วารสาร Holy News ฉบับที่ 1322

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  (แบบ Full Option)”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้คุยกันเรื่อง “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?” ยังจำคำตอบได้ไหมครับ?  จากพระคัมภีร์เราได้เรียนรู้แล้วว่าท่ามกลางสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา พระคัมภีร์ก็เตือนเรา บอกความจริงเรา ตลอดเวลาว่าอยู่บนโลกใบนี้ ทุกข์ยากลำบากทุกคน ไม่ใช่คริสเตียนคนเดียว  จะคริสเตียน หรือไม่คริสเตียน ทุกข์ยากลำบากหมด แม้กระทั่งธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมา สัตว์เอย สรรพสิ่งเอย ก็ทุกข์ยากไปกับเราด้วย ในความทุกข์ยากลำบากนี้ เราควรจะมีความคิดอย่างไร? มีความหวังไปที่ใด? ให้เราสามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์ลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยความทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น แบบไม่ลำบากมากนัก ความหวังของเรา ซึ่งเป็นคริสเตียนอยู่ที่ไหนเอ่ย?

ครั้งที่แล้วเราได้ยกตัวอย่าง เรื่องราวของคริสเตียนยุคแรกๆ ที่เผชิญกับความทุกข์ลำบาก ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก เราก็เห็นความเชื่อของเขาเหล่านั้นว่าความหวังของเขาอยู่ที่ไหน? ซึ่งความหวังของเขา ทำให้เขาเหล่านั้นผ่านความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัสเหล่านั้นไปได้ด้วยวิธีใด เพราะเขาเหล่านั้นมองข้ามทุกสิ่งทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่ไปจดจ่ออยู่ที่อะไรบางอย่าง ในความหวังของเขา คือเป้าหมายสุดท้ายของเขา ในการเป็นขึ้นจากความตาย หรือการมีชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์หลังความตายทางฝ่ายร่างกายนั่นเอง  ความหวังเขาอยู่ที่นี่ ความหวังเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ว่าจะอยู่สุขสบาย หรือมองไปที่ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น มันไม่มีความหวังอยู่ในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  แต่ความหวังเขามองไปที่ชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งผมย้ำตรงนี้ครั้งที่แล้ว ความครบถ้วนบริบูรณ์นี้ว่าชีวิตนิรันดร์แบบ Full Option จำได้ใช่ไหมครับ?  ย้ำกันตรงนี้อีกครั้งว่าคริสเตียน เราต้องมีความหวังของเราไว้ที่ชีวิตนิรันดร์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ มีคริสเตียนบางคนยังมีความเข้าใจว่าความหวังของเรา คือการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน แบบครบถ้วนบริบูรณ์ในอนาคต หลังความตาย

คิดให้ดีๆ นะ ความหวังในชีวิตนิรันดร์แบบครบถ้วนบริบูรณ์ หลังจากตายแล้ว  มันก็เป็นความหวังที่หลายคนมีความหวังอยู่  แต่ถ้าเรามาคิดตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ  หรือตามหลักของภาษาจริงๆ ว่าความรอดนิรันดร์ที่เราจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียกว่า Full Option  ครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้าเราหวัง ก็แสดงว่าตอนนี้เรายังไม่ได้ ถูกไหมครับ? มันเป็นอนาคต ตายแล้วถึงจะได้ มันก็อาจจะเกิดความกังวล สงสัย ระหว่างที่เดินทางไปสู่ความตาย หลังความตาย จะไปรับชีวิตนิรันดร์ แบบ Full Option เรามีอะไรผิดพลาดไหม?  เราทำได้ครบถ้วนไหม?  เราดีพอไหม?  มันก็เป็นความหวังที่มีคำถามในตัวเราเองว่า …

“เอ๊ะ ถึงวันนั้นจริงๆ แล้ว หลังความตายแล้ว เราจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า Full Option อย่างที่หวังไว้จริงหรือไม่?”

เพราะเราก็คอยสังเกตดูว่าเราดำเนินชีวิตอย่างไร? จนมาถึงความตาย  ซึ่งว่ากันตามจริง เราก็เรียนกันมาเยอะแยะแล้วว่าความรอดนิรันดร์ เราได้รับเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เป็นความรอดนิรันดร์ที่มันเกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ทันทีเลยบนโลกใบนี้  คือเมื่อเชื่อในพระเยซูแล้ว วิญญาณได้รับการบังเกิดใหม่ทันที เมื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเป็นคริสเตียน เริ่มวินาทีแรก บนโลกใบนี้เลย  ในขณะนั้น เริ่มต้นชีวิตนิรันดร์ของเราเรียบร้อยไปแล้วในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกเมื่อเราเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซู เราได้ถูกตรึงตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน นี่ตัวเก่าของเราที่เป็นตัวบาป  วิญญาณได้ตายไปพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ทันที  ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ชีวิตนิรันดร์จึงเกิดขึ้น ณ บัดนี้ ตอนเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เลยทีเดียว  และมันจะไปครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากที่เราทิ้งร่างเดิมบนโลกใบนี้แล้ว  เข้าสู่มิติวิญญาณนิรันดร์นั่นเอง เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าความหวังของเรา ควรจะอยู่ที่ไหน?  ถ้าเราหวังในสิ่งที่เขาเรียกว่ามีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องหวัง พูดง่ายๆ ถ้าเรายังไม่มี เราก็หวัง แต่ในพระคัมภีร์บอกให้เรามีความหวัง เพราะสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว คือวิญญาณที่ได้เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์กับจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องหวังแล้วตรงนี้ ได้แล้ว สิ่งที่เราหวัง คืออะไร? หวังไว้ว่าวันหนึ่ง วิญญาณใหม่และความคิดจิตใจใหม่นี้ จะไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซู หลังความตายบนโลกใบนี้นั่นเอง นี่คือความหวังของเรา  ถูกต้องไหมครับ? ข้อพระคัมภีร์ที่เราทิ้งท้ายไว้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือโรม 8:24-25 ที่พูดถึงเรื่องความหวังนี้ …

โรม 8:24-25 “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว” มีอยู่แล้ว ไม่ต้องหวัง นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วเดี๋ยวนี้  ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ ก็คือวิญญาณ … วิญญาณเราได้รับชีวิตนิรันดร์ เปลี่ยนไปแล้ว บังเกิดใหม่ ก็คือได้รับชีวิตของพระเยซูคริสต์ มาเป็นชีวิตของเรา บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้ใจใหม่ เรียบร้อยแล้ว เป็นใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่ไม่ต้องหวังแล้ว ใช้ความเชื่อว่าได้แล้วเดี๋ยวนี้  นั่งอยู่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องหวัง

แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน … อะไรยังไม่มีล่ะ  ชีวิตนิรันดร์ประกอบด้วย  วิญญาณที่เหมือนพระเยซู ความคิดที่เหมือนพระเยซูได้แล้ว และร่างกายที่บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูได้หรือยัง?  ยังไม่ได้ ยังอยู่ในร่างกายเก่าอยู่ เพราะฉะนั้น ความหวังของเรา ก็คืออีกนิดเดียว ได้ร่างกายใหม่ มาสวมวิญญาณ ตัวตนเรา ที่แท้จริง บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว  เราจึงรอคอยด้วยความอดทน  อดทนด้วยความเชื่อ อดทนด้วยความหวัง มีสัญลักษณ์ ก็คือมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ยืนยันอยู่ในใจของเรา สิ่งที่มีอยู่แล้ว ก็คือความรอด ชีวิตนิรันดร์ การได้อยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวังที่พวกเรารอคอย ด้วยความอดทน ก็คือการได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความหวังเดียวกันกับคริสเตียนในยุค ที่เขาทนทุกข์ทรมาน ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเจ้า  ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน? เขาก็ยินดีได้ เพราะความหวังตรงนี้แหละ

