คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม 2021
เรื่อง “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?”
โดย นคร เวชสุภาพร
สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันเรื่อง “ท่ามกลางความทุกข์ลำเค็ญ ท่านมองเห็นอะไร? ท่านมองไปที่ใด? ซึ่งเราได้เรียนจากพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ บทที่ 4 ที่ได้เปรียบเทียบให้เราเห็นความแตกต่างระหว่าง 2 สิ่งที่เราจดจ้องมองไป ท่ามกลางสถานการณ์บนโลกใบนี้ที่กำลังทุกข์ยากลำบากอยู่ มี 2 สิ่งที่ไม่สามารถที่จะเปรียบกันได้เลย ก็คือ …
(1) ความทุกข์ยากลำบากที่เป็นสิ่งที่เราจับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งเล็กน้อยยยยย และเป็นเพียงชั่วคราวอยู่แป๊บเดียว
(2) สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้าได้ทรงสำแดงให้เราเห็นแล้ว ได้เกิดขึ้นภายในเราแล้ว ที่เราได้เชื่อพระเจ้า และการเกิดใหม่ในวิญญาณของเราได้รับรู้จากในวิญญาณของเราแล้ว เป็นสิ่งยิ่งใหญ่และเป็นสิ่งสมบูรณ์ ถาวร นิรันดร์
สองสิ่งนี้เปรียบกันไม่ได้เลย อันหนึ่งแป๊บเดียว อีกอันหนึ่งถาวรนิรันดร์ และเราก็สรุปทิ้งท้ายไว้ครั้งที่แล้วว่าเมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว เราก็ควรจะตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกมองไปที่ใด? มองไปที่สิ่งที่มองเห็นได้ คือสถานการณ์บนโลกขณะนี้ หรือมองไปในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่มันเป็นอยู่จริง เรารู้ เพราะอยู่ในใจ พระวิญญาณยืนยันตามนั้น ตามถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง เห็นไหม ความจริงจะทำให้เราเป็นไท? เพราะอย่างนี้แหละ 2 โครินธ์ 4:18 ที่เราได้พูดกันครั้งที่แล้ว ก็สรุปไว้อย่างนี้ …
2 โครินธ์ 4:18 “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”
พระเจ้าจึงสอนเรา แนะนำเรา เมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ก็ควรจะทำอย่างนี้ คือจับจ้อง จดจ่อ สนใจ ให้รายละเอียด ฝังความคิด ตั้งเป้าหมายไว้ที่สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือในโลกวิญญาณที่มีอยู่จริงๆ และมีถาวรนิรันดร์ แทนที่จะมองไปในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่ทำให้เราทุกข์ ที่จับต้องมองเห็นได้เหล่านี้ มันอยู่ชั่วคราวจริงๆ สิ่งที่เราเห็นบนโลกใบนี้ มันเป็นของชั่วคราว มันเป็นแค่เงาเท่านั้นเอง อย่าไปจับเงา เหมือนคว้าลม แต่ให้คว้าของจริงดีกว่า
และวันนี้เราจะมาดูกันต่อว่า ณ เวลานี้ ที่สถานการณ์ความทุกข์ยากลำบาก ก็ยังมีให้เห็นอยู่ เต็มไปหมด มากขึ้นทุกวันด้วยสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย ขณะที่ภัยเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกวันๆ ความหวังของท่านฝากเอาไว้ที่ใด? ในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แน่นอนเราทุกคน ก็ยังต้องเผชิญความทุกข์ลำเค็ญ ในสารพัดรูปแบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์จากเศรษฐกิจ ความทุกข์จากสุขภาพ ความทุกข์จากปัญหาครอบครัว ความแตกแยกกันในครอบครัว ความรักที่เสื่อมคลาย ปัญหาสังคม ความเกลียด ความเห็นแก่ตัว ความชั่วอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด นี่คือความทุกข์ ขณะที่ดำเนินบนโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า ได้รับการบังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่เราก็ยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ก็จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ไม่แตกต่างอะไรกับผู้คนบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย พูดกันตรงๆ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนทนทุกข์อย่างนี้นะ สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าก็ทนทุกข์ไปพร้อมๆ กับพวกเรานี่แหละ
ถ้าเป็นอย่างนั้น “ความหวังของท่านอยู่ที่ไหน?” นี่คือหัวข้อเรื่องในวันนี้ ท่านลองถามตัวเอง ใช้เวลานิ่งๆ สักเสี้ยววินาที นึกถึงว่าความหวังของท่านอยู่ที่ไหน? ในขณะนี้ หยุดคิดเรื่องข่าวร้าย ข่าวโควิด ข่าวผลกระทบโควิด หยุดคิดสักแป๊บหนึ่ง แล้วดูว่าความหวังของเราอยู่ที่ไหน? ความหวัง เป้าหมายในชีวิตของเราอยู่ที่ไหน ในสถานการณ์ตอนนี้ ยกตัวอย่างไวรัสกำลังระบาดหนัก ทั่วโลกในขณะนี้
ถ้าคิดตามหลักของโลกนี้ หลายคนก็คงฝากความหวัง … หวังว่า …
“ไวรัสตัวนี้จะถูกเอาชนะโดยมนุษย์ ด้วยวัคซีน หยุดระบาดเร็วๆ นี้มั้ง คงจะมียาเข้ามารักษาแล้วล่ะ ความหวังอยู่ที่นี่”
หรือคนที่มีปัญหาเรื่องปากท้อง ก็คงคิดว่า … “อีกสัก 3 เดือน 6 เดือน ร้านเรา การทำมาหากิน คงจะทำได้เป็นปกติดี เศรษฐกิจคงจะฟื้นตัวเร็วๆ นี้”
หรือคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ตอนนี้ เครียดอยู่ หรือสุขภาพเรื่องอื่นๆ ก็มีความหวังว่าเมื่อไรจะหายสักทีหนึ่ง ใช่ไหมครับ?
ความหวังของทุกคนเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ ซึ่งมันไม่ผิด เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยโน้น ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นปฐมกาล มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความสุข เพราะฉะนั้น จิตใต้สำนึก บุคลิกของมนุษย์ทุกคนต้องการความสุข บนโลกใบนี้ เพราะว่าเขาถูกสร้างมาให้มีความสุข อยู่ในสวนเอเดน พูดง่ายๆ คือไม่ต้องทำอะไรเลย เสวยสุขอย่างเดียว จริงๆ เลย พระเจ้าสร้างทุกอย่าง ทำให้อย่างดีทุกอย่าง ครบหมด บริบูรณ์เลย ถ้าไม่มีคำสาปแช่งเข้ามา มนุษย์ก็จะอยู่อย่างราชา ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก มีแต่ความสุข
เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์จะเอาคำสาปแช่ง โดยผ่านทางการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตกลงไปในความบาป ตั้งแต่สมัยอาดัม-เอวา คำสาปแช่งเข้ามาก็จริงอยู่ แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ยังมีเชื้อสายที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาให้มีความต้องการที่จะอยู่อย่างมีความสุขบนโลกใบนี้
นี่จึงเป็นเหตุให้ทุกคนไขว่คว้าหาความสุข เพราะว่าความสุขถูกทำให้หายไปแล้ว มันไม่มีแล้ว มันมีแต่ของปลอม โลกใบนี้มันถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว มันมีแต่ความทุกข์ แต่ปรากฏว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ยังไขว่คว้าหาความสุขเหมือนเดิมอยู่ มันก็เลยยิ่งทุกข์ดับเบิ้ล เพราะมันไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น มันไม่ได้แปลกเลยว่ามนุษย์ทุกคนไขว่คว้าหวังว่าจะมีความสุขบนโลกใบนี้
เราจะเห็นได้ว่าถ้าเราฝากความหวังไว้กับสิ่งของ หรือสถานการณ์บนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์ โลกนี้เป็นทุกข์ เป็นเรื่องจริง ชีวิตมีแต่ทุกข์ เป็นเรื่องจริง ที่หนีไม่พ้น แล้วเราไปฝากความหวังว่ามันจะมีสุขขึ้นมา แล้วเราจะได้รับอะไร?
สถานการณ์บนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ สัมผัสได้ มันจะวนเวียนอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ คือความทุกข์ลำบาก ซึ่งถ้าเราไปฝากความหวังไว้ ความหวังของเรา ก็เป็นความหวังที่เหมือนลมๆ แล้งๆ เปล่าประโยชน์ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ากินลม กินแล้ง หวังในเงา ฉวยเงา ก็ไม่เจออะไรเลย แต่สำหรับความจริงที่พระเจ้าได้บอกผู้ที่เชื่อในพระองค์ เชื่อในพระเยซูที่เราเรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็คือผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คือความหวังในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ความหวังแห่งความสุขบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ความหวังในสถานการณ์บนโลกใบนี้ว่าจะเปลี่ยนไป นั่นเป็นความหวังที่ฝากไว้ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก แต่ความหวังจริงๆ ที่เราได้รับแล้ว ในการมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว คือเรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว ซึ่งแม้จะเป็นความหวังที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ณ วันนี้ ณ ขณะนี้ แต่ด้วยความเชื่อเรามั่นใจ มีอยู่จริงๆ และเป็นอยู่ในใจ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างใน เป็นพยานยืนยัน บอกเราข้างในว่ามันเป็นจริงตามนั้น
นี่แหละ เราจึงมีความหวังในสิ่งที่โลกใบนี้ไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แต่ด้วยความเชื่อ เราสามารถเห็น สามารถสัมผัสได้ทางวิญญาณ และนี่คือความหวังเดียวของชีวิตคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าบนโลกใบนี้ ก็คือความหวังในชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ชีวิตที่ได้เป็นเหมือนพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูแล้วเดี๋ยวนี้ เรียบร้อยแล้ว นี่คือความหวังของเราผู้เป็นคริสเตียน
คริสเตียนในยุคแรกๆ ที่ประสบปัญหาความทุกข์ยากลำบากมากมายมหาศาล ถูกข่มเหงอย่างรุนแรง ถูกเอาไปแสดงโชว์ ในการต่อสู้กับสัตว์ร้าย ให้สัตว์ร้ายกิน หรือเอาไปฆ่ากันเอง เพื่อเป็นการโชว์ให้กับชาวโรมัน ในการเข้ามาดู เหมือนดูการแสดงอะไรต่างๆ ถูกทรมานอย่างมากมาย แล้วความหวังของเขาอยู่ที่ไหนในขณะนั้น? ความหวังของเขาอยู่ที่การเป็นขึ้นจากตาย การมีชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ หลังความตายฝ่ายร่างกายนี้ นี่คือความหวังของเขา ของคริสเตียน ทุกยุค ทุกสมัย ความหวังของคริสเตียน อยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งพระเจ้ายืนยันในพระคัมภีร์ คือความหวังในชีวิตหลังความตาย ซึ่งไม่ว่าความทุกข์ทรมานขนาดไหน? หรือความสุขขนาดไหนที่ได้รับบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ ก็ไม่สามารถเทียบกันได้เลย เหมือนเงากับของจริงที่ผมบอกไปแล้ว เหมือนฟ้ากับเหว
ความสุขขนาดไหนบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ความทุกข์ขนาดไหนบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ จะมาเทียบกับชีวิตหลังความตาย คือชีวิตนิรันดร์ในพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้วนั้น เทียบกันไม่ติดเลย และความรอดสู่ชีวิตนิรันดร์ ตรงนี้เป็นความหวังที่ยอดเยี่ยมมาก อัศจรรย์ใจใหญ่ยิ่ง เพราะไม่ได้เป็นความหวังแบบมนุษย์ที่บอกว่าเรามีความหวัง เป็นความหวังที่เป็นอนาคตว่าเราหวังว่าจะได้ในขณะนี้ แต่ความหวังที่เป็นความรอดสู่ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ เป็นความหวัง เป็นความรอด ที่เป็นขบวนการ มีจุดเริ่มต้น และมีจุดสำเร็จสุดท้าย
จุดเริ่มต้น จุดแรก คือเมื่อคนๆ นั้น เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะเข้าไปในร่างกายของคนๆ นั้น และเริ่มการงาน ขบวนการความรอดนิรันดร์ทันทีในคนๆ นั้น จนไปถึงจบขบวนการ คือชีวิตนิรันดร์แบบ Full option เพราะฉะนั้น ความหวังอย่างนี้ จึงเป็นความหวังที่พิสูจน์ได้ เมื่อเราเป็นคริสเตียน เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เกิดอะไรขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเสด็จเข้ามาในร่างกายเรา มาบัพติศมาเรา มาจุ่มเรา นำเราเข้าส่วน เข้าไปในพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ให้ตัวเก่าของเรา คือวิญญาณเก่า พร้อมกับความคิดจิตใจได้ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณได้เข้ามา เราเรียกกันว่าการผ่าตัดทางวิญญาณ เพื่อขบวนการที่เราได้รับการบังเกิดใหม่ พร้อมพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เราที่มีส่วนในพระองค์ ในการตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็มีส่วนในการเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน
นั่นคือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา และความคิดจิตใจใหม่ เห็นไหมครับ ณ นาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อเราเอ่ยปากว่าเราเชื่อในข่าวดีนี้ จริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ ให้เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากบาป ให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เมื่อเราเชื่อเปิดใจต้อนรับ ขบวนการนี้เกิดขึ้นทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปผ่าตัดวิญญาณเรา ทำให้เราบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเยซู มีความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู บันทึกไว้อย่างนี้เลย
เหมือนพระเยซู คือเหมือน เต็มด้วยสง่าราศี เป็นลูกของพระเจ้าเลย ทันที วิญญาณที่เป็นตัวจริงๆ ของเรากับความคิดจิตใจของเรา จึงเหมือนพระเยซูคริสต์ทันที และในพระคัมภีร์บอกว่าและได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซู ได้อยู่ในสวรรค์แล้วทันทีเลย ไม่ต้องรอ ไม่ใช่ว่ารอตายแล้ว จึงไปอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ทันที ขณะที่เรารับเชื่อ ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความบาป เข้ามาสู่อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตร ย้ายเราออกจากตระกูลเดิม คืออาดัม เข้ามาสู่ตระกูลใหม่ คือพระคริสต์ ทำให้วิญญาณเรา ที่ตายอยู่ เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นบาปนั้น ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า ทันทีเลย
นี่เปรียบเหมือนมัดจำ ในขบวนการความรอด นิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ แต่ยังไม่ Full option เพราะว่าพอเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเชื่อแล้ว เราก็ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเก่า นี่แหละคือความหวังใจของคริสเตียน ไม่ได้หวังใจว่าจะไปอยู่ในสวรรค์ เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว มั่นใจแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันแล้วว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณยืนยันให้เราเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา พ่อ เราเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการยืนยันจากภายใน เป็นทายาทที่ได้รับมรดกจากพระเจ้าด้วยนะ ยืนยันจากภายใน
และความหวังของเรา คือเรารู้แล้วว่าเราเป็นใคร? เราเป็นลูกพระเจ้า เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณ และความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู เป็นน้องพระเยซู แต่เรารอคอยความหวังนิดเดียว คือจะได้เข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่ สวมร่างกายใหม่ มาแทนที่ร่างกายปัจจุบัน ที่มันทุกข์ลำบากในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ที่มันติดโควิด ที่มันกลัวโควิด ที่มันเกิดความทุกข์ยากลำบาก มันกลัวโน่นกลัวนี่ วิตกกังวล อ่อนแอเหลือเกิน นี่เราหวังตรงนั้น นี่คือความรอดอย่าง Full option ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือวิญญาณและความคิดจิตใจ ที่บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้วนั้น ได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในร่างกายใหม่ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อตายออกจากร่างกายนี้แล้ว นี่คือความหวังของคริสเตียน
เพราะฉะนั้น มันเทียบกันไม่ได้เลยนะกับความทุกข์ยากลำบาก ที่บนโลกใบนี้มันแป๊บเดียวเอง นี่คือความหมายของคำว่าความรอดนิรันดร์ แบบ Full option แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ที่เป็นความหวังของคริสเตียนทั้งหลาย ในโรม 8:10-11 ที่เราได้อ่านไปเมื่อครั้งที่แล้ว วันนี้เอามาย้ำอีกนิดหนึ่ง …
โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”
“ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน ก็หมายถึงท่านเป็นคริสเตียนแล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถ้าเป็นอย่างนั้น กายภายนอกของท่านที่ต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาป ก็คือต้องตาย ที่ตะกี้นี้บอก แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซู เพราะท่านบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ยืนยันตามนั้น
“และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน ในขณะนี้ พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่ภายในท่าน” ก็หมายถึงขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระวิญญาณทรงสถิตอยู่กับเรา วิญญาณเราเกิดใหม่แล้ว เหมือนพระเยซู ความคิดจิตใจเหมือนพระเยซูแล้ว แต่ร่างกายที่ต้องตายอยู่นี้ กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ กำลังพบกับความทุกข์เหล่านี้ พระวิญญาณก็เสริมกำลัง ประทานฤทธิ์อำนาจที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ปกคลุมอยู่เหนือร่างกายนี้ตลอดเวลา เพื่อนำพาเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็น Full option ก็คือนำพาเรา ปกคลุมเราด้วยชีวิตนิรันดร์ในร่างกายที่ต้องตายนี้ จนกว่าร่างกายนี้จะสูญสิ้นไป และนำพาเราไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นแหละ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่คริสเตียนหรือผู้เชื่อที่หวังไว้ ก็คือการเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู ไม่ใช่เป็นขึ้นจากความตาย ทางวิญญาณ และความคิดจิตใจ ซึ่งได้รับเรียบร้อยไปแล้ว นั่งอยู่ที่ในสวรรค์สถานแล้วเท่านั้น อันนี้ได้ไปแล้ว แต่ที่หวัง ที่ยังไม่ได้ ก็คือจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เรียกว่าร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซูนั่นแหละ
ซึ่งมีตัวอย่าง มีคำพยานให้เห็นเยอะแยะมากมาย ในพระคัมภีร์ก็บอกไว้ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และทรงปรากฏให้กับสาวกและบรรดาคนอีกมากมายในช่วงเวลานั้น เรามาอ่านคำพยานเหล่านี้ ที่ 1 โครินธ์ 15:1-7 จะได้รู้ว่านี่คือหลักการของคริสเตียน ตั้งแต่สมัยยุคแรกว่าเขาหวังอะไร? ชีวิตเขาฝากไว้ที่ไหน? อะไรที่สำคัญที่สุดในความหวัง หรือความต้องการของคริสเตียน หลังจากที่เชื่อแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเยซูแล้ว ความคิดจิตใจ ก็เหมือนพระเยซู แล้วต้องการอะไรอีกล่ะ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ ก็คือร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ที่เป็นตัวอย่างการเป็นขึ้นจากความตาย ที่มาปรากฏตัวให้เห็นเลย …
