเดา แต่ให้รู้ว่ามันเกิดขึ้นแน่นอน แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนั้น วันที่พิพากษา ซึ่งตรงนี้ ต้องเรียนรู้ จะได้สบายใจ หรือไม่สบายใจ สำหรับคนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ คนที่เชื่อแล้ว จะได้สบายใจขึ้น เราจะมาเรียนรู้กันในวันนี้แหละว่ามีอะไรเกิดขึ้นในวันพิพากษา
เราได้เรียนรู้จักถ้อยคำพระเจ้าไปหลายๆ ปีแล้ว ช่วงท้ายๆ ยิ่งชัดใหญ่ เราได้รับรู้แล้วว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากการกระทำของเรา เป็นของประทาน เป็นของขวัญผ่านทางพระเยซูคริสต์ ให้กับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อ ให้มาเปล่าๆ ฟรีๆ ที่เรียกว่าพระเยซูเป็นของขวัญ ทางสู่สวรรค์ จากพระเจ้ามาสู่มนุษย์ทุกคน
เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อในข่าวดี ผ่านข่าวดีของพระเจ้า ก็ได้เข้าสู่สวรรค์ คือรอดพ้นจากการถูกพิพาษาลงโทษ โดยไม่ได้พึ่งพาการกระทำของตนเองเลย แม้แต่นิดเดียว คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูเพียงผู้เดียว
ความรอดเริ่มต้นในโลกวิญญาณเลย เมื่อตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ความรอดตรงนี้ รอดจากการถูกพิพากษา รอดจากความพินาศ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้เริ่มต้นทันทีเลย ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยผ่านทางการเชื่อ คือเมื่อรับเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ ก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นลูกของพระเจ้าทันทีเลยที่รับเชื่อ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณทันทีหลังรับเชื่อเลย สิ่งเหล่านี้เราได้เรียนรู้มาเยอะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ แล้วก็ดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่อไป ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อนั่นเอง
พอเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็สถิตอยู่กับเราแล้ว นำพาชีวิตเราบนโลกใบนี้ ในขณะที่เราเป็นลูกพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว พระเยซูก็นำพาชีวิตเราบนโลกใบนี้ มีเป้าหมายเดียว คือไปสู่หลักชัย
หลักชัย คือชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ครบถ้วน เราได้รับชีวิตนิรันดร์เริ่มต้นแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอกไว้ การไปสู่หลักชัย คือการได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือตั้งเป้าวิ่งไปสู่ การได้รับร่างกายใหม่ สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายจากสวรรค์ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระองค์ไม่มีผิดเลย และนั่นคือเป้าหมาย ก็คือหลักชัย คือรางวัลสุดท้าย ผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว เริ่มต้นเมื่อเชื่อแล้ว กำลังวิ่งไปสู่หลักชัยนี้ โดยพระเยซูเป็นผู้จูงมือ นำพาเราเดิน ทรงสถิตอยู่กับเรา
เพราะฉะนั้น หลังจากวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหลายออกจากร่าง คือตาย หรือเรียกว่าล่วงหลับ ไป เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในชั่วพริบตา เท่ากับเปิดประตู ผลักประตูเข้าไปสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ ก็อยู่ที่เดิม ก็คือเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ที่สถิตของพระเจ้า แล้วคราวนี้ เห็นพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า เพราะว่าได้รับร่างกายใหม่ไปด้วย ไม่มีอะไรขวางกั้น ในการมอง ตาฝ่ายร่างกายใหม่ที่ได้รับนั่น สามารถมองในโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นพระเจ้า เห็นพระเยซูแบบหน้าต่อหน้าทันที เปาโลก็ได้แต่หนุนใจเรา ให้เราร้อนรนในสิ่งเหล่านี้ แล้วบอกให้เราทั้งหลายจดจ่อ ตื่นเต้นไปกับการรอคอยวันแห่งชัยชนะนี้ รอวันที่จะได้รับร่างกายใหม่
เปาโลจะพูดสิ่งเหล่านี้ตลอด เป็นระยะ ในหนังสือจดหมายฝากเกือบทุกเล่มที่ท่านเขียน เดี๋ยวตรงนั้นก็บอก เดี๋ยวตรงนี้ก็บอก จงอดทน รอคอยวันนั้นแหละ วันที่เราจะได้ไปพักผ่อน วันที่เรารอคอย คือวันแห่งพระสิริของพระคริสต์ ที่จะเต็มครบถ้วนบริบูรณ์ในเรา คือวันที่เราจะได้รับร่างกายใหม่ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ก่อนที่เราจะออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่ วันที่เราจะได้สวมร่างกายใหม่ ได้รับประสบการณ์ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในอาณาจักรสวรรค์ทันที ให้เราตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ เปาโลก็หนุนใจเรากับสิ่งเหล่านี้
เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะเชื่อฟังพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ก็ให้เราหนุนใจตรงนี้แหละ ตรงนี้เป็นเป้าหมายเดียวที่เราวิ่งไปสู่หลักชัยของเรา ในชีวิตนี้ ไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้อีกแล้ว ได้รับแล้วตอนนี้ ได้รับทางวิญญาณเรียบร้อยแล้ว รออีกนิดเดียว วิ่ง โถมตัวสุดท้ายเลย ไปที่ร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่วิญญาณออกจากร่าง
ในตอนที่พระเยซูตระเวนสอน ตระเวนประกาศข่าวดี ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ตอนที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสี ชื่อนิโคเดมัส เขาเป็นขุนนางของยิว แอบมาหาพระเยซู ตอนกลางคืน ได้รับรู้เรื่องนี้ไปแล้ว แล้วก็จะมาถามการเข้าสวรรค์ที่พระเยซูคริสต์ พูดถึง …
“สวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมาถึงในเร็วนี้ จะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?”
แล้วพระเยซูก็เล่าให้เขาฟัง บอกให้เขาฟังว่าคนที่เข้าสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่
นิโคเดมัสก็ไม่เข้าใจ … “เกิดใหม่ ต้องกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกทีหนึ่งหรือ?”