ความหวังที่จะเป็นขึ้นจากความตาย หมายถึงการได้รับร่างกายใหม่  หลังจากที่กายนี้ กายเก่า ตายจากโลก เสื่อมสลายไป  ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่ากายสวรรค์ หรือกายวิญญาณ สิ่งที่เรากำลังหวังและรอคอยในชีวิตนิรันดร์ ตอนหลังความตาย  เพิ่มเติมให้เป็น Full Option ก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราอยู่ในร่างกายเก่า 1 โครินธ์ 15:40 ที่เราได้ยกมาเมื่อครั้งที่แล้ว บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 15:40  “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”

 

การได้รับกายใหม่  ซึ่งเรียกว่ากายสวรรค์ หรือกายวิญญาณ หลังจากที่กายแบบโลก คือกายเก่านี้ ของเรามันเสื่อมสลาย ก็คือตาย เมื่อตายไปปุ๊บ การได้รับชีวิตนิรันดร์ ครบถ้วนบริบูรณ์ คือ Full Option จะเข้ามาแทนที่ ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่เรายังไม่มี และเป็นความหวังที่พวกเรารอคอยด้วยความอดทน

วันนี้เราจะมาสรุปกันที่ความหวังของเราตรงนี้ว่ากายสวรรค์ กายโลกวิญญาณ กายที่เป็นขึ้นจากตาย ที่เรารอคอย มันเป็นอย่างไร? หน้าตามันเป็นอย่างไร?  ทำอย่างไร? เราจึงได้รับ และวันนั้น จะมาถึงเมื่อไร?  ในพระคัมภีร์มีบอกไว้ค่อยข้างชัดเจน ซึ่งเรื่องวันนี้ ชื่อเรื่องที่ผมตั้งขึ้นว่า “ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ (แบบ Full Option)” เริ่มต้นที่คำถามแรก …

“คนตายจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร?  เมื่อร่างกายของเราตายไปแล้ว เน่าเปื่อย ย่อยสลายไปแล้ว เราจะเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร?  จะอยู่ในสภาพไหน?”

ทุกคนก็คิดอย่างนี้แหละ ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องคิดอย่างนี้  อยากรู้ใช่ไหมว่าความหวังของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? และพระคัมภีร์พูดว่าอย่างไร?  ชัดเจนมาก อาจารย์เปาโลยกตัวอย่างนี้อย่างชัดเจนมากๆ ลองติดตาม เราจะได้รู้ว่าความหวังของเราอยู่ตรงไหน? 1 โครินธ์ 15:35-44

1 โครินธ์ 15:35-44 “35 บางคนอาจจะถามว่า “คนตายเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นร่างกายของเขาจะเป็นแบบไหน?” 36 ช่างเขลาเสียจริง! สิ่งที่ท่านหว่านลงจะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน 37 เมื่อท่านหว่าน ท่านไม่ได้ปลูกต้นที่โตเต็มที่แล้ว แต่ท่านปลูกแค่เมล็ด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดข้าวสาลี หรือเมล็ดพืชใดๆ 38 แต่พระเจ้าประทานลำต้นตามที่ได้ทรงกำหนดไว้  และพระองค์ประทานลำต้นของมันเอง ให้แก่เมล็ดแต่ละชนิด 39 เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง สัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ปีก สัตว์น้ำก็อีกอย่างหนึ่ง 40 กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง 41 สง่าราศีของดวงอาทิตย์เป็นแบบหนึ่ง ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง อันที่จริงสง่าราศีของดาวแต่ละดวงก็ต่างกัน 42 การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้น เสื่อมสลายได้ ที่เป็นขึ้นมาใหม่ จะไม่เสื่อมสลาย 43 ที่หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้นทรงพลัง 44 ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ ที่เป็นขึ้นเป็นกายวิญญาณ ถ้ามีกายธรรมชาติ ย่อมมีกายวิญญาณด้วย”

 

บางคนถาม ทุกวันนี้เราอาจจะถามเหมือนกัน … “คนตายจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นมาร่างกายของเขาจะเป็นแบบไหนเล่า?”

เปาโลก็อธิบายให้ฟังว่า … “สิ่งที่หว่านลง จะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน”

หว่านลงคืออะไร?  อาจารย์เปาโลก็ยกตัวอย่าง หว่านเมล็ด เราปลูกต้นไม้ เราไม่ได้เอาลำต้นไปปลูก เราใช้เมล็ดเปล่าๆ  ไม่มีอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  เป็นเม็ดเล็กๆ ใบก็ไม่มี สีสันก็ไม่มี ทิ้งไป พอเมล็ดนั้นลงไปในดิน  มันก็เริ่มเน่า เริ่มตาย  พอตายจนหมดปุ๊บ ก็เกิดเป็นลำต้นขึ้นมา พูดถึงต้นไม้ ลำต้น คือร่างกายของต้นไม้

“ตามที่ได้ทรงกำหนดไว้” พระเจ้ากำหนดไว้ ต้นไม้ต้นนี้ หว่านลงไป จะออกมาเป็นต้นอะไร? มันก็จะออกมาเป็นต้นนั้น แตกต่างจากเมล็ดที่หว่านลงไป ยกตัวอย่าง ต้นข้าวสาลี หว่านเมล็ดข้าวสาลีลงไป ไม่เห็นเกี่ยวกับลำต้นเลย ไม่มีเงาของลำต้นให้เห็นได้เลยว่าเป็นอย่างไร? แต่พระเจ้าเตรียมลำต้นของข้าวสาลีไว้  เมื่อเมล็ดลงไป ตามกฎปุ๊บ เน่าเปื่อย แล้วมันก็เกิดเป็นต้นข้าวสาลี ต่างกันลิบลับ

แล้วยังยกตัวอย่าง ข้อ 39 ว่า … “เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน” เนื้อ หมายถึงอะไร? ก็หมายถึงร่างกาย พูดถึงสัตว์แล้ว พูดถึงสิ่งที่เป็นอีกสปีซี่ส์หนึ่ง ตะกี้ต้นไม้ คราวนี้มาพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ … “เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง” เนื้อ หมายถึงกาย … “สัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง” ร่างกายของสัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง  สัตว์ปีก สัตว์น้ำก็อีกอย่างหนึ่ง เห็นไหมครับ? สัตว์น้ำก็มีร่างกายอีกแบบหนึ่ง  สัตว์ปีกก็มีร่างกายอีกแบบหนึ่ง  นี่อาจารย์เปาโลเริ่มยกตัวอย่างให้เห็น พระเจ้าสร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดว่าไม่เหมือนกัน เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน  ต้นไม้ก็มีชีวิต สัตว์ก็มีชีวิต มนุษย์ก็มีชีวิต สัตว์มีชีวิต มีทั้งร่างกายและมีความคิดด้วย  ต้นไม้มีร่างกาย แต่ไม่มีความคิด แต่มนุษย์แตกต่างตรงที่มีร่างกาย  มีความคิด และเป็นวิญญาณ  ซึ่งสัตว์ไม่มี เพราะฉะนั้น มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นพระฉายของพระเจ้า  คือมีวิญญาณพระเจ้าอยู่ภายใน เป็นตัวเริ่มต้นชีวิต นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากำหนด และสร้างขึ้นมา