1 โครินธ์ 15:1-7 “1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐ ที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้ และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ 2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอด โดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้น ท่านก็เชื่อ โดยเปล่าประโยชน์ 3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 ทรงถูกฝังไว้ และในวันที่สาม พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ 5 และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้น ปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน 6 ต่อมา พระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้อง กว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว 7 จากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบ และแก่อัครทูตทั้งปวง 8 และในท้ายที่สุด พระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ”
ในข้อที่ 3 บอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ทรงถูกฝังไว้ และในวันที่สาม พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามพระคัมภีร์ระบุไว้
อะไรสำคัญที่สุด? พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้ง 12 คน ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่า 500 คนในคราวเดียว
500 คน ในสมัย 2,000 ปีที่แล้ว ลองคิดดูสิ เทียบกับปัจจุบัน ควรเป็นกลุ่มใหญ่เท่าไร? และข้อสำคัญ ก็คือผู้คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อ 2,000 ปีก่อน ที่เปาโลเขียน หลายคนส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ไปสัมภาษณ์เขาได้เลย ไปคุยกับเขาได้เลย บางคนล่วงหลับไปแล้ว บางคนทิ้งร่างนี้ไปแล้ว เข้าไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว รับร่างกายใหม่เรียบร้อยแล้ว เข้าไปอยู่ในสวรรค์นี้ อยู่ๆ แล้วนะ หมายถึงเข้าไปอยู่ในสวรรค์ แบบ Full option เลย
นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก นี่คือหัวใจ แรงจูงใจให้กับบรรดาคริสเตียน คือความหวังเดียวของคริสเตียนที่หวังไว้ ไม่ใช่หวังว่าจะไปสวรรค์ เพราะคริสเตียนเขามีความมั่นใจ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วว่าเขาเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้วตอนนี้ เดินอยู่บนโลกนี้ พระเจ้าก็สถิตอยู่แล้ว ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อยู่ในร่างกายเรานี่แหละ เราอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้หวังว่าจะไปสวรรค์นะ แต่ความหวัง คือหวังว่าจะพ้นทุกข์จากร่างกายที่จะต้องตายนี้ พระเจ้าสัญญาไว้ว่าเขาจะได้รับร่างกายใหม่ แทนร่างกายนี้ เมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง และร่างกายใหม่ที่จะได้รับนั้น จะเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย มาปรากฏให้กับผู้คนได้เห็น ตามที่เราได้อ่าน เป็นพยานเมื่อสักครู่นี้ จับต้องได้ แตะต้องได้ กอดพระองค์ได้ พระองค์ทานอาหารร่วมกันได้ พระองค์เดินผ่านทะลุกำแพงเข้ามา พระองค์ลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ เราก็จะเป็นอย่างนั้น ท่านลองคิดดู แรงบันดาลใจนี้ทำให้อัครสาวกและผู้เชื่อในสมัยโน้น ตายก็ไม่กลัวแล้ว ทุกข์ยากลำบากก็ไม่กลัว มันแป๊บเดียว ดีด้วยซ้ำไป แป๊บเดียว กลายเป็นดีไปอีก เหมือนที่เปาโลบอก …
“อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ จากไป ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปพบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า อยู่ก็อยู่เพื่อทำงาน ถวายเกียรติต่อพระเจ้า ประกาศข่าวดี ถ้าเกิดหมดภาวะในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือตายจากร่างกายนี้ ก็ได้ไปปรากฏพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ดีกว่าตั้งเยอะ”
ความหวังใจ ทัศนะคติของคริสเตียนแท้จริง ในความเชื่อ คืออย่างนี้ ซึ่งเราเอามาใช้กับในปัจจุบันได้ อย่างมากมายเลย เพราะปัจจุบันนี้ ความทุกข์ยากลำบากยังน้อยกว่าในสมัยนั้นตั้งเยอะ
ใน 1 โครินธ์ 15:29-32 จึงได้เห็นชัดเจนว่าแรงจูงใจที่อัครสาวกเหล่านี้ เสี่ยงชีวิต ทำอะไรต่างๆ เหนื่อยยาก มากขึ้นอีกกว่ามนุษย์มนาปกติทั่วๆ ไป หรือพูดง่ายๆ ว่าทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์ยากลำบาก มากอยู่แล้ว แต่การเป็นอัครสาวก และต้องรับใช้ พระเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคแรกๆ ต้องใช้กำลังความเชื่อ ชนะความกลัวขนาดไหน? ลองอ่านดูนะครับ …
1 โครินธ์ 15:29-32 “29 เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายจะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่คืนชีวิต ทำไมยังมีคนรับบัพติศมา เพื่อผู้ตาย 30 และสำหรับเรา ทำไมเราจึงต้องเผชิญภยันตรายอยู่ทุกเวลา 31 ข้าพเจ้าตายทุกวัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความเช่นนั้น สิ่งนี้แน่นอน เหมือนที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจในพวกท่าน ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 32 ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัส เพียงเพื่อ เหตุผลของมนุษย์ ข้าพเจ้าได้อะไร หากพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา “ให้เรากินและดื่ม เพราะพรุ่งนี้ เราก็ตายแล้ว”
โอ้โห! สามารถพูดได้กับเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างมากเลย
อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวอย่างแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมา สำหรับคนตายจะทำอย่างไร? “บัพติศมา” แปลว่าเข้าส่วนร่วม บรรดาผู้ที่เข้าส่วนร่วมในพระเยซู คือตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน จะมีความหวังอะไรล่ะ จะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา คือตายแล้วตายเลย ทำไมยังมีคนมารับบัพติศมา เพื่อผู้ตาย ยังมีคนเข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนอีกมากมาย เขาจะมาทำไม? ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่มีความหวังอะไรเลย ก็เพราะว่าพระเยซู ก็ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย เปล่าประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เรา” ในที่นี่ สำหรับอัครสาวก เหล่าทีมผู้ประกาศในสมัยยุคแรก ซึ่งต้องเสี่ยงชีวิตมากมายอยู่ตลอดเวลานั้น ถ้าไม่มีความหวังว่าชีวิตนี้ รอคอยวันที่ออกจากร่างนี้ และจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู จะไปทำงานเหล่านี้ มีความหวังอะไร? จะไปเสี่ยงชีวิต เพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ทำไม?