พระเยซูบอก … “ไม่ใช่อย่างนั้น”
สรุป ก็คือกลับใจใหม่ แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่เข้าสวรรค์ บังเกิดทางวิญญาณ ไม่ใช่บังเกิดทางเนื้อหนัง เข้าไปสู่ครรภ์มารดา ไม่ใช่อย่างนั้น บังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ บังเกิดในวิญญาณ วิญญาณได้เกิดใหม่ จึงเข้าสวรรค์ได้
นิโคเดมัส ฟังเสร็จปุ๊บ ก็ถามต่อว่า … “แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
มันก็น่าถามนะ เราก็คงคิดเหมือนกัน ตอนนี้เราก็คงคิดว่า … “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? จะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร?”
พระเยซูก็ตอบว่าบังเกิดใหม่เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์บังเกิดขึ้นได้อย่างไร? และมันเกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ด้วย เกิดขึ้นได้อย่างไร? ด้วยความเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์พูด และพระองค์ทรงกระทำให้กับเราแล้ว ให้เราบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์
“บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร?” … นิโคเดมัสถาม ในยอห์น 3:14-18 พระเยซูก็ตอบให้อย่างนี้ ชัดเจนเลยนะ เราลองมาดูกันว่าพระเยซูตอบว่าอย่างไร? …
ยอห์น 3:14-15 “14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้น อย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ (ได้เกิดใหม่ มีชีวิตจิตวิญญาณเหมือนพระองค์ทันที)”
พระเยซูก็บอกว่า … “ก็เหมือนโมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดาร” ซึ่งเป็นเงาของเรื่องนี้ ก็คือ ในช่วงนั้น คนอิสราเอลมีเชื้อโรคมาทำให้ป่วย รักษาไม่หาย แล้วพระเจ้าให้โมเสสเอาไม้เท้า สัญลักษณ์งู แล้วก็ยกไม้ขึ้น ในนี้จึงบอกว่าโมเสสยกงูขึ้น ใครก็ตามที่เชื่อโมเสส มาหาโมเสส แล้วมองไปที่ไม้เท้า เชื่อในนั้นว่าจะรักษาเขาได้ เขาก็หายจากโรค เหมือนกันพระเยซูกำลังพูดถึงว่าเมื่อพระเยซูถูกยกขึ้น ก็คือถูกตรึงบนไม้กางเขน ใครที่เชื่อว่าพระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน ตายเพื่อชำระบาปให้กับผู้นั้น ผู้นั้นก็จะพ้นโทษจากความบาป สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตวิญญาณที่ไม่ตายต่อไป จากตาย กลายมาเป็นมีชีวิต หมายถึงอย่างนั้น แล้วมีเมื่อไร? มีทันที เมื่อเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน หลังจากพูดนี้ อีกไม่นาน พระองค์ก็ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อยกบาป เพื่อชำระบาปให้กับมวลมนุษย์ แล้วทำให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเชื่อ หมายถึงอย่างนั้น ข้อ 16 พระเยซูก็อธิบายต่อว่า …
ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก (มนุษย์ที่ตายอยู่ในบาป) แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา (ลงโทษในวันสุดท้าย) แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
ในข้อ 16 บอกว่าเพราะพระเจ้าทรงรักโลก รวมทั้งมนุษยชาติบนโลกยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ประทานให้พระบุตรนั้นถูกยกขึ้น ถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อว่าคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขา คนที่เชื่ออย่างนี้ เขาจะไม่พินาศ ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ คือไม่ต้องพินาศอยู่ในบึงไฟนรก ไม่ต้องพินาศอยู่ในนรก เพราะว่าวิญญาณตายอยู่ หรืออยู่ในบาป เขาจะได้ไม่อยู่ในบาป ไม่อยู่ในความตาย ทางวิญญาณ แต่กลับมีชีวิตนิรันดร์ เพราะความเชื่อตรงนี้ กลับมีชีวิตนิรันดร์ เขาจะมีชีวิตนิรันดร์
คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” คือชีวิตที่เหมือนพระเยซู ชีวิตที่เป็นของพระเจ้า ถ้าเขาเชื่อ เขาจะไม่ต้องอยู่ในความตาย แต่กลับมีชีวิต พูดง่ายๆ เมื่อไร? เมื่อตอนที่เขาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แหละ
ข้อ 17 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาบนโลก เพื่อพิพากษาโลก พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์มาในครั้งแรกนั้น เพื่อทำการสำเร็จโทษ หรือพิพากษามนุษย์ ที่ตายอยู่ในบึงไฟนรก ไม่ได้มาทำการพิพากษา แต่เพื่อช่วยให้มนุษย์นั้น รอดจากการถูกพิพากษาว่าพินาศ อยู่นรก คือมาช่วยให้เขารอดจากนรก รอดจากความพินาศ รอดจากความตายฝ่ายวิญญาณนั่นเอง
ข้อ 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ คือเชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษในวันสุดท้าย เห็นหรือยังครับ ผู้ใดที่เชื่อในการกระทำของพระเยซู จากวิญญาณที่ตาย ก็กลับมามีชีวิต จากการถูกพิพากษาอยู่ ก็กลายเป็นรอดจากการถูกพิพากษา พอถึงวันสุดท้าย ก็ไม่ต้องถูกสำเร็จโทษ ไม่ต้องถูกพิพากษารับโทษ เพราะถูกช่วยให้รอดแล้ว
แต่ผู้ใดไม่เชื่อ คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนนั้น ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่บาป ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว อันนี้แหละสำคัญ ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ถูกพิพากษาให้อยู่ในนรกเรียบร้อยไปแล้ว ยกเว้นว่าคนนั้นเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และต้อนรับพระเยซู เชื่อในพระเยซู เขาก็จะได้รับการอภัยโทษ ที่ถูกพิพากษาไปแล้วนั้น ให้เป็นอิสระ และได้รับความรอด จากโทษนั้น ก็ไม่ได้เข้าสู่การพิพากษาลงโทษในวันสุดท้าย ในนี้จึงบอกว่าผู้ใดไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาป ปลดปล่อยให้ท่านเป็นอิสรภาพจากการพิพากษาลงโทษ จากความพินาศในนรก มามีชีวิตนิรันดร์ บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าได้นั่นเอง