ในข้อ 40 บอกว่า … “เพราะฉะนั้น กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และฝ่ายโลกเช่นกัน”

พูดถึงกายของมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์ก็จะมีแบบสวรรค์ด้วย  และมีแบบฝ่ายโลกด้วย เปรียบเทียบเมื่อตะกี้นี้ว่าเมล็ดพืชกับต้นไม้ที่มันเกิดมาทีหลัง 2 อย่าง ตอนนี้มาเปรียบเทียบให้เห็นว่าร่างกายของมนุษย์ ก็มีร่างกายแบบสวรรค์กับร่างกายแบบโลกที่เรามองเห็นทุกวันนี้ แต่สง่าราศีกายแบบสวรรค์ ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลก ก็อีกอย่างหนึ่ง

“สง่าราศี” คือครั้งที่แล้ว ที่ผมบอกว่าเป็นสปีซี่ส์ เป็นลักษณะชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา  เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่ว่ามีคุณภาพของชีวิตแตกต่างกัน  ร่างกายแบบที่ถูกสร้างขึ้นมา จากดิน เรียกว่าฝ่ายโลก  ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ร่างกายที่ถูกสร้างมาแบบสวรรค์ แบบวิญญาณก็อีกแบบหนึ่ง มีคุณภาพ  ลักษณะแตกต่างกัน

ข้อ 41 บอกว่า … “สง่าราศีของดวงอาทิตย์ ก็อีกแบบหนึ่ง  ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง  อันที่จริงสง่าราศีของดวงดาวแต่ละดวง ก็ต่างกัน”

เห็นไหม?  ก็คือลักษณะที่ถูกสร้างขึ้นมา จะไม่เหมือนกัน เนื้อจะไม่เหมือนกัน  ความสง่างามก็ไม่เหมือนกัน

ท่านลองนึกภาพต้นกุหลาบกับต้นไมยราบ มันก็ต่างกันนะ  กุหลาบก็เป็นต้นไม้ ไมยราบก็เป็นต้นไม้ แต่เราว่าสง่าราศีของใครเด่นกว่า กุหลาบนะเด่นกว่า ถูกไหม?

สัตว์ล่ะ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ผมยกตัวอย่างมด ตัวหนึ่งก็มีชีวิตตัวหนึ่ง  มาเทียบกับลิง ลิงก็มีชีวิต ใครดูมีราศีกว่ากัน ก็ต้องเป็นลิงสิ ในทำนองเดียวกัน ร่างกายมนุษย์ก็เหมือนกัน ร่างกายของโลกใบนี้กับร่างกายสวรรค์ก็แตกต่างกันลิบลับเหมือนกัน  ดวงดาวก็เช่นเดียวกัน อย่างที่บอกดวงอาทิตย์กับดวงดาวเล็กๆ ดวงหนึ่ง  ดาวอังคารที่ไม่มีแสงในตัวเอง ต่างกันไหม? มันก็ต่างกัน

ข้อที่ 42 จึงบอกว่า … “การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน” นี่เปรียบเทียบให้เห็น “การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้น เสื่อมสลายได้” ก็คือร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้  ที่ถูกสร้างมาจากดิน เมื่อวันหนึ่งที่มันต้องตาย  คือมันเน่าไปเหมือนกับเมล็ด  พืช มันเสื่อมสลายไป  ที่เป็นขึ้นมาใหม่จะไม่เสื่อมสลาย” ต้นที่เป็นขึ้นมาใหม่ คือร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  ร่างกายสวรรค์จะเป็นอมตะ ไม่มีการตายอีกต่อไปเลย ไม่มีการเสื่อมสลายอีกต่อไปเลย ไม่มีเน่าเปื่อย  ไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป  ไม่มีการแก่อีกต่อไป

ข้อ 43 … “หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี” เปรียบเทียบ 2 อัน กายที่ตายลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเลย  มันอ่อนแอ มันไม่มีศักดิ์ศรีเลย แต่ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย จะเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรี  ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้นทรงพลัง  เต็มไปด้วยศักดิ์ศรี  เหมือนพระเยซู

ข้อ 44 … “ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ” กายธรรมชาติ ก็คือกายแบบวัตถุ ที่เหมือนโลกใบนี้ กายธรรมดา … “ที่เป็นขึ้นมาเป็นวิญญาณ หรือเรียกว่ากายสวรรค์ ถ้ามีกายธรรมชาติ ก็ย่อมมีกายสวรรค์ด้วย” คือมันมีจริงๆ  ตามที่ยกตัวอย่างขึ้นมา

เพราะฉะนั้น กายธรรมชาติที่ทุกวันนี้อยู่ มันเป็นกายที่อ่อนค่า ด้อยค่าไม่มีสง่าราศี  ไม่มีเกียรติ แต่กายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา ที่จะสวมวิญญาณใหม่  ที่บังเกิดใหม่แล้วเดี๋ยวนี้ ใจใหม่ที่ได้รับแล้วเดี๋ยวนี้ มันต้องเข้ากันได้ พูดง่ายๆ ว่าเป็นกายที่เหมาะสำหรับชาวสวรรค์จะสวมนั่นเอง มันเข้ากันได้

และถามว่ากายวิญญาณ กายสวรรค์ที่เหนือธรรมชาตินี้ ที่จะมาแทนที่ ผู้เชื่อสามารถที่จะคาดคะเนได้ไหมว่าลักษณะเป็นเช่นไร? พระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์ก็ต้องคิดอย่างนี้  ก็เลยให้พระเยซูเป็นตัวอย่าง พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ร่างกายของพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  อย่างนั้นแหละ เราก็จะได้รับร่างกายเหมือนพระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย และพระเยซูหลังจากเป็นขึ้นจากความตาย จึงมาปรากฏ 40 วันให้ผู้คนและสาวกให้เห็นมากมาย เป็นพยานยืนยันว่านี่แหละ เป็นอย่างนี้ๆ  เพื่อจะไปเล่าสู่กันฟัง  ไปบอกกันฟังว่าเป็นอย่างนี้  เป็นสง่าราศีอย่างนี้

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นผลแรกของบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่เป็นขึ้นจากความตาย คือผู้ที่เป็นขึ้นจากความตายผู้แรกนั่นเอง  และเราทั้งหลาย ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์เช่นเดียวกัน  ร่างกายก็จะเหมือนพระองค์ สามารถจับต้องมองเห็นได้ บางคนบอกว่าแล้วตอนที่เราตาย แล้วเราเป็นขึ้นจากความตาย ยังจำกันได้ไหม?  ลองดูพระเยซูเป็นตัวอย่าง

พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย มาปรากฏกับสาวก สาวกจำพระเยซูได้ไหมครับ? ตอบว่าได้  นี่พระเยซู  เดินทะลุกำแพงเข้ามา  ไม่ต้องเปิดประตู ตกใจนึกว่าเป็นผี พอตั้งสติได้ พระเยซูนี่นา เห็นไหม? จำได้นะ  แล้วสามารถเดินผ่าน ทะลุกำแพงได้ กินอาหารได้ ลอยขึ้นไปบนสวรรค์ บนฟ้าได้ด้วย อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น นี่คือลักษณะกายสวรรค์ กายฝ่ายวิญญาณที่จะเป็นขึ้นจากความตาย  ในวันหนึ่งที่เราทิ้งร่างเก่าไปแล้วนั่นเอง เรามาต่อ 1 โครินธ์ 15:45-50 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 โครินธ์ 15:45-50 “45 จึงมีเขียนไว้ว่า “อาดัมมนุษย์คนแรก จึงกลายเป็นผู้มีชีวิต” ส่วนอาดัมคนหลังเป็นวิญญาณ ผู้ให้ชีวิต 46 กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติมาก่อน และกายวิญญาณมาทีหลัง 47 มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ 48 คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น 49 และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร เราก็จะมีลักษณะเหมือนกับคนจากสวรรค์อย่างนั้น 50 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือด ไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก และสิ่งที่เสื่อมสลาย ไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก”

 

“อาดัมมนุษย์คนแรก จึงกายเป็นผู้มีชีวิต” ก็คืออาดัมถูกสร้างมาจากดิน จากธรรมชาติของวัตถุ หรือธาตุที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา เป็นร่างกายของอาดัม เราทั้งหลาย ก็เหมือนอาดัมนั่นแหละ  ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน  แล้วพระเจ้าประทานชีวิตให้

“ส่วนอาดัมคนหลัง” ทำไมพระเยซูถูกเรียกว่าเป็นอาดัม คนที่สอง หรือว่าอาดัมคนหลัง  เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วก็ได้กระทำการสิ่งหนึ่งที่เริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์พันธุ์ใหม่บนโลกใบนี้  เพื่อให้บรรดามนุษย์เผ่าพันธุ์เก่า ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่  คือเผ่าพันธุ์ของพระเยซู เผ่าพันธุ์ของพระเจ้า  มนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัว

ส่วนอาดัมคนหลัง  ก็คือพระเยซู เป็นวิญญาณผู้ให้ชีวิต เห็นไหมครับ? พระองค์เป็นชีวิตเลย  พระองค์มาเพื่อประทานชีวิต ให้กับคน แตกต่างกับอาดัม ผู้รับชีวิตมาจากพระเจ้า แต่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อประทานชีวิตให้กับมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  เป็นหัวหน้าของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นต้นตระกูลของมนุษย์พันธุ์ใหม่  เรียกว่าพันธุ์พิเศษ พันธุ์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นก่อนหน้าพระเยซูมีพันธุ์เดียว ก็คือพันธุ์อาดัม ตอนนี้มีพันธุ์ใหม่ ก็คือพันธุ์พระเยซูคริสต์

ข้อ 46 “กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติมาก่อน และกายวิญญาณมาทีหลัง” พูดง่ายๆ ว่ากายธรรมชาติ คือกายแบบอาดัมมาก่อน เกิดก่อน แล้วหลังจากนั้น ค่อยมีกายมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือกายพระเยซูคริสต์  เราที่อยู่ในกายของอาดัม เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในขบวนการแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ได้รับวิญญาณนิรันดร์จากพระเจ้าแล้ว จิตใจใหม่จากพระเจ้าที่เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เมื่อวันหนึ่งร่างกายเก่า ร่างกายอาดัมสิ้นสุดลง เราก็จะไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายวิญญาณจึงเรียกว่าทีหลัง

ข้อ 47 “มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์” อันนี้ชัดเจน  ที่ตะกี้นี้อธิบายไปแล้ว

ข้อ 48 “คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น” … คนฝ่ายโลก ก็คืออาดัมเป็นอย่างไร? ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์ที่เกิดมาจากอาดัม ก็เป็นอย่างนั้น หมายถึงคนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ยอมให้พระเยซูคริสต์ย้ายเขาเข้ามาอยู่ในมนุษย์พันธุ์ใหม่  พันธุ์ที่พระเยซูคริสต์เริ่มต้น พันธุ์ชีวิตนิรันดร์นั่นเอง  คนฝ่ายโลก ก็คือฝ่ายอาดัม  เป็นอาดัม มนุษย์ทุกคนที่ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซู ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน

“คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น” … พระคัมภีร์เรียกเราว่าเป็นชาวสวรรค์ … คนจากสวรรค์ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน  เป็นตั้งแต่วินาทีแรกที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พอรับเชื่อในพระเยซูคริสต์เมื่อไรก็ตามบนโลกใบนี้  ทางด้านโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าได้ย้ายวิญญาณเราออกจากอาณาจักรของความมืด ออกจากในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์ มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระคริสต์ มานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในพระคริสต์  อยู่ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว  รอคอยวันหนึ่งที่จะได้รับร่างกายใหม่เข้ามาสวมนั่นเอง

ข้อ 49 บอกว่า “และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร?” เห็นไหมครับ? มนุษย์เราเกิดมา เรามีลักษณะเหมือนคนฝ่ายโลกอย่างไร?  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่เป็นข้อความที่เขียนถึงผู้เชื่อทั้งหลาย  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราก็จะมีลักษณะเหมือนกับคนจากสวรรค์อย่างนั้น  ก็มีลักษณะเหมือนกับพระเยซู เหมือนกันไม่มีผิดเลย

ตอนนี้วิญญาณเหมือนแล้ว พระคัมภีร์บอก 1 ยอห์น 4:17 ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  จิตวิญญาณของเราเหมือนพระเยซูเลย เหมือนแล้วทำอย่างไร?  ก็รอคอยวันหนึ่ง เมื่อออกจากร่างนี้ ก็จะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนนพระเยซูคริสต์นั่นแหละ เรียกว่า Full Option

ข้อ 50 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือด ไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก และสิ่งที่เสื่อมสลาย ไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก” พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อเราทั้งหลายมีลักษณะเหมือนกับพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด เพื่อว่าเราจะได้มีร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซู เข้าไปครอบครองร่วมกับพระเยซูในสวรรค์สถานที่พระเจ้าบอกไว้  มีทรัพย์สมบัติมากมาย มีตำแหน่งมากมาย  ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เราจะไปครอบครองนี้ได้ ก็ต่อเมื่อร่างกายของเราต้องเป็นร่างกายใหม่  ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูเท่านั้น ร่างกายเก่าจึงเข้าสวรรค์ไม่ได้ ร่างกายเก่านี้ไม่มีคุณภาพเพียงพอ ร่างกายเก่านี้เป็นสปีซี่ส์ที่ไม่เหมาะสมที่จะไปรับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ได้  หมายถึงอย่างนั้น

1 โครินธ์ 15:51 “ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ำลึกแก่ท่าน คือเราจะไม่ล่วงลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

 

“ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ำลึก” ก็คือเหมือนกับสิ่งที่พระวิญญาณได้อธิบายให้กับอาจารย์เปาโลได้รู้ แล้วก็มาบอกต่ออีกทีว่าสิ่งลึกซึ้งอันนี้  เป็นหัวใจสำคัญ ในความเชื่อที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว … “ความล้ำลึก” คือเราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง

จริงๆ ตรงนี้ต้องเป็น “ล่วงหลับ” นะไม่ใช่ “ล่วงลับ”

ทำไมอาจารย์เปาโลใช้คำว่า “หลับ” เพราะว่าเมื่อเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้เข้าสู่ขบวนการ เขาเรียกว่าได้เข้าสู่ขั้นตอนของชีวิตนิรันดร์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์ คือชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับจากพระเจ้า เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  Full Option แต่แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน

ขั้นตอนแรก เมื่อรับเชื่อปุ๊บ  ก็ได้รับวิญญาณ กับจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู นี่คือขั้นตอนแรก ได้ไปทันทีเลย  ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ที่เป็นผู้เชื่อนั้น กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยวิญญาณใหม่ ที่เหมือนพระเยซู จิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซู นี่คือขั้นตอนแรก ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ยังคงอยู่ในร่างกายเก่า ซึ่งดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งร่างกายเก่าไม่สามารถเข้าไปในสวรรค์ รับมรดก และไม่สามารถเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ ไม่สามารถ

ขั้นตอนที่สอง ต้องมีการเปลี่ยนร่างกาย เป็นร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่เหมาะสำหรับตัวตนภายในของเรา  ที่เป็นชีวิตที่เหมือนพระเยซู มีจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้วนั้น จึงจะสามารถร่วมครอบครองกับพระเยซูในสวรรค์สถานนิรันดร์ได้ เรียกว่าขั้นตอนที่สอง เพราะฉะนั้น การได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตายนั้น จะสวมก็ต่อเมื่อครบเวลาที่เราจะได้รับ Full Option เป็นขั้นตอนที่ 2 ของชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์

เพราะฉะนั้น นึกในใจมี 2 ขั้นตอน เมื่อมี 2 ขั้นตอน อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่า “เราจะไม่หลับกันทั้งหมด”  ไม่เรียกว่าตาย เรียกว่าหลับ

ทำไมเรียกว่า “หลับ” เดี๋ยวติดตามต่อไป ไม่มีคำว่าตาย เพราะว่าเราหลับ เพื่อจะตื่นขึ้นมาปั๊บ เปลี่ยนแปลงร่างกายของเราเท่านั้น  เราไม่เรียกว่าตาย เราเรียกว่าเราเปลี่ยนร่างกาย เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า หลับปั๊บ ตื่นมาปุ๊บ ได้รับร่างกายใหม่แล้ว

“เราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง” ตรงนี้เน้นถึงคำว่า “พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง” … “พวกเราทั้งหมด” คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ถึงวันที่ต้องล่วงหลับไป ทั้งหมดที่ล่วงหลับไป หรือตามภาษามนุษย์เรียกว่าตาย แต่ภาษาคริสเตียนเรียกว่าหลับ  ทุกคนที่ล่วงหลับไป จะได้รับอย่างนี้ ตรงนี้เน้นถึงทุกคนที่ล่วงหลับไปนะ  ไม่ว่าจะล่วงหลับไปเมื่อไรก็ตาม? เมื่อพันปีที่แล้ว  หรือจะหลับเมื่อวานนี้  หรือจะหลับพรุ่งนี้ก็ตาม จะได้รับการเปลี่ยนแปลง  โดยอย่างนี้ นี่คือข้อล้ำลึก 1 โครินธ์ 15:52 ได้บอกไว้ว่า …

1 โครินธ์ 15:52 “ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลาย และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

 

หลับอยู่ใช่ไหมครับ? ชั่วแว๊บเดียว  … แว๊บเดียวขนาดไหน? ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย อันนี้รวมกัน แล้วเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน  ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว  ในขณะที่มีการเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น พูดง่ายๆ ว่าพอเราหลับไป มีการตื่น ถามว่าหลับไปนานเท่าไร?  อาจารย์เปาโลบอกว่าแป๊บเดียว  แค่พริบตา เหมือนที่ผมบอกว่าขณะที่เราล่วงหลับ หรือตายจากร่างกายนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ  เมื่อเราก้าวเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ในมิติฝ่ายวิญญาณ มันไม่มีกาลเวลาแล้ว ไม่มีคำว่าหลับไปอีก 3 ปี 4 ปี 5 ปี พันปี ไม่มี เพราะในมิติโลกวิญญาณ สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีเวลา  เป็นอยู่ ก็เป็นอยู่เลย  เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่าพริบตาเดียว ในโลกวิญญาณ พูดง่ายๆ พริบตาเดียว ชั่วแว๊บเดียว ก็คือทันที เพราะว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ สวรรค์ของพระเจ้า ไม่มีเวลา

เราเคยคุยกันเล่นๆ ตอนนั้นบ่อยๆ ว่ามีชายคนหนึ่งบอกกับพระเจ้าว่า …

“พระเจ้า สำหรับพระองค์แล้ว หนึ่งพันปี เท่ากับหนึ่งวัน”

พระองค์บอกว่า “เอเมน ใช่”

“เงินหนึ่งหมื่นล้านของพระองค์  เท่ากับบาทเดียว”

พระองค์บอกว่า “ใช่ ถูกต้อง”

ชายคนนี้เลยบอกว่า “ลูกอธิษฐานขอสัก 50 สตางค์” (50 สตางค์ ก็เท่าไร? ห้าพันล้าน)

พระเจ้าก็ตอบว่า “เอเมน” เหมือนเดิม พอเอเมนปุ๊บ พระเจ้าก็จะหันไปหยิบห้าพันล้านให้  หันกลับมาอีกที ชายที่ขอ มายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว  ตายไปแล้ว เพราะขณะที่หันไปหยิบ เวลาผ่านไปประมาณเป็นร้อยปี

นี่พูดเล่น เอามาเล่าสู่กันฟัง แต่นึกให้ดีๆ มันใช่ไหม?  เวลาสำหรับพระเจ้าไม่มี แต่เราไปคิด เราไปคำนวณกันเองว่ามันกี่ปีๆ  บนโลกใบนี้มีกี่ปี? เพราะว่ามีโลกหมุนรอบตัวเอง  มีดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ให้มีเวลา  เพราะฉะนั้น มันเลยนับได้  แต่ในโลกวิญญาณไม่มีเวลา เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าชั่วแว๊บเดียว พริบตาเดียว ก็คือทันทีเลย  มีเสียงแตรเป่าขึ้น  ดังขึ้น คนตาย คือเราทั้งหลายที่ตายปั๊บ ก็จะถูกทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ คือเปลี่ยนแปลงร่างกายเรา จากร่างกายที่ต้องตาย  คือแบบที่เสื่อมสลายได้ เข้าสู่แบบที่ไม่เสื่อมสลาย  เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เอี่ยมเลย

1 โครินธ์ 15:53 “เพราะที่เสื่อมสลาย ต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้ ต้องสวมที่ไม่มีวันตาย”

 

เห็นไหมครับ? “เพราะที่เสื่อมสลาย ต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้” เข้าสู่สวรรค์ไม่ได้ ก็คือเสื่อมสลาย ก็คืออยู่ในอาดัม ไม่ได้ ต้องสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ถึงจะอยู่ในสวรรค์ได้

1 โครินธ์ 15:54 “เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้น สวมที่ไม่มีวันตายแล้ว คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริง คือ “ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป”