ข้อ 31 บอกว่าข้าพเจ้าตายทุกวัน คำว่า “ข้าพเจ้าตายทุกวัน” หมายถึงเรื่องจริงๆ คืออาจารย์เปาโลบอกว่าอัครสาวกทั้งทีม เผชิญอันตรายอยู่ทุกเวลา แต่เฉพาะของอาจารย์เปาโลตายทุกวัน ก็คือเป็นตัวเอกเลยที่เขาจ้องจะฆ่า ทั้งชาวยิวที่ยังไม่เข้าใจเรื่องข่าวประเสริฐ หาว่าเปาโลทรยศ และยังผู้คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว ที่เสียผลประโยชน์จากการที่เปาโลไปประกาศข่าวเรื่องพระเยซูคริสต์ ทำให้คนกลับใจใหม่ เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ คิดแผน จ้องฆ่า ถึงขนาดสาบานว่าจะต้องฆ่าเปาโลให้ได้เลยนะ วางแผนฆ่าตลอดเวลา
แต่ในนี้บอก “ข้าพเจ้าตายทุกวัน ข้าพเจ้าจะมาทำอย่างนี้ทำไม? เสี่ยงชีวิตอย่างนี้ทำไม? ต้องคอยสู้กับพวกที่วางแผนฆ่า ที่รุนแรง ยกตัวอย่างเหมือนพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัส ก็คือผู้คนที่ทำรุนแรง ข่มเหงเปาโลที่เมืองเอเฟซัส ข้าพเจ้าจะทำอย่างนี้ เพื่อผลประโยชน์ของมนุษย์หรือ? ไม่มีประโยชน์เลย เสี่ยงชีวิตขนาดนี้ แต่ที่ข้าพเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ ก็เพราะว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ และเป็นตัวอย่าง เป็นผลแรก ที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นว่าข้าพเจ้าก็จะเป็นขึ้นจากความตายอย่างนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อถึงวันเวลาของข้าพเจ้า” มันหมายถึงอย่างนั้น
พระคัมภีร์บรรยายเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างร่างกายทางโลก คือร่างกายที่เราต้องทุกข์ลำบากขณะนี้ บนโลกใบนี้กับร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซู ซึ่งเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ใน 1 โครินธ์ 15:40 เขียนไว้อย่างนี้ …
1 โครินธ์ 15:40 “กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง”
“สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของกายแบบโลกก็อย่างหนึ่ง” สง่าราศี ก็หมายถึงลักษณะชีวิต คล้ายๆสปีชีย์ … สปีชีย์ที่ท่านเห็นอยู่ในร่างกายของพวกเราในขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็เป็นลักษณะหนึ่ง เป็นสปีชีย์หนึ่ง แต่ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์นั้น เป็นอีกลักษณะหนึ่ง เป็นสปีชีย์หนึ่ง ไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? มันเทียบกันไม่ได้เลย 2 สปีชีย์นี้ เทียบกันเหมือนฟ้ากับเหวเลย
ถ้าพูดง่ายๆ ยกตัวอย่างปัจจุบัน นี่พยายามยกตัวอย่างพอให้เห็นเฉยๆ เหมือนลักษณะชีวิต สปีชีย์ที่เป็นตัวอะมีบ้า ตัวเชื้อโรค ตัวแบคทีเรีย มีชีวิตไหม? ไวรัสเขาก็มีชีวิต แต่เอามาเทียบกับลิงสักตัวหนึ่ง สัตว์ชนิดหนึ่ง สักตัวหนึ่ง เทียบกันไม่ติดเลย นี่ก็ชีวิตหนึ่งเหมือนกัน ลิงตัวหนึ่ง ก็มีชีวิตหนึ่ง อะมีบ้าตัวหนึ่ง ก็มีชีวิตหนึ่ง แล้วถ้าเอาอะมีบ้าตัวหนึ่ง มาเทียบกับมนุษย์ ยิ่งห่างกันเยอะมากเลย
คำว่า “สง่าราศี” ก็คือแบบ ลักษณะชีวิต เปาโลจึงบอกว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ระหว่างความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในร่างกาย ในปัจจุบันนี้กับความรอดนิรันดร์ แบบ Full option ที่วิญญาณของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซู ความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ที่ในสวรรค์สถานแล้วในขณะนี้ จะไปสวมร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย ครบ Full option อย่างนี้ มันเทียบกันไม่ได้กับร่างกายปัจจุบันที่มันต้องตาย เจออะไรนิดหนึ่งก็ทุกข์ เจอเตะหิน ก็เจ็บแล้ว ไม่ต้องเตะหิน ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่คิดข่าวร้ายแค่นี้ เครียด ทุกข์ใจ ลำบาก มีแต่ความทุกข์ลำบาก โรม 8:18-20 อาจารย์เปาโลจึงเขียนไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 8:18-20 “18 ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอย ให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มัน ต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว”
อาจารย์เปาโลจึงได้บอกว่ามันเทียบกันไม่ได้เลย ความทุกข์ยากลำบากของเราในปัจจุบัน ในร่างกายกำลังทุกข์อยู่ทุกวันนี้ กำลังเผชิญโควิด เผชิญโรคภัยไข้เจ็บ เผชิญการข่มเหง เผชิญความอดยาก เผชิญโรคอื่นๆ เผชิญการทำร้ายซึ่งกันและกัน เผชิญความอิจฉาริษยา เผชิญกับความทุกข์ทรมาน อยากจะทำ ก็ทำไม่ได้ ไม่อยากจะทำ ก็ต้องทำ อะไรอย่างนี้ มันเทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริที่จะทรงสำแดงในเรา หมายถึงตะกี้ที่บอกสปีชีย์ใหม่ ที่ดีกว่านี้เยอะแยะมากมาย เทียบกันไม่ได้เลยของร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ แบบพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น ที่กำลังจะสำแดงในเราทั้งหลาย “ในเรา” ก็คือผู้เชื่อ พูดง่ายๆ เทียบไม่ได้เลยกับร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ วันหนึ่งเราจะไปสวมร่างกายนั้น
ข้อ 19 จึงบอกว่า “สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง จดจ่อ รอคอยให้บุตรของพระเจ้ามาปรากฏ” สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ ที่พระเจ้าทรงสร้าง สรรพสิ่งบนโลก ก็กำลังรอคอยให้บรรดาบุตรมนุษย์ ก็คือพวกเราทั้งหลาย บรรดาบุตรของพระเจ้า คือลูกของพระเจ้าด้วยความเชื่อ ในพระเยซูได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้ปรากฏ ก็คือได้รับ Full option สักทีหนึ่ง สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็อยากจะให้ผู้เชื่อ ได้รับร่างกายใหม่ สวมร่างกายใหม่ Full option สักทีหนึ่ง ให้ครบหมดเลย เดี๋ยวจะรู้ว่าทำไมสรรพสิ่งถึงอยากจะให้ผู้เชื่อทั้งหลายได้สวมร่างกายใหม่ ได้ Full option
ข้อ 19 บอกไว้อย่างนั้น … “เพราะว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่า ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง”
เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านี้ ทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์เลี้ยง สัตว์ต่างๆ อะไรเหล่านี้ มันถูกทำให้เสียหาย ถูกสาปแช่งไป เพราะความบาป เข้ามาบนโลกใบนี้ ไม่ใช่โดยมันอยากทำเอง มันไม่ได้ตั้งใจอยากจะเป็นอย่างนั้นสักหน่อย แต่ความบาปที่มนุษย์เอาเข้ามาบนโลกใบนี้ ทำความเสียหายให้มันอย่างมากมาย มันอยากจะได้รับการเปลี่ยนแปลง อยากได้รับการช่วยให้รอดเหมือนกัน เพราะมันรู้ว่าพระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าวันหนึ่ง เมื่อมนุษย์ได้รับความรอด แบบนิรันดร์ แบบ Full option ครบทุกคน หมดเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงวันนั้น สรรพสิ่งเหล่านี้ ก็จะถูกเปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน เป็นโลกใหม่ เป็นฟ้าใหม่ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ เป็นบ้านใหม่ ให้กับมนุษย์ใหม่เหมือนกัน ที่จะอยู่อาศัย เรียกว่าสวรรค์สถาน อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ มันเลยรอคอยวันนั้น วันที่พวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย จะได้ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์