ความรอด จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้ ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ? รอดหรือไม่รอด เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ การตัดสินใจ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่าท่านจะอยู่ในความพินาศในนรก หรือได้รับความรอด มีชีวิตนิรันดร์ ขึ้นอยู่กับบนโลกใบนี้เลย ต้องตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็คือย้ายออกจากความพินาศ มาสู่ความรอดนิรันดร์ หรือย้ายออกจากอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่าง สรุป ก็คือย้ายจากนรก มาอยู่สวรรค์ ท่านตัดสินใจเลือกข้างตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้วนั่นเอง มีพระเยซูเป็นผู้บอกเรา สอนเราอย่างชัดเจน ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำการงานเหล่านี้สำเร็จบนไม้กางเขน
ในสัปดาห์ที่แล้ว เราเรียนรู้แล้วว่าใครก็ตาม ที่เป็นผู้เชื่อ แล้วก็ตายลง ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา ครั้งที่ 2 ในวันพิพากษา พระองค์ก็จะมารับไปทันที ไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ทันทีเลย แค่พริบตาเดียว ไม่ว่าจะพึ่งตาย หรือตายไปนานแล้ว ก็ตาม พวกเขาเหล่านั้น ถูกรับไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้าเรา แล้ววันที่ตายขึ้นมา ถ้าพระเยซูยังไม่เสด็จมา เราก็ตามเขาไปอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม เขาที่ก่อนหน้าเรา ก็ไปรออยู่ที่เมืองบรมสุขเกษมเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา ครั้งที่ 2 มาพิพากษาโลก ถึงวันนั้น ถ้าเรามีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย จะเกิดอะไรขึ้น? มันน่าตื่นเต้นไหมครับ? ร่างกายเราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงในพริบตา แล้วเราก็จะไปพบกับพระเยซู และบรรดาพี่น้อง ที่อยู่ในเมืองบรมสุขเกษมเช่นนั้นแหละ นี่คือความตื่นเต้นในสายตาของผู้ที่เชื่อแล้ว
พอเชื่อแล้ว รับรู้ความจริงเหล่านี้ ก็จะไม่มีความกลัว ในวันพิพากษาโลก อย่างที่บางคนกลัวอยู่ ทุกวันนี้ก็มีคริสเตียนหลายคน ที่ยังมีความกลัวเกี่ยวกับการกลับมาพิพากษาของพระเยซูคริสต์ ครั้งที่ 2 ยังมีความกังวล วิตกว่าเมื่อวันพิพากษาโลกมาถึงจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น จะรอดพ้นจากการพิพากษาหรือไม่? มีคริสเตียนบางคนคิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็เลยกลัวๆ กล้าๆ บางคนกลัวจริงๆ เลย
ผมก็มีหลายท่านที่เป็นลูกแกะได้มาถามอยู่เรื่อยๆ รู้ว่าเขาเกิดความกังวล กลัวมากในเรื่องเหล่านี้ แต่ก็พยายามอธิบายให้เขาฟังด้วยถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ก็ช่วยได้เยอะเลย จนกระทั่งบัดนี้ ความกลัวนั้น หายไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขากลัวจริงๆ ไม่น่าเชื่อนะ จะมีคริสเตียนที่เชื่อแล้ว กลัวเรื่องนี้จริงๆ เพราะความจริง จะทำให้เราเป็นไท ความจริงไปไม่ถึง ก็เลยไม่เป็นไท
วันนี้ เราจึงมาคุยกันเรื่องนี้ว่าคริสเตียน เมื่อถึงวันพิพากษาโลก จำเป็นต้องกลัวไหม? วันนี้เราจะมาค้นหาความจริง จากพระคัมภีร์กันต่อจากครั้งที่แล้ว ที่พูดถึงวันพิพากษาโลกไว้อย่างไร? น่ากลัวอย่างที่เราคิดจริงหรือเปล่า? ความจริงที่ท่านจะได้พบประโยชน์วันนี้ ก็คือความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ จะได้ไม่กลัว แถมตื่นเต้นและยินดีด้วยซ้ำไป แถมยิ่งอยากเชียร์ ร้อนรนให้มันถึงเร็วๆ ไม่ใช่ถึงแบบเซ็งโลก ไม่ใช่อารมณ์แบบนั้น ไม่ใช่อารมณ์กลัว หรือดีเพรสชั่น ซึมเศร้า อยากจะไป อะไรแบบนั้น มันตื่นเต้นที่จะได้พบกับวันนั้น วันแห่งการพักผ่อนนิรันดร์
พระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา อีกครั้งหนึ่ง มาพิพากษาโลก เป็นครั้งที่ 2 ในวันพิพากษาโลก ก็คือรวมทั้งมนุษย์ด้วย ทั้งโลกเลย ที่เรียกว่าการตัดสินพิพากษา หน้าบัลลังก์สีขาวของพระคริสต์ การกลับมาครั้งที่ 2 คืออันเดียวกัน คือการตัดสินพิพากษา หน้าบัลลังก์สีขาวของพระคริสต์ บันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์
หนังสือวิวรณ์บรรยายไว้ว่าในวันพิพากษาโลกจะมีการแบ่งแยกมนุษย์ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 อยู่ที่วิวรณ์ บทที่ 20 กลุ่มที่ 2 อยู่ในวิวรณ์ บทที่ 21 เราจะมาเรียนรู้กัน และท่านคิดตามด้วยว่าท่านอยู่ในวิวรณ์บทที่ 20 หรือ 21 มาเริ่มอ่านกัน วิวรณ์ 20:10-12 ก่อน …
วิวรณ์ 20:11-12 “11 ข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาว พร้อมทั้งผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ แผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป ไม่มีที่สำหรับทั้งสองสิ่งนี้แล้ว 12 และข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตาย (ไม่เชื่อ ไม่มีชีวิต) ทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อย ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง หนังสือเล่มต่างๆ เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของตน ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น (ผู้ที่พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ไม่เชื่อวางใจในการกระทำของพระเยซู)”
อ่านตรงนี้ สรุปว่าใครคือผู้ที่ถูกพิพากษา คิดตามนะ ผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน ผู้ที่ตายแล้ว หมายถึงใคร? เราลองมาสำรวจข้อความนี้กัน …
“ข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งสีขาว พร้อมทั้งผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ แผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป ก็คือวันสิ้นโลกนั่นแหละ ไม่มีที่สำหรับทั้งสองสิ่งนี้แล้ว และข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตาย ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่ต่อหน้าพระที่นั่ง”
“ข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตาย” คือใคร? ใช่ท่านหรือเปล่า? ผู้เชื่อหรือไม่? ตะกี้นี้เราเรียนรู้จากพระคัมภีร์แล้ว พระเยซูตรัสเองบอกว่าใครเชื่อในพระองค์ เขาจะได้รับหรือมีชีวิตนิรันดร์ เราไม่ได้ตาย เรามีชีวิตอยู่ เห็นหรือยังครับ?
“ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ตาย” เราไม่ได้เป็นคนตาย เราเป็นคนมีชีวิต พอเรารับเชื่อในพระเยซู เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เห็นหรือยัง?
และหนังสือต่างๆ ก็ได้ถูกเปิดออก และแล้วหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ก็ได้ถูกเปิดออกด้วย เป็นหนังสือแห่งชีวิต หนังสือสำหรับจดชื่อคนที่มีชีวิตนิรันดร์ ที่อยู่ในหนังสือนี้ อีกหลายเล่มที่เปิดออกนั้น ไม่มีชีวิต คือตาย และผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษา คนที่ไม่เชื่อเหล่านั้น ก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของเขา พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่เชื่อ วางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ถูกพิพากษา เป็นไปตามการกระทำของตัวเอง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้
สรุปแล้ว ก็คือผู้ที่ถูกพิพากษา คือผู้ที่พึ่งพาการกระทำของของตนเอง ไม่เชื่อ ไม่วางใจในการกระทำของพระเยซูนั่นเอง เรามาอ่านวิวรณ์ 20:13 …
วิวรณ์ 20:13 “ทะเลคืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนมรณา ก็คืนคนตายที่อยู่ในนั้น และแต่ละคนถูกพิพากษาตามการกระทำของตน”
“ผู้ที่ตายแล้ว” หมายถึงใคร? คำว่า “คนตาย” ตรงนี้ไม่ได้หมายความรวมถึงผู้เชื่อเลย แต่หมายถึงผู้ที่พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ผู้ที่ไม่เชื่อนั่นเอง ไม่เชื่อวางใจในการกระทำของพระเยซู คนเหล่านั้นที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง จะต้องถูกพิพากษา ตามการกระทำของตน ซึ่งตัดสินตั้งแต่ตอนมีชีวิต อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เขาต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพราะเขาตัดสินใจจะพึ่งตนเอง แต่คนที่เชื่อในพระเยซู เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พึ่งตนเอง พึ่งในการกระทำของพระเยซู เพื่อจะได้พ้นจากบาป แต่คนที่ไม่เชื่อ คือเขากะจะทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะรักษาความดี ชนะความบาปให้ได้ หมายถึงอย่างนั้น
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ตรรกะ ก็คืออย่างนี้ คนที่พึ่งตนเอง ก็ได้รับผลจากการกระทำของตนเอง คนที่พึ่งพระเยซู ก็ได้รับผลจากการกระทำของพระเยซู ง่ายนิดเดียว และความจริง คือไม่มีมนุษย์คนใดในโลกนี้ไม่เคยทำบาป ก็เกิดมาเป็นบาปอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกไว้เช่นนั้น เพราะฉะนั้น คนที่พึ่งตนเอง ทุกคนก็ต้องรับผลจากการกระทำของตนเอง คือรับโทษของความบาปนั่นเอง มันหนีไม่พ้น ไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่ครั้งหนึ่ง เหรอ! ส่วนคนที่พึ่งพระเยซู ก็ได้รับผลจากการกระทำของพระเยซู คือพระเยซูลบล้างบาปทั้งหมดสิ้น ให้กับเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เพราะพระเยซูได้เอาบาปออกไปหมดสิ้นแล้ว แล้วพระเจ้าบอกจะไม่จดจำบาปนั้นอีกต่อไป ไม่ว่าบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคตตลอดไปเลย ตลอดกาล เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิ โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ด้วยความเชื่อของเขา นั่นเอง โรม 8:1-2 ได้บันทึกไว้แล้วว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เพราะกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ได้ทำให้เขา เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย หลุดจากการพินาศ หลุดจากการลงโทษพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว
เพราะฉะนั้น การตัดสินใจตั้งแต่มีชีวิตอยู่ ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ไม่ใช่รอให้จากโลกนี้ไปก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ มันสายไปเสียแล้ว มันเป็นวันสำเร็จโทษแล้ว มันไม่ใช่วันแห่งการอภัยโทษ เหมือนในยุคปัจจุบัน ก่อนพระเยซูคริสต์มาในขณะนี้นั้น เป็นยุคแห่งการอภัยโทษจากพระเจ้า รับการอภัยโทษไว้เรียบร้อย รีบรับไว้เสียเถิด ก่อนที่จะสายเกินไป เรามาดูวิวรณ์ 20:14-15 ว่าอะไรเกิดขึ้น? …
วิวรณ์ 20:14-15 “14 แล้วความตายและแดนมรณา ก็ถูกโยนลงในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละ คือความตายครั้งที่สอง 15 ถ้าผู้ใดไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ผู้นั้นต้องถูกทิ้งลงในบึงไฟ”
ชัดเจน ผู้ที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ก็คือผู้ที่ไม่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ แต่พึ่งในการกระทำของตนเองนั่นเอง และผู้ที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ก็ต้องเข้าสู่การพิพากษา ตามการกระทำของตนเอง ซึ่งถูกพิพากษา อยู่ในความพินาศนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งแน่นอน เป็นคนบาป ต้องทำบาปไม่มากก็น้อย อย่างแน่นอน ผลของการพิพากษา ก็คือถูกโยนลงไปในบึงไฟนรก ก็คือนรกนั่นเอง
พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเขาตัดสินใจจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง จะทำดีด้วยตนเอง เพื่อให้บริสุทธิ์สะอาดเข้าสู่สวรรค์ได้ ในวันสุดท้าย ปรากฏว่าถึงวันสุดท้ายจริงๆ แล้ว เขาสอบไม่ผ่าน และก็ไม่มีใครสอบผ่านเลยสักคน พระเจ้ารักมนุษย์ยิ่งนัก พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมาช่วย ให้มนุษย์สามารถสอบผ่านเกณฑ์ที่เข้าสู่สวรรค์ได้ ถ้าเขาไม่เชื่อ ไม่มีตัวช่วย คือพระเยซูคริสต์ เขาจะต้องอยู่ที่เดิม คือเป็นคนบาป อยู่ในความพินาศ หรือไม่ เขาก็ต้องทำดีด้วยตัวเอง จนครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว
พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่าถ้ามีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิต ก็ไม่ต้องถูกพิพากษา ถ้าไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือ ก็ต้องเข้าสู่ขบวนการพิพากษาลงโทษ หน้าบัลลังก์ ก็คือต้องถูกสำเร็จโทษ เพราะมีโทษติดอยู่แล้ว พูดอย่างชัดเจนเลย ไม่มีตรงกลาง ไม่มีเทาๆ ไม่ขาว ก็ดำ มีแค่ 2 อย่าง มีชื่ออยู่ในหนังสือสมุดแห่งชีวิต หรือไม่มีชื่ออยู่ในนั้น อยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในอาดัม ไม่ใช่อยู่ตรงกลางๆ เชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่าเชื่อครึ่งหนึ่ง หรือไม่เชื่อครึ่งหนึ่ง ไม่มี คนนั้นอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่มีลมหายใจอยู่ได้บังเกิดใหม่หรือเปล่า? ไม่มีเกิดใหม่นิดหนึ่ง แล้วก็กลับมาตายนิดหนึ่ง เกิดๆ ตายๆ ไม่มี มีแต่เกิดก็เกิดเลย ไม่เกิด ก็คือตาย ในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นนั้น ไม่มีตรงกลาง
เรามาดูกันต่อว่าแล้วกลุ่มที่ 2 ที่พึ่งในการกระทำของพระเยซู ไม่เข้าข่ายที่ต้องถูกพิพากษา แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน? อยู่อย่างไร? มีอะไรเกิดขึ้น ในวันพิพากษาโลก มีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่เชื่อว่าเขาจะได้รับอะไรบ้าง? วิวรณ์ 21:1-2 จำไว้นะ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว นี่เป็นของคุณ …
วิวรณ์ 21:1-2 “1 และ (ต่อมา) ข้าพเจ้าได้เห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 และข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์นครนี้ ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาว แต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี”
หลังจากในบทที่ 20 เมื่อตะกี้นี้ เราได้พูดถึงบรรดาผู้ที่พึ่งตนเอง ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษาเรียบร้อยแล้ว ในบทที่ 21ก็มาพูดถึงผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซู
ในข้อ 2 “และข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่” หมายถึงอะไร?
ในข้อที่ 1 บอกว่าต่อมา ข้าพเจ้าได้เห็นฟ้าใหม่ โลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีก ก็หมายถึงโลกใหม่ที่พระเจ้าจะให้แก่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้อยู่อาศัย โลกใหม่ ฟ้าใหม่ โลกเก่าที่อยู่ปัจจุบัน มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก มีแต่คำสาปแช่ง ดับสูญไป นี่คือของท่าน ท่าน คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต ที่เป็นของท่าน
และข้อ 2 มีอะไรอีก “และข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์” ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ เยรูซาเล็มใหม่ คือตัวท่านนั่นแหละ คือกลุ่มผู้เชื่อ กลุ่มธรรมิกชนทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ รวมทั้งเราด้วย เพราะเราเป็นผู้เชื่อ ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก วันนั้น ท่าน คือนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ เห็นไหมครับ? ตรงกันข้ามกับวิวรณ์ บทที่ 20 สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ทะเลส่งเอาความตาย พวกที่ตายอยู่ในนรก เอามาถูกพิพากษาตัดสิน แต่ตอนนี้ คนเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคนที่มีชีวิตอยู่ เรียกว่าธรรมิกชน เรียกว่าผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เรียกว่าเจ้าสาวของพระเจ้า เจ้าสาวของพระเยซู พระเจ้าให้ลอยลงมาจากสวรรค์ เพราะว่าอยู่สวรรค์อยู่แล้ว ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ตอนเริ่มต้นเชื่อ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนนี้ลอยลงมาจากสวรรค์ มาพบกับใคร?
นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาว เห็นหรือยัง? นครนี้ คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ตัดสินใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็เป็นนครอันบริสุทธิ์แล้ว ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาว เจ้าสาวของเจ้าบ่าว เจ้าบ่าว คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง เหมือนเจ้าสาวที่แต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี คือเหมือนเจ้าสาวที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากตำหนิใดๆ เลย แล้วใครเป็นผู้คนเหล่านั้น? ก็คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้นว่าพอเราเชื่อพระเยซูคริสต์ พระโลหิตพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดตั้งแต่วินาทีนั้น ที่เรารับเชื่อแล้ว และในข้อ 3-4 ได้บอกไว้อย่างนี้อีกว่า …
วิวรณ์ 21:3-4 “3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 และพระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าว อีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”
ในข้อ 4 บอกว่า “และพระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา” พวกเขา คือผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เพราะว่าระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ระบบเก่า คือระบบของกฎความบาปและความตาย ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ คำสาปแช่งที่อยู่เหนือโลกใบนี้ ในขณะนี้ มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว จบ ในโลกใหม่ ที่ผู้เชื่อจะไปอยู่นั้น เป็นโลกใหม่ที่ไม่มีระบบเก่านี้เหลืออยู่เลย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความบาป ไม่มีความสาปแช่งอีกต่อไป ไม่มีความชั่วร้ายอีกต่อไป ท่านลองคิดดูสิ ไม่มีน้ำตา ความเศร้าโศก ไม่มีความตาย ไม่มีการคร่ำครวญ ไม่มีการร่ำไห้ ไม่มีการปวดร้าวระบม ไม่มีการอิจฉาริษยา ความชั่วร้ายต่างๆ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ถึงนิรันดร์
นี่คือถ้อยคำที่พระเจ้าปลอบโยนจิตใจ และเสริมกำลังให้กับบรรดาลูกๆ ของพระองค์ทั้งหลาย ให้มีความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า พวกเราทั้งหลายที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ จะได้รับสิ่งนี้อย่างแน่นอน เขาจึงมีเพลงนี้ไง …
“ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา
ร้องสรรเสรญว่าฮาเลลูยา ผู้ชอบธรรมเดินขบวนเข้ามา”
วันนี้แหละ เดินเข้ามา ไม่สรรเสริญหรือ? ได้รับอะไรเยอะขนาดนั้น ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ทางโลกวิญญาณได้รับความรอด พอพระเยซูคริสต์กลับมาครั้งที่ 2 คราวนี้ได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ รวมทั้งโลกใหม่ ร่างกายใหม่อีกต่างหาก อย่างนี้ไม่ร้องหรือ? ใช่ไหม?
เราจะตระเวนไปดูเรื่องนี้กันต่อ ในหนังสือมัทธิว บทที่ 25 มีตัวอย่าง แยกให้เห็นถึงความแตกต่างของคน 2 กลุ่มเหมือนกัน ในลักษณะนี้ โดยใช้ตัวอย่างในการแยกแกะกับแพะ เช่นเดียวกัน มีแค่ 2 พวกเด็ดขาด ไม่แกะก็แพะนะ ไม่มีลูกผสม เพราะฉะนั้น ไม่มีชีวิตที่ 3 ไม่มีแกะผสมแพะ และไม่มีแพะผสมแกะ แพะก็คือแพะ แกะก็คือแกะ จะเป็นแกะหัวแพะ ก็ไม่มี เป็นแพะหัวแกะก็ไม่มี ถ้าเป็นแกะก็เป็นแกะเลย เป็นแพะก็เป็นแพะเลย มี 2 อันให้เลือกเท่านั้น มัทธิว 25:31-34 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ …
มัทธิว 25:31-34 “31 เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด พระองค์จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ 32 มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกประชากรออกจากกัน เหมือนคนเลี้ยง แยกแกะออกจากแพะ 33 แกะนั้น จะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะ อยู่เบื้องซ้าย 34 “แล้วองค์ราชันจะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า ‘ท่านผู้ได้รับพรจากพระบิดาของเรา มารับมรดกของท่านเถิด คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่ทรงสร้างโลก”
ข้อ 31 “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จกลับมาด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์ พร้อมด้วยทูตสวรรค์ทั้งหมด” ก็คือกลับมาพิพากษาโลก “พระองค์จะมาประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ ด้วยพระเกียรติสิริแห่งฟ้าสวรรค์ มวลประชาชาติจะมาชุมนุมกัน” คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งแพะและแกะ “ต่อหน้าพระองค์ และพระอค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหมดออกจากกัน” เป็นสองพวก “แยกเป็นพวกแกะและพวกแพะ แยกเป็น 2 พวก” ไม่มีพวกที่ 3 ไม่มีพวกไฮท์บิดส์ แยกเป็น 2 พวกเท่านั้น
“แกะนั้นจะทรงให้อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ส่วนแพะ อยู่เบื้องซ้าย” ท่านจำอะไรได้บ้าง? ตอนพระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ใครที่เชื่อในพระเยซู คือวางใจในพระเยซู พระเยซูบอกว่าเขาทั้งหลาย เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้า ที่พระบิดามอบให้กับเรา
พระคัมภีร์บอกพระบิดามอบแกะเหล่านั้นให้กับข้าพระองค์ คือให้กับพระเยซู เพราะฉะนั้น ของพระเยซูน่าจะเป็นแกะใช่ไหม? และไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว พระคัมภีร์ใหม่ ได้บอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ บังเกิดใหม่อยู่ที่ไหน? ในหนังสือเอเฟซัส ครั้งที่แล้ว เราก็ได้ยกตัวอย่างอันนี้ขึ้นมา เราได้รับความรอด ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เอเฟซัส บทที่ 2 เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า มันตรงกันนะ แกะนั้นจะทรงให้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ อยู่แล้วยัง? อยู่แล้ว ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย
ข้อ 34 บอก “แล้วองค์ราชันจะตรัสกับบรรดาผู้อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า …”
ผู้พิพากษาก็จะหันมาพูดกับแกะ พูดกับผู้เชื่อ พูดกับฉัน ผู้ที่เชื่อแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า “ท่านผู้ได้รับพรจากพระบิดาของเรา” ใครได้รับพร เราผู้เชื่อ “มารับมรดกของท่านเถิด คืออาณาจักรที่เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่ทรงสร้างโลก”
ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เป๊ะเลย เป็นมรดก ในพระคัมภีร์ใหม่ หนังสือจดหมายฝาก หลายข้อที่ได้บันทึกไว้ตรงนี้ว่าเราผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นทายาทร่วมมรดกกับพระเยซูคริสต์ ใน 1 เปโตร 1:3-4 ที่ตะกี้นี้บอกไว้ อยากจะให้อ่าน เมื่อเราเชื่อในพระเยซู ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ กำลังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เราได้รับอะไรไปเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันตายเลยนะ ยังไม่ทันจากโลกนี้ไป วิญญาณยังไม่ออกจากร่างเลย เราได้รับอะไรไปแล้ว …
1 เปโตร 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา! ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสียหรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน”
นี่มันเกิดขึ้นแล้ว ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นผู้เชื่อ ก็ได้รับตรงนี้แล้ว ท่านพอเห็นภาพไหมครับ? เพราะฉะนั้น ในวันพิพากษา ก็ได้รับเหมือนเดิม มัทธิว 25:35-40 …
มัทธิว 25:35-40 “35 เพราะเมื่อเราหิว ท่านก็ให้เรากิน เรากระหาย ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นคนแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับเราไว้ 36 เราต้องการเครื่องนุ่งห่ม ท่านก็ให้เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็ดูแล เราอยู่ในคุก ท่านก็มาเยี่ยม’ 37 “แล้วผู้ชอบธรรมจะทูลพระองค์ว่าพระองค์เจ้าข้า เมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว และได้เลี้ยงดูพระองค์ หรือเห็นพระองค์ทรงกระหาย และได้ให้พระองค์ทรงดื่ม 38 เมื่อใดกัน ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ เป็นคนแปลกหน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือถวายฉลองพระองค์ เมื่อทรงประสงค์? 39 เมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวร หรืออยู่ในคุก และได้ไปเยี่ยมพระองค์?’ 40 “องค์ราชันจะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่าสิ่งใดที่ท่านทำให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่ง ในพวกพี่น้องของเรา ท่านก็ได้ทำให้เราด้วย”
“สิ่งใดที่ท่านทำให้คนที่เล็กน้อย” ก็หมายถึงว่าสิ่งที่ทำเล็กนิดเดียว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเยอะแยะมากมายที่ท่านทำ ตอนนี้กำลังพูด ยกตัวอย่างถึงการทำดี การทำดีแค่เล็กน้อยนิดเดียว แต่ทำดีออกจากธรรมชาติ ที่เป็นผู้เชื่อ ที่ได้บังเกิดใหม่ข้างใน มันสำคัญกว่าการกระทำมากมาย เยอะแยะ ดูเหมือนดีหมดเลย ทำด้วยการพึ่งพาตนเอง มันต่างกัน พระเยซูกำลังบอกผู้ที่เชื่อ บอกว่าถ้าท่านทำตามธรรมชาติที่ได้บังเกิดใหม่ อยู่ในครอบครัว ในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แม้เพียงนิดเดียว แม้น้ำแก้วเดียวเท่านั้น ท่านก็ไม่ขาดบำเหน็จ เพราะท่านได้เป็นพวกเราแล้ว ธรรมชาติของผู้เชื่อเป็นอย่างนี้ การเกิดใหม่ แล้วเราเป็นพวกเดียวกัน ใครที่ไม่ต่อต้านเรา เขาก็เป็นพวกเรา จำที่พระเยซูพูดได้ใช่ไหม? ท่านเป็นสาวกของเรา ท่านก็จะรักสาวกของเราด้วย เพราะว่าท่านอยู่ในเรา เราอยู่ในเขา และเราร่วมกัน ก็อยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน ผู้เชื่อทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพราะฉะนั้น เราลองคิดดูง่ายๆ ว่าความดีงามเหล่านี้ ก็คือผลของการที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ออกมาจากข้างใน เป็นธรรมชาติของผู้เชื่อ ยกตัวอย่างง่ายๆ ธรรมชาติของเราที่เชื่อแล้ว ไม่ว่าเราจะไปสุดปลายแผ่นดินโลก ไปที่ไหนก็ตาม พอรู้ว่าคนนี้เป็นคริสเตียน ไม่รู้จักเลย เป็นชนชาติอะไรก็ไม่รู้ พูดกันก็ไม่เข้าใจ พอรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว มันเกิดความรักขึ้นมาทันที ไม่ได้เป็นศัตรู ข้างในเป็นพวกเดียวกัน พวกพระเยซู พระเยซูสถิตอยู่ในเรา แล้วเราสถิตอยู่ในเขา เป็นศูนย์กลาง การรวมความเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าพวกท่านได้บังเกิดใหม่ อยู่ในครอบครัว ในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ พอถึงวันพิพากษา ท่านก็อยู่ที่เดิม ท่านก็ได้ตรงนี้แหละ คราวนี้ พระเยซูก็หันไปหาคนที่อยู่ทางซ้าย ข้อที่ 41 …
มัทธิว 25:41 “แล้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายของพระองค์ว่า ‘จงไปเสียจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้ถูกสาปแช่ง จงไปยังไฟนิรันดร์ที่เตรียมไว้สำหรับมารร้ายกับสมุนของมัน”
“จงไปเสียจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้ถูกสาปแช่ง” ดูแล้วเหมือนพระเยซูเกรี้ยวกราดมาก ถ้าท่านเติมลงไปอีกนิดหนึ่ง ก็จะรู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้เกรี้ยวกราดเลย “จงไปเสียจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว” ถ้าเอาคำว่า “จง” ออกไป ท่านไปเสียจากเราเถิด เพราะท่านถูกอยู่ในสถานที่ที่ถูกสาปแช่ง อยู่ในความตาย อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เพราะว่าไม่ได้เชื่อในเรา ไม่ได้วางใจในเรา ไม่ได้เกิดใหม่ ตามที่เราบอกแล้วว่าท่านต้องเกิดใหม่ จึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ท่านไม่ยอมเกิดใหม่ ท่านไม่ยอมเชื่อเรา เราประกาศให้ท่านฟัง มัทธิว 25:42-45 …