 

เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้น ความตายก็ไม่มีชัยอีกต่อไป เพราะว่าร่างกายใหม่ของเราไม่มีวันตาย ไม่อยู่ใต้อำนาจของความตายอีกต่อไป  ก่อนหน้านี้ร่างกายเรายังอยู่ใต้ความบาปและความตายอยู่ มันต้องตายอยู่ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าทนทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ในร่างกายเก่านี้ ซึ่งกำลังตายอยู่ทุกวันๆ นี้ เราอดทนได้ ก็เพราะเรามองไปที่วิญญาณที่อยู่ภายใน ที่เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน  2 โครินธ์ 4:16-18 บอกไว้ว่าเรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น  คือตัวตนข้างในของเรา  คือวิญญาณของเราและความคิดจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว มันเจริญเติบโตเข้าไปสู่ Full Option อย่างนี้ เข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ แต่ขณะนี้มันอยู่ในร่างกายเก่าที่ต้องตาย แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่ไม่ต้องตายอีกต่อไป ความตายก็พ่ายแพ้ไปเลย มันเป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้น คริสเตียนหลายคนมีคำถามว่า … “แล้วขบวนการที่เราจะได้รับกายใหม่ หรือกายแบบสวรรค์เป็นอย่างไร? คนตายไปก่อนจะได้รับก่อน หรือรอรับพร้อมกัน หรือต้องรอจนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งก่อน”

ที่พวกเรามีคำถามแบบนี้ ก็เพราะว่าเรายังคิดแบบโลกอยู่ อย่างที่ผมบอก โลกนี้มีเวลา มีนาที มีชั่วโมง มีวัน มีเดือน มีปี  แต่ในสวรรค์ไม่มีอีกแล้ว  พระคัมภีร์บอกว่าวันนั้นมาถึง เราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง คือเราจะไม่ล่วงหลับกันทั้งหมด  คำนี้หมายถึงคริสเตียนที่อยู่บนโลกใบนี้  แล้วยังไม่ตาย ไม่ล่วงหลับไป  ยังเป็นๆ อยู่บนโลกใบนี้  แต่พระเยซูเสด็จกลับมา คือวันสิ้นโลก วันที่พระเยซูกลับมาพิพากษาโลก  กลับมาสำเร็จโทษโลก  เพราะว่าโลกได้ถูกสำเร็จโทษ ได้ถูกพิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งมาร ทั้งสิ่งของบนโลกใบนี้ทุกอย่าง บนโลกใบนี้ได้ถูกพิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว  วันหนึ่งพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีก  ถ้าถึงวันนั้นเสด็จกลับมา คนที่เป็นคริสเตียน ก็ไม่ต้องตายไง ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงทันทีเลย  หมายถึงพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลก

แต่ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่กลับมา ซึ่งยังไม่ได้กลับมาเลย  ในช่วง 2,000 ปีนี้ก็ยังไม่กลับมา ถ้ายังไม่กลับมาผู้เชื่อ หรือคริสเตียนที่ตายหรือล่วงหลับไปแล้วนั้น ก็จะเป็นผู้ไปหาพระเยซูเอง ก็คือออกจากร่างไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า พระเยซูก็มารับเขาเหมือนเดิม ก็เหมือนกัน  เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเหมือนกัน  ไม่ว่าพระเยซูจะมาเป็นทางการ พิพากษาโลกหรือไม่? หรือจะมาเพื่อรับคนใดคนหนึ่งที่ได้ล่วงหลับไป ได้ตายไปแล้ว ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก พระเยซูก็จะกลับมารับเขาเหมือนกัน เรียกว่ากลับมารับเขาไปสู่อ้อมกอดของพระบิดานั่นเอง เหมือนที่พระเยซูพูดกับโจรบนไม้กางเขน บอกว่า …

“วันนี้ท่านจะได้พบกับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

วันนี้ คือไม่ต้องรอ พบกันเลย ใช่ไหม? เหมือนเพลงที่เราร้องกัน …

“พระคริสต์กลับมา เหมือนเสียงแตรดังก้องเวหา

เพื่อมารับข้า กลับไปอยู่ในเมืองฟ้า”

เป็นทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่อยู่จนพระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก หรือฝ่ายที่เสียชีวิต ไปพบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที เหมือนดั่งที่เปาโลพูดว่าเมื่อจากร่างกายนี้  ก็จะไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เปาโลบอกตัดสินใจลำบากมากเลย อยู่ก็อยู่ เพราะว่าเป็นห่วงคนที่ยังไม่เชื่อ  และคนที่เชื่อใหม่แล้ว  อยากให้เขาได้รับการเลี้ยงดูด้วยถ้อยคำพระเจ้า ได้รับการสอน ได้รับการประกาศข่าวดี  เป็นประโยชน์ต่อบรรดาผู้คน แต่มันก็ทุกข์นะ อยู่ในร่างกายเก่านี้  แต่ถ้าออกจากร่างกายเก่านี้ ก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ได้กำไร ดีกว่าเยอะ ตัดสินใจลำบากมาก นี่คือความเชื่อของเปาโล

ในข้อ 52 บอกว่า “ชั่วแว๊บเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้น แบบไม่เสื่อมสลาย และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง”

เป็นตัวยืนยันว่าไม่มีกาลเวลา ชั่วแว๊บเดียว  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เชื่อ ที่ตายไปก่อนหน้านี้ เป็นร้อยปี ผู้เชื่อที่เพิ่งตายไปไม่นาน  หรือพวกเราที่จะต้องตายลงในวันหนึ่งข้างหน้า  ทุกคนที่มีความเชื่อในพระเยซูก็จะมีสภาพเดียวกัน  คือชั่วแว๊บเดียว พริบตาเดียว ก็ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้าทันที มันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงใช้คำนี้ว่าเหมือนหลับ  แล้วก็ตื่นขึ้นมาเจอพระเยซูเลย  เจอพระเจ้าเลย นี่คือความหวังใจ ความชื่นชมยินดีของผู้เชื่อ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันน่าจะเป็นไปได้มากกว่า … รอให้พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก ที่เรียกว่าพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อพิพากษาโลก และเราไม่ต้องตาย เปลี่ยนแปลงร่างกาย ไปสวรรค์ พบพระเยซูทันทีเลย  หรือเราตายแล้วไปพบพระเยซูเลยทันที

ท่านคิดว่าอะไรน่าจะถึงก่อน ง่ายกว่ากัน  ก็คือเราตาย แล้วไปพบพระเยซู ง่ายกว่านะ  เพราะพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องไม่มีใครรู้ นอกจากพระบิดา พระเยซูก็บอกไม่มีใครรู้ นอกจากพระบิดาเท่านั้น  เพราะฉะนั้น ความหวังเราน่าจะมาอยู่ที่ว่าเมื่อไรหมดการงานบนโลกนี้แล้ว  เราก็จะไปอยู่ในสวรรค์ ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าทันที ได้รับชีวิตนิรันดร์ แบบ Full Option ให้เราจำตรงนี้ไว้  ตอนนี้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าเรากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปสู่ Full Opiton เรากำลังเดินทางไปสู่ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์กับพระเจ้า  เรากำลังเดินทางไป  ไม่ใช่เราหวังว่าจะได้รับเมื่อตอนตายจากโลกนี้  เปล่า เรากำลังเดินทางไป เราได้รับมัดจำเรียบร้อยแล้ว  ในโลกนี้ ภายในวิญญาณของเรา  เราได้รับเรียบร้อย ตัวตนจริงๆ ของเราได้รับเรียบร้อยแล้ว  คือวิญญาณและจิตใจของเรา  ที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา  เพียงแต่รอรับร่างกายใหม่เท่านั้น เมื่อวันจบงาน ในโลกนี้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