ที่บอกว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้ หมายความว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง เรื่องใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเผื่อเรารู้ และเรามีความหวังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ว่าร่างกายใหม่ของเรา พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งโลกใหม่ที่ไม่มีความบาป ไม่มีความสกปรกโสโครก ไม่มีความชั่วร้าย พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันหนึ่งเราจากโลกนี้ไป เราก็จะไปพบกับความจริงเหล่านี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้นั้น ก็จะไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้เราหวั่นไหว และสามารถจะมาเปรียบเทียบกับความหวังนี้ได้เลย ไม่ว่ามันจะทนทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้มากขนาดไหนก็ตาม ไม่สามารถมาเทียบกันได้กับความยิ่งใหญ่ แห่งสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา เป็นความหวังใจของเราทั้งหลายผู้เชื่อในพระองค์
แล้วความหวังที่จะทำให้เราสามารถเผชิญความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้นั้น สรุปแล้วอยู่ที่ไหน? ตอนนี้ใกล้เข้ามาชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้วนะครับ เรามาดูกันว่าเราควรจะฝากความหวังไว้ที่ใด? ไม่ว่าจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในสถานการณ์แห่งความสุข ชอบใจ ดีใจ หรือสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบากทนไม่ไหวก็ตาม ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ มันเป็นชั่วคราวเท่านั้น แป๊บเดียวเอง และสิ่งที่เราหวังไว้ ที่จะมาทดแทนหรือเป็นรางวัลให้กับเรา คืออะไร? โรม 8:21-23 …
โรม 8:21-23 “21 ด้วยมีความหวังว่าสรรพสิ่งเหล่านั้น จะได้รับการปลดปล่อย จากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง กำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร จนถึงปัจจุบันนี้ 23 ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณ ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เรา จดจ่อรอคอย การทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด”
ในนี้บอกชัดเจนว่าสรรพสิ่งก็มีความหวัง เหมือนกับเราทั้งหลาย แต่เราจะต้องเป็นผลแรกให้กับเขา ก็คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้าง คือโลกใบนี้ทั้งใบ มีความหวังว่าสรรพสิ่งเหล่านั้น จะได้รับการปลดปล่อยจากการผูกมัด ให้ต้องเสื่อมสลาย ก็คือโลกใบนี้ทั้งใบ สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็เปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน เพราะในนี้เขียนบอกว่าจะนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า ก็คือมาร่วมกันกับชีวิตนิรันดร์ของเรา เราได้รับชีวิตนิรันดร์ของเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่บังเกิดใหม่ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย และเราจะอาศัยอยู่ในโลก ที่เป็นโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ เหมือนกัน ไม่ต้องตกอยู่ในความตายเหมือนกัน มารับชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น ท่านมีสุนัขอยู่ สุนัขท่านเลี้ยงไว้ สุนัขนั้นก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เป็นสุนัขที่มีชีวิตนิรันดร์อยู่กับท่าน หรือท่านปลูกต้นไม้อะไรอยู่ ต้นไม้นั้น ก็จะมากับท่านด้วย พูดง่ายๆ ธรรมชาติบนโลกใบนี้ จะถูกทำให้เกิดใหม่เหมือนกับเราทั้งหลาย เขาเรียกว่าชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน ซึ่งสรรพสิ่งเหล่านี้ ในข้อ 22 บอกว่า “เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง กำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร จนถึงปัจจุบัน” สรรพสิ่งเหล่านี้อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็วๆ วันที่เขาจะได้รับความรอดสู่นิรันดร์ Full option เหมือนกัน แต่ต้องรอให้มนุษย์ได้รับเสียก่อน ถ้าพูดถึงอีกนัยหนึ่ง ก็คือรอวันสิ้นสุด โลกใบนี้นั่นเอง พูดง่ายๆ วันนี้เราจะไม่ลงรายละเอียด เอาไว้วันหลังเราจะลงรายละเอียดถึงลักษณะของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตนิรันดร์ วันนี้จะพูดคร่าวๆ พอเข้าใจว่าผู้เชื่อ มีความหวังรอคอยร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นร่างกายซึ่งเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู ขณะเดียวกัน สรรพสิ่งทั้งหลาย คือโลกใบนี้ทั้งใบ ก็รอคอยว่าวันที่มนุษย์ทั้งหลายได้รับร่างกายใหม่ สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ เข้าสู่นิรันดร์ เป็นโลกใหม่ ให้กับมนุษย์ได้อยู่อาศัย เหมือนกัน มันเป็นลักษณะอย่างนั้น แต่เมื่อมนุษย์เชื่อในพระเยซูคริสต์ อย่างที่บอกแล้วว่าเขาได้เกิดใหม่ในวิญญาณ ความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระเยซู อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่ในมิติหนึ่งที่เรียกว่าสวรรค์ แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายเดิม ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในมิติของโลกใบนี้อยู่ เห็นภาพไหมครับ? วันหนึ่งเมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง คือตาย วิญญาณเขาก็อยู่ที่เดิม อยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว เพียงแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำวิญญาณเขาไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์จึงเขียนว่าเมื่อวันสุดท้ายของโลกใบนี้ คือวันพิพากษาของโลกใบนี้ ที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา ก็คือสิ้นสุดของโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว โลกใบนี้ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่นิรันดร์ เราผู้เป็นคริสเตียน ก็จะอยู่ในร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่บนโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ ไม่มีบาป ไม่มีมาร ไม่มีการล่อลวง ไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ไม่มีความอดอยากใดๆ และเราจะอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเปรียบไม่ได้กับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ในขณะนี้ เห็นไหม? พอเปรียบกันแล้ว อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าน้อยมาก มันนิดเดียวเอง ความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ ในปัจจุบัน ที่เรากำลังรับอยู่ ก็เพราะสิ่งนี้แหละที่เรียกว่าความหวัง ซึ่งเป็นความหวังที่ไม่ใช่ความหวังลมๆ แล้งๆ แต่เป็นความหวังที่มีมัดจำยืนยันอยู่ภายในใจ คือพระวิญญาณ เป็นสิ่งที่หวังไว้ และในความหวังนั้น ได้รับไปแล้ว 99% ก็คือวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูได้ไปแล้ว อยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานอยู่แล้ว เพียงแต่รออีกนิดหนึ่ง ให้ร่างกายนี้ สิ้นสุดลง แล้วจะเปลี่ยนเป็นร่างกายใหม่ เมื่อสิ้นจากโลกใบนี้ เมื่อหมดลมหายใจ พูดง่ายๆ ว่าได้ไป 99% แล้ว รออีกแป๊บเดียว รออีก 1% เท่านั้น ก็จบสิ้นแล้ว