มัทธิว 25:42-45 “42 เพราะเมื่อเราหิว เจ้าก็ไม่ได้ให้เรากิน เรากระหาย เจ้าก็ไม่ได้ให้เราดื่ม 43 เราเป็นคนแปลกหน้ามา เจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับ เราต้องการเครื่องนุ่งห่ม เจ้าก็ไม่ได้ให้เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก เจ้าก็ไม่ได้ดูแล’ 44 “พวกเขาก็ทูลเช่นกันว่า ‘พระองค์เจ้าข้าเมื่อใดกันที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือกระหาย หรือเป็นคนแปลกหน้า หรือต้องการฉลองพระองค์ หรือประชวร หรืออยู่ในคุก แล้วข้าพระองค์ไม่ได้ช่วยเหลือ?’ 45 “พระองค์จะตรัสตอบว่าเราบอกความจริงแก่เจ้าว่าสิ่งใดที่เจ้าไม่ได้ทำ ให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในคนเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ได้ทำให้เราด้วย”
ตรงกันข้ามกับเมื่อสักครู่ ผู้ที่ไม่เชื่อ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ได้เชื่อ และไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ก็ไม่ได้อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ในพระคริสต์ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ในวิญญาณ เมื่อไม่ได้อยู่ในครอบครัว โดยธรรมชาติ ก็เป็นศัตรูกับพระคริสต์ ในวิญญาณ ธรรมชาติในวิญญาณ ก็จะรู้สึกต่อต้าน ไม่ชอบ อะไรก็ตาม ที่เกี่ยวกับพระคริสต์ โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะไปไหน? ที่ไหน? ในโลกใบนี้ ถ้าได้ยินพูดถึงพระคริสต์ รู้สึกต่อต้าน รู้สึกไม่ชอบ โดยไม่ได้ทำอะไรเลยนะ มันอยู่คนละขั้วกัน ในวิญญาณ มัทธิว 25:46 …
มัทธิว 25:46 “แล้วคนเหล่านี้ ก็ต้องออกไปรับโทษนิรันดร์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์”
“แล้วคนเหล่านี้ ก็ต้องออกไปรับโทษนิรันดร์ ในบึงไฟนรก” คนเหล่านี้ คือคนที่ไม่ชอบธรรม คนที่ไม่เชื่อ คนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ ก็คือผู้ที่เชื่อ ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว โดยการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาครั้งที่ 2 พิพากษาโลกนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น ในวันนั้น ก็คือผู้คนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ก่อนหน้านั้น จะถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มที่พึ่งตนเอง และกลุ่มที่พึ่งพระเยซู ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่เขียนไว้ในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 20 กับ 21 กับหนังสือมัทธิว บทที่ 25 เรื่องแกะกับแพะ และเราก็เห็นแล้วว่าอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 อะไรเกิดขึ้นกับแกะ และอะไรเกิดขึ้นกับแพะ และก็ไม่มีตรงกลางๆ ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถมั่นใจได้ว่าเราอยู่ในกลุ่มที่พึ่งพระเยซูแน่ๆ เป็นแกะ ไม่ใช่แพะ มั่นใจเดี๋ยวนี้เลย ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ นั่งฟังอยู่ตอนนี้ ท่านมั่นใจว่าท่านเป็นแกะหรือเป็นแพะ ผมว่าถ้าท่านฟังมาตั้งแต่ต้น ท่านแน่ใจว่าท่านเป็นแกะแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นแกะ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรือกังวลอีกแล้ว เพราะท่านเริ่มต้นอยู่ในความรอด นิรันดร์แล้ว และกำลังเดินทางไปสู่ความรอดนิรันดร์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ วันหนึ่งข้างหน้านั่นเอง เพราะทั้งหมดนี้ ท่านรู้แล้วว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาตัดสินพิพากษาโลกนี้ และมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ คือวันสุดท้าย บนโลกใบนี้นั่นเอง มันเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านเป็นแกะหรือเป็นแพะ ท่านเป็นเจ้าของวิวรณ์ บทที่ 20 หรือบทที่ 21 ผมภาวนาวิงวอนด้วยน้ำตา อยากให้ท่านเป็นแกะ อยากให้เป็นเจ้าของวิวรณ์ บทที่ 21 จึงวิงวอนอธิษฐานขอต่อพระเจ้าให้กับท่าน ให้ท่านเปลี่ยนจากแพะมาเป็นแกะ เปลี่ยนจากวิวรณ์บทที่ 20 มาเป็นบทที่ 21 ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ย้ายถิ่นที่อยู่ทางวิญญาณ! เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต (บังเกิดใหม่) อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป (ในอาดัม) คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากความพินาศ (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ (เป็นของขวัญจากพระเจ้า) 6 และพระองค์ได้ทรงให้ วิญญาณของเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ ได้นั่งในสวรรค์แล้ว ไม่มีครึ่งครึ่งกลางกลาง”
ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ
ตายอยู่ในอาดัม พินาศกับอาดัม
หรือบังเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ นั่งในสวรรค์กับพระคริสต์
โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร(พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร(พระคริสต์)นี้ เราได้รับการไถ่บาป คือ การอภัยโทษบาปของเรา”
การผ่าตัดของพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ออกจากในอาดัมสู่ในพระคริสต์ จากตายมาเกิดใหม่ จากทาสมาเป็นลูก ออกจากอาณาจักรมืด มาสู่ อาณาจักรสว่างของพระบุตร พระเยซูคริสต์ที่รักของพระองค์ ก็คือ อาณาจักรสวรรค์
ไม่มืด ก็สว่าง
ไม่บาป ก็บริสุทธิ์
ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ
มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ คือในอาดัมหรือในพระคริสต์
พระเจ้าอวยพรครับ