และสิ่งที่เราได้พบได้เจอนั้น ไม่ได้เจอแค่ร่างกายใหม่เท่านั้น แต่เรายังรอคอยความหวังอีกต่อไป ก็คือโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาจะสร้างให้เราได้อยู่อาศัย หลังจากที่เราได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์ทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ไม่ว่าจะตายไปก่อน หรืออยู่จนกระทั่งพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ตาม เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็จะได้เข้าไปอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้าง เป็นสวนเอเดนใหม่ที่สวยสดงดงาม  เขาก็จะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ในวิวรณ์ 21:1-4 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ …

วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาว แต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดัง มาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

“พวกเรา” คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ กำลังเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  และชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น ก็จะเป็นเหมือนที่ได้อ่านเมื่อสักครู่นี้

พอไหมครับที่จะเป็นความหวังใจ เป็นนิมิตให้กับเราในการดำเนินชีวิต ในความทุกข์ยากลำบาก เหมือนยุคแรกๆ ที่เขาอดทนมาจนกระทั่งทุกวันนี้ 2,000 ปี จะถูกข่มเหงอย่างไร? จะพบกับปัญหาความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? สิ่งเหล่านี้คุ้มค่ากับการรอคอยมาก คุ้มค่ากับคำว่าอดทนรอคอย แต่ทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้  ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร?  ขอย้ำอีกที ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร? พระเยซูก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าวันสุดท้าย คือเมื่อไร?  คือวันสุดท้ายที่พระเยซูจะกลับมา และเราจะได้อยู่ในโลกใหม่  ที่อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ในวิวรณ์ บทที่ 21 เมื่อไร? เราไม่รู้ อย่าคาดคะเนเอาเองว่าเป็นวันนั้น วันนี้ เพราะพระเยซูเองก็บอกไม่รู้ ในมัทธิว 24:36 พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 24:36 ““ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ”

 

พระคัมภีร์บอกเพียงว่าเมื่อเวลานั้นใกล้จะเข้ามาถึง จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง? แล้วคนก็ไปคำนวณหาเวลา เปรียบเทียบเหตุการณ์ แล้วก็คาดเดากันว่าเดือนนั้น ปีนั้น ปีนี้ พระเยซูจะเสด็จกลับมา โลกจะแตกแล้ว  โลกจะถูกตัดสินแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น หนังสือเอย บทความ เยอะแยะเต็มไปหมด ที่ไปโยงเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ  แล้วก็มาบอกว่าวันนี้ วันนั้น พระเยซูจะเสด็จกลับมาแล้ว ให้เตรียมกันให้ดีๆ  ซึ่งบางครั้ง ข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นอันตราย

เช่น บางคนที่เชื่อตาม ก็ไปขายทรัพย์สมบัติ แล้วไปใช้ชีวิต เหมือนกับไม่มีเวลาพรุ่งนี้อีกแล้ว ที่หนักกว่านั้น ก็คือบางคน บางความเชื่อ ถึงขั้นรวมตัวกัน  แล้วก็ใช้เวลาที่คาดเอาไว้ ฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อบอกว่าพระเยซูมาแล้ววันนี้  ก็มีข่าวมาให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ

เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าไม่มีใครรู้ แม้แต่พระเยซูก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่รู้ ก็ควรจะไม่รู้สิ จริงๆ ก็อย่าไปรู้เลย  เพราะว่าไม่มีใครรู้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะกลายเป็นมนุษย์คนเดิม  คือมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า  ส่วนใหญ่ก็อยากจะรู้อนาคต  อยากอันนั้น อันนี้อยากเป็นอันนั้น อันนี้ เหมือนที่เขาไปดูหมอดูกัน เขาก็อยากจะรู้อนาคต เป็นคริสเตียน เรารู้อนาคตทั้งหมดแล้ว เพราะอนาคตเราอยู่ที่พระเจ้า  พระเจ้าบอกเรา อนาคตเป็นอย่างไร? ก็บอกหมดเรียบร้อยแล้ว  อะไรที่ไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องไปนั่งคิด วางใจในพระเจ้า  เชื่อในพระเจ้า  ไม่อย่างนั้น เรามีโอกาสถูกมารหลอกได้ เหมือนอาดัมและเอวาตอนเริ่มต้น ก็เพราะอย่างนี้ ไม่เชื่อในพระเจ้า  อยากรู้อนาคตของตัวเอง  อยากจะมีความรู้มากกว่าที่พระเจ้าบอกให้ พระเจ้าบอกให้แค่นี้ อยากรู้มากกว่านี้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

สิ่งที่เรารู้แน่ๆ พระคัมภีร์บอกไว้ คือวันสุดท้ายของเราบนโลกใบนี้  มันอีกแป๊บเดียว พระคัมภีร์บอกไว้ว่าแป๊บเดียวเอง  วันสุดท้ายในการดำเนินชีวิตอยู่  ในร่างกายนี้  อย่างที่ผมบอก ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4:16  ที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้าไม่ท้อใจ ข้าพเจ้าไม่กลัว ข้าพเจ้าไม่วิตกกังวล ไม่เสียใจ  ในร่างกายนี้ที่กำลังตายไปทุกวันๆ กำลังตาย คืออีกไม่นานก็ตาย กำลังทุกข์และกำลังตาย  แต่วิญญาณข้างในของข้าพเจ้ากำลังเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน”

นี่คือการบอกแล้วว่าที่เราตาย มันแป๊บเดียวเอง  อันนี้บอกชัดๆ เลย ทำไมไม่ฟังตรงนี้มากกว่า ตรงนี้ คือความจริง ที่บอกว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? ไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา  เพราะว่าจะมาหรือไม่มา เราก็ได้รับสิ่งที่เราหวังไว้  สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  มีชีวิตนิรันดร์แบบครบถ้วนบริบูรณ์  ร่างกายใหม่ที่ให้กับผู้เชื่อทุกคน วิญญาณใหม่ที่เกิดขึ้น โดยพระเยซูคริสต์ และจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์จะได้สวมร่างกายใหม่นี้ ได้รับกันทุกคนแน่นอน เมื่อถึงวันที่จะตาย หรือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม  แต่วิธีที่เราจะไปหาพระเยซู ตายที่โลกนี้ มันแป๊บเดียว มันเห็นชัดกว่าตั้งเยอะ ตรงนี้แหละ คือความหวังสูงสุด  ที่พวกเราผู้เชื่อ  คริสเตียนทั้งหลาย เฝ้ารอคอย ต่างรอคอยด้วยความอดทน  และเป็นความหวังเดียว  ที่เป็นพลังผลักดันการดำเนินชีวิตของเรา ให้สามารถเผชิญทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ได้  ไม่ว่าจะทุกข์ขนาดไหน? คริสเตียนที่เชื่อวางในพระเจ้า ก็ทนได้ อีกแป๊บเดียว  มองไปที่ร่างกายใหม่  เขาไม่ได้มองไปที่ชีวิตนิรันดร์ หลังความตาย ที่เน้นตอนต้นให้ฟัง เพราะว่าชีวิตนิรันดร์ เราได้รับแล้ว วิญญาณนิรันดร์ จิตใจที่เป็นนิรันดร์เหมือนพระเยซู ได้รับไปแล้ว บนโลกใบนี้ ไม่ต้องหวังแล้ว  เขารออีกนิดเดียว คือรอที่ยังไม่ได้รับ รอไปสวมร่างกายใหม่ สวมเมื่อร่างกายเก่านี้ถึงเวลาหมดสิ้น ตาย ล่วงหลับ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นแหละ คือชีวิตหลังความตาย  ชีวิตที่เป็นชีวิตนิรันดร์ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ นี่คือความหวัง