มันเหมือนกับเราดูหนัง หนังเรื่องนี้เราดูจบแล้ว เราก็ไม่ตื่นเต้นอะไร? หนังเรื่องนี้จะตื่นเต้น ถ้าเรายังไม่เคยดูมาก่อน เราก็ไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร? แต่นี่เหมือนเรารู้ตอนจบไปแล้วว่าตอนจบ ก็คือเราชนะ เราอยู่ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเจ้า และได้รับร่างกายใหม่ เมื่อตอนจบเรื่อง ร่างกายที่เป็นทุกข์ลำบากทุกวันนี้ หมดสิ้นไป เราจะไปสวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ และจะอยู่อย่างนั้นบนโลกใหม่ ชั่วนิรันดร์
บางคนอาจจะเคยถาม แล้วต้องรออีกกี่ปี ถ้าสมมติว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้เราหมดลมหายใจปุ๊บ เราจะรออีกนานเท่าไรถึงจะได้รับ วิญญาณเราออกจากร่างไป สวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตายเมื่อไร? ก็อยากจะบอกว่าเมื่อไร ก็เมื่อนั้นเลย ก็ทันที ถามว่าทำไมถึงทันที … เมื่อเราออกจากร่างนี้ไปแล้ว นึกภาพให้ดีๆ ที่เรายังอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ เพราะเราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นมิติของสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ มีเวลา มีดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ มีโลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้เกิดวันเวลาขึ้น เราจึงนับว่ากี่ปีๆ 2,000 ปี 3,000 ปี 4,000 ปี แต่โลกมิติทางวิญญาณมันไม่มีเวลา พูดง่ายๆ เมื่อไม่มีเวลา ขณะที่วิญญาณเราออกจากร่างไป เราหลุดออกจากระบบของเวลาบนโลกใบนี้ไปแล้ว เข้าไปสู่มิติสวรรค์ที่ไม่มีเวลากำหนด เป็นก็คือเป็น เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อออกจากร่าง ก็พบพระเจ้าทันที อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อออกจากร่าง ก็จะเจอพระเจ้าทันที จำโจรบนไม้กางเขนได้ไหม? ที่รับเชื่อพระเยซู ฝากชีวิตไว้กับพระเยซู ก่อนตายที่ไม้กางเขน พระเยซูบอกวันนี้เราพบกันในสวรรค์ พระเยซูไม่ได้บอกรออีกพันปี อีกกี่ปี พระเยซูบอกเดี๋ยววันนี้ได้ไปสวรรค์
เราไปคิดแบบภาษามนุษย์ว่าพอไปสวรรค์ ต้องกี่ปีๆ ในสวรรค์มันไม่มีปีแล้ว พระเยซูเป็นอยู่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คืออะไร? พระเจ้าเป็นทั้งอัลฟาและโอเมก้า เริ่มต้น ปฐมและอวสานคืออะไร? ก็คือไม่มีเวลาอยู่ นี่คือความหวังใจ พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งไปเร็วเท่าไร? ยิ่งดี นี่เปาโลพูดนะ เปาโลพูดว่า …
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าพเจ้าเลือกได้ ข้าพเจ้าอยากออกจากร่างนี้ไปพบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า”
ถ้าเลือกได้ แต่ทุกคนถูกกำหนด ให้ตายเพียงครั้งเดียว มันมีกำหนดไปแล้ว ก็แล้วแต่พระเจ้าจะทรงนำ แต่เราสบายใจ ตรงที่เราดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว จบด้วย วันหนึ่งเมื่อออกจากร่างนี้ ไม่ว่าจะทุกข์ทรมาน ก่อนจะออกจากร่างขนาดไหนก็ตาม พระวิญญาณอยู่กับเราตลอดเวลา และให้กำลังกับเราในทุกอนุเนื้อ ตับ ไต ไส้ พุง ความคิดอะไรต่างๆ ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา ด้วยฤทธิ์อำนาจของชีวิตที่เป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูอยู่ในร่างกายเรา ตลอดเวลาอยู่แล้ว ประคับประคองจนกระทั่งร่างกายที่ต้องตายได้ มันถึงจบหมดสิ้น มันตายจริงๆ หยุดทำงาน เมื่อนั้นแหละชัยชนะเป็นของเรา จบสิ้นกันสักที หมดงาน พระวิญญาณก็นำวิญญาณเราเข้าไปสู่มิติทางวิญญาณ สวมร่างกายใหม่ อยู่ในสวรรค์ใหม่ ที่อธิบายกันไปแล้วทั้งหมด เฮกันเลย ขอบคุณพระเจ้า
ซึ่งความเชื่ออย่างนี้ ทำให้เราสามารถเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความหวังใจ คริสเตียนทุกคนน่าจะเป็นผู้คนที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว น่าจะรับรู้ความจริงเหล่านี้ ถ้ารับรู้ความจริงเหล่านี้ ก็เท่ากับดูหนังจบแล้ว ก็จะตื่นเต้นนิดหนึ่ง จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลย ก็ไม่ได้ บางทีก็ตกใจเหมือนกันนะ อะไรเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา จับต้องมองเห็นได้กับสิ่งที่หวังไว้ มองไม่เห็น บางทีมันก็สะดุ้งเหมือนกัน แต่เมื่อใช้สติ ค่อยๆ คิด มันก็สามารถที่จะวางใจว่าหนังเรื่องนี้มันจบไปแล้ว
เพราะฉะนั้น คริสเตียนทุกคนก็จะใคร่ครวญเรื่องความจริงเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา อย่าประมาท คิดถึงตลอดเวลา ในเรื่องของความมรณาบนโลกใบนี้ คือชัยชนะของคริสเตียนทั้งหลายในโลกหน้านั่นเอง โรม 8:24-25 …
โรม 8:24-25 “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”
“ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน” เพราะเรายังไม่มีจริงๆ แต่เรารู้ว่าเราได้รับเรียบร้อยแล้ว ได้รับมัดจำไว้ตั้ง 99% แล้ว เหลืออีกนิดเดียว มันก็สามารถหวังและอดทนได้ อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังดำเนินอยู่ และขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ปล่อยให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ตามลำพัง ได้รับ 99% แล้วอยู่ตามลำพัง ไม่ใช่ พระองค์บอกแล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า จะไม่ละเราให้อยู่ตามลำพัง จะอยู่กับเราเสมอตลอดเวลาเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเริ่มต้นรับเชื่อ เชิญพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา พระองค์เข้ามาทั้ง 3 พระภาค และก็อยู่กับเรา จะไม่ทอดทิ้งเราเลย คอยจูงมือเราเดินไปตลอด จนกว่าจะหมดลมหายใจบนโลกใบนี้ ใช้อวัยวะในร่างกายของเราให้เป็นประโยชน์ในแผนการของพระองค์ นั่นแหละคือสิ่งที่พระองค์ต้องการทำ แค่นั้นเอง เราจึงสามารถอดทนได้ และขณะที่พระองค์ดำเนินไปกับเราบนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงช่วยเรา นำพาเราให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง ในโรม 8:26-30 จึงได้บันทึกอย่างนี้ …