เพราะฉะนั้น คริสเตียนในอดีต เราจะเห็น เขาไม่กลัวตาย  ความตายเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเขาด้วยซ้ำ เพราะเขามองทะลุไปถึงอนาคต มองทะลุไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  มองทะลุไปถึงโลกข้างหน้าแล้ว เขามองไปที่ร่างกายของเขา  ที่ยังไม่ตาย แต่เขาเห็นวิญญาณของเขา และความคิดจิตใจของเขาที่เหมือนพระเยซูแล้ว ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  พระเยซู คือชีวิตของเขา  …

“ข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าก็อยู่ เพื่อพระคริสต์  ข้าพเจ้าอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในข้าพเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  พระคริสต์เป็นเจ้าของชีวิตของข้าพเจ้า”

ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยพระคริสต์  แต่อยู่ในร่างกายเก่า  รอรับร่างกายใหม่ ก็จบงาน ก็แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้น ชีวิตของเขาจึงมีความเชื่อ วางไว้ตรงนี้  เขาจึงไม่กลัวไง

ยกตัวอย่างเช่น สตีเฟ่นถูกหินขว้างให้ตาย เขาก็นึกว่าตกใจ ตื่นเต้นว่าสตีเฟ่นมองไปที่ไหน? มองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูคริสต์มารับ  สตีเฟ่นถูกหินขว้าง เหมือนถูกข่มเหงอย่างหนัก แต่สำหรับสตีเฟ่นเองแล้ว ตอนนั้น กำลังขอบคุณ สรรเสริญ พระเจ้ายิ่งใหญ่ จบงานเขาสักทีหนึ่ง เขาจะไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า  เขาถึงไม่กลัว

เปโตรถูกตรึงไม้กางเขน เปโตรบอกว่า … “ขอถวายเกียรติต่อพระเจ้า  ตรึงข้าพเจ้าแบบเอากลับหัวกลับหางได้ไหม? เอาหัวทิ่มลงดิน  ให้มันทรมานมากกว่านี้อีก”

เพราะรู้แล้วว่าอีกแป๊บเดียว  วันที่เขารอคอย คือความหวังของเขา ที่จะออกจากร่างกายนี้ ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า เหลืออีกแป๊บเดียว

เปาโล ยิ่งดีใจใหญ่เลย เปาโลก่อนเดินทางไปโรมถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก ถูกขว้างให้ตาย ถูกตามล่า ตามฆ่า เจ็บปวดทุกอย่าง  ทนได้ แล้วบอกว่า …

“ข้าพเจ้าทนสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะความหวังใจตรงนี้แหละ คือเมื่อข้าพเจ้าออกจากร่างเมื่อไร ข้าพเจ้าจะพบกับพระเจ้าทันที หน้าต่อหน้า”

และอยู่ที่กรุงโรม เขาก็พาเปาโลไปตัดคอ ผมเชื่อเลย เปาโลตอนไปตัดคอ คงจะยิ้มแย้มแจ่มใสมากเลย  จบงานสักที  คราวนี้เขาจะได้พบพระเจ้าหน้าต่อหน้า

คริสเตียนที่ถูกรังแก ถูกข่มเหงในกรุงโรมในขณะนั้น  โดยเนโร ก็เช่นเดียวกัน  ถูกจับให้สิงโตกิน ก่อนที่สิงโตกิน เขาก็มองทะลุไปในโลกวิญญาณ เห็นพระเยซูมารับแล้ว เพียงแค่พริบตา เสียงแตรก็ดังก้องเวหา พระเยซูคริสต์กลับมารับข้า ไปเมืองสวรรค์สถาน

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรจะฝากความหวังของเราไว้ที่จุดนี้แหละ  จุดที่สำคัญที่สุด ที่ไม่มีใครจะมาขโมยความหวังนี้ของเราออกไปได้อีกเลย คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ หลังจากล่วงหลับ หรือตายจากโลกนี้ไปแล้ว  พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

“ตัวเก่าของเราที่เป็นคนบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  และได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ บัดนี้ เราเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ครบถ้วนแล้ว”  โรม บทที่ 6

เมื่อเราต้อนรับพระเยซู เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปแล้ว พระเจ้าได้ทำให้เรา บังเกิดใหม่เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดี เป็นแสงสว่าง  เป็นความรัก บริสุทธิ์สะอาด ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้เลย และตลอดไป เราจึงมั่นใจในวันพิพากษา เท่าๆ กันกับที่พระเยซูคริสต์มั่นใจ

 

มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่าโลกนี้มีแต่ทุกข์  สุขแท้จริงไม่มี มนุษย์จึงหาทางเอาชนะโลกแห่งความทุกข์นี้ให้ได้  ด้วยวิธีการต่างๆ นานา แล้วใครกันล่ะที่เอาชนะโลกนี้ได้

โลกนี้เหมือนเรือแตก ที่กำลังจมลงสู่ความพินาศใต้มหาสมุทร ด้วยแรงดึงดูดของโลก มนุษย์บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนประพฤติดี หรือประพฤติชั่ว ก็จะถูกดูดลงสู่ความพินาศ ใต้มหาสมุทรทั้งสิ้น ด้วยแรงดึงดูดของโลก ที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

 

เช่นกัน พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่าโลกและทุกสิ่งบนโลก รวมทั้งมนุษยชาติ กำลังจมลงสู่ความพินาศ ใต้บึงไฟ ด้วยแรงดึงดูดของบาป ของมารที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม   แล้วใครกันล่ะ? ที่เอาชนะโลกนี้ได้?

2 เปโตร 3:9-10 “9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ 10 แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมย และในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไป ด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัด ที่มีอยู่บนนั้นจะถูกเผาจนหมดสิ้น”

 

นี่คือสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ จำเป็นต้องชนะโลก แล้วใครกันล่ะ?  ที่เอาชนะโลกนี้ได้?

1 ยอห์น 5:4-5 “4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจที่เอาชนะโลกแล้ว 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า”

 

เครื่องบินมีชัยชนะเหนือกฎแรงดึงดูดของโลก แต่ด้วยความเชื่อในเครื่องบิน  คนที่เข้าไปนั่งในเครื่องบิน  ก็มีฤทธิ์อำนาจ เอาชนะเหนือแรงดึงดูดของโลก ใครกันล่ะที่เอาชนะเหนือแรงดึงดูดของโลกได้   ก็คือคนที่เชื่อ ในกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

พระเจ้าอวยพรครับ