โรม 8:26-30 “26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณทรงช่วยเราในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิษฐานขอสิ่งใด แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย 27 และพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจของเรา ทรงรู้พระทัยของพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงอธิษฐานวิงวอนแทนประชากรของพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า 28 และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว พระองค์ก็ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรหัวปี ท่ามกลางพี่น้องมากมาย 30 และบรรดาผู้ที่ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกด้วย บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ก็ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย บรรดาผู้ที่ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงให้รับพระเกียรติสิริด้วย”
ท่านผู้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว รับเชื่อในพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้ว อ่านข้อความในโรม 8:26-30 บ่อยๆ เหมือนได้ดูหนังจบแล้ว ปล่อยให้พระเจ้านำพาเราไป
พระวิญญาณผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา จะช่วยเราในยามที่เราอ่อนแอ ไม่รู้จะอธิษฐานอย่างไร? พูดก็ไม่ออก เจอความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ไม่เป็นไร? อธิษฐานไม่ได้ ไม่เป็นไร อธิษฐานไม่ออก ไม่เป็นไร? พระวิญญาณอยู่ภายในเรา ช่วยวิงวอนแทนเรา คร่ำครวญแทนเรา ให้อธิษฐานเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เห็นไหม? ทุกอย่างอยู่ในการดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้นเลย พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้ทิ้งเราให้อยู่คนเดียวโดดเดียว ต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาบนโลกใบนี้ แล้วมีความหวังว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์ เปล่าเลย คอยช่วยเราตลอดเวลา เราเพียงแต่ทำสิ่งเดียว ก็คืออดทน และรอคอยวันจะเสร็จงานการของเราบนโลกนี้เท่านั้นเอง
ในข้อ 28 ยิ่งเห็นชัดใหญ่เลย … “และเรารู้ว่าในทุกสิ่ง พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดีกับบรรดาผู้ที่รักพระองค์”
ข้อ 28 นี้ ภาษาเดิมบอกว่า … “พระเจ้าทรงสามารถกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา” คือทั้งที่เราชอบและเราไม่ชอบ พูดง่ายๆ ทั้งที่เราทุกข์ลำบาก หรือเราสุขก็ตาม พระองค์จะทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะทุกข์หรือมันจะสุข ไม่ว่าเราจะเห็นว่าดีหรือไม่ดี ไม่ว่าคนอื่นเขาจะมองว่ามันดีหรือไม่ดี สำหรับชีวิตของเราก็ตาม พระองค์มีความสามารถที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ ผสมปนเป ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี สำหรับเราผู้ที่รักพระองค์
คำว่า “เป็นผลดี” ไม่ได้หมายความว่าเป็นผลดี ตามที่เราต้องการนะ แต่เป็นผลดีสำหรับเรา เหมาะสำหรับเรา แต่เราไม่อยากได้อย่างนี้ เพราะเราไม่รู้ความจริง เราฉลาดไม่พอ แต่พระเจ้ารู้ว่าอย่างนี้ดีกว่า พระเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดให้เกิดเป็นผลดี เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ซึ่งดีกว่าเรามาก เกินกว่าที่เราจะคิด หรือขอ หรือคาดด้วยซ้ำไป พระองค์สามารถ ทำให้เกิดผลดีเหล่านั้นได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ตามใจเรา ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วินาทีที่เราเริ่มต้นรับเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียน จนถึงวันแห่งลมหายใจสุดท้าย ออกจากร่างกายนี้ไป จบสิ้นการงาน เราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ด้วยร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องโศก ไม่ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ต้องอ่อนแอเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และไม่มีบาป ไม่มีอะไรมาล่อลวงให้เราทำบาปอีกต่อไป และเราจะอยู่ในสวรรค์สวยสดงดงามที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่หมด ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ทั้งหลาย ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง สวยกว่าสมัยเอเดนเดิมอีกด้วยซ้ำไป นิรันดร์
นี่เป็นความหวังใจของคริสเตียนทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเจ้าไม่ได้รอตอบคำอธิษฐานของเรา ตามที่เราต้องการ เราต่างหากที่รอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์ จงอดทนรอให้พระเจ้า ทำตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่แผนการของเรา เพราะพระองค์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ
พระเยซูผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย ต้องกลายเป็นคนบาป ในขณะที่เราทั้งหลาย (ผู้เชื่อ) อดีตเป็นคนบาป แต่ได้กลายเป็นคนดีของพระเจ้า
เราได้เรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าความชอบธรรมของเรา คือการสามารถยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของมหาจักรวาล คือพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์สะอาดได้
เราเป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า และความชอบธรรมนี้ เป็นของประทาน เป็นของขวัญ โดยพระคุณ และผ่านทางความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์
พระเจ้า ได้ทรงทำให้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งไม่เคยเป็นคนบาป ไม่เคยทำบาปเลย แต่ต้องกลายมาเป็นคนบาป เพื่อเห็นแก่เราทั้งหลาย ผู้ซึ่งเป็นคนบาป และทำบาปมากมาย เพื่อที่เราทั้งหลาย จะได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม
➢ พระเยซู ผู้ซึ่งไม่ได้ทำบาปเลย แต่ต้องกลายเป็นคนบาป
➢ ในขณะที่เราทั้งหลาย (ผู้เชื่อ) ไม่ได้ทำดีเลย แต่ได้กลายเป็น คนดีของพระเจ้า
เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม เพราะได้กำเนิด เกิดมาเป็น ลูกพระเจ้า ไม่ใช่โดยความประพฤติ
“He made Christ who knew no sin to [judicially] be sin on our behalf, so that in Him we would become the righteousness of God [that is, we would be made acceptable to Him and placed in a right relationship with Him by His gracious loving kindness.” 2 Corinthians 5:21 AMP
พระเจ้ากระทำสำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์ได้ใช้สิทธินี้ ใครเปิดใจต้อนรับสิทธินี้ เชื่อในข่าวดีนี้ ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง ได้บังเกิดใหม่ทันที
เมื่อบังเกิดใหม่แล้ว เราบริสุทธิ์สะอาด มากเท่าไหร่?
อ่านถ้อยคำนี้แล้ว ท่านอาจจะตกใจ …
1 ยอห์น 4:17 “เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”
เป็นเหมือนพระองค์ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ บนโลกใบนี้เลย พระเจ้าอวยพรครับ